Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore จิตวิทยา

จิตวิทยา

Published by Natchaporn Ritthaworn, 2023-06-27 03:13:51

Description: จิตวิทยา

Search

Read the Text Version

บทท่ี 1 ความรู้พนื้ ฐานเกย่ี วกบั จติ วทิ ยา ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ สลกั จิต ตรีรณโอภาส จิตวทิ ยาเป็นศาสตร์สาขาหน่ึง ที่ยงั มีขอ้ สงสยั กนั อยเู่ สมอวา่ จิตวทิ ยาคืออะไร เรียนแลว้ จะได้ อะไร และมกั ไดค้ าตอบวา่ แมเ้ รียนจิตวทิ ยาแลว้ ยงั ไม่ไดส้ ่ิงใดท่ีเป็นรูปธรรม แตค่ วามรู้ความเขา้ ใจในศาสตร์ ทางจิตวทิ ยา อาจช่วยขยายความคิดใหก้ วา้ งขวางข้ึนท้งั ท่ีเก่ียวกบั ตนเอง ผอู้ ่ืน ส่ิงแวดลอ้ มรอบตวั ซ่ึงอาจ นาไปสู่การพฒั นางาน พฒั นาทกั ษะวชิ าชีพ พฒั นาตนเอง พฒั นาผอู้ ื่น ช่วยการอยรู่ ่วมกนั ในสงั คมอยา่ งได้ ประสิทธิภาพมากข้ึน จิตวทิ ยาเป็นวชิ าในเชิงวทิ ยาศาสตร์ คือ มีการศึกษาอยา่ งมีระบบระเบียบ มีการ คน้ ควา้ ทดลอง สามารถพิสูจน์ได้ และสรุปผลต้งั เป็นทฤษฎี จิตวทิ ยาเพื่อพฒั นาตนจึงนบั วา่ เป็นการนาเอา วชิ าทางวทิ ยาศาสตร์มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจาวนั โดยอาศยั ศิลปะอนั เหมาะสมเขา้ ช่วยจิตวทิ ยาเป็น ศาสตร์ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั คนทุกประเภท ผนู้ าจิตวทิ ยาไปใชป้ ระโยชนจ์ ะตอ้ งเลือกศึกษาในสาขาท่ีเหมาะสมกบั งานและชีวติ ของตนเอง เช่น ถา้ เป็นนกั ปกครอง อาจตอ้ งเลือกเรียนจิตวทิ ยาสังคม จิตวทิ ยาการบริหาร จิตวทิ ยาการเมือง จิตวทิ ยาการปกครอง และถา้ เป็นนกั ธุรกิจ พอ่ คา้ อาจเลือกเรียนจิตวทิ ยาอุตสาหกรรม จิตวทิ ยาการขาย จิตวทิ ยาการโฆษณา จิตวทิ ยาการสื่อสาร จิตวทิ ยาการประชาสมั พนั ธ์ และจิตวทิ ยาธุรกิจ ซ่ึงแตล่ ะรายวชิ าดงั กล่าวจะวา่ ดว้ ยพฤติกรรมของบุคคลในแง่มุมท่ีตา่ งๆ กนั ตามจุดเนน้ ของรายวชิ า ถา้ เป็น ครูอาจเลือกเรียนจิตวทิ ยาการเรียนการสอน จิตวทิ ยาการพฒั นาการ และจิตวทิ ยาการศึกษา ซ่ึงในบทน้ีจะ นาเสนอเน้ือหาเก่ียวกบั ความหมายของจิตวทิ ยา ประวตั ิความเป็นมาของจิตวทิ ยา สาขาตา่ งๆของจิตวทิ ยา ความสาคญั ของจิตวทิ ยา จุดมุง่ หมายและประโยชนข์ องจิตวทิ ยา รายละเอียด ดงั น้ี ความหมายของจิตวทิ ยา การใหค้ าอธิบายความหมายของจิตวทิ ยาดงั กล่าว เป็นไปตามความเชื่อของคนในยคุ สมยั น้นั ๆ คาจากดั ความล่าสุดที่ไดร้ ับการยอมรับและจดั วา่ ทนั สมยั ไดแ้ ก่ คาจากดั ความของจอห์น บี วตั สัน (John B. Watson) บิดาแห่งจิตวทิ ยาแผนใหม่ ( Bruno 1980) โดยใหค้ าจากดั ความไวว้ า่ “จิตวทิ ยาเป็นวทิ ยาศาสตร์ท่ี ศึกษาเกี่ยวกบั พฤติกรรมของบุคคล ” ซ่ึงคาวา่ “พฤติกรรม” (behavior) น้ี อาจเป็นพฤติกรรมภายนอกหรือ พฤติกรรมภายในก็ได้ ตวั อยา่ งพฤติกรรมภายนอก เช่น การพดู การกระทา กิริยาท่าทาง ความประพฤติกรรม ฯลฯ ตวั อยา่ พฤติกรรมภายใน เช่น จิตใจ ความคิด ความรู้สึก เจตคติ คา่ นิยม ฯลฯ เป็นตน้ แต่จิตวทิ ยามกั มุง่ ศึกษาพฤติกรรมภายในมากกวา่ พฤติกรรมภายนอก เนื่องจากพฤติกรรมภายในเป็นตวั กาหนดขอบเขต พฤติกรรมภายนอก ท้งั น้ีเน่ืองจากมนุษยม์ ีการกระทาโดยสอดคลอ้ งกบั จิตหรือความคิดภายใน ดงั น้นั เมื่อจะ

ศึกษาใหเ้ ขา้ ใจพฤติกรรมหรือการกระทาของบุคคล จึงตอ้ งศึกษาจากจิตหรือความคิดภายในและเมื่อจะ พฒั นาหรือควบคุมพฤติกรรมของบุคคลกต็ อ้ งพฒั นาหรือควบคุมจิตหรือความคิดภายใน ซ่ึงจะนาไปสู่การ กระทาหรือการแสดงออกที่ถาวรของบุคคลผนู้ ้นั จิตวทิ ยา ถา้ พจิ ารณาดูตามตวั อกั ษรจะมีความหมายวา่ วชิ าที่วา่ ดว้ ยจิต คา ๆ น้ีนกั ภาษาศาสตร์ แปลมาจากภาษาองั กฤษวา่ “Psychology” ซ่ึงมีรากศพั ทม์ าจากภาษากรีก 2 คา คือคาวา่ ไซคี (Psyche) รวม กบั คาวา่ โลโกส (Logos) ไซคีในภาษากรีก แปลวา่ วญิ ญาณ โลโกส แปลวา่ การศึกษาหรือการเรียน บุคคลแรกท่ีนาคาวา่ Psychology มาใช้ คือ เมแลงตนั (Melanchton) นกั ปราชญช์ าวเยอรมนั โดยใชเ้ ป็นช่ือ หนงั สือซ่ึงเขาเขียนเกี่ยวกบั เรื่องของวญิ ญาณแตใ่ นปัจจุบนั เป็นที่ยอมรับกนั โดยทวั่ ไปวา่ จิตวทิ ยา คือ วทิ ยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกบั พฤติกรรมของมนุษยแ์ ละสัตวท์ ่ีเก่ียวขอ้ งกบั สิ่งแวดลอ้ ม ซ่ึงนกั จิตวทิ ยากไ็ ดใ้ ห้ ความสนใจแก่พฤติกรรมของสัตวเ์ ช่นเดียวกบั ท่ีไดส้ นใจพฤติกรรมมนุษย์ เพราะในการศึกษาจิตวทิ ยาบาง สาขาจาเป็นตอ้ งใชส้ ัตวเ์ ป็นเคร่ืองทดลองเพื่อจะไดน้ าผลการทดลองมาเทียบเคียงกบั การศึกษาพฤติกรรม มนุษย์ แตค่ วามหมายในทานองน้ีของจิตวทิ ยาเป็นที่ยอมรับใชก้ นั มาไม่เกินศตวรรษ คาวา่ จิตวทิ ยาน้ี ความจริงยงั มีผเู้ ขา้ ใจผดิ อยมู่ าก บางคนคิดวา่ เป็นวชิ าท่ีรู้จิตใจคนหรือเป็นวชิ า ท่ีเก่ียวกบั ไสยศาสตร์ บางคนยงั เขา้ ใจเลยเถิดไปวา่ เป็นวชิ าหมอดูทานายโชคชะตาราศีของคนทว่ั ไป ความ เขา้ ใจน้ีเกิดข้ึนเพราะในสมยั โบราณการศึกษาวชิ าน้ีหนกั ไปทางไสยศาสตร์อยไู่ ม่นอ้ ย แตก่ ารศึกษาใน ปัจจุบนั ช่วยแกค้ วามเขา้ ใจผดิ ดงั กล่าว เพราะแทจ้ ริงน้นั จิตวทิ ยาเป็นวทิ ยาศาสตร์แขนงหน่ึง และคนมกั เกิด ความเขา้ ใจผดิ วา่ จิตวทิ ยามิใช่เป็นการศึกษาถึงเรื่องราวของวทิ ยาศาสตร์ ดงั น้นั เราจะพจิ ารณาความหมาย ของวทิ ยาศาสตร์ท่ีแทจ้ ริงดงั ต่อไปน้ี ก๊ดู ( Good. 1959 ) ใหค้ วามหมายวา่ จิตวทิ ยาเป็นวชิ าท่ีศึกษาเก่ียวกบั การปรับตวั ของอินทรีย์ หรือสิ่งมีชีวติ ใหเ้ ขา้ กบั สิ่งแวดลอ้ ม ฮิลการ์ด (Hilgard .1959) ใหค้ วามหมายวา่ จิตวทิ ยา หมายถึงศาสตร์ท่ีศึกษา ถึงพฤติกรรม ของมนุษยแ์ ละสตั ว์ มอร์แกน (Morgan. 1979) กล่าววา่ จิตวทิ ยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษาถึงพฤติกรรมของคน และสัตว์ รวมท้งั การนาความรู้ดา้ นน้ีมาใชศ้ ึกษาปัญหาของมนุษยด์ ว้ ย มอร์รีส (Morris. 1990) กล่าววา่ จิตวทิ ยาเป็นศาสตร์เก่ียวกบั พฤติกรรมและกระบวนการทางจิต แอทคินสันและคณะ ( Atkinson. Et al. 1990) กล่าวถึงความหมายของ จิตวทิ ยาวา่ จิตวทิ ยาเป็น การศึกษาดว้ ยวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์เก่ียวกบั พฤติกรรมและกระบวงนการทางจิต สรุปไดว้ า่ จิตวทิ ยาใหค้ วามสาคญั กบั บทบาทหนา้ ที่ของจิตใจ ซ่ึงมีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ รวมไปถึงความรู้สึกนึกคิดและประสบการณ์รอบตวั มนุษย์ ซ่ึงเป็นการดึงกระบวนการทางจิตใจไปรวมกบั การศึกษาพฤติกรรม จิตวทิ ยาจึงเป็นการศึกษาเกี่ยวกบั พฤติกรรมและกระบวนการทางจิตใจของมนุษยใ์ น ลกั ษณะเป็นศาสตร์ที่สามารถศึกษาทดลองหรือพสิ ูจน์ได้ จิตวทิ ยาถือวา่ การกระทาทุกอยา่ งตอ้ งมีสาเหตุ เม่ือ ต้งั กฎเกณฑอ์ ะไรข้ึนมาก็จะตอ้ งพิสูจนไ์ ดว้ า่ มีแหล่งมาจากที่ใด เหตุกบั ผลจะตอ้ งสัมพนั ธ์กนั ความนึกคิด

กิริยา ทา่ ทาง และพฤติกรรมจะตอ้ งมีสาเหตุเกี่ยวเนื่องกบั สิ่งใดส่ิงหน่ึง ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั หลกั การทาง วทิ ยาศาสตร์ท่ีถือวา่ พฤติกรรมทุกอยา่ งจะตอ้ งมีสาเหตุหรือเกิดข้ึนโดยมีสมมติฐาน ประวตั คิ วามเป็ นมาของจิตวทิ ยา จิตวทิ ยาไดเ้ ร่ิมข้ึนโดยนกั ปราชญช์ าวกรีก ชื่อ เพลโต และอริสโตเติล เพลโตเช่ือวา่ การคิดและการ ใชเ้ หตุผลเทา่ น้นั ท่ีทาใหค้ นเกิดความเขา้ ใจในสิ่งที่เขาสามารถจะเขา้ ใจได้ โดยไมส่ นใจวธิ ีการสงั เกตหรือ การทดลองใด ๆ แต่อริสโตเติลกลบั เป็นนกั สังเกตสิ่งรอบตวั เขาสนใจสิ่งภายนอกที่มองเห็นได้ การเขา้ ใจ ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่เกี่ยวขอ้ งกบั คนตอ้ งเร่ิมดว้ ยการสงั เกตอยา่ งมีระบบในคริสตศ์ ตวรรษท่ี 13 ศาสนาเร่ิมเขา้ มาเกี่ยวขอ้ ง โดยแนวคิดทางศาสนาเนน้ วา่ จิตเป็นส่วนที่แยกออกจากร่างกายในคริสตศ์ ตวรรษ ท่ี 15 การฟ้ื นฟูการสืบสวนโดยวธิ ีทางวทิ ยาศาสตร์ ซ่ึงเป็นการละทิ้งความเช่ือแบบเดิม ๆ มีการคน้ หาความรู้ ใหม่ ๆ วธิ ีการกเ็ ร่ิมมีลกั ษณะท่ีเป็นวทิ ยาศาสตร์ ตน้ คริสตศ์ ตวรรษท่ี 17 ฟรานซิส เบคอน กล่าววา่ “ทฤษฎี ใหแ้ นวทาง การวจิ ยั ใหค้ าตอบ” โดยช้ีใหเ้ ห็นถึงความสาคญั ระหวา่ งทฤษฎีและการวจิ ยั กลางคริสตศ์ ตวรรษ ที่ 17 จนถึงกลางคริสตศ์ ตวรรษท่ี 19 มีกลุ่มแนวคิดที่สาคญั เกิดข้ึน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มประจกั ษน์ ิยมชาวบริเตน (British Empiricism) ที่เช่ือวา่ ความรู้ผา่ นเขา้ มาทางสื่อกลางของความรู้สึก จิตเป็นที่รวมของความคิดเห็น นกั จิตวทิ ยากลุ่มน้ีมีบทบาทสาคญั ตอ่ การเกิดจิตวทิ ยากลุ่มสัมพนั ธนิยม ( Associationistic Psychology) นกั จิตวทิ ยาอีกกลุ่มหน่ึงกลบั สนใจทางชีวภาพ เช่น ความแตกตา่ งระหวา่ งประสาทส่วนรับความรู้สึกกบั ประสาทส่วนการเคล่ือนไหว และ ลกั ษณะทางกายที่แสดงปฏิกิริยาสะทอ้ น ( reflex) นกั จิตวทิ ยากลุ่มน้ี พยายามอธิบายการกระทาของมนุษยด์ ว้ ยหลกั การทางฟิ สิกส์ คือ จิตฟิ สิกส์ ซ่ึงเป็นวธิ ีท่ีใชว้ ดั ความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งลกั ษณะทางกายภาพของส่ิงเร้ากบั ประสบการณ์รู้สึกท่ีผทู้ ี่ถูกเร้ารายงานออกมา[แก]้ การขยายตวั ทาง จิตวทิ ยาหอ้ งปฏิบตั ิการทดลองทางจิตวทิ ยาหอ้ งแรก ถูกสร้างข้ึนโดย Wilhelm Wundt ในปี ค.ศ. 1897 ท่ี เมืองไลป์ ซิก ประเทศเยอรมนี โดยมีการจดั ต้งั กลุ่มจิตวทิ ยาข้ึน คือ กลุ่มโครงสร้างนิยม ( Structuralism) การศึกษาจิตตอ้ งศึกษาส่วนยอ่ ย ๆ ที่ประกอบข้ึนมา ใชว้ ธิ ีการพ้นื ฐานทางจิตวทิ ยา คือ การสงั เกตตนเอง หรือที่เรียกวา่ การตรวจพนิ ิจจิต ( Introspection)ในปี ค.ศ. 1890 ไดม้ ีการจดั ต้งั กลุ่มจิตวทิ ยาข้ึนใหม่อีก คือ กลุ่มหนา้ ท่ีนิยม ( Functionalism) นกั จิตวทิ ยากลุ่มน้ีเห็นวา่ จิตวทิ ยาควรเป็นการศึกษาวธิ ีการที่คนเราใช้ ปรับตวั เขา้ กบั สิ่งแวดลอ้ ม ซ่ึงเป็นวธิ ีการท่ีบุคคลน้นั พอใจ และเป็นการเพ่มิ ประสิทธิภาพของบุคคลน้นั ดว้ ย นกั จิตวทิ ยากลุ่มน้ีใหค้ วามสนใจ ความรู้สานึก ( consciousness) เพราะความรู้สึกนึกเป็น เคร่ืองมือท่ีทาให้ บุคคลเลือกกระทาพฤติกรรมอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ความรู้สานึกเป็นกระบวนการท่ีตอ่ เน่ืองกนั ไมส่ ามารถแยก วเิ คราะห์เป็นส่วนยอ่ ยได้ นกั จิตวทิ ยากลุ่มน้ีสนใจศึกษาสาเหตุของพฤติกรรมมากกวา่ การศึกษาพฤติกรรมท่ี ปรากฏออกมา ใหเ้ ห็นในช่วงเวลาเดียวกนั ซิกมุนด์ ฟรอยด์ ไดเ้ สนอทฤษฎีจิตวเิ คราะห์ ( Psychoanalytic theory) โดยมีวธิ ีการศึกษา จากการสงั เกตและรวบรวมประวตั ิคนไขท้ ่ีมารับการบาบดั รักษา ฟรอยดเ์ ชื่อวา่ ความไร้สานึกมีอิทธิพลต่อการแสดงออกของพฤติกรรม และเนน้ ถึงความตอ้ งการทางเพศต้งั แตว่ ยั เด็ก

ในช่วงตน้ ศตวรรษที่ 20 จอห์น บี วตั สนั ไดก้ ่อต้งั กลุ่มพฤติกรรมนิยม ( Behavioralism) โดยเห็นวา่ การ ตรวจพนิ ิจจิตเป็นวธิ ีการท่ีไมด่ ีพอ การศึกษาจิตวทิ ยาควรจะหลีกเลี่ยงการศึกษาจากความรู้สานึก แลว้ หนั ไป ศึกษา พฤติกรรมท่ีมองเห็นได้ เพือ่ ใหส้ ามารถทานายและควบคุมพฤติกรรมของมนุษยไ์ ด้ และเนน้ ถึง ความสาคญั ของสิ่งแวดลอ้ มวา่ มี อิทธิพลต่อพฤติกรรมมากกวา่ พนั ธุกรรมอีกดว้ ยในช่วงเวลาเดียวกนั ประเทศเยอรมนีไดเ้ กิดกลุ่มจิตวทิ ยาข้ึน ไดแ้ ก่ จิตวทิ ยากลุ่มเกสตลั ท์ ( Gestalt Psychology) แนวคิดของ จิตวทิ ยากลุ่มน้ีเนน้ วา่ การทางานของจิตเป็นการทางานของส่วนรวม ดงั น้นั จึงสนใจศึกษาส่วนรวมมากกวา่ ส่วน ยอ่ ย แนวคิดน้ีเริ่มมีบทบาทข้ึนเม่ือนกั จิตวทิ ยาชาวอเมริกนั เริ่มใหค้ วามสนใจในปัญหาของการรับรู้ การคิดแกป้ ัญหาและ บุคลิกภาพ จนนาไปสู่การเกิดข้ึนของกลุ่มจิตวทิ ยาการรู้การเขา้ ใจ ( Cognitive psychology) ซ่ึงเกี่ยวขอ้ งกบั กลไกภายใน ที่มีอิทธิพลต่อการแสดงพฤติกรรมของบุคคล และต่อจากน้นั มา จิตวทิ ยากเ็ ป็นที่สนใจของบุคคลทวั่ ไปและนิสิตนกั ศึกษามาก ข้ึนเร่ือยๆ[แก]้ จิตวทิ ยาในประเทศไทยหลาย คนเชื่อวา่ จิตวทิ ยาเกิดข้ึนในโลกเม่ือ 2,500 กวา่ ปี มาแลว้ นนั่ คือ จิตวทิ ยาทางพระพุทธศาสนา นนั่ เอง สาหรับ ในประเทศไทยน้นั เพง่ิ มีหลกั ฐานปรากฏวา่ มีการสอนวชิ าจิตวทิ ยาในโรงเรียนฝึกหดั ครูปฐม ในช่วงเวลา ก่อน พ.ศ. 2473 เล็กนอ้ ย และในปี พ.ศ. 2473 กม็ ีการสอนจิตวทิ ยาเป็นวชิ าหน่ึงใน 5 วชิ า ของการสอนวชิ า ครุศาสตร์ใน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2489 กระทรวงศึกษาธิการดว้ ย ความช่วยเหลือขององคก์ ารศึกษาวทิ ยาศาสตร์และวฒั นธรรมแห่งสหประชาชาติ ( UNESCO) ไดจ้ ดั ต้งั สถาบนั ระหวา่ งชาติสาหรับการคน้ ควา้ เรื่องเด็กข้ึนในวทิ ยาลยั วชิ าการศึกษา ซ่ึงนบั วา่ เป็นจุดเริ่มตน้ ของ การศึกษาคน้ ควา้ และเผยแพร่วชิ าเก่ียวกบั จิตวทิ ยาเดก็ ต่อมามีการศึกษาท่ีกวา้ งขวางมากข้ึน ใน สถาบนั อื่นก็ ไดเ้ ปิ ดหลกั สูตรวชิ าจิตวทิ ยาในหลายสาขา ในปัจจุบนั และในอนาคต มีการคาดหวงั ไวว้ า่ จิตวทิ ยาใน ประเทศไทย จะเจริญกา้ วหนา้ ช่วยพฒั นาทรัพยากรบุคคลของชาติต่อไป สาขาต่างๆ ของจติ วทิ ยา จิตวทิ ยามีมากมายหลายสาขา แบง่ ได้ ดงั น้ี 1. จิตวทิ ยาทวั่ ไป (General Psychology) เป็นการศึกษาเกี่ยวกบั พ้ืนฐานความรู้ทวั่ ไปทางจิตวทิ ยา เก่ียวกบั ทฤษฎี และกฏเกณฑต์ า่ ง ๆ ท่ีไดจ้ ากการวเิ คราะห์ดว้ ยการทดลอง พฤติกรรมข้นั มลู ฐานต่าง ๆ ของ จิตวทิ ยาทว่ั ไปน้ี เป็นพ้นื ฐาน ของจิตวทิ ยาสาขาอื่น ๆ 2. จิตวทิ ยาการทดลอง (Experimental Psychology) ศึกษาขบวนการพ้นื ฐานเกี่ยวกบั คนและสัตว์ โดยวธิ ีทดลอง 3. จิตวทิ ยาสงั คม (Social Psychology) เป็นสาขาจิตวทิ ยาที่เนน้ การศึกษาเกี่ยวกบั บุคคลในสงั คม ซ่ึงเป็นจิตวทิ ยา ที่เก่ียวขอ้ งกบั พฤติกรรมของกลุ่มชนแต่ละกลุ่ม การติดตอ่ สังสรรคก์ นั ในชุมชน การอยู่ ร่วมกนั ทศั นคติและการแลกเปล่ียน ทศั นคติของแต่ละกลุ่ม การขดั แยง้ กนั ทางดา้ นเช้ือชาติและผวิ พรรณ ฯลฯ พร้อมท้งั หาวธิ ีการ หลกั เกณฑส์ าหรับใชค้ วบ คุมและกาหนกพฤติกรรมเหล่าน้นั

4.สรีรจิตวทิ ยา (Physiological Psychology) เป็นวชิ าจิตวทิ ยาซ่ึงเกี่ยวขอ้ งกบั สภาพทางจิตใจ การ ทางานประสาน กนั ของระบบอวยั วะตา่ ง ๆ ในร่างกาย ซ่ึงมีความสัมพนั ธ์เกี่ยวขอ้ งกบั พฤติกรรมของมนุษย์ โดยมุ่งพจิ ารณาเกี่ยวกบั สภาพ ความผดิ ปกติทางดา้ นจิตใจ 5. จิตวทิ ยาพฒั นาการ ( Development Psychology) เป็นจิตวทิ ยาท่ีเก่ียวขอ้ งกบั พฒั นาการของ มนุษย์ ศึกษาการ พฒั นาการดา้ นต่าง ๆ ของมนุษย์ ต้งั แตเ่ ริ่มปฏิสนธิ จนกระทง่ั ถึงวยั ต่าง ๆ โดยเนน้ เกี่ยวกบั เรื่องของ ความคิด สติปัญญา อารมณ์ และภาษา 6. จิตวทิ ยาเปรียบเทียบ (Comparative Psychology) เป็นจิตวทิ ยาซ่ึงวา่ ดว้ ยเรื่องความเหมือนและ ความแตกตา่ ง ในพฤติกรรมของอินทรียท์ ้งั หลาย ศึกษาเกี่ยวกบั ววิ ฒั นาการทางพฤติกรรม การเรียนรู้แบบ คลาสสิก และการรับรู้แบบใช้ เครื่องมือทดลอง ความสามารถในการแยกความแตกต่าง การเรียนรู้และการ รับรู้ เป็นตน้ 7. จิตวทิ ยาภาษาศาสตร์ ( Psycholinguistics) เป็นจิตวทิ ยาที่รวมวธิ ีทางจิตวทิ ยาและทาง ภาษาศาสตร์เขา้ ดว้ ยกนั เพอื่ ใชใ้ นการศึกษาเก่ียวกบั การแสดงออกของภาษาทางดา้ นจิตวทิ ยา ความเคยชิน ทางภาษา วธิ ีการใชภ้ าษาในทางดา้ นจิต วทิ ยาและการติดต่อสื่อสารกนั 8. จิตวทิ ยาความแตกต่างและการประเมินผลทางจิตวทิ ยา ( Differential Psychology and Psychological Test and Measurment) เป็นจิตวทิ ยาที่เกี่ยวขอ้ งกบั ทฤษฎีการทดสอบการใชส้ เกลการ วเิ คราะห์แฟคเตอร์ต่าง ๆ โดยเฉพาะทางดา้ น การศึกษา การคน้ ควา้ เก่ียวกบั การพฒั นาการของมนุษยแ์ ละ ครอบครัว การศึกษาถึงความแตกต่างของแตล่ ะบุคคลในแง่ ตา่ ง ๆ 9. จิตวทิ ยาประยกุ ต์ ( Applied Psychology) เป็นจิตวทิ ยาท่ีวา่ ดว้ ยการนาเอาหลกั จิตวทิ ยามา ประยกุ ตก์ บั วธิ ีการ ศึกษา การพฒั นาการอุตสาหกรรม ความเป็นอยใู่ นครอบครัว เป็นตน้ 10. จิตวทิ ยาอุตสาหกรรม ( Industrial Psychology) เป็นจิตวทิ ยาซ่ึงเกี่ยวขอ้ งกบั การคน้ ควา้ วธิ ี และผลซ่ึงมี ประสิทธิภาพต่อการทางาน การพฒั นาความคิดในงานท่ีตอ้ งการความชานาญสูง ผลของ ส่ิงแวดลอ้ มตอ่ งาน แรงจูงใจใน การทางาน การประเมินผลการทางาน เป็นตน้ 11. จิตวทิ ยาการศึกษา ( Educational Psychology) เป็นจิตวทิ ยาท่ีกล่าวถึงการศึกษาพฤติกรรม ตา่ ง ๆ ที่เกี่ยวขอ้ ง กบั สถานการณ์การเรียนการสอน โดยเนน้ ถึงพฤติกรรมการเรียนรู้การพฒั นา ความสามารถของผเู้ รียน ลกั ษณะธรรมชาติ ของผเู้ รียน สิ่งแวดลอ้ มท่ีมีผลต่อการเรียนรู้ ตลอดจนวธิ ีการนา ความรู้ความเขา้ ใจที่เกิดข้ึนไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการปรับปรุง การเรียนการสอนใหไ้ ดผ้ ลดี มีประสิทธิภาพ 12. จิตวทิ ยาอปกติ (Abnomal Psychology) เป็นการศึกษาถึงลกั ษณะและสาเหตุ ตลอดจนการ ป้ องกนั ความผดิ ปกติ ต่าง ๆ ทางจิตใจ ทางกาย และทางความประพฤติของมนุษย์ 13. จิตวทิ ยาคลินิก ( Clinical Psychology) เป็นการศึกษาเก่ียวกบั ความผดิ ปกติทางพฤติกรรม ของมนุษย์ ศึกษา มนุษยเ์ ป็นรายบุคคล โดยศึกษาประวตั ิโดยละเอียด หรืออาศยั วธิ ีการตา่ ง ๆ ทางจิตวทิ ยา ศึกษาสมมุติฐานของความผดิ ปกติ และวธิ ีรักษา เพ่อื ใหผ้ ไู้ มป่ กติ กลบั คืนสู่สภาพปกติ การศึกษาวธิ ีการ รักษา แบง่ เป็น 2 ประเภท คือ

1) จิตแพทย์ (Psyciatric) 2) จิตวทิ ยาการใหค้ าปรึกษา (Counseling Psychology) ความสาคญั ของจิตวทิ ยา ความสาคญั ของวชิ าจิตวทิ ยา อาจพิจารณาเป็นขอ้ ๆ ไดด้ งั น้ี 1. เพ่อื ใหน้ กั ศึกษาไดเ้ ขา้ ใจธรรมชาติของมนุษย์ ตลอดจนพฒั นาการทางร่างกาย อารมณ์ สงั คมและ เชาวป์ ัญญา 2. เพอื่ ใหน้ กั ศึกษาเขา้ ใจพฤติกรรมตา่ งๆ ของตนเองและผอู้ ื่น 3. เพอื่ ใหน้ กั ศึกษาสามารถนาความรู้ทางจิตวทิ ยาไปใชแ้ กป้ ัญหาของตนเอง 4. เพ่อื ใหน้ กั ศึกษาสามารถนาความรู้ทางจิตวทิ ยาไปใชใ้ นการปรับตวั เขา้ กบั สงั คมไดอ้ ยา่ งมี ความสุขและไมท่ าใหต้ นเองและผอู้ ื่นเดือดร้อน 5. เพ่อื ใหน้ กั ศึกษามีความตระหนกั ถึงความสาคญั ของจิตวทิ ยาและการนาจิตวทิ ยาไป และสามารถประยกุ ตใ์ ชใ้ นการดารงชีวติ การประกอบอาชีพและการทางานตา่ งๆ ไดอ้ ยา่ งเป็นสุข จุดม่งุ หมายของการศึกษาจิตวทิ ยา จุดประสงคใ์ นการศึกษาจิตวทิ ยาของนกั จิตวทิ ยามี 4 ประการ มาร์ติน (Matlin.1995) สรุปจุดประสงคข์ องการศึกษาจิตวทิ ยาไว้ ดงั น้ี 1. เพือ่ บรรยาย ลกั ษณะพ้นื ฐานของพฤติกรรมและกระบวนการทางจิต โดยใชก้ ารสงั เกตอยา่ ง เป็ นระบบ 2. เพื่ออธิบาย วา่ ทาไมพฤติกรรมและกระบวนการทางจิตจึงเกิดข้ึนได้ 3. เพอ่ื ทานาย เหตุการณ์ท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคตบนพ้ืนฐานของเหตุการณ์ท่ีผา่ นมา 4. ตอ้ งการเปล่ียนแปลง พฤติกรรมและกระบวนการทางจิตใหม้ ีลกั ษณะที่เหมาะสมยงิ่ ข้ึน ประโยชน์ของจิตวทิ ยาต่อวชิ าชีพครู การศึกษาเกี่ยวกบั จิตวทิ ยาน้นั สามารถนาไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจาวนั ไดม้ ากมาย และหลายสาขาอาชีพก็นาหลกั การทางจิตวทิ ยาไปใชใ้ นการทางาน รวมท้งั กบั ตนเองและสงั คมที่ตนอยู่ เพราะจิตวทิ ยามีสาขาต่างๆมากมาย ในที่น้ีจะกล่าวถึงประโยชน์ของจิตวทิ ยาสาหรับครู ซ่ึงจะเก่ียวขอ้ งกบั การนามาใชใ้ นการจดั การเรียนรู้ใหก้ บั ผเู้ รียน ซ่ึงมีผใู้ หข้ อ้ สรุปไว้ ดงั น้ี

การเป็นครูที่ดีน้นั จะตอ้ งเป็นดว้ ยจิตวญิ าณมีความเขา้ ใจหลกั การสอนกระบวนการสอนตาม หลกั วชิ าการแลว้ ยงั ไมพ่ อ ครูจะตอ้ งรู้เกี่ยวกบั จิตวทิ ยา เพราะครูทุกคนมีวถิ ีชีวติ อยกู่ บั คนแทบจะตลอดเวลา จึงจาเป็นจะตอ้ งรู้ชีวติ จิตใจของมนุษยว์ า่ เขาเหล่าน้นั มีความตอ้ งการอะไร ดงั มีกล่าววา่ คนเป็นครูจะตอ้ งรู้ จิตวทิ ยาเพราะวา่ จิตวทิ ยาช่วยครูได้ ซ่ึงมีนกั วชิ าการหลายท่านไดส้ รุปความสาคญั ของจิตวทิ ยาไว้ ดงั ต่อไปน้ี อารี พนั ธ์มณี ( 2534) ไดก้ ล่าวถึงประโยชน์ของจิตวทิ ยาท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั ครูและผเู้ กี่ยวขอ้ งดา้ น การศึกษา ดงั น้ี 1. ช่วยใหส้ ามารถเขา้ ใจตนเอง รู้จกั พิจารณาตนเอง ตรวจสอบตนเอง ท้งั ในดา้ นดีและ ขอ้ บกพร่อง รวมท้งั ความสนใจ ความตอ้ งการ ความสามารถ ซ่ึงจะช่วยใหผ้ สู้ อนสามารถคิด ตดั สินใจ กระทาส่ิงต่างๆไดอ้ ยา่ งเหมาะสมที่สุด 2. ช่วยใหผ้ สู้ อนเขา้ ใจทฤษฎีวธิ ีการใหมๆ่ และสามารถนาความรู้เหล่าน้นั มาจดั กิจกรรมการ เรียนการสอน ตลอดจนนาเทคนิคมาใชไ้ ดอ้ ยา่ งเหมาะสม และเกิดประโยชน์แก่ผเู้ รียนอยา่ งยง่ิ 3. ช่วยใหผ้ สู้ อนเขา้ ใจธรรมชาติ ความเจริญเติบโตของเดก็ หรือผเู้ รียน และสามารถนาความรู้มา จดั การเรียนการสอน ใหส้ อดคลอ้ งเหมาะสมกบั ธรรมชาติความตอ้ งการ ความสนใจของผเู้ รียนแตล่ ะวยั 4. ช่วยใหผ้ สู้ อนเขา้ ใจและสามารถเตรียมบทเรียน วธิ ีสอน วธิ ีการจดั กิจกรรม ตลอดจนวธิ ีวดั ประเมินผลการศึกษา ใหส้ อดคลอ้ งกบั ความเจริญเติบโตของผเู้ รียนไดถ้ ูกตอ้ งตามหลกั กการ 5. ช่วยใหผ้ สู้ อนรู้จกั วธิ ีการศึกษาผเู้ รียนเป็นรายบุคคล เพื่อจะไดห้ าทางช่วยเหลือแกป้ ัญหา และส่งเสริมพฒั นาการใหเ้ ป็นไปอยา่ งดีที่สุด 6. ช่วยใหผ้ สู้ อนมีสมั พนั ธภาพท่ีดีกบั ผเู้ รียน มีความเขา้ ใจผเู้ รียน และสามารถทางานกบั ผเู้ รียน ไดอ้ ยา่ งราบรื่น 7. ช่วยใหผ้ บู้ ริหารการศึกษาไดว้ างแผนการศึกษา จดั เตรียมหลกั สูตร อุปกรณ์การสอน และการ บริหารไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง 8. ช่วยใหผ้ เู้ รียนสามารถปรับตวั เขา้ กบั สงั คมไดเ้ ป็นอยา่ งดี เอมอร กฤษณะรังสรรค์ ( 2546) สรุปเกี่ยวกบั ความสาคญั ของการนาหลกั จิตวทิ ยามาช่วยในการ จดั การเรียนการสอน ดงั น้ี 1. ช่วยใหผ้ สู้ อนเขา้ ใจความสามารถ ความถนดั และศกั ยภาพผเู้ รียนเพ่ือจะไดจ้ ดั กิจกรรมและ ประสบการณ์การเรียนรู้ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 2. ช่วยใหผ้ สู้ อนหาวธิ ีจูงใจผเู้ รียนใหม้ ีความกระตือรือร้น อยากเรียนรู้ และสามารถบรรลุ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ตามที่วางไว้ 3. ช่วยใหผ้ สู้ อนออกแบบและมอบหมายงานใหส้ อดคลอ้ งเหมาะสมกบั ความสามารถ ความ สนใจ และรูปแบบการเรียนรู้ของผเู้ รียน

4. ช่วยใหผ้ สู้ อนสามารถจดั สภาพแวดลอ้ ม บรรยากาศในช้นั เรียน ใหเ้ หมาะสมกบั วยั และ พฒั นาการ 5. ช่วยใหผ้ สู้ อนเขา้ ใจความแตกตา่ งของความสามารถดา้ นตา่ งๆของผเู้ รียนและหาวธิ ีการ ส่งเสริมความสามารถของผเู้ รียนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 6. ช่วยใหผ้ สู้ อนออกแบบกิจกรรมในการส่งเสริมกระบวนการคิดช้นั สูง ประเภทต่างๆ ของ ผเู้ รียนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 7. ช่วยใหค้ รูมีความเขา้ ใจในพฒั นาการตามวยั ของนกั เรียน เพอ่ื ผสู้ อนจะไดจ้ ดั สภาพแวดลอ้ ม ในการเรียนและเลือกวธิ ีการไดเ้ หมาะสมกบั ระดบั พฒั นาการของผเู้ รียน 8. ช่วยใหค้ รูมีความเขา้ ใจและยอมรับในความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคลของผเู้ รียน เพอ่ื ผสู้ อนจะ ไดจ้ ดั การเรียนการสอนใหผ้ เู้ รียน ไดพ้ ฒั นาศกั ยภาพของแตล่ ะบุคคล โดยคานึงถึงความแตกต่างของผเู้ รียน 9. ช่วยใหผ้ สู้ อนหาวธิ ีการประเมินผลการเรียนรู้ของผเู้ รียนไดห้ ลากหลายรูปแบบ และตรงตาม ความสามารถของผเู้ รียน และยงั มีผสู้ รุปไว้ น่าสนใจอีกแนวคิดหน่ึง คือ สุรางค์ โคว้ ตระกลู . (2544) กล่าวไว้ ดงั ต่อไปน้ี 1. ช่วยครูใหร้ ู้จกั ลกั ษณะนิสัย (Characteristics) ของนกั เรียนท่ีครูตอ้ งสอนโดยทราบหลกั พฒั นาการท้งั ทางร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม และบุคลิกภาพเป็นส่วนรวม 2. ช่วยใหค้ รูมีความเขา้ ใจพฒั นาการทางบุคลิกภาพบางประการของนกั เรียน เช่น อตั มโนทศั น์ (Self concept) วา่ เกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งไร และเรียนรู้ถึงบทบาทของครูในการที่จะช่วยนกั เรียนใหม้ ี อตั มโนทศั น์ ท่ีดีและถูกตอ้ งไดอ้ ยา่ งไร 3. ช่วยครูใหม้ ีความเขา้ ใจในความแตกต่างระหวา่ งบุคคล เพื่อจะไดช้ ่วยนกั เรียนเป็นรายบุคคล ใหพ้ ฒั นาตามศกั ยภาพของแต่ละบุคคล 4. ช่วยใหค้ รูรู้วธิ ีจดั สภาพแวดลอ้ มของหอ้ งเรียนใหเ้ หมาะสมแก่วยั และข้นั พฒั นาการของ นกั เรียน เพ่อื จูงใจใหน้ กั เรียนมีความสนใจ และอยากจะเรียนรู้ 5. ช่วยใหค้ รูทราบถึงตวั แปรต่างๆ ที่มีอิทธิพลตอ่ การเรียนรู้ของนกั เรียน เช่นแรงจูงใจ อตั มโน ทศั น์ และการต้งั ความคาดหวงั ของครู ท่ีมีต่อนกั เรียน 6. ช่วยครูในการเตรียมการสอนวางแผนการเรียน เพื่อทาใหก้ ารสอนมีประสิทธิภาพสามารถ ช่วยใหน้ กั เรียนทุกคน เรียนรู้ตามศกั ยภาพของแต่ละบุคคล โดยคานึงหวั ขอ้ ต่อไปน้ี 6.1 ช่วยครูเลือกวตั ถุประสงคข์ องบทเรียน โดยคานึงถึงลกั ษณะนิสยั และความแตกตา่ ง ระหวา่ งบุคคลของนกั เรียนที่จะตอ้ งสอน และสามารถท่ีจะเขียนวตั ถุประสงคใ์ หน้ กั เรียนเขา้ ใจวา่ ส่ิงท่ีครู คาดหวงั ใหน้ กั เรียนรู้มีอะไรบา้ ง โดยถือวา่ วตั ถุประสงคข์ องบทเรียนคือส่ิงที่จะช่วยใหน้ กั เรียนทราบ วา่ เม่ือจบบทเรียนแลว้ นกั เรียนจะสามารถทาอะไรไดบ้ า้ ง

6.2 ช่วยครูในการเลือกหลกั การสอนและวธิ ีสอนท่ีเหมาะสม โดยคานึงถึงลกั ษณะนิสยั ของ นกั เรียนและวชิ าที่สอน และกระบวนการเรียนรู้ของนกั เรียน 6.3 ช่วยครูในการประเมินไมเ่ พียงแตเ่ ฉพาะเวลาครูไดส้ อนจนจบบทเรียนเท่า น้นั แต่ใช้ ประเมินความพร้อมของนกั เรียนก่อนสอน ในระหวา่ งท่ีทาการสอน เพื่อจะทราบวา่ นกั เรียนมี ความกา้ วหนา้ หรือมีปัญหาในการเรียนรู้อะไรบา้ ง 7. ช่วยครูใหท้ ราบหลกั การและทฤษฎีของการเรียนรู้ท่ีนกั จิตวทิ ยา ไดพ้ สิ ูจน์แลว้ วา่ ไดผ้ ลดี เช่น การเรียนรู้จากการสงั เกตหรือการเลียนแบบ (Observational learning หรือ Modeling) 8. ช่วยครูใหท้ ราบถึงหลกั การสอนและวธิ ีสอนท่ีมีประสิทธิภาพ รวมท้งั พฤติกรรมของครูท่ีมี การสอนอยา่ งมีประสิทธิภาพวา่ มีอะไรบา้ ง เช่น การใชค้ าถาม การใหแ้ รงเสริม และการทาตนเป็นตน้ แบบ 9. ช่วยครูใหท้ ราบวา่ นกั เรียนท่ีมีผลการเรียนดีไมไ่ ดเ้ ป็นเพราะ ระดบั เชาวน์ปัญญาเพยี งอยา่ ง เดียว แตม่ ีองคป์ ระกอบอื่นๆ เช่น แรงจงู ใจ (Motivation) ทศั นคติหรือ อตั มโนทศั นข์ องนกั เรียนและความ คาดหวงั ของครูที่มีต่อตวั นกั เรียน 10. ช่วยครูในการปกครองช้นั และการสร้างบรรยากาศของหอ้ งเรียน ใหเ้ อ้ือต่อการเรียนรู้และ เสริมสร้างบุคลิกภาพของนกั เรียน ครูและนกั เรียนมีความรัก และไวว้ างใจซ่ึงกนั และกนั นกั เรียน ตา่ งก็ ช่วยเหลือซ่ึงกนั และกนั ทาใหห้ อ้ งเรียนเป็นสถานที่ที่ทุกคนมีความสุขและนกั เรียนรักโรงเรียน อยากมา โรงเรียน สรุป จิตวทิ ยามีอิทธิพลในชีวติ มนุษยท์ ุก ๆ ดา้ น ต้งั แตเ่ กิดจนถึงตาย สาหรับเดก็ น้นั การจะอบรม เล้ียงดูเด็กในวยั ทารก วยั เดก็ และวยั รุ่นใหไ้ ดผ้ ลดีก็ตอ้ งอาศยั จิตวทิ ยาเขา้ ช่วย เพ่ืออบรมบ่มนิสัยใหเ้ ดก็ เป็น สมาชิกท่ีดีของสังคม เป็นพลเมืองดีของชาติสืบไป ในชีวติ ประจาวนั ของมนุษยเ์ รากต็ อ้ งมีการตอ่ สู้ดิ้นรน กบั ความตอ้ งการของตน และต่อสู้แขง่ ขนั กบั บุคคลอ่ืน ในการศึกษาวชิ าจิตวทิ ยาน้นั เป็นประโยชนแ์ ก่ผู้ ศึกษาเพอ่ื จะไดเ้ กิดความรู้ ความเขา้ ใจในพฤติกรรมของตนเองและของบุคคลอ่ืน เพื่อจะไดป้ รับปรุง พฤติกรรมของตนใหเ้ หมาะสมแก่การดาเนินชีวติ ในการประกอบอาชีพก็เช่นกนั จิตวทิ ยามีบทบาทตอ่ อาชีพทุกอาชีพ ไมว่ า่ จะเป็นไปในดา้ นการเมือง การพาณิชย์ การอุตสาหกรรม การเผยแพร่ศาสนา ก็ลว้ นแต่ มีหลกั วชิ าจิตวทิ ยาเขา้ แทรกดว้ ยกนั ท้งั น้นั ทางดา้ นสังคมท่ีลอ้ มรอบมนุษยอ์ ยู่ เช่น ประเทศ ก็เช่นกนั ใน ปัจจุบนั แทบทุกประเทศกล็ ว้ นแต่มีความกา้ วหนา้ ทางวชิ าการ มีการพฒั นาประเทศ ยง่ิ ประเทศพฒั นาและ เจริญทางวตั ถุมากเทา่ ใด สุขภาพจิตของประชาชนในประเทศจะยงิ่ เสื่อมลงเทา่ น้นั การแกป้ ัญหาดา้ น สุขภาพจิตของประชาชนก็ตอ้ งอาศยั หลกั การทางจิตวทิ ยาเขา้ ช่วย ฉะน้นั เท่าที่กล่าวมาพอสงั เขปจะเห็นไดว้ า่ จิตวทิ ยามีบทบาทต่อชีวติ มนุษยท์ ุกคนและสังคมทุกประเภท เป็นกระบวนการต่อเน่ือง เร่ิมต้งั แต่มนุษยเ์ กิด มาจนกระทงั่ ตาย ดงั น้นั ผศู้ ึกษาวชิ าน้ีควรที่จะนาเอาความรู้ท่ีไดไ้ ปประยกุ ตเ์ ขา้ กบั ชีวติ ความเป็นอยู่ ประจาวนั และการประกอบอาชีพตอ่ ไป สรุปแลว้ จิตวทิ ยาจึงมีประโยชนส์ าหรับครูเป็นอยา่ งยงิ่ โดยเฉพาะ พระราชบญั ญตั ิการศึกษาชาติ พทุ ธศกั ราช 2542 กาหนดไว้ ใหม้ ีการจดั การเรียนรู้ที่เนน้ ผเู้ รียนเป็นสาคญั

เนื่องจากการศึกษามีบทบาทสาคญั ในการช่วยใหเ้ ยาวชนพฒั นาการท้งั ทางดา้ นเชาวนป์ ัญญา และทาง บุคลิกภาพ เพ่อื ช่วยใหเ้ ยาวชนมีความสาเร็จในชีวติ ทุกประเทศจึงหาทางส่งเสริมการศึกษา ใหม้ ีคุณภาพ มี มาตรฐานความเป็นเลิศ ความรู้เก่ียวกบั จิตวทิ ยาการศึกษาจึงมีสาคญั ในการช่วยท้งั ครูและนกั การศึกษาผมู้ ี ความรับผดิ ชอบในการปรับปรุงหลกั สูตรและการเรียนการสอน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook