โทษของยาเสพติด จัดทําโดย สิทธิทัศน์ สอนใหม่ เสนอ ครูทัศนีย์ พั ด เ ก า ะ รายวิชา เทคโนโลยี และการสื่อสาร1 ว20228 โรงเรียน ราชสีมา วิทยาลัย
คํานํา ปญหาการติดยาเสพติดเปนปญหาที่มีองคประกอบสลับซับซอน และมักเปนปญหาที่ เกิด จากสาเหตุหลายประการประกอบกัน ซึ่งอาจสรุปไดวาประกอบดวยองคประกอบที่สําคัญ 3 สวน ไดแก คน ยาและสิ่งแวดลอม ในสวนขององคประกอบที่เกี่ยวกับคนนั้น ประเด็นของระดับเชาวนปญญาและบุคลิกภาพ เปน เรื่องที่นาสนใจเปนอยางยิ่ง เนื่องจากคนโดยทั่วไปอาจจะคิดวาคนที่ติดยาเสพติด นา จะเปนคนที่มี สติปญญาต่ํา จึงไดถูกชักจูง หลอกลอใหหลงตกเปนทาสของยาเสพติดได เ ท า ที่ ผ า น ม า ไ ด มีผู ศึ ก ษ า วิจั ย เ กี่ ย ว กั บ เ ช า ว น ป ญ ญ า แ ล ะ บุ ค ลิ ก ภ า พ ข อ ง ผู ติ ด ย า เ ส พ ติ ด ไวบางแลว แตยังไมพบงานวิจัยดังกลาวในกลุมผูเสพสารเสพติดที่ยัง ไมใชผูติดยา โดยเฉพาะใน ก ลุ ม เ ป า ห ม า ย พื้ น ที่ จัง ห วัด ส ง ข ล า ผูวิจัยซึ่งเปนนักจิตวิทยาประจําศูนยบําบัดรักษายาเสพติดจังหวัดสงขลา และเปนหนึ่งใน ทีม ประสานแกไขปญหายาเสพติดในพื้นที่จังหวัดสงขลา จึงไดสนใจที่จะศึกษาระดับเชา วนปญญาและ ลักษณะบุคลิกภาพของเยาวชนกลุมเสพยาเสพติดที่เขารวมโครงการคายบําบัดฟนฟู เยาวชน ติดยาเสพติดของวิทยาลัยอาชีวศึกษาสงขลา เพื่อจะไดทราบขอมูล อันจะเปนประโยชนตอ การวางแผน ปองกัน และแกไขปญหาการติดสารเสพติดของเยาวชนตอไป สิทธิทัศน์ สสออนนใใหหมม่่
สารบัญ เรื่อง หนา คํานํา บทที่1 การสังคมสงเคราะหทางการแพทย 1 ความหมายของการสังคมสงเคราะห 1 ความหมายของการสังคมสงเคราะหทางการแพทย 2 หลักการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะหทางการแพทย 3 วิธีการทางสังคมสงเคราะหทางการแพย 5 กระบวนการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะหทางการแพทย 13 บทบาทและหนาที่ของนักสังคมสงเคราะหทางการแพทย 16 จรรยาบรรณของนักสังคมสงเคราะหทางการแพทย 17 บทที่2 การบําบัดรักษาผูติดยาเสพติดประเภทยาบา (Amphetamine) 18 ระบบการบําบดรั ักษาผูติดยาและสารเสพติดในปจจบุ ัน 18 การบําบัดรักษาผูติดยาเสพติดยาบา 18 ขั้นตอนการบําบัดรักษาผูติดยาบา 19 การบําบัดรักษาผูติดยาเสพติดรูปแบบจิตสังคมบําบัด (Matrix Program) 24 การบําบัดฟนฟสมรรถภาพร ู ูปแบบชมชนบ ุ ําบัด (Therapeutic Community) 32 การบําบัดฟนฟสมรรถภาพแบบเข ู มขนทางสายใหม (FAST Model) 35 เปาหมายในการบําบัดรักษาผตูิดยาบา 37 บทที่3 นักสังคมสงเคราะหทางการแพทยกับการชวยเหลือผูติดยาบา 39 คุณสมบัติของนักสังคมสงเคราะหที่ปฏิบัติงานในการชวยเหลือผูติดยาบา 39 ลักษณะงานของนักสังคมสงเคราะหในการชวยเหลือผูติดยาบา 42 บทบาทหนาที่ของนักสังคมสงเคราะหในการชวยเหลือผูติดยาบา 50 บทที่4 ทฤษฎีการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะหกับการชวยเหลือผูติดยาบา 54 ทฤษฎีในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะหเฉพาะราย 54 ทฤษฎีในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะหกลุมชน 60
เนื้ อหายาเสพติ ด ๑. ความหมายของยาเสพติด ยาเสพติดหมายถึงสารใดก็ตามที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หรือสารที่สังเคราะห์ขึ้น เมื่อน าเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะโดยวิธีรับประทาน ดม สูบ ฉีด หรือด้วยวิธีการใด ๆ แล้ว ท าให้เกิดผลต่อร่างกายและจิตใจ นอกจากนี้ยังจะท าให้เกิดการเสพติดได้ หากใช้สารนั้นเป็นประจ าทุกวัน หรือวันละหลาย ๆ ครั้ง ลักษณะส าคัญของสารเสพติด จะท าให้เกิดอาการ และอาการแสดงต่อผู้เสพดังนี้ ๑. เกิดอาการดื้ อยา หรือต้านยา และเมื่อติดแล้ว ต้องการใช้สารนั้นในประมาณมากขึ้น ๒. เกิดอาการขาดยา ถอนยา หรืออยากยา เมื่อใช้สารนั้นเท่าเดิม ลดลง หรือหยุดใช้ ๓. มีความต้องการเสพทั้งทางร่างกายและจิตใจ อย่างรุนแรงตลอดเวลา ๔. สุขภาพร่างกายทรุดโทรมลง เกิดโทษต่อตนเอง ครอบครัว ผู้อื่น ตลอดจนสังคม และ ประเทศชาติ ๒. ประเภทของยาเสพติด ยาเสพติด แบ่งได้หลายรูปแบบ ตามลักษณะต่าง ๆ ดังนี้ ๑. แบ่งตามแหล่งที่เกิด ซึ่งจะแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ ๑.๑ ยาเสพติดธรรมชาติ (Natural Drugs) คือยาเสพติดที่ผลิตมาจากพืช เช่น ฝิ่ น กระท่อม กัญชา เป็นต้น ๑.๒ ยาเสพติดสังเคราะห์ (Synthetic Drugs) คือยาเสพติดที่ผลิตขึ้นด้วยกรรมวิธีทาง เคมี เช่น เฮโรอีน แอมเฟตามีน เป็นต้น ๒. แบ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น ๕ ประเภท คือ ๒.๑ ยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ ๑ ได้แก่ เฮโรอีน แอลเอสดี แอมเฟตามีน หรือยาบ้า ยา อีหรือยาเลิฟ ๒.๒ ยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ ๒ ยาเสพติดประเภทนี้สามารถน ามาใช้เพื่อประโยชน์ทาง การแพทย์ได้ แต่ต้องใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์ และใช้เฉพาะกรณีที่จ าเป็นเท่านั้น ได้แก่ ฝิ่ น มอร์ฟีน โคเคน หรือโคคาอีน โคเคอีน และเมทาโดน ๒.๓ ยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ ๓ ยาเสพติดประเภทนี้เป็นยาเสพติดให้โทษที่มียาเสพติด ประเภทที่ ๒ ผสมอยู่ด้วย มีประโยชน์ทางการแพทย์ การน าไปใช้เพื่อจุดประสงค์อื่น หรือเพื่อเสพติด จะ มีบทลงโทษก ากับไว้ ยาเสพติดประเภทนี้ ได้แก่ ยาแก้ไอ ที่มีตัวยาโคเคอีน ยาแก้ท้องเสีย ที่มีฝิ่ นผสมอยู่ด้วย ยาฉีดระงับปวดต่าง ๆ เช่น มอร์ฟีน เพทิ ดีน ซึ่งสกัดมาจากฝิ่ น ๒.๔ ยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ ๔ คือสารเคมีที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ ๑ หรือประเภทที่ ๒ ยาเสพติดประเภทนี้ไม่มีการน ามาใช้ประโยชน์ในการบ าบัดโรคแต่อย่างใด และมี บทลงโทษก ากับไว้ด้วย ได้แก่น้ ายาอะเซติคแอนไฮไดรย์ และ อะเซติลคลอไรด์ ซึ่งใช้ในการเปลี่ยน มอร์ฟีน เป็นเฮโรอีน สารคลอซูไดอีเฟครีน สามารถใช้ในการผลิตยาบ้าได้ และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทอีก ๑๒ ชนิด ที่สามารถน ามาผลิตยาอีและยาบ้าได้ในยาเสพติดประเภทที่ ๑ ถึง ๔ ได้แก่ ทุกส่วนของพืช กัญชา ทุกส่วนของพืชกระท่อม เห็ดขี้ควาย เป็นต้น ๓. แบ่งตามการออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ซึ่งแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท คือ ๓.๑ ยาเสพติดประเภทกดประสาท ได้แก่ ฝิ่ น มอร์ฟีน เฮโรอีน สารระเหย และยา กล่อมประสาท
๓.๒ ยาเสพติดประเภทกระตุ้นประสาท ได้แก่ แอมเฟตามีน กระท่อม และ โคคาอีน ๓.๓ ยาเสพติดประเภทหลอนประสาท ได้แก่ แอลเอสดี ดีเอ็มพี และ เห็ดขี้ควาย ๓.๔ ยาเสพติดประเภทออกฤทธิ์ผสมผสาน กล่าวคือ อาจกดกระตุ้น หรือ หลอนประสาท ได้พร้อม ๆ กัน ตัวอย่างเช่น กัญชา ๔. แบ่งตามองค์การอนามัยโลก ซึ่งแบ่งออกได้เป็น ๙ ประเภท คือ ๔.๑ ประเภทฝิ่ น หรือ มอร์ฟีน รวมทั้งยาที่มีฤทธิ์คล้ายมอร์ฟีน ได้แก่ ฝิ่ น มอร์ฟีน เฮโรอีน เพทิดีน ๔.๒ ประเภทยาปิทูเรท รวมทั้งยาที่มีฤทธิ์ท านองเดียวกัน ได้แก่ เซโคบาร์ปิตาล อะโมบาร์ ปิตาล พาราลดีไฮด์ เมโปรบาเมท ไดอาซีแพม เป็นต้น ๔.๓ ประเภทแอลกอฮอล ได้แก่ เหล้า เบียร์ วิสกี้ ๔.๔ ประเภทแอมเฟตามีน ได้แก่ แอมเฟตามีน เมทแอมเฟตามีน ๔.๕ ประเภทโคเคน ได้แก่ โคเคน ใบโคคา ๔.๖ ประเภทกัญชา ได้แก่ ใบกัญชา ยางกัญชา ๔.๗ ประเภทใบกระท่อม ๔.๘ ประเภทหลอนประสาท ได้แก่ แอลเอสดี ดีเอ็นที เมสตาลีน เมลัดมอนิ่งกลอรี่ ต้น ล าโพง เห็ดเมาบางชนิด ๔.๙ ประเภทอื่น ๆ นอกเหนือจาก ๘ ประเภทข้างต้น ได้แก่ สารระเหยต่าง ๆ เช่น ทิน เนอร์ เบนซิน น้ ายาล้างเล็บ ยาแก้ปวด และบุหรี่ ๓. วิธีการเสพยาเสพติด กระท าได้หลายวิธี ดังนี้คือ ๓.๑ สอดใต้หนังตา ๓.๒ สูบ ๓.๓ ดม ๓.๔ รับประทานเข้าไป ๓.๕ อมไว้ใต้ลิ้น ๓.๖ ฉีดเข้าเหงือก ๓.๗ ฉีดเข้าเส้นเลือด ๓.๘ ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ๓.๙ เหน็บทางทวารหนัก ๔. ยาเสพติดที่แพร่ระบาดในประเทศไทย ได้แก่ ๔.๑ ยาบ้า ๔.๒ ยาอี ยาเลิฟ หรือ เอ็กซ์ตาซี ๔.๓ ยาเค ๔.๔ โคเคน ๔.๕ เฮโรอีน ๔.๖ กัญชา ๔.๗ สารระเหย ๔.๘ แอลเอสดี ๔.๙ ฝิ่ น
๔.๑๐ มอร์ฟีน ๔.๑๑ กระท่อม ๔.๑๒ เห็ดขี้ควาย ๕. สาเหตุของการติดยาเสพติด มีหลายประการ ดังนี้คือ ๕.๑ อยากลอง อยากรู้ อยากเห็น อยากสัมผัส ซึ่งเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งของ มนุษย์ โดยคิดว่า \"ไม่ติด\" แต่เมื่อลองเสพเข้าไปแล้วมักจะติด ๕.๒ ถูกเพื่อนชักชวน ส่วนใหญ่พบในกลุ่มเยาวชน ท าตามเพื่อน เพราะต้องการ การ ยอมรับจากเพื่อนฝูง หรือถูกชักจูงว่าใช้แล้วท าให้สมองปลอดโปร่ง หรือใช้แล้วท าให้ขยันจึงเหมาะแก่ การ เรียน และการท างาน ๕.๓ ถูกหลอกลวง โดยอาศัยรูปแบบสีสันสวยงาม ท าให้ผู้รับไม่อาจทราบได้ว่า สิ่งที่ตน ได้รับเป็นยาเสพติด ๕.๔ ใช้เพื่อลดความเจ็บปวดทางกาย อันเนื่องมาจากโรคภัยไข้เจ็บ จนเกิดการติดยา เพราะ ใช้เป็นประจ า ๕.๕ เกิดจากความคนอง และขาดสติยั้งคิด ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นยาเสพติด แต่อยากแสดง ความ เก่งกล้า อวดเพื่อน จึงชวนกันเสพจนติด ๕.๖ ภาวะสิ่งแวดล้อมรอบตัว เอื้ออ านวยที่จะส่งเสริม และผลักดันให้หันเข้าหายาเสพติด เช่น ครอบครัวแตกแยก สมาชิกในครอบครัวขาดความเข้าใจซึ่งกันและกัน ภาวะเศรษฐกิจบีบบังคับให้ท า เพื่อความอยู่รอด อยากรวยเร็ว หรือพักอาศัยอยู่ ในแหล่งที่มีการเสพและค้ายาเสพติด ๖. โทษ/พิษภัย ของยาเสพติด การใช้ยาเสพติด มีโทษและพิษภัยรอบตัว นอกจากจะส่งผลกระทบในทางไม่ดีโดยตรงต่อตัวผู้เสพ แล้ว ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ยังส่งผลกระทบทางอ้อมไปยังครอบครัวผู้เสพ ตลอดจนเศรษฐกิจ สังคม และประเทศชาติอีกด้วย บทลงโทษเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ - ผู้จ าหน่ายหรือมีเฮโรอีนไว้ในครอบครอง น้ าหนักไม่เกิน 100 กรัม จ าคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึงตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 50,000-500,000 บาท เกิน 100 กรัม ประหารชีวิตหรือจ าคุกตลอดชีวิต - มีเฮโรอีนไว้ในครอบครอง โทษจ าคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000-100,000 บาท - ผู้เสพเฮโรอีนมีโทษจ าคุกตั้งแต่ 6 เดือน - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000-100,000 บาท - มีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจ าหน่าย โทษจ าคุกตั้งแต่ 2-15 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000- 150,000 บาท - ผู้ใดเสพกัญชา จ าคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท - มีกัญชาไว้ในครอบครอง โทษจ าคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 50,000 บาท - ผลิต (ปลูก) กัญชา จ าคุกอย่างต่ า 2 ปี และปรับอย่างต่ า 20,000-150,000บาท สารระเหย สารเสพติด ผิดกฎหมาย ๗. วิธีสังเกตุอาการผู้ติดยาเสพติด จะสังเกตว่าผู้ใดใช้หรือเสพยาเสพติด ให้สังเกตจากอาการและการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกาย และจิตใจดังต่อไปนี้ ๗.๑ การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย จะสังเกตได้จาก
๗.๑.๑ สุขภาพร่างกายทรุดโทรม ซูบผอม ไม่มีแรง อ่อนเพลีย ๗.๑.๒ ริมฝีปากเขียวคล้ า แห้ง และแตก ๗.๑.๓ ร่างกายสกปรก เหงื่ อออกมาก กลิ่นตัวแรงเพราะไม่ชอบอาบน้ า ๗.๑.๔ ผิวหนังหยาบกร้าน เป็นแผลพุพอง อาจมีหนองหรือน้ าเหลือง คล้ายโรคผิวหนัง ๗.๑.๕ มีรอยกรีดด้วยของมีคม เป็นรอยแผลเป็นปรากฏที่บริเวณแขน และ/หรือ ท้องแขน ๗.๑.๖ ชอบใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว และสวมแว่นตาด าเพื่อปิดบังม่านตาที่ ขยาย ๗.๒ การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ ความประพฤติและบุคลิกภาพ สังเกตุได้จาก ๗.๒.๑ เป็นคนเจ้าอารมย์ หงุ ดหงิดง่าย เอาแต่ใจตนเอง ขาดเหตุผล ๗.๒.๒ ขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ๗.๒.๓ ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ๗.๒.๔ พูดจากร้าวร้าว แม้แต่บิดามารดา ครู อาจารย์ ของตนเอง ๗.๒.๕ ชอบแยกตัวอยู่คนเดียว ไม่เข้าหน้าผู้อื่น ท าตัวลึกลับ ๗.๒.๖ ชอบเข้าห้องน้ านาน ๆ ๗.๒.๔ ใช้เงินเปลืองผิดปกติ ทรัพย์สินในบ้านสูญหายบ่อย ๗.๒.๕ พบอุปกรณ์เกี่ยวกับยาเสพติด เช่น หลอดฉีดยา เข็มฉีดยา กระดาษตะกั่ว ๗.๒.๖ มั่วสุมกับคนที่มีพฤติกรรมเกี่ยวกับยาเสพติด ๗.๒.๗ ไม่สนใจความเป็นอยู่ของตนเอง แต่งกายสกปรก ไม่เรียบร้อย ไม่ค่อยอาบน้ า ๗.๒.๘ ชอบออกนอกบ้านเสมอ ๆ และกลับบ้านผิดเวลา ๗.๒.๙ ไม่ชอบท างาน เกียจคร้าน ชอบนอนตื่ นสาย ๗.๒.๑๐ มีอาการวิตกกังวล เศร้าซึม สีหน้าหมองคล้ า ๗.๓ การสังเกตุอาการขาดยา ดังต่อไปนี้ ๗.๓.๑ น้ ามูก น้ าตาไหล หาวบ่อย ๗.๓.๒ กระสับกระส่าย กระวนกระวาย หายใจถี่ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เบื่อ อาหาร น้ าหนักลด อาจมีอุจาระเป็นเลือด ๗.๓.๓ ขนลุก เหงื่ อออกมากผิดปกติ ๗.๓.๔ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดเสียวในกระดูก ๗.๓.๕ ม่านตาขยายโตขึ้น ตาพร่าไม่สู้แดด ๗.๓.๖ มีอาการสั่น ชัก เกร็ง ไข้ขึ้นสูง ความดันโลหิตสูง ๗.๓.๗ เป็นตะคริว ๗.๓.๘ นอนไม่หลับ ๗.๓.๙ เพ้อ คลุ้มคลั่ง อาละวาด ควบคุมตนเองไม่ได้ ๘. การตรวจพิสูจน์หาสารเสพติดในร่างกาย การตรวจหาสารเสพติดในร่างกาย แบ่งออกเป็น ๒ ขั้นตอน ๘.๑ การตรวจขั้นต้น : ราคาถูก ได้ผลเร็ว มีชุดตรวจส าเร็จรูป ความแม่นย าในการตรวจ ปานกลาง สดวกในการน าไปตรวจนอกสถานที่ ๘.๒ การตรวจขั้นยืนยัน : เป็นการตรวจที่ให้ผลแม่นย า แต่ใช้เวลาตรวจนาน ค่าใช้จ่ายสูง การป้องกันการติดยาเสพติด 1. ป้องกันตนเอง ไม่ใช้ยาโดยมิได้รับค าแนะน าจากแพทย์ และจงอย่าทดลองเสพยาเสพติดทุกชนิด โดยเด็ดขาด เพราะติดง่ายหายยาก
2. ป้องกันครอบครัว ควรสอดส่องดูแลเด็กและบุคคลในครอบครัวหรือที่อยู่รวมกัน อย่าให้เกี่ยวข้อง กับยาเสพติด ต้องคอยอบรมสั่งสอนให้รู้ถึงโทษและภัยของยา-เสพติด หากมีผู้เสพยาเสพติดในครอบครัวจง จัดการให้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลให้หาย เด็ดขาด การรักษาแต่แรกเริ่มติดยาเสพติดมีโอกาสหายได้เร็วกว่า ที่ปล่อยไว้นานๆ 3. ป้องกันเพื่อนบ้าน โดยช่วยชี้แจงให้เพื่อนบ้านเข้าใจถึงโทษและภัยของยาเสพติด โดยมิให้เพื่อนบ้าน รู้เท่าไม่ถึงการณ์ต้องถูกหลอกลวง และหากพบว่าเพื่อนบ้านติดยาเสพติด จงช่วยแนะน าให้ไปรักษาตัวที่ โรงพยาบาล 4. ป้องกันโดยให้ความร่วมมือกับทางราชการ เมื่อทราบว่าบ้านใดต าบลใด มียาเสพติดแพร่ระบาด ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ต ารวจทุกแห่งทุกท้องที่ทราบ หรือที่ศูนย์ปราบปรามยาเสพติดให้โทษ กรมต ารวจ (ศปส.ตร.) โทร. 252-7962 , 252-5932 และที่ส านักงานคณดะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพ ติด (ส านักงาน ป.ป.ส.) ส านักนายกรัฐมนตรี โทร. 245-9350-9 สถานบ าบัด 1. โรงพยาบาลต ารวจ แผนกจิตเวช กรุงเทพฯ โทร.2528111-7 2. โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า แผนกจิตเวช กรุงเทพฯ โทร.2461946 3. โรงพยาบาลธัญญารักษ์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี โทร.5310080-8 4. โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่ นเกล้า กรุงเทพฯ โทร.4681116-20 5. โรงพยาบาลทหารเรือกรุงเทพฯ โทร. 4112191 6. ศูนย์บริการสาธารณสุข กรุงเทพฯ ลุมพินี ซอยปลุกจิตต์ ถ.วิทยุ โทร.2512970 7. ศูนย์บริการสาธารณสุข กรุงเทพฯ สี่พระยา โทร.2364055 8. ส านักสงฆ์ถ้ ากระบอก จ.สระบุรี 9. ส านักสงฆ์ถ้ าเขาทะลุ จ.ราชบุรี >>> แนะน าเลยว่าอย่าไปยุ่งกับสิ่งเหล่านี้เลย <<< ยา ไอซ์(ice) น้อยคนนักที่จะได้สัมผัส..เนื่องด้วยราคาที่แพง และต้องน าเข้าจากต่างประเทศ มักจะใช้กันใน กลุ่มคนมีเงิน มีการศึกษา ในรูปแบบปาร์ตี้ยาตามสถานที่ต่างๆ ยา ไอซ์(ice) หรือ เมทแอมเฟตตามีน(Metamphetamine) เป็นอนุพันธ์หนึ่งของยาบ้ามีโครงสร้าง ทางเคมีคล้ายๆ กัน ยา ไอซ์(ice) มีลักษณะของเม็ดยาเป็นผลึกคล้ายน้ าแข็งจึงเป็นที่มาของชื่อยา ไอซ์ ความบริสุทธิ์ของ ยาค่อนข้างสูง ออกฤทธิ์แรงกว่ายาบ้ามาก จึงมีคนเรียกว่า\"หัวยาบ้า\" ยาบ้า(Amphetamine) เป็นสารกระตุ้นอย่างแรง ที่มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งมีการแสดงผลคล้ายสาร อะดรีนาลีน(adrenaline หรือ epinephrine) ซึ่งมีอยู่ในร่างกายแต่ให้ผลในการกระตุ้นยาวนานกว่าสาร อะดรีนาลินของร่างกายมาก แอมเฟตตามีน แม้จะเป็นสารที่ผิดกฏหมาย แต่ก็มีการใช้ทางการแพทย์ เนื่องจากเป็นยาที่ใช้ รักษาอาการ hyperactivity(สมาธิสั้น) ในเด็ก, โรคอ้วน และ Narcolepsy(เป็นอาการหลับอย่างกะทันหัน และก็มักจะหลับอย่างชนิดที่ฝืนลูกตาฝืนใจ), รวมถึงความผิดปกติเกี่ยวกับการหลับ แอมเฟตตามีน สามารถรับประทาน สูดดม และฉีด ชื่ออื่นของแอมเฟตตามีน ได้แก่ speed, uppers, white crosses, dexies, bennies, black beauties,crystal and crank อาการผิดปกติที่เกิดจากการเสพยาบ้า(Amphetamine) ผู้เสพจะมีอาการพูดมาก อารมณ์ดี ครื้นเครงกว่าปกติ น้ าหนักตัวลด มีเหงื่ อออกมากกว่าเดิม ได้ยินและเห็นภาพหลอน นอนไม่หลับ ใจสั่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ตื่ นเต้น กระวนกระวาย มีพฤติกรรม ก้าวร้าวและท าลาย ควบคุมสติไม่ได้ ในกรณีที่เสพเกินขนาดอาจมีอาการหัวใจเต้นผิดปกติ ความดันโลหิตสูง สับสน ชัก หรือหมดสติได้ รูปพรรณของยาบ้าที่น าไปใช้เสพ ยาบ้าจะมีลักษณะเป็นเม็ดหรือแคปซูลเหมือนยารักษาโรคทั่วไป ส่วนใหญ่จะเสพ โดยการกลืนเม็ดลงไปในกระเพาะอาหาร หรือเสพโดยการเผาไฟแล้วสูบควันซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับ ความนิยมมากที่สุดใน หมู่นักเสพวัยรุ่นไทย ส่วนรูปแบบที่มีลักษณะเป็นผงละเอียดสีขาวจะเสพ โดยวิธีสูดผงยาเข้าโพรงจมูก และรูปแบบที่เป็นสารละลายใสบรรจุในหลอดแก้วจะเสพโดยวิธีฉีดเข้าหลอด เลือดด า ระยะเวลาการออกฤทธิ์ วิธีการสูบควันหรือไอระเหย ออกฤทธิ์ทันที วิธีสูดผงยาเข้าโพรงจมูก ออกฤทธิ์ภายใน 3-5 วินาที วิธีฉีดเข้าหลอดเลือดด า \" 15-30 วินาที วิธีกิน \" 30 นาที โดยสามารถออกฤทธิ์ได้อย่างยาวนาน 8-24 ชั่วโมง ดังนั้นการเสพซ้ าหลายๆครั้งใน 1 วัน จะ ส่งผลให้ปริมาณเมทแอมเฟตามีนในเลือดสูงขึ้น อาการประสาทหลอนและคลุ้มคลั่ง จึงมักปรากฏให้เห็นใน หมู่ผู้เสพที่เสพซ้ าวันละหลายครั้งเป็นส่วนใหญ่ หัวยาบ้า(Metamphetamine) เป็นรูปแบบหนึ่งของแอมเฟตตามีน ที่มีฤทธิรุนแรงที่สุด ซึ่งครั้งหนึ่งเคยใช้อย่างกว้างขวางใน หลายประเทศ ปัจจุบันเป็นยาที่ห้ามใช้อย่างเด็ดขาด แม้ว่าจะท าได้ง่ายในครัวเรือน(homemade) จะมี ลักษณะเป็นผงสีขาวละเอียด เป็น crystal หรือ chunks สีของยาจะมีตั้งแต่ขาวถึงเหลือง เสพโดยการกิน สูดดม หรือ ฉีดเข้าเส้น เมทแอมเฟตตามีนมีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น crank, crystal, meth, speed, go-fast, go, crystalmeth, zip, chris, cristy, ice
อ้างอิง Since 2012 กลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีการนำเอาโบรไมด์ (Bromide) มาใช้เป็นยาระงับประสาทและ รักษาโรคลมชัก ซึ่งได้รับความนิยมมากพอ ๆ กับยาวาเลียม (Valium) และยาริเบรียม (Librium) ในปัจจุบัน แต่โบรไมด์สะสมในร่างกาย ทำให้เกิดอาการวิกลจริต และทำลาย สมองอย่างถาวรด้วย ในระยะใกล้เคียงกันก็มีผู้ผลิตยาบาบิทเชอริท (Barbiturate) และ ยาสงบประสาทตัวอื่น ๆ และได้รับความนิยมใช้อย่างแพร่หลายเช่นกัน โดยผู้ใช้ไม่ทราบถึง ฤทธิ์ในการเสพติดของยาเหล่านี้ ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีผู้พบโคเคนและกัญชาซึ่งมี ฤทธิ์ทำให้จิตใจสบายโคเคนพบว่ามีประโยชน์ทางการรักษาโรคด้วยโดยใช้เป็นยาชาเฉพาะที่ ดังนั้นโคเคนจึงเป็นที่นิยมใช้เป็นผลให้มีการเสพติดโคเคน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แอมเฟตามีนถูกนำมาใช้ในกองทหารญี่ปุ่น เยอรมัน อเมริกัน และอังกฤษ เพื่อให้ร่างกายมีกำลังกระฉับกระเฉงอยู่ตลอดเวลา พอหลังสงครามยาซึ่ง กองทัพญี่ปุ่นกักตุนไว้มาก็ทะลักสู่ตลาด ทำให้ประชาชนชาวญี่ปุ่นใช้ยากันมาก ในปี ค.ศ. 1955 คาดว่ามีชาวญี่ปุ่นติดแอมเฟตามีนราวร้อยละ 1 ระหว่าง ค.ศ. 1960-1970 ใน ประเทศสวีเดนมีการใช้ยา Phenmetrazine (Preludin) ซึ่งคล้ายแอมเฟตามีน ฉีดเข้า หลอดเลือดดำด้วย ในสหรัฐเมริกาพวกฮิปปี้ ซึ่งเคยนิยมใช้ แอลเอสดี (LSD) หรือ Lysergic Acid Diethylamide ก็ค่อย ๆ หันมาใช้แอมเฟตามีนฉีดเข้าหลอดเลือดดำ เช่นกัน ระหว่างปี ค.ศ. 1960-1970 ยาหลอนประสาทเริ่มถูกนำมาใช้และใช้มากหลัง ค.ศ. 1970 ผู้ เสพส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกันวัยรุ่นที่มีฐานะทางเศรษฐกิจปานกลางโดยเริ่มจาก แอลเอสดี ซึ่ง Hofmanเป็นผู้ค้นพบในปี ค.ศ. 1953 เนื่องจากแอลเอสดีทำให้เกิดอาการคล้าย วิกลจริต จึงมีนักจิตวิเคราะห์บางคนนำมาใช้เพื่อการรักษาผู้ป่วยด้วย เพราะคิดว่ายานี้จะช่วย กำจัด \"Repression\" ให้หมดไป ด้วยเหตุที่ยานี้ผลิตง่ายปัจจุบันจึงเป็นปัญหามากใน อเมริกา การเข้ามาภายในประเทศไทย เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) โดยทรงเล็งเห็นโทษของการ เสพฝิ่ น และทรงลงโทษ ระหว่างเหตุการณ์สงครามกลางเมืองอเมริกา ค.ศ. 1861-1865 เริ่มมีการนำเข็มฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังมาใช้ ทำให้มีผู้นำมอร์ฟีนมาใช้ในลักษณะยาเสพติด ต่อมา เมื่อคนรู้จักการฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ เฮโรอีนซึ่งเป็น diethylated form ของมอร์ฟีนก็ ถูกนำมาใช้แทนมอร์ฟีน[ต้องการอ้างอิง] ภาวะการเสพติด ภาวะการเสพติด (addiction) [1] คือ อาการผิดปกติอันเนื่องมาจากการทำงานบกพร่อง ของเซลล์ในสมองที่ทำให้เกิดความรู้สึกพึงพอใจ โดยภาวะการเสพติดสามารถเกิดขึ้นได้กับ บุคคลทุกคนในทุกช่วงวัยเกือบร้อยละ 60 ของผู้ประสบภาวะการเสพติดมีสาเหตุมาจากการ ถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่ผิดปกติส่วนในรายอื่น ๆ อาจเกิดจากการที่สมองในส่วนที่ทำหน้าที่ สร้างความรู้สึกพึงพอใจได้รับการกระตุ้นอย่างรุนแรงจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ยาเสพติด สาร เสพติด หรือการเสพติดพฤติกรรมเป็นระยะเวลานาน ๆ โดยผู้ตกอยู่ในภาวะการเสพติดจะไม่ สามารถมีความสุขได้จากการใช้ชีวิตแบบปกติ ซึ่งภาวะนี้คือสาเหตุที่ผู้ติดสารเสพติด หรือผู้ ติดสุราไม่สามารถควบคุมการเสพหรือการดื่ มได้จนมีอาการเสพติดเรื้อรัง ความหมายของยาเสพติดให้โทษ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 กำหนดความหมายของคำว่า ยาเสพติดให้โทษ ไว้ดังนี้ คือ สารเคมีหรือวัตถุชนิดใด ๆ ซึ่งเมื่อเสพเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะโดยวิธี รับประทาน ดม สูบ หรือด้วยวิธีการใด ๆ แล้วทำให้เกิดผลต่อร่างกายและจิตใจในลักษณะสำคัญ เช่น ผู้ที่เสพยา ต้องเพิ่มขนาดการเสพติดมากขึ้นเป็นลำดับ ผู้ที่เสพยา จะเกิดอาการถอนยา เมื่อหยุดใช้ยา หรือขาดยา ผู้ที่เสพยา จะเกิดความต้องการเสพทั้งทางร่างกายและจิตใจ อย่างรุนแรงตลอดเวลา ผู้ที่เสพยา จะมีสุขภาพร่างกายที่ทรุดโทรมลง หรือกล่าวได้ว่าเป็นยาหรือสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ที่ผู้นั้นใช้อยู่ประจำแล้วยาหรือสารนั้น ทำให้มีความผิดปกติที่ระบบประสาทกลางซึ่งจะถือว่าผู้นั้นติดยาเสพติด ถ้ามีอาการต่อไปนี้ อย่างน้อย 3 ประการคือ ผู้ป่วยจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ยาหรือสารนั้นมาไว้ แม้เป็นวิธีที่ผิด กฎหมาย เช่นลักขโมยก็จะทำ ผู้ป่วยไม่สามารถปฏิ บัติ งานตามปกติ ได้ เนื่ องจากมีอาการพิษหรืออาการขาดยาหรือสารนั้น พฤติกรรมของผู้ป่วยเปลี่ยนไป เช่น หยุดงานบ่อย หรือไม่เอาใจใส่ครอบครัว ผู้ป่วยต้องเสพยาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ (มี Tolerance) เมื่อหยุดเสพหรือลดปริมาณการเสพลงมา จะเกิดอาการขาดยาหรือสารนั้น (Withdrawal Symptom)
ระวังเป็นเหยื่ อยาเสพติด โทษพิษกับตัวเอง ส ม อ ง เ สื่ อ ม สุขภาพแย่ บุคลิกภาพไม่ดี ประสาทหลอน ผู้เขียนงาน สอนใหม่
Search
Read the Text Version
- 1 - 10
Pages: