การพัฒนาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นและทักษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตรข์ องนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปที ี่ 3 โดยการจัดการ เรียนร้แู บบสบื เสาะหาความรบู้ ูรณาการกับเทคนคิ การรู้คิด The Development of Learning Achievement and Science process skills of grade 3 students using Inquiry Based Approach Integrated with Metacognition Technique อัมพร พลสิทธ*ิ์ สุธี พรรณหาญ** ศักด์ิ สวุ รรณฉาย*** บทคดั ยอ่ การวิจยั คร้ังนี้มีวตั ถปุ ระสงค์เพ่ือเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นของนกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษาปี ที่ 3 เทยี บกบั เกณฑร์ ้อยละ 70 หลังได้รับการจดั การเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรูบ้ รู ณาการกับเทคนิคการรคู้ ดิ และเพือ่ เปรยี บเทียบทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์กอ่ น ระหว่าง และหลังเรียนของนักเรยี นช้ัน ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 กลุ่มตัวอย่างทใี่ ชใ้ นการวิจัยครง้ั นี้ เปน็ นักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรียนรวมราษฎร์ สามคั คี อาเภอลาลกู กา จงั หวัดปทมุ ธานี ทกี่ าลังศกึ ษาอยูใ่ นภาคเรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2556 จานวน 25 คน ซ่งึ ไดม้ าโดยใชว้ ธิ กี ารสมุ่ แบบกลุม่ เครื่องมอื ที่ใช้ในการวิจยั ครง้ั นี้คือ แผนการจดั การเรียนรแู้ บบสบื เสาะหา ความรู้บรู ณาการกับเทคนิคการรู้คดิ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นวทิ ยาศาสตร์ ทีม่ คี วามเช่ือมัน่ เทา่ กับ 0.78 และแบบทดสอบวดั ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ทม่ี คี วามเชื่อมัน่ เทา่ กบั 0.86 สถิตทิ ี่ใช้ใน การวเิ คราะหข์ อ้ มูลคอื ค่ารอ้ ยละ คา่ เฉลี่ย ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน การทดสอบคา่ ทีเทยี บกับเกณฑ์ และการ ทดสอบค่าเอฟ โดยการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้า * นักศกึ ษาปริญญาโท หลักสตู รครศุ าสตร์มหาบณั ฑิต สาขาวชิ าหลกั สตู รและการสอน มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถัมภ์ ** อาจารย์ประจาคณะครุศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตรท์ ั่วไป มหาวทิ ยาลยั ราชภัฎวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ *** อาจารย์ประจาคณะครศุ าสตร์ สาขาหลักสตู รและการสอนมหาวทิ ยาลยั ราชภฎั วไลย อลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ์
วารสารสารสนเทศ ปที ี่ 15 ฉบบั ที่ 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2559 ผลการวจิ ยั พบว่า 1) นักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 3 หลังไดร้ บั การจดั การเรยี นรู้แบบสบื เสาะหาความรบู้ ูรณาการกบั เทคนิคการรคู้ ดิ มีผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นหลงั เรยี นสงู ขนึ้ เมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑร์ ้อยละ 70 อยา่ งมีนัยสาคัญ ทางสถิติที่ .05 2) นกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปที ่ี 3 ทไ่ี ดร้ ับการจัดการเรียนรแู้ บบสบื เสาะหาความรูบ้ รู ณาการกบั เทคนิคการรคู้ ิดมที กั ษะกระบวนการทางการเรยี นก่อนเรยี น ระหวา่ งเรยี น และหลงั เรียนแตกตา่ งกนั เมื่อ เปรียบเทยี บเปน็ รายคู่พบวา่ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ระหว่างเรียน สงู กว่า ก่อนเรียน และหลงั เรยี น สูงกว่า กอ่ นเรียน และ ระหวา่ งเรยี น อย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ิท่ี .05 คาสาคญั : การเรียนรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ เทคนิคการร้คู ดิ Abstract This research aimed to compare learning achievement of grade 3 students after using inquiry-based learning integrated with metacognition technique based upon seventy percentage criteria and to compare science process skills among before, in-between, and after using Inquiry-based learning of grade 3 students. The sample group was 25 grade 3 students studying in the second semester of the academic year 2013 at Ruamratchsamaki School, Amphoe Lamlukka, Changwat PathumThani. The sample group was taken by cluster random sampling method. The research instruments were lesson plans using inquiry-based learning integrated with metacognition technique, the science achievement test with reliability of 0.78 and science process skills test with reliability of 0.86. The statistical analysis of the data included percentage, mean, standard deviation, the dependent sample t-test and F-test by using repeated measure ANOVA. The findings were as follows: 1) The learning achievement of the students after using Inquiry-based learning integrated with metacognition technique was higher than the criteria of seventy percentage at .05 of statistical significance. 2) The science process skills of students using inquiry-based learning integrated with metacognition technique when compared among before, in-between, and after learning were different. When compared within each pair, it was found that the science process skills in-between learning were higher than before learning, and the science process skills after learning were higher than before and in-between learning at .05 of statistical significance. Keywords : Learning Inquiry , Metacognition Technique 103
วารสารสารสนเทศ ปที ี่ 15 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2559 ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา วิทยาศาสตรเ์ ปน็ ศาสตรท์ ีม่ คี วามสาคญั ตอ่ การพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คมของประเทศทั้งด้านการ พฒั นาวัตถุและพัฒนามนษุ ย์ (ทรงศกั ดิ์ พละศกั ดิ์ , 2546) โดยเฉพาะการพัฒนามนุษยป์ ระเทศต่าง ๆ ท่วั โลก ต่างเลง็ เห็นความสาคัญของวิทยาศาสตรใ์ นการพฒั นามนษุ ย์ใหม้ คี วามคิดและจิตใจอยา่ งวทิ ยาศาสตร์ กลา่ วคอื เปน็ คนมีเหตุผลร้จู ักค้นควา้ แสวงหาความรู้ ความจรงิ ตัดสนิ ใจโดยสามารถนาความรู้ความจรงิ ไปแกไ้ ขปญั หา พฒั นาชวี ติ อย่างคุณภาพ เป็นกาลังสาคญั ในการพฒั นาประเทศ (วมิ าน วรรณคา, 2539) วิทยาศาสตรไ์ ดพ้ ฒั นา วิธีคดิ ทงั้ ความคดิ ที่เปน็ เหตผุ ลคิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์วจิ ารณ์ มที ักษะสาคญั ในการคน้ ควา้ หาความรู้ มี ความสามารถในการแกไ้ ขปัญหาอยา่ งเปน็ ระบบ (กรมวชิ าการ, 2544) ความรู้วิทยาศาสตร์ทาให้เกิดองค์ความรู้ เกดิ ความเข้าใจปรากฏการณธ์ รรมชาติ เกดิ การพัฒนาเทคโนโลยี ทาใหม้ นุษย์ได้พัฒนาวิธีคดิ ทัง้ ความคิดเป็น เหตุ เป็นผล คิดสร้างสรรค์ และคดิ วเิ คราะห์วจิ ารณ์ ซึง่ การได้มาของความรูว้ ิทยาศาสตรต์ ้องอาศยั กระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์เพื่อทาใหเ้ กดิ ทักษะในการคน้ คว้าหาความรู้ ความสามารถในการแกป้ ญั หาอยา่ งเป็นระบบ สามารถตดั สินใจโดยใชข้ อ้ มลู หลากหลาย และประจกั ษพ์ ยานที่ตรวจสอบได้ รวมถึงมที กั ษะในการใช้เทคโนโลยี ในการสบื คน้ และจดั การ (สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี , 2546) ดังนั้นทกุ ประเทศจึงจัด ใหม้ ีการศกึ ษาวทิ ยาศาสตร์ตั้งแต่ระดบั ประถมศกึ ษาจนถงึ ระดับอุดมศึกษา เพ่ือใหเ้ กดิ ความแตกฉานทางด้าน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ไพฑูรย์ สุขศรงี าม , 2545, De Boer, 2000) สาหรบั ประเทศไทยไดต้ ระหนักถึง ความสาคัญของวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีมาช้านานจึงได้บรรจุวิชาวทิ ยาศาสตร์ไว้ในหลักสตู รการศึกษา ตลอดมาทุกระดับการศึกษา (ยภุ า ตนั ตเิ จริญ, 2531) ปจั จุบัน การจัดการเรียนการสอนวชิ าวิทยาศาสตรต์ ามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐานพทุ ธศกั ราช 2551 ไดม้ ุ่งเน้นให้การจัดการเรียนการสอนท่เี น้นให้ผูเ้ รียนได้เรยี นรู้และคน้ พบด้วยตนเองมากท่ีสุด เนน้ ความสามารถในการคิด การสอนวทิ ยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ เปน็ วิธีการสอนวธิ ีหน่งึ ท่สี ามารถพฒั นานกั เรียนให้เกิด การคดิ ได้ เพราะวิธีการสอนจะใช้คาถามเปน็ ส่วนสาคญั เมอ่ื นกั เรยี นจะตอบคาถามนกั เรยี นจะตอ้ งคิดกอ่ น โดย ครูมีหน้าที่ชีแ้ นะแนวทางและอานวยความสะดวกใหผ้ เู้ รยี นสามารถคน้ พบความรู้ด้วยตนเองโดยใช้กระบวนการ แสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ (รัตนาภรณ์ ผา่ นพเิ คราะห์ , 2544) ดังน้นั การจัดกระบวนการเรียนร้แู บบสบื เสาะหาความรเู้ ป็นการบรู ณาการทเ่ี ช่ือมโยงระหวา่ งเนือ้ หาสาระวทิ ยาศาสตร์กบั การพัฒนากระบวนการคดิ จากการจดั การศึกษาทผ่ี า่ นมาในการประเมินผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนปีการศกึ ษา 2555 ของ โรงเรยี นในกล่มุ เครอื ข่ายบรู พาพัฒน์ พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยเฉลย่ี อยูใ่ นเกณฑ์ตา่ กว่าร้อยละ 60 และจากคะแนนผลการทดสอบ NT (การประเมินคุณภาพการศกึ ษาระดบั ชาติ) ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 ปี การศกึ ษา 2555 วชิ าวิทยาศาสตรร์ ะดับประเทศ มีคะแนนเฉล่ยี 45.90 ระดับเขตพื้นท่กี ารศึกษา มคี ะแนน เฉล่ยี รอ้ ยละ 44.17 (สานกั งานเขตพืน้ ที่การศึกษาประถมศกึ ษาปทมุ ธานี เขต 2, 2555) และจากการ ประเมินผลการเรียนรขู้ องนักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 3 โรงเรียนรวมราษฎรส์ ามคั คี สังกดั สานกั งานเขตพื้นที่ การศกึ ษาประถมศกึ ษาปทมุ ธานี เขต 2 ซึ่งเป็นโรงเรียนในกลุม่ เครอื ขา่ ยบรู พาพฒั น์ พบวา่ การจดั การเรียน การสอนวิทยาศาสตร์ มีผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นเฉลีย่ ต่า คอื มคี ะแนนเฉลย่ี เพยี งร้อยละ 54.45 ซึ่งตา่ กว่า เป้าหมายของโรงเรียนท่ีกาหนดไว้คือรอ้ ยละ 70 สาเหตทุ ท่ี าให้ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นของนักเรียนตา่ นน้ั พบว่า เกดิ จากกระบวนการเรยี นรู้ วธิ กี ารสอน ครผู ู้สอนและคุณภาพการสอนของครู (ขอ้ มลู จากงานวิชาการโรงเรียน รวมราษฎร์สามคั ค,ี 2555) ซง่ึ ควรปรบั ปรงุ การจดั การเรยี นการสอนเพ่ือให้ผู้เรียนได้คิด ลงมือปฏิบัตแิ ละคน้ หา ความรดู้ ว้ ยตนเอง ในการปรับปรุงและแกไ้ ขการเรียนการสอนวชิ าวทิ ยาศาสตร์นั้น จาเปน็ ต้องอาศยั แนวคดิ 104
วารสารสารสนเทศ ปที ่ี 15 ฉบบั ที่ 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2559 ทฤษฎี และวิธกี ารตา่ งๆทเ่ี หมาะสมมาใช้กบั ผ้เู รียนเพอื่ ชว่ ยในการจัดการเรียนการสอน รูปแบบการจดั การ เรยี นรทู้ จ่ี ะทาให้ผเู้ รียนได้เรียนรดู้ ้วยตนเองในสภาพแวดลอ้ มท่ีเหมาะสมเพือ่ สร้างกระบวนการคดิ ของตนเอง และเกิดการเรียนรู้ทค่ี งทนยง่ั ยืน ซึง่ เป็นวิธกี ารทีจ่ ะชว่ ยแก้ปญั หาในการเรียนการสอนทเ่ี กดิ ขึน้ กับผ้เู รยี นให้ ประสบผลสาเรจ็ ในการเรยี นคือการสอนให้ผเู้ รียนสามารถควบคุมหรือจดั การความคิดของตนเองได้ วธิ กี าร ดงั กล่าว เรียกวา่ การรู้คิด ซง่ึ เป็นส่วนหนงึ่ ของกระบวนการพฒั นาการคิดซึ่ง เฮนสนั และเอลเลอร์ ( Henson, & Eller, 1999) ได้กลา่ วถึงความสาคัญของการร้คู ดิ ตอ่ การวางแผนหลักสตู รและการจัดกิจกรรมของครูว่า กิจกรรมการร้คู ิด เปน็ กิจกรรมทชี่ ว่ ยส่งเสริมการคดิ ที่ถือวา่ เปน็ เปา้ หมายสาคญั ของกระบวนการศกึ ษาทจี่ าเปน็ ต่อการวางแผนหลักสูตรให้เปน็ การเรียนรู้ตลอดชวี ิต ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั ที่ ฮารท์ แมน ( Hartman, 1998) กลา่ วไว้ ว่า การร้คู ิด มคี วามสาคญั อย่างย่ิงเพราะสง่ ผลต่อการแสวงหาความรู้ ความเข้าใจตอ่ สงิ่ ทเ่ี รียน ความจา และ การประยกุ ต์ใช้ กล่าวคือถ้าเดก็ มกี ารรู้คดิ สงู กจ็ ะมีความสามารถทางสตปิ ญั ญาในด้านท่ีกลา่ วมาสงู ดว้ ย เมื่อ นามาบูรณาการในแต่ละขน้ั ตอนของการสืบเสาะน่าจะสง่ ผลดตี ่อการพัฒนาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นและทกั ษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนกั เรยี น จากการจัดการเรยี นการสอนในปัจจบุ นั และแนวคิดดงั กลา่ ว ผู้วิจยั สนใจท่จี ะพฒั นาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรยี นและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรข์ องนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 3 โดยการจัดการเรยี นรู้ แบบสืบเสาะหาความร้บู รู ณาการกบั เทคนิคการรคู้ ิดเพื่อพัฒนานกั เรียนให้มผี ลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนและทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นไปตามวัตถุประสงคท์ ี่คาดหวังไว้และสามารถนาความรทู้ ีไ่ ดไ้ ปปรบั ใชใ้ หเ้ กิด ประโยชน์ในการดารงชวี ิต ท้งั ต่อตนเอง สังคม และประเทศชาตติ ่อไป วัตถุประสงคข์ องการวิจัย 1. เพือ่ เปรียบเทยี บผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนของนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 เทยี บกับเกณฑ์ร้อย ละ 70 หลงั ได้รับการจดั การเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรู้บูรณาการกบั เทคนิคการรคู้ ดิ 2. เพ่อื เปรยี บเทียบทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ของนกั เรยี นก่อนเรยี น ระหวา่ งเรียน และ หลังเรยี นแบบสืบเสาะหาความรบู้ ูรณาการกบั เทคนคิ การรคู้ ดิ วิธีดาเนินการวจิ ยั การวจิ ัยคร้งั น้ี มวี ัตถุประสงค์ เพอ่ื พฒั นาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนและทกั ษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ของนกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปที ี่ 3 โดยการจัดการเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรบู้ ูรณาการกบั เทคนิคการรู้คดิ เป็นการวจิ ยั เชงิ ทดลอง โดยผูว้ ิจัยได้ดาเนนิ การทดลองตามแบบแผนการวิจยั ดงั นี้ 1. ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ งที่ใชใ้ นการวิจยั 1.1 ประชากรท่ีใชใ้ นการวจิ ัยคร้งั น้ี คือ นกั เรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรียนในกลุ่ม เครอื ข่ายบูรพาพัฒน์ จานวน 8 โรงเรยี น นกั เรียน มจี านวน 112 คน สงั กัดสานกั งานเขตพื้นท่ีการศกึ ษา ประถมศึกษาปทมุ ธานี เขต 2 1.2 กลมุ่ ตัวอย่าง คือ นกั เรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 โรงเรียนรวมราษฎร์สามคั คีภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2556 จานวน 25 คน ซึ่งไดจ้ ากการสมุ่ แบบกลมุ่ จากโรงเรียนในกลุ่มเครือข่าย 105
วารสารสารสนเทศ ปีท่ี 15 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มิถุนายน 2559 2. เครอ่ื งมอื ทใี่ ช้ในการวจิ ัย 2.1 แผนการจัดการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ โดยการจดั การเรยี นรู้แบบสบื เสาะหาความรู้บรู ณา การกบั เทคนิคการรคู้ ดิ เร่ือง วสั ดุรอบตวั จานวน 7 แผน ใชเ้ วลาเรยี นจานวน 14 ชว่ั โมง มีคา่ ความเทยี่ งตรง โดยประเมนิ แบบมาตราส่วนประมาณคา่ 5 ระดบั คอื มากท่สี ุด มาก ปานกลาง น้อย นอ้ ยทส่ี ุด จาก ผเู้ ชยี่ วชาญ จานวน 5 ทา่ น โดยแต่ละแผนมีค่ามาตราส่วนประมาณคา่ อยู่ในระดับ มาก 2.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น โดยการจัดการเรียนร้แู บบสบื เสาะหาความรู้ บรู ณาการกบั เทคนิคการรู้คดิ เรอื่ ง วัสดุรอบตัว ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 3 แบบเลือกตอบ 4 ตัวเลอื ก จานวน 30 ขอ้ มคี า่ ความยากงา่ ย ตัง้ แต่ 0.20-0.67 มีค่าอานาจจาแนกตง้ั แต่ 0.22-0.56 และค่าความเชอ่ื มนั่ เทา่ กับ 0.78 2.3 แบบทดสอบวดั ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ โดยการจดั การเรียนรู้แบบสบื เสาะหา ความร้บู รู ณาการกับเทคนคิ การรคู้ ดิ เร่อื ง วสั ดรุ อบตัว ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 3 แบบเลอื กตอบ 4 ตวั เลือก จานวน 30 ข้อ มคี า่ ความยากงา่ ย ตง้ั แต่ 0.27–0.73 มีค่าอานาจจาแนกตง้ั แต่ 0.21–0.61 และคา่ ความเชื่อม่ัน เท่ากับ 0.86 3. วิธีการดาเนนิ การทดลอง 3.1 ขน้ั เตรยี ม ผวู้ ิจัยเตรียมนกั เรียนโดยให้ความรพู้ ้ืนฐานเกี่ยวกบั การเรยี นแบบสืบเสาะหา ความรบู้ รู ณาการกับเทคนคิ การรู้คดิ กาหนดบทบาทและหน้าที่ และลกั ษณะการเรยี นของนักเรียน ทา ความคนุ้ เคยกบั นกั เรียนลว่ งหน้าก่อนดาเนนิ การทดลอง 1 สปั ดาหแ์ ละจดั หอ้ งเรยี น 3.2 ขัน้ ดาเนนิ การทดลอง 3.2.1 ทดสอบก่อนเรยี น โดยใชแ้ บบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรท์ ่ี ผ้วู ิจยั สร้างขึน้ เป็นแบบทดสอบปรนยั ชนิดเลอื กตอบ 4 ตวั เลอื ก ใชเ้ วลาในการทดสอบวัดทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ 1 ช่วั โมง โดยไม่รวมเวลาทดสอบในแผนการจดั การเรียนรู้ 3.2.2 ดาเนินการจดั การเรยี นรู้ โดยผ้วู ิจยั เปน็ ผสู้ อน จัดการเรยี นรแู้ บบสืบเสาะหา ความรบู้ ูรณาการกบั เทคนิคการร้คู ดิ ตามแผนการจดั การเรียนรู้ทผ่ี า่ นการตรวจจากผู้เชยี่ วชาญแลว้ สามารถ นามาใชใ้ นการวจิ ยั ได้ การจัดการเรียนรตู้ ามแผนการจดั กรเรยี นรู้ จานวน 7แผน ใช้เวลา 14 ชวั่ โมง 3.2.3 เมอ่ื สนิ้ สดุ การจัดการเรยี นรู้ตามกาหนดแล้ว ทาการทดสอบหลงั เรียน กับ นกั เรยี น โดยใชแ้ บบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรียนวิทยาศาสตร์ และทดสอบทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ ทผี่ ่านการตรวจจากผู้เช่ียวชาญแลว้ สามารถนามาใช้ในการวจิ ัยได้ 3.2.4 ตรวจและนาผลคะแนนจากแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน วทิ ยาศาสตรแ์ ละแบบทดสอบวดั ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ท่ีไดไ้ ปวเิ คราะห์ โดยใชว้ ธิ กี ารทางสถติ ิ เพ่อื ทดสอบสมมตฐิ าน สมมตฐิ านของการวิจยั 1. นกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 3 เรียนแบบสืบเสาะหาความรู้บรู ณาการกับเทคนิคการรูค้ ดิ มี ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนหลังเรยี นสงู กว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 2. นักเรียนช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 ทีเ่ รยี นแบบสบื เสาะหาความร้บู ูรณาการกบั เทคนิคการร้คู ดิ มี ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ระหวา่ งเรียน และหลงั เรยี นสูงกว่าก่อนเรียน 106
วารสารสารสนเทศ ปที ี่ 15 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2559 ผลการวิจัย การวิจัยในครง้ั น้เี ปน็ การพัฒนาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนและทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ของนักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 3 โดยการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความร้บู รู ณาการกับเทคนคิ การรู้คิด ซง่ึ สรปุ ผลการวิจัยได้ดงั น้ี 1. ผลการวเิ คราะห์ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนของนักเรียนช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 หลงั ไดร้ บั การจดั การ เรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรบู้ ูรณาการกบั เทคนิคการรคู้ ดิ โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรียน เปรยี บเทียบกบั เกณฑ์ รอ้ ยละ 70 ได้ผลดงั ตารางที่ 1 การทดสอบ N คะแนนเต็ม เกณฑ์ร้อยละ 70 X S.D. t p หลงั เรยี น 30 30 21 26.32 2.56 10.386 .000 จากตารางท่ี 1 พบวา่ ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนของนักเรยี นช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 3 หลังไดร้ ับการจดั การ เรียนรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้บรู ณาการกับเทคนคิ การรู้คดิ โดยใช้แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน เปรยี บเทยี บกับเกณฑ์รอ้ ยละ 70 ผลปรากฏวา่ นักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 3 มผี ลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นหลงั เรยี นสงู ข้นึ เทยี บกับเกณฑ์รอ้ ยละ 70 อย่างมีนยั สาคญั ทางสถติ ิที่ .05 2. ผลการเปรยี บเทยี บทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ก่อนเรยี น ระหว่างเรยี น และหลังเรยี น ของนกั เรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 ทีไ่ ดร้ บั การจัดการเรียนรแู้ บบสืบเสาะหาความรูบ้ รู ณาการกบั เทคนิคการรู้ คิด โดยใชแ้ บบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ขนั้ พื้นฐาน แสดงในตารางท่ี 2 และ 3 ตารางที่ 2 แสดงผลการเปรียบเทียบทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ของนักเรยี นช้ัน ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 ก่อน ระหวา่ ง และหลัง จากได้รบั การจดั การเรยี นรูแ้ บบสบื เสาะหาความรบู้ รู ณาการกับ เทคนคิ การรคู้ ดิ ทกั ษะกระบวนการ ก่อน ระหว่างเรยี น หลงั เรียน ค่า P เรียน ครง้ั ที่ 1 2345 6 N 25 25 25 25 25 25 ร้อยละของคะแนน 55.47 80.00 83.20 83.60 84.00 85.34 X 16.64 24.00 24.96 25.08 25.20 25.60 S.D. 3.89 2.60 2.56 2.43 2.45 3.11 F 144.853 .000 จากตารางที่ 2 พบวา่ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข์ ้ันพ้ืนฐาน ของนักเรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 หลงั ไดร้ บั การจดั การเรียนรูแ้ บบสืบเสาะหาความรูบ้ รู ณาการกบั เทคนิคการรู้คิดเปรยี บเทยี บก่อนเรยี น 107
วารสารสารสนเทศ ปที ่ี 15 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2559 ระหว่างเรยี น และหลงั เรยี น เมื่อทดสอบคา่ F ได้วา่ แตกต่างอยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .05 แสดงวา่ กอ่ นเรยี น ระหว่างเรยี น และหลังเรยี น แตกต่างกนั โดยที่ ครัง้ ท่ี 2,3,4,5,6 สูงกวา่ ก่อนเรยี น ตารางท่ี 3 การเปรียบเทียบความแตกตา่ งคะแนนเฉลีย่ ของ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ก่อน เรยี น ระหวา่ งเรียน และหลังเรยี น โดยการจัดการเรยี นรแู้ บบสืบเสาะหาความร้บู รู ณาการกับเทคนคิ การรู้คดิ ในแตล่ ะคร้ังเป็นรายคู่ ครง้ั ทีข่ องการ ค่า กอ่ นเรยี น ระหวา่ งเรียน ระหวา่ งเรยี น ระหวา่ งเรยี น ระหวา่ งเรียน หลงั เรียน ทดสอบ เฉล่ีย ครง้ั ที่ 1 ครง้ั ที่ 2 ครั้งที่ 3 ครงั้ ที่ 4 25.20 16.64 24.00 24.96 25.08 25.60 ก่อนเรียน 16.64 - -7.360* -8.320* -8.440* -8.560* -8.960* 24.00 7.360* - -0.960* -1.080* -1.200* -1.600* ระหว่างเรียน ครั้งท่ี 1 ระหว่างเรียน 24.96 8.320* 0.960* - -0.120 -0.240 -.640 ครั้งที่ 2 ระหวา่ งเรียน 25.08 8.440* 1.080* 0.120 - -0.120 -0.520 ครั้งท่ี 3 ระหว่างเรียน 25.20 8.560* 1.200* 0.240 0.120 - -0.400 ครั้งที่ 4 หลังเรยี น 25.60 8.960* 1.600* 0.640 0.520 0.400 - * มีนัยสาคัญทางสถิตทิ ่รี ะดับ .05 จากตารางที่ 3 พบความแตกตา่ งเปน็ รายคูข่ องทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ โดยการจดั การ เรยี นร้แู บบสืบเสาะหาความรบู้ รู ณาการกับเทคนคิ การรู้คดิ สาหรับนกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 3 ดังน้ี ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข์ องนักเรียนก่อนเรยี น มคี วามแตกต่างกับทักษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตรร์ ะหวา่ งเรยี นครงั้ ที่ 1 ระหว่างเรียนท่ีครง้ั ท่ี 2 ระหวา่ งเรยี นครงั้ ท่ี 3 ระหว่างเรียนครั้งท่ี 4 และหลัง เรยี นอยา่ งมีนยั สาคัญทางสถติ ิท่รี ะดับ .05 ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรข์ องนักเรียนระหว่างเรยี นคร้ังท่ี 1 มคี วามแตกต่างกบั ทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ระหวา่ งเรียนครั้งท่ี 2 ระหว่างเรียนครัง้ ท่ี 3 ระหวา่ งเรียนคร้ังท่ี 4 และหลังเรียน อยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดบั .05 108
วารสารสารสนเทศ ปีที่ 15 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มิถุนายน 2559 อภิปรายผล จากผลการวิจัย เรื่อง การพฒั นาผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรยี นรแู้ บบสืบเสาะหาความร้บู รู ณาการกับเทคนิคการรูค้ ดิ ผลการวิจัยสามารถอภิปรายได้ดงั นี้ 1. เปรยี บเทียบผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นของนักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 3 เทยี บกบั เกณฑร์ อ้ ยละ 70 หลังได้รบั การจดั การเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรบู้ รู ณาการกับเทคนคิ การร้คู ดิ จากการ วิจัยเพอื่ เปรียบเทียบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนของนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษา ปีที่ 3 หลังเรยี นโดยใชแ้ บบทดสอบวดั ผล สัมฤทธทิ์ างการเรยี นเปรียบเทียบกบั เกณฑร์ อ้ ยละ 70 พบวา่ ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นของนกั เรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 หลงั เรียนสงู ข้ึนเมอ่ื เปรียบเทยี บกบั เกณฑ์ ร้อยละ 70 อยา่ งมนี ยั สาคัญทางสถติ ทิ ี่ . 05 เพราะวา่ วธิ กี ารจดั การเรียนรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้บรู ณาการกบั เทคนิคการรู้คดิ เรอ่ื ง วสั ดรุ อบตวั ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 3 เป็นแบบการจดั การเรยี นรทู้ ีท่ าใหน้ ักเรียนไดส้ ืบเสาะหาความรู้ดว้ ยตนเองโดยใช้ เทคนคิ การรคู้ ดิ ใหน้ กั เรยี นไดฝ้ ึกการวางแผน การควบคุมและตรวจสอบ และการประเมนิ สง่ิ ทีต่ นเองรู้ (ทิศนา แขมมณี ,2544) เมื่อบรู ณาการเข้ากับการจัดการเรยี นรแู้ บบสืบแสะหาความรูใ้ นแตล่ ะขัน้ ของการเรียนมผี ลทา ใหน้ ักเรยี นเกิดกระบวนการใชค้ วามรคู้ วามคดิ เป็นลาดบั ข้นั ตอน ความรทู้ ่เี กดิ ขนึ้ มีความคงทนเพราะไดฝ้ ึก ปฏบิ ัตใิ นการเรียนรู้ จงึ ทาให้ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นของนักเรยี นสูงขน้ึ เม่อื เทยี บกับเกณฑร์ ้อยละ 70 ซึง่ สอดคล้องกับผลการวิจัยของ เบญจมาศ เกตุแก้ว ( 2548) ได้ทาการวิจยั เพอื่ ศกึ ษา การพัฒนาความคิดขน้ั สูง และผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนวชิ าฟสิ กิ ส์ของนักเรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 โดยใช้กระบวนการเรยี นร้แู บบสืบ เสาะหาความรู้จากงานวิจัยพบวา่ 1) ผลสัมฤทธิด์ า้ นทกั ษะการคิดขั้นสงู ในรายวชิ าฟิสกิ ส์เร่อื งแสงและนักเรียน ผา่ นเกณฑ์ทกี่ าหนดคอื รอ้ ยละ 70 อยรู่ อ้ ยละ 74.29 ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนมีนกั เรียน ผา่ นเกณฑร์ อ้ ยละ 70 อยู่ 74.29 ของคะแนนเตม็ ซ่ึงสอดคล้องกับผลการวิจยั ของ สมบัติ อปั มระกา ( 2552) ไดศ้ ึกษาผลการเรยี น สง่ิ แวดลอ้ มศกึ ษาตามรปู แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขน้ั โดยใช้เทคนิคการรคู้ ิดและตามคมู่ ือครูท่ีมีต่อผลสมั ฤทธิ์ ทางการเรียนทกั ษะกระบวน การทางวทิ ยาศาสตร์ขน้ั พน้ื ฐาน และการคดิ เชงิ วพิ ากษว์ จิ ารณ์ของนักเรยี นช้ัน มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 พบวา่ นักเรียนโดยสว่ นรวม นักเรยี นชายและนักเรียนหญงิ ท่ีเรียนตามรปู แบบวัฏจกั รการ เรยี นรู้ 5 ขน้ั โดยใช้เทคนิคการร้คู ิดและตามคูม่ อื ครู มีคะแนนเฉลย่ี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะกระบวน การทางวิทยาศาสตร์ขนั้ พ้ืนฐานโดยรวมและเป็นรายด้าน 4-5 ดา้ น และการคดิ เชงิ วพิ ากษว์ ิจารณโ์ ดยรวมและ เป็นรายดา้ น 4-5 ด้าน เพ่ิมขึน้ จากกอ่ นเรียนอย่างมีนัยสาคญั ทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .05 2. เปรียบเทยี บทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ก่อน ระหว่าง และหลังเรยี นของนักเรียนช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 ก่อน ระหวา่ ง และหลงั ไดร้ บั การจดั การเรียนรูแ้ บบสืบเสาะหาความรบู้ ูรณาการกับเทคนิค การรู้คดิ จากการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้บูรณาการกับเทคนิคการรคู้ ิด นอกจากจะทาให้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของนกั เรยี นสงู แล้วยงั พบว่า ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ของนกั เรียนชั้น ประถมศึกษาปที ่ี 3 เม่ือเปรยี บเทยี บระหว่าง ก่อนเรยี น ระหว่างเรยี น และหลงั เรียนจากการจดั การเรียนรแู้ บบ สืบเสาะหาความรบู้ ูรณาการกบั เทคนคิ การรคู้ ดิ มีการพฒั นาสงู ข้ึน โดยทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หลังเรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรียน และระหวา่ งเรียน เพราะ วา่ การจดั การเรยี นรู้แบบสบื เสาะหาความรบู้ รู ณาการกับ เทคนคิ การรคู้ ดิ เปน็ การจัดการเรียนรทู้ ีน่ ักเรยี นไดว้ างแผน ควบคุมและตรวจสอบ และประเมินดารเรยี นรขู้ อง ตนเองวา่ จะใช้วิธีการสบื เสาะอย่างไรและจะให้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ใดในแต่ละขนั้ ของการ 109
วารสารสารสนเทศ ปที ่ี 15 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2559 จดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ทาใหน้ ักเรียนมที กั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรห์ ลังได้รบั การจดั การ เรยี นร้แู บบสืบเสาะหาความรบู้ รู ณาการกบั เทคนคิ การร้คู ดิ สงู ข้ึนกวา่ ระหวา่ งและกอ่ นเรยี น ซงึ่ สอดคล้องกบั ผล การ วจิ ัยของ วนิ จิ ฉยั ไชยขันธ์ ( 2550) ที่ได้ทาการวจิ ัย เพือ่ พฒั นาการใชย้ ุทธศาสตร์เมตาคอกนิชนั ในการ พัฒนาทกั ษะการเรียนรวู้ ชิ าเคมีของนกั เรียนช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยมวี ัตถปุ ระสงค์เพื่อศกึ ษาผลการจัดการ เรยี นรู้โดยใช้ยทุ ธศาสตร์เมตาคอกนิชันและเพอ่ื พฒั นาทักษะการเรยี นรู้วชิ าเคมีของนกั เรียน โดยใชย้ ทุ ธศาสตร์ เมตาคอกนชิ ัน พบวา่ 1) นกั เรียนสามารถใชย้ ุทธศาสตร์เมตาคอกนชิ นั ในการเรียนรใู้ นข้ันตอนการวางแผนการ กากับและการประเมนิ ได้ 2) นกั เรยี นมีผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนวชิ าเคมีสูงกว่าเกณฑท์ ่ีกาหนดไว้ คือรอ้ ยละ 70 ของคะแนนเตม็ จานวน 4 คน 3) จากการวัดทกั ษะการเรียนรขู้ องนักเรยี นคะแนนทักษะการแกโ้ จทยป์ ญั หาวิชา เคมขี องนกั เรียนต่ากวา่ เกณฑท์ ก่ี าหนดไวท้ ุกคนคะแนนทักษะการอ่านวิชาเคมีของนักเรยี นสงู กวา่ เกณฑท์ ่ี กาหนดไวจ้ านวน 8 คนคดิ เป็นรอ้ ยละ 34.78 สอดคลอ้ งกับผลการวจิ ยั ของ ภัทราภรณ์ สทิ ธิศร ( 2550) ได้ ศึกษาการเปรยี บเทยี บผลการเรยี นแบบวัฏจกั รการเรียนรู้ 5 ข้นั โดยใช้เทคนิคการรู้คดิ และการสบื เสาะ แบบสสวท. ทมี่ ีตอ่ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข์ ัน้ พน้ื ฐานและการคิดอยา่ งมีเหตผุ ลของนกั เรยี นช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการศกึ ษาพบวา่ นกั เรยี นโดยส่วนรวมและจาแนกตามเพศท่เี รียนแบบแบบวฏั จกั รการ เรียนรู้ 5 ขัน้ โดยใชเ้ ทคนิคการรคู้ ิดโดยนักเรียนโดยสว่ นรวมและนกั เรียนเพศหญงิ มีคะแนนเฉลี่ยทักษะ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข์ ้นั พ้นื ฐานโดยรวมและเปน็ รายด้านท้งั 8 ดา้ นและนักเรียนชายมี 2 ดา้ นคอื ดา้ น การหาความสัมพนั ธร์ ะหว่างมติ กิ ับเวลาและด้านการพยากรณเ์ พม่ิ ขนึ้ จากก่อนเรยี นอย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติที่ ระดับ .05 สอดคลอ้ งกบั ผลการวจิ ัยของ ฉันชยั จันทะเสน ( 2550) ไดศ้ ึกษาเปรยี บเทียบผลของการเรียน แบบวฏั จกั รการเรียนรู้ 5 ขน้ั โดยใช้เทคนิคการรู้คิดและการเรยี นสืบเสาะแบบสสวท. ที่มตี อ่ ทกั ษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ข้นั พืน้ ฐานและการคดิ วิพากษ์ วจิ ารณ์ของนักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 พบว่านักเรยี นโดย ส่วนรวมและจาแนกตามเพศมีทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ขน้ั พน้ื ฐานโดยรวมและเป็นรายด้าน 2-3 ดา้ นและการคิดวพิ ากษ์ วจิ ารณเ์ ปน็ รายดา้ น1-2 ด้านหลงั เรยี นเพมิ่ ขนึ้ จากก่อนเรยี นอยา่ งมนี ยั สาคัญทางสถิติท่ี ระดับ.05 และสอดคลอ้ งกับผลการวิจัยของ อรัญญา ปวงปะชัน ( 2550) ไดศ้ ึกษาการเปรยี บเทียบผลการเรียน แบบวฏั จกั รการเรยี นรู้ 5 ข้ัน โดยใชเ้ ทคนิคการรูค้ ิดและการสบื เสาะแบบสสวท. ทม่ี ตี ่อทักษะกระบวน การทาง วิทยาศาสตร์ขั้นพ้ืนฐานและการคดิ วพิ ากษ์วจิ ารณข์ องนักเรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 ผลการศึกษาพบว่า นกั เรยี นโดยสว่ นรวมและจาแนกตามเพศทเี่ รียนแบบแบบวฏั จักรการเรียนรู้ 5 ข้ัน โดยใช้เทคนคิ การรคู้ ดิ ที่ เรียนแบบวฏั จักรการเรียนรู้ 5 ขัน้ โดยใชเ้ ทคนิคการร้คู ดิ มที กั ษะกระบวน การทางวทิ ยาศาสตร์ขนั้ พืน้ ฐาน โดยรวมและเปน็ รายดา้ นท้งั 8 ดา้ น เพม่ิ ขึน้ จากกอ่ นเรียนอย่างมีนัยสาคญั ทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .05 จากเหตผุ ลทก่ี ลา่ วมา นกั เรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 3 ทไ่ี ด้รับการจัดการเรยี นรู้แบบสืบเสาะหา ความรูบ้ ูรณาการกับเทคนคิ การรคู้ ิด ในวชิ าวทิ ยาศาสตรส์ ่งผลใหผ้ ลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นและทกั ษะ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข์ องนักเรียนสูงข้ึน 110
วารสารสารสนเทศ ปที ี่ 15 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มิถนุ ายน 2559 ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะทั่วไป 1.1 ควรมีการศกึ ษาเก่ยี วกับความพรอ้ มของผูเ้ รยี นก่อนการนาการจัดการเรยี นรแู้ บบสบื แสะ หาความรบู้ ูรณาการกบั เทคนิคการรคู้ ดิ 1.2 ในการการจดั การเรยี นครูควรใช้คาถามกระตุน้ ใหน้ ักเรียนเกิดการคิดใหม้ ากทสี่ ดุ 1.3 ควรมีการสง่ เสรมิ ให้นักเรียนได้ทาการอภปิ รายและสรุปเน้อื หาในบทเรยี นอย่างสม่าเสมอ 1.4 ในการจัดการเรยี นการสอนแบบสืบเสาะหาความรบู้ ูรณาการกบั เทคนิคการรคู้ ดิ ครูต้อง เตรยี มการหรือจดั บรรยากาศการเรียนให้ดีและเหมาะกบั กิจกรรมแต่ละครง้ั ของนักเรียนจะได้เปน็ การกระตุน้ ให้นักเรียนอยากเรยี นรแู้ ละค้นคว้า 2. ขอ้ เสนอแนะเพ่ือการวจิ ยั 2.1 ควรนาการจัดการเรียนเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความร้บู ูรณาการกับเทคนิคการรู้คิดไป พฒั นาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นในเนอื้ หาสาระอนื่ และในรายวชิ าอนื่ เช่น วิชาคณติ ศาสตร์ วิชาภาษาไทย วิชา สังคมศกึ ษา 2.2 ควรศกึ ษาผลการจัดการเรยี นเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้บรู ณาการกับเทคนิคการรู้คิด ดว้ ยตวั แปรอน่ื ๆเชน่ การทาโครงงานวิทยาศาสตร์ การมีจติ วิทยาศาสตร์ ความสามารถในการคดิ วิเคราะห์ ความสามารถในการคดิ สรา้ งสรรค์ ความสามารถในการคิดอยา่ งมวี จิ ารณญาณ 111
วารสารสารสนเทศ ปีท่ี 15 ฉบบั ที่ 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2559 บรรณานุกรม กรมวชิ าการ. (2544). คมู่ ือการจัดการเรียนร้กู ลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์. กรุงเทพฯ: โรงพิมพอ์ งค์การ รับสง่ สนิ ค้าและพสั ดุภณั ฑ์. ฉันชัย จนั ทะเสน. (2550). การเปรียบเทยี บผลของการเรยี นแบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ข้ันโดยใช้เทคนคิ การรู คดิ กบั การเรยี นสบื เสาะแบบ สสวท. ที่มตี ่อทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรข์ ้นั พ้ืนฐานและการคดิ วพิ ากษว์ จิ ารณข์ องนกั เรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3. วทิ ยานพิ นธ์การศกึ ษามหาบณั ฑิต สาขาวชิ า วทิ ยาศาสตร์ศกึ ษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. เบญจมาศ เกตแุ กว้ . (2548). การพฒั นาทักษะการคิดขัน้ สูงและผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นวิชาฟิสกิ ส์ของ นักเรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 โดยใชก้ ระบวนการเรียนรู้แบบสบื เสาะหาความรู้. วทิ ยานิพนธป์ รญิ ญา ศึกษาศาสตร์มหาบัณฑติ สาขาวิชาหลกั สูตรและการสอน มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ . ทรงศกั ด์ิ พละศักดิ์. (2546). ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขน้ั พ้ืนฐานของนกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ในโรงเรียนเทศบาลและโรงเรียนสงั กดั คณะกรรมการการศึกษาจังหวดั ในจงั หวัดกาฬสินธ์ุ. การศึกษาค้นควา้ อิสระการศกึ ษามหาบณั ฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตรศ์ ึกษา มหาวิทยาลัย มหาสารคาม. ภทั ราภรณ์ สิทธศิ ร. (2550). การเปรยี บเทยี บผลของการเรียนแบบวฏั จกั รการเรียนรู้ 5 ข้ันโดยใชเ้ ทคนิคการ รู้คดิ และการสบื เสาะแบบ สสวท. ที่มตี อ่ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข์ ้ันพืน้ ฐานและการคิดเชงิ เหตผุ ล ของนักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1. วิทยานิพนธ์ปรญิ ญาการศึกษามหาบณั ฑิต สาขาวิชา วทิ ยาศาสตรศ์ ึกษา มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. ยุภา ตันติเจริญ. (2531). การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์ในระดับประถมศึกษาและมัธยมศกึ ษาในชนบท. วารสารคณะกรรมการแหง่ ชาตวิ ่าด้วยการศึกษาสหประชาชาติ, 20(3), 401. รตั นาภรณ์ ผา่ นพิเคราะห์. (2544). การพัฒนาทักษะการคิด ทักษะกระบวนการวทิ ยาศาสตร์ และผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรยี นวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใชร้ ปู แบบการสอนเพ่อื พฒั นาทกั ษะ การคดิ ดว้ ยกระบวนการวทิ ยาศาสตร์. วทิ ยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาการ ประถมศกึ ษา มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ . วินิจฉัย ไชยขันธ์. (2550). การใช้ยทุ ธศาสตรเ์ มตาคอกนชิ ันในการพฒั นาทกั ษะการเรยี นรู้วิชาเคมขี อง นกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5. วิทยานพิ นธ์ปรญิ ญาศกึ ษาศาสตรม์ หาบัณฑติ สาขาวชิ าวิทยาศาสตร์ ศึกษา มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ . วมิ าน วรรณคา. (2539). ความต้องการเพ่ิมประสิทธกิ ารสอนของครวู ทิ ยาศาสตร์ ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น สังกัดกรมสามญั ศึกษา ในเขตการศึกษา 11. นครราชสีมา: สานกั พัฒนาการศึกษา ศาสนาและ วฒั นธรรม เขตการศึกษา 11. สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2546). ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และคาถาม ท่นี าไปสทู่ กั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ครุ สุ ภาลาดพร้าว. สมบตั ิ อปั มระกา. ( 2552). ผลการเรยี นสิง่ แวดล้อมศกึ ษาตามรปู แบบวัฏจกั รการเรยี นรู้ 5 ขนั้ โดยใชเ้ ทคนิค การคดิ และตามคมู่ อื ครูที่มีตอ่ ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น ทกั ษะกระบวนการทางทยาศาสตร์ข้ันบรู ณา การและการคิดเชิงวพิ ากษว์ ิจารณ์ ของนักเรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3. วิทยานิพนธป์ ริญญา ดษุ ฎีนพิ นธ์ ปรัชญาสาขาวิชาส่งิ แวดล้อม ศึกษามหาวิทยาลยั มหาวิทยาลยั มหาสารคาม. 112
วารสารสารสนเทศ ปีที่ 15 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มิถนุ ายน 2559 อรญั ญา ปวงปะชัน. (2550). การเปรียบเทียบผลของการเรียนแบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ข้นั โดยใช้เทคนคิ การรู้คิด และการเรียนสืบเสาะแบบ สสวท. ที่มีตอ่ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ขน้ั พื้นฐาน และการคิดวพิ ากษว์ ิจารณ์ของนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 1 . วทิ ยานพิ นธ์ปริญญาการศึกษา มหาบัณฑติ สาขาวิชาวทิ ยาศาสตร์ศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. De Boer, G. (2000). Scientific Literacy: Another look at Its historical and contemporary meanings and Its relationship to science education reform. Journal of Research in Science Teaching, 37(6), 582-601. Hartman, H. J. (1998). Metacognition in teaching and learning : an introduction. Instructional Science,26(1-2),1-3. Henson, K. T. & Eller, B. F. (1999). Educational psychology for effective teaching. Belmont, CA. : Wadsworth. 113
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: