Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Case study

Case study

Published by kanitthapilawut, 2023-05-24 17:44:36

Description: Case study

Search

Read the Text Version

)))))))))))))))))) Case Study diffuse axonal injury with Burn

)))))))))))))))))) กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา

)))))))))))))))))) ระบบประสาท (Nervous System) เป็นระบบการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของสัตว์ ทำให้สัตว์สามารถตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆ รอบตัวอย่างรวดเร็ว ช่วยรวบรวมข้อมูลเพื่อให้สามารถตอบสนองได้ การทำงานของระบบประสาท ระบบประสาทเมื่อพิจารณาตามตำแหน่งโครงสร้างเป็นเกณฑ์ จะแบ่งได้เป็น 2 ระบบคือ 1. ระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous Systems หรือ CNS)ประกอบด้วยสมองและไขสันหลัง 2. ระบบประสาทรอบนอก (Peripheral Nervous Systems หรือ PNS)ประกอบด้วยเส้นประสาทสมอง (12 คู่)และ เส้นประสาทไขสันหลังไขสันหลัง (31 คู่)

)))))))))))))))))) ระบบประสาทส่วนกลาง ( CENTRAL NERVOUS SYSTEM หรือ CNS) ได้แก่ สมอง ( Brain) และไขสันหลัง ( Spinal cord) เป็นศูนย์กลางควบคุมการ ทำงานของร่างกายซึ่งทำงานพร้อมกันทั้งด้านกลไกและเคมี ภายใต้อำนาจจิตใจ และมี เส้นประสาท ( neuron) หลายเส้นจากทั่วร่างกายจะส่งข้อมูล ในรูปกระแสประสาท ออกจากบริเวณศูนย์กลาง ประกอบด้วย

)))))))))))))))))) สมอง (Brain) เนื้อสมอง แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ เนื้อสมอง สีเทา ( Gray Matter) และเนื้อสมองสี ขาว ( White Matter) เนื้อสมองสีเทาคือส่วนสมองที่มีเข้มกว่า และเป็นส่วนที่อยู่ด้านนอก ในขณะที่เนื้อสมองสีขาวคือส่วนที่สีอ่อนกว่า และอยู่ที่ส่วนด้านใน เนื้อสมองสีเทาจะประกอบด้วยเซลล์สมองที่อยู่ตรงกลางของเซลล์ ( Soma) ส่วนเนื้อสมองสี ขาวส่วนใหญ่จะประกอบด้วย Axon ( ส่วนที่ยื่นออกมาคล้ายราก เพื่อยึดระหว่างเซลล์ประสาท ให้เข้าหากัน โดยถูกห่อด้วย Myelin ซึ่งเป็นชั้นปกป้องเซลล์ประสาทที่อยู่ด้านใน

)))))))))))))))))) การทำงานของสมอง สมองส่งและรับสารเคมีและสัญญาณไฟฟ้าไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย โดยสัญญาน ประสาทที่แตกต่างกันจะควบคุมกระบวนการที่แตกต่างกันไป เช่นบางสัญญาณรับรู้ ความรู้สึกปวด บางสัญญาณทำให้รู้สึกหิวหรืออิ่ม บางสัญญาณจะเก็บไว้ภายในสมอง บางสัญญาณประสาทจะส่งผ่านไปยังไขสันหลังเพื่อควบคุมส่วนต่างๆของร่างกาย โดย สมองซีกซ้ายจะควบคุมแขนและขาซึกขวา ส่วนสมองซีกขวาจะ ค วบคุมแขนขาซีกซ้าย โดยระบบประสาทสมองส่วนกลางจะประกอบด้วยเซลล์สมองนับล้านๆเซลล์

)))))))))))))))))) ส่วนประกอบหลักของสมอง และการทำงานแต่ละส่วนของสมอง

)))))))))))))))))) Cerebrum( ซีรีบรัม) ประกอบด้วย เนื้อสมองสีเทาที่อยู่ด้านนอก ส่วนเนื้อสมองสีขาวจะอยู่ตรงกลาง Cerebrum คือส่วนที่ใหญ่ที่สุดของสมอง ทำหน้าที่ในการประสานการเคลื่อนไหว บุคลิกภาพ ทักษะทางสังคม การควบคุมอุณหภูมิ ส่วนพื้นที่อื่นๆของซีรีบรัม ควบคุมใน การการพูด การตัดสินใจ ความคิด การใช้เหตุผล การแก้ปัญหา การควบคุมอารมณ์ และการเรียนรู้ ส่วนหน้าที่อื่นๆได้แก่ การมองเห็น การได้ยิน ประสาทสัมผัส

)))))))))))))))))) Cerebral cortex มีน้ำหนักเป็นครึ่งหนึ่งของสมองทั้งหมด และมีพื้นที่ผิวมากเนื่องจากประกอบด้วยรอยหยักต่างๆ มากมาย โดยประกอบด้วย 2 ซีก ( Hemisphere) โดยทั้ง 2 ซีกของสมองถูกเชื่อมด้วย อวัยวะรูปตัว C ที่เป็นเนื้อสมองสีขาวเรียกว่า คอร์ปัสแคลลอซึม ( corpus callosum) ซึ่งอยู่ตรงกลางของสมอง ก้านสมอง ( Brain stem) คือส่วนที่เชื่อมต่อสมองกับไขสันหลัง ซึ่งประกอบด้วยสมองส่วนกลาง ( Mid brain) , พอนส์ ( Pons) และ เมดูลลาร์ ( Medulla)

)))))))))))))))))) Mid Brain หรือสมองส่วนกลาง คือส่วนที่มีความซับซ้อนมาก เส้นทางเดินของระบบประสาทที่ ประกอบด้วยกลุ่มของเซลล์ประสาทที่ต่างขนิดกัน และโครงสร้างอื่นๆของสมอง โดยจะ ประสานการทำงานที่หลากหลาย ตั้งแต่การได้ยิน และการเคลื่อนไหวที่สามารถตอบ สนองต่อสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ยังประกอบด้วยซับสะแตนเทีย ไน กร้า ( substantia nigra) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีเซลล์ประสาทที่มีโดปามีน ( dopamine) จำนวนมาก และเป็นส่วนหนึ่งของเบซอล แกนเกลี่ยน ( basal ganglion) ถ้าสมอง ส่วนนี้มีปัญหาก็จะเกิดโรคพาร์กินสัน ( Parkinson) ทำให้ไม่สามารถควบคุมการ เคลื่อนไหวและการประสานการเคลื่อนไหวได้

)))))))))))))))))) พอนส์ ( Pons) เป็นต้นกำเนิดของเส้นประสาทสมอง 4 คู่ จากทั้งหมด 12 คู่ ทำหน้าที่ต่างๆ เช่น การ สร้างน้ำตา การเคี้ยว กระพริบตา การปรับ focus ของตา การทรงตัว การได้ยิน และการ แสดงออกทางใบหน้า Pons มาจากภาษาลาตินแปลว่าสะพาน เนื่องจากเชื่อมต่อระหว่าง สมองส่วนกลาง( mid brain) กับ เมดูลลา ( Medulla) เมดูลา ( Medulla) อยู่ที่ส่วนล่างสุดของก้านสมอง เป็นส่วนที่สมองที่ไปติดต่อกับไขสันหลัง เมดูลลา( medulla) เป็นส่วนที่สำคัญต่อการมีชีวิต เนื่องจากควบคุมการเต้นของหัวใจ การหายใจ ระบบไหวเวียนโลหิต และระดับของออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ และควบคุม ปฏิกิริยาที่อยู่นอกการควบคุมของจิตใจ( reflex) ได้แก่ การจาม ไอ อาเจียน และการ กลืน

)))))))))))))))))) ไขสันหลัง ( Spinal cord) คือส่วนที่ต่อจากเมดูลลา( Medulla) ผ่านช่องที่อยู่ด้านใต้ของกะโหลกศีรษะ โดยถูกพยุงด้วย กระดูกสันหลัง โดยไขสันหลังจะรับและส่งสัญญาณประสาทจากสมองผ่านไขสันหลังเพื่อไปยัง ส่วนต่างๆทั่วร่างกาย ซีรีเบลลัม ( Cerebellum) สมองน้อย คือส่วนของสมองที่อยู่บริเวณด้านหลังของศีรษะ ใต้กลีบสมองส่วนที่อยู่ด้านข้างหรือเทมโพรอล ( Temporal Lobe) และกลีบสมองส่วนหลังหรือออกซิพิทัล ( Occipital Lobe) และอยู่เหนือก้านสมอง ( Brain stem) ซีรีเบลลัมประกอบด้วย 2 ซีก ( Hemisphere) โดยส่วนนอกของซีรีเบลลัมประกอบด้วยเซลล์สมอง ส่วน ด้านในจะเป็นส่วนที่ใช้ในการส่งกระแสประสาทเพื่อติดต่อสื่อสารกับ Cerebral Cortex ซีรีเบลลัมทำหน้าที่ ประสานการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ และการทรงตัว การศึกษาใหม่เกี่ยวกับหน้าที่ซีรีเบลลัมพบว่าทำหน้าที่เกี่ยวกับ ความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมสังคม และมีความเป็นไปได้ที่ซีรีเบลลัมจะเกี่ยวข้องกับการเสพติด ออทิสติก ( autism) และโรคจิตเภท ( schizophrenia) ด้วย

)))))))))))))))))) กลีบของสมองและการทำงานของแต่ละกลีบของสมอง (LOBES OF THE BRAIN AND WHAT THEY CONTROL ในแต่ละซีกของสมอง ( Cerebral Hemisphere) จะประกอบด้วย 4 ส่วนเรียกว่ากลีบหรือ Lobes 01 กลีบสมองส่วนหน้า ( Frontal Lobe) 02 กลีบสมองส่วนกลาง( Parietal Lobe เป็นกลีบที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ส่วนหน้าของศีรษะ ส่วนนี้ อยู่ที่ส่วนกลางของสมอง ทำหน้าที่ในการ รับการนำเข้า เกี่ยวข้องกับ การเคลื่อนไหว บุคลิกภาพ การตัดสิน ใจ การควบคุมอารมณ์ การจัดการ การได้กลิ่น และที่ ประสาทสัมผัสต่างๆ บ่งชี้วัตถุต่างๆ การเข้าใจตนเองและ กลีบสมองส่วนหน้าที่จะมีพื้นที่เรียกว่า Broca’s สามารถแยกหรือเปรียบเทียบตนเองกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบ area ที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการพูด ข้าง การแปลผลการความรู้สึกปวด และการสัมผัส Parietal Lobe จะเป็นที่ตั้งของ Wernicke’s area ทำให้สมองเข้าใจ ภาษาที่พูด การอ่าน การเขียน และการคำนวณ กลีบสมองส่วนหลัง (Occipital lobe) กลีบสมองส่วนที่อยู่ด้านข้าง (Temporal Lobe) 03 อยู่ที่ส่วนหลังของสมอง 04 ทำหน้าที่เกี่ยวกับความจำ การเชื่อมโยงการรับรู้เกี่ยวกับความ ทำหน้าที่กับการมองเห็น จำ การรับรู้วัตถุ การเข้าใจภาษา การพูด การฟัง ศิลปะและ ดนตรี ( musical rhythm) และการรับรู้เรื่องกลิ่น

)))))))))))))))))) เยื่อหุ้มสมอง (MENINGES) เยื่อหุ้มสมองคือส่วนที่ห่อหุ้มเนื้อสมองและไขสันหลังประกอบด้วย 3 ชั้น ชั้นนอกสุดเรียกว่าชั้นดูรา มาเตอร์ ( Dura mater) ชั้นกลางเรียกว่าชั้นอะแรคนอยด์ - เป็นชั้นที่หนาและเหนียว ชั้นนี้ยังแบ่งเป็น 2 ชั้น - ( Arachnoid mater) ย่อยคือชั้นที่อยู่ติดเยื่อหุ้มกระดูก ( Periosteal) ซึ่ง เป็นชั้นบาง เป็นที่อยู่ของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน วางตัวอยู่ใต้กะโหลกศีรษะ และส่วนที่อยู่ชั้นล่างจาก (Connective tissue) โดยไม่มีเส้นเลือดและเส้นประสาทอยู่ ชั้นนี้อีกชั้นหนึ่ง ระหว่างชั้นทั้ง 2 จะเป็นที่อยู่ของ ในชั้นนี้ ด้านใต้ของชั้นนี้จะเป็นที่อยู่ของน้ำสมองและ เส้นเลือดดำและเส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงสมอง ไขสันหลัง ( Cerebrospinal fluid หรือ CSF) น้ำสมองและ ไขสันหลังที่หมุนเวียนอยู่ในชั้นนี้นอกจากจะทำหน้าที่เป็น เบาะกันกระแทกให้กับสมองและไขสันหลังแล้วยังเป็นตัวนำ ของเสียและส่งสารอาหารไปเลี้ยงสมองและไขสันหลังอีกด้วย ชั้นในสุดหรือชั้นเพีย มาเตอร์ ( Pia mater) - เป็นชั้นบางๆที่โอบล้อมเนื้อสมอง เป็นชั้นที่มีเส้นเลือดดำและเส้นแดง อยู่ในชั้นนี้อย่างมาก

)))))))))))))))))) ส่วนที่อยู่ลึกลงไปในสมอง (DEEPER STRUCTURES WITHIN THE BRAIN) ต่อมพิทูอิทารี ( Pituitary Gland) บางทีเรียกว่าบางที่เรียกว่า Master gland มีขนาดเท่าเมล็ดถั่ว ตั้งอยู่ที่ส่วน ลึกของสมอง โดยต่อมพิทูอิทารี ควบคุมการทำงานของต่อมต่างๆในร่างกาย โดยควบคุมการหลั่งฮอร์โมนจากต่อม ไทรอยด์ ต่อมหมวกไต รังไข่ อัณฑะ และได้รับสัญญาณทางเคมีจากไฮโปธาลามัสผ่านทางกระแสเลือด ไฮโปธาลามัส ( Hypothalamus) ไฮโบธาลามัส อยู่ด้านบนของต่อมพิทูอิทารี และส่งสัญญาณทาง เคมีเพื่อไปควบคุมการทำงานของต่อมพิทูอิทารี โดยควบคุม อุณหภูมิของร่างกาย แบบแผนการนอน ควบคุมความหิวและความกระหายน้ำ และมีส่วนเกี่ยวข้องบางส่วนในเรื่องความจำและอารมณ์ อะมิกดาลา Amygdala มีขนาดเล็ก รูปร่างคล้ายเม็ดอัลมอนด์ ตั้งอยู่ด้านล่างของแต่ละซีกของสมอง ภายใน limbic system, โดยอะมิกดาลา ทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์ และความจำ และเกี่ยวข้องกับ ความเครียด การตอบโต้ ของร่างกายที่จะสู้หรือถอย เมื่อเผชิญกับสิ่งคุกคาม

)))))))))))))))))) ส่วนที่อยู่ลึกลงไปในสมอง (DEEPER STRUCTURES WITHIN THE BRAIN) ฮิบโปแคมปัส ( Hippocampus) รูปร่างโค้งคล้ายม้าน้ำ อยู่ที่กลีบสมองด้านข้าง เป็นส่วนหนึ่งของ Hippocampal Formation ทำหน้าที่สนับสนุนการทำหน้าที่เกี่ยวกับ ความจำ การเรียนรู้ และการสำรวจ และการรับรู้สถานที่ โดยรับข้อมูลจากสมอง ( Cerebral Cortex) และอาจจะมีบทบาทเกี่ยวกับโรคความจำ เสื่อมอัลไซเมอร์ ( Alzheimer) ต่อมไพเนียล ( Pineal Gland) ตั้งอยู่ที่ส่วนลึกของสมอง ติดกับโพรงสมองที่ 3 ด้านบน ( third ventricle) โดยต่อมไพเนียลจะตอบสนองกับแสงสว่างและความมืด และหลั่งเมลาโทนิน ซึ่งจะควบคุม จังหวะเซอคาเดียน ( circadian) ซึ่งเป็นจังหวะที่ควบคุมการตื่นหรือหลับตลอด 24 ชั่วโมงของคน และ ควบคุมวงรอบของการนอนและการตื่นของคน

)))))))))))))))))) ส่วนที่อยู่ลึกลงไปในสมอง (DEEPER STRUCTURES WITHIN THE BRAIN) โพรงสมอง ( Ventricles) และน้ำสมองและไขสันหลัง ( Ventricles and Cerebrospinal Fluid หรือ CSF) ในส่วนที่ลึกของสมองจะมีโพรงสมองที่ทำ หน้าที่สร้างน้ำสมองและไขสันหลัง ( Cerebrospinal Fluid หรือ CSF) โดยโพรง สมอง ( Ventricle) จะมี 4 โพรง ได้แก่ โพรงสมองด้านข้าง ( Lateral Ventricle) ซ้าย ข้างขวา โพรงสมองที่ 3 และ ที่ 4 โดยโพรงสมองสร้างน้ำสมองและ ไขสันหลัง ( CSF) และ CSF จะไหลจากโพรงสมองด้านข้างทั้ง 2 ข้างไปยัง โพรงสมองที่ 3 จากนั้นไปยังโพรงสมองที่ 4 จากนั้นไหลไปที่ช่องของเยื่อหุ้ม สมองชั้น Arachnoid ที่เรียกว่า Subarachnoid space น้ำสมองและไขสันหลัง จะหมุนเวียนในสมองและไขสันหลังเพื่อขจัดของเสียและส่งสารอาหารให้สมองและ ไขสันหลัง

)))))))))))))))))) เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ต่อมพิทูอิทารี ( Pituitary Gland) บางทีเรียกว่าบางที่เรียกว่า Master gland มีขนาดเท่าเมล็ดถั่ว ตั้งอยู่ที่ส่วน ลึกของสมอง โดยต่อมพิทูอิทารี ควบคุมการทำงานของต่อมต่างๆในร่างกาย โดยควบคุมการหลั่งฮอร์โมนจากต่อม ไทรอยด์ ต่อมหมวกไต รังไข่ อัณฑะ และได้รับสัญญาณทางเคมีจากไฮโปธาลามัสผ่านทางกระแสเลือด ไฮโปธาลามัส ( Hypothalamus) ไฮโบธาลามัส อยู่ด้านบนของต่อมพิทูอิทารี และส่งสัญญาณทาง เคมีเพื่อไปควบคุมการทำงานของต่อมพิทูอิทารี โดยควบคุม อุณหภูมิของร่างกาย แบบแผนการนอน ควบคุมความหิวและความกระหายน้ำ และมีส่วนเกี่ยวข้องบางส่วนในเรื่องความจำและอารมณ์ อะมิกดาลา Amygdala มีขนาดเล็ก รูปร่างคล้ายเม็ดอัลมอนด์ ตั้งอยู่ด้านล่างของแต่ละซีกของสมอง ภายใน limbic system, โดยอะมิกดาลา ทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์ และความจำ และเกี่ยวข้องกับ ความเครียด การตอบโต้ ของร่างกายที่จะสู้หรือถอย เมื่อเผชิญกับสิ่งคุกคาม

)))))))))))))))))) เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง มีเส้นเลือด 2 ชุดที่ส่งเลือดและออกซิเจนไปให้สมองได้แก่ เส้นเลือดแดงเวอร์เทบรอล ( Vertebral Arteries) และเส้นเลือดแดงแครอติด( Carotid Arteries) เส้นเลือดแดงเวอร์เทบรอล (Vertebral Arteries) เส้นเลือดแดงแครอติด( Carotid Arteries) ข้างซ้ายและขวา ทอดตัวไปตามกระดูกสันหลังขึ้นไปยังกะโหลก ศีรษะ จากนั้นรวมกันเป็นเส้นเลือดแดงเบซิลาร์ (basilar artery) ที่ก้านสมอง เพื่อไปเลี้ยงสมองในส่วนที่อยู่ด้านหลัง จะแตกเเขนงเป็น 2 เส้น คือ เส้นเลือดแดงแครอติดด้านนอก (External Carotid) ทอดตัวที่ด้านข้างของคอ ถ้าใช้นิ้วคลำที่คอจะพบการเต้นของเส้นเลือดแดงเส้นนี้ เส้นเลือดแดงแครอติดด้านใน (Internal Carotid) จะมีแขนงเข้าไปใน กะโหลกศีรษะเพื่อไปเลี้ยงสมองส่วนหน้า

)))))))))))))))))) สมอง (Brain) เนื้อสมอง แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ เนื้อสมอง สีเทา ( Gray Matter) และเนื้อสมองสี ขาว ( White Matter) เนื้อสมองสีเทาคือส่วนสมองที่มีเข้มกว่า และเป็นส่วนที่อยู่ด้านนอก ในขณะที่เนื้อสมองสีขาวคือส่วนที่สีอ่อนกว่า และอยู่ที่ส่วนด้านใน เนื้อสมองสีเทาจะประกอบด้วยเซลล์สมองที่อยู่ตรงกลางของเซลล์ ( Soma) ส่วนเนื้อสมองสี ขาวส่วนใหญ่จะประกอบด้วย Axon ( ส่วนที่ยื่นออกมาคล้ายราก เพื่อยึดระหว่างเซลล์ประสาท ให้เข้าหากัน โดยถูกห่อด้วย Myelin ซึ่งเป็นชั้นปกป้องเซลล์ประสาทที่อยู่ด้านใน

)))))))))))))))))) ไขสันหลัง (spinal cord) เป็นส่วนของระบบประสาทที่ต่อออกมาจากเมดัลลาออบลองกาตา อยู่ภายในกระดูกสันหลัง ตั้งแต่ กระดูกสันหลังข้อแรกจนถึงกระดูกสันหลังบริเวณบั้นเอวข้อที่ 2 และมีเยื่อหุ้มเช่นเดียวกับสมอง เส้นประสาทที่ไขสันหลังไปเลี้ยงแขนและขาจะมีความยาวมากกว่าไปเลี้ยงลำตัวถ้าตัดไขสันหลัง ออกตามขวางจะพบว่าแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ 1. เนื้อสีเทา ( gray matter) อยู่ทางด้านใน 2. เนื้อสีขาว ( white matter ) เป็นส่วนที่อยู่ด้านนอก

)))))))))))))))))) เซลล์ประสาท (Neuron) ทำหน้าที่ส่งสัญญาณประสาท ประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญ ดังนี้ ตัวเซลล์ ( Cell Body / Soma ) : คล้ายเซลล์ทั่วไป มีนิวเคลียส ไมโทคอนเดรีย กอลจิบอดี มีหน้าที่ สร้างพลังงาน สังเคราะห์โปรตีนเป็นสารสื่อประสาท การเจริญเติบโตและเมแทบอลิซึมของเซลล์ประสาท ใยประสาท ( Nerve Fiber ) : เป็นส่วนของเซลล์ที่ยื่นออกมาจากตัวเซลล์เป็นแขนงเล็กๆมี 2 ชนิด คือ เดนไดรต์ ( Dendrite ) กับ แอกซอน ( Axon )

)))))))))))))))))) เซลล์ประสาทจำแนกตาม หน้าที่ได้ 3 ชนิด เซลล์ประสาทรับความรู้สึก (sensory neuron) เซลล์ประสาทสั่งการ (motor neuron) คือ เซลล์ประสาทที่รับกระแสประสาทจากหน่วยรับความรู้สึกแล้ว มักมีใยประสาทแอกซอนยาวกว่าเดนไดรต์ อาจยาวถึง ถ่ายทอดกระแสประสาทไปยังเซลล์ประสาทสั่งการโดยอาจผ่านเซลล์ 1 เมตร เพราะเซลล์ประสาทสั่งการที่อยู่ในไขสันหลัง ประสาทประสานงานหรือไม่ผ่านก็ได้ ตัวเซลล์ประสาทรับความรู้สึกอยู่ ต้องส่งกระแสประสาทออกจากไขสันหลัง เพื่อนำ ที่ปมประสาทรากบนของไขสันหลัง กระแสประสาทไปยังหน่อยปฏิบัติงานเช่นกล้ามเนื้อ แขนขา ซึ่งอยู่ห่างไกลจากไขสันหลังมาก เซลล์ประสาทประสานงาน (association neuron) เซลล์ประสาทชนิดนี้อยู่ในสมองและไขสันหลัง จะเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาท รับความรู้สึกกับเซลล์ประสาทสั่งการ ใยประสาทของเซลล์ประสาทประสานงาน อาจมีความยาวเพียง 4-5 ไมโครเมตรเท่านั้น

)))))))))))))))))) ระบบประสาทรอบนอก (PERIPHERAL NERVOUS SYSTEM หรือ PNS) ทำหน้าที่รับและนำความรู้สึกเข้าสู่ระบบส่วนกลาง ได้แก่ สมองและไขสันหลัง จากนั้น นำกระแสประสาทสั่งการจากระบบประสาทส่วนกลางไปยังหน่วยปฏิบัติงาน ซึ่งประกอบ ด้วยหน่วยรับความรู้สึกและอวัยวะสัมผัสรวมทั้งเซลล์ประสาทและเส้นประสาทที่อยู่นอก ระบบประสาทส่วนกลาง

)))))))))))))))))) ระบบประสาทรอบนอกจำแนกตามลักษณะ การทำงานได้ 2 แบบ ดังนี้ 1) ระบบประสาทภายใต้อำนาจจิตใจ เป็นระบบควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อที่บังคับได้รวมทั้งการตอบ สนองต่อสิ่งเร้าภายนอก เช่นการเกามือเมื่อมีอาการคัน การเคลื่อนไหวของร่างกาย 2) ระบบประสาทภายนอกอำนาจจิตใจ เป็นระบบประสาทที่ทำงานโดยอัตโนวัติ มีศูนย์กลางควบคุมอยู่ ในสมองและไขสันหลัง ได้แก่ การเกิดรีเฟล็กซ์แอกชัน (Reflex action) และเมื่อมีสิ่งเร้ากระตุ้นที่ อวัยวะรับสัมผัส เช่น ผิวหนัง กระแสประสาทจะส่งไปยังไขสันหลัง และไขสันหลังจะสั่งการตอบสนอง ไปยังกล้ามเนื้อโดยไม่ผ่านไปยังสมอง ไขสันหลัง

)))))))))))))))))) ระบบประสาทอัตโนวัติ สามารถแบ่งออก 2 ระบบย่อย ได้แก่ ระบบประสาทซิมพาเทติก (Sympathetic Nervous System) มีศูนย์กลางอยู่บริเวณไขสันหลัง เป็นระบบที่ ถูกนำมาใช้ในสภาวะฉุกเฉิน เมื่อร่างกายถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงจากสิ่งเร้าภายนอก เพื่อให้ร่างกายเกิดการตื่น ตัวและทำการตอบสนอง (สู้ หรือ หนี) ระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (Parasympathetic Nervous System) มีศูนย์กลางอยู่ที่ก้านสมอง (Medulla) และไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) เป็นระบบที่ถูกนำมาใช้เมื่อระบบซิมพาเทติกทำงาน สิ้นสุดลง เพื่อให้ร่างกายได้ผ่อนคลายและปรับสมดุลเข้าสู่สภาวะปกติ

)))))))))))))))))) เส้นประสาทไขสันหลัง (SPINAL NERVE)

)))))))))))))))))) เส้นประสาทสมอง (CRANIAL NERVE)

)))))))))))))))))) การบาดเจ็บที่ศีรษะ ( HEAD INJURY) การบาดเจ็บที่เกิดจากแรงที่เข้ามากระทบต่อศีรษะและร่างกายแล้วก่อให้ เกิดความบาดเจ็บต่อหนังศีรษะ กะโหลกศีรษะ และ สมอง กับเส้น ประสาทสมอง โดยระดับอาการมีตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงรุนแรง อาจเป็น สาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนไข้พิการ หรือเสียชีวิตได้

)))))))))))))))))) DIFFUSE AXONAL INJURY (DAI) เป็นภาวะบาดเจ็บของเนื้อสมองที่สำคัญอันเป็นผลมาจากการบาดเจ็บของศีรษะชนิดที่ไม่ ทะลุ ( non-missile head injury) เกิดขึ้นทันทีภายหลังการบาดเจ็บที่ศีรษะอาจมีผล ทำให้ผู้บาดเจ็บไม่รู้สึกตัวและถึงแก่ความตายได้ โดยอาจไม่พบก้อนเลือดในกะโหลก ศีรษะ ( intracranial hematoma) ซึ่งเป็นสาเหตุการตายจากการบาคเจ็บที่ศีรษะ ชนิดหนึ่ง นอกจากการแตกยุบของกะโหลกศีรษะ หรือเลือดออกในสมอง โดยจะพบมี ภาวะบวมและขาดของ Axons ร่วมกับการพบเลือดออกบริเวณ Pons , Midbrain และ Corpus Callosum โดยไม่ได้เกิดขึ้นในทันที และใช้เวลาเป็นชั่วโมง หรือ เป็นวันหลังจากได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะแล้ว

)))))))))))))))))) สาเหตุของภาวะบาดเจ็บสมอง อุบัติเหตุจากการคมนาคม ได้แก่ อุบัติเหตุรถยนต์ รถจักรยานยนต์ คนเดินเท้า สาเหตุที่พบบ่อยรองลงมาคืออุบัติเหตุตกจากที่สูงและหกล้ม โดยส่วนใหญ่มักเกิดในผู้สูงอายุและ เด็กเล็ก การทำร้ายร่างกายหรือใช้ความรุนแรงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ศีรษะ สำหรับอุบัติเหตุจากกีฬาและนันทนาการ พบได้น้อยที่สุดของผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ

)))))))))))))))))) ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะบาดเจ็บสมอง 1. การดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญพบว่าผู้ป่วยบาดเจ็บสมอง ร้อยละ 50 สัมพันธ์กับการดื่มแอลกอฮอล์ 2. เพศชาย มีอุบัติการณ์มากกว่าเพศหญิงประมาณ 2 เท่า โดยอัตราส่วนจะลดลงในกลุ่มผู้สูงอายุ 3. อายุระหว่าง 15 - 24 ปี มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดบาดเจ็บสมอง 4. กลุ่มประชากรที่มีภาวะทางเศรษฐกิจและสังคมที่ด้อยกว่า มีโอกาสเกิดบาดเจ็บสมองสูงกว่า 5. มีประวัติบาดเจ็บสมองมาก่อน พบร้อยละ 31

)))))))))))))))))) พยาธิสภาพของภาวะการบาดเจ็บที่สมอง กลไกการบาดเจ็บที่สมองเกิดจาก การมีแรงหรือวัตถุมากระทำต่อศีรษะทั้งทางตรง และทางอ้อม ส่งผลให้เกิดแรง เร่ง (Acceleration) แรงเฉื่อย (Deceleration) แรงสะท้อนกลับ (Coup-contre coup) และแรงเร่งเชิงมุม (Relational acceleration) ทำให้สมองเกิดการเคลื่อนที่หมุนเหวี่ยงอย่างรวดเร็วภายในกะโหลกศีรษะ นำไปสู่ พยาธิสภาพของสมองบาดเจ็บ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้ 1. ระยะปฐมภูมิ (primary injury) 2. ระยะทุติภูมิ ( secondary injury)

)))))))))))))))))) อาการของภาวะสมองบาดเจ็บ ทั้งสุขภาพร่างกายและจิตใจอาจได้รับผลกระทบจากภาวะสมองบาดเจ็บ โดยสัญญาณและ อาการของภาวะสมองบาดเจ็บอาจปรากฏขึ้นทันทีหลังจากได้รับบาดเจ็บ หรืออาจเกิดขึ้น หลายวันหรือหลายสัปดาห์หลังจากนั้น การบาดเจ็บที่สมองเล็กน้อย ภาวะสมองบาดเจ็บในระดับปานกลางถึงรุนแรง อาการทางปัญญาหรือทางจิต อาการทางร่างกาย อาการทางปัญญาหรือทางจิต อาการทางร่างกาย o ความสับสนอย่างรุนแรง o ปวดหัวเป็นเวลานานหรือมีอาการแย่ลง o อารมณ์เปลี่ยนแปลงหรือแกว่ง o ปวดหัว o พฤติกรรมที่ผิดปกติ o อาเจียนหรือคลื่นไส้ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ o พูดไม่ชัด o ชัก o ปัญหาเกี่ยวกับความจำหรือสมาธิ o คลื่นไส้หรืออาเจียน o หมดสติ o การขยายรูม่านตาของดวงตาหนึ่งหรือทั้งสองข้าง o อาการโคม่า o การระบายของเหลวใสออกจากจมูกหรือหู o อาการซึมเศร้าหรือวิตกกังวล o อ่อนเพลียหรือง่วงนอน o สูญเสียการประสานงานของร่างกาย o หมดสติเป็นเวลาไม่กี่นาทีหรือยาวนานถึงชั่วโมง o ปัญหาการพูด o นิ้วมือและนิ้วเท้าอ่อนแรงหรือชา o ไม่สามารถตื่นจากการหลับได้ o เวียนหัว o การสูญเสียความสมดุล o หมดสติเป็นวินาทีหรือนาที o สับสนโดยไม่เสียการทรงตัว

)))))))))))))))))) การวินิจฉัยการบาดเจ็บที่ศีรษะ เนื่องจากการบาดเจ็บที่ศีรษะเป็นภาวะที่อันตราย ผู้ป่วยจึงต้องได้รับการประเมินอาการอย่างรวดเร็ว เพื่อลด ความเสี่ยงของการเกิดความดันภายในกะโหลกสูง ซึ่งเป็นสาเหตุของการพิการ และเสียชีวิตได้ โดยการตรวจ วินิจฉัยสามารถทำได้หลายประการ

)))))))))))))))))) ตรวจร่างกาย แพทย์จะทำการตรวจร่างกายโดยการซักประวัติว่าผู้ป่วยมีอาการที่ ผิดปกติหรือไม่ เช่น ตามัว หูอื้อ ชาที่ผิวหนัง มีการตรวจระดับความรู้สึกตัว ตรวจ รูม่านตา ตรวจการเคลื่อนไหวแขนขา ตรวจสัญญาณชีพ ดูอาการที่แสดงว่ามี ความดันในกะโหลกเพิ่ม หรือมีกระดูกหักร่วมด้วยหรือไม่ ตรวจด้วยเครื่อง CT SCAN เพื่อวินิจฉัยโรค และความผิดปกติของร่างกายด้วยการฉาย รังสีเอกซเรย์ไปยังบริเวณสมองเพื่อดูอวัยวะภายในทำให้เห็นสภาพของหลอดเลือดใน สมอง และทำการวินิจฉัยโรคหรือใช้ในการติดตามโรคที่เป็นอยู่ต่อไป โดยดูจากความ รุนแรงของการบาดเจ็บ เช่น มีอาการหมดสติหลังได้รับบาดเจ็บ เบลอ ซึม เป็นต้น

)))))))))))))))))) การตรวจเพื่อวินิจฉัย มีการเจาะเลือดเพื่อตรวจดูฮีมาโตคริต (Haematocrit) หรือปริมาตรเม็ดเลือดแดงในเลือด น้ำตาลในกระแสเลือด และแก๊สในหลอดเลือด ตรวจดูการหายใจ ถ่ายภาพรังสีกะโหลกศีรษะเพื่อตรวจดูว่ามีการแตกหรือไม่ รวม ทั้งการฉีดสีเข้าหลอดเลือดแดงเพื่อดูความผิดปกติว่ามีเลือดออกหรือมีสิ่งที่เกิดขึ้นใน สมองหรือไม่ เพื่อจะได้วางแผนการช่วยเหลือได้อย่างถูกต้อง

)))))))))))))))))) การรักษาภาวะบาดเจ็บที่ศีรษะ เมื่อผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ปัญหาที่คุกคามชีวิตผู้ป่วยซึ่งอาจทำให้พิการหรือเสียชีวิต ได้แก่ การหายใจติดขัด ช็อกจากการเสียเลือดและน้ำ และสมองชอกช้ำอย่างรุนแรง การรักษาผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะมี 2 ระยะ คือ 1. ระยะฉุกเฉินหรือระยะเฉียบพลัน 2. ระยะการรักษาทั่วไป

))))))))))))))))ระยะฉุกเฉินหรือระยะเฉียบพลัน ))))))))) เป็นการประเมินอาการทางระบบประสาทร่วมกับ การช่วยผู้ป่วยลดความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ดูแลให้ ระบบอื่นๆ ของร่างกาย เพื่อเป็นแนวทางในการ ได้รับการพักผ่อนและผ่อนคลาย, ดูแลรักษาสมดุล วินิจฉัยของแพทย์, การดูแลและจัดทางเดินหายใจให้ ของภาวะโภชนาการของร่างกาย, ดูแลการขับถ่าย โล่ง โดยให้ออกซิเจนอย่างน้อย 24 ชั่วโมง, การดูแล อุจจาระปัสสาวะ, รักษาอุณหภูมิร่างกายให้อยู่ใน ให้มีเลือดไปเลี้ยง สมอง ได้อย่างเพียงพอ, รักษา อาการช็อกที่เกิดจากการบาดเจ็บบริเวณอวัยวะอื่นๆ เกณฑ์ปกติ, ป้องกันการติดเชื้อ, ป้องกันภาวะ เช่น กระดูกซี่โครงหักทิ่ม ผ่าตัดหลอดเลือดดำปอด แทรกซ้อนในระบบต่างๆ รวมทั้งประคับประคอง และให้สารน้ำเข้าเส้นเพื่อแก้ไขภาวะช็อก จิตใจผู้ป่วย ญาติและบุคคลที่เกี่ยวข้อง

))))))))))))))))ระยะการรักษาทั่วไป ))))))))) ผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะในระดับที่ไม่ เป็นการรักษาที่ต่อเนื่องจากการรักษาใน รุนแรง แม้ว่าจะได้รับการรักษาในเบื้องต้น ระยะฉุกเฉิน การรักษาทั่วไป เช่น การ และแพทย์ให้กลับบ้านได้แล้ว แต่ก็ยังมีความ รักษาเพื่อป้องกันสมองบวม การรักษาเพื่อคง จำเป็นที่จะต้องเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ความดันในกะโหลกศีรษะให้คงที่ การใส่ ประมาณ 1-2 วัน โดยอาการที่ต้องสังเกต สายยางปัสสาวะค้างไว้ในระยะแรกในรายที่ ได้แก่ ระดับความรู้สึกตัว เช่น เรียกไม่ค่อย สมองบวม เนื่องจากผู้ป่วยไม่สามารถควบคุม รู้สึกตัว นอนซึม เอะอะโวยวาย ไม่สามารถ การขับถ่ายปัสสาวะได้ โต้ตอบและทำตามคำสั่งไม่ได้ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะมากขึ้น กล้ามเนื้อหน้า แขน ขา เกร็งและกระตุก และแขนขาอ่อนแรง

)))))))))))))))))) กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา

)))))))))))))))))) ระบบผิวหนัง (skin System) ผิวหนังห่อหุ้มร่างกายทั้งหมด มีปลายประสาทรับความรู้สึกเพื่อรับรู้การสัมผัส การกด ความเจ็บ อุณหภูมิ ระบบผิวหนังมีหน้าที่สำคัญในการควบคุมอุณหภูมิของร่างกายและขับเหงื่อหรือไขมันด้วย ผิวหนังประกอบด้วย 3 ส่วน 1.ชั้นตื้น เรียกว่า หนังกำพร้า (epidermis) 2.ชั้นลึก เรียกว่า หนังแท้ (dermis) 3.ชั้นใต้ผิวหนัง (subcutaneous tissue) หรือ ชั้นไขมัน (subcutaneous)

)))))))))))))))))) หนังกำพร้า (epidermis) คลุมอยู่บนหนังแท้ ความหนาของหนังกำพร้าแตกต่างกันตามส่วนต่างๆของร่างกาย หนาตั้งแต่ 0.3 ถึง 1 มิลลิเมตร หนังกำพร้าที่ฝ่ามือและฝ่าเท้าจะมีความหนามากที่สุดและบริเวณชั้นหนังตาจะบางที่สุด ชั้นนี้จะไม่มีหลอดเลือดเลยและจะประกอบด้วยเซลล์รูปร่างต่างๆกันหลายชั้น ชั้นตื้นที่สุดจะเป็นเซลล์ แบนๆและตายแล้ว จะลอกหลุดออกไปเป็นขี้ไคล

)))))))))))))))))) หนังแท้ (dermis) ประกอบด้วยเส้นใยพังผืดเป็นส่วนใหญ่ประสานไขว้ไปมา ส่วนตื้นของชั้นนี้ยื่นเป็นปุ่มนูนขึ้นมา สวมกับช่องทางด้านลึกของหนังกำพร้า ในปุ่มนูนนี้มีหลอดเลือดและปลายประสาทรับความรู้สึก ส่วน ลึกของหนังแท้จะมีแต่เส้นยพังผืดประสานกันค่อนข้างแน่น ความยืดหยุ่นของผิวหนังที่อยู่เส้นใย พังผืดและเนื้อเยื่อใต้หนัง

)))))))))))))))))) ชั้นใต้ผิวหนัง (subcutaneous tissue) หรือ ชั้นไขมัน (subcutaneous) ประกอบด้วยเซลล์ไขมันเป็นหลัก ความหนาขึ้นกับปริมาณไขมันของแต่ละบุคคล ชั้นนี้ทําหน้าที่ให้ ความอบอุ่นแก่ร่างกาย คล้ายฉนวนกันความร้อนช่วยลดแรงกระทบกระแทกจากภายนอก และชั้นไข มันที่มีมากโดยเฉพาะบริเวณสะโพก เอว ต้นขา ที่เรียกว่า cellulite คือไขมัน ที่มีเนื้อเยื่อคล้าย พังผืดแทรกอยู่ทําให้เกิดการดึงรั้งผิวหนังเห็นเป็นลอนๆจากภายนอกการเกิด cellulite ไม่ขึ้นกับ ปริมาณของไขมันในร่างกายคนผอมก็มี cellulite

)))))))))))))))))) หน้าที่ของผิวหนัง 1.ช่วยป้องกันอวัยวะที่อยู่ลึกลงไปจากอันตราย และ การแทรกซึมของเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ 2.ป้องกันไม่ให้น้ำภายนอกซึมเข้าไปในร่างกาย และ ป้องกันไม่ให้น้ำในร่างกายระเหยออกไป 3.รับความรู้สึกต่างๆอย่างกว้างขวาง โดยที่มีปลายประสาทรับความรู้สึกหลายชนิดและจำนวนมาก เช่น เจ็บ สัมผัส กด และ ร้อนเย็น 4.ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย โดยระบายความร้อนออกจากร่างกายผ่านทางผิวหนัง 5.ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย โดยต่อมเหงื่อขับเหงื่อ จึงมีหน้าที่ช่วยไตขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ซึ่งเห็นชัดใน หน้าร้อนจะมีเหงื่อออกมาก 6.เป็นแหล่งสร้างวิตามินดี ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาของแสงอัตราไวโอเลตของแสงอาทิตย์ต่อสเตอรอล (sterol) ในผิวหน้า ป้องกันโรคกระดูกอ่อน

)))))))))))))))))) ขนหรือผม (hairs) ขนหรือผมเจริญมาจากหนังกำพร้าชั้นลึก ขนเจริญเกือบทั่วร่างกายยกเว้นบางแห่งเท่านั้น เช่น หัวนม สะดือ ขอบปาด ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และด้านหลังของนิ้วปล้องสุดท้าย ขนทุกเส้นประกอบด้วย เส้นขน รากขน และขุขมขน - เส้นขน เป็นส่วนของขนที่โผล่พ้นผิวหนังขึ้นมา - รากขน เป็นส่วนที่ฝังอยู่ในรูผิวหนังเฉียงๆ เป็นสาเหตุทำให้เส้นขนเอียงเฉียงๆอีกด้วย ส่วนลึกของรากขนโป่ง เป็นกระเปาะและมีส่วนของหน้าแท้ยื่นเข้าไปภายในกระเปาะนี้ - ขุมขน เป็นส่วนของหนังกำหร้าและหนังแท้ ยื่นลึกเข้าไปถึงเยื่อใต้หนังมาประกอบเป็นท่อล้อมรอบรากขน มีท่อของ ต่อมไขมันมาเปิดสู่ขุมขน

)))))))))))))))))) แผลไหม้ (BURN)

)))))))))))))))))) แผลไหม้ (BURN) การบาดเจ็บที่เกิดจากการได้รับความร้อน เช่น น้ำร้อน น้ำมัน กระแสไฟฟ้า หรือสารเคมี รวมทั้งที่เกิดจากการเสียดสี การตากแดดหรือการโดนรังสี การถูกไฟฟ้าแรงสูงดูด หรือไฟฟ้า ลัดวงจร ทำให้เนื้อเยื่อถูกทำลาย ตั้งแต่ชั้นหนังกำพร้า อาจลึกจนกระทั่งถึงกระดูก ซึ่งการ ทำลายของผิวหนังจะลึกเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับ อุณหภูมิและระยะเวลาที่สัมผัสกับสิ่งที่ทำให้เกิด ความร้อน ทำให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บมีอาการแตกต่างกัน การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นอาจมีเพียงเล็ก น้อยจนถึงรุนแรงที่ทำอันตรายต่อผิวหนัง บางครั้งทำลายเนื้อเยื่อชั้นลึกใต้ผิวหนังถึงกล้ามเนื้อ ภาวะวิกฤตของผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุจนเกิดบาดแผลไหม้นี้ก่อให้เกิดผลกระทบทั้งร่างกายและ จิตใจอย่างรุนแรงของผู้ได้รับอย่างมากเพราะเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดการณ์ล่วง หน้ามาก่อน

)))))))))))))))))) สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดแผลไหม้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook