Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 1กสอน พฤติกรรม เนื้อหา หน่วยที่ 1-9 แจก นศ. (1)

1กสอน พฤติกรรม เนื้อหา หน่วยที่ 1-9 แจก นศ. (1)

Published by jchutcha, 2019-09-18 04:43:37

Description: 1กสอน พฤติกรรม เนื้อหา หน่วยที่ 1-9 แจก นศ. (1)

Keywords: พฤติกรรม,วท.สุราษฎร์ธานี

Search

Read the Text Version

หน่วยที่ 1 พฤตกิ รรมมนุษย์ (Human behavior) 1. ความหมายของพฤติกรรมมนุษย์ หมายถงึ กริยาอาการท่มี นุษย์แสดงออก หรือ ปฏกิ ิริยาโตต้ อบ เม่ือเผชญิ กบั สิ่งเร้า (Stimulus) หรอื สถานการณ์ต่างๆ อาการแสดงออกต่างๆ เหลา่ นนั้ อาจเปน็ การเคลือ่ นไหวที่สังเกตไดห้ รือวดั ได้ เชน่ การเดนิ การพูด การเขียน การคิด การเตน้ ของหวั ใจ เปน็ ต้น สว่ นสิ่งเร้าทม่ี ากระทบแล้วกอ่ ใหเ้ กดิ พฤติกรรม กอ็ าจจะเป็นสงิ่ เรา้ ภายใน (Internal Stimulus) และสิ่งเรา้ ภายนอก (External Stimulus) 2. ความหมายของสงิ่ เรา้ 2.1 สิง่ เร้าภายใน ได้แก่ สิง่ เรา้ ทเี่ กิดจากความต้องการทางกายภาพ เช่น ความหิว ความกระหาย สิ่งเรา้ ภายในนี้จะมีอทิ ธพิ ลสูงสุดในการกระตนุ้ ให้แสดงพฤติกรรมในวัยเด็ก และจะลดความสาคัญลง เมือ่ เตบิ โตขนึ้ 2.2 ส่งิ เร้าภายนอก ได้แก่ สิ่งกระตนุ้ ต่างๆ จากสง่ิ แวดล้อมทางสังคมทสี่ ามารถสมั ผัสได้ด้วยประสาท ทั้ง ๕ คอื หู ตา คอ จมูก การสมั ผสั เมอ่ื อยูใ่ นสงั คมสงิ่ เรา้ ภายนอกจะมีอิทธิพลมากกว่าในการกาหนดว่า บุคคลควรจะแสดงพฤตกิ รรมอย่างใดต่อผอู้ ่ืน 3. ประเภทของพฤตกิ รรม 3.1 พฤตกิ รรมภายนอก (Overt Behavior) เปน็ พฤติกรรมทส่ี ามารถสงั เกตไดห้ รือวัดได้ มี 2 ลกั ษณะ 3.1.1 Moral Behavior พฤติกรรมทสี่ ามารถสังเกตเห็นได้ดว้ ยตาเปล่า โดยไมต่ อ้ งใชเ้ ครอ่ื งมือวดั เชน่ การเคลือ่ นไหวของรา่ งกาย เดิน ยืน ว่งิ 3.1.2 Molecular Behavior พฤตกิ รรมทต่ี ้องอาศัยเคร่ืองมอื ชว่ ยในการวิเคราะหจ์ งึ จะสามารถ เหน็ ได้ เชน่ การไหลเวยี นโลหติ การเตน้ ของหัวใจ 3.2 พฤติกรรมภายใน (Covert Behavior) เปน็ พฤตกิ รรมท่ไี มส่ ามารถสงั เกตไดห้ รือวัดไดโ้ ดยตรง เช่น ความรสู้ กึ การรบั รู้ การจา การคดิ การตัดสนิ ใจ การจินตนาการ เปน็ ตน้ 4. ความเขา้ ใจพฤติกรรมมนุษย์ 4.1 ความแตกต่างระหว่างมนษุ ย์ (Individual Differences) หมายถงึ ลักษณะพฤติกรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน โดยมพี ันธุกรรมและสิ่งแวดลอ้ ม เป็นตวั กาหนดความแตกต่างระหวา่ งมนษุ ย์ ความแตกตา่ ง ลกั ษณะพฤติกรรม ทางกาย (Physical) รูปร่างที่เหน็ ภายนอก หนา้ ตา ท่าทาง โครงกระดูก ผวิ ผม กลา้ มเน้ือ เปน็ ต้น ทางอารมณ์ (Emotion) การแสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สกึ ดใี จ เสยี ใจ โกรธ อิจฉา กา้ วร้าว ขบขัน เปน็ ตน้ ทางสตปิ ญั ญา (Intelligence) ความคิดหรือความสามารถในการแก้ปัญหา ไอคิวสูง ไอควิ ต่า เปน็ ต้น

ทางสังคม (Social) ความสามารถในการแสดงออกในหมคู่ นหรือระหว่างคน การเขา้ สังคม การพดู คยุ อีคิว เปน็ ต้น 2 4.2 พนั ธกุ รรมและสิ่งแวดล้อม (Heredity & Environment) 4.2.1 พนั ธุกรรม พันธุกรรม หมายถงึ ลกั ษณะทีม่ นษุ ย์ไดร้ ับการถา่ ยทอดมาจากบรรพบุรุษ โดยมียีน (gene) เปน็ ตวั สืบทอดลกั ษณะ ยนี ในโครโมโซน 23 คู่ Sperm เพศชาย 23 และ Ova เพศหญงิ 23 สง่ ผลให้มีลกั ษณะ แตกตา่ งกัน ดงั นี้ 1. ลกั ษณะรูปร่าง โครงกระดูก ขนาดรา่ งกาย หนา้ ตา ผิวพรรณ สีผม เพศ 2. ชนดิ ของกล่มุ เลือด โดยลกู จะมีเลือดกล่มุ เดียวกับพ่อหรือแม่ เช่น พ่อเลอื ดกลุ่ม O แม่เลือดกลมุ่ B ลูกมโี อกาสเป็น O,B 3. ความบกพร่องทางรา่ งกายและโรคภยั ไข้เจบ็ บางอย่าง เช่น ตาบอดสี ศรี ษะล้าน โรคเบาหวาน โรคลมชัก ผวิ เผอื ก 4. สติปญั ญา คือ ความสามารถในการเรียนรู้ส่ิงต่างๆ ซึ่งเป็นสิง่ ทีไ่ ด้รับการถา่ ยทอดมากจาก พันธุกรรม ได้แก่ ความคดิ ความจา เชาวน์ 5. ความสามารถท่ีมีมาแต่กาเนิดหรือความถนดั (Aptitude) เฉพาะตัว หรอื พรสวรรค์ แตล่ ะคนรับถา่ ยทอดมาจากผู้ให้กาเนิด 4.2.2 ส่ิงแวดล้อม สิ่งแวดล้อม หมายถงึ สิ่งที่อยู่รอบตวั มนษุ ย์ และมีอิทธพิ ลท่ีสามารถทาให้มนษุ ย์มีความ แตกต่างกนั 1. สภาวะขณะอยใู่ นครรภม์ ผี ลต่อบคุ ลิกภาพมาก เช่น ถา้ มารดาบรโิ ภคอาหารดมี ีคณุ ค่า ถงุ มดลูกดีอยู่สภาพสมบรู ณ์ มีน้าหล่อเลี้ยงดี เด็กเจรญิ เตบิ โตแขง็ แรงดี ถา้ มารดาสขุ ภาพไม่ดี มีโรคแทรก เด็กจะมรี ่างกายและพลานามัยไมส่ มบูรณ์ เป็นโรคบางชนดิ 2. การเลี้ยงดูของบดิ ามารดา ไดร้ ับความรักความเขา้ ใจความอบอุ่นจะทาให้เด็กเจริญเติบโต ท้ังทางกาย อารมณ์ สงั คม และสตปิ ญั ญา แต่ถา้ เล้ยี งดูแบบปกป้องมากเกนิ ไป (Over Protection) กจ็ ะทาให้ เด็กชว่ ยตัวเองไมไ่ ด้ 3. ลาดับท่ใี นการเกดิ ทาให้คนเราแตกตา่ งกันไดห้ ลายอยา่ ง ลกู คนกลางๆ ช่วยเหลือตวั เองดี เจรญิ เติบโตเร็วกวา่ ลกู คนโต แต่ลูกคนโตมีความรับผิดชอบสูงกว่า สว่ นลูกคนสดุ ท้องมคี วามรบั ผิดชอบไม่ดนี กั 4. อาหารการกนิ ถา้ ขาดสารอาหารรา่ งกายก็ไม่เจรญิ เตบิ โตเท่าท่ีควร อาจทาให้ต่อมภายใน ไมท่ าหนา้ ท่ี ร่างกายเจรญิ เติบโตไดช้ ้า บางคนเปน็ โรคขาดอาหาร เปน็ เด็กปัญญาอ่อน บางรายร่างกายอ่อนแอ และทาให้จติ ใจอ่อนแอไปด้วย

5. ประสบการณ์และการเรียนรู้ ประสบการณเ์ ป็นเครอ่ื งมือหรอื วิธกี ารที่ทาให้เกดิ การเรียนรู้ และในเวลาเดียวกันผลจากการเรยี นร้ทู าให้คนมีความรู้ ทักษะ เจตคติ แตท่ ุกคนไม่ไดร้ บั ประสบการณ์ ทเ่ี ท่าเทยี มกัน สง่ิ แวดล้อมไม่เหมือนกนั จึงมีโอกาสไดเ้ รียนร้ตู า่ งกัน ฉะนั้น คนเราจึงมีความแตกต่างกนั 6. ระบบสังคม วฒั นธรรม ประเพณีของแต่ละท้องถ่ิน นาฏศลิ ป์ มารยาทในสังคม อาหาร การกิน ที่อยู่อาศยั การใชภ้ าษา ฯลฯ มอี ิทธิพลต่อการดารงชีวติ แนวความคิดและอดุ มคติทาใหพ้ ฤติกรรม ของแตล่ ะสงั คมแตกตา่ งกนั 7. สภาวะทางภมู ิศาสตร์ ดินฟ้าอากาศของแตล่ ะทอ้ งถิ่น ทาใหค้ นเติบโตและมีอปุ นิสยั ใจคอ การดาเนนิ ชีวติ ต่างกัน เชน่ คนท่ีอยูใ่ นเขตร้อนเหน่ือยง่ายมักขเี้ กียจ คนในเขตหนาวตอ้ งขยนั อดทน คนที่อยู่ใน ทอ้ งถ่นิ กนั ดารจนเกินความสามารถจะเอาชนะได้กม็ ักจะทาใหค้ นหมดอาลัย เกิดความหดหู่ เบอ่ื หน่าย เกดิ ความท้อถอย เป็นต้น 8. อบุ ตั ิเหตุ ทาให้สมองหรือร่างกายไดร้ ับความกระทบกระเทือนกลายเปน็ คนปญั ญาอ่อน พิการ 9. ส่ือมวลชน ไดแ้ ก่ วทิ ยุ โทรทศั น์ หนงั สอื พิมพ์ ภาพยนตร์ ฯลฯ มีอทิ ธพิ ลต่อเจตคติ ความสนใจ ความคิด ศีลธรรม คา่ นิยม ประสบการณ์ ฯลฯ ทาใหเ้ กดิ พฤติกรรมแตกต่างกัน 3 4.3 ลกั ษณะรูปรา่ ง (Body Types) หมายถงึ ลกั ษณะทางกายภาพของมนุษย์ที่ปรากฏใหเ้ หน็ เด่น โดยมีพน้ื ฐานมาจากยีนบรรพบรุ ุษ รปู รา่ ง ลกั ษณะรูปรา่ งทบี่ ง่ บอกพฤติกรรม อว้ น พฤตกิ รรม แข็งแรง อารมณ์สนุกสนาน รักความสะดวกสบาย โดยท่วั ไปเปน็ คนมมี นุษยสมั พนั ธ์ดี ผอม กระตือรือร้น ตัดสนิ ใจเรว็ กล้าหาญ ใจหนกั แน่น คบง่าย พูดจาตรงไปตรงมา บางคร้ังอาจดู กา้ วร้าว ขวานผา่ ซาก ชอบเกบ็ ตัว ลึกลับ ระวังตัว กลัวคน ไม่ชอบสังคม เป็นคนเจา้ ระเบียบ มลี กั ษณะเป็นคนฉลาด รับผดิ ชอบสูง 4.4 ลาดบั การเกิด (Birth Orders) อทิ ธพิ ลลาดับการเกิดตอ่ พฤตกิ รรม 4.4.1 ลูกคนโต (First Born Child) 1. ระดบั สตปิ ัญญา (I.Q) ต่ากว่าลูกตนอืน่ 2. เปน็ คนมพี รสวรรค์ (Gifted Child) 3. ก้าวร้าวเก็บกด 4. ยอมตามใจผู้อนื่ 5. ขอความช่วยเหลอื ง่าย 4.4.2 ลูกคนกลาง (Wednesday Child) 1. ปรบั ตัวยาก สบั สน 2. เป็นคนเพกิ เฉย บางครงั้ อาจเป็นเหยอื่ ของครอบครวั

3. ชอบเพอ่ื นมากกว่าคนในครอบครวั 4.4.3 ลูกคนสดุ ทอ้ ง (Youngest Child) 1. เอาแตใ่ จ ต้องการความรกั มากกวา่ คนอื่นๆ ชอบยกย่อง 2. มคี วามเชือ่ มั่นในตนเองสงู ชอบแขง่ ขนั 3. มองโลกในแง่ดี (Optimistic) 4.4.4 ลูกคนเดยี ว (Only Child) 1. มกั เฉลยี วฉลาด เป็นเพราะไดอ้ ยู่ทา่ มกลางผใู้ หญเ่ ปน็ สว่ นมาก 2. เอาแตใ่ จตนเอง มีความเช่ือมน่ั ในตนเองสงู 3. ร้จู กั คนงา่ ย แต่ไม่ค่อยรับผิดชอบ 4 4.5 การแสดงออก (Expression) พฤติกรรมการแสดงออก แบง่ 3 แบบ 4.5.1 เก็บกดไม่ชอบแสดงออก (Introvert Personality) 1. ขรึม แสดงออกชา้ เยือกเย็น (Wall Flower) 2. คดิ ชา้ คดิ ไกล คิดลกึ คิดสรา้ งสรรค์ 4.5.2 ชอบแสดงออก (Extrovert Personality) 1. คลอ่ งตวั สูง มชี ีวติ ชีวา รวดเรว็ คาดการล่วงหนา้ ดี 2. เปิดเผย คบง่าย (Social Life) 3. รับความรสู้ กึ ไดด้ ี แต่ไม่ลึก คิดสร้างสรรคไ์ มม่ าก 4.5.3 แสดงออกกลางๆ (Ambivert Personality) 1. บคุ ลิกภาพแบบกลางๆ 2. แสดงออกไม่มากไมน่ ้อย ทั้งภาษากายและคาพดู 4.6 แนวพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงแบง่ พฤติกรรมมนุษย์ตามหลกั จรติ จรติ คือพฤติกรรมของมนุษย์ทีห่ นักไปด้านใดดา้ นหนึง่ แบ่ง 6 แบบ

4.6.1 ราคะจรติ คือ ผู้มปี กตินิสัยหนกั ไปทางราคะ รักสวย รักงาม ละมนุ ละไม ชอบสง่ิ ที่สวยๆ เสยี งเพราะๆ กลิ่นหอมๆ รสอรอ่ ยๆ สมั ผัสท่ีนุ่มละมนุ และจติ ใจจะยดึ เกาะกบั สิ่งเหลา่ น้ันไดเ้ ป็นเวลานานๆ 4.6.2 โทสจรติ คือ ผมู้ ปี กตินิสยั หนกั ไปทางโทสะ ใจรอ้ น วู่วาม หงุดหงดิ ง่าย อารมณร์ นุ แรง โผงผาง เจา้ อารมณ์ 4.6.3 โมหจริต คือ ผมู้ ปี กตินิสยั หนกั ไปทางโมหะ เขลา เซื่องซมึ เชื่อคนงา่ ย งมงาย ขาดเหตุผล มองอะไรไมท่ ะลุปรโุ ปร่ง 4.6.4 วิตกจรติ คือ ผ้มู ปี กตนิ ิสัยหนักไปทางฟุ้งซ่าน คดิ เร่ืองน้ีทีเร่อื งนนั้ ที เปลีย่ นไปเปลี่ยนมา ไมส่ ามารถยดึ เกาะกับเรอื่ งใดเรือ่ งหนึ่งไดน้ านๆ ไม่ตัง้ มนั่ ไม่มัน่ คง นนั่ เอง 4.6.5 สัทธาจรติ คือ ผูม้ ปี กตินสิ ัยหนักไปทางศรัทธา น้อมใจเชอื่ เล่อื มใสไดง้ ่าย ซงึ่ ถา้ เล่ือมใส ในสิ่งท่ถี ูกก็ย่อมเป็นคุณ จิตใจเบิกบานใจ แต่ถา้ ไปเลื่อมใสในสง่ิ ทผี่ ดิ กย็ อ่ มเปน็ โทษ 4.6.6 พุทธจิ ริต คอื ผ้มู ีปกตินิสยั หนกั ไปทางชอบคดิ พิจารณาดว้ ยเหตผุ ลอยา่ งลกึ ซึ้ง ชอบใช้ ปัญญาพิจารณาตามความเป็นจรงิ ไมเ่ ช่อื อะไรโดยไม่มเี หตุผล ---------------------------------

หนว่ ยท่ี 2 การพัฒนาตนเอง (Self Development) 1. ความหมายของการพัฒนา (Development) การพฒั นา หมายถึง การทา ใหด้ ขี น้ึ ใหเ้ จริญขนึ้ เปน็ การเพม่ิ คุณคา่ ของสิ่งต่างๆ การพฒั นา อาจพัฒนาจากส่งิ ท่มี ีอย่เู ดมิ หรือ สร้างสรรคส์ ิง่ ใหมข่ ้นึ มาก็ได้ 2. ความหมายของการพัฒนาตนเอง (Self Development) การพัฒนาตนเอง หมายถึง ความต้องการของบุคคล ในการท่ีจะพัฒนาความรู้ความสามารถของตน จากท่ีเปน็ อยู่ ใหม้ ีความรูค้ วามสามารถเพิ่มข้นึ เกดิ ประโยชน์ตอ่ ตนและหนว่ ยงาน อีกท้ัง ยังเป็นการพัฒนาตนเอง ตามศักยภาพของตน ให้ดีขึ้น ท้ังทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา เพอ่ื เป็นสมาชิกที่มีประสทิ ธภิ าพของสงั คม เปน็ ประโยชน์ตอ่ ผูอ้ ่ืน ตลอดจนเพอ่ื การดาเนินชีวิตอยา่ งมคี วามสขุ 3. หลักการพฒั นาตนเอง การพัฒนาตนเอง เป็นการพัฒนาคุณสมบัติทอี่ ยใู่ นตัวบุคคล เป็นการจดั การตนเองให้มีเป้าหมายชีวิตที่ดี ท้งั ในปัจจุบนั และอนาคต การพฒั นาตนเอง จะทาให้บคุ คลสานึกในคณุ คา่ ความเป็นคนไดม้ ากยิง่ ขน้ึ ชาญชัย อาจนิ สมาจาร (ม.ป.ป.) ไดก้ ล่าวถึง การพัฒนาตนเอง เป็นการเปล่ยี นแปลงตนเอง จากศกั ยภาพเดมิ ท่ีมอี ยู่ ไปสศู่ กั ยภาพระดับทีส่ ูงกวา่ โดย 1. บคุ คลต้องสามารถปลดปลอ่ ย ศกั ยภาพระดบั ใหม่ออกมา 2. มสี ิง่ ท้าทายภายนอก ท่ีเหมาะสม 3. คนท่ีมกี ารพฒั นาตนเอง ควรรบั รู้ความท้าทายในตวั คนทง้ั หมด (Total self) 4. เป็นการริเริ่มด้วยตัวเอง แรงจูงใจเบื้องต้นเกิดขึ้นผ่านผลสัมฤทธิ์ของตัวเอง และการทาให้บรรลุ ความสาเร็จดว้ ยตนเอง รางวัลและการลงโทษจากภายนอกเป็นเรื่องทรี่ องลงมา 5. การพฒั นาตนเอง ตอ้ งมกี ารเรียนรู้ มีการหยงั่ เชิงอยา่ งสรา้ งสรรค์ 6. การพฒั นาตนเอง ต้องเต็มใจท่จี ะเสี่ยง 7. ตอ้ งมคี วามตง้ั ใจที่เข้มแขง็ เพยี งพอ ทีจ่ ะผ่านขึน้ ไปสูศ่ ักยภาพใหม่ 8. การพฒั นาตนเอง ต้องการคาแนะนาและการสนบั สนนุ ของนกั พัฒนาตนเองที่มวี ุฒภิ าวะมากกวา่ ดงั น้นั การพฒั นาตนเองจะประสบความสาเร็จได้ เมอ่ื มคี วามตอ้ งการท่เี กดิ จากงาน บุคคลควรมีความตอ้ งการในการปรบั ปรุง เพอื่ ใหเ้ ปน็ ผู้ทาใหเ้ กดิ ผลสัมฤทธ์ิ ปราณี รามสตู และจารัส ด้วงสุวรรณ (2545 :125-129) ได้กลา่ วถงึ หลักการพฒั นาตนเอง แบ่งออกเป็น 3 ขัน้ ตอน คอื ขนั้ ท่ี 1 การตระหนักรถู้ ึงความจาเป็นในการปรับปรุงตนเอง เป็นความต้องการในการที่จะพัฒนาตนเอง เพอื่ ชีวิตที่ประสบความสาเรจ็ คือ การพัฒนาตนเองในแงค่ วามรแู้ ละในทกุ ดา้ นให้ดีข้ึนมากที่สุดเท่าทจ่ี ะทาได้ ขั้นที่ 2 เป็นขั้นการวิเคราะห์ตนเอง โดยการสังเกตตนเอง ประเมินตนเอง และสังเกตพฤติกรรมของผู้อ่ืน รวมทงั้ เปรียบเทียบบคุ ลิกภาพทีส่ ังคมต้องการ ขน้ั ที่ 3 การวางแผนพฒั นาตนเอง และการตง้ั เป้าหมาย

2 4. แนวทางการพัฒนาตนเอง นอกจากหลกั การพฒั นาตนเองทีก่ ลา่ วมาแลว้ ยงั มีแนวทางการพฒั นาตนเอง ดงั นี้ 1. การพัฒนาด้านจิตใจ หมายถึง การพัฒนาสภาพของจิต ท่ีมีความรู้สึกที่ดี ต่อตนเองและสิ่งแวดล้อม มองโลกในแง่ดี เชิงสร้างสรรค์ 2. การพัฒนาด้านร่างกาย หมายถึง การพัฒนา รปู ร่างหน้าตา กริยาท่าทาง การแสดงออก น้าเสียงวาจา การส่ือความหมาย รวมไปถึง สุขภาพอนามยั และการแตง่ กายเหมาะกับกาลเทศะรูปรา่ งและผิวพรรณ 3. การพัฒนาด้านอารมณ์ หมายถึง การพัฒนาความสามารถในการควบคุมความรู้สึกนึกคิดและ การแสดงออก ควบคมุ อารมณท์ เ่ี ป็นโทษต่อตนเองและผูอ้ ืน่ 4. การพัฒนาด้านสติปัญญาและความเฉลียวฉลาดทางอารมณ์ หมายถึง การพัฒนาความรอบรู้ ความฉลาด ไหวพริบ ปฏภิ าณ การวเิ คราะห์ การตัดสินใจ ความสามารถในการแสวงหาความรู้ และฝึกทักษะใหม่ๆ เรยี นรวู้ ิถที างการดาเนินชวี ติ ที่ดี 5. การพัฒนาด้านสังคม หมายถึง การพัฒนาปฏิบัติตน ท่าทีต่อส่ิงแวดล้อม ประพฤติตนตามปทัสฐาน ทางสังคม 6. การพัฒนาด้านความรู้ความสามารถ หมายถึง การพัฒนาความรู้ความสามารถท่ีมีอยู่ให้ก้าวหน้า ย่งิ ขึ้น 7. การพัฒนาตนเองสู่ความต้องการของตลาดแรงงาน หมายถึง การพัฒนาความรู้ความสามารถ ทกั ษะ ความชานาญทางอาชีพ ให้สอดคล้องกบั ความตอ้ งการของตลาดแรงงาน การพัฒนาคนในองค์การ จึงจาเป็นต้องสร้างวัฒนธรรมองค์การที่ส่งเสริมการเรียนรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างย่ิง การแสวงหาความรู้โดยการอ่านและการคิด เพราะความรู้เป็นทรัพย์สินท่ีมีค่าที่สามารถ สร้างคุณคา่ และประโยชน์ใหแ้ ก่ตนเองและองคก์ าร

3 5. วธิ กี ารพฒั นาตนเอง องค์กร หน่วยงานตา่ งๆ มีจดุ ม่งุ หมายที่จะพฒั นาบุคลากรของตนให้มีประสทิ ธภิ าพสูงสดุ เป็นผู้ทรงคณุ ค่า การที่บคุ ลากรได้รับการพัฒนานั้น จะเป็นหลักประกันได้ว่า หน่วยงานนั้นจะสามารถรักษาบุคลากรไวไ้ ด้ยาวนาน และเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มคี ่าสูงขององคก์ รน้ันตอ่ ไป ซ่ึงมีวิธีการพัฒนาตนเอง โดยการฝึกอบรมตามหลกั วชิ าการ ดงั น้ี 1. การลงมอื ฝกึ ปฏิบัติจรงิ 2. การบรรยายในห้องเรยี น 3. การลงมอื ปฏิบตั งิ านจริง นอกเวลางาน ควบค่กู ันไป 4. การอบรมเพม่ิ เติม 5. การฝึกจาลองเหตุการณ์ และใช้วธิ ีการอนื่ ๆ 6. การศึกษาคน้ คว้าหาความรดู้ ว้ ยตนเองจากแหล่งความรูต้ า่ งๆ แลว้ นามาประยุกต์ใชใ้ ห้เปน็ ประโยชนอ์ ยูเ่ สมอ เมื่อบุคคลได้มีการพัฒนาตนเองได้อย่างสมบูรณ์แล้ว จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่างๆ กับตนเอง รวมถึง ประโยชนจ์ ากการเกยี่ วขอ้ งกับบุคคลอื่นและสังคม ดงั นี้ 1. ประโยชนท์ จ่ี ะเกิดขึ้นกับตนเอง 1. การประสบความสาเรจ็ ในการดารงชวี ติ 2. การประสบความสาเร็จ ในการประกอบอาชพี การงาน 3. การมีสขุ ภาพอนามยั สมบรู ณ์ 4. การมีความเชื่อมัน่ ในตนเอง 5. การมคี วามสงบสุขทางจติ ใจ 2. ประโยชนจ์ ากการเกย่ี วขอ้ งกับบคุ คลอ่นื และสงั คม 1. การไดร้ ับความเชอื่ ถือและไว้วางใจ จากเพื่อนรว่ มงานและบุคคลอนื่ 2. ความสามารถรว่ มมือและประสานงาน กบั บคุ คลอนื่

3. ความรบั ผิดชอบและความมานะอดทน ในการปฏบิ ตั ิงาน 4. ความคิดรเิ รมิ่ สรา้ งสรรค์ เพอ่ื พัฒนางาน ความเป็นอยู่ และสภาพแวดล้อม 5. ความจรงิ ใจ ความเสียสละ และความซ่ือสตั ย์สุจรติ 6. การรักและเคารพหมคู่ ณะ และการทาประโยชนเ์ พ่อื ส่วนรวม 7. การไดร้ บั การยกย่องและยอมรับ จากเพอื่ นรว่ มงาน 4 การดาเนินการพัฒนาตนเอง เป็นการลงมือปฏิบัติ เพ่ือเสริมสร้างตนเองให้บรรลุวัตถุประสงค์ ตามที่กาหนดไว้ ควรดาเนนิ การ ดังตอ่ ไปนี้ 1. การหาความรเู้ พิ่มเติม อาจกระทาโดย 1. การอา่ นหนังสือ เป็นประจาและอย่างต่อเนือ่ ง 2. การเขา้ รว่ มประชุม หรือ เขา้ รับการฝึกอบรม 3. การสอนหนงั สอื หรอื การบรรยายตา่ งๆ 4. การร่วมกิจกรรมต่างๆ ของชมุ ชนหรือองค์การตา่ งๆ 5. การร่วมเป็นท่ปี รึกษา แก่บุคคลหรอื หนว่ ยงาน 6. การศึกษาตอ่ หรือเพมิ่ เติม จากสถาบันการศกึ ษาหรือมหาวิทยาลัยเปดิ 7. การพบปะเย่ยี มเยยี น บุคคลหรือหนว่ ยงานตา่ งๆ 8. การเป็นผู้แทน ในการประชุมตา่ งๆ 9. การจดั ทาโครงการพิเศษ 10. การปฏิบัตงิ าน แทนหวั หน้างาน 11. การค้นคว้า หรอื วจิ ัย 12. การศกึ ษาดูงาน 2. การเพิ่มความสามารถและประสบการณ์ อาจกระทาโดย 1. การลงมือปฏบิ ัตจิ ริง

2. การฝกึ ฝน โดยผ้ทู รงคุณวุฒิหรือหัวหนา้ งาน 3. การอา่ น การฟงั และการถาม จากเอกสารและหรอื ผูท้ รงคณุ วฒุ หิ รือหวั หน้างาน 4. การทางาน ร่วมกบั บุคคลอื่น 5. การคน้ คว้าวจิ ยั 6. การหมนุ เวียนเปล่ยี นงาน ---------------------------------

หนว่ ยท่ี 2 การพฒั นาตนเอง (Self Development) 1. ความหมายของการพัฒนา (Development) การพฒั นา หมายถึง การทา ให้ดขี ้ึน ใหเ้ จริญขนึ้ เปน็ การเพม่ิ คุณคา่ ของสง่ิ ตา่ งๆ การพฒั นา อาจพัฒนาจากส่งิ ท่มี ีอย่เู ดิม หรือ สร้างสรรคส์ ิ่งใหมข่ ้ึนมากไ็ ด้ 2. ความหมายของการพัฒนาตนเอง (Self Development) การพัฒนาตนเอง หมายถึง ความต้องการของบุคคล ในการท่ีจะพัฒนาความรู้ความสามารถของตน จากท่ีเปน็ อยู่ ใหม้ ีความรูค้ วามสามารถเพ่ิมข้นึ เกดิ ประโยชน์ตอ่ ตนและหน่วยงาน อีกท้ัง ยังเป็นการพัฒนาตนเอง ตามศักยภาพของตน ให้ดีขึ้น ท้ังทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา เพอ่ื เป็นสมาชิกที่มีประสทิ ธภิ าพของสงั คม เปน็ ประโยชน์ตอ่ ผูอ้ ่ืน ตลอดจนเพ่ือการดาเนินชีวิตอยา่ งมคี วามสขุ 3. หลักการพฒั นาตนเอง การพัฒนาตนเอง เป็นการพัฒนาคุณสมบัติทอี่ ยใู่ นตัวบุคคล เป็นการจัดการตนเองให้มีเป้าหมายชีวิตท่ีดี ท้งั ในปัจจุบนั และอนาคต การพฒั นาตนเอง จะทาให้บคุ คลสานึกในคณุ ค่าความเปน็ คนไดม้ ากยิง่ ขน้ึ ชาญชัย อาจนิ สมาจาร (ม.ป.ป.) ไดก้ ล่าวถึง การพัฒนาตนเอง เป็นการเปลี่ยนแปลงตนเอง จากศกั ยภาพเดมิ ท่ีมอี ยู่ ไปสูศ่ กั ยภาพระดบั ทีส่ ูงกวา่ โดย 1. บคุ คลต้องสามารถปลดปลอ่ ย ศกั ยภาพระดบั ใหม่ออกมา 2. มสี ิง่ ท้าทายภายนอก ที่เหมาะสม 3. คนท่มี กี ารพฒั นาตนเอง ควรรบั รู้ความท้าทายในตวั คนทั้งหมด (Total self) 4. เป็นการริเริ่มด้วยตัวเอง แรงจูงใจเบื้องต้นเกิดขึ้นผ่านผลสัมฤทธ์ิของตัวเอง และการทาให้บรรลุ ความสาเร็จดว้ ยตนเอง รางวลั และการลงโทษจากภายนอกเป็นเรอ่ื งท่ีรองลงมา 5. การพฒั นาตนเอง ตอ้ งมีการเรียนรู้ มีการหยงั่ เชิงอย่างสรา้ งสรรค์ 6. การพฒั นาตนเอง ต้องเต็มใจท่จี ะเสี่ยง 7. ตอ้ งมคี วามตง้ั ใจที่เข้มแขง็ เพยี งพอ ทีจ่ ะผ่านขึน้ ไปสู่ศักยภาพใหม่ 8. การพฒั นาตนเอง ต้องการคาแนะนาและการสนบั สนุน ของนกั พฒั นาตนเองที่มวี ุฒภิ าวะมากกว่า ดงั น้นั การพฒั นาตนเองจะประสบความสาเร็จได้ เมอ่ื มคี วามต้องการท่ีเกดิ จากงาน บุคคลควรมีความตอ้ งการในการปรับปรุง เพอื่ ใหเ้ ปน็ ผู้ทาใหเ้ กดิ ผลสัมฤทธ์ิ ปราณี รามสตู และจารัส ด้วงสุวรรณ (2545 :125-129) ไดก้ ล่าวถงึ หลักการพฒั นาตนเอง แบ่งออกเป็น 3 ขัน้ ตอน คอื ขนั้ ท่ี 1 การตระหนักรถู้ ึงความจาเป็นในการปรับปรุงตนเอง เป็นความต้องการในการที่จะพัฒนาตนเอง เพอื่ ชีวิตที่ประสบความสาเรจ็ คือ การพัฒนาตนเองในแงค่ วามรู้และในทุกดา้ นใหด้ ีขึน้ มากที่สุดเท่าทจ่ี ะทาได้ ขั้นที่ 2 เป็นขั้นการวิเคราะห์ตนเอง โดยการสังเกตตนเอง ประเมินตนเอง และสังเกตพฤติกรรมของผู้อ่ืน รวมทงั้ เปรียบเทียบบคุ ลิกภาพทีส่ ังคมต้องการ ขน้ั ที่ 3 การวางแผนพฒั นาตนเอง และการตง้ั เป้าหมาย

2 4. แนวทางการพัฒนาตนเอง นอกจากหลกั การพฒั นาตนเองทีก่ ลา่ วมาแล้ว ยงั มีแนวทางการพฒั นาตนเอง ดงั น้ี 1. การพัฒนาด้านจิตใจ หมายถึง การพัฒนาสภาพของจิต ท่ีมีความรู้สึกท่ีดี ต่อตนเองและสิ่งแวดล้อม มองโลกในแง่ดี เชิงสร้างสรรค์ 2. การพัฒนาด้านร่างกาย หมายถึง การพัฒนา รปู ร่างหน้าตา กริยาท่าทาง การแสดงออก น้าเสียงวาจา การส่ือความหมาย รวมไปถึง สขุ ภาพอนามยั และการแตง่ กายเหมาะกับกาลเทศะรปู รา่ งและผวิ พรรณ 3. การพัฒนาด้านอารมณ์ หมายถึง การพัฒนาความสามารถในการควบคุมความรู้สึกนึกคิดและ การแสดงออก ควบคมุ อารมณท์ ่ีเป็นโทษต่อตนเองและผูอ้ ืน่ 4. การพัฒนาด้านสติปัญญาและความเฉลียวฉลาดทางอารมณ์ หมายถึง การพัฒนาความรอบรู้ ความฉลาด ไหวพริบ ปฏภิ าณ การวเิ คราะห์ การตัดสินใจ ความสามารถในการแสวงหาความรู้ และฝึกทักษะใหม่ๆ เรยี นรวู้ ิถที างการดาเนินชวี ติ ที่ดี 5. การพัฒนาด้านสังคม หมายถึง การพัฒนาปฏิบัติตน ท่าทีต่อสิ่งแวดล้อม ประพฤติตนตามปทัสฐาน ทางสังคม 6. การพัฒนาด้านความรู้ความสามารถ หมายถึง การพัฒนาความรู้ความสามารถท่ีมีอยู่ให้ก้าวหน้า ย่งิ ขึ้น 7. การพัฒนาตนเองสู่ความต้องการของตลาดแรงงาน หมายถึง การพัฒนาความรู้ความสามารถ ทกั ษะ ความชานาญทางอาชีพ ให้สอดคล้องกบั ความตอ้ งการของตลาดแรงงาน การพัฒนาคนในองค์การ จึงจาเป็นต้องสร้างวัฒนธรรมองค์การที่ส่งเสริมการเรียนรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างย่ิง การแสวงหาความรู้โดยการอ่านและการคิด เพราะความรู้เป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สามารถ สร้างคุณคา่ และประโยชน์ใหแ้ ก่ตนเองและองคก์ าร

3 5. วิธกี ารพัฒนาตนเอง องค์กร หน่วยงานต่างๆ มีจดุ มงุ่ หมายที่จะพฒั นาบคุ ลากรของตนให้มปี ระสทิ ธิภาพสูงสุด เป็นผู้ทรงคณุ ค่า การท่ีบุคลากรไดร้ ับการพัฒนานั้น จะเป็นหลักประกันได้ว่า หน่วยงานน้ันจะสามารถรักษาบุคลากรไว้ไดย้ าวนาน และเป็นทรัพยากรมนุษย์ท่ีมีค่าสูงขององคก์ รน้ันต่อไป ซ่ึงมีวิธีการพัฒนาตนเอง โดยการฝึกอบรมตามหลักวิชาการ ดงั น้ี 1. การลงมือฝกึ ปฏิบตั จิ ริง 2. การบรรยายในห้องเรยี น 3. การลงมอื ปฏบิ ัติงานจริง นอกเวลางาน ควบคกู่ ันไป 4. การอบรมเพิม่ เตมิ 5. การฝกึ จาลองเหตกุ ารณ์ และใชว้ ิธกี ารอืน่ ๆ 6. การศกึ ษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองจากแหลง่ ความรู้ตา่ งๆ แลว้ นามาประยุกตใ์ ช้ใหเ้ ปน็ ประโยชน์อยู่เสมอ การดาเนินการพัฒนาตนเอง เป็นการลงมือปฏิบัติ เพื่อเสริมสร้างตนเองให้บรรลุวัตถุประสงค์ ตามท่กี าหนดไว้ ควรดาเนินการ ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. การหาความรเู้ พ่ิมเติม อาจกระทาโดย 1. การอา่ นหนังสือ เป็นประจาและอย่างต่อเนื่อง 2. การเขา้ ร่วมประชมุ หรือ เข้ารับการฝกึ อบรม 3. การสอนหนงั สือ หรือ การบรรยายต่างๆ 4. การร่วมกจิ กรรมต่างๆ ของชุมชนหรือองค์การตา่ งๆ 5. การรว่ มเป็นทปี่ รกึ ษา แก่บุคคลหรือหนว่ ยงาน 6. การศึกษาต่อหรือเพ่มิ เติม จากสถาบนั การศึกษาหรือมหาวิทยาลยั เปดิ 7. การพบปะเยี่ยมเยยี น บคุ คลหรอื หน่วยงานตา่ งๆ 8. การเป็นผแู้ ทน ในการประชุมตา่ งๆ

9. การจดั ทาโครงการพเิ ศษ 10. การปฏิบัติงาน แทนหัวหน้างาน 11. การคน้ คว้า หรือ วิจยั 12. การศึกษาดูงาน 2. การเพม่ิ ความสามารถและประสบการณ์ อาจกระทาโดย 1. การลงมือปฏบิ ัตจิ ริง 2. การฝึกฝน โดยผทู้ รงคุณวุฒหิ รอื หัวหนา้ งาน 3. การอา่ น การฟงั และการถาม จากเอกสารและหรอื ผู้ทรงคุณวฒุ หิ รอื หัวหนา้ งาน 4. การทางาน ร่วมกับบุคคลอ่ืน 5. การคน้ คว้าวิจยั 6. การหมนุ เวยี นเปลี่ยนงาน 4 เมื่อบุคคลได้มีการพัฒนาตนเองได้อย่างสมบูรณ์แล้ว จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่างๆ กับตนเอง รวมถึง ประโยชน์จากการเกี่ยวขอ้ งกบั บุคคลอน่ื และสงั คม ดังน้ี 1. ประโยชนท์ จ่ี ะเกดิ ขนึ้ กบั ตนเอง 1. การประสบความสาเร็จ ในการดารงชวี ิต 2. การประสบความสาเรจ็ ในการประกอบอาชพี การงาน 3. การมีสขุ ภาพอนามัยสมบูรณ์ 4. การมีความเชือ่ มน่ั ในตนเอง 5. การมีความสงบสขุ ทางจติ ใจ 2. ประโยชน์จากการเกี่ยวขอ้ งกบั บคุ คลอ่นื และสังคม 1. การได้รบั ความเชือ่ ถือและไวว้ างใจ จากเพื่อนร่วมงานและบุคคลอ่นื 2. ความสามารถร่วมมือและประสานงาน กบั บุคคลอ่ืน 3. ความรับผิดชอบและความมานะอดทน ในการปฏิบัติงาน 4. ความคดิ ริเรม่ิ สรา้ งสรรค์ เพอื่ พฒั นางาน ความเป็นอยู่ และสภาพแวดลอ้ ม 5. ความจรงิ ใจ ความเสียสละ และความซ่อื สตั ย์สจุ รติ 6. การรักและเคารพหมูค่ ณะ และการทาประโยชน์เพื่อสว่ นรวม 7. การได้รบั การยกยอ่ งและยอมรับ จากเพือ่ นร่วมงาน ---------------------------------

หน่วยที่ 3 นนั ทนาการ (Recreation) 1. ความหมายและความสาคัญของนนั ทนาการ (Recreation) ในการดารงชวี ิตประจาวันของคนเราไมว่ า่ ในฐานะใด ยอ่ มทาให้เกดิ ความเหนื่อยเมื่อยล้าท้ังรา่ งกายและ จิตใจ หากปลอ่ ยให้ความเหน่ือยเมื่อยลา้ ทับถมทวีข้นึ ทุกวัน จะสง่ ผลใหส้ ุขภาพเส่ือมโทรมท้ังกายและใจ อาจถึงกบั ทาใหเ้ กิดปัญหาทีเ่ ร้ือรงั ไม่สามารถดารงตนอยู่ในสังคมตอ่ ไปได้ จึงมคี วามจาเป็นจะต้องผ่อนคลาย ความเครียดเสยี บ้างแต่เน่ินๆ ดว้ ยการให้ร่างกายหรือจิตใจได้มโี อกาสพกั ผ่อน การคลายความเครียดดงั กล่าว สามารถทาไดห้ ลายวิธตี ามเวลาและโอกาสท่ีเหมาะสม และตามความพึงพอใจของแตล่ ะคน วธิ ีหนงึ่ ท่ีสามารถ คลายความเครยี ดได้ดีท่ีสามารถเสริมสรา้ งสุขภาพให้ดไี ดด้ ้วย คอื วิธนี ันทนาการ นนั ทนาการ หมายถงึ กิจกรรมท่ีทาดว้ ยความสมคั รใจในยามวา่ ง เพือ่ ใหเ้ กิดความสนุกสนาน เพลิดเพลนิ ผอ่ นคลายความตึงเครยี ด และเกิดความสุขทางใจ กิจกรรมนตี้ ้องไมเ่ ป็นอาชีพ มีคุณประโยชนต์ ่อตนเองและ ส่วนรวม ทั้งยังไม่ขัดตอ่ ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม และกฎหมายบ้านเมือง 2. ลักษณะของนนั ทนาการ นันทนาการจะทาให้เกดิ ความสนกุ สนานความเพลิดเพลิน ทีเ่ หมาะสมกับวัย บคุ ลกิ ความสามารถ ร่างกาย จิตใจ เวลา โอกาส และสถานท่ขี องแต่ละบุคคล โดยแต่ละบุคคลอาจจะเลือกนนั ทนาการทีเ่ หมาะสม กบั ตนเองให้มากที่สุด ลักษณะของนนั ทนาการทสี่ าคัญ พอสรปุ ไดด้ งั นี้ 1. เปน็ กจิ กรรมท่ีทาโดยสมัครใจ ไม่ถูกบังคบั เชน่ วง่ิ ออกกาลังกายเม่ือมเี วลาวา่ ง เลน่ กีฬาตามท่ี ตนเองชอบ เป็นตน้ 2. เปน็ กจิ กรรมที่ทาในเวลาว่าง นอกเหนือจากเวลาในการทางาน ในการประกอบกจิ วตั รประจาวัน ซง่ึ ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายกับงานประจา 3. เปน็ กจิ กรรมท่ีทาให้เกิดความสนุกสนาน เพลดิ เพลนิ ช่วยผอ่ นคลายความตึงเครียดทั้งรา่ งกายและ จติ ใจ 4. เป็นกิจกรรมที่ไมม่ จี ุดประสงคเ์ พ่ืออาชีพ เชน่ การอ่านหนงั สอื การดูโทรทัศน์ ภาพยนตร์ เป็นตน้ และถ้าทาเป็นอาชีพ เช่น อาชีพนกั แสดง อาชีพ เพาะปลกู ต้นไม้เพอ่ื จาหน่าย ไมจ่ ดั เปน็ นันทนาการ 5. ตอ้ งไม่ขัดต่อธรรมเนยี ม ประเพณี วัฒนธรรม และกฎหมายบ้านเมือง และไม่กอ่ ให้เกิดความเสียหาย แก่ตนเองและผู้อืน่ เชน่ การเล่นการพนนั การลักขโมย เป็นตน้ 6. มลี กั ษณะสรา้ งสรรค์ คือ เกิดประโยชน์ตอ่ ตัวเอง เช่น เสรมิ สรา้ งสุขภาพกายและสุขภาพจติ หรือ เพ่ิมพนู ความรู้ และเกดิ ประโยชนต์ ่อสังคม เช่น การรณรงค์ปลูกตน้ ไม้ การอนรุ กั ษส์ ิ่งแวดล้อมและสตั ว์ปา่ 3. ประเภทของกจิ กรรมนนั ทนาการ กิจกรรมนนั ทนาการมีหลายประเภท ดังต่อไปนี้ 1. การทางานอดเิ รก เป็นลักษณะงานท่ีทาเพ่ือการพกั ผ่อนหย่อนใจในยามว่างตามความสมคั รใจและ ความพงึ พอใจ งานอดิเรกเปน็ เพยี งส่วนหนง่ึ ของกจิ กรรมนันทนาการเท่าน้นั งานอดิเรกแบง่ ออกได้เปน็ 2 ประเภท ดงั นี้

1.1 ประเภทการสะสม ได้แก่ การเก็บสะสมส่ิงตา่ งๆ เพอื่ ความเพลดิ เพลิน ไดแ้ ก่ การสะสมแสตมป์ สะสมรูปภาพ เหรยี ญ ธนบัตร หนงั สอื เป็นตน้ 1.2 ประเภทการสรา้ งสรรค์และงานศิลปหตั ถกรรม ไดแ้ ก่ การประดิษฐข์ องใชต้ ่างๆ การตกแตง่ ภายในบ้าน การปลูกต้นไม้ การแกะสลกั การจักสาน การวาดรูป เป็นตน้ 2. การออกกาลงั กาย ไดแ้ ก่ การเลน่ กฬี าและกรีฑาทุกประเภท ทง้ั ทเี่ ป็นกีฬากลางแจ้งและกีฬาในรม่ บนบกและในนา้ เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล แบดมินตัน ตะกรอ้ ว่ายนา้ กระโดดน้า เปน็ ต้น 2 3. การเขา้ รว่ มแสดงและชมกิจกรรมบนั เทิง เชน่ การร้องเพลง การชมดนตรี การแตง่ เพลง การเลน่ เพลงบอก เป็นตน้ 4. การอา่ นและเขยี นหนังสือ เชน่ การอา่ นหนังสอื ประเภทตา่ งๆ การเขียนกลอน เขยี นบทความ เป็นต้น 5. การรว่ มกิจกรรมทางสงั คม ได้แก่ กจิ กรรมประเภทท่จี ัดขน้ึ เปน็ ครั้งคราวตามวาระต่างๆ อันเกี่ยวกับ ขนบธรรมเนียมประเพณีและวฒั นธรรม เช่น งานรน่ื เรงิ ประจาปี งานเทศกาล งานพบปะสงั สรรค์ เปน็ ต้น 6. การเท่ยี วชมธรรมชาติ เช่น นา้ ตก ภูเขา สวนสาธารณะ เปน็ ตน้ 7. การเขา้ รว่ มกจิ กรรมอาสาสมคั ร ซ่งึ เปน็ กจิ กรรมอาสาสมคั รเป็นกจิ กรรมสาธารณประโยชน์ตา่ งๆ ทบ่ี คุ คลเข้าร่วมในการปฏบิ ตั ิด้วยความสมัครใจ เปน็ การใช้เวลาวา่ งใหเ้ กดิ ประโยชน์ โดยไม่หวังผลประโยชน์ ทางด้านเศรษฐกิจเปน็ การส่วนตวั เช่น การเข้าร่วมพฒั นาชุมชน การเขา้ รว่ มพฒั นาหมู่บ้าน การเขา้ รว่ มพฒั นา โรงเรียน เปน็ ต้น 4. หลักในการเลอื กกจิ กรรมนนั ทนาการ เนือ่ งจากกจิ กรรมนนั ทนาการมีอยมู่ ากมายหลายอย่างและมีประโยชน์แกบ่ ุคคลแตกต่างกันออกไป จึงควรมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. สุขภาพของร่างกาย ควรเลอื กกิจกรรมท่ีเหมาะสมกับ อายุ เพศ ขนาดของรูปร่าง ตลอดจน ความพร้อมของรา่ งกายและจิตใจ ส่วนกิจกรรมทเ่ี กินกาลังหรือเกินความสามารถควรหลกี เลี่ยง เพราะจะกลับกลายเป็นอนั ตรายต่อสขุ ภาพ เชน่ ผปู้ ่วยที่เป็นโรคหวั ใจ เบาหวาน และผสู้ งู อายุ ก็ไม่ควรเลน่ กีฬาหนัก หรอื โลดโผน ตน่ื เตน้ น่าหวาดเสยี ว เปน็ ต้น 2. ความสนใจ ความสามารถ และความถนัดส่วนบุคคล ควรเลอื กกิจกรรมท่ีตนถนดั สนใจ และ มีความสามารถ จะทาใหป้ ระสบความสาเร็จไดเ้ ป็นอยา่ งดีและมีความสขุ สนุกสนาน เพลิดเพลนิ กับกจิ กรรม น้ันๆ 3. ความเหมาะกับงานทที่ าอยู่ แต่ละคนจะมีภารกจิ ในการงานของตนแตกต่างกันออกไป บางคนมเี วลา ว่างมาก บางคนมีเวลาว่างน้อย บางคนตอ้ งทางานใช้แรงและกาลงั มาก บางคนทางานใช้สมองมากแต่ไม่เหน่ือย ดงั นัน้ จึงตอ้ งเลือกกิจกรรมนันทนาการใหเ้ หมาะสมในแต่ละคนไป เชน่ การทางานใชแ้ รงมาก ต้องเลือกกจิ กรรมเบาๆ อาทิ ฟงั เพลง ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสอื ส่วนคนทีใ่ ชส้ มองมาก ก็ควรเลน่ กีฬาที่ใชก้ าลงั เช่น แบดมินตัน ตะกรอ้ เปน็ ตน้ 4. สถานที่ ความสะดวก และความปลอดภัย กจิ กรรมบางอย่างจาเป็นตอ้ งมีอุปกรณ์ เคร่ืองมือ หรือสถานทเ่ี ขา้ มาเกี่ยวข้อง การเลือกกิจกรรมจึงต้องพิจารณาถึงความพร้อมของอปุ กรณ์และสถานท่ีดว้ ย

เช่น บางคนสนใจว่ายน้าแต่ไม่มสี ระ บางคนสนใจฟุตบอลแตไ่ มม่ ีสนาม เปน็ ต้น 5. ฐานะทางเศรษฐกจิ มกี จิ กรรมหลายประเภททีจ่ าเป็นต้องใช้เงินจานวนมากและสน้ิ เปลอื งคา่ ใชจ้ ่ายสงู เช่น การเล่นกอล์ฟ การสะสมวัตถโุ บราณ สะสมรถเกา่ เลน่ กล้องถ่ายรปู เปน็ ต้น กิจกรรมประเภทน้ี จงึ ไมเ่ หมาะสมกับผทู้ ีม่ ีฐานะทางเศรษฐกิจไม่ม่ันคง กิจกรรมทีป่ ระหยดั และสามารถให้ประโยชน์ไดม้ ากกว่า ไดแ้ ก่ การออกกาลงั กาย การเล่นดนตรี เป็นตน้ 6. ไมข่ ดั ต่อศีลธรรม ประเพณี และวัฒนธรรมของสังคม ตลอดจนกฎหมายของบา้ นเมือง กจิ กรรมบางอย่างอาจเหมาะสมกบั ขนบธรรมเนยี มประเพณีในท้องถ่ินหนึง่ แต่อาจขดั กับประเพณวี ฒั นธรรม ของอกี ทอ้ งถิ่นหนง่ึ 7. ประโยชน์ต่อสังคม ถ้ามโี อกาสควรเลือกกิจกรรมทน่ี อกจากจะให้เกิดคุณประโยชน์แก่ตนเองแล้ว ยังก่อให้เกิดประโยชนแ์ กส่ ่วนรวมและสังคมด้วย 8. ควรหลีกเล่ียงกิจกรรมที่จะทาความรบกวนหรือทาความราคาญใหแ้ กผ่ ู้อ่นื ควรเลอื กกิจกรรมท่ีทาให้ เกิดความรัก ความพอใจ และความสมัครสมานสามคั คีกัน 3 5. ประโยชน์ของนันทนาการ นนั ทนาการเปน็ กจิ กรรมอยา่ งหนง่ึ ทีใ่ ห้ประโยชน์ตอ่ การดารงชวี ติ ของมนุษย์เป็นอย่างมาก ซ่งึ พอสรุปได้ ดังน้ี 1. ประโยชนต์ ่อตนเอง ทาให้มีสขุ ภาพดีทั้งกายและใจ เนื่องจากชีวิตประจาวันเตม็ ไปดว้ ยส่ิงอานวย ความสะดวก ทาให้คนไมค่ ่อยได้มีโอกาสออกกาลังกายมากนกั รา่ งกายจงึ มกั จะไมส่ มบูรณ์แขง็ แรง การนนั ทนาการด้วยการออกกาลงั กายกจ็ ะสามารถทดแทนได้ เพื่อใหส้ มรรถภาพทางกายสงู ขึ้น ส่วนทางดา้ นจิตใจก็จะได้พักผ่อนคลายความตงึ เครียด ลดความวิตกกังวล ทาใหบ้ ุคคลสามารถปรบั ตัวใหเ้ ข้ากับ สภาพแวดลอ้ มหรือประกอบการงานต่างๆ ไดด้ ีขึ้น 2. ประโยชนต์ อ่ ครอบครวั กิจกรรมนนั ทนาการบางอยา่ งนอกจากจะให้ความสนกุ สนานเพลิดเพลนิ ทาใหช้ ีวิตครอบครวั เป็นสขุ และอบอนุ่ แลว้ ยังอาจชว่ ยเพ่ิมรายไดข้ องครอบครวั โดยทางอ้อมอีกดว้ ย เช่น การปลูกต้นไม้ การปลกู ผักสวนครัว เป็นตน้ 3. ประโยชนต์ ่อสงั คม ก่อให้เกดิ ความสามัคคี รกั ใคร่กลมเกลียวกันในหมูค่ ณะ สง่ เสริมความเป็น พลเมืองดี ลดปญั หาการประพฤติผดิ ศีลธรรม หรอื ปัญหาอาชญากรรม โดยการรูจ้ ักใช้เวลาใหเ้ กดิ ประโยชน์ เช่น การเข้ารว่ มกิจกรรมเพ่ือสาธารณประโยชนร์ ่วมกัน ทาใหเ้ กดิ ความสนิทสนมขณะทางานดว้ ยกนั ทาให้เพิม่ คณุ ธรรมแกบ่ ุคคลผรู้ ว่ มกนั ทากิจกรรมนั้นๆ ---------------------------------

หนว่ ยที่ 4 การนาหลกั การมนี า้ ใจนักกีฬาประยกุ ตใ์ ชเ้ ปน็ แนวทางในการประกอบอาชพี 1. ความหมายของน้าใจนักกฬี า(Sportsmanship) คอื ความสอดคล้องกันของ การเคารพกตกิ า การมีสปริ ติ การมมี ารยาท และจรรยาบรรณของผเู้ ลน่ กีฬา ซง่ึ อาจเกย่ี วพนั กับการเป็นผชู้ นะที่ดี เช่นเดยี วกับการเป็นผู้แพท้ ่ีดี ฉะน้นั ก็อาจกลา่ วได้ว่า น้าใจนักกีฬา คือ ส่วนประกอบแห่งคณุ ธรรมในเกมกีฬา นอกจาก \"ชัยชนะ\" จะเปน็ สิ่งที่นกั กีฬาทุกคนต้องการใหเ้ กิดข้ึนกับทมี ของตัวเองแลว้ และสงิ่ สาคญั ทที่ ุกคน ไมค่ วรมองข้ามเช่นกนั คอื ความมีน้าใจเป็นนักกีฬา เพราะกฬี าสอนให้คน รจู้ ักแพ้ รจู้ ักชนะ และรู้จกั อภัย 2. 10 วธิ ีของการมีนา้ ใจเปน็ นักกีฬา 1. ปฏบิ ตั ิตามกฎกตกิ าการแข่งขัน การจะเปน็ ผแู้ ขง่ ขนั ท่มี นี ้าใจเป็นนกั กีฬา จาเปน็ ต้องเล่นตามกฎกติกาการแขง่ ขนั และยอมรับกฎ ทก่ี าหนดเอาไว้ ยงิ่ ปฏิบัติตามกฎได้มากเท่าไหร่ กจ็ ะย่ิงสนุกกับการเลน่ กีฬามากยิ่งขน้ึ 2. พยายามหลีกเลยี่ งการโตเ้ ถยี ง การโต้เถียงกับผู้ตัดสิน,กรรมการ,โคช้ หรือคแู่ ข่ง มแี ต่จะทาให้อณุ หภมู ิในการแข่งขันดเุ ดือด นักกีฬา ทด่ี คี วรจะรู้จกั หลีกเล่ียงการโต้แย้ง หรือ การโต้เถยี ง และพ่งุ ความสนใจไปที่การแข่งขนั ทีก่ าลงั ดาเนินอยแู่ ทน 3. รบั ผดิ ชอบร่วมกับทีม ผู้เล่นท่ีดี ควรจะต้องมคี วามรับผดิ ชอบตอ่ ทีมร่วมกนั เพราะกีฬาทีเ่ ล่นกันเปน็ ทีม ความประพฤตขิ อง นักเตะแต่ละคนลว้ นสง่ ผลกระทบต่อทีมทงั้ ส้นิ ทุกคนจึงควรรับผิดชอบร่วมกัน 4. ช่วยเหลือเพือ่ นนกั กีฬาท่ีอ่อนกวา่ นกั กฬี าประเภททมี ทด่ี ี ต้องคอยชว่ ยเหลือเพ่ือนร่วมทีมทีเ่ ล่นด้อยกว่าคนอ่นื และคอยชว่ ยกระตุ้น ให้เพอ่ื นอยากพฒั นาตวั เอง 5. เล่นอยา่ งขาวสะอาด ชัยชนะทีไ่ ด้มาจากการแข่งขนั ต้องเกิดจากการเลน่ อย่างขาวสะอาด ไม่ใชม่ ุ่งหวังแตผ่ ลชนะ ด้วยการเขา้ สกดั อย่างรุนแรง ทาฟาวล์คูแ่ ขง่ อยา่ งสกปรก หรือใช้สารตอ้ งหา้ มตา่ งๆ 6. ทาตามคาสงั่ ของโคช้ ควรปฏิบัตติ ามคาส่งั ของโค้ช และระลกึ ไว้วา่ การเลน่ ของทุกคนลว้ นส่งผลตอ่ เพ่ือนรว่ มทีม ถา้ ไมเ่ หน็ ดว้ ยกับคาส่ังของโค้ช ควรหาโอกาสปรบั ความเขา้ ใจกนั ตามลาพัง โดยให้ไกลจากสายตาผอู้ ืน่ 7. เคารพความสามารถของทีมคแู่ ขง่ ไม่วา่ ทมี คูแ่ ข่งจะเล่นดีกว่าหรอื แยก่ วา่ ยามเมือ่ อยูใ่ นสนามแขง่ ขนั ควรจะเคารพคู่แขง่ ไม่ควรโทษ คตู่ อ่ สู้ เวลาทที่ ีมตวั เองเล่นได้แยก่ วา่ แต่ควรจะยอมรบั ผลการแข่งขนั นน้ั และหากทีมเล่นไดด้ กี วา่ ก็ไม่ควร ประมาทหรือดถู ูกฝมี ือคแู่ ข่งเชน่ กนั 8. กระตุ้นเพอ่ื นร่วมทีม นักกีฬาทดี่ ี ควรช่ืนชมเพ่ือนร่วมทมี เวลาทีพ่ วกเขาเล่นได้ดี ให้กาลังใจและคอยกระต้นุ เพ่ือนร่วมทมี เวลาทพ่ี วกเขาเล่นผดิ พลาด การวิจารณเ์ พอ่ื นอยา่ งรนุ แรง จะทาใหเ้ กิดความรุนแรงข้นึ ภายในได้ และเป็น จดุ ออ่ นสาคญั ทีท่ ีมคู่แข่งจะเลือกโจมตไี ด้ เมอื่ เห็นว่านักเตะฝ่ายตรงข้ามไมม่ ีความสมคั รสมานสามัคคีกันเอง 9. ยอมรบั คาตดั สนิ ของกรรมการ

การโต้เถียงคาตัดสนิ ของกรรมการ เปน็ การกระทาทเ่ี สียแรงเปลา่ นักกีฬาท่ดี ี ควรจะรวู้ า่ ทุกคนมีสิทธิ ทาผิดพลาดได้ ดังน้นั นกั กฬี าควรใสใ่ จกบั การเล่นของตัวเอง และเล่นใหด้ ีทีส่ ุด ในช่วงเวลาทเ่ี หลืออยู่ แทนท่ี จะคอยประท้วงแตค่ าตัดสนิ ของกรรมการ 10. จบเกมอยา่ งราบร่นื เมือ่ เกมจบ ความรสู้ กึ ทุกอยา่ งทีเ่ กิดข้ึนในระหวา่ งการแข่งขันควรจะจบตามไปด้วย โดยเฉพาะ ความคิดในแงล่ บท้งั หลาย อาทิ ความรสู้ ึกเปน็ ปฏปิ กั ษก์ ับคแู่ ข่ง เพื่อให้เกมจบลงอยา่ งราบรนื่ และเป็นเพื่อนที่ดตี ่อกัน

หน่วยที่ 5 การสร้างสมั พันธภาพและการสอ่ื สาร (Interpersonal Relationship and Communication) หัวข้อศกึ ษา 1. ความหมายของการสร้างสัมพันธภาพและการส่ือสาร 2. องค์ประกอบของการส่ือสาร 1. ความหมายของการสรา้ งสัมพันธภาพและการสื่อสาร ความสามารถในการใช้ คาพูดและภาษาทา่ ทาง เพ่อื สื่อสารความรูส้ กึ นึกคดิ ของตน และรับรคู้ วามรสู้ ึก นกึ คดิ ของอกี ฝ่าย 2. องค์ประกอบของการส่ือสาร 1. ผู้ส่งสาร หรอื ผใู้ ห้ข้อมูล หรอื ผู้ส่งสญั ญาณ (Sender) เปน็ ผทู้ ต่ี ้องการสร้างสมั พนั ธภาพ ด้วยการส่ง สาระ หรอื ขอ้ มูล หรือ สัญญาณ ให้ผ้รู บั สาร เข้าใจ หรือรับรู้ เพอ่ื เช่อื มโยงความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกัน 2. สาระ หรือ ข้อมูล หรือ สัญญาณ (Message) เป็นสิ่งที่ช่วยให้เกิดความเขา้ ใจ ระหว่างผสู้ ง่ และผู้รับ ทาให้เกิดสมั พันธภาพ ตามความมุ่งหวงั ของผ้สู ง่ 3. ผู้รบั สาร หรือ ผู้รบั ข้อมูล หรือ ผรู้ บั สญั ญาณ (Receiver) เปน็ บคุ คลทผี่ ูส้ ง่ สารต้องการสร้างสมั พันธภาพ 4. สือ่ ทใี่ ชน้ าสาระจากผู้ส่งไปถึงผู้รับโดยทาให้ผูร้ บั เข้าใจสาระนัน้ เป็นเคร่อื งนาสาระจากผู้สง่ ไปถึงผ้รู ับ 1. ภาษาพูด 2. ภาษาเขยี น 3. ภาษากายหรอื การแสดงออก ---------------------------------

หนว่ ยท่ี 6 การพฒั นาบคุ ลิกภาพ หวั ข้อศกึ ษา 1.ความหมายและความสาคัญของบุคลิกภาพ 2.ประเภทของบุคลิกภาพ 3.หลักและวิธีเสริมสรา้ งบคุ ลิกภาพ 4.แนวทางในการพัฒนาบคุ ลิกภาพ บคุ ลิกภาพ คือ ลกั ษณะทา่ ทางซึ่งสามารถแสดงออกมาไดท้ ้ังทางรา่ งกาย จติ ใจ และความรูส้ กึ นกึ คิด ท่ีสะท้อนออกมาให้ผูอ้ นื่ เห็นและเกิดความประทับใจ ฉะน้ัน การท่ีบุคคลจะได้รบั การยอมรับนับถือ การสนบั สนนุ ความไวว้ างใจ และความประทบั ใจ จากผู้อืน่ น้ัน ก็ควรที่จะแสดงบุคลกิ ภาพทด่ี ีและเหมาะสมให้ผ้อู ่นื เหน็ เพราะบุคลกิ ภาพมีอิทธิพลต่อความรสู้ ึกและอารมณข์ องผทู้ ่ีพบเหน็ เปน็ อย่างย่ิง 1. ความหมายและความสาคญั ของบคุ ลิกภาพ คาวา่ \"บคุ ลิกภาพ\" หมายถึง คุณลักษณะทางกาย ทางจิตใจ และ ความรสู้ ึกนึกคดิ ท่สี ะท้อนออกมา ใหผ้ อู้ น่ื เหน็ และเกิดความประทับใจมากน้อยเพียงใด มีความสาคัญ คือ บคุ ลกิ ภาพนับเป็นสว่ นประกอบที่สาคญั ท่ีมีอทิ ธพิ ลตอ่ ความรู้สึกและอารมณข์ องผู้ท่ีพบเหน็ เปน็ อยา่ งยิ่ง จงึ สง่ ผลต่อการยอมรบั นบั ถือ การใหค้ วามร่วมมือ การสนับสนนุ และความไว้วางใจจากผูอ้ ่นื 2. ประเภทของบุคลิกภาพ 2.1 บคุ ลกิ ภาพภายนอก คอื สง่ิ ที่เห็นได้ชดั เจนจากภายนอกของแต่ละคน สามารถท่ีจะปรบั ปรงุ แก้ไข ได้ง่าย ใชเ้ วลาไม่นาน แบง่ ได้เป็น 4 หมวด คอื 1. รูปร่างหน้าตา 2. การแต่งกาย 3. กิริยาทา่ ทาง 4. การพูด 2.2 บุคลกิ ภาพภายใน คือ สิง่ ทีอ่ ยู่ภายในจิตใจ หรืออุปนิสัยใจคอท่ีมองไมเ่ ห็น สัมผัสไม่ได้ แก้ไขได้ยาก เช่น 1. ความเชอื่ ม่นั ในตนเอง 2. ความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ 3. ความคิดรเิ ร่ิมสรา้ งสรรค์ 4. ความรับผดิ ชอบ 3. หลักและวิธเี สรมิ สรา้ งบุคลิกภาพ การยืน เดนิ นั่ง เปน็ สว่ นสาคญั ทีบ่ อกถึงบุคลิกภาพของแต่ละบุคคล งามอริ ยิ าบถ คือ การเดนิ ยนื นั่ง เปิด-ปดิ ประตู ขนึ้ ลงรถ อยา่ งถกู ต้องสวยงาม การรู้จักทาตัวให้เข้ากับบคุ คล สถานที่ และเวลา อย่างถูกต้อง

ถอื ว่ามีมารยาททางสังคมท่ีดี เชน่ การรจู้ กั กราบไหว้ที่ถูกวิธแี ละถูกกาลเทศะ การร้จู ักธรรมเนยี มของชาวตา่ งชาติ การปฏบิ ัติตนในงานเลย้ี งต่างๆ การไปเยี่ยมคนปว่ ย การมอบดอกไมแ้ สดงความยินดหี รือใหผ้ ู้อาวุโส เปน็ ต้น บางคร้ังเราอาจจะตอ้ งอยใู่ นสถานการณ์ท่ีไม่ทันได้เตรียมตวั เตรยี มใจ และอาจเกิดอะไรขนึ้ กบั เราได้ทุกวนิ าทีนนั้ เราต้องพรอ้ มเสมอทีจ่ ะเผชญิ กับเหตุการณใ์ นลักษณะท่ีพร้อม คือ ไม่ตกใจ ดีใจ เสียใจ กลัวเกินกว่าเหตุ สามารถ ควบคุมท่าทางของตนเองไดเ้ ปน็ อย่างดี 2 4. แนวทางในการพฒั นาบคุ ลกิ ภาพ 4.1 การรกั ษาสุขภาพอนามัย 1. ออกกาลงั กายสมา่ เสมอ 2. รบั ประทานอาหารที่มีประโยชน์ 3. ควบคมุ น้าหนกั ไม่ใหเ้ พมิ่ หรือลดผิดปกติ 4. ละเว้นการสูบบุหรีห่ รือยาเสพติดใหโ้ ทษทุกชนดิ 5. ไมด่ มื่ ส่ิงของท่ีมีแอลกอฮอล์หรอื คาเฟอีน 6. พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ วนั ละ 7-8 ชม. 7. รกั ษาอารมณใ์ ห้สดชื่นแจ่มใสอย่เู สมอ 4.2 การดูแลร่างกาย 1. รักษาความสะอาดในช่องปากและฟนั 2. ดูแลรกั ษาเสน้ ผมและทรงผมให้เรียบร้อย ท้ังด้านความสะอาดและรูปทรง 3. โกนหนวดเคราใหเ้ กลี้ยงเกลาตัดและขริบให้เรยี บรอ้ ย 4. รักษาผวิ พรรณให้สะอาดสดชน่ื อยเู่ สมอ อยา่ ใหผ้ ิวแหง้ กรา้ น 5. รกั ษากลิน่ ตัว 6. รูจ้ ักการแตง่ หน้าแต่พองาม 7. ดแู ลเลบ็ มือ เลบ็ เท้า ใหส้ ะอาดอยู่เสมอ 8. ปรับเปลีย่ นเสอ้ื ผา้ และชดุ ชน้ั ในทีส่ วมใส่ทกุ วัน 9. ควรมกี ารเชค็ ร่างกายเปน็ ประจาทกุ ปี 10. เมือ่ รา่ งกายมีอาการผดิ ปกตริ ีบไปปรึกษาแพทย์ 4.3 การแตง่ กาย 1. สวมใส่เสื้อผา้ ทสี่ ะอาด ซักรีดใหเ้ รียบ 2. สีสันไมฉ่ ูดฉาด ควรเลือกสใี หเ้ หมาะสมกับรปู ร่างและผวิ พรรณของตนเอง 3. กระเปา๋ ถือและรองเทา้ ควรใช้หนงั ที่มีคณุ ภาพดี สีเรยี บ สารวจสน้ รองเทา้ จดั การซ่อมแซมใหเ้ รยี บรอ้ ย 4. แตง่ หนา้ ใหแ้ นบเนยี น ไม่แต่งเขม้ ผิดธรรมชาติ เลอื กใช้เคร่อื งสาอางที่มีคุณภาพดี 5. เล็บและการทาเล็บ ไม่ควรไว้เลบ็ ยาวจนเกนิ ไป ควรเลือกสีกลางๆ อย่าปลอ่ ยให้สถี ลอกจะไม่น่าดู 6. ผม หม่นั สระใหส้ ะอาด อยา่ งน้อยสัปดาหล์ ะ 1-2 คร้งั แปรงหวีใหเ้ รียบร้อย เลอื กทรงผมท่รี บั กบั ใบหนา้ 7. เครอ่ื งประดบั ควรใช้เพื่อเสรมิ การแตง่ กายใหด้ ดู ีข้นึ แต่ไม่ควรใชเ้ ครื่องประดบั มากจนเกนิ ไป จนดูสะดุดตารกรุงรงั ไปหมด

8. ควรแตง่ กายใหเ้ หมาะสมกับสภาพภูมิศาสตรแ์ ละวัฒนธรรม 9. ควรแต่งกายให้เหมาะสมกับกาลเทศะ 4.4 อารมณร์ จู้ กั ควบคุมอารมณ์ ไม่ปลอ่ ยอารมณ์ไปตามใจตนเอง คนทค่ี วบคุมอารมณ์ตนเองได้ จะได้เปรยี บและจะเอาชนะเหตุการณต์ ่างๆ ที่เกิดขนึ้ ได้ ในการปฏิบัติงานเป็นเร่ืองธรรมดาท่จี ะต้องมเี หตุการณ์มากระทบกระเทือนอารมณ์กันอยู่เสมอ ฉะนนั้ บคุ คลใดทีต่ ้องการจะพฒั นาบคุ ลิกภาพของตนใหด้ ีขนึ้ จะต้องเป็นคนรจู้ ักอดทนใจเยน็ เมือ่ มีเหตุการณท์ ไี่ ม่ถูกใจเกิดข้ึน 4.5 ความเชื่อม่ันในตนเอง 1. ยอมรบั ในความสามารถของตนเอง 2. อยา่ เล็งผลเลศิ ในการทางานจนเกนิ ไป 3. อย่าถอื คติว่าการทางานส่งิ ใดเมอื่ ทาแล้วตอ้ งดีทสี่ ดุ 4. อยา่ นาความเกง่ ของผูอ้ นื่ มาทบั ถมตนเอง 5. หมัน่ ฝกึ จติ ใจตนเองใหช้ นะความกลัวใหไ้ ด้ ---------------------------------

หน่วยที่ 7 อาชวี อนามัยและความปลอดภยั (occupational health and safety) หัวข้อศึกษา 1. ความหมายของอาชีวอนามยั และความปลอดภยั (occupational health and safety) 2. สิ่งแวดลอ้ มในการทางาน (Working environment) 3. หลักการปอ้ งกนั และควบคุมอันตรายจากสงิ่ แวดล้อมในการทางาน 1. ความหมายของอาชีวอนามยั และความปลอดภัย (occupational health and safety) อาชวี ะ (occupation) หมายถงึ อาชพี การเล้ียงชพี การทามาหากิน งานท่ีทาเป็นประจาเพือ่ เลีย้ งชีพ อนามยั (health) หมายถงึ ความไม่มีโรค สภาวะทสี่ มบรู ณ์ดที ง้ั ทางรา่ งกาย ทางจติ ใจ ทางสงั คม และทางจติ วญิ ญาณ ความปลอดภัย (safety) หมายถึง สภาพท่ีปราศจากภยั คุกคามไม่มอี ันตรายและความเสีย่ งใดๆ อาชีวอนามัยและความปลอดภยั (occupational health and safety) จึงหมายถงึ การดูแล สขุ ภาพอนามยั และความปลอดภัยของผ้ปู ระกอบอาชีพ ซง่ึ รวมถึงการป้องกันอนั ตรายและสง่ เสริมสุขภาพอนามัย เพือ่ คงไว้ซง่ึ สภาพร่างกายและจิตใจท่ีสมบรู ณ์ ตลอดจนสถานะความเปน็ อยู่ท่ีดีของผปู้ ระกอบอาชีพท้ังมวล 2. ส่ิงแวดล้อมในการทางาน (Working environment) สิ่งแวดล้อมในการทางาน (Working environment) หมายถึง ทุกสง่ิ ทุกอย่างที่อยรู่ อบตัวคนในขณะทางาน อาจจะเปน็ คน สตั ว์ ส่ิงของ พลังงาน และเหตุปจั จยั ทางจิตวิทยาสังคม โดยแบง่ ออกเปน็ 4 ประเภท คือ 1. ส่งิ แวดล้อมทางกายภาพ (Physical environment) ไดแ้ ก่ ความรอ้ น แสง เสยี ง ความดันบรรยากาศ เป็นตน้ 2. สิ่งแวดล้อมทางเคมี (Chemical environment) ไดแ้ ก่ สารเคมีทุกชนิดที่ใชใ้ นการทางาน อาจเป็น สารเคมตี ัวเดยี วหรือเป็นสารผสม ซ่ึงผา่ นเขา้ สูร่ า่ งกายไดต้ ามคณุ สมบตั ิของสารเคมีแต่ละตวั 3. สง่ิ แวดลอ้ มทางชีวภาพ (Biological environment) ได้แก่ เช้อื โรค สัตว์ และแมลงนาโรคตา่ งๆ 4. สิ่งแวดล้อมทางจติ วิทยาสังคม (Psychosocial environment) ไดแ้ ก่ สมั พันธภาพระหว่างนายจา้ ง กบั ลูกจา้ ง ตลอดจนค่าตอบแทน รวมทงั้ ความรู้สกึ ม่นั คงปลอดภัยในการปฏบิ ัติงาน 3. หลักการป้องกนั และควบคุมอันตรายจากสิ่งแวดล้อมในการทางาน 3.1 ลาดับข้ันของผลกระทบจากส่ิงแวดล้อมต่อสุขภาพของคนงาน 1. สขุ ภาพเสอ่ื มโทรม 2. โรคเดมิ ทีม่ อี ยู่กาเรบิ 3. โรคทั่วๆ ไปเกดิ ขน้ึ 4. เกดิ อบุ ตั เิ หตุและบาดเจ็บจากการทางาน 5. เกดิ โรคจากการทางาน 3.2 หลักการควบคมุ ป้องกันโรคอันเนือ่ งมาจากการประกอบอาชพี (Prevention and Control of Occupational Disease) 1. การควบคมุ ปอ้ งกนั ทแ่ี หล่งกาเนิด(Source Protection)

1.1 การหาวิธีการหรอื แนวทางท่จี ะควบคมุ ป้องกันท่ีแหลง่ กาเนิดของโรค ซึง่ การควบคมุ วิธนี ี้ จะมีประสิทธิภาพมาก เนือ่ งจากเป็นการกาจัดหรือลดแหลง่ ของโรคไมใ่ ห้เกิดขนึ้ เลยหรือเกดิ ขึน้ น้อยท่ีสดุ 1.2 การแบง่ แยกขบวนการผลติ ทีก่ ่อใหเ้ กดิ อันตรายออก โดยการแยกขบวนการผลิต ทก่ี อ่ ให้เกิดอนั ตรายมากออกไปจากบริเวณท่มี ีคนทางานอยู่ เพอื่ ป้องกันไม่ให้คนสมั ผสั กับอนั ตราย 1.3 การเปลย่ี นแปลงขบวนการผลติ 2 1.4 การควบคมุ โดยการระบายอากาศ 1.4.1 ระบบระบายอากาศเฉพาะที่ โดยการใชเ้ คร่ืองดดู อากาศจากบรเิ วณแหล่งกาเนดิ เพอื่ ป้องกนั คนงานสูดดมฝ่นุ ละอองเข้าไปในปอด และหมน่ั ตรวจสอบระบบระบายอากาศเป็นระยะ 1.4.2 ระบบระบายอากาศทัว่ ไป โดยจดั ใหม้ ชี อ่ งลม ประตู หนา้ ต่าง เพยี งพอ อยา่ งน้อย 20% ของพื้นที่ห้อง 1.5 การควบคมุ ฝนุ่ สามารถทาได้โดยใช้ระบบเปยี กหรอื ใชน้ ้าฉีดพน่ ทาให้ฝุน่ ละอองท่ฟี ุ้ง กระจายในอากาศตกลงมา หรืออาจใชเ้ คร่ืองดูดจบั ฝุ่นละอองไฟฟ้า 1.6 การปกปดิ ให้มดิ ชดิ โดยการหาทางปิดคลุมขบวนการผลิตหรือเครือ่ งจักรให้มิดชดิ ไม่ให้เกดิ อันตรายสภู่ ายนอก 1.7 การดูแลบารงุ รกั ษา 2. การควบคมุ ปอ้ งกันสงิ่ แวดลอ้ มหรือทางผ่าน (Pathway Protection) 2.1 การจัดระบบระบายอากาศทั่วไป 2.2 การรักษาความสะอาดและความเป็นระเบยี บเรยี บร้อย โดยการจัดเกบ็ วตั ถุดบิ ในการผลิต เครอ่ื งมอื สารเคมีในโรงงาน ให้มดิ ชดิ เป็นสดั ส่วน 2.3 การกาจดั สิง่ โสโครก กาจัดขยะหรือสารเคมีท่ีเป็นพิษอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ ใหไ้ ดร้ ะดับ มาตรฐาน กอ่ นท่ีจะปล่อยออกสูภ่ ายนอก 2.4 การควบคมุ โดยการตรวจวัดระดับสารเคมีในสิ่งแวดลอ้ มการทางาน 3. การควบคุมป้องกันทต่ี ัวผู้รบั หรือผู้ปฏิบตั งิ าน (Personal Protection) 3.1 การจากดั ระยะเวลาการทางานท่ีเสยี่ งต่ออันตราย 3.2 การหมนุ เวยี นสับเปล่ียนคนงาน 3.3 การตดิ ตง้ั อุปกรณห์ รือสัญญาณเตือนภัย เปน็ เคร่อื งมือท่ีออกแบบมาใชต้ ิดกับบุคคล เช่น เคร่อื งตรวจวัดระดับสารเคมี 3.4 การสวมใสอ่ ุปกรณ์ป้องกันอนั ตรายส่วนบุคคล 3.5 การตรวจสุขภาพผปู้ ฏบิ ตั ิงาน 3.5.1 การตรวจสุขภาพก่อนเข้าปฏิบัติงาน 3.5.2 การตรวจสขุ ภาพหลังจากทางานไประยะหน่งึ แล้ว 3.5.3 การตรวจสุขภาพกลุ่มพิเศษ เชน่ ผเู้ ยาว์ ผหู้ ญงิ คนชรา เนือ่ งจากมีความต้านทานต่า 3.5.4 การตรวจสขุ ภาพเฉพาะกลมุ่ ที่ทางานเสี่ยงตอ่ อันตรายมากเปน็ พิเศษ 3.6 การรกั ษาพยาบาล เชน่ จดั ให้มหี อ้ งปฐมพยาบาลสง่ ต่อผูป้ ว่ ยเมอ่ื เกดิ อบุ ตั ิเหตุ

3.7 การทาครีมปอ้ งกัน ใชค้ รีมทาผิวป้องกนั สารเคมี 3.8 การสร้างเสริมภมู ติ า้ นทานโรค ควรมกี ารฉดี วัคซีนป้องกันโรค 3.9 การรักษาสุขวิทยาสว่ นบคุ คล 3.10 การฝกึ อบรมคนงานเก่ียวกบั สขุ ภาพและความปลอดภัย 3.11 การประสานความรว่ มมือกนั ระหวา่ งผ้บู ริหาร ผู้ควบคุมงาน คนงาน พยาบาล เจา้ หนา้ ที่ ความปลอดภยั เพ่ือวางแผนควบคมุ การปฏบิ ัติงานต่างๆ ให้มปี ระสิทธิภาพมากทสี่ ุด โดยสรปุ แล้ว การควบคุมปอ้ งกนั โรคจากการประกอบอาชีพโดยใช้หลัก 3 ประการ ดังท่ีกล่าวมานี้ หากมกี ารนาไปประยกุ ต์ใชใ้ ห้เหมาะสม ในการปฏิบตั งิ านประเภทตา่ งๆ จะทาให้องคก์ รหรอื โรงงานสามารถ ทาการควบคุมป้องกนั อันตรายตา่ งๆ ที่จะเกิดข้ึนได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ ---------------------------------

หนว่ ยท่ี 8 การทางานเป็นทมี (Team Work) หัวข้อศกึ ษา 1.ความหมายของการทางานเป็นทมี (Team Work) 2.ลักษณะของการทางานเป็นทีม 3.คณุ ลกั ษณะของทมี 4.การรจู้ ักเพื่อนรว่ มทีม 5.การทางานเป็นทีมที่มปี ระสิทธภิ าพ 6.การสร้างประสิทธภิ าพในการทางาน 7.ประโยชน์ของการทางานเป็นทมี 1. ความหมายของการทางานเป็นทมี (Team Work) หมายถงึ การร่วมกนั ทางานของสมาชิกท่ีมากกว่าหน่งึ คน โดยท่สี มาชกิ ทุกคนจะตอ้ งมเี ป้าหมายเดยี วกัน ว่าจะทาอะไร ทุกคนตอ้ งยอมรบั ร่วมกนั และมกี ารวางแผนรว่ มกัน การทางานเป็นทีมมีความสาคัญต่อทุกองค์กร เป็นส่ิงจาเป็นสาหรับการทางานใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพ และเพ่มิ ประสิทธภิ าพในการบรหิ ารงาน การทางานเปน็ ทีม มบี ทบาทสาคัญท่จี ะนาไปสู่ความสาเร็จของงาน ทจี่ ะต้องอาศัยความร่วมมือของกลมุ่ สมาชิกเป็นอยา่ งดี 2. ลกั ษณะของการทางานเป็นทีม 4 ประการ 1. การมีปฏสิ มั พันธ์ของบุคคล หมายถึง สมาชกิ ตั้งแต่สองคนขึน้ ไป มีความเกี่ยวข้องในกิจกรรมของ กล่มุ /ทมี ให้ความตระหนกั ในความสาคญั ของกนั และกนั แสดงออกซง่ึ การยอมรบั การให้เกียรตกิ นั สาหรับ กลุ่มขนาดใหญ่ มกั มีปฏสิ ัมพันธ์กนั เปน็ เครอื ข่ายมากกว่าการติดต่อกนั แบบตวั ต่อตัว 2. มีจดุ มุง่ หมายและเป้าหมายร่วมกัน การทส่ี มาชิกกลุ่มจะมสี ่วนกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมร่วมกนั ของทีม โดยเฉพาะจดุ ประสงค์ของสมาชกิ กลมุ่ ต้องสอดคลอ้ งกับองคก์ าร จะช่วยให้งานประสบความสาเร็จได้งา่ ย 3. การมีโครงสรา้ งของทีมหรือกลุม่ หมายถงึ ระบบพฤตกิ รรมที่เปน็ ระเบยี บแบบแผนของกลมุ่ ซงึ่ สมาชกิ ของกลุ่มปฏบิ ตั ติ าม 4. สมาชิกมีบทบาทและมีจดุ ม่งุ หมายเดยี วกัน รักษาบทบาทหนา้ ท่มี ัน่ คงในแตล่ ะทีมหรือกลุ่ม มกี าร จดั แบง่ มอบหมายหนา้ ท่ีใหต้ ามความเหมาะสมและความสามารถการทางานเปน็ ทีม ต้องยดึ หลักประชาธิปไตย มีความเสมอภาค เคารพให้เกียรติ ยอมรบั ฟังความคดิ เห็น สรา้ งความสามคั คีในทีมหรือกลุม่ จะชว่ ยใหง้ าน ประสบความสาเรจ็ และสมาชิกทางานรว่ มกันในบรรยากาศแหง่ ความรักมคี วามสขุ ในการทางาน 3. คณุ ลกั ษณะของทีม ทีมจะประสบความสาเรจ็ ในการทางาน ทมี ที่ทางานร่วมกันเพอ่ื บรรลเุ ปา้ หมายของงาน ทีมจะต้องยึด ส่งิ ตอ่ ไปนเ้ี ป็นกรอบในการทางานร่วมกัน คือ 1. มีความเปน็ หนึ่งเดียว มคี วามเขา้ ใจแผนงานหรอื โครงการตรงกัน 2. จดั การด้วยเหตผุ ล การดาเนินการให้ทุกคนมสี ว่ นรว่ มและมีส่วนรับผิดชอบ 3. พง่ึ พาตัวเอง โดยนาความถนัดและความสามารถท่ีแต่ละคนมอี อกมาใชใ้ ห้เกดิ ประโยชน์

4. ขนาดของกลมุ่ พอเหมาะ จานวนสมาชกิ ไมม่ ากเกนิ ไป หากเป็นจานวนคจี่ ะงา่ ยต่อการออกเสยี ง 4. การรู้จกั เพอ่ื นร่วมทีม การร้จู ักนสิ ยั ใจคอ ความรู้ความสามารถ จะช่วยใหก้ ารทางานเปน็ ทมี ราบรน่ื สมาชิกทกุ คนต้องมคี วาม เข้าใจวา่ สมาชิกแต่ละคนมีความแตกต่างกันในความรู้ความสามารถ น่นั คือ มบี ุคลกิ ภาพแตกต่างกนั ทุกคน ตอ้ งใจกวา้ ง ยืดหยุ่น และให้อภัยความผดิ พลาดหรอื ความบกพร่องท่ีอาจเกดิ ข้ึน ตัวอย่างลักษณะของสมาชกิ 2 1. เปน็ นกั คิด ชอบแสดงความคดิ เห็น เปน็ เจ้าความคิด ชอบแสดงความคิดเหน็ ในงานของผ้อู ่ืน 2. เปน็ นักจดั องค์กร เป็นคนเจ้าระเบียบ ชอบจัดแจงส่ิงตา่ งๆ อาจไปยุ่งเกีย่ วกับการทางานของทีมงาน 3. เป็นนักปฏบิ ตั ิการ เป็นคนมีความรับผดิ ชอบ ชอบทางาน มงุ่ สู่ความสาเร็จ มักไม่พอใจกบั ความล่าช้า ความไม่เปน็ ระบบระเบียบ 4. เปน็ นกั ตรวจสอบ ชอบจบั ตาดคู วามก้าวหน้าหรือความบกพร่องที่อาจเกิดขึน้ ในการทางาน บางคน เหน็ ว่าคอยจบั ผิด อาจทาใหเ้ กิดความขดั แย้งในทีมได้ 5. เปน็ นกั ประเมิน อาจจะไม่เป็นที่ช่ืนชอบของสมาชกิ เพราะการวิพากษว์ จิ ารณ์การทางาน 5. การทางานเป็นทมี ท่ีมีประสทิ ธิภาพ การทางานในสมยั ปัจจุบันหรือการบรหิ ารงานในแนวใหม่ จะทาแบบ “ข้ามาคนเดียว” หรือ “วันแมนโชว์” หรอื “ศลิ ปินเดยี่ ว” หรือ “อัศวินมา้ ขาว”ดูจะเป็นไปได้ยาก และสาเรจ็ ยากดว้ ย กลุ่มงานทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพ จะตอ้ งมีองคป์ ระกอบ 3 ประการ หรอื 3Ps ได้แก่ 1. มวี ตั ถุประสงค์ (Purpose) ชัดเจน 2. มกี ารจดั ลาดบั ความสาคัญ (Priority) ในการทางาน 3. มีผลการทางาน (Performance) การทางานเป็นทีมต้องใชเ้ วลาและทรัพยากรมากกวา่ การทางานคนเดยี ว เชน่ 1. ตอ้ งมกี ารติดต่อส่ือสารกันมากข้ึน 2. ต้องบริหารความขัดแยง้ ระหวา่ งกัน 3. ตอ้ งมีการจดั การประชุม 4. ต้องมคี ่าใช้จ่าย 6. การสรา้ งประสิทธภิ าพในการทางาน 1. วัตถุประสงคช์ ัดเจนและมีเป้าหมายทเี่ หน็ พอ้ งต้องกนั 2. มคี วามเปิดเผยตอ่ กนั และการเผชญิ หน้าเพื่อแกป้ ญั หา 3. การสนับสนุนและความไวว้ างใจตอ่ กัน 4. ความร่วมมอื และการใชค้ วามขดั แยง้ ในทางสร้างสรรค์ 5. กระบวนการทางานและการตดั สินใจท่ถี ูกต้องและเหมาะสม 6. ภาวะผนู้ าท่เี หมาะสม 7. การตรวจสอบทบทวนผลงานและวิธีในการทางาน 8. การพฒั นาตนเอง

7. ประโยชนข์ องการทางานเปน็ ทมี 1. สรา้ งขวญั และกาลังใจแก่สมาชิก ทาให้เกดิ ความไวใ้ จบรรยากาศในการทางานดี ช่วยให้การทางาน ได้ผลดมี ปี ระสทิ ธภิ าพ 2. สรา้ งความมน่ั คงในอาชีพ เพราะมกี ารพัฒนาความรู้ ประสบการณ์ และทกั ษะ ทาใหค้ วามก้าวหน้า ในอาชีพการงาน 3. สรา้ งความสัมพันธ์ในงาน มกี ารชว่ ยกนั ระดมความรู้ความสามารถของสมาชกิ เข้าเปน็ หนง่ึ เดียว ทาให้เกดิ ความผกู พันใกล้ชดิ และบรรลุเปา้ หมายที่ตอ้ งการพร้อมกนั 4. เพิม่ พนู การยอมรบั นบั ถือซึ่งกันและกัน ในทีมงานมีการกาหนดให้สมาชกิ มีบทบาทต่างๆ เชน่ ผนู้ าทีม หวั หนา้ กลุม่ ผ้ปู ระสานงาน และบทบาทอื่นๆ ทาให้เกดิ ความเข้าใจในการทาหน้าที่ ตามบทบาทที่ได้รับแต่งตงั้ หรือมอบหมาย ทาให้สามารถอยรู่ ่วมกันไดอ้ ย่างมคี วามสุข และเกิดผลงานทด่ี ี ---------------------------------

หน่วยท่ี 9 มนุษยสัมพนั ธ์ (Human Relation) หวั ข้อศึกษา 1.ความหมายของมนุษยสัมพันธ์ (Human Relation) 2.ความหมายของมนุษยสมั พันธใ์ นการทางาน (Human Relation at Work) 3.องคป์ ระกอบของมนุษยสมั พนั ธ์ 4.ความสาคญั ของมนุษยสัมพันธ์ 5.ประโยชนข์ องมนุษยสัมพันธใ์ นการทางาน 1. ความหมายของมนุษยสัมพนั ธ์ (Human Relation) พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน ๒๕๔๒ ให้ความหมายวา่ ความสัมพันธ์ในทางสงั คมระหว่างมนษุ ย์ ซึง่ ก่อใหเ้ กิดความเข้าใจอนั ดีต่อกัน 2. ความหมายของมนุษยสัมพันธ์ในการทางาน (Human Relation at Work) คอื เปน็ ศาสตรแ์ ละศลิ ปะท่วี า่ ด้วยการเสริมสรา้ งความสัมพันธข์ องคนกับคน คนกบั กลุ่มคน และคนกับองคก์ าร เพอ่ื ก่อให้เกดิ ทัศนคติท่ดี ใี นการทางานรว่ มกัน จนองค์การได้รบั ความสาเรจ็ ตามวตั ถปุ ระสงค์ท่ตี ง้ั ไว้ 3. องค์ประกอบของมนษุ ยสัมพนั ธ์ 1. การเข้าใจตนเอง หมายถงึ ความเขา้ ใจความตอ้ งการของตนเอง จนสามารถวเิ คราะหจ์ ดุ เดน่ จุดดอ้ ย ของตนเอง รจู้ ดุ ทีจ่ ะต้องปรับปรงุ และพัฒนาตนเอง ซง่ึ การรู้จักตนเองจะทาใหย้ อมรับในคุณค่าแห่งตน นบั ถือตน ซ่ึงจะนาสกู่ ารปรับตัวใหเ้ ข้ากับผ้อู นื่ ไดด้ ี 2. การเข้าใจผอู้ ืน่ หมายถงึ การรบั รถู้ ึงความตอ้ งการของผ้อู นื่ รวมถงึ การเขา้ ใจลักษณะบุคลิกภาพ เฉพาะบคุ คลนน้ั ๆ การเข้าใจผ้อู น่ื เป็นการเรยี นรธู้ รรมชาติของบุคคล ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล แรงจูงใจของบคุ คล ซึง่ จะทาใหเ้ กิดการยอมรบั และนาไปสู่การมสี มั พันธภาพทดี่ ี 3. การเข้าใจสภาพแวดล้อม หมายถึง การเรยี นรธู้ รรมชาติของส่งิ แวดล้อมที่อยู่รอบตัวเราและบคุ คลอ่ืน ซง่ึ มอี ิทธพิ ลตอ่ การดาเนินชีวิตประจาวันและมีส่วนสัมพนั ธก์ ับมนษุ ยสัมพันธ์ เชน่ สภาพแวดลอ้ ม ของที่ทางาน ท่ีบ้าน ห้องพักผ่อน เป็นตน้ ความเข้าใจสภาพแวดล้อมดี จะสามารถนามาปรบั ใช้ให้ตนเองมมี นุษยสัมพันธ์กับ ผอู้ น่ื ได้ดี สรปุ การรจู้ กั ตนเอง จนสามารถวเิ คราะห์ตน เพื่อใหร้ ้จู ักตนได้อยา่ งแท้จรงิ และสามารถปรับตน ในส่วนทจ่ี ะเป็นอปุ สรรคในการมมี นษุ ยสมั พันธก์ ับผู้อืน่ ได้ จะเป็นแนวทางใหส้ ามารถวเิ คราะหผ์ ู้อน่ื และเข้าใจ ถงึ ความแตกต่างระหวา่ งบุคคล รวมถึงการเข้าใจสภาพแวดลอ้ ม จะส่งผลใหเ้ กิดแรงกระตุ้นในการปฏบิ ัติงาน ขององค์กรให้มีประสิทธิภาพข้ึน

2 4. ความสาคัญของมนุษยสัมพนั ธ์ 4.1 ความสาคัญที่มีตอ่ การดาเนนิ ชวี ิตในสงั คม 1. ช่วยให้ไมโ่ ดดเดี่ยวอย่เู พียงลาพงั 2. ทาให้เกิดความผูกพันและยอมรับ 3. ทาใหเ้ กดิ ความรู้สกึ มน่ั คงปลอดภัย 4. ทาให้เกิดความสามัคครี ว่ มมือ ช่วยเหลือซ่งึ กันและกัน 4.2 ความสาคญั ที่มีต่อการบริหารงาน 1. ช่วยใหร้ หู้ ลักในการครองใจพนักงาน 2. ทาใหม้ ีความรูแ้ ละมีศิลปะในการบรหิ ารงานเพมิ่ ข้นึ 3. ทาใหเ้ กิดการยอมรับและมีความผูกพนั ในองค์การ 4. ทาใหเ้ กดิ ความสามคั คี รว่ มมือเพื่อความสาเรจ็ ของงาน 4.3 ความสาคญั ที่มีตอ่ เศรษฐกิจและธรุ กิจ 1. ชว่ ยให้รูห้ ลกั ในการครองใจผ้บู รโิ ภค 2. ทาใหม้ ีความร้แู ละมีศลิ ปะในการบริการ 3. ทาใหเ้ กดิ การยอมรบั และมีความผูกพันในสินค้า 4. ทาให้ประสบความสาเรจ็ ในการทาธรุ กิจ 4.4 ความสาคัญท่ีมตี ่อการเมืองการปกครอง 1. ช่วยให้การบรหิ ารงานเป็นไปด้วยความราบร่นื 2. ทาให้เกดิ ความสามคั คีร่วมแรงรว่ มใจ 3. ทาใหเ้ กดิ การยอมรบั และมีความเชื่อม่นั เกิดข้ึน 4. ทาให้ประเทศชาตมิ ีความเจริญม่ันคง 5. ประโยชนข์ องมนษุ ยสัมพันธใ์ นการทางาน 1. ทาใหเ้ กดิ ความเข้าใจอันดีต่อกนั 2. ทาใหเ้ กดิ ความกระตอื รือร้นในการทางาน 3. ทาให้เกิดความสามคั คีรว่ มมือร่วมใจในการทางาน 4. ทาใหล้ ดปัญหาความขัดแย้ง 5. ทาใหเ้ กดิ ขวัญและกาลังใจในการทางาน 6. ทาใหผ้ ้รู ่วมงาน ครอบครวั มคี วามสขุ สุขภาพจิตดีองคก์ ารม่นั คงสงั คมสงบสขุ

---------------------------------


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook