46 - ความเร็วจะลดลง ให้เปลย่ี นเกยี รใ์ หเ้ หมาะสมคอื ใชเ้ กยี รต์ า่ และเปลี่ยนเกยี รใ์ ห้เหมาะสม ตามจังหวะของรอบเครื่องยนต์ โดยพยายามรักษาระดบั รอบเครอ่ื งยนต์ให้อยู่ในชว่ งทมี่ ี กาลงั สงู สุดของเครอื่ งยนต์ (ช่วงปลายแถบสีเขียวของมาตรวดั รอบเครื่องยนต์) - อยา่ ลากเกยี รใ์ ดเกียรห์ น่งึ ตลอดเวลา ควรเปลยี่ นเกียร์ให้สมั พันธก์ บั ลกั ษณะทาง - ควรระมัดระวังรถท่ีสวนลงมาหรือรถท่ีลา้ ช่องทางมา - ควรขับชิดด้านซา้ ยขณะขึ้นทางลาดชัน เพื่อหลกี ทางใหร้ ถท่เี รว็ กว่าแซงขน้ึ ไปด้านหน้า - ระวงั เทรลเลอร์ตวั ท้ายขณะเข้าทางโค้ง ไม่ใหต้ กขา้ งทางหรอื ชิดไหลท่ างเกินไป รวมทงั้ ระวงั ไมใ่ หเ้ ทรลเลอรห์ รอื หางพว่ งปดั ไปในชอ่ งจราจรท่ีสวนมา - ท้ิงระยะห่างจากรถคันหนา้ ให้มรี ะยะเบรกทีเ่ พยี งพอ - รกั ษาความเรว็ และระยะห่างจากรถคันหนา้ ใหค้ งที่ และหลีกเล่ยี งการหยดุ หรอื จอดรถอยู่ ในทางลาดชนั ยกเวน้ แตก่ รณที ่ีจาเ ปน็ ควรจอดรถให้ชดิ ขอบทางและหาอุปกรณ์รองรบั ล้อ ทุกครัง้ การขบั รถลงทางลาดชนั ผขู้ ับรถควรปฏบิ ัติ ดงั น้ี - ประเมนิ ความลาดชันให้ถกู ตอ้ ง - ลดความเร็วใหช้ า้ ล ง ใชเ้ กียร์ตา่ ใหเ้ หมาะสมกบั ทางลาดชนั และนา้ หนกั บรรทุก ถา้ เป็นทาง ลาดชนั มาก ๆ เกียรต์ า่ ทเี่ หมาะสมกบั รอบเคร่อื งยนต์ จะอยทู่ ่ชี ่วงระหว่างกลางของแถบสี เขียวและสแี ดง ซงึ่ เป็นรอบเคร่อื งทีจ่ ะไดแ้ รงเบรกของเบรกไอเสยี และเบรกเคร่ืองยนต์เต็ม สมรรถนะ และอัตราทดเกียร์ทาให้สามารถหน่วงชะลอความเรว็ ของรถใหไ้ หลลงทางลาดชัน ด้วยความเรว็ ทต่ี ่าไม่ตอ้ งใชเ้ บรกเท้ามากเกนิ ไป - ใช้เบรกเทา้ ในขณะที่รถ เร่มิ มคี วามเร็วมากข้นึ โดยรักษาระดับรอบเคร่ืองยนตไ์ มใ่ หเ้ กนิ ไป ในชว่ งสีแดง แตไ่ มค่ วรใชต้ ลอดเวลา เนื่องจากอาจทาให้เบรกไหมไ้ ด้ - ในขณะลงทางลาดชันและเปน็ ทางโคง้ ควรหลกี เลย่ี งการเปลย่ี นเกียร์ - ขณะเขา้ ทางโค้งควรระวังเทรลเลอร์ตัวทา้ ยขณะเข้าทางโค้งไมใ่ หต้ กขา้ งทางหรือ ชิดไหลท่ าง เกินไป รวมทัง้ ระวังไม่ให้เทรลเลอร์หรอื หางพ่วงปัดไปในช่องจราจรท่สี วนมา - พยายามชดิ ขอบทางดา้ นซ้ายใหม้ ากที่สุด หลกี เลยี่ งการแซงขณะลงทางลาดชนั - หา้ มขบั เขา้ ไปในช่องทางรถทส่ี วนมาด้านหนา้ - ขอ้ ห้ามในการใช้เบรกไอเสยี ในการขบั รถบรรทกุ น้าหนักมากลงทางลาดชนั ห้ามใช้เบรกไอ เสยี ในกรณีที่ถนนลน่ื เด็ดขาด เน่อื งจากจะทาใหร้ ถเสยี การทรงตวั และเกดิ อาการหางดัน
47 (หัวกนิ หาง ) เน่ืองจากเบรกไอเสียจะทาการเบรกเฉพาะลอ้ ท่เี ปน็ ลอ้ จักรของรถหวั ลาก เทา่ น้นั - ขอ้ ควรระวงั ในกรณที างลาดชันเป็นสะพานทไ่ี ม่ยา วมาก ขณะลงสะพานควรระมดั ระวัง ไมใ่ ห้เทรลเลอรก์ ระแทกกบั ตวั ลากจูง ผู้ขบั ควรตรวจสอบเส้นทางให้ดีพรอ้ มทงั้ หลีกเล่ยี ง เสน้ ทางทอ่ี าจเกดิ อันตรายได้ - การหยุดหรอื ออกรถขณะอยูบ่ นทางลาดชนั ในขณะหยดุ รถควรใชเ้ บรกเทา้ เพราะจะทาใหเ้ บรกทางานทกุ ล้อ ยกเวน้ การจอดรถ ควรใชเ้ ทรลเลอร์เบรก หรอื เบรกหางพ่วงเพอื่ ปูองกนั รถไหล ในการออกรถควรเลอื กเกียรท์ ่เี หมาะสมกบั สภาพทางชนั และน้าหนักบรรทุก เชน่ ใช้เกยี ร์ 1 หรอื เกยี ร์คลอเลอร์ ตรวจสอบความปลอดภัยดา้ นขวาดว้ ยกระจกกอ่ นออกรถทุกคร้งั ในขณะเคลื่อนรถออกให้ใชม้ ือดา้ นซา้ ยโนม้ คนั โยกเบรกมอื หรอื เบรกจอดลงมาค ร่ึง ทางก่อนถึงตาแหนง่ ลอ็ กลอ้ จอดรถ แลว้ ค่อยปล่อยเท้าขวาจากแปนู เบรกไปเหยียบ คนั เรง่ ตอ่ จากนั้นใหค้ อ่ ย ๆ ปล่อยคลตั ช์ และคอ่ ย ๆ เรง่ เครอื่ งให้รอบเครือ่ งยนต์ สูงข้ึนจากรอบเดนิ เบา สงั เกตอาการเครอื่ งยนต์เม่อื เริม่ มกี าลังฉุดให้เคลอ่ื น เดินหนา้ และรอบเคร่ืองยนต์เริ่มจะ ตกลง ให้ค่อย ๆ ปลอ่ ยคันโยกเบรกมือพรอ้ ม ปล่อยคลัตช์และเรง่ เครือ่ งยนตเ์ พ่มิ ขึ้น รถจะเคลอื่ นตวั ออกจากทางชันได้อยา่ ง นมุ่ นวล ควรเหยยี บคนั เรง่ เบา ๆ เพราะกดแรงไมส่ ามาร ถปลดเทรลเลอรเ์ บรกไดท้ ัน อาจ ทาให้ด้านหน้าหวั ลากยกได้4.19 การแซงทีป่ ลอดภยั การขับรถแซงรถคันอ่ืน ควรตอ้ งแซงให้ถกู วิธีเพอื่ ความปลอดภยั ของผู้ใช้รถใช้ ถนน กอ่ นแซงทกุ คร้ังต้องมองกระจก ใหส้ ญั ญาณไฟ มองขา้ มไหล่ เม่อื เหน็ ว่าปลอดภยั แลว้ แซงได้ โดยห้ามแซงบริเวณทีม่ ีปาู ยจราจรห้ามแซง ทางลาดชนั ขึน้ สะพาน ทางโคง้ ทางร่วมทางแยก วงเวียน หรือทางรถไฟ หรอื ช่วงท่มี ีหมอก ฝน ฝุน หรอื ควนั และตอ้ งไมแ่ ซงรถคนั อนื่ มากกว่า 1 คัน จนทาให้มองเห็นขา้ งทางไม่ชดั เจนเมื่อแซงแลว้ ให้กลบั เข้าสู่ช่องทางเดนิ รถปกติ สิ่งทค่ี วรคานงึ ก่อนแซง 1. จาเป็นหรือไม่ เนือ่ งจากการแซงมคี วามเสีย่ งสูง กอ่ นแซงควรถามตวั เองว่าจาเปน็ หรอื ไม่
48 2. มีความปลอดภยั และไมผ่ ดิ กฎหมาย การแซงต้องมคี วามปลอดภยั ท้งั ตนเอง ผูร้ ่วมใชท้ าง และไม่ผิดกฎหมาย เชน่ ไมค่ วรแซงบริเวณทางร่วมทางแยก เขตหา้ มแซง บรเิ วณไหลท่ าง หรอื ในบริเวณท่คี ับขนั 3. ทัศนวิสยั และจดุ บอด ทศั นวสิ ยั การมองด้านหนา้ ต้องชัดเจนและเป็นทางตรงยาว ไม่มีทางร่วมทางแยก หรอื มจี ุดบอดจดุ อับ 4. ความสามารถ และความบกพรอ่ งของตัวเอง ต้องทราบถงึ สภาพรา่ งกายวา่ ปกติหรือไม่ มีความเหนื่อยล้า ความไมส่ บายกาย ไมส่ บายใจ ซึง่ จะส่งผลต่อความสามารถในการตดั สินใจในการแซง 5. ระยะทาง และเวลาในการเเซง ผ้ขู บั ข่ีตอ้ งรสู้ มรรถนะรถของตนเอง ความเร็วของรถทจี่ ะถูกแซงและรถที่วิ่งสวนทางมา “รเู้ ขา-รเู้ รา” รวมถงึ ระยะทางในการแซงและกลบั เข้าชอ่ งทางอย่างปลอดภยั ดว้ ย เทคนิคการเเซง 1. รเู้ ขา – รู้เรา (สมรรถนะ ความเรว็ รถเขา – ความเรว็ รถเรา ฯลฯ) 2. ทัศนวสิ ยั ข้างหนา้ โลง่ ปลอดภยั และไมต่ ้องห้ามดว้ ยกฎหมาย/หลักเกณฑ์ 3. ดูกระจกมองหลัง และตรวจจดุ บอด 4. ใหส้ ัญญาณ 5. เลือกความเรว็ – เกยี ร์ 6. จงั หวะ ระยะหา่ ง และสารองเผ่อื เหตกุ ารณ์ฉุกเฉนิ เอาไว้บา้ ง 7. ไม่อย่ใู น “จุดบอด” ของผอู้ ื่นนานเกนิ ไป 8. ไมแ่ ซงแบบ “หนา้ กระดาน” หรือ “ผ่าหมาก” 9. กลบั เข้าทาง เม่อื เห็นรถคันทเี่ เซงมาอย่ใู นระยะกระจกมองหลังเต็มคัน 10. อย่าลืมปิดสญั ญาณ4.20 การใช้ถนนทางร่วมทางแยก จดุ ทมี่ กั เกิดอบุ ัตเิ หตุจากการใช้รถใชถ้ นน ท่ีพึงต้องระมัดระวงั อีกจดุ หนง่ึ คือการใชท้ างรว่ มทางแยกซ่งึ ผู้ขับขีต่ อ้ งเพ่มิ ความระมดั ระวังเปน็ พเิ ศษ หากพบเห็นปาู ยท่ีมคี าว่า “หยุด” หรอื คาว่า “ให้ทาง” หรอืบนพนื้ ทางมเี สน้ หยดุ เปน็ เสน้ ทบึ สีขาว หรือเสน้ ให้ทาง ท่ีแสดงวา่ เสน้ ทางทีท่ ่านใช้อยเู่ ปน็ ถนนทางโท ตอ้ งให้รถทางเอกไปก่อน ส่วนถนนที่ตัดกับทางหรือบรรจบกบั ตรอกซอย ใหถ้ ือเปน็ ถนนทางเอกไปก่อน เพอ่ื ความปลอดภยั ในการใชร้ ถใชถ้ นนรว่ มกัน สิ่งท่ตี อ้ งปฎบิ ตั ิขณะขบั ผ่านทางรว่ มทางแยก - ก่อนถึงทางร่วมทางแยกจะมีปูายเตือนทางแยก และปูายบอกเส้นทาง - ปฎบิ ตั ติ ามเครอ่ื งหมาย และสัญญาณจราจรบรเิ วณทางรว่ มทางแยก - ชะลอความเรว็ - ขับผา่ นทางรว่ มทางแยกดว้ ยตวามระมดั ระวัง เร่งเคร่อื งเล็กน้อยเพื่อขับผ่านไป
49 - ห้ามใชส้ ัญญาณไฟฉุกเฉนิ (ไฟผ่าหมาก) ขณะผ่านทางร่วมทางแยก4.21 การใชส้ ัญญาณไฟฉกุ เฉนิ ผู้ขบั ขี่บางรายมกั เปดิ ไฟฉกุ เฉิน ขณะเบรกกะทันหัน ซงึ่ เปน็ วธิ กี ารทีไ่ มถ่ ูกต้อง การใชส้ ญั ญาณไฟฉุกเฉินท่ถี กู ต้อง ใช้เฉพาะรถจอดเสยี หรอื เกิดอบุ ัตเิ หตุเท่านั้น (วางกรวย หนา้ -หลงั ระยะห่าง 50 เมตร ระยะมองเหน็ ต้องไม่นอ้ ยกว่า 150 เมตร)
50 บทท่ี 5 การประเมิน ควบคมุ และแก้ไขสถานการณ์ไม่ปกติและฉกุ เฉิน5.1 การประเมิน ควบคมุ และแกไ้ ขสถานการณ์ไมป่ กติ 1) การขับรถขณะฝนตกหนกั การขบั รถในช่วงฤดูฝน ผ้ใู ชร้ ถตอ้ งเพมิ่ ความระมัดระวงั ในการขบั ขี่ให้มากขึน้ ในชว่ งฤดูฝนโดยเฉพาะระบบเบรก ใบปัดน้าฝน และไฟส่องสว่าง และอยา่ ลมื เปิดไฟหนา้ และหลงั ของรถในขณะขับข่ชี ่วงฝนตก และ ควรขับให้ห่างจากคันหนา้ มากกวา่ ปกตอิ กี 2 เท่า ของระยะหา่ งปกติ ลดความเรว็ ของรถ นอกจากน้ีตอ้ งหมั่นควรเช็คสภาพท่ปี ัดน้าฝนให้ใชง้ านไดด้ คี วรเลือกความเรว็ ของทป่ี ดั น้าฝนใหเ้ หมาะสมกบั ปริมาณฝนและในระดับท่ีสามารถมองเห็นทางข้างหน้าได้ชดั เจนที่สุด ในกรณที ี่ตอ้ งขบั ข่รี ถขณะทฝ่ี นตกหนกั ไม่ควรฝืนทนขับต่อไป และ ไมจ่ อดบริเวณทเี่ ปน็ ทางโคง้ ทางขึ้นเนิน หรือทางลงเนนิ เพราะจะทาให้รถทีข่ บั ตามมามองไมเ่ ห็น ขณะจอดควรจะเปดิ ไฟฉกุ เฉนิ เพ่อื ส่งสัญญาณให้รถคนั อ่ืนทราบ แต่ในขณะขบั ข่ีฝนตกตอ้ งไม่เปดิ ไฟฉุกเฉนิ เ นอ่ื งจากรถทุกคันบนทอ้ งถนนเปดิ ไฟแสงสว่าง ไฟหน้าและไฟท้ายรถสว่างเพียงพออย่แู ลว้ ไฟฉุกเฉนิ จะมแี สงสวา่ งมากทาให้รบกวนสายตาผู้ขบั ข่คี นัทข่ี บั ตามหลงั มา นอกจากนี้ควรจะหมนั่ ตรวจลมยาง ซ่งึ ตอ้ งไม่แขง็ หรอื ออ่ นจนเกนิ ไป สภาพยางต้องสมบูรณ์เมือ่ ดอกยางหมดสภาพควรเปล่ียนทันที ส่วนใบปัดน้าฝนต้องปดั น้าได้สะอาด ไมเ่ ปน็ คล่ืนหรือเป็นเสน้ และควรเปลี่ยนใบปัดนา้ ฝนอย่างน้อยปีละคร้งั เพือ่ ความปลอดภัยในการขบั ขี่ทกุ สถานการณ์ การขับรถขณะฝนตกมีวธิ กี ารปฏบิ ัติดงั น้ี - ใชอ้ ตั ราความเร็วท่ปี ลอดภยั สามารถหยุดได้ทัน และสามารถควบคมุ รถได้ - ทงิ้ ช่วงห่างจากรถคันหน้า เผอื่ ไวม้ ากๆ เพราะเนอ่ื งจากระยะเบรกจะยาวขึ้นเมอ่ื ผา้ เบรกเปยี กนา้ - เทคนิคการใช้เบรก ควรเบรกใหน้ ุ่มนวล 3 จังหวะ - ทดสอบเบรกเมื่อพน้ นา้ 2) การขับขี่รถหลงั ฝนหยดุ ตก สภาพถนนขณะฝนตก หรือหลงั ฝนหยดุ ตกใหม่ๆ จะลื่นมาก ดังน้นั ผู้ขับรถควรใช้ความระมัดระวงัเป็นพิเศษ และควรชะลอความเร็วรถให้ช้าลงกวา่ ปกติ ยิง่ ถา้ เปน็ ทางโค้งต้องเพมิ่ ความระมดั ระวงั และลดความเรว็ ของรถลงอีก และควรเวน้ ระยะห่างจากรถคันหน้าใหม้ ีระยะมากกวา่ ขั บรถบนถนนปกติ เพ่ือปูองกันการเบรกบนถนนเปียก ซง่ึ อาจทาใหร้ ถลืน่ ไถล ควรจะเบรกอย่างน่ิมนวลและระมดั ระวงั ไมเ่ หยียบเบรกกะทนั หัน เพราะจะทาให้รถเสยี การทรงตวั ลนื่ ไถลออกนอกเส้นทางได้งา่ ย 3) การขับรถเวลากลางคนื
51 การขบั รถในเวลากลางคืนมคี วามเสยี่ งในการเกิดอุบัติเหตสุ ู งกวา่ กลางวัน เนื่องจากมีหลายปจั จัยท่ีก่อใหเ้ กิดอันตรายเพิม่ ขึน้ เช่น สภาพรา่ งกาย ความเหนื่อยลา้ ของสายตา ทัศน วิสัยในการมองเหน็ ไมด่ ี ดงั น้นัถา้ ไม่จาเป็นควรหลีกเลี่ยงการขบั ในเวลากลางคืน แต่ถ้าเลย่ี งไมไ่ ด้ ควรใช้เทคนคิ การมอง 3 จุด เพ่ือชว่ ยลดความเสย่ี งจากอันตรายตา่ งๆ เทคนิคการมองกวาดสายตา 3 จดุ จุดที่ 1 ใหม้ องขอบทางด้านซ้าย สงั เกตรถทจ่ี อดอยู่ คนรอขา้ มถนน ขอบไหล่ทาง จดุ ท่ี 2 ให้มองเส้นแบ่งกงึ่ กลางถนนในกรณีรถวง่ิ สวนกัน เพือ่ หลกี เล่ียงการมองแสงไฟรถทีว่ ิ่งสวนมาเพราะจะทาใหต้ าพรา่ ช่ัวขณะ จุดท3ี่ ให้มองจดุ ก่งึ กลางทางดา้ นหน้า สงั เกตสิ่งต่างๆ ทอี่ าจปรากฏข้างหนา้ สงั เกตพื้นผิวถนน หลมุบอ่ ทางก่อสร้าง ขอ้ แนะนา - ควรขบั ด้วยความเร็วแค่แรงไฟสอ่ งถึง เช่น ไฟหนา้ ต่าส่องไดไ้ กล 50 เมตร ความเร็วรถขบั ไมค่ วรเกิน 50 กิโลเมตรตอ่ ชว่ั โมง - ใชไ้ ฟสูงสารวจจุดอันตรายดา้ นหนา้ กอ่ นรถวิ่งสวนมา แตไ่ มค่ วรใช้ไฟสงู หรอื ไฟตดั หมอกในขณะว่ิงตามรถคันหนา้ หรือในระยะรถว่งิ สวนทางมา เพราะทาให้คนขบั รถทีว่ งิ่ สวนมาสายตาพรา่ มวั - ทิง้ ระยะหา่ งจากรถคนั หนา้ ต้องมากกว่าปกติ - สญั ญาณไฟต่างๆต้องชัดเจน - หลกี เลยี่ งการแซงรถ นอกจากจะจาเปน็ จรงิ ๆ - สถานการณค์ ับขัน สงั เกตพฤตกิ รรม ลดความเรว็ เปล่ยี นเป็นเกยี ร์ตา่ ชดิ เส้นแบ่งก่งึ กลางขวาเพราะว่าการขบั รถในช่วงเวลากลางคืนอาจมีรถจอดพัก หรอื จอดเสียไหล่ทางดา้ นซ้าย และเตรียมหาทางหลบฉุกเฉนิ อยเู่ สมอ - กรณีรถว่งิ ส่วนทางมาเปิดไฟสงู ให้กะพรบิ ไฟเตือน 1 ครง้ั หากรถทว่ี ่งิ สวนมายงั ไม่ลดใหเ้ ป็นไฟตา่ ควรใชเ้ ทคนคิ ในการมองเส้นขอบทางด้านซ้ายโดยใช้หางตาชาเลืองมองรถที่ว่งิ สวนทางมา เพอ่ื หลีกเลย่ี งแสงโดยตรงซ่งึ อาจทาใหส้ ายตาพรา่ มวั 4) การขบั รถเม่อื มสี ัญญาณนา้ ปา่ ไหลบ่าถนน หากผูข้ บั ข่มี ีความจาเป็นตอ้ งขบั รถผา่ นที่ลาดเชงิ เขา หรือเขาสูงชันทม่ี คี วามเสย่ี งต่อการเกดิ ดินถลม่ผูข้ บั ขค่ี วรตรวจสอบขอ้ มลู ประกาศแจ้งเตือนภัย และหากตอ้ งขบั รถผ่านเสน้ ทางเสี่ยงดินถลม่ ควรเพม่ิ ความระมัดระวังมากกวา่ ปกติ ไม่ขบั รถเร็ว และหากสงั เกตเห็นน้าในร่องนา้ เปลยี่ นเปน็ สเี ดียวกบั ดนิ บนภเู ขาให้ขบัรถออกจากบรเิ วณดงั กล่าวด้วยความระมดั ระวั งโดยเร็วทสี่ ุด เพราะเป็นสัญญาณเตือนว่ามีนา้ ปาุ ไหลบา่ ผา่ นถนน กรณมี ีดินถลม่ ปดิ ทบั เสน้ ทาง ควรหยุดรถในบรเิ วณที่ปลอดภัยไม่พยายามนารถออกจากที่เกิดเหตุเพราะรถอาจเสียหลกั และหลุดออกนอกเสน้ ทางได้ ผขู้ ับข่ใี นภาวะฉกุ เฉนิ หรอื วิกฤตผขู้ ับขีต่ ้องต้งั สติ อยา่ ต่ืน
52ตระหนก เพราะจะทาให้ควบคมุ สถานการณไ์ ม่ได้ นอกจากน้ี สภาพความพรอ้ มและความสมบรู ณข์ องอุปกรณส์ ่วนควบของรถจะชว่ ยให้ควบคุมรถไดป้ ลอดภัยยิง่ ขนึ้ จึงควรตรวจสภาพรถก่อนใชท้ ุกครั้ง 5) การขบั รถบนถนนที่มสี ภาพเปน็ ดินหรอื ลกู รงั การขับรถบนถนนทม่ี ีสภาพเปน็ ดินหรือลูกรัง ในช่วงฝนตกหรือหลังฝนตก มคี วามเสี่ยงต่อรถตดิ หล่มได้ง่าย แก้ไขโดยใช้ก้อนอิฐ หรอื เศษไมว้ างไวด้ ้านหน้ายางรถ โดยเฉพาะล้อหลงั พรอ้ มกับค่อยๆ เรง่ เครือ่ งข้ามสิง่ กดี ขวางท่ีวางรองล้อไว้ จะช่วยปูองกันล้อรถบดผิวถนนเปน็ หลุมลกึ และจะทาใหร้ ถน้ันเคล่ือนตัวออกจากหลมุ ไดง้ า่ ยขึน้ หากปฏิบตั ติ ามวิธขี ้างต้นแลว้ ยงั ไมส่ ามารถเคลือ่ นรถอออกจากหล่ม หรือจากหลุมได้ ให้ใชร้ ถท่ีมกี าลังแรงกว่าลากจูงโดยใช้สายเคเบลิ ต่อแบบตรงแลว้ เร่งเคร่อื งอย่างชา้ ๆ ด้วยเกยี รต์ า่ จนรถนัน้ สามารถเคลอ่ื นตัวออกจากหลมุ ได้ 6) การขบั รถท่ตี ้องเผชญิ กบั ลมแรงจัด การขบั รถท่ตี ้อง เผชญิ กับลมแรงจัด อย่าตืน่ ตระหนก ขอให้ผขู้ บั ข่ตี ง้ั สตใิ ห้มัน่ โดยพยายามลดความเร็วของรถลงดว้ ยการถอนเทา้ ออกจากคนั เร่งอย่างช้าๆ และเพิ่มความระมดั ระวงั ในการประคองพวงมาลัย และหากต้องผา่ นเส้นทางหรือสถานที่ทเี่ ส่ียงต่อการเกิดอนั ตรายในเวลาลมพัดแรงจัด เชน่บนสะพาน หบุ เขา ปากทางเข้า -ออกอโุ มงค์ ควรลดความเรว็ ของรถลงล่วงหน้า พร้อมกับจับพวงมาลัยให้มนั่ คงและตงั้ สติในการขับรถใหด้ ี ก็จะสามารถขบั ผ่านสถานการณ์น้นั ไปได้อย่างปลอดภยั 7) การขบั รถฝ่าพายุฝนุ่ และกล่มุ ควันไฟ หากตอ้ งขับรถฝาุ พายุฝุน และกลมุ่ ควนั ไฟ ซ่ึงมักพบบอ่ ยในการขับรถชว่ งฤดแู ลง้ ให้ชะลอความเร็ว เปดิ ไฟหนา้ รถ ขบั ชิดซา้ ยในช่องทางของตัว เอง ไมข่ ับแซงรถคนั อ่นื ไมเ่ ปลี่ยนชอ่ งทางรถกะทนั หนั หากกลุ่มควันมสี ะเกด็ ไฟลอยมาดว้ ย ควรจอดรถรอใหก้ ลุ่มควันจางลงก่อน เพราะนอกจากสะเก็ดไฟจะทาลายสีรถแล้ ว ยังเปน็ สาเหตุให้เกิดอบุ ัตเิ หตุร้ายแรงอกี ด้วย และหากตอ้ งขบั รถท่ ามกลางสภาพอากาศแปรปรวน จนทาให้ทัศน วสิ ัยในการมองเห็นไม่ดี ควรหาทีจ่ อดในบริเวณที่ปลอดภยั อย่าฝนื ขับรถต่อไปทา่ มกลางความไมพ่ ร้อมในการขับขีเ่ พราะอาจเกิดอันตรายได้ 8) การขบั รถในช่วงฤดหู นาว มีหมอกลงจดั การขบั ข่ีรถช่วงฤดหู นาว ต้องระมัดระวังเร่ืองหมอก โดยเฉพาะพื้นท่มี ีหมอกลงจดั ทัศนวสิ ยั ไม่ดีอาจทาให้เกิดฝาู ท่ีกระจกรถจนเปน็ อุปสรรคในการขับขี่ ควรลดกระจกลงและปรับอณุ หภูมิภายในรถใหต้ ่ากว่านอกรถเพือ่ ลดการเกิดฝาู ผูใ้ ช้รถใชถ้ นนควรเพม่ิ ความระมดั ระวัง ลดความเร็ ว ทงิ้ ระยะห่างจากคนั หนา้ ปกติการขบั รถทา่ มกลางหมอกลงจดั นานๆ ทาใหร้ สู้ กึ ออ่ นเพลยี เนอ่ื งจาก ทัศนวิสัยไม่ดี ซึง่ ต้องใช้สมาธิ และ ใช้สายตาเพิ่มขน้ึ จากเดมิ 2-3 เท่า สง่ ผลใหเ้ กิดอุบตั ิเหตุได้ง่าย หากต้องหยดุ หรือจอดรถท่ามกลางหมอกหนาควรจะจอดให้พน้ ทางเดนิ รถให้มากที่สดุ และให้สญั ญาณหรือเคร่อื งหมายเตือนทชี่ ัดเจน เพ่อื ปูองกนั ไม่ใหร้ ถท่ีวิ่งตามมา หรอื รถว่งิ สวนมาตอ้ งประสบเหตุเฉ่ยี วชนกนั แต่ถา้ หมอกลงหนาทบึ มาก จนไมส่ ามารถมองเหน็
53เสน้ ทางข้างหน้า ควรหาที่จอดรถในบรเิ วณที่ปลอดภยั ทนั ที จนกว่าจะมองเห็นเส้นทางได้ชัดเจนแล้วจงึ ค่ อยขับรถต่อไป 9) การขบั รถในชว่ งน้าท่วมขัง ช่วงหนา้ ฝนบางพนื้ ทม่ี ีฝนตกลงมาอยา่ งหนัก ทาให้สภาพถนนเกดิ น้าทว่ มขัง หรือเกิดนา้ ท่วมฉับพลนัหากผขู้ บั รถโดยสารหรอื รถบรรทกุ ขนาดใหญ่ ต้องขบั ผา่ นเส้นทางทีม่ ีนา้ ท่วมขงั ให้ ผู้ขับรถประเมินระดบั นา้โดยสังเกตจากรถคนั หน้า เนื่องจากระดบั น้าท่สี ูงเกินไป อาจทาใหเ้ ครอ่ื งยนตเ์ สียหาย และดับกลางทางได้ โดยระดบั นา้ ที่รถสามารถวง่ิ ผา่ นได้ต้องสงู ไม่เกินขอบกระทะลอ้ ดา้ นบน และลดความเรว็ โดยขบั ให้ชิดกึ่งกลางถนนเพราะเปน็ บรเิ วณทีร่ ะดบั น้าที่ต่าสดุ ปรับเป็นเกยี ร์ตา่ ขับให้ช้าเพ่ือปูองกนั นา้ ท ะลักเขา้ หอ้ งเคร่ือง และปิดแอร์เพือ่ ปอู งกันไม่ให้เครือ่ งยนตท์ างานหนกั เกินไป และเวน้ ระยะห่างคันหนา้ มากกวา่ ปกติ เพราะรถคันหน้าอาจเครอื่ งดับหรือเกิดเหตุสุดวสิ ยั จะได้เบร กทนั ซ่ึงเบร กจะมปี ระสทิ ธภิ าพลดลงเมือ่ อยู่ในน้า เมื่อขับพ้นพนื้ ท่ีนา้ท่วมแลว้ ให้แตะเบรกเบา ๆ เปน็ ระยะ เพอื่ ทาให้เบรกแห้งเร็วข้ึน สาหรับรถตู้โดยสาร รถบรรทุกขนาดเล็ก หรือรถเก๋ง ถนนทมี่ นี า้ ท่วมขงั เป็นสาเหตสุ าคัญทที่ าใหร้ ถเกิดอาการเหนิ นา้ ในลักษณะท่ลี อ้ รถวิ่งอยูผ่ วิ น้าแทนท่ีจะเกาะอยบู่ นพ้นื ผิวถนน จนรถเกดิ อาก ารลอ้ ฟรี ไม่สามารถควบคมุ ทิศทางรถได้ ซ่งึ มีความเสี่ยงตอ่ การเกดิ อบุ ตั ิเหตทุ างถนนมากข้ึน ผู้ขับขี่ควรตรวจสอบสภาพยางอยา่ งนอ้ ยเดือนละ 1 ครัง้ โดยเฉพาะในชว่ งฤดฝู น ควรจะเติมลมยางใหม้ คี ่ามากกว่าปกติประมาณ 2-3ปอนด์ เพอ่ื ใหห้ น้ายางแข็งและมกี าลังในการรีดนา้ ดีขนึ้ กรณดี อกยางสกึ ควรจะเปลี่ยนยางใหม่ โดยเลือก ใช้ยางที่มดี อกยางละเอยี ด เพื่อเพ่มิ ประสทิ ธิภาพในการยดึ เกาะถนน และการหยุดรถ รวมถงึ หมัน่ ตรวจสอบระบบเบรก หากเบรกแลว้ รถมอี าการปัดควรจัดการเปลย่ี นผ้าเบรกใหมท่ นั ที หากต้องขับรถผ่านเส้นทางท่ีมนี ้าท่วมขังริมถนน ควรเพม่ิ ความระมัดระวัง ไม่ขบั รถดว้ ยความเรว็ สูง เพราะจะย่งิ เพ่ิมความเส่ียงให้รถเกิดอาการเหนิ น้ามากขน้ึ 10) การขบั รถถอยหลังในทางตรง การขับรถถอยหลงั นบั เปน็ ยทุ ธการท่ีเสีย่ งภยั อีกแบบหน่ึง โดยเฉพาะรถขนาดใหญ่อย่างรถโดยสารและรถบรรทุกด้วย เพราะมีจุดบอดมากกว่ารถเลก็ ทว่ั ๆ ไป และผูข้ บั ขจ่ี านวนไมน่ อ้ ยทข่ี าดความเจนจัดในการขับถอยหลงั ประมาณว่าปหี น่งึ ๆ การขบั รถถอยหลังไม่ถึง 1% ของการขับเดนิ หน้า จึงทาใหผ้ ู้ขบั ข่ีบางคนขาดทกั ษะในเรื่องน้ี เพราะความที่เปน็ คันใหญ่มจี ุดบอดมาก จึงทาใหผ้ ขู้ ับข่จี าตอ้ งใช้ความละเอยี ดรอบคอบมากข้นึ ขอ้ พงึ ระลึกและพงึ ปฏิบตั ิ 1. ตรวจสอบบรเิ วณรอบรถและทางที่จะถอยใหถ้ ีถ่ ้วนกอ่ นข้ึนขับถอยหลัง (คน สตั ว์เลย้ี ง และเศษ วสั ดทุ ่อี าจมคี นหลงลมื ทิง้ ไว้ เป็นต้น) 2. มองกวาดตาและดกู ระจกอกี คร้งั หนง่ึ กอ่ นถอย 3. หลังการตรวจสอบแลว้ ต้องไม่ทงิ้ เวลาใหเ้ น่นิ นาน ถ้าทิง้ เวลาไว้นานไป ต้องลงมาตรวจสอบ สถานการณ์ดว้ ยตวั เองใหมอ่ ีกคร้งั เพราะสถานการณอ์ าจเปล่ยี นไป
54 4. อยา่ ดกู ระจกซ้าย-ขวาเพียงอยา่ งเดยี ว ใชต้ ามองประกอบเทา่ ทีท่ าได้ในขณะขบั ถอย 5. อย่ามองจบั ตายอยกู่ ับสงิ่ หน่ึงส่ิงใดนานเกนิ ไป ถา้ จาเป็นตอ้ งมองนาน ๆ ควรหยุดรถ 6. ใชค้ วามเรว็ ต่า ๆ ไม่ควรเกนิ 2-3 กโิ ลเมตร/ชวั่ โมง 7. ใหค้ นชว่ ยดูทา้ ยให้ (ถ้ามี) 8. ตรวจดูสภาวะการจราจรด้านหลงั และด้านขา้ ง ท้ังซา้ ยและขวาใหด้ ี ก่อนถอยเขา้ ส่ถู นนใหญ่ 9. ใช้ทางเลอื กที่ปลอดภยั กวา่ เชน่ หาบรเิ วณกลบั รถทป่ี ลอดภยั ดีกวา่ การถอยหลงั เพอื่ กลบั รถ 10. ลดกระจกลงท้งั สองขา้ ง ปดิ เครอื่ งเสียง เพอ่ื เวลาจะเกิดเหตจุ ะได้ยินเสยี งคนทสี่ ่งสญั ญาณให้ผู้ ขับข่ีไดย้ ิน 11. เมื่อถอยมาแลว้ กอ่ นถงึ จุดหมายว่าจะถอยได้อกี เท่าไร ถ้าไม่แน่ใจใหล้ งจากรถ ตรวจสอบวา่ จะ ถอยหลังไดอ้ กี หรอื ไม่ เพือ่ ตรวจสอบความปลอดภยั 12. ก่อนถอยตอ้ งให้สัญญาณไฟ หรือสัญญาณแตร เพ่อื ส่ือสารให้บุคคลรอบข้างไดย้ นิ หรือเหน็ แสง ไฟ และหนั กลบั มามองรถของเราเพือ่ ความปลอดภยั ทางเลอื กทด่ี ีท่ีสดุ (ถ้าเลือกได้) ในการกลับรถ คอื จอดในที่ที่สามารถออกรถไดโ้ ดยไมต่ ้องถอยหลังแมจ้ ะต้องขบั ไกลอีกสกั หนอ่ ยก็น่าจะคุม้ กว่า5.2 การประเมิน ควบคมุ และแกไ้ ขสถานการณ์ฉกุ เฉนิ 1) เบรกแตก ปญั หาเบรกแตก การขับรถทีพ่ บปัญหาเบรกแตก เป็นเรื่องทอ่ี นั ตรายมาก ให้แกไ้ ขโดยการย้าเบรกแรงๆ บ่อยๆจะทาใหเ้ บรกน้ันมกี าลงั ดขี นึ้ แต่ถ้ายังไมไ่ ดผ้ ลให้ใช้เบรกมอื ชว่ ยและต้องกดปมุ ล็อกไวต้ ลอดเวลา โดยเกร็งข้อมือใหแ้ นน่ แล้วพยายามดึงขนึ้ ลงถ่ีๆ เป็นระยะ ๆ เบรกมอื ส่วนใหญถ่ กู ออกแบบมาสาหรบั ปอู งกนั การไหลของรถขณะจอด ในกรณีเบรกมือใช้งานไม่ได้ ให้พยายามลดความเรว็ ของรถลงโดยการปรบั เปลย่ี นมาใช้เกยี ร์ต่า แลว้ นารถเข้าจอดข้างทาง เพอื่ รอการชว่ ยเหลอื ตอ่ ไป ผูข้ บั รถควรดแู ลถา่ ยน้ามันเบรกและเปล่ยี นผ้าเบรกตามระยะเวลาท่กี า หนดในคู่มือ ทสี่ าคญั หากผ้ขู บั รถพบความผิดปกติในขณะขบั รถ เช่น ขณะเหยยี บเบรกแล้วแปนู เบรกไมม่ ีแรง หรือแปนู เบรกเหยยี บไมล่ งควรรีบนาไปตรวจสอบสภาพเบรกโดยทันที การแก้ไขสถานการณเ์ ม่ือรถเกิดเบรกแตก ควบคุมสติใหด้ ี อยา่ ตกใจ มือท้งั สองจะต้องจบั พวงมาลยั อย่างมัน่ คง ใหย้ า้ เบรกแรง ๆ และบ่อย ๆ เพราะอาจทาใหเ้ บรกมกี าลังดขี น้ึ ถา้ เบรกเสยี และขา้ งหน้าไมม่ ี รถขวาง ใหล้ ดความเรว็ โดยใช้เกียรช์ ว่ ย เช่น ลดจากเกียร์ 4 มาเกียร์ 3 เกยี ร์ 2 และเกยี ร์ 1 ตามลาดับ ค่อย ๆ ดงึ เบรกมอื เพ่อื หยดุ รถ อย่าดงึ แรงเกินไป เพราะจะทาใหร้ ถหมุน
55 ควรใช้แตรหรือสัญญาณฉุกเฉินเตอื นรถคนั อน่ื เพื่อใหท้ ราบว่ารถของทา่ นกาลงั ผิดปกติ ถา้ เบรกแตกเกิดข้ึนในขณะขน้ึ เขาหรอื ลงเขา ใหใ้ ชส้ ง่ิ กีดขวางขา้ งทางเพือ่ หยุดรถ วิธปี ้องกันปัญหาเบรกแตก โดยใช้เกยี ร์ วธิ ีปูองกนั ปัญหาเบรกแตกโดยใชเ้ กียรเ์ ขา้ มาช่วยในการลดความเร็วของรถ ในกรณที ต่ี ้ องขับลงทางลาดชนั หรอื ทางลงเขาเปน็ ระยะทางไกล ๆ ก็เปน็ อกี วธิ ีหนง่ึ ท่ีชว่ ยไม่ให้เกิดปัญหาผ้าเบรกไหม้ เน่อื งจากการใช้เบรกเพ่อื หยดุ รถติดๆ กนั บ่อยคร้งั เกนิ ไป ท้งั น้ี การขับลงทางลาดชันกค็ วรจะชะลอความเรว็ ของรถให้ชา้ ลงควบคกู่ ับการใช้เกยี รใ์ ห้เหมาะสมกบั ความเรว็ ขอ งรถดว้ ย โดยลดเกยี ร์ต่าลงตามลาดับแบบค่อยเปน็ คอ่ ยไปอย่าขา้ มเกียรเ์ พราะจะทาใหล้ ้อหมุนฟรี จนไม่สามารถบังคับทิศทางได้ หากขณะขบั ขี่เบรกไมท่ างานใหต้ ั้งสติแล้วลดเกยี ร์ให้ตา่ สุดเพอ่ื ให้เคร่อื งยนต์ชว่ ยเบรก พร้อมบีบแตรตลอดเวลาให้รถคนั อน่ื ทราบวา่ รถกาลงั ประสบปัญหา 2) เบรกคา้ ง อบุ ตั ิเหตุจากทีก่ ่อให้เกิดอันตรายมากทสี่ ุด คือ อุบตั เิ หตุจากระบบเบรกไม่สมบรู ณ์ เช่น เบรกค้างซึ่งมักเกดิ ในลักษณะเหยยี บแปนู เบรกลงไปแลว้ แปนู เบรกไม่ยอ มถอนกลับคืนและยังคงคา้ งอยู่ หากเกดิ ในขณะท่ีขับรถด้วยความเร็วสงู จะกอ่ ให้เกิดอันตรายมากข้นึ เพราะรถอาจเสยี การทรงตวั จนพลิกควา่ ได้ง่ายหากถอนเท้าออกจากแปูนเบรกแลว้ ยงั รู้สึกวา่ รถชา้ ลง ทั้ง ๆ ท่รี อบเครื่องยนต์ยงั คงวงิ่ ปกติ ให้สนั นิษฐานว่าเบรกคา้ ง และพยายามเห ยยี บแปูนเบรก ซา้ ให้ใช้การไดด้ ังเดมิ ซึง่ ทัง้ หมดเปน็ เพียงการแกป้ ัญหาเบือ้ งต้นเทา่ นัน้ หากประสบปญั หาดงั กลา่ ว ผขู้ บั ข่ตี ้องนารถเขา้ รับการตรวจสภาพและซอ่ มแซมทันที 3) รถตกนา้ เม่ือรถเกดิ อุบตั เิ หตตุ กนา้ รถจะไมจ่ มลงในน้าในทนั ที แตจ่ ะค่อยๆ จมจนกว่าจะถงึ พื้นลา่ งผูป้ ระสบเหตตุ อ้ งพยายามควบคุมสติใหไ้ ด้ รบี ปลดเข็มขัดนิรภัยออก โดยพยา ยามไมอ่ อกแรงใดๆ เพ่ือเป็นการรกั ษาอากาศหายใจที่มีอยใู่ นปริมาณที่จากัด พร้อมกับปลดลอ็ กประตูรถทุกบาน และหมนุ กระจกลงใหน้ า้ ไหลเขา้ มาในรถเพ่ือปรบั ระดบั ความดนั ทงั้ ภายในและนอกรถใหเ้ ทา่ กัน มฉิ ะนน้ั จะเปิดประตูไมไ่ ด้เพราะว่านา้ ภายนอกตัวรถจะดันประตเู อาไว้ จากน้ันให้ยกศีรษะขนึ้ ใหอ้ ยูส่ ูงเหนือระดับนา้ และเม่ือเห็นว่าความดนั อากาศทง้ั ภายในและภายนอกใกล้เคยี งกนั แล้วให้เปิดประตอู อกใหก้ วา้ งทส่ี ุด แล้วรบี ดดี ตัวออกมาจากรถ จากน้ันปล่อยตวั ลอยขึ้นเหนือน้า โดยเปุาปากดวู ่าฟองอากาศลอยไปในทศิ ทางใด ให้ว่ายน้าไปในทิศทางทฟี่ องอากาศลอย ขึน้ ไปจะไมเ่ กดิ อาการหลงน้า หากระบบการทางานของรถเกดิ ขัดขอ้ งจนไมส่ ามารถลดกระจกลง และเปดิ ประตูไม่ได้ ให้ใชค้ ้อนหรอื เหล็กทบุ กระจกด้านขา้ ง ไม่ควรทุบกระจกดา้ นหน้าหรอื ดา้ นหลังเดด็ ขาด เพราะเปน็ กระจกนริ ภยั จะแตกยากกว่า หลงั จากน้นั จึงคอ่ ยๆดึงตัวออกจากรถและลอยตัวข้นึ สผู่ วิ นา้
56 4) รถลนื่ ไถลและรถหมนุ รถลนื่ ไถล หรือหมุน หากถงึ ข้นั กลายเปน็ อบุ ัตเิ หตุ ยอ่ มหมายถงึ บทเรยี นท่ีขมขน่ื ของผขู้ บั ขี่ หากยังไมถ่ งึ ขัน้ เป็นอุบัตเิ หตกุ ็แค่ฝันร้ายท่ีไมม่ ีผขู้ บั ข่คี นไหนอยากเจอ มลู เหตใุ หญ่มักหนไี มพ่ น้ พฤตกิ รรมและทักษะของผู้ขบั ข่ี เช่น การใช้ความเร็วสงู เกินไป การเบรกอย่างรนุ แรง การเหยียบคันเรง่ เรง่ เร็วเกินไป การหมุนพวงมาลัยรวดเร็ว เป็นตน้ อาจมีทัศนวิสยั สภาพถนน และพฤติกรรมของผ้ขู ับข่ีคนอน่ื ๆ มาเกีย่ วข้องบ้างเปน็คร้ังคราว รถบรรทุกตอนเดยี วจะออกอาการคลา้ ย ๆ กับรถเล็กทั่วไป แตร่ ถพ่วงหรือก่งึ พว่ งจะออกอาการไถลออกด้านขา้ ง ดังนนั้ การแก้ไขจึงแตกต่างกันในบางส่วน สาเหตุและการแกไ้ ขการลนื่ ไถลและหมนุ ของรถบรรทุกทั่ว ๆ ไป 1. การลน่ื ไถลและหมุนทีเ่ กิดจากลอ้ ขบั เคล่ือน (ล้อจักร) : สาเหตุเกดิ จากล้อปนั่ ฟรเี พราะการเรง่ ความเรว็ การเบรกจนลอ้ ลอ็ ก หรือหักพวงมาลยั มากเกนิพอดี การแก้ไขทาได้ ดังน้ี ในกรณเี ร่งความเร็วและรถออกอาการลนื่ ไถล ผขู้ ับข่ีตอ้ งถอนเทา้ จากคันเรง่ จนรถเรมิ่ จบั เกาะถนน แล้วจงึ แตะคนั เรง่ เบา ๆ อีกครั้ง ในกรณที ีเ่ กดิ ขึน้ เพราะเบรกรนุ แรง ผู้ขบั ขต่ี อ้ งถอนเทา้ จากเบรก เม่อื รถเร่ิมจับเกาะถนนแล้วจงึค่อยเหยียบเบรกเบา ๆ อีกครั้ง หากรถออกอาการไถลหรอื หมุนออกด้านข้าง ผขู้ บั ขตี่ ้องปรับแต่งหมนุ พวงมาลัย (ไม่มากไม่น้อยเกินไป) ไปตามทศิ ทางที่ท้ายรถไถลหรือหมนุ ไป ในกรณีทเ่ี ป็นรถกงึ่ พ่วง การเบรกเบา ๆ ทห่ี างจะชว่ ยให้การทรงตัวดีข้นึ และวง่ิ ไปตามแนวทางเดิม 2. การลน่ื ไถลและหมนุ ทเี่ กดิ จากลอ้ หน้า : สาเหตทุ ีเ่ กดิ อาการดงั กลา่ ว ส่วนมากมพี นื้ ฐานมาจากการกระจายนา้ หนักบรรทุกไม่ถูกตอ้ ง คือบรรทุกในตอนหน้าเบาเกินไป รวมท้ังการใช้ความเร็วสูง หรอื ไมก่ ็หกั พวงมาลยั กะทนั หัน เปน็ ตน้ ข้อพงึ ระวงั ในเรื่องนา้ หนักบรรทกุ คอื การกระจายนา้ หนักบรรทกุ ทสี่ มดลุ และผ้ขู ับข่พี งึ ต้องตรวจตราใหเ้ รยี บรอ้ ยก่อนออกเดนิ ทาง หากไม่สามารถแกไ้ ขเร่อื งน้าหนกั บรรทกุ ไดต้ ้องใชค้ วามระมดั ระวังให้มาก ๆ โดยเฉพาะในเรอ่ื งการใชค้ วามเร็วทเ่ี หมาะสมสอดคลอ้ งกับสถานการณ์ ในกรณีทรี่ ถลนื่ ไถลและหมนุ ทเี่ กิดจากการใช้ความเรว็ สูง ให้แกไ้ ข ดังน้ี - ถอนเทา้ ออกจากคนั เรง่ - ตง้ั ล้อหน้าใหต้ รง - แตะเบรกเบา ๆ หรือราเบรก
57 ในกรณที ่รี ถลื่นไถลและหมนุ ท่ีเกดิ จากการเบรกอย่างรนุ แรง ให้แกไ้ ข ดังนี้ - ถอนเทา้ ออกจากเบรก - ตั้งลอ้ ใหต้ รง - เมอื่ รถหยุดหมุนหรือหยดุ ล่ืนไถล ค่อย ๆ เหยยี บเบรกเบา ๆ อกี ครง้ั หน่ึง 3. การลื่นไถลและหมนุ ทเี่ กดิ จากท้ังล้อหนา้ และล้อหลงั พร้อมกนั : สาเหตุสว่ นมากเกิดเพราะการใชค้ วามเร็วสงู การเบรกกะทนั หนั หรอื เพราะถนนลืน่ การแก้ไขการลน่ื ไถลและหมนุ ทีเ่ กิดเพราะการเบรกกะทันหนั ผู้ขับข่ีตอ้ งถอนเท้าออกจากเบรก จนกระทงั่ ลอ้ เริม่ หมนุหรอื หันได้ ลดความเร็วลงใหเ้ หมาะสมน่มุ นวล แลว้ จงึ แตะเบรกเบา ๆ เมือ่ รักษาแนวทางขบั ขไี่ ด้แล้ว การลื่นไถลและหมุนของรถพว่ ง มูลเหตุสว่ นใหญม่ ักจะเกิดขึน้ เพรา ะตัวหางไมไ่ ด้บรรทุกสิง่ ของ หรือบรรทุกแตเ่ บาเกนิ ไป สว่ นสาเหตุอ่นื ๆ ก็เหมอื น ๆ กัน หนไี มพ่ น้ เรอ่ื งการใชค้ วามเรว็ สงู และการเบรกรนุ แรงหรือเบรกกะทันหนั การลื่นไถลเพราะตวั พว่ งหรอื ตวั ลูกจะไม่ส่งสัญญาณบอกลว่ งหนา้ ผขู้ ับขีจ่ ะรกู้ ็ตอ่ เม่อื การล่ืนไถลหรอื หมุนเกดิ ขึ้นแล้ว วิธแี ละทางแกไ้ ข : 1. ถอนเท้าออกจากเบรกจนกระท่ังรถมีอาการจบั เกาะถนนดีขน้ึ และแตะคันเร่งเพิม่ ความเร็ว เล็กน้อย จะชว่ ยดงึ หางใหเ้ ขา้ แนวขนานกับตวั หวั ลาก 2. ถ้าพอมคี วามรอู้ ยบู่ า้ ง ลองเชก็ การต้ังวาลว์ เบรกหางดูวา่ ไดส้ ดั ส่วนถูกตอ้ งดหี รือไม่ ท้ังน้ี เพ่ือปูองกันไม่ใหเ้ กิดเหตุ อย่างไรกต็ าม การปอู งกนั ยอ่ มดีกวา่ การแกไ้ ข หลักที่สาคัญคอื การใชค้ วามเรว็ ทเ่ี หมาะสมสอดคล้องกบั สถานการณ์ และเทคนิคการใช้เบรกแกไ้ ขสถานการณ์ 5) ยางแบนขณะว่งิ กรณที ยี่ างรถเกิดแบนในขณะทร่ี ถวง่ิ อย่แู ละรถเกิดอาการผิดปกตอิ ยา่ งเห็นได้ชดั เจน เชน่ มีการทรงตัวแย่ลง อตั ราการเรง่ อดื หรอื พวงมาลยั ดงึ ไปด้านใดดา้ นหน่งึ อย่าตกใจหรอื เหยียบเบรกโดยกะทันหนั แต่ควรต้ังสตแิ ละพยายามบังคับพวงมาลัยใหม้ ั่นคงแตะเบรกซา้ ๆและเบาทส่ี ดุ จนกระทั่งรถหยุดเอง เม่อื ยางรถยนตร์ ั่วหรือแบน ไมค่ วรจะขับรถบดยางไปเปน็ ระยะทางไกลๆ โดยเด็ดข าด เพราะวา่ ขอบกระทะล้อจะกดลงบนแกม้ ยางจนทาให้แก้มยางเสยี ควรจอดรถเพอื่ เปลีย่ นยางอะไหลก่ อ่ น จากน้ันขับไปอยา่ งช้าๆ จนถงึ ร้านปะยางทีใ่ กล้ทสี่ ดุ เพื่อปะหรือเปลย่ี นยาง 6) ยางระเบดิ สาเหตขุ องยางรถระเบดิ เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ยางหมดอายุ ซึ่งสังเกตได้จากการแตกลา ยงาหรอื ยางบวม ฉกี ขาด ดอกยางหมดสภาพ รวมถงึ ยางเก่าเก็บ การขับรถเร็วเกนิ พิกัดทีก่ าหนด การสบู ลมยางไม่ถูกต้อง เปล่ยี นยางใหม่แต่ใช้จุ๊บเติมลมอันเก่า หรือแม้กระท่ังการขบั รถชนขอบถนน หรอื กอ้ นหินเข้าไปอยใู่ น
58ระหว่างแก้มยาง กล็ ้วนเปน็ สาเหตุใหเ้ กดิ ยางระเบดิ ได้ท้งั ส้ิน เจา้ ของรถจึงควรหม่ันตรวจเช็คยางอยา่ งสมา่ เสมอ และควรเติมลมยางตามท่กี าหนดในค่มู ือรถอยา่ งนอ้ ย 2 สปั ดาห์/ครง้ั และใส่ใจสงั เกตสภาพยางทกุครง้ั ก่อนออกรถ ข้อแนะนาเมอื่ ยางระเบิด ในขณะขบั รถอยู่ ถ้ายางเกิดระเบิดขน้ึ ผขู้ ับรถจะแก้ปญั หาเฉพาะหนา้ อยา่ งไร สงิ่ แรกทส่ี าคั ญคือผขู้ ับต้องควบคมุ สติให้ดี อยา่ ตกใจ และปฏิบัตติ ามคาแนะนา ดังนี้ 1. มือทั้งสองข้างจับพวงมาลยั อย่างมนั่ คง มอื ซา้ ยจับท่ี 10 นาฬิกา มอื ขวาจับท่ี 2 นาฬกิ าตาม ตาแหน่งตวั เลขหน้าปดั นาฬกิ า ซึ่งตาแหน่งนี้ถอื วา่ เป็นการจับพวงมาลยั ทด่ี ที สี่ ุด 2. มองกระจกหลังเพ่ือดูวา่ มีรถตามมาหรือไม่ 3. ถอนคันเร่งออก 4. แตะเบรกอยา่ งแผ่วเบาและถ่ี ๆ อย่าแตะแรงโดยเดด็ ขาดเพราะจะทาให้รถหมนุ 5. ถา้ เปน็ รถทใ่ี ช้เกียรธ์ รรมดา หา้ มเหยยี บคลตั ชโ์ ดยเดด็ ขาด เพราะถา้ เหยียบคลตั ช์ รถจะไม่ เกาะถนน รถจะลอยตัวและบังคับได้ยาก อาจเสียหลกั ได้ 6. ห้ามดงึ เบรกมอื อยา่ งเดด็ ขาด เพราะจะทาให้รถหมนุ 7. เมื่อลดความเร็วลงพอประมาณแลว้ ให้เปิดไฟเล้ียวซา้ ยเขา้ ข้างทาง 8. เม่อื ความเร็วลดลงในระดบั ที่ควบคุมได้ ใหเ้ ปลยี่ นเกียรต์ ่าลง และหยุดรถ เปิดไฟฉุกเฉนิ ทนั ที 7) กระจกหนา้ รถแตก กระจกหน้ารถมี 2 ชนิด ไดแ้ ก่ กระจกเทมเปอร์ (Tempered Glass) เมื่อแตกแลว้ จะมีลักษณะเปน็เหลย่ี มเมด็ ข้าวโพด อาจกระเดน็ เขา้ หูเข้าตา บาดมือบาดเทา้ หรือมองเหน็ ไม่ถนัด อกี ชนิดคือ กระจกลามเิ นต(Laminated Glass) มีราคาแพงกวา่ กระจกเทมเปอร์ เมอ่ื แตกจะมีลักษณะเป็นแฉก ๆ แหลม ๆ คล้ายชายธงไม่ร่วงหล่นง่ายนอกจากจะ ถูกกระแทกอยา่ งรนุ แรง ดังนนั้ เมื่อเกดิ เหตรุ นุ แรงจ นกระจกหนา้ รถแตก ผขู้ บั รถควรปฏบิ ัติ ดังน้ี 1. พยายามคมุ สติอยา่ ตกใจ 2. มองกระจกหลงั ดูว่ามีรถตามมาหรือไม่ 3. เมอื่ เหน็ ว่าปลอดภยั ชะลอความเร็ว นารถเข้าจอดข้างทาง เปิดไฟฉุกเฉนิ 4. ถา้ เปน็ แบบเทมเปอร์ แตกไมห่ มด ให้หาผ้าหรอื เศษหนังสือพิมพม์ าปหู น้าฝากระโปรงรถ บริเวณแผงหน้าปัด เบาะนัง่ และพืน้ รถใหท้ ัว่ จากนนั้ ใชข้ องแขง็ ทุบกระจกจากข้างในออก
59 ข้างนอก เอาเศษกระจกออกใหห้ มด หอ่ รวมไวอ้ ย่าท้งิ บนถนน ระวงั เศษกระจกตกคา้ งอยู่ ในชอ่ งแอร์และคอนโซล5. หนั หวั จ่ายลมชอ่ งแอรใ์ หพ้ น้ จากผูโ้ ดย สาร ถา้ มผี ูโ้ ดยสารก็ขอให้ออกจากรถก่อน แลว้ เปิด พดั ลมแอร์ให้แรงสดุ เพื่อไลเ่ ศษกระจกเล็ก ๆ ปลิวออกมา6. หากต้องขบั รถตอ่ ไป ควรเปดิ กระจกทง้ั หมด เพือ่ ลดแรงลมท่พี ัดเขา้ มา และควรใส่แว่นตา ปอู งกันเศษกระจกปลวิ เขา้ ตา7. ถ้าหากจาเปน็ ตอ้ งเปิดแอร์ ไม่ควรเปิดในระดบั Low8. ขับรถไมม่ ีกระจกหนา้ ต้องใช้ความเรว็ ต่า
60 บทที่ 6 การบรหิ ารจัดการความเหน่อื ยล้าความเหนอ่ื ยลา้ คอื อะไร ความเหน่อื ยลา้ คือ ความอิดโรย ออ่ นเพลยี ภายหลงั จากการทาสิ่งใดสงิ่ หนึ่ง ความรู้สึกเหน่ือย หรืองว่ งอย่างมาก และตอ้ งการการพกั ผอ่ น และในบางครั้งหมายถึง การไดน้ อนหลับสกั งบีการบริหารความเหนื่อยล้า คืออะไร ? การบรหิ ารความเหนือ่ ยล้า คอื การบรหิ ารการใชช้ ีวิตประจาวัน และการทางานเพือ่ ไดจ้ ะไมใ่ ชง้ านร่างกาย มากจนเกนิ ไป จนเกิดการออ่ นเพลีย และเหน่อื ยล้าชนดิ ของความเหนอ่ื ยลา้ 1. ความเหนอ่ื ยลา้ เฉียบพลัน (Acute Fatigue) เปน็ สภาวะสน้ั ๆ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ซ่ึงสามารถชดเชยได้ ด้วยการพักผอ่ น หรอื นอนหลับอยา่ งเพยี งพอ 2. ความเหนื่อยล้าเร้ือรัง (Chronic Fatigue) เป็นผลมาจากความเครียด หรอื เหนื่อยลา้ ท่ีเกดิ ข้ึน ซ้าๆ และสะสมมาเป็นระยะเวลานาน และต้องการ การหยุดพักสักระยะหนึง่ หยุดทางานหยุด พกั รอ้ นเปน็ ตน้ 3. ความเหนอื่ ยล้าทางอารมณ์ (Mental Fatigue) จะถกู สะทอ้ นออกมาให้เห็น จากสมาธแิ ละความ พร้อมทีข่ าดหายไป อาการเบือ่ หน่าย ขาดแรง กระต้นุ และความสนใจ 4. ความเหนื่อยลา้ ทางรา่ งกาย (Physical Fatigue) จะถกู สะท้อนออกมาทางความสนใจ และ ต่อดว้ ยความเหนื่อยลา้ ทางอารมณ์ (เซ็ง)สัญญาณเตอื น เราต้องทราบถึงสญั ญาณเตือนเพื่อตระหนักถงึ ความเหน่อื ยล้า เพอ่ื ทีจ่ ะไดห้ ลีกเลยี่ ง และลดผลกระทบทเ่ี กิดขึ้นกับเราให้น้อยท่สี ดุ ในระหว่างการขบั ข่ีรถ และปฏิบัตงิ าน สัญญาณทางรา่ งกายทีบ่ ่งบอกถึงความเหน่อื ยลา้ - สมรรถนะลดนอ้ ยถอยลง - ความอ่อนเพลียทั้งร่างกาย และจติ ใจ - หาว และรสู้ ึกงว่ งนอน - ตอ้ งฝนื่ ทจี่ ะลมื ตา ตาจะปิด (ตาปรอื ) - เคืองตา และหนักหนังตา (หนงั ตาจะปดิ )
61 - การมองเห็นเรมิ่ พร่ามัว ตาลาย - ความจาแยล่ ง - หงุดหงิด กระวนกระวาย - ประสาทส่ังการช้าลง ลกั ษณะการขับขี่ทีบ่ ่งบอกถึงความเหนื่อยลา้ - เข้าเกียร์ผดิ ๆ ถกู ๆ ขาดความแมน่ ยา - ทาผดิ พลาดแมใ้ นขั้นตอน และวธิ ปี ฏบิ ัตงิ า่ ยๆ - ไม่สามารถจาจาสิ่งตา่ ง ๆ ทีเ่ พ่ิงผ่านมาไดใ้ นระยะ 2 – 3 กิโลเมตร - ความเร็วขึ้นๆ ลงๆ ไมส่ มา่ เสมอ - หงดุ หงิด ใจรอ้ น - รถสา่ ยไปมา ไมอ่ ยใู่ นช่องทางอย่างถกู ตอ้ งปัจจัยการทางานที่มีผลต่อความเหนือ่ ยลา้ การทางาน หรือ การขบั รถนานๆ ไม่ยอดหยุดพักทั้งทีร่ ่างกายมีความตอ้ งการ สภาพแวดล้อมในการขับรถหรอื ทศั นวสิ ัยในการขับรถท่ีไมด่ ี เช่น ขับรถในเวลากลางคนื ฝนตก หมอกลงจัด เป็นตน้เม่ือรสู้ กึ เหนือ่ ยลา้ ควรทาอย่างไร ? - ใช้ระบบการถา่ ยเทอากาศในรถเพ่อื อณุ หภมู ทิ ีเ่ หมาะสม - หยุดพักสั้นๆ เปน็ ระยะๆ ทกุ ๆ 2- 3 ช่ัวโมง - ตน่ื ตัว ยดื เส้นยดื สาย และกล้ามเนอ้ื เสมอ - เดินตรวจสอบรอบรถทุกๆ ครัง้ เมอ่ื มีการหยดุ พัก - พยายามลดความเครยี ด หรือ ใหเ้ กดิ ความเครยี ดน้อยทส่ี ดุ - ประเมนิ ความพร้อมของตัวเองตลอดเวลาการปอ้ งกันความเหน่ือยล้า - นอนหลับใหเ้ พยี งพอ และ อยา่ งมีคุณภาพ - อยา่ ก่อให้เกิดหน้สี นิ ในการนอน - พยายามจดั การ และการใชย้ าที่ถูกต้องตามกฎหมายใหน้ อ้ ยทสี่ ดุ - หลีกเลี่ยงการใชย้ าประเภทอ่ืนๆ - ดูแล และรกั ษาสขุ ภาพ รวมถึงความพร้อมของตวั เองให้ดี - ออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ - แนใ่ จว่า คณุ มสี ภาพร่างกายสมบูรณต์ ามข้อกาหนดทางด้าน การแพทย์ และไม่มอี าการอื่น ๆ ท่ี มีผลกระทบกบั การนอน
62 บทที่ 7 การขบั รถประหยัดน้ามนั ในปจั จุบนั น้ามนั เชอื้ เพลิง ยังคงเปน็ ตน้ ทุน ในภาคการขนส่งทีม่ ากทสี่ ุด จากการทน่ี า้ มนั เชือ้ เพลิงมีราคาสูงข้นึ อย่างต่อเนือ่ ง ทาใหผ้ ผู้ ลิตรถโดยสารและรถบรรทกุ มกี ารพฒั นาเทคโนโลยีเพือ่ ให้เกิดการประหยัดดา้ นเชอ้ื เพลิงมากท่ีสดุ ซึง่ ผู้ประกอบการและผ้ขู บั รถจาเปน็ ต้องมกี ารพฒั นาหรือมกี ารเรยี นรูเ้ ทคโนโลยเี หลา่ น้ีเพอ่ื ใหเ้ กิดประโยชนใ์ นดา้ นการขับรถใหป้ ระหยดั นา้ มนั ไดส้ งู สดุองค์ประกอบหลกั ในการขบั รถประหยัดน้ามนั 1. ผูข้ บั รถ 2. ตัวรถ 3. สภาพแวดล้อม 4. นา้ หนักบรรทกุ1. ผขู้ บั รถ เป็นบคุ คลท่มี ีความสาคญั มากทีส่ ุดในการใชร้ ถใหป้ ระหยัดนา้ มนั ซง่ึ ถ้าผขู้ บั รถไมศ่ ึกษาและทาความเขา้ ใจรถให้ดี ถงึ จะใชร้ ถท่พี ฒั นามาดีเพยี งใดก็ไม่สามารถประหยัดน้ามนั ได้ และอาจจาทาให้เกดิ คา่ บารงุ รกั ษาทเ่ี กิดจากการใช้ผิดประเภทหรือรเู้ ทา่ ไม่ถงึ การณ์ ทาให้เกิดคา่ ใชจ้ ่ายในการซอ่ มแซมมากข้ึน ดงั น้นั ผู้ขบั รถตอ้ งมีความรเู้ กยี่ วกับรถ รวมถึงเทคโนโลยตี ่าง ๆ ของรถท่ีผลติ ขึน้ มาในรนุ่ ใหม่ ๆ ดังน้ี - ต้องศกึ ษาและมีความเข้าใจเรื่องกาลงั ของเครือ่ งยนต์ แรงมา้ แรงบดิ และรอบของเครอื่ งยนต์ที่เหมาะสมในขณะใชง้ าน - ต้องมคี วามเขา้ ใจชนดิ ของเกีย ร์และการใชเ้ กยี รต์ ่าง ๆ ท่ถี กู ต้อง เชน่ การเปลย่ี นเกยี รท์ ่ีรอบเครอื่ งยนต์ตา่ หรือใหอ้ ยู่ในชว่ งทปี่ ระหยัดนา้ มันสงู สุด - การใชเ้ บรกอยา่ งถกู ต้อง เชน่ การใชเ้ บรกไอเสยี ขณะลงทางลาดชนั และการชะลอรถก่อนทาการหยดุ รถเพอ่ื การประหยดั น้ามัน - สภาพความพรอ้ มของรา่ งกาย สาหรบั ผู้ ขับรถท่ดี คี วรมคี วามพรอ้ มของร่างกายและสภาพจติ ใจในขณะทาการขบั รถ - การวางแผนกอ่ นการเดินทางเพือ่ การเดินทางจะได้รวดเรว็ ท่ีสดุ และสน้ั ทสี่ ุด หลีกเลย่ี งการขบั รถบนทางลาดชนั หรอื ขณะทีม่ กี ารจราจรติดขดั รวมถึงการจอดรถและการออกตวั รถใหน้ ้อยทสี่ ุด เช่น หลีกเล่ียงการจอดตดิ สญั ญาณไฟแดง วิธีการออกรถและการเปลี่ยนเกียรท์ ีช่ ว่ ยใหป้ ระหยดั นา้ มันเชอ้ื เพลิง 1. ให้รถออกในตาแหนง่ เกยี ร์ 1 เสมอ 2. ใหร้ อบเครอ่ื งยนตอ์ ยูใ่ นตาแหนง่ ทีป่ ระหยดั และได้แรงบดิ จากรอบเครอ่ื งยนต์มากทีส่ ุด โดยทวั่ ไปรถท่ผี ลิตในปจั จบุ ันรอบของเครื่องยนต์จะไดแ้ รงบดิ สูงในขณะเคร่ืองยนตร์ อบตา่ (อยใู่ นช่วงแถบสีเขียว)
63 3. ห้ามลากรอบเครอ่ื งยนต์ให้เกินตาแหนง่ รอบท่ีไดแ้ รงบิดสูงสุด ซ่งึ หากผู้ขับรถลากรถเครื่องยนตใ์ ห้เกินตาแหนง่ จะเปน็ การสิน้ เปลอื งน้ามนั มาก 4. การเปลี่ยนเกยี รใ์ ห้สูงขึ้น ให้เปลยี่ นในชว่ งทไี่ ด้รอบแรงบดิ สงู สดุ (อยใู่ นช่วงแถบสเี ขยี ว) 5. การเปล่ยี นเกยี ร์ให้ตา่ ลง ใหเ้ ปลย่ี นในรอบเคร่ืองในแถบตา่ สุด (ในตาแหนง่ ต่าสดุ ของแถบสเี ขียว) 6. ในขณะขับรถผ้ขู ับรถควรรักษาระดับความเรว็ และรอบเครื่องยนต์ให้อยู่ในตาแหน่งแถบสเี ขียวตลอดเวลาเพ่ือการประหยัดนา้ มันเชือ้ เพลงิ สงู สุด 7. หลีกเล่ียงการเหยียบคันเร่งอย่างแรง ปัจจัยอนื่ ที่มีผลต่อการประหยดั น้ามนั 1. หลีกเล่ียงการใช้เบรกโดยไมจ่ าเป็น 2. ไมเ่ บรกอย่างรนุ แรง 3. ใช้เบรกไอเสียขณะชะลอรถ 4. ใชก้ ารลดเกยี รใ์ หต้ า่ ลงขณะใช้ความเร็วตา่ 5. ทิง้ ระยะหา่ งจากรถคันหน้าใหอ้ ยูใ่ นระยะท่เี หมาะสม 6. วางแผนล่วงหน้าขณะผ่านทางแยกเพื่อหลีกเลยี่ งการจอดตดิ ไฟแดง 7. ใชค้ ันเร่งดว้ ยความราบเรียบและสมา่ เสมอ2. ตวั รถ ในปัจจุบนั รถรนุ่ ใหม่ ๆ ไดร้ ับการพัฒนาเทคโนโลยใี นดา้ นเครือ่ งยนต์และสมรรถนะเครื่องยนต์รวมถึงการรกั ษาสภาพแวดลอ้ ม หากผู้ ประกอบการและผขู้ ับรถไมม่ กี ารบารงุ รกั ษาเครื่องยนต์และสว่ นควบตา่ งๆ จะสง่ ผลใหไ้ มเ่ กดิ การประหยัดน้ามนั ปัจจัยของสภาพตวั รถทส่ี ่งผลต่อการไมป่ ระหยัดนา้ มนั 2.1 เครือ่ งยนต์ 2.1.1 สภาพความพร้อม สภาพความฟติ ของเครือ่ งยนต์ 2.1.2 สภาพปม๊ั น้ามนั เชือ้ เพลงิ และระบบของหวั ฉดี นา้ มนั เช้อื เพลิง 2.1.3 สภาพกรองนา้ มนั เชือ้ เพลงิ 2.1.4 สภาพกรองดกั นา้ ในระบบน้ามันเช้ือเพลิง 2.1.5 สภาพไสก้ รองอากาศและทางเดนิ อากาศ 2.1.6 สภาพทีเ่ ป็นสว่ นเสรมิ อ่ืน ๆ เช่น นา้ มันหล่อล่นื 2.2 คลัตช์ คลัตช์เปน็ ตัวชว่ ยใหก้ ารส่งกาลงั ไปยังระบบเกยี ร์ หากคลตั ช์ของรถสึกหรอหรือใกลห้ มด จะส่งผลให้กาลังของเครือ่ งยนต์ถ่ายทอดไปยงั ชดุ เกยี รไ์ ม่ได้เต็มท่ี (คลตั ช์ลนื่ ) ทาให้ต้องใช้รอบของเคร่ืองยนต์ท่สี งู กวา่ ปกติทาให้สนิ้ เปลืองนา้ มนั เช้อื เพลิงมากขนึ้ ซึ่งการขับรถผู้ขับรถบางคนมักวางเทา้ ไว้บนแปนู คลัตช์ ซงึ่ จากการวางเทา้ บนแปูนคลตั ชเ์ พียงเลก็ น้อยก็ส่งผลทาใหค้ ลัตชท์ างานหรอื ทาใหแ้ ผน่ คลตั ชส์ ึกหรอตลอดเวลา
64 2.3 เบรก เบรกรถเป็นส่วนชว่ ยในการหยดุ รถ หากมกี ารต้งั เบรกที่ชิดเกินไปอาจเกิดปัญหาในเรอ่ื งเบรกตดิ หรอืเกิดความฝืดทีจ่ านเบรก รวมถงึ สภาพของสปรงิ เบรกทลี่ า้ เกนิ ไปกม็ ีส่วนทาใหข้ ณะทาการเ บรกแลว้ ผ้าเบรกคืนกลบั ช้า ซ่งึ ปจั จยั เหลา่ นีเ้ ปน็ สว่ นหนึง่ ท่ีทาใหข้ ณะขับรถเกิดการสนิ้ เปลืองนา้ มันเชอื้ เพลงิ 2.4 ยาง ในขณะขับรถยางเปน็ สว่ นหนึ่งในการรบั น้าหนักบรรทุก หากมแี รงดันลมยางออ่ นเกินไป หรอื ในลมยางแตล่ ะเส้นมีแรงดันลมยางต่างกนั ทให้การขบั รถไมเ่ กิดการประหยดั นา้ มนั เชอื้ เพลงิ และอาจรวมถึงการปรบั ต้งั เพลาหางพว่ ง ถา้ หากระยะไม่ได้ศนู ย์ก็จะทาให้เกิดแรงฝืดในขณะฉดุ ลาก ทาให้ต้องใชก้ าลงั มากขนึ้ ก็เปน็ การส้นิ เปลืองน้ามนั เชอ้ื เพลงิ3. สภาพแวดลอ้ ม ผขู้ บั รถต้องมีการวางแผนกอ่ นการเดินทางและควรศึกษาสภาพทาง รวมถงึ ภูมิประเทศกอ่ นการขบัรถ และควรหลกี เลีย่ งสภาพทางทีไ่ มค่ นุ้ เคยและมีสภาพเส่ียงในขณะเดนิ ทาง เชน่ สภาพดินฟูาอากาศ สภาพถนนดินลกู รงั สภาพการจราจร สภาพภูมปิ ระเทศ (ภเู ขาสูง ทางลาดชันมาก ๆ)4. นา้ หนกั บรรทกุ ในขณะทาการบรรทุกเครอื่ งยนตต์ อ้ งทางานหนักมากข้นึ ซงึ่ มผี ลทาให้เกดิ การสน้ิ เปลอื งพลงั งานเพ่มิมากขนึ้ การจดั การนา้ หนกั สินค้าแตล่ ะเทย่ี ว ควรมีการจดั การท่ีดแี ละไมค่ วรบรรทุกเกนิ อตั ราท่กี าหนด รวมทั้งการจดั วางสนิ คา้ ตา่ ง ๆ ก็มีสว่ นช่วยในการประหยัดนา้ มัน 1. การบรรทกุ ไม่เกินกาหนดจะทาใหเ้ กดิ การประหยัดนา้ มนั 2. การกระจายนา้ หนกั บรรทุกใหถ้ ูกต้อง ทาใหก้ ารบังคับและควบคมุ รถงา่ ยขน้ึ 3. หากต้องใช้ทางทเ่ี ป็นภูเขาสูง ควรลดน้าหนักบรรทุกลงให้น้อยกวา่ การบรรทุกปกติ .................................
65 เอกสารประกอบการศึกษา1. หลักสตู รฝึกอบรมพนักงานขบั รถพยาบาล ฉบบั ปรบั ปรุงครั้งท่ี 1, กระทรวงสาธารณสุข, สิงหาคม 2557.2. รายงานฉบับสมบูรณ์ : โครงการศึกษาเพือ่ พัฒนาระบบใบอนุญาตขับรถให้เหมาะสมกับประเทศไทย,มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์, พฤศจกิ ายน 2557.3. คูม่ อื อบรมสาหรบั ผ้ขู อต่ออายุใบอนุญาตขบั รถ และการอบรมเพอ่ื ฟ้นื ฟูพฤตกิ รรมสาหรบั ผูข้ บั รถท่กี ระทาผดิบอ่ ยครั้ง, กรมการขนส่งทางบก, 2558.4. หนังสอื ขับข่ีปลอดภยั กับ กปถ., กองทนุ เพ่ือความปลอดภยั ในการใชร้ ถใช้ถนน.5. สรปุ รายงานสถานการณโ์ ลกดา้ นความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. 2558, องค์การอนามัยโลก, 2558.
Search