Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ภาษา

Description: ภาษา

Search

Read the Text Version

นอกจากภาษาแลว้ คนกลุ่มนีย้ งั มวี ฒั นธรรมทเี่ ป็นเอกลกั ษณข์ องวิถีชีวติ ชุมชน เช่น การแตง่ กาย ระบบสังคม จารีตประเพณี การดำ�เนนิ ชวี ติ และการแสดงพน้ื บา้ น เชน่ เพลงโคราช อยา่ งไรกด็ ี จากสภาพในปจั จุบัน ทง้ั ในด้าน การศกึ ษา เศรษฐกจิ สังคม การปกครอง การประกอบอาชพี การเคลอ่ื นตัว การยา้ ยถิน่ และผลกระทบจากกระแส โลกาภวิ ตั น์ ท�ำ ใหส้ ถานะภาษาไทยโคราช/ภาษาไทยเบงิ้ ในปจั จบุ นั อยใู่ นสภาพวกิ ฤติ คนรนุ่ หลงั ใชภ้ าษาไทยโคราช/ ไทยเบงิ้ นอ้ ยลงทกุ ขณะ จงึ เปน็ ความจ�ำ เปน็ อยา่ งยงิ่ ทจ่ี ะตอ้ งมกี ารศกึ ษาและเกบ็ รวบรวมองคค์ วามรดู้ า้ นภาษานไี้ วท้ งั้ ระบบ ทง้ั ระบบเสยี ง ระบบค�ำ ระบบประโยค ระบบขอ้ ความ ตลอดจนการสอ่ื ความหมาย อนั แสดงถงึ มรดกภมู ปิ ญั ญา ท่ีควรจดั ทำ�คลงั ขอ้ มลู เพ่อื เกบ็ รักษา อนรุ กั ษ์ เผยแพร่ และหาช่องทางให้มกี ารสบื สานให้ด�ำ รงคงอยสู่ บื ไป ภาษาไทยโคราช/ไทยเบงิ้ ไดร้ บั การขนึ้ ทะเบยี นเปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๕๖ 42

ภาษาบซี ู เรยี บเรยี งโดย มยรุ ี ถาวรพัฒน์ บีซู (Bisu) หรือบ่สี ู่ มบซี ู มซี ู มีบซี ู เลาเมียน เป็นกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุทพ่ี ูดภาษาตระกูลทิเบต-พมา่ ค�ำ ว่า “บซี ู” เป็น ช่ือท่ีชาวบ้านเรียกตนเองและเรียกภาษาของเขา และในทางราชการหรือคนท่ัวไปเรียกชนกลุ่มน้ีว่า “ลัวะ” คนบีซู ตั้งบา้ นเรือนอยทู่ บี่ ้านดอยชมภู อำ�เภอแม่ลาว บ้านปุยคำ� อ�ำ เภอเมือง และบา้ นผาแดง อ�ำ เภอพาน จังหวัดเชียงราย มีจำ�นวนประชากรประมาณ ๕๐๐ คน ภาษานจ้ี ดั อยใู่ นตระกูลทเิ บต-พม่า สาขาโลโล ตามหลักฐานพงศาวดารจนี ค.ศ. ๑๘๐๑ (พ.ศ. ๒๓๔๔) บีซนู ่าจะมาจากสิบสองปันนา ประเทศจีน ตอนใต้ โดยมีผนู้ ำ�ของชนเผา่ ละหู่ ๒ คน ช่ือว่า ลี เวนมงิ (Li Wenming) และ ลี เซียวลาว (Li Xiaolao) รว่ มมือกบั ชาวบีซู ต่อต้านผ้วู า่ ราชการและจักรพรรดิจนี ทีม่ ชี อ่ื ว่า เจยี คงิ (Jia Qing) ซึง่ เป็นผ้ทู ่มี ีความโหดร้ายมาก แตท่ ง้ั ชนเผา่ ละหู่ และบีซูก่อการปฏิวัตไิ มส่ �ำ เรจ็ จงึ หนีเข้ามาในประเทศไทย ภาษาบซี ูจดั อยู่ในตระกลู จีน-ทิเบต (Sino-Tibetan) ตระกลู ยอ่ ย ทเิ บต-พม่า สาขาโลโล ภาษาบีซู ทบ่ี ้านดอย ชมภู ต�ำ บลโปง่ แพร่ อำ�เภอแม่ลาว จังหวดั เชียงราย มพี ยญั ชนะต้น ๒๙ หนว่ ยเสยี ง มี ๔ หนว่ ยเสียง ทค่ี นรุน่ ใหม่ ไมอ่ อกเสียง ได้แก่ ฮน ฮม ฮย และ ฮล สระมี ๑๐ หนว่ ยเสยี ง ความส้ันยาวของเสียงสระไมม่ ีนัยสำ�คัญทางความ หมายซง่ึ เปน็ เอกลกั ษณข์ องภาษาตระกลู ทเิ บต-พมา่ กลา่ วคอื จะออกเสยี งสระเสยี งสน้ั หรอื ยาวกไ็ ด้ ไมไ่ ดท้ �ำ ใหค้ วาม หมายเปลยี่ นไป เชน่ ยะ-ยา “ไร”่ ซง่ึ ตา่ งจากภาษาไทยทก่ี ารออกเสยี งสระสน้ั หรอื ยาวท�ำ ใหค้ วามหมายเปลย่ี นแปลง วรรณยกุ ต์มี ๓ หน่วยเสยี ง ได้แก่ เสยี งระดบั กลาง เชน่ ยา = ไร่ ระดบั ตา่ํ ตก เช่น ยา่ = คนั และระดบั สงู ขึ้น เชน่ ย้า = ไก่ การเรียงค�ำ ในประโยคมีลกั ษณะแบบ ประธาน-กรรม-กริยา (SOV) เช่น กงา ฮา่ ง จรา่ <ฉนั -ข้าว-กนิ > = ฉันกนิ ขา้ ว กงา นางนา คา่ ลาว วอื ป่ี ล่าแอ่ <ฉัน-คณุ -เสื้อ-ซอื้ -ให>้ = ฉันซอื้ เสอื้ ให้คณุ นาง อางเมง บา เจอ <คณุ -ชือ่ -อะไร> = คุณชือ่ อะไร ยูม เกิ้ง เวอ <บา้ น-ที่ไหน-อยู่>= บ้านอยูท่ ่ีไหน ปจั จบุ นั สถานการณภ์ าษาบซี อู ยใู่ นภาวะถดถอย เดก็ บซี ไู มส่ ามารถสอื่ สารดว้ ยภาษาบซี กู บั พอ่ แม่ ปยู่ า่ ตายาย สาเหตุของการใช้ภาษาบีซูน้อยลงน้ันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงวิธีการเล้ียงดูเด็กบีซูในช่วงเด็กเล็ก ที่แต่เดิม เม่ือเด็กบีซูเกิดมา ผู้ท่ีทำ�หน้าที่อบรมเลี้ยงดู คือ พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ภาษาทเี่ ด็กบซี ูไดร้ ้จู กั และพูดได้เปน็ ภาษาแรก คือ ภาษาบซี ู แตป่ จั จบุ นั จากวิถีชีวิตของชาวบีซูที่ต้องดิ้นรนในเรื่องการประกอบอาชีพ มีการ ทำ�งานรับจ้างต่างหมู่บ้าน ภาษาที่เด็กบีซูได้เรียนรู้เป็นภาษาแรกจึง กลายเปน็ ภาษาค�ำ เมอื งตามภาษาทผี่ ดู้ แู ลใช้ ส�ำ หรบั กลมุ่ วยั กลางคนและ ผสู้ งู อายุ มแี นวโนม้ จะใชภ้ าษาค�ำ เมอื งมากขนึ้ แตก่ ย็ งั มคี วามสามารถใน การใช้ภาษาบซี ูไดอ้ ย่างดี 43

การอนรุ กั ษแ์ ละฟนื้ ฟภู าษาบซี เู รม่ิ ขนึ้ ตง้ั แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๔๑ มกี ารพฒั นาระบบตวั เขยี นภาษาบซี ู โดยใชอ้ กั ษรไทย การสรา้ งสอื่ การเรยี นการสอนประเภทตา่ งๆ เชน่ หนงั สอื เลม่ เลก็ หนงั สอื เลม่ ยกั ษ์ แบบเรยี นภาษาบซี ู เพลง แผนการ จดั การเรยี นรู้ เปน็ ตน้ อยา่ งไรกต็ ามการเรยี นการสอนนเี้ ปน็ เพยี งการเรยี นการสอนตามอธั ยาศยั และสอนในระดบั เดก็ ก่อนวยั เรียน แตย่ งั ไม่ได้นำ�เขา้ สกู่ ารเรยี นการสอนในระบบโรงเรยี น ท้ังนี้โดยการสนบั สนุนของเอส ไอ แอล อินเตอร์ เนช่ันแนล สำ�นักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และศูนย์ศึกษาและฟ้ืนฟูภาษา-วัฒนธรรมในภาวะวิกฤต มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล นอกจากจะมีการอนุรักษ์และฟ้ืนฟูภาษาแล้ว ยังมีการฟื้นฟูเรื่องวัฒนธรรมการแต่งกาย โดยการสืบค้นจาก ลกั ษณะแตง่ กายของคนบซี ูท่อี ยู่ในสบิ สองปนั นา และตัดเย็บโดยใชว้ สั ดทุ ่หี าไดภ้ ายในประเทศไทย ทุกวนั นีช้ าวบซี ูมี การแตง่ กายท่ีสามารถบง่ บอกเอกลกั ษณข์ องตนได้อกี อย่างหนึง่ คนบซี สู ว่ นใหญน่ บั ถอื พทุ ธศาสนา แตย่ งั มคี วามเชอื่ เรอื่ งเหนอื ธรรมชาติ เชน่ พธิ ไี หวผ้ ปี ระจ�ำ หมบู่ า้ น (อางจางไว) ทางภาคเหนือเรียกว่า “ผีเสื้อบ้าน” หมายถึง วิญญาณที่ดูแลรักษาคนในหมู่บ้าน ชาวบีซูจะมีการต้ังศาลสำ�หรับ เทวาอารกั ษป์ ระจ�ำ หมบู่ า้ น ซงึ่ จะอยทู่ างทศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของหมบู่ า้ น ในการประกอบพธิ นี ้ี ตอนเชา้ ชาวบา้ น จะน�ำ ดอกไม้ ธูป เทยี น และสิ่งของ อน่ื ๆ ทจี่ �ำ เป็นในการประกอบพิธมี ารวมกันที่บา้ นของอาจารย์ผู้ประกอบพธิ ขี อง หมบู่ ้าน พธิ ีอางจางไวหรือพธิ ีบูชาหอผีประจ�ำ หมู่บา้ นนจ้ี ะจดั ข้นึ จ�ำ นวน ๓ คร้งั ตอ่ ปพี ิธจี ะเร่ิมครง้ั แรกเดือน ๔ ทาง ภาคเหนือ (ตรงกับเดอื นกุมภาพนั ธ)์ เดือน ๘ (มถิ ุนายน) และเดอื น ๑๒ (ตลุ าคม) ตามลำ�ดับ โดยจะมีการนำ�สงิ่ ของ ทเ่ี กยี่ วกบั การเซ่นไหวม้ ารวมกนั เชน่ ดอกไม้ ธปู เทียน ไก่ และเหล้า ชาวบซี ูรบั ประทานข้าวเหนียวเปน็ หลัก ส่วนกบั ข้าวนน้ั เปน็ พชื ผกั ทส่ี ามารถปลูกไดเ้ อง บางทีก็ซื้อจากรา้ นคา้ เพอ่ื น�ำ มาปรงุ อาหาร สว่ นอาหารประเภทโปรตนี นน้ั ไดจ้ ากสตั วท์ เ่ี ลยี้ งไว้ เชน่ สกุ ร โค กระบอื สว่ นทห่ี าไดจ้ ากล�ำ หว้ ย ได้แก่ กงุ้ หอย ปู ปลา นอกจากน้กี ็มีอาหารที่ได้จากป่าท่ีอยู่บรเิ วณรอบหมู่บ้าน อาหารยอดนิยมของชนเผา่ บซี มู ีลาบ พริก (ล่าพ่ี ซร่า ทอ) ชาวบีซูมีนิทานพื้นบ้านที่เล่าสืบต่อกันมา เช่น คื่ออางบา (แม่หมา) อู่โฮ่งตาค่าม (เต่าทอง) อางตู่ตู่คยาม (หัวกะโหลก) เซนเทอ (เหา) อู่บาพลู่ ู่ (ผลบกุ ) อางบลอง แมปอ (สามตี าบอด) และพบวา่ ยังมีการรอ้ งเพลงกล่อมลกู ภาษาบซี ทู บี่ า้ นปุยคำ� อำ�เภอเมือง จงั หวัดเชยี งราย ตัวอยา่ งเนือ้ เพลงรักษ์บซี ู กงูบา่ บีซ่ ู่ น้งี เน จต่ี า่ งกา่ มแพ นา อ่าลมู คโู จ. ชาวเรา บีซู นี้ ภาษาพดู อยา่ ลืม นะ เกิ้ง ดืง จี่ กาโว เก้ิง ดืง จ่ี กาโว. ทไ่ี หน อยู่ พดู ด้วย ทไี่ หน อยู่ พดู ด้วย กงู เน บ่ซี ู่ อางลบี อางลีบ. เรา บซี ู วฒั นธรรม วฒั นธรรม “ชาวบซี เู ราอยา่ ลมื ภาษาพดู นะ ไม่วา่ จะอยทู่ ่ีไหนกใ็ ห้พดู กนั วัฒนธรรมของชาวบีซ”ู ภาษาบีซู ไดร้ บั การขน้ึ ทะเบยี นเป็นมรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปพี ุทธศกั ราช ๒๕๕๗ 44

เอกสารอ้างอิง ประวัตเิ ครอื ขา่ ยบีซู. (๒๕๔๗). เอกสารอัดสำ�เนา นายพบิ ลู ชยั สวสั ดสิ์ กลุ ไพร และคณะ. (๒๕๕๓). การศกึ ษาแนวทางการสรา้ งศนู ยเ์ ดก็ เลก็ เพอื่ ฟน้ื ฟภู าษาทเี่ หมาะสม กบั ชาวบซี ู บ้านดอยชมภู ต.โป่งแพร่ อ.แมล่ าว จ.เชียงราย. กรงุ เทพฯ : สำ�นักงานกองทนุ สนบั สนุน การวจิ ัย. Nuamkaew, Vacharee. (1987). The phonology of the Bisu language as spoken in Chiangrai Province. Bangkok: Mahidol University. Kirk, Person. (2001). “Writing Bisu: A Community-Based Approach to Orthography Development” [Papers from the Ninth Annual Meeting of the Southeast Asian Linguistics Society. Ed. Graham Thurgood] Tempe: Arizona State University Press, pp. 171-200. ที่มา: ศนู ย์ศกึ ษาและฟนื้ ฟภู าษา-วัฒนธรรมในภาวะวิกฤต มหาวิทยาลัยมหดิ ล 45

ภาษาผู้ ไทย เรียบเรยี งโดย เฉลิมชยั แก้วมณชี ยั และ รองศาสตราจารย์ชลธิชา บ�ำ รุงรักษ์ ภาษาผไู้ ทย เป็นภาษาในตระกลู ภาษาไท มผี พู้ ดู จำ�นวนมากกระจายในภมู ภิ าคตา่ งๆ ในประเทศไทยลาวและ เวียดนาม ผู้พูดภาษาผู้ไทยในประเทศไทยส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในบริเวณจังหวัดภาคตะวันออกหรือภาคอีสานตอนบน ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ นครพนม มกุ ดาหาร และสกลนคร นอกจากนี้ยงั มีอีกเล็กน้อยอาศยั บรเิ วณจังหวัดร้อยเอ็ด อดุ รธานี อบุ ลราชธานี และอ�ำ นาจเจรญิ โดยภาษาผไู้ ทยในแตล่ ะทอ้ งถนิ่ ตา่ งมสี �ำ เนยี งและค�ำ ศพั ทท์ ใ่ี ชแ้ ตกตา่ งกนั ไป นอกจากนยี้ งั มคี �ำ ยมื จากภาษาถน่ิ อสี านซง่ึ เปน็ ภาษาถน่ิ ทคี่ นสว่ นใหญใ่ นภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ใชใ้ นภาษาผไู้ ทยบา้ ง แต่ไม่มากนัก ชาวผู้ไทยส่วนใหญ่มักพูดภาษาถ่ินอีสานได้ แต่ชาวไทยที่พูดภาษาอีสานไม่สามารถพูดหรือ ฟงั ภาษาผ้ไู ทยอยา่ งเขา้ ใจโดยสมบูรณ์ ภาษาผูไ้ ทยมชี อ่ื เรียกอ่ืน คอื ภาษาผไู้ ท ภาษาภไู ท หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรแ์ ละพงศาวดาร พบวา่ ชาวผไู้ ทดงั้ เดมิ เปน็ กลมุ่ ชนทอ่ี าศยั อยใู่ นดนิ แดนแถบสบิ สอง จุไท ท้ังบริเวณตอนเหนือของลาวและเวียดนาม และทางตอนใต้ของจีน มีศูนย์กลางอยู่ท่ีเมืองไลและเมืองแถง (เดมิ ช่อื เมอื งแถน คำ�ว่า แถน แปลวา่ ฟา้ ) เมอื งแถน คือ เมอื งทเ่ี จ้าฟ้าพระมหากษัตรยิ ์ผู้เปน็ ใหญส่ ร้างข้ึนหรืออยู่ อาศยั ดงั นนั้ จะเหน็ ไดว้ า่ กลมุ่ ชาตพิ นั ธผุ์ ไู้ ทหรอื ปไู้ ทมกี ารสกั การะกราบไหว้ “บรรพบรุ ษุ ” มาตง้ั แตอ่ ดตี จนถงึ ปจั จบุ นั เช่น ประเพณีจุดบ้ังไฟบูชาพระยาแถน เพื่อขอนํ้าจากฟ้าหรือขอน้ําฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล ให้ลูกหลานได้ทำ�นา เลย้ี งชพี และเลยี้ งลกู หลานตอ่ ไป หรอื ประเพณผี ฟี า้ หรอื หมอเหยา เพอ่ื เชญิ ผแี ถน มาชว่ ยดแู ลรกั ษาปดั เปา่ สงิ่ ชว่ั รา้ ย โรคภัยไขเ้ จ็บ ใหล้ กู หลานหายเจ็บไข้ เปน็ ต้น กลมุ่ ชาตพิ นั ธผ์ุ ไู้ ท (ปไู่ ท คอื คนไทเดมิ ) ทอี่ าศยั อยทู่ เ่ี มอื งแถง เรยี กวา่ กลมุ่ ผไู้ ทด�ำ และทอี่ าศยั อยทู่ เ่ี มอื งไลและ เมืองอื่นๆ เรยี กวา่ กล่มุ ผู้ไทขาว ประกอบดว้ ย ๔ อาณาเขต คอื เมืองไล เมืองเจยี น เมอื งมนุ เมอื งบาง มีเมอื งไลเป็น เมืองใหญ่ปกครอง สว่ นกล่มุ ผไู้ ทด�ำ ประกอบด้วย ๘ อาณาเขต คอื เมอื งแถง เมอื งควาย เมืองดงุ เมอื งมว่ ย เมืองลา เมืองโมะ เมืองหวัด เมืองซาง มีเมืองแถงเป็นเมืองใหญ่ปกครอง ส่งผลทำ�ให้กลุ่มชาติพันธ์ุผู้ไทน้ี มีเมืองอยู่ในการ ปกครองตนเอง รวม ๑๒ อาณาเขต จึงเรียกดินแดนแหง่ น้รี วมกนั ว่า “สบิ สองเมอื งผไู้ ท” หรือ “สิบสองจไุ ทย” หรือ “สิบสองปไู่ ทย” หรอื “สิบสองเจ้าไทย” ต่อมากลุ่มผู้ไทเมืองวังเกิดเหตุวุ่นวาย ทำ�ให้ลูกหลานส่วนหน่ึงต้องอพยพข้ามแม่น้ําโขงมาต้ังบ้านเรือนใน ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของประเทศไทย บรเิ วณเมอื งเรณนู คร จงั หวดั นครพนม และเมอื งพรรณนานคิ มจงั หวดั สกลนคร ต่อมา พระเจา้ กรงุ ธนบุรหี รือ “พระเจา้ ตากสินมหาราช” ได้ท�ำ สงครามขยายอาณาเขตได้อพยพชาวเมืองผไู้ ทให้ย้าย มาต้งั บ้านเรือนอยใู่ นเขตจังหวัดเพชรบุรี ราชบุรี และสระแก้ว จนถงึ ปจั จุบัน นอกจากน้ี ในรชั สมยั พระบาทสมเด็จ พระนัง่ เกล้าเจา้ อยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กลมุ่ ชาติพนั ธุ์ผไู้ ทไดอ้ พยพข้ามแมน่ ้าํ โขงมาตั้ง ถ่นิ ฐานในจังหวัดต่างๆ ในภาคอีสานมากขนึ้ อาทิ นครพนม สกลนคร มกุ ดาหาร และมาอยรู่ วมกับกลุ่มชนชาตพิ นั ธุ์ 46

ผู้ไทท่ีอพยพเข้ามาก่อนหน้าน้ีในเขตจังหวัดต่างๆ คือ นครพนม สกลนคร มุกดาหาร กาฬสินธ์ุ หนองคาย ยโสธร อำ�นาจเจริญ อุบลราชธานี เป็นต้น ต่อมาเรียกกลุ่มผู้ไทท่ีอาศัยอยู่ในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือในจังหวัด เหลา่ นวี้ า่ กลมุ่ ชาตพิ นั ธผุ์ ไู้ ทย สว่ นคนชาตพิ นั ธผุ์ ไู้ ททอ่ี าศยั อยใู่ นประเทศไทยบรเิ วณจงั หวดั ตา่ งๆ มชี อ่ื เรยี ก แตกตา่ ง กันไป เช่น ผูไ้ ทย ไทยโซง่ ไทยทรงดำ� ไทยพวน ไทดำ� ไทขาว ไทแดง มวี ฒั นธรรมอนั โดดเดน่ ทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณเ์ ปน็ ของตนเอง มวี ถิ ชี วี ติ ทเี่ รยี บงา่ ย รกั สงบ และรกั อสิ ระผชู้ ายมคี วาม เขม้ แขง็ กลา้ หาญอดทน นยิ มเดนิ ทางไกลเพอื่ คา้ ขาย น�ำ รายไดม้ าเลยี้ งครอบครวั ผหู้ ญงิ ผไู้ ทยมรี ปู รา่ งผวิ พรรณสวยงาม สะอาดตา พูดจาไพเราะ มคี วามซ่ือสัตยส์ ุจริต ชอบทำ�งานบา้ น ท�ำ อาหาร มฝี ีมอื ในการทอผา้ และการเยบ็ ปักถกั รอ้ ย ตลอดจนมพี รสวรรคใ์ นศิลปะดา้ นดนตรีและการฟอ้ นรำ� ในด้านภาษา เน่ืองจากภาษาผู้ไทยเป็นภาษาถิ่นในภาษาตระกูลไท จึงมีลักษณะเด่นบางประการร่วมกับ ภาษาไทยถน่ิ อน่ื กลา่ วคอื เปน็ ภาษาค�ำ โดด เปน็ ภาษาทม่ี วี รรณยกุ ต์ ค�ำ มกั เปน็ ค�ำ พยางคเ์ ดยี ว โครงสรา้ งประโยคพน้ื ฐาน ได้แก่ “ประธาน กริยา กรรม” เปน็ ภาษาทไ่ี มม่ ีวภิ ตั ต-ิ ปจั จยั แตม่ ีลักษณะนามเช่นเดียวกับภาษาตระกูลไทยถิ่นอ่นื ๆ ภาษาผไู้ ทยมีพยญั ชนะ ๑๙ หนว่ ยเสยี ง ไดแ้ ก่ /p, t, c, k, ph, th, kh, b, d, f, s, m, n, , h, l,w / สระเดี่ยว ๑๘ หนว่ ยเสยี ง คอื /i, ii, e, ee, / ภาษาผ้ไู ทยไม่มสี ระประสม และมกี ารแยกเสยี งชัดเจน ในค�ำ ที่ใช้ -ใ และ -ไ โดยคำ�ท่ใี ช้ -ใ จะออกเสียงเปน็ หนว่ ยเสยี งวรรณยุกตใ์ นภาษาผ้ไู ทมี ๕ หนว่ ยเสยี งลกั ษณะบาง ประการทีถ่ ือว่าเป็นลักษณะเดน่ อืน่ ๆ มหี ลายประการ อาทิ ด้านค�ำ ศพั ท์ มีค�ำ ศพั ท์ทีแ่ ตกตา่ งไปจากภาษาถนิ่ อสี าน หรอื ภาษาไทยกลาง เชน่ หา หมายถงึ ขา เฮ้า หมายถึง เข้า เหม็ หมายถึง เข็ม เหอื ก หมายถึง เหงอื ก เต้อ หมาย ถึง ใต้ เนอ หมายถงึ ใน เผอ หมายถึง ใคร เท่าเลอ/ท่อเลอ หมายถึง เท่าไร ซเิ ลอ หมายถึง ทีไ่ หน มิ หมายถงึ ไม่ ภาษาผู้ไทยเป็นภาษาที่มีผู้ใช้จำ�นวนมาก แต่ในปัจจุบันกลับถูกกระแสโลกาภิวัตน์ทำ�ลายลักษณะสำ�คัญทาง ภาษาอันเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมไป ทำ�ให้สูญเสียอัตลักษณ์ และความลุ่มลึกทางปัญญาของมนุษยชาติ การรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเหล่านี้ไม่ให้สูญหายและอยู่รอดอย่างยั่งยืน จำ�เป็นอย่างย่ิงที่ชุมชนซ่ึง เกยี่ วขอ้ งตอ้ งมจี ติ ส�ำ นกึ เขา้ มสี ว่ นรว่ มในการปกปอ้ งคมุ้ ครอง ดว้ ยการคดิ ตดั สนิ ใจวางแผน และด�ำ เนนิ การโดยชมุ ชน เพอ่ื ชมุ ชนเอง เพือ่ ให้ภาษาและวฒั นธรรมของคนกลุ่มชาตพิ ันธ์ผุ ู้ไทยคงอยู่สบื ไป ภาษาผ้ไู ทย ได้รบั การข้ึนทะเบียนเป็นมรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรมของชาติประจำ�ปพี ทุ ธศักราช ๒๕๕๗ การแสดงดนตรีพนื้ บา้ น ประเพณีบญุ พวงมาลยั ของชาวผูไ้ ทยจังหวดั กาฬสินธ์ุ ท่มี า: ส�ำ นักงานวัฒนธรรมจังหวัดกาฬสินธุ์ 47

การสืบทอดภาษาผู้ไทยของจงั หวัดสกลนคร ภาพ: สำ�นักงานวฒั นธรรมจังหวดั สกลนคร การแสดงและการสืบทอดภาษาผู้ไทยของจังหวดั นครพนม ที่มา: โรงเรยี นเรณูนครวิทยานกุ ูล 48

ภาษาพวน เรยี บเรียงโดย รองศาสตราจารย์ชลธชิ า บ�ำ รงุ รักษ์ ภาษาพวน มีช่ือเรียกอื่นว่า ภาษาไทพวน ภาษาไทยพวน และภาษาลาวพวน เป็นภาษาในตระกูลไทซึ่งมี ผพู้ ดู กระจายอยตู่ ามภมู ภิ าคตา่ งๆ ของประเทศไทย เชน่ จงั หวดั ลพบรุ ี บรเิ วณอ�ำ เภอเมอื งและอ�ำ เภอบา้ นหม่ี จงั หวดั สระบรุ ี บรเิ วณอ�ำ เภอบา้ นหมอและอ�ำ เภอวหิ ารแดง จงั หวดั นครนายกบรเิ วณอ�ำ เภอปากพลี จงั หวดั ปราจนี บรุ บี รเิ วณ อ�ำ เภอโคกปบี และอ�ำ เภอศรมี หาโพธิ จงั หวดั ฉะเชงิ เทราทอี่ �ำ เภอพนมสารคามและอ�ำ เภอสนามชยั จงั หวดั สพุ รรณบรุ ี ทีอ่ ำ�เภอบางปลาม้า จงั หวดั สิงหบ์ รุ ใี นอ�ำ เภอพรหมบรุ ี จงั หวดั อทุ ัยธานที ี่อ�ำ เภอบา้ นไร่ จงั หวดั สโุ ขทัยบรเิ วณอ�ำ เภอ ศรสี ชั นาลยั จงั หวดั พจิ ติ รบรเิ วณอ�ำ เภอตะพานหนิ จงั หวดั ก�ำ แพงเพชรในอ�ำ เภอขาณวุ รลกั ษณบ์ รุ ี จงั หวดั เพชรบรู ณ์ จังหวัดแพร่ในเขตอำ�เภอเมือง จังหวัดน่านบริเวณอำ�เภอเมืองและอำ�เภอท่าวังผา จังหวัดอุดรธานีแถบอำ�เภอ บา้ นเชียง อ�ำ เภอหนองหาน และอ�ำ เภอบ้านผือ จงั หวดั หนองคายในอำ�เภอโกสมุ พสิ ัยและอำ�เภอศรเี ชยี งใหม่ และ จังหวดั เลยบริเวณอ�ำ เภอเชียงคาน จากหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ ชาวไทยพวนดั้งเดิมมถี ่นิ ฐานอยแู่ ถบลมุ่ แมน่ า้ํ พวน จงึ เรยี กตนเองวา่ “พวน” โดยทั่วไปชาวพวนมีอาชีพเกษตรกรรม การต้ังบ้านเรือนอยู่บริเวณที่ราบสูงทำ�ให้การทำ�มาหากินไม่อุดมสมบูรณ์ ตอ่ มาจงึ อพยพยา้ ยถนิ่ ลงมาตงั้ บา้ นเรอื นอยทู่ บ่ี รเิ วณทรี่ าบลมุ่ ฝง่ั ซา้ ยของแมน่ าํ้ โขง เมอื งเชยี งขวาง ใกลเ้ ขตเวยี งจนั ทน์ และบรเิ วณทร่ี าบลุม่ แมน่ าํ้ งมึ ใกลเ้ ขตหลวงพระบาง เม่อื พวนตกเป็นเมืองขึ้นของเวยี งจนั ทน์ ชนกลมุ่ นี้จงึ ไดร้ ับการ เรยี กขานวา่ “ลาวพวน” และเมอื่ กลมุ่ ลาวพวน ถกู กวาดตอ้ นเขา้ มาตงั้ ถน่ิ ฐานในประเทศไทยไดก้ ลายเปน็ ราษฎรไทย โดยสมบูรณ์ จงึ เรยี กตนเองวา่ “ไทยพวน” การยา้ ยถน่ิ ฐานของชาวพวนเขา้ มาอยใู่ นประเทศไทยมสี าเหตหุ ลกั ๒ ประการ คอื จากการอพยพลภี้ ยั สงคราม เขา้ มาในประเทศไทยด้วยความสมัครใจ และจากการถูกกวาดต้อนเข้ามาในสมัยกรุงธนบรุ แี ละรัตนโกสินทร์ตอนต้น จนกระทัง่ ถงึ สมยั รชั กาลท่ี ๓ กลมุ่ พวนเหล่าน้ีถูกส่งใหไ้ ปอยู่ตามเมืองตา่ งๆ ในเขตหัวเมอื งช้ันในทม่ี รี าษฎรอาศัยอยู่ ไม่หนาแน่นนัก เชน่ สระบรุ ี ลพบรุ ี เพชรบรุ ี ราชบุรี ปราจีนบุรี ฉะเชงิ เทรา นครนายก กลมุ่ ชาตพิ ันธุ์พวนมีวัฒนธรรมและขนบประเพณอี นั โดดเด่นของตนเอง มีวิถีชีวติ เรียบง่าย ส่วนใหญ่ประกอบ อาชพี ท�ำ นา ท�ำ สวน และเลยี้ งสตั ว์ ชาวไทยพวนเปน็ ผทู้ มี่ อี ธั ยาศยั ไมตรเี ปน็ มติ รกบั คนทว่ั ไป โอบออ้ มอารี เออื้ เฟอ้ื เผอ่ื แผ่ และรกั พวกพอ้ งของตน มกี ารท�ำ กจิ กรรมต่างๆ ร่วมกนั ในชุมชน ไม่มีเครือ่ งแต่งกายทแี่ สดงสัญลกั ษณเ์ ฉพาะว่า เปน็ ชาตพิ นั ธพุ์ วน มวี ฒั นธรรมการทอผา้ ทง้ั ผา้ มดั หมแ่ี ละผา้ ตนี จกตลอดจนนทิ านพนื้ บา้ นและล�ำ พวนทเี่ ปน็ เอกลกั ษณ์ ของชมุ ชน   49

ชาวพวนส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนา เป็นคนใจบุญสุนทาน ทำ�บุญเข้าวัดประจำ� ชาวพวนยังรักษา ขนบธรรมเนียมและประเพณีต่างๆ ไว้อย่างเหนียวแน่นถึงปัจจุบัน อาทิ เดือนอ้ายมีประเพณีบุญข้าวจ่ี เดือนย่ี มีบุญขา้ วหลาม เดือนสามเปน็ บุญกำ�ฟ้า เดอื นห้าบุญสงกรานต์ เดอื นแปดบุญเขา้ พรรษา เดือนเก้าบุญหอ่ เข้าดำ�ดนิ หรือสารทพวน เดือนสิบบุญทานเข้าวสาหรือบุญสลากภัต เดือนสิบเอ็ดบุญเอาะวะสา และบุญเดือนสิบสอง ได้แก่ บุญข้าวเมา่ ในด้านภาษา ภาษาพูดของชาวไทยพวนจะมีความคล้ายคลึงกับภาษาไทยและภาษาถ่ินภาคตะวันออกเฉียง เหนือหรือภาษาถนิ่ อีสานมาก วงค�ำ ศัพทค์ ลา้ ยกับภาษาไทยแต่มบี างคำ�ที่เป็นค�ำ ศัพท์เฉพาะของชาวไทยพวนทแี่ ตก ต่างจากภาษาไทยและคล้ายกับภาษาถิ่นอีสาน ส่วนภาษาเขียนของชาวไทยพวนนั้น แต่เดิมใช้อักษรไทยน้อยและ อกั ษรธรรมอสี าน แตป่ จั จบุ นั ไมม่ ผี ศู้ กึ ษาภาษาเขยี นมากนกั ภาษาเขยี นเหลา่ นจี้ งึ เปน็ เพยี งหลกั ฐานทปี่ รากฏ ในสมดุ ขอ่ ยและใบลานเทา่ นน้ั ซง่ึ สว่ นใหญจ่ ะเปน็ บทสวดและต�ำ รายาโบราณ แมช้ าวบา้ นทคี่ รอบครองต�ำ ราน้ี มจี �ำ นวนนอ้ ย ที่สามารถอ่านต�ำ รายาเหลา่ น้ไี ด้ ภาษาพวนมีพยญั ชนะ ๒๐ หน่วยเสยี ง ได้แก่ /ป, ต, ก, อ, พ/ผ, ท/ถ, ค/ข, บ, ด, จ, ฟ/ฝ, ซ/ส, ฮ/ห, ม, น, ญ,ง,ล, ว, ย/ หนว่ ยเสยี งทง้ั ๒๐ หนว่ ยเสยี งนป้ี รากฏในต�ำ แหนง่ พยญั ชนะตน้ ไดท้ ง้ั หมดและหนว่ ยเสยี งทเี่ ปน็ พยญั ชนะ ท้ายมี ๙ หน่วยเสยี ง คือ /บ/ป/พ/ฟ/, ด/ต/ท/ธ/ฒ/ฑ, ก/ข/ค,ม, น/ณ/รร, ง, ว, ย/ และพยางคท์ ม่ี ีสระ เสียงส้ันและ ไม่มีพยัญชนะสะกดจะปรากฏเสยี งกักทีเ่ สน้ เสียงข้างท้าย สว่ นพยญั ชนะควบกลา้ํ มี ๒ หน่วยเสียง คอื /กว, คว/ขว/ ส�ำ หรับเสยี งสระนน้ั ภาษาไทยพวนมีสระเดีย่ ว ๑๘ หนว่ ยเสียง ไดแ้ ก่ /อ,ิ อี, เ-ะ, เ, แ-ะ, แ , อ,ึ อ,ื เ-อะ, เ-อ, อะ, อา, อ,ุ อ,ู โ-ะ, โ-, เ-าะ, ออ/ สระประสมม๓ี หน่วยเสียง ไดแ้ ก่ /เอีย, เออื , อัว/ ส่วนหนว่ ยเสยี งวรรณยกุ ต์ในภาษาไทย พวนมี ๖ หน่วยเสียง ระดับเสียงจะแตกต่างไปตามท้องถ่ินที่อาศัยอยู่ ในที่นี้จะกล่าวถึงหน่วยเสียงวรรณยุกต์ที่ บา้ นหาดเส้ียว อำ�เภอศรสี ัชนาลยั จังหวดั สุโขทัย ดงั นี้ เสียงตํา่ ระดบั เสียงต่ํา-ขน้ึ เสียงกลางระดับ เสยี งกลาง-ตก เสยี งกลาง-ขึ้น เสยี งสูงระดับ และเสียงสงู -ตก ตวั อยา่ งค�ำ ในภาษาพวนทต่ี า่ งหรอื ออกเสยี งตา่ งจากภาษาไทย เชน่ เสยี ง [ช] ในภาษาไทยออกเสยี งเปน็ [ซ/ส] ในภาษาพวน เชน่ ซ้าง‘ช้าง’ กะซอน ‘กระชอน’ กะเสด ‘กระเฉด’ ซงั ‘ชัง’ ใซ‘้ ใช้’ เสียง [ร] ในภาษาไทยออกเป็น เสยี ง [ฮ] ในภาษาไทยพวน เชน่ เฮอื น ‘เรอื น’ ฮกั ‘รกั ’ ฮู้ ‘ร’ู้ ฮอ้ ง ‘รอ้ ง’ภาษาพวนไมม่ เี สยี งควบกลาํ้ [ร] และ [ล] เชน่ ค�ำ ว่า ‘ปลา’ ในภาษาไทย เปน็ ‘ปา’ค�ำ วา่ ‘พลู’ ในภาษาไทย เปน็ ‘พู’ ในภาษาพวน และ‘กระด้ง’เป็น ‘กะดง้ , ด้ง’ ‘กรน’ เปน็ ‘กน’‘เกลอื ’ เปน็ ‘เกอื ’ เสียง [ตร] ในภาษาไทยเป็นเสยี ง [ก] ในภาษาพวน เชน่ กา ‘ตรา’ กอก ‘ตรอก’ กวด ‘ตรวจ’ กวดกา ‘ตรวจตรา’ ค�ำ ท่อี อกเสยี งสระต่างจากภาษาไทย เช่น เผิ้ง ‘ผ้งึ ’ เถงิ ‘ถงึ ’ เบอ‘ใบ’ เต้อ‘ใต้’ เภอ้ ‘สะใภ’้ ปวั่ ‘ปลวก’ แอว ‘เอว’ คำ�ใชต้ า่ งจากภาษาไทย เชน่ มอื้ ‘วัน’ เผอ‘ใคร’ ผเิ หลอ ‘อะไร’ เอ็ดเฮ้ยี ‘ท�ำ ไม’ เฮอะ‘ขเี้ หร่ ไมส่ วย’ กะไต ‘ตะไกร, กรรไกร’ กะตอ้ ‘ตะกรอ้ ’ กะตดุ ‘ตะกรดุ ’ สาด ‘เสอื่ ’ เฮอื น ‘บา้ น’ เสย่ี ว ‘เพอื่ น’ มะหงุ่ , หมา่ หงุ่ ‘มะละกอ’ มะทนั , หมา่ ทนั , มะกะทนั , หมา่ กะทนั ‘พทุ รา’ มะเขยี บ, หมา่ เขยี บ‘นอ้ ยหนา่ ’เขา้ ลอ้ มแลม้ ‘ขนมบวั ลอย’ เขา้ ลอ่ งซอ่ ง ‘ขนมลอดชอ่ ง’สายดือ, สายบอื , สายแห่ ‘สะดอื ’ ซวย ‘กรวย’ ตอ่ น‘ชิน้ ’ คนั ได ‘บนั ได’ 50

ไล ‘กลอนประต’ู คุ ‘กระปอ๋ ง, ถัง’ งวง ‘แมงกวา่ ง’ ขเ่ี ขบ็ ‘ตะขาบ’ พา้ ‘มีด’ เหมย‘หมอก’ น้ําเหมาะ ‘น้ําค้าง’ สะเดดิ ‘สะด้งุ ’ ซมื ‘กระซิบ’ญ่‘ู ดนั ’ แญง‘สอ่ งกระจก’ เทงิ ‘บน’ ฮอด ‘ถงึ ’ โครงสร้างภาษาพวนโดยทว่ั ไปมลี กั ษณะคล้ายคลึงกับภาษาไทย กล่าวคือ เปน็ ภาษาคำ�โดด เชน่ อ้าย ‘พ่ชี าย’ เอ้ย‘พ่สี าว’ ดงั ‘จมูก’ ญงิ ‘ผหู้ ญงิ ’ แซบ ‘อรอ่ ย’ แลง ‘ตอนเย็น’ ต�ำ ‘ชน, กระแทก’ นอกจากน้ีมีค�ำ ประสม เชน่ ม้อื อ่ืน, มอื้ หน้า‘วนั พรงุ่ นี้’ ม้ือฮอื ‘วนั มะรนื ’ มื้อตะวานนี้ ‘เมื่อวานนี้’ มื้อศลี ‘วนั พระ’ กำ�ลกู ‘คลอดลูก’ มืนตา ‘ลมื ตา’ คดึ ฮ้,ู คึดฮอด ‘คิดถึง’ มีดแถ ‘มดี โกน’ โตแม‘ตัวเมีย’ ผ้าเหนบ็ หาง‘ผา้ โจงกระเบน’ คำ�ซอ้ น เช่น เสือ่ สาด ‘เส่ือ’และค�ำ ซา้ํ ดนดน‘นานๆ’ แล้วแลว้ ‘เสรจ็ เรยี บรอ้ ย’ สัน่ ทดทด ‘อาการสนั่ เทาดว้ ยความหนาวหรือความกลวั ’ ค่ําค้อยค้อย ‘ใกล้ๆ คํ่า’ ค�ำ ขยายปรากฏหลงั คำ�หลัก เช่น ดนแล้ว ‘นานแล้ว’ มโี ครงสร้างประโยค คือ ประโยคบอก เลา่ มกี ารเรยี งค�ำ แบบ ประธาน-กรยิ า-กรรม เชน่ อา้ ยกนิ เขา้ สาย ‘พชี่ ายกนิ ขา้ วมอ้ื กลางวนั ’ เฮาเอด็ เวยี ะ‘เราท�ำ งาน’ ประโยคปฏิเสธ ค�ำ ปฏเิ สธปรากฏหน้าคำ�กริยา เชน่ เพ่ินบย่ ะไป ‘เขาไมอ่ ยากไป’ ขอ้ ยบฮ่ ู้ ‘ฉนั ไมร่ ู้’ เฮาบ่ฮอ่ น เอด็ ‘เราไมค่ วรท�ำ ’ ประโยคค�ำ ถามมกี ารเรยี งล�ำ ดบั ค�ำ เชน่ เดยี วกบั ประโยคบอกเลา่ และประโยคค�ำ สงั่ ขน้ึ ตน้ ดว้ ยค�ำ กริยา นอกจากน้ี ภาษาพวนปรากฏการละประธานหรือกรรมโดยทั่วไปเช่นเดียวกับภาษาไทยและภาษาตระกูลไท อื่นๆ เช่น เอด็ หังเอ็ดผเิ หลอ ‘(คุณ)ทำ�อะไร’ ส�ำ นวนที่น่าสนใจในภาษาพวนท่ียงั คงมใี ชก้ นั อยู่ เชน่ แตะแตนแลนฟงั ‘แตกกระจดั กระจาย’ เปน็ หมา่ เหญอ่ เญอ้ ‘ปว่ ยหรอื ไมส่ บายเรอื้ รงั ’ ตายความญวั ะ ‘หลงเชอื่ ค�ำ พดู ทผี่ อู้ น่ื หลอกลวง จนเกดิ ความเสยี หาย’ ตาลา่ งตาใด‘ใตถ้ นุ ’ ลมกนั บค่ า่ ย ‘พดู คยุ กนั ถกู คอไมรเู้ บอ่ื แตต่ อ้ งลาจากกนั ’ ลมบเ่ หา้ แจว่ เหา้ เกอื ‘พดู ขดั คอกันไปคนละทาง’ ลว่ งไปลว่ งมา ‘เดนิ ผา่ นไปมาบอ่ ยจนนา่ รำ�คาญ’ ภาษาพวนมีผู้ใช้กระจายตัวในหลายจังหวัด ทั้งในภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของ ประเทศไทย ชุมชนพวนเป็นชุมชนท่ีเข้มแข็ง มีการรวมกลุ่มและจัดตั้งชมรมไทยพวนมีการติดต่อไปมาหาสู่ จัดทำ� กิจกรรมเพื่ออนุรักษ์และสืบทอดวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ด้วยกระแสโลกาภิวัตน์และปฏิสัมพันธ์กับ คนรอบขา้ งกลมุ่ ชาตพิ นั ธพุ์ วนก�ำ ลงั จะสญู เสยี อตั ลกั ษณท์ างภาษาและวฒั นธรรม ตลอดจนความลมุ่ ลกึ ทางภมู ปิ ญั ญา อันดีงามท่ีมีอยู่ จึงเป็นความจำ�เป็นเร่งด่วนท่ีจะต้องมีการจัดการเพื่อรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมพวนมิให้ สญู หาย โดยชมุ ชนตอ้ งเขา้ มามบี ทบาทและมสี ว่ นรว่ มในการปกปอ้ งคมุ้ ครอง รว่ มมอื กนั วางแผนและด�ำ เนนิ การดแู ล รกั ษา อนรุ ักษ์ และสบื สานให้ภาษาและวัฒนธรรมพวนคงอย่ตู ่อไปสรู่ นุ่ ลกู หลาน การคุม้ ครอง ปกป้อง และสืบทอด ภาษาพวนเทา่ กบั เปน็ การจดั เกบ็ องคค์ วามรพู้ น้ื ฐานทถ่ี อื เปน็ กญุ แจส�ำ คญั ทจี่ ะน�ำ ไปสกู่ ารสบื คน้ ขอ้ มลู ภมู ปิ ญั ญาทาง วัฒนธรรมดา้ นต่างๆ ในระดับลุ่มลึกซึง่ มีอยมู่ ากมายได้ตอ่ ไปอย่างไมม่ ีท่สี ิน้ สุด ภาษาพวน ได้รับการข้ึนทะเบียนเปน็ มรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๘ 51

เอกสารอ้างอิง กาญจนรัตน์ แปลกวงศ์. ลำ�พวน: กรณีศึกษาภูมิปัญญาท้องถ่ินชาวพวน ตำ�บลบ้านทราย อำ�เภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี. วิทยานิพนธ์ศิลปกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขามานุษยดุริยางควิทยา, มหาวิทยาลัย ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.๒๕๕๔. กฤชนทั แสนทวี. ล�ำ พวน: การวิเคราะหก์ ารส่ือสารกบั การสบื ทอดอตั ลกั ษณ์ของชาวไทยพวน. วารสารไทยคดี ศึกษา ๕, ๒ (เม.ย. – ก.ย. ๒๕๕๑) ๑๔๑-๑๗๗. ๒๕๕๑. กง่ิ แก้ว เพ็ชรราช. วเิ คราะหน์ ทิ านไทยพวน. ตำ�บลหาดเสีย้ ว อ�ำ เภอศรสี ชั นาลัย จังหวดั สุโขทัย. วทิ ยานิพนธก์ าร ศกึ ษามหาบณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ๒๕๒๘. เกรยี งศักด์ิ ออ่ นละมยั . วิถกี ารดำ�เนินชีวติ ของชาวชนบทในกระแสโลกาภวิ ฒั น:์ ศกึ ษาเฉพาะกรณชี มุ ชนไทพวน ตำ�บลหินปกั อำ�เภอบ้านหมี่ จงั หวดั ลพบุร.ี วิทยานิพนธพ์ ฒั นบรหิ ารศาสตรมหาบณั ฑติ (พฒั นาสังคม), สถาบนั บัณฑิตพัฒนบรหิ ารศาสตร์ ๒๕๔๐. จารุวรรณ สุขปิติ. การศึกษาลักษณะของภาษาลาวพวน ที่ตำ�บลหัวหว้า อำ�เภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี. วทิ ยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาจารกึ ภาษาไทย, มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร. ๒๕๓๒. ชลลดา สังวาลทรัพย.์ การศกึ ษาลักษณะของภาษาลาวพวน ทตี่ �ำ บลหนองแสง อ�ำ เภอปากพลี จังหวดั นครนายก. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาจารกึ ภาษาไทย, มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร. ๒๕๓๔. นิรมล บุญซ้อน. การศึกษาคำ�ลงท้ายในภาษาพวน. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาภาษาศาสตร์, มหาวิทยาลยั มหิดล.๒๕๔๐. ประวตั ศิ าสตรเ์ มอื งพวน. อา้ งองิ จาก www.sujitwongthes.com/srimahosot/wp-content/../phaunton-p1-58. pdf. พงศศ์ กั ด์ิ ชาลเี ขยี ว. การอนรุ กั ษว์ ฒั นธรรมไทยพวน: ศกึ ษาเฉพาะกรณไี ทยพวนบา้ นมะขามลม้ อ�ำ เภอบางปลามา้ จงั หวดั สพุ รรณบรุ .ี การศกึ ษาอสิ ระปรญิ ญารฐั ประศาสนศาสตรมหาบณั ฑติ วทิ ยาลยั การปกครองทอ้ งถนิ่ , มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ . ๒๕๕๐. ไพรตั น์ โกมลมาลย.์ การศึกษาการกระจายคำ�ศัพท์ภาษาไทพวนในจังหวดั นครนายก. อา้ งอิงจาก http://www. annualconference.ku.ac.th/cd53/13_050_O346.pdf. ยุพิน เขม็ มกุ ด์ และคณะ. พจนานกุ รมภาษาไทยพวน. เชียงใหม่ : มหาวิทยาลยั ราชภฏั เชียงใหม,่ ๒๕๕๘. รชั นี ศรสี วุ รรณ. ลกั ษณะภาษาไทยพวนทจี่ งั หวดั สพุ รรณบรุ .ี วทิ ยานพิ นธศ์ ลิ ปศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาภาษาศาสตร,์ มหาวิทยาลยั มหดิ ล. ๒๕๓๖. วลาวัลย์ อุดมศลิ ป.์ การศกึ ษาวเิ คราะห์นทิ านชาดกไทยพวนบ้านมว่ งขาว ต�ำ บลโคกปบี อ�ำ เภอศรีมโหสถ จังหวัด ปราจนี บรุ .ี วทิ ยานพิ นธศ์ ลิ ปศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาภาษาไทย, มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. ๒๕๔๘. สุพัตรา จิรนันทนาภรณ์. วงจรศัพท์ในวัฒนธรรมการทอผ้าของชนกลุ่มไทยพวน. รายงานการวิจัย. ภาควิชา ภาษาศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร. ๒๕๓๖. 52

53

54

ภาษาพเิ ทน เรยี บเรยี งโดย รองศาสตราจารยส์ ุวฒั นา เลีย่ มประวตั ิ และ ทวพี ร จลุ วรรณ ในภาคใต้ของประเทศไทย นอกจากภาษาไทยถิน่ ใต้ แลว้ ยงั มภี าษาท่โี ดดเด่นอีก ๓ ภาษา ไดแ้ ก่ ภาษาตากใบ (เจะ๊ เห) ภาษาสะกอม และภาษาพเิ ทน มผี ู้สนั นษิ ฐานวา่ ภาษาทงั้ สามนีม้ คี วามเก่ยี วข้องกัน แตย่ งั ไมป่ รากฏหลกั ฐาน ทชี่ ัดเจน ภาษาพเิ ทนปจั จุบนั มีผู้พดู เฉพาะหมู่ท่ี ๒ บา้ นพิเทน ตำ�บลพเิ ทน อ�ำ เภอทุง่ ยางแดง จงั หวดั ปตั ตานี ภาษา พเิ ทนเปน็ ภาษาทีอ่ ยรู่ ะหว่างรอยต่อของภาษาไทยถ่ินใต้และภาษาตากใบ (เจ๊ะเห) และถูกแวดล้อมด้วยภาษามลายู ปาตานี จากงานวจิ ัยดา้ นภาษาศาสตรพ์ บว่า มหี น่วยเสียงพยัญชนะต้นเด่ยี ว ๒๒ หนว่ ยเสยี ง หนว่ ยเสยี งพยญั ชนะ ต้นควบกลํา้ ๑๔ หนว่ ยเสยี ง ท่ีเด่นคือ เสยี งพยัญชนะต้น / ดร / เช่นค�ำ วา่ เดราะ = เตะ โดรก้ = แห้ง(ผลไม้) มเี สยี ง พยญั ชนะทา้ ย ๙ หนว่ ยเสยี ง หนว่ ยเสยี งสระเดี่ยว ๑๘ หนว่ ยเสียง หน่วยเสยี งสระประสม ๓ หน่วยเสยี ง หน่วยเสียง วรรณยกุ ต์มี ๖ หนว่ ยเสียง และมีการแตกตวั เปน็ ๓ ทาง แต่ระบบเสียงวรรณยุกต์ไมเ่ หมือนภาษาไทยถน่ิ ใต้ ภาษา ตากใบ และภาษาสะกอม (ซึ่งเป็นภาษาย่อยของภาษาตากใบ) ด้านการใชศ้ พั ท์ มศี พั ทเ์ ฉพาะถิ่น เช่น ปลากือรงิ = ปลาแห้ง นา้ํ หิน = น้าํ แขง็ ปลาพอู วน = ปลาสม้ บือจนี =พริก ยาม = ชมพู่ อลู นั = ผัก ลกู กรอื ดะ = ลูกเนยี งนก มิง้ = ก๋วยเตีย๋ ว กอื สาร = ข้าวสาร คนตีไฟ = แมค่ รัว จอน = กระรอก เมยี แก่ = เมยี หลวง เมยี หนุม่ = เมียนอ้ ย แตกัด = ห้งิ ลกู แก่ = ลูกคนโต เปน็ ตน้ ต�ำ นานกลา่ ววา่ บรรพบรุ ษุ ของชาวพเิ ทนอพยพมาจากอยธุ ยา สมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา ครง้ั นนั้ ชา้ งเผอื กคบู่ า้ นคเู่ มอื ง สญู หาย กษตั รยิ ม์ พี ระบรมราชโองการใหอ้ งครกั ษค์ อื พเี่ ณรและนอ้ งอกี ๔ คน ตดิ ตามชา้ งลงมาทางใต้ พบวา่ รอ่ งรอย ชา้ งไดส้ ญู หายไปในพน้ื ทข่ี องเมอื งปตั ตานี พเี่ ณรและพนี่ อ้ งไมส่ ามารถน�ำ ชา้ งกลบั ไปได้ ดว้ ยเกรงอาญาแผน่ ดนิ จงึ ได้ ตั้งรกรากอยู่ในป่าทึบคือพ้ืนที่ตำ�บลพิเทนปัจจุบัน คำ�ว่า “พิเทน” สันนิษฐานว่ามาจากคำ�ว่า “พี่เณร” แต่เดิม ชาวพเิ ทนนบั ถอื ศาสนาพทุ ธ หากใครมคี วามเดอื ดรอ้ นจะมาบนบานทส่ี สุ านพเ่ี ณร หมู่ ๒ ต�ำ บลพเิ ทน ชว่ งเดอื น ๖ จะมี งานประเพณี การเขา้ ทรง การเล่นมโนราหแ์ ละท�ำ บญุ ใหพ้ เ่ี ณรโดยจุดเทียนเปน็ กะทา (คล้ายรูปโดม) ตอนกลางคนื แห่จากหมู่บ้านไปยังสุสานพ่ีเณรเพ่ือทำ�บุญให้พ่ีเณร แต่ปัจจุบันไม่ได้ทำ�พิธีนี้แล้ว เพราะชาวพิเทนเปลี่ยนไปนับถือ ศาสนาอสิ ลาม เน่ืองจากอย่ทู ่ามกลางชาวไทยมสุ ลมิ ในพนื้ ท่ี มมี ัสยิด สุเหรา่ และกโุ บร์หรอื ปา่ ชา้ ของศาสนาอสิ ลาม หลายแห่ง ประเพณีความเชื่อตา่ งๆ ได้รับอิทธิพลจากศาสนาอิสลาม เชน่ มีการถือบวชในเดือนรอมฎอน 55

การจัดเทศกาลฮารีรายอ การจัดงานเมาลิด การละหมาดการแตง่ กายอาหารเปน็ ตน้ ปจั จบุ นั ชาวบา้ นหมทู่ ่ี๒ ต�ำ บลพเิ ทนใชภ้ าษามลายปู ตั ตานใี นชวี ติ ประจ�ำ วนั มากขน้ึ และ ใชภ้ าษาพเิ ทนนอ้ ยลงเรอื่ ยๆ คนอายุ ๕๐ ปขี นึ้ ไปจะสอื่ สารดว้ ย ภาษาพิเทนในกลุ่มอายุเดียวกัน คนอายุต่ํากว่าน้ีจะใช้ภาษา มลายูปัตตานี หรือภาษาไทยกรุงเทพฯ อีกทั้งชาวบ้านเกรง ความไม่สงบในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ บางส่วนจึง อพยพย้ายถนิ่ ฐานเหลอื เพียงผสู้ งู อายอุ าศัยในหม่บู ้าน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการใช้ภาษาพิเทนในชุมชน แต่ผู้ทีพ่ ูดภาษานไ้ี ดก้ ม็ ีจำ�นวนไมม่ ากนัก มแี นวโนม้ จะสญู หายไปจากสังคมไทย หากไม่มีแนวทางการอนุรักษ์ ฟ้นื ฟู และสบื ทอด ดว้ ยเหตนุ จี้ งึ มคี วามพยายามของเจา้ ของภาษาและนกั วชิ าการทร่ี กั และหวงแหนภาษาพเิ ทน จงึ ไดศ้ กึ ษา และรวบรวมภาษาพิเทนไว้ เพือ่ เปน็ มรดกของชาตติ ่อไป ภาษาพิเทน ไดร้ บั การขนึ้ ทะเบยี นเปน็ มรดกภมู ปิ ัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจ�ำ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๕๖ 56

ภาษามลาบรี เรยี บเรียงโดย ชมุ พล โพธสิ าร มลาบรี แปลว่า คนปา่ หรอื คนอยูป่ ่า (มลา = คน + บรี = ปา่ ) ในอดตี คนไทยจะรู้จักคนกลมุ่ นใ้ี นช่ืออ่ืนๆ เช่น ผีตองเหลือง ข่าตองเหลือง ซ่ึงเป็นชื่อท่ีคนภายนอกเรียก มลาบรีจะไม่ชอบให้ผู้อื่นเรียกช่ือในลักษณะเช่นน้ัน เพราะเป็นค�ำ ท่ีเรียกในเชงิ ดูถูกที่แปลว่าผี ไมใ่ ช่คนหรอื เปน็ ทาส (ข่า) ในประเทศไทย มีชาวมลาบรอี าศัยอย่ปู ระมาณ ๔๐๐ คนในจงั หวดั แพรแ่ ละจงั หวดั นา่ นโดยอาศยั อยใู่ น ๕ หมบู่ า้ นทห่ี า่ งไกลกนั และในแขวงไซยะบรุ ขี องประเทศลาว มปี ระมาณ ๒๐ คน เดมิ ทชี าวมลาบรเี ปน็ กลมุ่ สงั คมทม่ี วี ฒั นธรรมแบบเกบ็ หาของปา่ -ลา่ สตั ว์ และเคลอื่ นยา้ ยอพยพไป ตามแหลง่ ทม่ี ที รพั ยากรธรรมชาตทิ ใ่ี ชใ้ นการด�ำ รงชวี ติ ทอี่ ดุ มสมบรู ณ์ และเชอื่ วา่ ในอดตี ทผ่ี นื ปา่ ในประเทศไทยยงั เปน็ ผืนป่าผืนเดียวที่เช่ือมโยงติดต่อกัน มลาบรีเคยเดินทางท่องเที่ยวเคลื่อนย้ายไปทั่วเขตจังหวัดเลย จังหวัดแพร่ จังหวัดน่าน รวมถึงแขวงไซยะบุรีของประเทศลาว รูปแบบวิถีชีวิตวัฒนธรรมแบบมลาบรีน้ันเป็นวัฒนธรรมที่ค่อน ข้างโดดเด่น เป็นกลุ่มคนท่ีมีความรู้เร่ืองพืชอย่างมาก มีภูมิปัญญาการใช้พืช ทั้งอาหาร ยาสมุนไพร เคร่ืองจักสาน หตั ถกรรม และเปน็ กลุ่มชนที่รักอิสระอยา่ งไม่ยดึ ติดในวตั ถุสง่ิ ของ ไมเ่ ก็บกกั ตุนอาหาร มกี ารแบ่งปนั ทรพั ยากรอย่าง เหมาะสมและเทา่ เทยี ม รกั ธรรมชาตติ น้ ไมป้ า่ เขามลาบรสี ามารถเปา่ แคนไดอ้ ยา่ งไพเราะและรอ้ งเพลงส�ำ เนยี งหมอล�ำ แตเ่ ปน็ ภาษามลาบรีได้อย่างไพเราะ ภาษามลาบรเี ป็นภาษาในตระกลู ออสโตรเอเชยี ติก สาขามอญ-เขมร กลุ่มยอ่ ยขมอุ คิ ภาษากลมุ่ ยอ่ ยท่ีมคี วาม ใกลเ้ คียงกันไดแ้ ก่ ภาษาขมุ ภาษามลั /ปรยั (ลวั ะ) ในจังหวดั นา่ น เชียงราย ภาษามลาบรีมลี ักษณะของภาษาตระกลู มอญ-เขมรทช่ี ัดเจน โดยมพี ยัญชนะต้น ๓๑ ตวั เสียงสะกด ๑๒ ตวั โดยเฉพาะเสียงสะกด ญ, จ , ฮ สว่ นเสยี งสระของ ภาษามลาบรี ไมแ่ ยกเสยี งสน้ั หรอื เสียงยาว โดยมีการเขียนคำ�เรียกชื่อคนกลุม่ นีส้ องแบบคือ “มลาบร”ี กับ“มละบร”ิ ตวั อยา่ งค�ำ ศพั ทใ์ นภาษามลาบรี เชน่ บรี = ปา่ , เกรว = ไปหา, มาด = ตา, มอฮ = จมูก, กวาย = หวั มัน ป่า ไวยากรณภ์ าษา มลาบรีโดยทั่วไปมีการเรียงคำ�ใน ลักษณะ ประธาน, กริยา, กรรม เช่นเดียวกับกลุ่มภาษามอญเขมรอ่ืนๆ เช่นประโยคว่า โอฮ ฌาก แฆง = ฉัน-ไป-บา้ น, ประโยคปฏิเสธ โอฮ กิ มาด รวาย = ฉนั -ไม่(เคย)-เห็น-เสอื ภาษามลาบรมี ักจะลากเสียง ท้ายสูงและยาวกว่าปกติทำ�ให้เหมือนกับพูดภาษาดนตรีที่มี ความไพเราะแตไ่ มใ่ ชเ่ สียงวรรณยุกต์ 57

ปจั จบุ นั ทรพั ยากรธรรมชาตใิ นปา่ ทเ่ี ปน็ ฐานของวฒั นธรรมมลาบรไี ดถ้ กู ท�ำ ลายลงอยา่ งมากกระทง่ั ไมเ่ พยี งพอท่ี จะสามารถด�ำ รงชวี ติ แบบหาของปา่ -ลา่ สตั วไ์ ดอ้ กี ปจั จบุ นั ชาวมลาบรไี ดเ้ ปลย่ี นแปลงวถิ ชี วี ติ มายดึ อาชพี รบั จา้ งปลกู ขา้ วโพดเปน็ แรงงาน มกี ารจดั ตงั้ หมบู่ า้ นและทอ่ี ยอู่ าศยั เปน็ หลกั แหลง่ ความเปลยี่ นแปลงอยา่ งใหญห่ ลวงของมลาบรี นี้ท�ำ ใหม้ ลาบรีต้องเผชญิ กบั การปรบั ตัวทางวฒั นธรรมท่คี ่อนขา้ งยากลำ�บาก ความไม่รเู้ ท่าทนั โลก ความไมส่ ามารถ พง่ึ ตวั เองได้ ปญั หาสทิ ธิมนษุ ยชน การท่องเท่ยี วชนเผา่ สุขภาพอนามัย การเสื่อมถอยของภูมิปัญญาและวัฒนธรรม ความเครียด หวาดระแวง และมีสถิติการพยายามฆ่าตัวตายเพื่อหนีจากภาวะบีบคั้นทางจิตใจสูงมาก รวมถึงภาษา วิกฤตเิ สี่ยงขน้ั รนุ แรงภาษาหนง่ึ ในประเทศไทยตอ่ การสญู หายของภาษาและวฒั นธรรม ภาษามลาบรี เป็นภาษาท่ีมีความสำ�คัญและมีคุณค่าในแง่มรดกทางวัฒนธรรมที่ได้สืบทอดกันมายาวนานใน ภาษามีองค์ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติมากมาย ท้ังพืชที่กินได้ พืชที่เป็นยา พืชท่ีสัตว์กิน พืชที่นำ�มาใช้ประโยชน์ใน งานหัตถกรรม สานกระเป๋า ทำ�ตะกร้าหวาย ทั้งภาษามลาบรีเองก็ยังเป็นภาษาท่ีแสดงว่ามลาบรีเป็นกลุ่มคนที่ให้ คณุ คา่ กบั ความเสมอภาค ความเทา่ เทยี ม ไมม่ ชี นชนั้ หรอื ความแกง่ แยง่ หากภาษามลาบรหี ายไป กจ็ ะเปน็ การสญู เสยี ครั้งยิ่งใหญ่ต่อมรดกทางภูมิปัญญาอันมีค่าน้ี อย่างไรก็ดี เยาวชนมลาบรีรุ่นใหม่หลายๆ คนท่ีบ้านห้วยหยวกและ บ้านหว้ ยลู่ จังหวัดนา่ น ได้มีความสนใจทจ่ี ะอนรุ กั ษ์ภาษาและวฒั นธรรมของตนเพ่อื ไมใ่ หส้ ญู หายไป ทง้ั ยังเป็นการ น�ำ ความรู้ภมู ปิ ญั ญาในอดีตมาปรับใชก้ บั โลกปจั จุบนั ดว้ ย ภาษามลาบรี ไดร้ บั การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปีพทุ ธศักราช ๒๕๕๗ เอกสารอา้ งอิง อิสระ ชูศรี และคณะ. การศกึ ษากระบวนการเปล่ยี นผ่านจากวิถีชวี ติ เรร่ อ่ นหาของปา่ ลา่ สตั วส์ ู่การเปน็ ชาวบ้าน ของกลุ่มชาติพันธ์ุ มลาบรี (ตองเหลือง) เพ่ือหาแนวทางการพัฒนาโดยใช้ภาษาท้องถ่ินเป็นฐาน. นครปฐม : สถาบันวจิ ัยภาษาและวัฒนธรรมเอเซยี มหาวทิ ยาลยั มหิดล. Jorgen Rischel. (1995). Minor Mlabri: A Hunter-Gatherer Language of Northern Indochina, Museum Tusculanum Press University of Copenhagen. 58

59

ภาษามอแกน เรียบเรียงโดย สราวุฒิ ไกรเสม ไมเ่ ปน็ ทท่ี ราบแนช่ ดั วา่ “มอแกน” มคี วามหมายวา่ อยา่ งไร แตจ่ ากการบอกเลา่ ของคนเฒา่ คนแกอ่ าจสนั นษิ ฐาน ไดว้ า่ ค�ำ วา่ “มอแกน”มาจากนทิ านพน้ื บา้ นทม่ี กี ารเลา่ สบื ทอดกนั มา โดยนา่ จะมาจากค�ำ วา่ “ละมอ” ซง่ึ แปลวา่ “จม” รวมกับคำ�ว่า “เอาะเกน” ซึ่งแปลว่า “ทะเล” กลายเปน็ คำ�ว่า “มอแกน” คนทัว่ ไปร้จู กั คนกล่มุ นใี้ นนาม “ชาวเล” ชาวมอแกนมีวิถีชีวิตท่ีผูกพันกับท้องทะเลเป็นอย่างมาก โดยในอดีตนั้นพวกเขาอาศัยและดำ�รงชีพอยู่ตามเกาะและ ชายฝ่ังต่างๆ ปัจจุบันพบชาวมอแกนอาศัยอยู่ในจังหวัดต่างๆ ทางตอนใต้ฝั่งทะเลอันดามัน ได้แก่ จังหวัดระนอง จงั หวัดพงั งา และจงั หวัดภเู ก็ต ภาษามอแกน เปน็ ภาษาทอี่ ยใู่ นตระกลู ออสโตรเนเชยี น สาขามลาโย – โพลเี นเชยี น สาขายอ่ ยมอแกน-มอแกลน มคี วามใกล้เคียงกบั ภาษามอแกลนซึ่งอยู่ในสาขายอ่ ยเดยี วกัน จากการสำ�รวจของนกั ภาษาศาสตร์ (เชน่ Naw Say Bay, D. Horgan, M. Larish เปน็ ตน้ ) พบว่า ภาษามอแกนในประเทศไทยน่าจะเปน็ ภาษาถ่นิ เดยี วกับภาษามอแกน ทพ่ี ดู บรเิ วณเกาะยา่ นเชอื ก สาธารณรฐั แหง่ สหภาพเมยี นมาร์ ภาษามอแกนไมม่ รี ะบบเสยี งวรรณยกุ ต์ และมกี ารเรยี ง คำ�แบบ ประธาน-กริยา-กรรม (SVO) เช่นเดียวกับหลายภาษาท่ีพูดในบริเวณภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ประโยควา่ จี ญมั จอน กะ <ฉัน-กนิ -ขา้ ว-แลว้ > = ฉนั กนิ ข้าวแล้ว ปัจจุบัน ภาษามอแกนอยู่ในภาวะวิกฤตใกล้สูญหาย เนื่องจากการรุกคืบของคนไทยท่ีเข้ามาอาศัยปะปน รวมทั้งสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนไป ทำ�ให้ภาษาและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวมอแกนอยู่ในภาวะถดถอย เยาวชนเร่ิมมีการใช้ภาษาแม่ของตนน้อยลงไปเร่ือยๆ และใช้ภาษาไทยเป็นภาษาพูดโดยส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามใน ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ชาวมอแกนไดม้ ีความพยายามฟน้ื ฟูภาษาและวฒั นธรรมของตนเอง โดยได้มกี ารเร่มิ ตน้ พัฒนาระบบ ตวั เขยี นและเรยี นรกู้ ารใชเ้ ทคโนโลยกี ารเกบ็ บนั ทกึ ภาพเคลอ่ื นไหวและภาพนง่ิ เพอ่ื บนั ทกึ ภมู ปิ ญั ญาและวฒั นธรรมตา่ งๆ ทกี่ �ำ ลงั จะสญู หายไป ในอดีต ชาวมอแกนจะใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในเรือและจะเข้าฝั่ง เมอื่ ตอ้ งการซอ่ มแซมเรอื หรอื มเี หตจุ �ำ เปน็ บางอยา่ ง เชน่ หลบลมมรสมุ หาน้าํ อาหาร หรือมีคนเจ็บ เปน็ ต้น ชาวมอแกนดำ�รงชวี ติ ดว้ ยการหา ของทะเลเปน็ อาหารโดยผชู้ ายมอแกนมหี นา้ ทห่ี ลกั ในการออกทะเลหา อาหารเพอื่ น�ำ มาเลย้ี งดคู รอบครวั ส�ำ หรบั ผหู้ ญงิ มอแกนสว่ นใหญจ่ ะท�ำ หนา้ ทเ่ี ลย้ี งดบู ตุ รท�ำ งานบา้ นหรอื หาสตั วท์ ะเลเลก็ ๆ นอ้ ยๆ ตามบรเิ วณ ชายฝั่งหรือโขดหิน แต่เมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนไปทำ�ให้คนมอแกน ส่วนใหญ่ต้องเปล่ียนแปลงวิถีชีวิตจากเดิมในอดีตที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ ในทะเลมาอาศยั อยูบ่ นฝ่ังและออกทะเลเปน็ ครง้ั คราว 60

ชาวมอแกนมคี วามรแู้ ละความผกู พนั กบั ธรรมชาตเิ ปน็ อยา่ งมากโดยเฉพาะความรทู้ างดา้ นทะเลสภาพอากาศ สัตว์นํ้าและพืชชนิดต่างๆ ท่ีเก่ียวข้องกับการดำ�รงชีวิตและการรักษาโรค โดยพวกเขาจะบูรณาการความรู้เหล่านั้น เขา้ ดว้ ยกนั และถา่ ยทอดจากรนุ่ สรู่ นุ่ ผา่ นภาษาพดู และเนอ่ื งจากภาษามอแกนไมม่ รี ะบบตวั เขยี นส�ำ หรบั การจดบนั ทกึ ความร้ตู ่างๆ จึงมผี ลใหค้ วามรบู้ างอย่างลดเลอื นหายไปหรือไม่ร้เู หตผุ ลเบอ้ื งหลงั ขององคค์ วามรู้นน้ั องคค์ วามรตู้ า่ งๆของชาวมอแกนทไี่ ดก้ ลา่ วมาขา้ งตน้ สะทอ้ นไดจ้ ากภาษาทใี่ ชใ้ นการด�ำ รงชวี ติ ประจ�ำ วนั ไมว่ า่ จะ เปน็ ค�ำ ศพั ท์ตา่ งๆ ท่ีเกย่ี วกับกระแสนํ้าข้ึน/นํ้าลงการแบง่ ประเภทและจัดหมวดหมู่สตั วช์ นดิ ตา่ งๆ หรอื แม้แตค่ วามรู้ ทางด้านการแพทย์พื้นบ้าน ที่สะท้อนออกมาจากวิธีการรักษาโรคและภาษาท่ีใช้ในระหว่างการรักษาหรือพิธีกรรม เปน็ ตน้ ภาษามอแกน ได้รับการขน้ึ ทะเบยี นเปน็ มรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๕๗ ภาพ : วฒั นธรรมในที่อยูข่ องชาวมอแกน โดย ทวีศักดิ์ ยุทธรกั ษา 61

ภาษามานิ (ซาไก) เรียบเรยี งโดย ชุมพล โพธสิ าร ค�ำ ว่า “มานิ” แปลว่าคน คนทั่วไปจะร้จู กั ในนาม เงาะปา่ หรอื ซาไก อาศัยอย่ใู นปา่ เทอื กเขาบรรทัด ในเขต จังหวัด ตรงั สตูลและพัทลงุ มีประชากรโดยประมาณ ๓๐๐ คน นักวิชาการดา้ นโบราณคดเี ช่อื ว่า “มาน”ิ เป็นกลมุ่ ชาตพิ นั ธด์ุ ง้ั เดมิ ทอ่ี าศยั อยใู่ นพน้ื ทเ่ี อเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตม้ ากวา่ หมนื่ ปี และยงั คงด�ำ รงอยกู่ ระทง่ั ปจั จบุ นั โดยเฉพาะ เอกลกั ษณท์ างวฒั นธรรมของมานิ ทเี่ รยี กวา่ วฒั นธรรมแบบหาของปา่ -ลา่ สตั ว์ โดยลกั ษณะทางวฒั นธรรมแบบน้ี เปน็ ลักษณะทางวัฒนธรรมท่ีเน้นปรับตัวให้อยู่ร่วมกับระบบนิเวศวิทยาทางธรรมชาติ โดยใช้ความรู้ภูมิปัญญาการดำ�รง ชวี ิตในป่า เช่น ความรดู้ ้านการล่าสตั ว์ การทำ�กระบอกไม้ซางและลกู ดอกอาบยาพิษ การรจู้ ักสรรพคณุ ต่างๆ ของพชื ความรเู้ รอ่ื งนสิ ยั สญั ชาตญาณและธรรมชาตขิ องสตั วป์ ระเภทตา่ งๆ รวมทง้ั ความรภู้ มู ปิ ญั ญาของปา่ โลกทศั นข์ องการ ใช้ชีวิตอยใู่ นปา่ สง่ิ เหล่าน้ีเปน็ ทง้ั ความรู้ภมู ปิ ัญญาและทกั ษะในการดำ�รงชีวิต เปน็ วัฒนธรรมทตี่ กทอดมานบั หมน่ื ปี และเป็นกล่มุ วัฒนธรรมทีป่ ัจจบุ นั ในประเทศไทยมแี คก่ ลมุ่ มานเิ ทา่ นน้ั ทย่ี ังคงรูปแบบวัฒนธรรมแบบดังกล่าวไวไ้ ด้ ภาษามานิ เปน็ ภาษาในตระกลู ออสโตรเอเชยี ตคิ สาขามอญ-เขมร กลมุ่ ยอ่ ยอสั เลยี น ภาษาในกลมุ่ ยอ่ ยเดยี วกนั ทมี่ คี วามใกลเ้ คยี ง ไดแ้ ก่ ภาษากนั ซวิ ใน จงั หวดั ยะลาและภาษาจะฮาย ในจงั หวดั นราธวิ าส ภาษามานมิ ลี กั ษณะของ ภาษากลมุ่ มอญ-เขมรทช่ี ดั เจน โดยมพี ญั ชนะตน้ (๒๒ ตวั ) พยญั ชนะสะกด (๑๓ ตวั )โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การใชต้ วั สะกด จ ญ ฮ และไม่มเี สยี งวรรณยกุ ต์ ตัวอยา่ งค�ำ ศัพทใ์ นภาษามานิ เชน่ มะเลง = ปา่ ทบึ หรือป่าดงดบิ , บาแอด = คำ�ทมี่ ี ความหมายในทางทีด่ ี อรอ่ ย ดี สวย, แมด = ตา, มอฮ = จมกู ตะกบ = หัวมันป่า ไวยากรณ์ภาษามานโิ ดยทั่วไปมกี าร เรยี งคำ�ในลกั ษณะ ประธาน – กรยิ า - กรรม เชน่ เดียวกบั กลุ่มภาษามอญ-เขมรอืน่ ๆ เช่นประโยควา่ นะ ฮาว ตะกบ <แม-่ กิน-หวั มันปา่ > = แมก่ ินหัวมนั ป่า ประโยคปฏเิ สธ เช่นประโยค องิ เอยบะ แดง ตะเอาะ <ฉัน-ไม่-เห็น-เสือ> = ฉนั ไม(่ เคย)เห็นเสือ ภาษามานมิ ลี กั ษณะทางภาษาท่มี เี สยี งพยญั ชนะท้ายเป็นเสียงกกั ท่ีเสน้ เสยี งเป็นจ�ำ นวนมาก ในภาษามานิจะไม่มีคำ�ด่าหรือคำ�พดู หยาบคาย ไมม่ ีคำ�ทแี่ สดงถงึ ชนช้นั ฐานะทางสงั คม เทา่ ทมี่ กี ารส�ำ รวจขอ้ มลู ประชากรมานิ พบวา่ ปจั จบุ นั มานมิ ปี ระชากรอยเู่ พยี ง ๓๐๐ คนเทา่ นนั้ พนื้ ทท่ี อี่ ยอู่ าศยั ของมานิ อยใู่ นเขตปา่ เทอื กเขาบรรทดั ในพนื้ ทจ่ี งั หวดั ตรงั สตลู และพทั ลงุ แมว้ า่ ยงั มมี านจิ �ำ นวนหนงึ่ ทย่ี งั ด�ำ รงชวี ติ อยู่ ในปา่ มกี ารตดิ ตอ่ กบั กลมุ่ คนภายนอกนอ้ ยและยงั คงรกั ษาภาษาและวฒั นธรรมของตนไวไ้ ด้ แตก่ ม็ มี านอิ กี หลายกลมุ่ ท่ี ไมส่ ามารถด�ำ รงชวี ติ ในปา่ ไดอ้ กี ตอ่ ไปเนอ่ื งจากสภาพพนื้ ทข่ี าดความอดุ มสมบรู ณ์ ท�ำ ใหต้ อ้ งปรบั เปลย่ี นวถิ ชี วี ติ ใหเ้ ขา้ กบั วฒั นธรรมภายนอก บางกลมุ่ เปลย่ี นมาทำ�ไร่ขา้ ว บา้ งกท็ ำ�สวนยางพารา บางกลมุ่ รบั จา้ ง บางกลุ่มล่าสัตวห์ รอื หา ของป่ามาขาย การติดตอ่ กับผู้คนภายนอกจงึ ท�ำ ใหม้ านมิ ีความความรสู้ ึก “อาย” ทีจ่ ะพดู ภาษาตนเองและหนั มาพดู ภาษาไทยถิ่นใต้ไดค้ ลอ่ งแคล่วและไม่สอนให้ลูกๆ หลานๆ พดู ภาษามานิ ปจั จบุ นั ในบางพื้นที่เดก็ ๆ แทบพูดภาษาแม่ ของตนไมไ่ ด้แล้ว โดยเฉพาะในพืน้ ท่จี ังหวัดตรงั พืน้ ท่ีปา่ ไม้ในเทือกเขาบรรทัดก็ค่อยๆ ลดลงเร่อื ยๆ สภาวะทางความ 62

เปลี่ยนแปลงทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจหลายๆ อย่างรวมท้ังจำ�นวนผู้พูดท่ีน้อยมากจึงทำ�ให้ภาษามานิอยู่ในภาวะ เสย่ี งต่อการสูญหายของภาษาในระดบั ทร่ี นุ แรง อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขสำ�คัญในการธำ�รงอยู่ของภาษาและวัฒนธรรมมานิ คือความสัมพันธ์ระหว่างฐาน ของทรัพยากรทางธรรมชาติท่ีเป็นต้นทุนทางวัฒนธรรม หากต้นทุนทางวัฒนธรรม ได้แก่สภาพแวดล้อม พ้ืนที่ป่า พนั ธสุ์ ตั วป์ า่ และพนั ธพุ์ ชื ทจี่ �ำ เปน็ ในการด�ำ รงชวี ติ สญู หายไป ภาษาและวฒั นธรรมของมานกิ จ็ ะหายไปดว้ ยโดยปรยิ าย ถงึ อย่างไรก็ตามยังมี นายเหง้ ศรปี ะเหลยี น แกนนำ�มานิที่หมบู่ า้ นคลองตง อำ�เภอปะเหลยี น จงั หวดั ตรัง ก็มีความ สนใจท่ีจะรักษาภาษาตนเองไว้ให้ลูกหลาน ไม่อยากให้สูญหายไปท้ังต้องการสอนให้คนในชุมชนสามารถปรับตัวให้ เท่าทนั กบั โลกภายนอกไดด้ ้วย ภาษามานิ (ซาไก) ไดร้ บั การขนึ้ ทะเบยี นเปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๕๖ 63

ภาษาเลอเวอื ะ เรยี บเรยี งโดย มยุรี ถาวรพัฒน์ เลอเวือะ เปน็ กลุม่ ชนด้งั เดมิ ท่อี าศัยอยใู่ นดนิ แดนทางภาคเหนือของประเทศไทยมาเปน็ เวลานาน พบการตง้ั ถน่ิ ฐานหนาแน่นอยใู่ นบรเิ วณหบุ เขาตามแนวตะเขบ็ ของจงั หวดั เชยี งใหมแ่ ละแมฮ่ อ่ งสอน เชน่ อำ�เภอแมแ่ จม่ อำ�เภอ อมก๋อย อำ�เภอฮอด จงั หวัดเชยี งใหม่ และ อ�ำ เภอแมส่ ะเรยี ง อำ�เภอแม่ลานอ้ ย จงั หวดั แมฮ่ ่องสอน ค�ำ วา่ “ละเวือะ” “ลเวอื ะ” และ “เลอเวอื ะ” เปน็ ค�ำ เรียกทีก่ ล่มุ ชาตพิ ันธ์ุใช้เรียกตนเอง และเปน็ คำ�ทเี่ พง่ิ เริม่ ใชก้ ันอย่างแพร่หลายเม่อื ไม่นานมาน้ี ท่ีผ่านมางานวิจัยส่วนใหญ่เรียกกลุ่มชาติพันธุ์น้ีว่า “ลัวะ” และ “ละว้า” ปัจจุบันเจ้าของภาษาชอบ ค�ำ วา่ “เลอเวอื ะ” มากทสี่ ดุ เนอื่ งจากเปน็ ค�ำ ทใ่ี ชเ้ รยี กตนเองและภาษาของตนเอง จากการส�ำ รวจของโครงการแผนท่ี ภาษากลมุ่ ชาตพิ นั ธใุ์ นประเทศไทย พบวา่ มผี พู้ ดู ภาษานป้ี ระมาณ ๕,๐๐๐ คน (สวุ ไิ ล เปรมศรรี ตั นแ์ ละคณะ, ๒๕๔๗) ภาษาน้ีจดั อยูใ่ นตระกลู ออสโตรเอเชยี ตกิ (Austroasiatic) สาขามอญ-เขมร (Mon-Khmer) สาขาย่อยปะหลอ่ ง-ว้า (Palaung-Wa) ภาษาเลอเวอื ะ มีส�ำ เนยี งทอ้ งถิ่นตา่ งๆ กนั อาทิ ส�ำ เนยี งบา้ นปา่ แป๋ ส�ำ เนียงบา้ นละอบุ ส�ำ เนียงบ้านบอ่ หลวง เป็นต้น ภาษาเลอเวือะเป็นภาษาที่ไม่ใช้ลักษณะน้ําเสียง (register) หรือวรรณยุกต์ (tone) แสดงนัยสำ�คัญทาง ความหมาย โดยเฉพาะส�ำ เนยี งทอ้ งถน่ิ บา้ นปา่ แปเ๋ ปน็ ส�ำ เนยี งทย่ี งั คงลกั ษณะดง้ั เดมิ ทางภาษาของตระกลู ออสโตรเอเชยี ตกิ ไวไ้ ดม้ าก กลา่ วคอื มหี นว่ ยเสยี งพยญั ชนะตน้ เดยี่ ว (๓๗ ตวั ) พยญั ชนะตน้ ทสี่ ามารถไปควบสนทิ กบั ตวั อน่ื นอกจาก ร ล ว แลว้ ยงั มี ย ดว้ ย เชน่ กยกั “ควาย” พยุ “ผา้ ห่ม” หนว่ ยเสียงสระเดย่ี ว (๙ ตวั ) และสระเรยี ง (๑๔ ตัว) เชน่ เลอ-อิจ “หมู” เมอ-อกุ “ววั ” พยัญชนะสะกด (๑๐ ตวั ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ตวั สะกด จ ญ และ ฮ ไวยากรณ์ ภาษาเลอเวือะโดยทว่ั ไปมีลักษณะเรียงค�ำ แบบประธาน – กริยา – กรรม เช่นเดียวกับภาษากล่มุ มอญ-เขมรอืน่ ๆ เช่น ประโยคว่า กวนโดะ โซม อา-โอบ <เด็ก-กิน-ข้าว> = เด็กกินข้าว ลักษณะไวยากรณ์ท่ีเป็นเอกลักษณ์คือลักษณะ ประโยคคำ�ถาม เชน่ อมั -กอ-เปอะ <ไหม-สบาย-คุณ> = คุณสบายดีไหม ปะ-เออ-อิญ-เปอะ - เ’นอ-อมุ - นาทมู ? <คุณ-มา-คณุ -จาก-ทีไ่ หน> = คุณไปไหนมา ประโยคปฏิเสธ เช่น ญมื - เตอ-อู - โซม <อรอ่ ย-ไม-่ กนิ > = กนิ ไม่อรอ่ ย แกฮ-โซม-เตอ-อู <ได-้ กิน-ไม>่ = กินไมไ่ ด้ เปน็ ต้น นอกจากดา้ นภาษาแลว้ ชาวเลอเวือะยงั มีโครงสรา้ งทางสงั คมที่นา่ สนใจ คือ มี ซะมาง = ขุน ท�ำ หน้าท่ีควบคมุ กฎทางสงั คมและวฒั นธรรม ซง่ึ มสี ว่ นท�ำ ใหส้ งั คมคนเลอเวอื ะเปน็ สงั คมทมี่ คี วามสงบเรยี บรอ้ ย และมคี วามเชอ่ื วา่ เปน็ ผู้ที่สืบเชอ้ื สายมาจากขนุ หลวงวลิ ังคะ มนี ิทานหลายเรอ่ื งที่สะทอ้ นความสัมพันธ์ระหว่างคนไทกับคนเลอเวือะ มี เลอ ซอมแล = วรรณกรรมมขุ ปาฐะทีม่ ีเน้ือหาเกี่ยวกบั การสั่งสอน การเกี้ยวพาราสีระหว่างชาย-หญงิ การแต่งกายทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณ์ การท�ำ นาแบบขนั้ บนั ได ประเพณี ความเชอื่ และพธิ กี รรมตา่ งๆ เชน่ การแตง่ งาน การขน้ึ บา้ นใหม่ งานศพ 64

งานเลย้ี งผซี ง่ึ มที ง้ั การเลย้ี งผเี รอื น การเลย้ี งผหี มบู่ า้ น ผเี จา้ ทแ่ี ละผปี า่ ซงึ่ จะจดั ขน้ึ ตามเวลาทส่ี มั พนั ธก์ บั ระบบการท�ำ มาหากินอกี ทง้ั ยังมกี ารนับถือศาสนาพุทธ ศาสนาคริสตท์ งั้ นกิ ายโปแตสแตนตแ์ ละคาทอลิก ด้วยสภาพการเปลยี่ นแปลงในสภาวะปจั จุบนั ทำ�ให้ภาษาและวฒั นธรรมธรรมชาวเลอเวอื ะอยู่ในภาวะวกิ ฤต ท�ำ ให้ชาวเลอเวอื ะได้มคี วามพยายามร่วมมอื กันในการฟืน้ ฟูภาษาและวฒั นธรรมของตนเองเรือ่ ยมาตัง้ แต่ ปี ๒๕๕๐ ซง่ึ ไดร้ ับทนุ สนับสนนุ จากส�ำ นักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ในการด�ำ เนินกิจกรรมการวจิ ยั โดยเร่มิ พฒั นา ระบบตวั เขยี นภาษาเลอเวอื ะดว้ ยอกั ษรไทยอยา่ งเปน็ ระบบมาตรฐาน และสามารถแทนเสยี งในภาษาเลอเวอื ะได้ เพอ่ื ใชใ้ นการบนั ทกึ และถา่ ยทอดภาษา ผา่ นการ เขยี นนทิ าน เรอื่ งเลา่ และวรรณกรรมมขุ ปาฐะตา่ งๆ ตลอดจนการน�ำ ภาษา เลอเวอื ะเข้าสอนในระบบโรงเรยี น และน�ำ ไปส่กู ารฟน้ื ฟูภมู ปิ ัญญาด้านอ่นื เช่น การฟน้ื ฟอู าหารพ้นื บา้ น เปน็ ต้น จาก การด�ำ เนนิ งานดงั กลา่ วท�ำ ใหไ้ ดอ้ งคค์ วามรแู้ ละภมู ปิ ญั ญาส�ำ คญั ของชาวเลอเวอื ะ และยงั เปน็ การกระตนุ้ ใหช้ มุ ชนเหน็ ความสำ�คัญ เกดิ ความตระหนกั และความภาคภมู ิใจในภาษาและวัฒนธรรมของตนเอง ภาษาเลอเวอื ะ ได้รับการข้ึนทะเบยี นเป็นมรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจ�ำ ปพี ุทธศกั ราช ๒๕๕๖ เอกสารอา้ งอิง บือ ขจรศักดิ์ศรี. (๒๕๕๒). รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์รักษ์ลโพงละเวือะบ้านป่าแป๋ อำ�เภอแม่สะเรียง จังหวัด แม่ฮ่องสอน. ส�ำ นกั งานกองทุนสนบั สนนุ การวิจยั . กรงุ เทพฯ มยรุ ี ถาวรพฒั น.์ (๒๕๕๘). “การอนรุ กั ษแ์ ละฟนื้ ฟภู าษาและวฒั นธรรมอยา่ งยง่ั ยนื : กรณศี กึ ษากลมุ่ ชาตพิ นั ธเุ์ ลอเวอื ะ (ละว้า) บา้ นปา่ แป๋ อำ�เภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน. วารสารกระแสวัฒนธรรม. ๒๘ (๒):๕๙-๖๗. สุวิไล เปรมศรีรัตน์ และคณะ. (๒๕๔๗). แผนท่ีภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในประเทศไทย. สำ�นักงาน คณะกรรมการวัฒนธรรมแหง่ ชาต.ิ โรงพิมพค์ ุรุสภา ลาดพร้าว. กรุงเทพฯ 65

ระบบตัวเขยี นภาษาเลอเวอื ะ อกั ษรไทย 66

67

ภาษาสะกอม เรียบเรียงโดย ผู้ชว่ ยศาสตราจารยเ์ ชิดชยั อดุ มพนั ธ์ ในภาคใต้ของประเทศไทย นอกจากภาษาไทยถ่ินใต้ แล้วยงั มภี าษาทโ่ี ดดเด่นอกี ๓ ภาษา ได้แก่ ภาษาตากใบ (เจ๊ะเห) ภาษาสะกอม และภาษาพิเทน มผี ู้สันนิษฐานว่าภาษาท้ังสามนมี้ ีความเกย่ี วขอ้ งกัน แต่ยงั ไม่ปรากฏหลักฐาน ทีช่ ัดเจน ภาษาสะกอมเป็นภาษาไทยถิน่ ทใ่ี ชพ้ ดู กนั ในพน้ื ท่ีตำ�บลสะกอม อำ�เภอจะนะและบางสว่ นของอ�ำ เภอเทพา จังหวดั สงขลา แมว้ ่าพ้ืนท่ีของผู้พูดภาษาสะกอมจะต้งั อยใู่ นเขตจงั หวดั สงขลา แต่ภาษาสะกอมกลบั มีส�ำ เนยี งทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณแ์ ละการใชค้ �ำ ศพั ทเ์ ฉพาะถนิ่ ทแ่ี ตกตา่ งจากภาษาไทยถน่ิ สงขลาหรอื ภาษาในละแวกใกลเ้ คยี งอนื่ นอกจากนี้ ภาษาสะกอมยงั เปน็ ภาษาทใี่ ชใ้ นการแสดงพน้ื บา้ น “หนงั ตะลงุ ” (ของคณะตะลงุ หนงั กนั้ ) โดยมตี วั หนงั ชอ่ื “สะหมอ้ ” เปน็ ตวั ตลก พดู จาดว้ ยภาษาสะกอม อทิ ธพิ ลความขบขนั สนกุ สนานของการแสดงหนงั ตะลงุ นเี่ องจงึ เปน็ เหตใุ หภ้ าษา สะกอมด้วยถูกเรียกหรอื รู้จักของคนท่ัวไปดว้ ยชอ่ื วา่ “ภาษาสะหมอ้ ” ตามชอ่ื ของตัวหนังด้วย ชาวบา้ นทพี่ ดู สะกอมเลา่ สบื ตอ่ กนั มาวา่ บรรพบรุ ษุ ของตนนบั ถอื ศาสนาอสิ ลาม และอพยพมาจากกรงุ ศรอี ยธุ ยา ตั้งแต่เมื่อคร้ังกรุงศรีอยุธยาแตกเมื่อประมาณเกือบสามร้อยปีมาแล้ว ปัจจุบันชาวบ้านท่ีพูดสะกอมส่วนใหญ่ก็ยังคง นบั ถอื ศาสนาอสิ ลามเชน่ เดยี วกบั บรรพบรุ ษุ อยา่ งไรกต็ าม ในพนื้ ทข่ี องภาษาไทยสะกอมยงั มผี คู้ นทน่ี บั ถอื ศาสนาพทุ ธ และคนไทยเชอ้ื สายจนี อยดู่ ว้ ย และทกุ กลมุ่ ตา่ งกใ็ ชภ้ าษาสะกอมรว่ มกนั นบั ไดว้ า่ ต�ำ บลสะกอมเปน็ พนื้ ทพ่ี หวุ ฒั นธรรม ทีม่ ีภาษาเปน็ แกนกลาง ภาษาสะกอมประกอบด้วยประกอบด้วยเสียงพยัญชนะเดี่ยวจำ�นวน ๒๓ หน่วยเสียง เสียงที่ต่างจากภาษา ไทยมาตรฐาน คอื เสยี ง ฆ (เสยี งกักกอ้ ง เพดานอ่อน) และ ญ (เสียงนาสกิ เพดานแขง็ ) เสียงพยัญชนะทุกเสียงทำ� หน้าท่ีเป็นพยัญชนะต้นได้ทุกเสียง และมีเสียงท่ีทำ�หน้าท่ีเป็นพยัญชนะท้ายได้เพียง ๙ หน่วยเสียงเหมือนกับภาษา ไทยมาตรฐาน ระบบเสยี งสระประกอบด้วยสระเดยี่ ว (๑๘ หนว่ ยเสยี ง) สระประสม (๓ หน่วยเสยี ง) และระบบเสียง วรรณยุกตจ์ �ำ นวน ๖ หนว่ ยเสยี ง ระบบค�ำ และการเรยี งคำ� โดยรวมเหมอื นกบั ภาษาไทยถิน่ ใต้ท่ัวไป แต่จะมลี ักษณะ เฉพาะบางประการในแงจ่ �ำ นวนพยางคข์ องค�ำ ซงึ่ มกั ไมน่ ยิ มตดั เสยี งของค�ำ ใหเ้ หลอื พยางคเ์ ดยี วเหมอื นภาษาไทยถนิ่ ใต้ท่ัวไป แต่มักจะใชเ้ ป็นค�ำ สองพยางค์ เชน่ กะเดียว = เดยี ว กะพรก = กะลา ชะลยุ = มากมาย กอื ชะ = ตะกร้า เปน็ ตน้ การเรยี งล�ำ ดบั ของค�ำ บางสว่ นกจ็ ะสลบั กบั ภาษาไทยถน่ิ ใตท้ วั่ ไป เชน่ นอ้ ยแลก็ = เลก็ นอ้ ย หลงั ถอย = ถอยหลงั เข้านํ้า = นํ้าเข้า ร้อนทุกข์ = ทุกข์ร้อน นอกจากน้ี ภาษาสะกอมยังใช้ศัพท์เฉพาะถ่ินซ่ึงเป็นเอกลักษณ์ต่างจาก ภาษาละแวกใกล้เคยี งอ่ืน เช่น ดอย = ตาย จะลอ็ ก = ล้อเลียน ผ้าปล่อย = ผา้ ขาวม้า กะได = เคย แถลง (พดู ) จากับ = สนทนา เปน็ ตน้ 68

ปจั จบุ นั ภาษาสะกอมยงั คงใชพ้ ดู โดยผคู้ นในพนื้ ทใี่ นชวี ติ ประจ�ำ วนั โดยเฉพาะการพดู คยุ ในครอบครวั หมบู่ า้ น การประชุมแจ้งข่าวสารของต�ำ บล และการจดั รายการวิทยุท้องถิ่น อยา่ งไรกต็ าม ปจั จยั ดา้ นความเจริญกา้ วหน้าทาง เทคโนโลยีที่มีเคร่ืองมืออุปกรณ์มาทดแทนเครื่องมือพื้นบ้าน ระบบการศึกษาที่ใช้ภาษาไทยมาตรฐาน อิทธิพลของ สือ่ สารมวลชน และการเดินทางตดิ ตอ่ ประกอบอาชีพ ทำ�ให้คำ�ศพั ทเ์ ฉพาะหลายคำ�ใชล้ ดนอ้ ยลง และถูกแทนท่ีด้วย ค�ำ ศัพทไ์ ทยถ่ินใต้หรอื ค�ำ ศัพทภ์ าษาไทยมาตรฐาน ภาษาสะกอม ไดร้ บั การข้ึนทะเบียนเป็นมรดกภมู ิปญั ญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจำ�ปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๕๖ 69

ภาษาแสก เรียบเรยี งโดย ดุจฉตั ร จิตบรรจง และ รองศาสตราจารย์สุวัฒนา เลย่ี มประวัติ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยซ่ึงเป็นภูมิภาคที่มีความหลากหลายทางด้านชาติพันธุ์ ภาษา และวัฒนธรรม ภาษาแสกเป็นภาษาหน่ึงในภาษาตระกูลไทกลุ่มเหนือ (Northern Tai Group) ตามการแบ่งของ นักภาษาศาสตรค์ ือ ฟงั กวยลี (Fang Kuei Li 1959) ปกติภาษาตระกลู ไทกลมุ่ เหนอื จะมพี ูดในประเทศจนี ทงั้ หมดแต่ ภาษาแสกเปน็ ภาษาไทกลมุ่ เหนอื เพยี งภาษาเดยี วทมี่ ผี พู้ ดู อาศยั อยใู่ นเขตพนื้ ทข่ี องประเทศสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตย ประชาชนลาวและประเทศไทยซึ่งเป็นพ้ืนที่ของผู้พูดภาษาตระกูลไทกลุ่มตะวันตกเฉียงใต้ (Southwestern Tai Group) ชาวแสกในประเทศไทยเล่าต่อ ๆ กันมาว่าถ่ินฐานเดิมของชาวแสกอยู่ในประเทศเวียดนาม ต่อมาได้ฆ่า ชา้ งเผอื กของกษตั รยิ เ์ วยี ดนามเพอื่ น�ำ มาเปน็ อาหาร เมอ่ื กษตั รยิ เ์ วยี ดนามทราบเรอื่ ง พระองคโ์ ปรดฯ ให้ ชาวแสกชดใช้ เงนิ จ�ำ นวนมากเกินกวา่ ทีช่ าวแสกจะหามาได้ แต่ได้มขี า้ ราชการชาวเวยี ดนามคนหนงึ่ ทีช่ าวแสกเรียกว่า “องคม์ ู่” ให้ ชาวแสกยมื เงินเพื่อนำ�ไปชดใชแ้ กก่ ษตั รยิ เ์ วียดนาม ชาวแสกจงึ เคารพนับถือและสำ�นกึ ในบุญคณุ ขององคม์ ู่มาก หลงั จากเหตุการณ์นั้นชาวแสกก็อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยท่ีบ้านอาจสามารถ และยังคงระลึกถึงบุญคุณขององค์มู่ อยู่เสมอ โดยชาวแสกเชือ่ วา่ เมอื่ องคม์ สู่ ิน้ ชีวติ ลงวญิ ญาณขององค์มกู่ ็ตามมาปกปกั รกั ษาชาวแสกทบี่ ้านอาจสามารถ ชาวแสกท่ีบ้านอาจสามารถจึงสร้างศาลข้ึนท่ีริมแม่นํ้าโขงและทำ�พิธีบวงสรวงวิญญาณขององค์มู่เป็นประจำ�ทุกปี ผเู้ ฒา่ ผแู้ กช่ าวแสกเลา่ วา่ เดมิ ชาวแสกมวี ฒั นธรรมประเพณหี ลายอยา่ งทแ่ี ตกตา่ งไปจากชาวไทยอสี านและชาวไทยทอี่ นื่ ๆ แตป่ จั จบุ นั ชาวแสกมวี ฒั นธรรมและประเพณที ค่ี ลา้ ยคลงึ กบั คนไทยในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื มาก ประเพณที ถี่ อื ไดว้ า่ เปน็ ลักษณะเฉพาะของชาวแสกคอื ประเพณีสังเวยผีหรือเหล่ยี งเดน จดั ในวนั ขนึ้ ๒ คํ่า เดอื น ๓ ของทุกปี ชาวแสกท่ี บา้ นอาจสามารถจะเตรยี มอาหารไปสังเวยผีท่ีเดนหรือศาลเจ้าประจำ�หมบู่ ้าน เสรจ็ แล้วจะน�ำ อาหารเหลา่ นัน้ มาปรุง รสชาตใิ หมแ่ ลว้ มารับประทานรว่ มกัน หลังจากนัน้ จะมีการเต้นร�ำ ถวายเรียกว่า “การเตน้ สาก” โดยในการเต้นจะมี ผหู้ ญงิ ๑๐ คู่ นง่ั หนั หนา้ เรยี งกนั เปน็ แถวถอื ไมพ้ ลองตเี ปน็ จงั หวะ สว่ นผเู้ ตน้ จบั คกู่ นั เตน้ ไปตามจงั หวะในระหวา่ งชอ่ ง ไมพ้ ลอง ตามปกติการเตน้ สากจะเตน้ กนั ปลี ะครัง้ ในวันสงั เวยผเี ทา่ นั้น ปจั จุบันในประเทศไทยมีจำ�นวนผู้พดู ภาษาแสกประมาณ ๓,๐๐๐ กวา่ คนใน ๔ หมู่บา้ นของจงั หวดั นครพนม โดยมบี า้ นบะหวา้ ต�ำ บลทา่ เรอื อ�ำ เภอนาหวา้ เปน็ หมบู่ า้ นหลกั ทยี่ งั คงใชภ้ าษาแสกในชวี ติ ประจ�ำ วนั ภาษาแสกจงึ ถกู จดั ให้เป็นภาษาทีอ่ ยู่ในภาวะวิกฤตใกล้สญู หาย จากงานวจิ ัยด้านภาษาศาสตร์พบวา่ ภาษาแสกทบ่ี ้านบะหว้า ตำ�บลท่าเรือ อำ�เภอนาหวา้ จังหวดั นครพนม มี พยญั ชนะต้นเดี่ยว ๒๑ หน่วยเสียง พยญั ชนะตน้ ควบกลาํ้ ๗ หน่วยเสียง ลักษณะเด่นคือเสยี งพยญั ชนะตน้ เดย่ี วท่มี ี ลกั ษณะเป็นเสยี งกอ้ ง/ฅ/ เช่นคำ�ว่า ฅอ = คอ ฅ่ํา = คํ่า พยัญชนะควบกล้ํา /ถร/ /บล/ และ /มล/ เช่นค�ำ ว่า เถรา = หวั เถรีย่ ว = รีบ เบรีย๋ น = เดอื น (พระจันทร)์ บร๋ี = ดี (อวัยวะ) มราด = จืด แมร็ก = เมลด็ มีเสียงพยัญชนะท้าย 70

๙ หนว่ ยเสยี ง หน่วยเสียงสระเด่ียว ๑๘ หน่วยเสยี ง หนว่ ยเสียงสระประสม ๓ หน่วยเสียง หนว่ ยเสยี งวรรณยุกต์มี ๖ หนว่ ยเสียง และมกี ารแตกตวั เป็น ๓ ทาง ด้านการใช้ศัพท์ มีศัพท์เฉพาะ เช่น หอก = ผัว พ๊า = เมยี บึก๊ = ใหญ่ บน๋ึ = ทอ้ งฟา้ ท๊ัวจะปรุ๊ก = ปลวก ท๊ัวโหรย่ = ผง้ึ มากถา้ ด = พรกิ มากหล้งุ = กลว้ ย เตรฅิ ง = ไข่ เตยี ก = เสยี ดาย นอกจากนน้ั ยังมีค�ำ ศพั ทท์ ใี่ ช้ร่วมกบั ภาษาเวยี ดนาม เช่น เหล้ย = เหงือก หงอ่ น = อร่อย แหน๋ง = ฟนั มากหวง๋ึ = งา (ระบบการเขยี นภาษาแสกดว้ ยตัวอักษรไทยใชต้ ามท่ปี รากฏในงานวิจยั ของปรีชา ชยั ปัญหา และคณะ, ๒๕๕๖) แม้ว่าจะมีการใช้ภาษาแสกในชุมชน แต่ผู้ที่พูดภาษาแสกได้มีจำ�นวนน้อยและมีแนวโน้มที่จะสูญหายไปจาก สังคมไทย หากไม่มีแนวทางในการอนุรักษ์ ฟ้ืนฟู และสืบทอด ด้วยเหตุนี้จึงมีความพยายามของเจ้าของภาษาและ นักวิชาการที่ตระหนักในคุณค่าของภาษาแสก จึงได้ศึกษาและรวบรวมภาษาแสกไว้เพื่อเป็นมรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรมของชาติต่อไป ภาษาแสก ไดร้ ับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ�ปีพุทธศักราช ๒๕๕๗ เอกสารอา้ งอิง ปรีชา ชัยปัญหา และคณะ. (๒๕๕๖). แนวทางการจัดทำ�พจนานุกรมภาษาแสกฉบับชาวบ้านเพ่ือการอนุรักษ์ และฟื้นฟูภาษาและภูมิปัญญาแสกบ้านบะหว้า ตำ�บลท่าเรือ อำ�เภอนาหว้า จังหวัดนครพนม. กรุงเทพฯ : สำ�นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ัย. ศรนิ ยา จติ บรรจง. (๒๕๔๕). “การวเิ คราะหก์ ารแปรการใชศ้ พั ทข์ องคนสามระดบั อายใุ นภาษาแสก อ�ำ เภอนาหวา้ จงั หวัดนครพนม.” วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑติ มหาวิทยาลยั ศิลปากร. แสกเตน้ สาก ถา่ ยเมือ่ ปี พ.ศ.๒๕๔๔ ทม่ี า: ศนู ยศ์ ึกษาและฟ้นื ฟภู าษา และวัฒนธรรมในภาวะวกิ ฤต มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล 71

ภาษาอึมปี้ เรยี บเรยี งโดย มยรุ ี ถาวรพฒั น์ อมึ ป้ี (Mpi) เปน็ ชอ่ื ของภาษาและกลมุ่ ชาตพิ นั ธก์ุ ลมุ่ หนงึ่ อาศยั อยทู่ บี่ า้ นดง จงั หวดั แพร่ คนไทยถน่ิ เหนอื เรยี ก คนกลมุ่ นวี้ า่ “กอ่ ” “กอ้ เมอื งแพร”่ “กอ้ บา้ นดง” นอกจากนแี้ ลว้ ยงั มคี นเขยี นหรอื เรยี กคนกลมุ่ นว้ี า่ มปฺ ี มปี มป้ี ท�ำ ให้ อา่ นออกเสยี งวา่ มะปี หรอื มะปี้ เพอ่ื ใหม้ กี ารเรยี กชอื่ กลมุ่ ชาตพิ นั ธน์ุ อี้ ยา่ งถกู ตอ้ ง ชมุ ชนเจา้ ของภาษาจงึ ไดห้ ารอื และ ตกลงรว่ มกนั ทจ่ี ะเรยี กและเขยี นชอ่ื ภาษาและกลมุ่ ชาตพิ นั ธข์ุ องตนวา่ “อมึ ป”้ี โดยออกเสยี งพยางคห์ นา้ เพยี งครงึ่ เดยี ว รมิ ฝีปากปดิ สนทิ และมีการลงเสียงหนักพยางค์ทา้ ย จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ นับย้อนหลังไปสู่อดีตหลายร้อยปีล่วงมาแล้ว เกิดความขัดแย้งและสู้รบกัน ระหว่างชนกลมุ่ น้อยเผา่ ต่างๆ ในแคว้นสบิ สองปนั นา สง่ ผลให้มกี ารอพยพของชนเผ่าตา่ งๆ กระจดั กระจายกนั ออก ไป ส่วนใหญ่อพยพลงทางตอนใต้ของคาบสมุทรอินโดจีน ส่วนคนอึมปี้บางส่วนอพยพลงสู่เมืองพรหมในประเทศ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ต่อมาเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๒๒๕ เจ้าเมืองแพร่องค์หน่ึงท่ีรู้จักกันในนาม “เจา้ หลวงขาแค” (เจา้ หลวงขาเป)๋ ไดย้ กทพั ไปท�ำ สงครามทเ่ี มอื งพรหมและไดร้ บั ชยั ชนะ จงึ กวาดตอ้ นผคู้ นกลบั มายงั เมอื งแพร่ รวมถงึ ชาวอมึ ปดี้ ว้ ย ระหวา่ งทางทเ่ี ดนิ ทพั กลบั มกี ารสง่ั ใหผ้ ถู้ กู กวาดตอ้ นสว่ นหนงึ่ พกั อาศยั อยทู่ บี่ า้ นสะเกนิ หรอื เสอื กนื๋ ใกลก้ บั ดอยภลู งั กาในเขตต�ำ บลยอด อ�ำ เภอปง จงั หวดั เชยี งราย (ปจั จบุ นั อยเู่ ขตต�ำ บลยอด อ�ำ เภอสองแคว จงั หวดั น่าน) และได้นำ�คนอึมป้ี ๖ คู่กลบั มาอยเู่ มอื งแพร่ โดยใหท้ �ำ หนา้ ทเ่ี ลี้ยงมา้ เลีย้ งชา้ ง คนอมึ ปี้จึงได้ตงั้ ถ่ินฐาน ท่ีบ้านดงมาจนถึงทกุ วนั นี้ ภาษาอึมป้ีเป็นภาษาที่จัดอยู่ในตระกูลจีน-ทิเบต สาขาโลโล และเป็นภาษาท่ีอยู่ในภาวะวิกฤตภาษาหนึ่ง เนื่องจากเป็นกลุ่มชาติพันธ์ุที่มีขนาดเล็ก จำ�นวนประชากรทั้งหมดประมาณ ๑,๐๐๐ คน เยาวชนนิยมพูดคำ�เมือง และภาษาไทยมากกว่าภาษาแม่ ดงั น้ัน นกั วชิ าการซึง่ มองเห็นสถานการณน์ ี้ เกรงว่าจะเกิดวกิ ฤตหนกั จงึ ได้หารอื กบั แกนน�ำ ของชมุ ชน เพอ่ื สรา้ งความตระหนกั เรอ่ื งวกิ ฤตทางภาษาและวฒั นธรรมของชาวอมึ ปี้ และไดม้ กี ารปฏบิ ตั กิ าร ร่วมกันเพ่ือชะลอการตายของภาษาและวัฒนธรรมซึ่งเป็นสิ่งท่ีแสดงอัตลักษณ์ของชาวอึมปี้ โดยเร่ิมจากการพัฒนา ระบบเพื่อบันทึกเร่ืองราวต่างๆ ศึกษาและรวบรวมความรู้ท้องถ่ิน และพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้สำ�หรับคนภายใน และภายนอกชุมชน พยญั ชนะตน้ เดี่ยวภาษาอมึ ป้ี มี ๑๙ หน่วยเสียง พยญั ชนะควบกลา้ํ ไดแ้ ก่ ปย มย ฮย พย ตย กย คย นย ตว พยญั ชนะสะกดมนี ้อยมากซึ่งเปน็ ลักษณะเดน่ ของภาษาตระกลู ทิเบต-พมา่ สระมีทง้ั สระธรรมดา (ordinary vowel) เช่น โง่ = ฉัน โย = ช้าง เป้ = ให้ ก่ี = เคยี ว สระเสียงต่ําลึก (creaky vowel) เช่น วา่ อ์ = หมู ปอู่ ์ = ขวด สระ เสียงข้นึ จมกู (nasalized vowel) แจง์ = จาน อะเมง์ = แมว แฮง์ = ห่าน และเสยี งข้ึนจมูกพรอ้ มกับเสยี งต่ําลึก แนงอ์ = ควาย แป๎งอ์ = บาตร(พระ) ส่วนความส้ันยาวของสระไม่ทำ�ให้ความหมายแตกต่างกัน วรรณยุกต์ มี ๖ หน่วยเสียง ไดแ้ ก่ เสียงกลางระดับ เช่น ซี = สี เสยี งกลาง-ขึ้น-ตก เช่น ซ้ี = ฟ่ัน (เชือก) เสียงตาํ่ เช่น ซ่ี = เลือด เสยี งตํ่า-ขนึ้ เช่น ซ๋ี = บูด เสียงสงู เช่น ซ๊ี = ส่ี เสียงสูง-ข้นึ -ตก เชน่ ซี = ตาย การเรยี งค�ำ ในประโยคมีลักษณะแบบ 72

ประธาน-กรรม-กริยา (SOV) เชน่ โง่ ฮอ่ โจ๋ <ฉัน-ข้าว-กิน> = ฉนั กนิ ขา้ ว โง่ อมึ พา๎ กงุ๋ <ฉัน-เหด็ -ขาย> โง่ ค่ือ ย๊า ตอื <ฉัน-หมา-หน่วยแสดงกรรม-ตี> = ฉันตีสุนัข คื่อ โง่ ย๊า ที <สุนัข-ฉัน-หน่วยแสดงกรรม-กัด> = สุนัขกัดฉัน นอ ฮอ่ โจ๋ โล่ <คุณ-ขา้ ว-กนิ -หรอื ยงั > = คณุ กนิ ข้าวหรอื ยัง ประโยคปฏิเสธจะปรากฏคำ�ว่า มา่ = ไม่ น�ำ หน้าค�ำ กริยา เชน่ อะโม อลี อ๊ มา่ เมยาะ <แม-่ งู-ไม-่ เห็น> = แม่ไม่เห็นงู ความรแู้ ละภูมปิ ัญญาท้องถิ่นทีค่ นอึมปี้ช่วยกนั รวบรวม ได้แก่ ๑) ประวัติศาสตรห์ รอื ความเปน็ มาของชุมชน ๒) อะลาเวอ้ (พธิ ไี หวเ้ ทวดา) ซง่ึ ชาวอมึ ปจี้ ะประกอบพธิ ไี หวเ้ ทวดาหรอื ทเี่ รยี กวา่ “ออลอ” ๔ ครงั้ ดว้ ยกนั คอื วนั แรม ๔ คาํ่ เดอื น ๔ วนั เขา้ พรรษา วนั ออกพรรษา และวนั ท่ี ๑๖ เมษายน โดยเชอ่ื วา่ ออลอหรอื เทวดาเปน็ ผทู้ ค่ี อยปกปกั รกั ษา หม่บู า้ นและสมาชกิ ๓) ปูจาเค (ประเพณสี ะเดาะเคราะห)์ ชาวอมึ ปี้จะน�ำ เสือ้ ผ้าของคนทีอ่ ยู่ในบา้ นคนละหนึ่งช้นิ มา พับใส่ในภาชนะพร้อมด้วยข้าวป้ัน ธูป และดอกไม้ แล้วนำ�ไปที่วัดเพ่ือเป็นสิริมงคล และสะเดาะเคราะห์ลบล้างสิ่ง ชว่ั รา้ ยของคนในบา้ นใหพ้ บแตค่ วามสขุ ความเจริญ ๔) คะลง ปา๊ เค (ประเพณขี า้ วลน้ บาตร) เม่อื ถึงวนั ขนึ้ ๑๕ ค่าํ เดอื น ๔ (มกราคม) หรือขน้ึ ๑๕ คํา่ เดอื น ๒ (ตามปฏิทนิ ) หรอื ทางเหนอื เรยี กว่า ประเพณีวนั ๔ เป็ง ชาวอมึ ป้จี ะ ประกอบประเพณที านขา้ วใหมเ่ พอ่ื ขอพรใหก้ ารท�ำ นาครง้ั ตอ่ ไปไดข้ า้ วเพมิ่ พนู ทวงี อกงาม และอทุ ศิ สว่ นบญุ กศุ ลใหแ้ ก่ บพุ การีท่ลี ว่ งลับไปแล้ว โดยการนำ�ขา้ วสาร ขา้ วเปลือก ข้าวสุก พรอ้ มท้งั อาหารคาว หวาน ไปถวายแต่พระสงฆท์ ว่ี ดั ส่วนอาชพี ของชาวอมึ ปก้ี ็คอื การทำ�การเกษตร ทำ�ไม้กวาด และรบั จา้ งทั่วไป ภาษาอมึ ปี้ ไดร้ บั การข้ึนทะเบียนเปน็ มรดกภูมปิ ญั ญาทางวัฒนธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๕๗ เอกสารอา้ งองิ ธรี ภพ เขอ่ื นสี่ และคณะ. (๒๕๕๒). โครงการสร้างระบบตวั เขยี น: สืบชะตาภาษาอึมป้ี บ้านดง ต�ำ บลสวนเข่ือน อ�ำ เภอเมือง จังหวดั แพร.่ กรุงเทพฯ : สำ�นักงานกองทุนสนับสนุนการวจิ ัย. Srinuan Duanghom. (1976). An Mpi dictionary: Working papers in phonetics and phonology. Edited by Woranoot Pantupong. Indigenous Languages Volume1. No. 1. Bangkok ชาวอึมป ี้ พธิ ีไหว้เทวดา (อะลาเวอ้ ) พธิ ีถวายข้าวลน้ บาตร ทีม่ า ศนู ยศ์ ึกษาและฟ้ืนฟภู าษา-วฒั นธรรมในภาวะวิกฤต มหาวิทยาลยั มหดิ ล 73

ภาษาอรู กั ลาโวยจ เรยี บเรยี งโดย มยรุ ี ถาวรพัฒน์ อูรกั ลาโวยจ หรือช่อื ที่คนท่ัวไปรจู้ ักคือ ชาวเล ชาวน้าํ หรอื ชาวไทยใหม่ อาศัยอยบู่ ริเวณทเี่ ปน็ หม่เู กาะทางใต้ ของประเทศไทย ค�ำ ว่า “อูรกั ” หมายถงึ “คน” “ลาโวยจ” หมายถึง “ทะเล” เป็นคำ�เรียกท่กี ลมุ่ ชาติพันธุน์ ี้ใช้เรียก ชื่อกลุ่มและภาษาของตนเอง ปัจจุบันมีผู้พูดภาษานี้ประมาณ ๓,๐๐๐ คน ภาษาน้ีจัดอยู่ในตระกูลออสโตรนีเชียน สาขามาลาอกิ ภาษานมี้ คี วามแตกต่างกับกลุม่ มอแกนและมอแกลน แม้จดั อยใู่ นตระกูลภาษาเดียวกนั กต็ าม อูรักลาโวยจ มีถิ่นฐานอยู่บนเกาะสิเหร่ หาดราไวย์ บ้านสะปำ� จังหวัดภูเก็ต จนถึงทางใต้ของเกาะพีพีดอน เกาะจำ� เกาะลันตาใหญ่ จงั หวดั กระบี่ เกาะอาดงั เกาะหลเี ปะ๊ เกาะราวี จงั หวดั สตูล และบางสว่ นอยู่ท่เี กาะลิบง จังหวัดตรัง นอกจากน้ียังอาศัยอยู่ทางฝ่ังตะวันตกของประเทศมาเลเซีย ขณะนี้ชาวอูรักลาโวยจได้ต้ังถ่ินฐานอย่าง ถาวร ประกอบอาชพี ประมงชายฝง่ั รบั จ้างทำ�สวน และอาชพี อน่ื ๆ และซึมซบั วัฒนธรรมไทยมากขึน้ ชาวอูรักลาโวย จมีพิธีกรรมที่ส�ำ คญั คอื พธิ ลี อยเรือ “อารี ปาจัก” เพ่อื ก�ำ จดั เคราะหร์ ้ายออกไปจากชุมชน โดยจะจดั ปีละ ๒ ครง้ั คือ เดือน ๖ และ เดือน ๑๑ ขน้ึ ๑๔ คา่ํ และมีการละเล่น “รองเงง็ ” และดนตรีร�ำ มะนา มเี รอ่ื งเลา่ สบื ตอ่ กนั มาวา่ ในอดตี ชาวอรู กั ลาโวยจอาศยั อยบู่ รเิ วณเทอื กเขากนู งุ ยรี ยั จ ในแถบชายฝง่ั ทะเลในรฐั เกดะห์ (ไทรบุรี) ยังชีพด้วยการทอ่ งเรือตามหมเู่ กาะ และหาปลาในทะเล พวกเขามคี วามสามารถ ในการด�ำ นํา้ ทะเลลึก จากน้ันก็เดนิ ทางเขา้ มาส่ใู นนา่ นน้าํ ไทย แถบทะเลอนั ดามนั ในช่วงแรกยงั มวี ถิ ีชีวติ แบบ เรร่ ่อน โดยอาศัยเรอื ไมร้ ะก�ำ เป็นท่ีอยแู่ ละพาหนะ และใช้กายกั หรือแฝกส�ำ หรับมุงหลงั คาเปน็ เพิงอาศยั บนเรอื หรอื เพงิ พกั ชว่ั คราวตามชายหาดในฤดมู รสมุ นอกจากนย้ี งั มตี �ำ นานเลา่ วา่ ชาวอรู กั ลาโวยจเคยมบี รรพบรุ ษุ เดยี วกบั ชาวมอแกน และเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในทะเลมานาน โดยเช่ือกันว่าเกาะลันตาเป็นสถานท่ีแห่งแรกที่ชาวอูรักลาโวยจ ตง้ั ถน่ิ ฐาน แตพ่ วกเขากย็ งั อพยพเรร่ อ่ นอยเู่ รอื่ ยๆ โดยโยกยา้ ยไปตามหมเู่ กาะตา่ งๆ และพกั พงิ ทเี่ กาะนนั้ ๆ และกลบั มา ท่เี ดมิ แตท่ กุ กลุ่มยงั คงมคี วามสัมพนั ธไ์ ปมาหาสู่กนั อยเู่ สมอ ถือว่าเปน็ สังคมเครือญาตใิ หญ่ ภาษาอรู กั ลาโวยจ มเี สยี งพยญั ชนะตน้ เดย่ี ว ๒๒ หนว่ ยเสยี ง คือ /ก กฺ ค ง จ ช ซ ญ ด ต ท น บ ป พ ม ย ร ล ว อ ฮ/ เสยี ง พยญั ชนะสะกดมี ๑๑ หนว่ ยเสียง คือ /-ก -ง -ด -น -บ -ม -ย - ยจ -ยฮ -ว -ฮ/ เสยี งสระเดี่ยวมี ๘ หนว่ ยเสยี ง คือ /อา อี อู เอ แอ โอ ออ เออ/ เสียงสระประสม ๒ หน่วยเสยี ง คอื /อวั เอยี / ความ ส้ันยาวของเสียงสระไม่ทำ�ให้ความหมายเปล่ียนแปลง โดยปกติ เสียงสระในพยางค์ที่ไม่มีตัวสะกดจะยาวกว่าเสียงสระในพยางค์ 74

ที่มตี วั สะกด เช่น เกอตบั = ปู อีกดั = ปลา ซาโวฮ = สมอเรือ ภาษาน้ีไม่มีระบบเสยี งวรรณยกุ ต์ แต่การเปล่ยี น ทำ�นองเสียงในประโยคจะทำ�ให้ความหมายของประโยคเปลี่ยนแปลงได้ เช่น ปี มานี <ไป-อาบน้ํา> = ไปอาบนํ้า ถา้ พยางคท์ า้ ยเปน็ เสยี งตกแสดงวา่ เปน็ ประโยคบอกเลา่ แตถ่ า้ พยางคท์ า้ ยเปน็ เสยี งสงู -ตกแสดงวา่ เปน็ ประโยคค�ำ ถาม การเรยี งคำ�ในประโยคมีลักษณะแบบ ประธาน – กรยิ า – กรรม เช่น กู มากดั นาซี <ฉนั -กิน-ขา้ ว> = เรากนิ ขา้ ว กีตา บารี ญาแญะ บูเกะ <เรา-ว่ิงหนี-ข้ึน-เขา> = เราว่ิงหนีขึ้นเขา ส่วนประโยคปฏิเสธ จะมีคำ�ว่า ฮอยเตด นำ�หนา้ คำ�กรยิ า เชน่ กู ฮอยเตด ซูกา มากัด นาซี <ฉัน-ไม-่ ชอบ-กนิ -ขา้ ว> = ฉนั ไมช่ อบกนิ ขา้ ว, ฮอยเตด บรี มากัด <ไม-่ ให-้ กนิ > = ไมใ่ ห้กนิ ฮอยเตด บรี ตี <ไม-่ ให-้ ไป> = ไม่ให้ไป เป็นต้น หลายปมี านช้ี าวอรู กั ลาโวยจ ตอ้ งเผชญิ ปญั หาเนอื่ งมาจากการพฒั นาการทอ่ งเทยี่ ว สง่ ผลตอ่ ทท่ี �ำ กนิ และทอ่ี ยู่ อาศยั จนเกรงกนั วา่ ภาษาและภมู ปิ ญั ญาทสี่ บื ทอดกนั มาจะสญู ไป ตง้ั แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๕๓ ชาวอรู กั ลาโวยจ เกาะลนั ตาใหญ่ จงั หวดั กระบ่ี ไดร้ ว่ มมอื กนั อนรุ กั ษ์ พฒั นา และฟนื้ ฟภู าษาและภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ โดยการพฒั นาระบบตวั เขยี นภาษา อูรักลาโวยจอักษรไทยข้ึน เพ่ือเป็นเคร่ืองมือในการบันทึกเร่ืองราวและภูมิปัญญาต่างๆ ของบรรพชนไว้สำ�หรับเป็น มรดกของลกู หลานและของชาตติ ่อไป ภาษาอรู กั ลาโวยจ ไดร้ บั การขน้ึ ทะเบยี นเปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๕๖ 75

อักษรไทยนอ้ ย เรยี บเรียงโดย รองศาสตราจารย์วีณา วสี เพญ็ อักษรไทยน้อย เป็นอักษรสกุลไทยที่อยู่ลุ่มแม่น้ําโขง กล่าวคือท้ังอาณาจักรล้านช้าง และภาคอีสานของไทย บางสว่ น ใช้จดบันทึกเร่อื งราวตา่ งๆ ทีไ่ มใ่ ช่เร่อื งราวทางศาสนา เชน่ หนังสือราชการ (ใบบอกหรือลายจุ้ม) กฎหมาย วรรณกรรมนิทาน อักษรไทยน้อยได้พัฒนามาจากอักษรไทยสมัยพระยาลิไท แห่งสุโขทัย และอักษรฝักขามของ ล้านนาต่อมา ได้พัฒนารูปแบบสัณฐานและอักขรวิธีเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกลุ่มคนลุ่มแม่นํ้าโขง ในที่สุดรูปแบบ สณั ฐานกพ็ ัฒนาตา่ งไปจากอกั ษรตน้ แบบจงึ มีชอื่ เรียกวา่ “อกั ษรไทยนอ้ ย” อกั ขรวธิ ขี องอกั ษรไทยนอ้ ยสว่ นมากจะเหมอื นกนั กบั อกั ขรวธิ ขี องไทยปจั จบุ นั โดยอกั ขรวธิ ขี องอกั ษรไทยนอ้ ย จะวางพยัญชนะตน้ ไวบ้ นบรรทดั และวางสระไวร้ อบพยัญชนะตน้ คอื ด้านหนา้ ดา้ นหลัง ด้านบน ดา้ นลา่ ง ส่วน พยญั ชนะตวั สะกดวางไว้บนบรรทดั เดียวกนั กับพยญั ชนะพยัญชนะเดย่ี วอกั ษรไทยน้อยมี ๒๗ รปู สำ�หรบั พยญั ชนะ ควบกลํ้าหรือพยัญชนะตัวนำ�และพยัญชนะตัวตามที่ปรากฏมากท่ีสุดมี ๖ รูป คือ เมื่อพยัญชนะตัวตาม ตามหลัง พยญั ชนะตวั น�ำ มกั จะเปลยี่ นรปู โดยตวั ตามจะใชค้ รงึ่ ตวั (น และ ม) หรอื ใชต้ วั เฟอื้ งของอกั ษรธรรม (ย และ ล) ส�ำ หรบั สระอักษรไทยน้อยใช้เขียนไว้รอบพยัญชนะตัวเต็ม คือ ด้านหน้า เรียกว่า สระหน้า ด้านหลัง เรียกว่า สระหลัง ดา้ นบน เรยี กวา่ สระบน ดา้ นลา่ ง เรยี กวา่ สระลา่ ง เหมอื นสระอกั ษรไทยปจั จบุ นั มี ๒๓ รปู นอกจากน้ี มสี ระพเิ ศษ อกี ๒ ตัว คือ ตัว ย เฟ้อื ง ใช้เขียนแทนสระเอีย เมอื่ มีตวั สะกด เหมือนกบั อกั ษรธรรมอีสาน เชน่ (เก่ยี ว), (เสยี ง) ตวั หยอ หยาดนํา้ ใช้เท่ากบั เสียงสระออ สะกดด้วย ย (ออย) เช่น (คอย), (นอ้ ย) สำ�หรบั วรรณยกุ ต์ ในอักษรไทยน้อยไม่มีรปู แตม่ เี สียงวรรณยุกต์ครบทงั้ ๕ เสยี งเหมือนภาษาไทย โดยทผี่ ูอ้ า่ นตอ้ งผันหาเสยี งเอาเองตามความหมายของประโยค หรือข้อความนัน้ ๆ เปน็ เกณฑ์ในการพิจารณา เหมอื นกันกับอักษรธรรมอีสานทกุ ประการ ปจั จบุ นั เอกสารใบลาน ในหลายพน้ื ทมี่ กี ารจดั เกบ็ ทไี่ มเ่ หมาะสม และไมไ่ ดร้ บั ความเอาใจใส่ ท�ำ ใหเ้ สยี่ งตอ่ การ สญู หาย และถกู ท�ำ ลาย รวมถึงการหาผ้ทู ่ีจะมาทำ�การปริวรรต ถอดแปลเอกสารเหลา่ นี้ทำ�ได้ยากเน่ืองจากขาดการ สบื ทอดกนั เปน็ ระยะเวลานาน และอกั ษรไทยน้อยไม่ได้ถูกน�ำ มาใชใ้ นสังคมปัจจุบัน ท�ำ ใหข้ าดผ้รู ู้ ผสู้ นใจ และกำ�ลัง จะเลอื นหายไปจากสังคมชาวอสี าน อักษรไทยน้อย ท่ปี รากฏในภาคอีสานปัจจุบัน มีหลกั ฐานทง้ั ที่เป็นศิลาจารกึ เอกสารใบลาน และสมดุ ขอ่ ยซ่ึง พบกระจายอยู่ตามพื้นทจี่ ังหวัดตา่ งๆ ในภาคอสี านเกือบทกุ จงั หวดั มเี อกสารใบลานท่ีบนั ทึกด้วยอักษรไทยน้อยอยู่ ตามวัดต่างๆ ใน จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดขอนแก่น จังหวดั ชยั ภมู ิ จังหวัดกาฬสินธ์ุ จงั หวัดรอ้ ยเอ็ด และจังหวัด ยโสธรเป็นจำ�นวนมาก โดยเฉพาะอย่างย่ิง ในวัดที่เป็นศูนย์กลางของชุมชนเก่าแก่ เช่น วัดกุดสิม จังหวัดกาฬสินธ์ุ มเี อกสารใบลานกวา่ ๑,๐๐๐ ผกู นอกจากนเี้ อกสารใบลานประเภทต�ำ รายา ทบ่ี นั ทกึ ดว้ ยอกั ษรไทยนอ้ ยซงึ่ ถอื วา่ เปน็ เอกสารทมี่ คี วามส�ำ คัญมาก อกั ษรไทยนอ้ ย ไดร้ บั การขน้ึ ทะเบยี นเปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๕๕ 76

จารึกวัดแดนเมอื ง ด้าน ๑ (พ.ศ. ๒๐๗๓) วดั ปัจจนั ตบุรี อ.โพนพิสยั จ.หนองคาย จารกึ วัดศรีบุญเรือง (พ.ศ. ๒๑๕๑) วัดศรีบุญเรอื ง อ.เมือง จ.หนองคาย ตวั อย่างอกั ษรไทยน้อยท่จี ารในใบลานในปัจจบุ ัน 77

78

อักษรธรรมล้านนา เรยี บเรยี งโดย อภวิ นั ท์ พนั ธ์สขุ อกั ษรธรรมล้านนา มีช่อื เรียกหลายอย่าง ได้แก่ ตวั เมือง อักษรไทยวน อกั ษรไทยล้านนา อักษรไทยเหนอื และ อกั ษรพนื้ เมอื งลา้ นนาไทย จดั อยใู่ นกลมุ่ อกั ษรไททน่ี า่ จะมตี น้ เคา้ มาจากอกั ษรทอ้ งถน่ิ โบราณหลายแบบ คอื อกั ษรมอญ โบราณ อักษรขอมโบราณ อักษรปยู และอักษรอ่ืนๆ ของอาณาจักรพ้ืนเมืองโบราณ โดยมีต้นเค้าเดิมจากอักษร ปลั ลวะ และไดม้ วี วิ ฒั นาการมาเปน็ อกั ษรธรรมหรอื ตวั เมอื งในปจั จบุ นั ถอื วา่ อกั ษรลา้ นนามฐี านะเปน็ อกั ษรทศี่ กั ดส์ิ ทิ ธ์ิ โดยใช้ในการจารึกลงบนศลิ า หรือจารลงในคมั ภรี ใ์ บลานท่เี ก่ยี วกับพระธรรมค�ำ สอนตา่ งๆ และมพี ัฒนาการไปจนถึง การใช้เขยี นตำ�รายา ตำ�ราโหราศาสตร์ ตำ�ราพิชยั สงคราม ตลอดจนบันทึกวรรณกรรม ค�ำ โคลง และบนั ทึกเหตกุ ารณ์ ประวัติศาสตร์ต่างๆ อักษรชนิดน้ีใช้กันอย่างแพร่หลายในภาคเหนือของประเทศไทย หรือดินแดนล้านนาดั้งเดิม ครอบคลุม ๘ จงั หวัดภาคเหนอื ตอนบน คอื เชยี งใหม่ ลำ�พูน ลำ�ปาง พะเยา แพร่ นา่ น เชียงราย และแมฮ่ อ่ งสอน ลกั ษณะเฉพาะของอกั ษรลา้ นนาคือ มีรูปรา่ งกลมปอ้ มคล้ายกบั อกั ษรพมา่ มอญ และเง้ยี ว ตวั อักษรบางตัวยัง มีสณั ฐานคล้ายกับอกั ษรอาหม และบางตัวก็คล้ายกับอกั ษรมอญจารกึ มลี ายเส้นโคง้ มนสวยงาม มีพยญั ชนะท้ังหมด ๔๔ ตัว จัดเป็นวรรคแบบภาษาบาลี วรรคละ ๕ ตัวอักษร รวม ๕ วรรค ส่วนทีเ่ หลือเปน็ เศษวรรค และตวั อักษรพิเศษ ทเี่ พม่ิ เขา้ มาในภายหลงั เมอื่ มกี ารปรบั รบั ภาษาไทยกลางเขา้ มาในลา้ นนา สว่ นสระมี ๒ ชนดิ คอื สระลอย ๘ ตวั สระจม ๓๑ ตวั ซง่ึ ภาษาล้านนาเรยี กว่า ไม้ เชน่ ไม้กะ คือ สระอะ เปน็ ต้น นอกจากนย้ี งั มีการเขียนพยัญชนะและสระในรูป พเิ ศษตา่ งๆ อกี จ�ำ นวนหนงึ่ ดว้ ย ส�ำ หรบั วรรณยกุ ตม์ กี ารผนั เสยี งตามอกั ษรทจ่ี บั คเู่ ปน็ อกั ษรสงู และตาํ่ โดยมวี รรณยกุ ต์ ๒ รปู คือ เอก (ไมเ้ หยาะ) และ โท (ไม้ขอชา้ ง) แต่สามารถผันเสยี งได้ ๖ เสียง โดยมีเสยี งพิเศษคอื เสียงคร่ึงโทครง่ึ ตรี ส�ำ หรับตัวเลขมี ๒ ชดุ คือ เลขโหรา ๑๐ ตัว และ เลขในธรรม ๑๐ ตวั ลักษณะเฉพาะอีกประการหน่งึ คือ การออก เสยี งอักษรบางตวั ยังแตกต่างจากอกั ษรไทยกลาง คอื อกั ษร ค (ค) ออกเสยี งเปน็ k (ก) อกั ษร ช (ช) ออกเสียงเปน็ c (จ) อักษร ท (ท) ออกเสียงเปน็ t (ต) อักษร พ (พ) ออกเสยี งเปน็ p (ป) และ อักษร ร (ร) ออกเสยี งเปน็ h (ฮ) ปัจจุบันไม่มีการใช่อักษรล้านนาในการบันทึก จดจาร หรือสื่อสารเป็น ลายลักษณ์อักษรอย่างเป็นทางการ เพราะคนลา้ นนาใชภ้ าษาไทยกลางในการสอ่ื สารแทน มเี ฉพาะคนบางกลมุ่ ทอี่ า่ นออกเขยี นได้ อาทิ พระสงฆบ์ างรปู ท่ี เคยเรียนเขยี นอา่ นอักษรลา้ นนามาก่อน หรอื ผทู้ ี่ผา่ นการบวชเรียนแลว้ ลาสิกขาบทออกมาทเ่ี รยี กวา่ “พอ่ นอ้ ย” หรือ “พอ่ หนาน” ปจั จบุ นั มโี รงเรยี นบางแหง่ ทสี่ นบั สนนุ สง่ เสรมิ ใหม้ กี ารสอนหลกั สตู รภาษาลา้ นนาอยา่ งงา่ ย อาทิ โรงเรยี น ในเขตเทศบาล นครเชียงใหม่ อักษรธรรมล้านนา ปรากฏในหลักฐานประเภทจารึกที่เก่าแก่ท่ีสุด คือ จารึกลานทอง พ.ศ. ๑๙๑๙ พบทฐ่ี านพระประธาน วดั มหาธาตุ จงั หวดั สโุ ขทยั ซง่ึ มขี อ้ ความอยู่ ๔ บรรทดั จารดว้ ยอกั ษรไทยสโุ ขทยั ๓ บรรทัด เป็นภาษาไทยและจารดว้ ยอักษรล้านนา ๑ บรรทัด เปน็ ภาษาบาลี อักษรธรรมล้านนา ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ�ปีพุทธศักราช ๒๕๕๕ 79

80

อกั ษรธรรมอสี าน เรยี บเรียงโดย รองศาสตราจารย์วณี า วสี เพญ็ อักษรธรรมอีสาน มีต้นกำ�เนิดจากอักษรปัลวะ ต่อมาได้พัฒนาเป็นอักษรมอญโบราณ และพัฒนามาเป็น อักษรธรรมล้านนาและอักษรธรรมอีสาน ดังปรากฏหลักฐานในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสาน ของประเทศไทย สาเหตุท่ีชื่อว่าตัวอักษรธรรมนั้น เพราะใช้ตัวอักษรชนิดนี้ในการบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธ ศาสนา เช่น พระไตรปิฎก พระธรรมคัมภรี ต์ ่างๆ เป็นต้น ซึ่งถอื ว่าเปน็ อกั ษรชนั้ สูง อกั ษรศักดส์ิ ทิ ธ์ิ ตวั อกั ษรชนิดน้ี ใชใ้ นประเทศลาวกเ็ รยี กว่าตวั ธรรมลาว ใชใ้ นภาคอีสานกเ็ รยี กวา่ ตวั ธรรมอีสาน ตามแตล่ ะท้องถิ่นจะเรียกแต่กค็ อื ตัว อกั ษรชนิดเดียวกนั นั่นเอง อกั ขรวธิ ขี องอกั ษรธรรมอสี านจะวางพยญั ชนะตน้ ซงึ่ เปน็ พยญั ชนะตวั เตม็ (๓๗ รปู ) ไวบ้ นบรรทดั และวางสระ ไวร้ อบพยญั ชนะตน้ สว่ นพยญั ชนะตวั สะกดและพยญั ชนะตวั ควบกลาํ้ จะวางไวใ้ ตบ้ รรทดั โดยใชร้ ปู พยญั ชนะครง่ึ ตวั หรอื ครง่ึ รปู ซง่ึ เรยี กวา่ “ตวั เฟือ้ ง” หรอื “ตัวหอ้ ย” มีทงั้ หมด ๑๖ ตัว สว่ นพยญั ชนะตวั สะกดทีไ่ ม่มีรูปคร่ึงตวั จะเขยี น ด้วยตวั เต็ม สว่ นสระในอกั ษรธรรมอีสาน แบ่งเป็น ๒ ประเภท คอื สระลอย ๘ รปู และสระจม ๒๗ รปู วรรณยุกต์ ในอกั ษรธรรมอสี านไมม่ รี ูป แต่มีเสียงวรรณยกุ ต์ครบท้งั ๕ เสียงเหมือนภาษาไทย โดยท่ผี อู้ า่ นต้องผันหาเสยี งเอาเอง ตามความหมายของประโยคหรอื ขอ้ ความนนั้ ๆ เปน็ เกณฑใ์ นการพจิ ารณา ซงึ่ วธิ กี ารดงั กลา่ วนี้ คนโบราณอสี านเรยี ก วา่ “หนังสือ หนงั หา” คือ หาความหมายเอาเองตามคำ�บรบิ ททแี่ วดล้อมของคำ�น้ัน ตวั อยา่ งเช่น ค�ำ ถา่ ยถอด “ปไู ดป้ ู มาแตนา” ค�ำ อ่าน “ปไู่ ดป้ มู าแตน่ า” นอกจากนี้ ยังมี อกั ขรวธิ พี ิเศษ หมายถงึ อกั ษรธรรมอีสานทม่ี วี ธิ ปี ระสมอักษร ท่แี ตกตา่ งจากกฎเกณฑท์ ่ัวไป ซึ่งมรี ปู รา่ งแตกตา่ งไปจากคำ�เดมิ หรอื คำ�อ่านมาก ท้งั นี้ อาจเป็นเพราะคนอสี านสมยั โบราณตอ้ งการที่จะประหยดั เวลาและแรงงาน ตลอดถงึ จำ�นวน ขนาดและขอบเขตของใบลานท่ใี ชจ้ ารจึงคิดบัญญัติ ศพั ทพ์ เิ ศษขน้ึ ใชบ้ างทกี เ็ พอ่ื แสดงภมู คิ วามรู้ ฉะนน้ั จงึ เปน็ ปญั หามากส�ำ หรบั ผเู้ รม่ิ หดั อา่ นและจะตอ้ งจดจ�ำ เปน็ กรณพี เิ ศษ การคงอยขู่ องอกั ษรธรรมอสี านปจั จบุ นั พบวา่ มกี ระจายอยตู่ ามพน้ื ทจ่ี งั หวดั ตา่ งๆ ในภาคอสี านเกอื บทกุ จงั หวดั อยา่ งไรกต็ าม ปญั หาทเี่ กดิ ขน้ึ คอื มผี ทู้ สี่ ามารถอา่ นอกั ษรโบราณไดจ้ �ำ นวนนอ้ ยมาก และสว่ นมากจะเปน็ ผสู้ งู อายุ บาง พื้นที่ไม่มีผู้อ่านได้เลย เนื่องจากเป็นอักษรท่ีไม่ได้มีการถ่ายทอดกันในชุมชน และไม่ได้นำ�อักษรมาใช้ในการส่ือสาร ดว้ ยระบบการศกึ ษาแบบใหม่จากส่วนกลางเขา้ ไปแทนที่ หลักฐานการใช้อักษรธรรมอีสานปรากฏในจารึก เอกสารใบลาน และสมุดข่อย โดยอักษรธรรมอีสานท่ี ปรากฏในจารกึ เกา่ ทีส่ ุดคือ จารึก วัดถ้ําสวุ รรณคูหา ๑ ระบุ จ.ศ. ๙๒๔ ซ่งึ ตรงกับ พ.ศ. ๒๑๐๕ จากฐานขอ้ มูลจารกึ ในประเทศไทยของศูนยม์ านุษยวิทยาสริ ินธร ปรากฏจารกึ อกั ษรธรรมอีสาน ทง้ั สน้ิ ๔๕ จารกึ สำ�หรบั เอกสารใบ ลานหรือหนังสือใบลาน เป็นเอกสารโบราณประเภทหน่ึงที่ปรากฏการใช้ อักษรธรรมอีสาน ในการจาร เพ่ือบันทึก เน้อื หาและเรื่องราวตา่ งๆ พบวา่ มใี บลานที่จารดว้ ยอักษรธรรมอีสานทวี่ ดั มหาชัย จงั หวดั มหาสารคาม วัดมหาธาตุ 81

จังหวดั ยโสธร วัดทงุ่ ศรเี มอื ง จังหวดั อุบลราชธานี เป็นต้น นอกจากนี้ สมดุ ข่อย เปน็ เอกสารโบราณอสี านประเภท หนึง่ ท่พี บว่ามีการใชอ้ กั ษรธรรมอสี านในการจดบนั ทกึ ซง่ึ พบทง้ั สมดุ ข่อยขาว และสมุดขอ่ ยดำ� อกั ษรธรรมอสี าน ไดร้ บั การขน้ึ ทะเบยี นเปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๕๕ ตวั อย่างภาพอักษรธรรมในจารึก ตวั อยา่ งภาพอกั ษรธรรม ในหนังสอื ใบลาน ตัวอยา่ งภาพอกั ษรธรรม ในสมดุ ขอ่ ย 82

83

84

85

รายการมรดกภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ สาขาภาษา (แยกตามปีท่ีข้นึ ทะเบียน) ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ รายการ ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ รายการ ประเภท ๑. อักษรธรรมล้านนา ประเภท ๑. ภาษาเลอเวือะ ๒. อักษรไทยนอ้ ย ๒. ภาษาโซ่ (ทะวงื ) ภาษาท้องถน่ิ ๓. อักษรธรรมอสี าน ภาษาทอ้ งถน่ิ ๓. ภาษาตากใบ (เจ๊ะเห) ๔. ภาษาชอง ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ๔. ภาษาสะกอม ๕. ภาษาญัฮกุร ๕. ภาษาอรู ักลาโวยจ ๖. ภาษากฺ๋อง ประเภท ๖. ภาษามานิ (ซาไก) ภาษาท้องถ่ิน ๗. ภาษาไทยโคราช/ไทยเบง้ิ ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ รายการ ๘. ภาษาพเิ ทน ประเภท ๑. ภาษาญอ้ ๙. ภาษาเขมรถ่ินไทย ๒. ภาษาแสก ภาษาทอ้ งถ่นิ ๓. ภาษาอึมป้ี รายการ ๔. ภาษาบซี ู ๑. ภาษากูย/กวย ๕. ภาษากะซอง ๒. ภาษาพวน ๖. ภาษาซมั เร ๗. ภาษาชองุ ๘. ภาษามลาบรี ๙. ภาษามอแกน ๑๐. ภาษาผู้ไทย 86

คณะกรรมการผู้ทรงคณุ วุฒิมรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรม สาขาภาษา ศาสตราจารยส์ วุ ไิ ล เปรมศรีรตั น์ ประธาน นางสาวทัศชล เทพกำ�ปนาท ผอู้ �ำ นวยการสถาบนั วัฒนธรรมศกึ ษา รองประธาน นายสถาพร ศรีสัจจงั กรรมการ รองศาสตราจารยป์ ระพนธ์ เรอื งณรงค์ กรรมการ รองศาสตราจารย์ชลธิชา บ�ำ รุงรกั ษ์ กรรมการ รองศาสตราจารย์วณี า วีสเพ็ญ กรรมการ รองศาสตราจารยส์ ุวฒั นา เลี่ยมประวตั ิ กรรมการ รองศาสตราจารยส์ ุพัตรา จริ นันทนาภรณ์ กรรมการ ผู้ช่วยศาสตราจารยอ์ รวรรณ บญุ ยฤทธ์ิ กรรมการ ผู้ช่วยศาสตราจารย์บัญญตั ิ สาล ี กรรมการ นายประพนธ์ พลอยพุม่ กรรมการ นางศริ ิวรรณ อนิ ทรกำ�แหง กรรมการ นางมยุรี ถาวรพฒั น ์ กรรมการ นางสาวอมุ าภรณ์ สงั ขมาน กรรมการ นายแวยโู ซะ สามะอาล ี กรรมการ ผู้เชย่ี วชาญเฉพาะด้านภมู ิปัญญา กรรมการ นางสาวกติ ตพิ ร ใจบญุ นกั วิชาการวัฒนธรรมชำ�นาญการพเิ ศษ เลขานุการและกรรมการ นางสกุ ัญญา เยน็ สขุ นักวชิ าการวัฒนธรรมช�ำ นาญการ ผ้ชู ่วยเลขานกุ ารและกรรมการ นางสาวหทัยรัตน์ จิวจินดา นกั วิชาการวฒั นธรรมช�ำ นาญการ ผชู้ ่วยเลขานุการและกรรมการ นางสาวเบ็ญจรัศม์ มาประณีต นักวชิ าการวัฒนธรรมชำ�นาญการ ผ้ชู ่วยเลขานุการและกรรมการ นางสาวสมุ าลี เจียมจงั หรีด นักวชิ าการวัฒนธรรมช�ำ นาญการ ผ้ชู ว่ ยเลขานกุ ารและกรรมการ 87

คณะผจู้ ัดทำ� ท่ีปรึกษาโครงการ อธบิ ดกี รมสง่ เสริมวฒั นธรรม ประธานกรรมการ สาขาภาษา นางพมิ พ์รวี วัฒนวรางกูร รองอธิบดีกรมสง่ เสริมวัฒนธรรม ศาสตราจารยส์ วุ ิไล เปรมศรรี ัตน ์ รองอธบิ ดกี รมสง่ เสรมิ วัฒนธรรม นายมานสั ทารัตน์ใจ ผอู้ �ำ นวยการสถาบันวฒั นธรรมศึกษา นางสนุ ันทา มติ รงาม นางสาวทศั ชล เทพกำ�ปนาท คณะทำ�งาน นักวิชาการวฒั นธรรมชำ�นาญการพิเศษ นกั วชิ าการวฒั นธรรมชำ�นาญการ นางสาวกิตติพร ใจบุญ นักวชิ าการวัฒนธรรมช�ำ นาญการ นางสุกัญญา เย็นสขุ นกั วิชาการวัฒนธรรมชำ�นาญการ นางสาวหทยั รตั น์ จวิ จนิ ดา นกั วิชาการวัฒนธรรมช�ำ นาญการ นางสาวเบญ็ จรัศม์ มาประณีต นกั วชิ าการวฒั นธรรมช�ำ นาญการ นางสาวฐติ พร ลิมปิสวัสด ิ์ นกั วิชาการวฒั นธรรม นางสาวสมุ าลี เจยี มจังหรีด ลูกจา้ งโครงการ นางสาวอรุณี จรี พรบณั ฑิต นางสาวนทั ธมน สิงหพรรค ผรู้ ับผิดชอบโครงการ กล่มุ สงวนรกั ษามรดกภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรม สถาบันวัฒนธรรมศกึ ษา กรมส่งเสริมวัฒนธรรม โทรศัพท์ ๐ ๒๒๔๗ ๐๐๑๓ ต่อ ๑๓๑๒-๔ โทรสาร ๐ ๒๖๔๕ ๓๐๖๑ เวบ็ ไซต์ http://ich.culture.go.th เฟสบุ๊ค www.facebook.com/ichthailand อีเมล์ [email protected] “หนังสือเล่มน้ีจัดพิมพ์ข้ึนเพื่อประโยชน์ในการศึกษาและเผยแพร่เร่ืองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมมิใช่ เพื่อการค้าซ่ึงภาพประกอบในเล่มได้นำ�มาจากแหล่งข้อมูล ท่ีหลากหลาย โดยบางภาพไม่สามารถอ้างแหล่งท่ีมา ปฐมภมู ิได้จงึ ขออนุญาตใช้ภาพดงั กล่าวและขอบคณุ ผู้เปน็ เจา้ ของภาพทกุ ภาพไว้ ณ ทน่ี ด้ี ว้ ย” 88

89