Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore งานวิจัยในชั้นเรียน

งานวิจัยในชั้นเรียน

Published by weafa1, 2020-09-23 04:05:43

Description: นางสาวแวฟาซียะ แวดอเลาะ
ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
โรงเรียนเทศบาล ๔ (บ้านทรายทอง)

Search

Read the Text Version

งานวจิ ัยทางการศึกษา เรื่อง การวิเคราะหก์ ารแก้โจทยป์ ัญหาคณติ ศาสตร์ ป. 6 กลุม่ สาระการเรียนรู้ คณติ ศาสตร์ ผู้วิจัย นางสาวแวฟาซยี ะ แวดอเลาะ ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการพิเศษ โรงเรยี นเทศบาล ๔ (บา้ นทรายทอง) เทศบาลเมอื งสไุ หงโก-ลก อาเภอสไุ หงโก-ลก จังหวดั นราธวิ าส

ชื่องานวิจยั การวิเคราะห์การแกโ้ จทยป์ ัญหาคณติ ศาสตร์ ป. ๖ ชอื่ ผวู้ จิ ัย นางสาวแวฟาซยี ะ แวดอเลาะ กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ บทคดั ย่อ การศึกษาวิจัยครั้งน้ี มีวตั ถปุ ระสงค์เพอื่ พัฒนาการคิดวเิ คราะห์เพื่อแก้โจทย์ปัญหา โดยใช้กิจกรรมการ สนทนาการหาความหมายของคาและแบบฝึกในการวเิ คราะห์โจทย์ปญั หาของนกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ โดยใหน้ กั เรยี นทดสอบกอ่ นเรยี น และเรียนซอ่ มเสริมจากนน้ั ทาแบบฝกึ ท่ีครสู ร้างข้ึน จากน้ันทาการทดสอบ หลงั เรียน และวเิ คราะห์ผลคะแนนโดยใช้วิธกี ารหาค่าเฉลี่ยและค่าร้อยละผลการศึกษาปรากฏว่า การใช้ กจิ กรรมตา่ งๆ และการใชแ้ บบฝกึ ทาให้นกั เรยี นมีความรู้ ความเข้าใจในการคิดวิเคราะห์เพ่ือแก้โจทย์ปัญหา และสามารถทาแบบทดสอบหลังเรยี นไดค้ ะแนนเพิ่มข้นจา กเดิม ดังจะเห็นได้จากการเปรียบเทียบผลการ ทดสอบกอ่ นและหลังเรียน

บทท่ี 1 บทนา ความเปน็ มาและความสาคญั ของงานวิจยั ในการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตร์นน้ั สิง่ แรกทเ่ี ราเรมิ่ เรยี นกนั ก็คอื ตวั เลข ต่อมาเรากจ็ ะได้เรียนการบวก การลบ การคณู และการหาร ซึง่ รวมเรยี กว่าการคิดคานวณ จะเหน็ ไดว้ า่ การคิดคานวณน้ันเป็นพืน้ ฐานอย่าง หนง่ึ ในวิชาคณติ สาสตร์ ยกตวั อยา่ งเชน่ นกั เรยี นตอ้ งแก้โจทยป์ ัญหา 1 ข้อ ส่ิงที่ได้จากโจทย์กค็ ือ ประโยค สัญลักษณ์ (5+3= □ ) แต่สิง่ ที่ตอ้ งทาตอ่ ไปนน้ั คือ การบวก ถา้ นักเรียนคดิ คานวณได้ถูกตอ้ ง นกั เรยี นกจ็ ะได้ คะแนน แตถ่ ้านักเรียนคดิ คานวณผิด กจ็ ะไม่ได้คะแนน จะเห็นว่า การคิดคานวณ เป็นสง่ิ สดุ ทา้ ย ในการทา โจทยค์ ณติ สาสตรท์ ี่ทาใหไ้ ดค้ ะแนนหรอื ไมไ่ ด้คะแนน ไม่วา่ นกั เรยี นจะเรยี นวชิ าคณิตศาสตร์ชัน้ ใด ระดบั ใด จะง่ายหรอื จะยากมากแคไ่ หน รบั รองวา่ ทกุ คนจะไดค้ ดิ คานวณแนน่ อน ถา้ ในตอนนี้ นกั เรยี นมีทกั ษะทีไ่ ม่ดี ย่งิ เรยี นในระดบั ท่ีสงู ขนึ้ บทเรยี นกจ็ ะย่งิ ยาก ข้นึ ตวั เลขในการคิดคานวณกจ็ ะมากขน้ึ การคานวณก็จะยากขน้ึ ดว้ ย แตถ่ ้าในเวลาน้นี ักเรยี นมีพ้นื ฐานทกั ษะ การคดิ คานวณท่ดี ี การพัฒนาให้ดยี ่ิงขึน้ กจ็ ะเป็นไปไดง้ ่าย นอกจากการคิดคานวณจะมีความสาคัญในวิชา คณติ สาสตร์ ทีน่ กั เรยี นได้เรียนอยแู่ ลว้ การคิดคานวณยงั มีประโยชน์ในชีวิตประจาวันของทกุ คนด้วย เชน่ การ ซอื้ ของ การฝากเงินในธนาคาร หรือทุกเร่อื งทเี่ ก่ียวขอ้ งกบั เงนิ ถา้ เราคดิ คานวณไม่เปน็ เราก็จะถกู หลอกได้ ง่าย ดงั น้ันคณะผ้วู ิจยั จึงไดพ้ ยายามหาแนวทางท่ีจะชว่ ยให้นักเรยี นมที ักษะการคดิ คานวณทีด่ ขี ึน้ สามารถ นาไปใช้ในการเรียนและในชวี ิตประจาวนั ได้ ตามธรรมชาตขิ องวิชาคณิตศาสตร์ เปน็ วิชาท่ีเน้นใหผ้ ูเ้ รียนรูจ้ กั การคดิ วิเคราะห์ แกไ้ ขปญั หาอย่างมี เหตุผล แตก่ ารคดิ วเิ คราะหจ์ ะตอ้ งมาจากการอ่าน ความเขา้ ใจในคาหรอื ภาษาแต่จากการสอนพบว่านักเรยี น ชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ ๕ ไม่สามารถวิเคราะห์และแกไ้ ขปัญหาโจทย์ได้ เนือ่ งจากไม่เข้าใจในความหมายของคา ในประโยคสาเหตุนี้จึงเปน็ ทม่ี าของการทาวจิ ยั เพ่อื เปน็ การช่วยเหลือให้นกั เรยี นมีผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นวชิ า คณิตศาสตร์ใหด้ ีข้ึน จดุ มุ่งหมาย 1. เพอื่ ให้นักเรยี นสามารถวเิ คราะหโ์ จทยป์ ัญหาได้ 2. เพอื่ ใหน้ กั เรียนสามารถเขียนประโยคสัญลักษณ์และหาคาตอบไดถ้ ูกต้อง ๓. เพื่อให้นกั เรียนตระหนกั ถงึ ความสาคัญและประโยชนข์ องการคิดคานวณ สามารถคดิ คานวณไดอ้ ย่าง คลอ่ งแคล่วและถูกตอ้ ง ซงึ่ สามารถนาไปใชไ้ ด้จริงในชีวิตประจาวัน

ตวั แปรท่ศี ึกษา 1. แบบฝึกหัดการวิเคราะหโ์ จทย์ปัญหา 3. ระดบั ผลสัมฤทธ์ิ กอ่ นและหลงั กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั การวิจัยครง้ั นี้เน้นในการคดิ วเิ คราะห์โจทย์ปญั หาทางคณิตศาสตรส์ าหรบั นักเรยี นช้นั แระถมศึกษาปี ที่ ๖ ผูว้ ิจัยไดจ้ ดั ทาแบบฝึกและใบงานอย่างงา่ ยๆ เพื่อท่ีนกั เรียนจะไดส้ นกุ สนาน และไดร้ บั ความรูใ้ นการคดิ วเิ คราะห์โจทย์ปัญหาไดด้ ีย่ิงขึ้น และไดท้ าการเปรียบเทยี บผลคะแนนกอ่ นเรียนและหลังเรยี น คะแนนจาก การทาแบบฝึกหัด เพอ่ื ศึกษาพัฒนาการของนกั เรยี นหลงั จากทไ่ี ดม้ กี ารทาลองใชว้ ิธีเรยี นตา่ งๆ นี้ วา่ มคี วาม แตกต่างหรือมีการเปล่ียนแปลง โดยมีพฒั นาการดีขน้ึ หรอื ไม่อยา่ งไร ประโยชนท์ คี่ าดว่าจะไดร้ ับ 1. ได้หลักในการคิดวเิ คราะหโ์ จทย์ปญั หาอย่างงา่ ยๆ 2. ได้แนวทางในการฝึกให้นักเรียนรจู้ ักคดิ วิเคราะห์โจทย์ปัญหา 3. ไดแ้ นวคิดท่วี า่ การเรียนคณติ ศาสตร์ นอกจากการคณู ,หาร ทค่ี ลอ่ งแคล่วแลว้ จะต้องอาศยั การคดิ วเิ คราะห์อย่างมเี หตุและมีผล สามารถหาขอ้ สรุปและพิสูจนค์ วามถกู ต้องได้

บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจยั ทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐานพทุ ธศักราช 2551 มุ่งพัฒนานักเรียนทุกคนซึ่งเป็นกาลัง ของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดลุ ทั้งด้านร่างกายความรู้คณุ ธรรมมีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและ เปน็ พลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้ และทักษะพน้ื ฐานรวมทั้งเจตคตทิ ่จี าเป็นต่อการศกึ ษาต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิตโดย ม่งุ เนน้ ผู้เรยี นเปน็ สาคญั บนพ้ืนฐานความเชอ่ื วา่ ทกุ คนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ (กระทรวงศกึ ษาธิการ. 2551: 4) หลกั การ หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้นื ฐานมีหลักการทีส่ าคัญ (กระทรวงศกึ ษาธิการ. 2551 : 4) ดงั น้ี 1. เป็นหลกั สูตรการศกึ ษาเพ่อื ความเปน็ เอกภาพของชาติมีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้เป็น เป้าหมายสาหรบั พฒั นาเด็กและเยาวชนให้มีความรทู้ ักษะเจตคติและคุณธรรมบนพื้นฐานของความเป็นไทย ควบคู่กบั ความเป็นสากล 2. เป็นหลกั สูตรการศกึ ษาเพ่ือปวงชนทีป่ ระชาชนทุกคนมีโอกาสไดร้ ับการศึกษาอยา่ งเสมอภาคและมีคณุ ภาพ 3. เป็นหลักสูตรการศึกษาท่ีสนองการกระจายอานาจให้สังคมมสี ่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับ สภาพและความตอ้ งการของท้องถนิ่ 4. เป็นหลกั สตู รการศกึ ษาท่ีมีโครงสร้างยดื หยุ่นท้ังด้านสาระการเรียนรู้เวลาและการจัดการเรยี นรู้ 5. เป็นหลกั สูตรการศึกษาทีเ่ นน้ ผเู้ รยี นเปน็ สาคัญ 6. เป็นหลกั สตู รการศึกษาสาหรับการศึกษาในระบบนอกระบบและตามอัธยาศัยครอบคลุมทุก กลุม่ เปา้ หมายสามารถเทียบโอนผลการเรยี นร้แู ละประสบการณ์ จุดหมาย หลักสูตร แกนกลา งการ ศึกษา ขั้น พ้ืน ฐา นมุ่งพัฒน าผู้เรียน ให้เป็นคนดีมีปัญญามีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาตอ่ และประกอบอาชพี จงึ กาหนดเปน็ จุดหมายเพอื่ ให้เกิดกับนักเรียนเม่ือจบการศึกษา ขัน้ พื้นฐาน (กระทรวงศกึ ษาธิการ. 2551 : 5) ดังน้ี 1. มคี ุณธรรมจรยิ ธรรมและค่านิยมท่ีพึงประสงค์เห็นคุณค่าของตนเองมีวินัยและปฏิบัติตนตาม หลักธรรมของพระพทุ ธศาสนาหรอื ศาสนาที่ตนนบั ถอื ยดึ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2. มคี วามรคู้ วามสามารถในการสอื่ สารการคดิ การแกป้ ญั หาการใชเ้ ทคโนโลยีและมที ักษะชวี ติ 3. มสี ขุ ภาพกายและสุขภาพจิตท่ดี มี ีสุขนสิ ัยและรักการออกกาลังกาย 4. มีความรักชาติมจี ติ สานกึ ในความเปน็ พลเมืองไทยและพลโลกยึดม่ันในวิถีชีวิตและการปกครอง ตามระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั รยิ ท์ รงเปน็ ประมขุ 5. มีจิตสานกึ ในการอนุรักษว์ ฒั นธรรมและภูมปิ ญั ญาไทยการอนุรักษ์และพัฒนาสง่ิ แวดลอ้ ม มจี ิตสาธารณะท่ีมุ่ง ทาประโยชน์และสร้างสงิ่ ทดี่ ีงามในสงั คมและอยู่รว่ มกันในสังคมอย่างมคี วามสุข

สมรรถนะสาคัญของนกั เรยี น ในการพฒั นานักเรียนตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐานมุ่งพัฒนานักเรียนให้มีสมรรถนะ สาคัญ 5 ประการ (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. 2551 : 6) ดังน้ี 1. ความสามารถในการส่ือสาร เป็นความสามารถในการรบั และส่งสารมีวัฒนธรรมในการใช้ภาษา ถ่ายทอดความคดิ ความรคู้ วามเข้าใจความรู้สึกและทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและ ประสบการณอ์ นั จะเป็นประโยชนต์ ่อการพฒั นาตนเองและสังคมรวมท้ังการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลด ปัญหาความขดั แยง้ ต่าง ๆ การเลอื กรับหรือไม่รบั ข้อมลู ข่าวสารดว้ ยหลกั เหตผุ ลและความถูกต้องตลอดจนการ เลอื กใชว้ ิธีการส่ือสารที่มปี ระสทิ ธิภาพ โดยคานึงถึงผลกระทบทีม่ ีต่อตนเองและสังคม 2. ความสามารถในการคิด เปน็ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์การคิดสังเคราะห์การคิดอย่าง สรา้ งสรรค์การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการคิดเปน็ ระบบเพือ่ นาไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศ เพื่อการตดั สินใจเก่ยี วกับตนเองและสงั คมได้อยา่ งเหมาะสม 3. ควา มสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปั ญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ท่เี ผชญิ ได้อยา่ งถกู ต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผลคณุ ธรรมและขอ้ มลู สารสนเทศเข้าใจความสัมพันธ์ และการเปลี่ยนแปลงของเหตกุ ารณต์ ่าง ๆ ในสงั คมแสวงหาความร้ปู ระยุกต์ความรู้ มาใช้ในการ ปอ้ งกันและแก้ไขปญั หาและมีการตัดสินใจทีม่ ปี ระสทิ ธภิ าพโดยคานึงถึงผลกระทบ ท่ีเกิดขึ้นต่อ ตนเองสงั คมและส่ิงแวดลอ้ ม 4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวติ เปน็ ความสามารถในการนากระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการ ดาเนนิ ชีวิตประจาวนั การเรียนรู้ด้วยตนเองการเรียนรอู้ ยา่ งต่อเน่อื งการทางานและการอย่รู ่วมกนั ในสังคมด้วย การสร้างเสริมความสัมพนั ธอ์ นั ดีระหว่างบุคคลการจดั การปญั หาและความขดั แยง้ ตา่ ง ๆ อย่างเหมาะสมการ ปรบั ตัวให้ทนั กับการเปลยี่ นแปลงของสงั คมและสภาพแวดลอ้ มและการรจู้ กั หลีกเลย่ี งพฤตกิ รรมไม่พึงประสงค์ ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อืน่ 5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี เปน็ ความสามารถในการเลือกและใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมีทกั ษะกระบวนการทางเทคโนโลยีเพื่อการพฒั นาตนเองและสังคมในด้านการเรียนรู้ การสื่อสารการ ทางานการแกป้ ญั หาอย่างสรา้ งสรรคถ์ กู ตอ้ งเหมาะสมและมีคุณธรรม คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ในการพฒั นานักเรียนตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานมงุ่ พฒั นานักเรียนให้มีคุณลักษณะ อันพึงประสงคเ์ พื่อให้สามารถอย่รู ่วมกบั ผู้อ่ืนในสังคมไดอ้ ย่างมีความสุขท้ังในฐานะพลเมืองไทยและพลโลก (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. 2551 : 7) ดงั นี้ 1. รกั ชาติศาสนก์ ษัตรยิ ์ 2. ซอื่ สตั ยส์ จุ ริต 3. มีวินยั 4. ใฝเ่ รียนรู้ 5. อยอู่ ย่างพอเพยี ง 6. มงุ่ มน่ั ในการทางาน 7. รกั ความเป็นไทย 8. มีจติ สาธารณะ นอกจากนีส้ ถานศึกษาสามารถกาหนดคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์เพ่ิมเติมให้สอดคล้องตามบริบท และจุดเน้นของตนเอง

การจดั การเรยี นรู้ การจัดการเรยี นรูเ้ ปน็ กระบวนการสาคัญในการนาหลักสูตรสูก่ ารปฏบิ ตั ิหลกั สูตรแกนกลางการศึกษา ขน้ั พนื้ ฐานเปน็ หลกั สูตรที่มมี าตรฐานการเรยี นรู้ สมรรถนะสาคญั และคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียน เปน็ เป้าหมายสาหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนในการพัฒนานักเรียนใหม้ คี ณุ สมบตั ติ ามเป้าหมายหลักสูตรผู้สอน พยายามคัดสรรกระบวนการเรียนรู้ จดั การเรียนรูโ้ ดยช่วยให้นักเรยี นเรยี นรผู้ า่ นสาระทก่ี าหนดไว้ในหลักสูตร 8กล่มุ สาระการเรยี นรู้รวมท้ังปลูกฝงั เสรมิ สรา้ งคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงคพ์ ฒั นาทักษะตา่ ง ๆ อันเป็นสมรรถนะ สาคญั ใหน้ กั เรยี นบรรลตุ ามเป้าหมาย (กระทรวงศึกษาธิการ. 2551 : 20-21) 1. หลักการจัดการเรียนรู้ การจัดการเรยี นร้เู พ่ือให้ผู้เรียนมีความรคู้ วามสามารถตามมาตรฐานการเรียนรู้สมรรถนะสาคัญและ คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ตามท่ีกาหนดไวใ้ นหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานโดยยึดหลักว่าผู้เรียนมี ความสาคัญที่สดุ เชอื่ วา่ ทกุ คนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ยึดประโยช น์ท่ีเกิดกับนักเรียน กระบวนการจดั การเรียนรตู้ อ้ งสง่ เสริมใหน้ ักเรยี นสามารถพฒั นาตามธรรมชาตแิ ละเต็มตามศักยภาพคานึงถึง ความแตกตา่ งระหว่างบุคคลและพัฒนาการทางสมอง เน้นให้ความสาคัญทั้งความรู้และ คณุ ธรรม 2. กระบวนการเรียนรู้ การจดั การเรียนรู้ท่เี น้นนักเรียนเป็นสาคญั นักเรียนจะตอ้ งอาศยั กระบวนการเรยี นรูท้ ีห่ ลากหลายเป็น เครื่องมือท่ีจะนาพาตนเองไปสู่เป้าหมายของหลักสูตรกระบวนการเรียนรู้ท่ีจาเป็นสาหรับผู้เรียนอาทิ ก ร ะบ ว น ก า ร เรี ย น รู้ แ บ บ บู ร ณา ก า ร ก ร ะบ ว น ก า ร ส ร้ า งคว า มรู้ ก ร ะบ ว น ก า ร คิ ดก ร ะบ ว น ก า ร ท า งสั งค ม กระบวนการเผชิญสถานการณแ์ ละแกป้ ัญหากระบวนการเรียนรู้จากประสบการณจ์ รงิ กระบวนการปฏิบัติลง มือทาจริงกระบวนการจดั การกระบวนการวิจยั กระบวนการเรยี นรู้ของตนเองกระบวนการพัฒนาลักษณะ นิสัยกระบวนการเหล่าน้ีเป็นแนวทางที่สาคญั ในการจัดการเรียนรู้ที่นักเรยี นควรไดร้ ับการฝึกฝนพัฒนาเพราะ จะสามารถช่วยให้นกั เรียนเกิดการเรยี นรู้ได้ดีบรรลเุ ป้าหมายของหลกั สูตรดังนน้ั นักเรียนจึงจาเป็นต้องศึกษา ทาความเข้าใจในกระบวนการเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อให้สามารถเลือกใช้จัดกระบวนการเรียนรู้ได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพ 3. การออกแบบการจัดการเรยี นรู้ ผู้สอนตอ้ งศึกษาหลกั สูตรสถานศกึ ษาใหเ้ ข้าใจถงึ มาตรฐานการเรียนรู้ตัวชี้วัดสมรรถนะสาคัญของ นกั เรยี นคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์และสาระการเรยี นรู้ท่ีเหมาะสมกบั นกั เรียนแล้วจึงพิจารณาออกแบบการ จดั การเรยี นรูโ้ ดยเลือกใช้วิธสี อนและเทคนิคการสอนส่ือ หรือแหล่งเรียนรู้การวัดและประเมินผลเพ่ือให้ นักเรยี นไดพ้ ฒั นาเต็มตามศกั ยภาพและบรรลุตามเปา้ หมายทีก่ าหนด 4. บทบาทของผ้สู อนและนกั เรียน การจดั การเรียนรู้เพ่อื ให้นักเรยี นมีคุณภาพตามเป้าหมายของหลักสูตรทั้งผู้สอนและนักเรียนควรมี บทบาทดงั นี้ 4.1 บทบาทของผูส้ อน 1. ศึกษาวิเคราะหผ์ เู้ รยี นเปน็ รายบุคคลแล้วนาขอ้ มูลมาใชใ้ นการวางแผนการจัดการเรียนรู้ ทท่ี ้าทายความสามารถของผ้เู รยี น

2. กาหนดเปา้ หมายทตี่ ้องการใหเ้ กดิ ขึ้นกบั นักเรียนด้านความรู้และทักษะกระบวนการท่ี เปน็ ความคิดรวบยอดหลกั การและความสัมพันธร์ วมท้งั คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ 3. ออกแบบการเรยี นรแู้ ละจดั การเรียนรู้ที่ตอบสนองความแตกต่าง ระหว่างบุคคลและ พัฒนาการทางสมองเพือ่ นานกั เรยี นไปสู่เปา้ หมาย 4. จัดบรรยากาศท่เี ออ้ื ต่อการเรยี นรู้และดแู ลชว่ ยเหลือนักเรียนใหเ้ กิดการเรียนรู้ 5. จัดเตรียมและเลือกใช้สื่อให้เหมาะสมกับกิจกรรมน าภูมิปัญญาท้องถิ่นเทคโนโลยี ทเ่ี หมาะสมมาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการจัดการเรียนการสอน 6. ประเมินความกา้ วหน้าของนักเรียนดว้ ยวธิ ีการท่หี ลากหลายเหมาะสมกับธรรมชาติของ วชิ าและระดบั พัฒนาการของนักเรยี น 7. วิเคราะห์ผลการประเมนิ มาใช้ในการซอ่ มเสริมและพัฒนานักเรียนรวมท้ังปรับปรุงการ จดั การเรยี นการสอนของตนเอง 4.2 บทบาทของนักเรยี น 1. กาหนดเป้าหมายวางแผนและรบั ผิดชอบการเรยี นรูข้ องตนเอง 2. เสา ะแสวงหา ควา มรู้เข้า ถึงแหล่งกา รเรียน รู้วิเคร าะห์สังเครา ะห์ข้อควา มรู้ ต้ังคาถามคดิ หาคาตอบหรือหาแนวแก้ปัญหาดว้ ยวิธีการตา่ ง ๆ 3. ลงมอื ปฏิบตั ิจรงิ สามารถสรปุ สิง่ ทีไ่ ดเ้ รียนรดู้ ้วยตนเองและนาความรู้ไปประยุกต์ใช้ ในสถานการณต์ ่าง ๆ 4. มปี ฏิสมั พันธท์ างานทากจิ กรรมรว่ มกบั กลมุ่ และครู 5. ประเมินและพัฒนากระบวนการเรียนร้ขู องตนเองอยา่ งตอ่ เนื่อง ส่ือการเรียนรู้ สอื่ การเรยี นรู้เปน็ เครอื่ งมือสง่ เสรมิ สนบั สนนุ การจดั การกระบวนการเรยี นรู้ให้นักเรียนเข้าถึงความรู้ ทกั ษะ/กระบวนการและคุณลักษณะอนั พงึ ประสงคต์ ามมาตรฐานของหลักสูตร ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ สื่อการเรยี นรมู้ หี ลากหลายประเภททงั้ สอ่ื ธรรมชาติสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อ เทคโนโลยีและเครือข่ายการเรียนรตู้ ่าง ๆ ทมี่ ีในทอ้ งถิ่นการเลือกใช้สื่อควรเลือกให้มีความเหมาะสมระดับ พัฒนาการและลลี าการเรยี นรูท้ ี่หลากหลายของนักเรียนการจัดหาส่ือการเรยี นรู้นักเรียนและผู้สอนสามารถ จัดทาและพัฒนาขึน้ เองหรือปรับปรุงเลือกใชอ้ ย่างมีคณุ ภาพจากสอื่ ตา่ ง ๆ ท่มี ีอยรู่ อบตัวเพอื่ นามาใช้ประกอบ ในการจดั การเรียนรูท้ ่ีสามารถส่งเสริมและสื่อสารให้นกั เรียนเกดิ การเรียนรูโ้ ดยสถานศึกษาควรจัดให้มีอย่าง พอเพยี งเพ่อื พัฒนาให้นกั เรยี นให้เกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริงสถานศึกษา เขตพ้ืนท่ีการศึกษาหน่ วยงานท่ี เกยี่ วข้องและผมู้ ีหนา้ ทจี่ ดั การศึกษาขน้ั พน้ื ฐานควรดาเนนิ การดงั นี้ (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. 2551 : 22) 1. จดั ให้มแี หลง่ การเรียนรู้ศนู ยส์ ่ือการเรยี นรู้ระบบสารสนเทศการเรียนรแู้ ละเครือข่ายการเรียนรู้ที่มี ประสิทธภิ าพท้งั ในสถานศึกษาและในชุมชนเพือ่ การศึกษาคน้ คว้าและการแลกเปลย่ี นประสบการณ์การเรียนรู้ ระหว่างสถานศกึ ษาท้องถนิ่ ชุมชนสงั คมโลก 2. จัดทาและจัดหาสอ่ื การเรียนรู้สาหรับการศึกษาค้นควา้ ของนกั เรียนเสริมความรู้ให้ผู้สอนรวมท้ัง จดั หาสงิ่ ท่ีมีอย่ใู นท้องถ่นิ มาประยกุ ตใ์ ช้เป็นสอ่ื การเรยี นรู้ 3. เลือกและใชส้ ่ือการเรียนรูท้ ่มี คี ณุ ภาพมีความเหมาะสมมีความหลากหลายสอดคล้องกับวิธีการ เรียนรธู้ รรมชาตขิ องสาระการเรียนรู้และความแตกต่างระหวา่ งบุคคลของนักเรยี น 4. ประเมินคุณภาพของสอื่ การเรียนร้ทู ี่เลอื กใชอ้ ยา่ งเปน็ ระบบ 5. ศึกษาคน้ คว้าวิจยั เพื่อพฒั นาส่ือการเรยี นรใู้ ห้สอดคล้องกบั กระบวนการเรียนรขู้ องผเู้ รยี น

6. จดั ให้มีการกากบั ตดิ ตามประเมนิ คณุ ภาพและประสทิ ธภิ าพเก่ียวกับสื่อและการใช้สื่อการเรียนรู้ เปน็ ระยะ ๆ และสมา่ เสมอในการจัดทาการเลือกใช้และการประเมินคุณภาพของสื่อการเรียนรู้ที่ใช้ใน สถานศกึ ษาควรคานึงถึงหลกั การสาคัญของส่ือการเรียนรู้เช่นความสอดคล้องกับหลักสูตร วัตถุประสงค์การ เรียนรู้ การออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรกู้ ารจดั ประสบการณใ์ หน้ กั เรียนเน้ือหามคี วามถูกต้องและทันสมัยไม่ กระทบความมัน่ คงของชาติไมข่ ดั ต่อศลี ธรรมมีการใช้ภาษาท่ีถูกต้องรูปแบบการนาเสนอท่ีเข้าใจง่ายและ น่าสนใจ การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรขู้ องผู้เรียนตอ้ งอยู่บนหลกั การพื้นฐานสองประการ คือการประเมิน เพ่ือพฒั นานกั เรียนและเพื่อตัดสินผลการเรียน ในการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียนให้ประสบ ผลสาเร็จนัน้ นักเรยี นตอ้ งไดร้ ับการพฒั นาและประเมนิ ตามตัวช้ีวัด เพ่ือให้บรร ลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ สะทอ้ นสมรรถนะสาคัญและคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ของนักเรยี น ซง่ึ เป็นเป้าหมายหลักในการวัด และประเมนิ ผลการเรยี นร้ใู นทกุ ระดับไม่วา่ จะเปน็ ระดับช้นั เรยี นระดบั สถานศกึ ษา ระดับเขตพ้ืนที่การศึกษา และระดบั ชาติ การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้เป็นกระบวนการพัฒนาคุณภาพนักเรียนโดยใช้ผลการ ประเมนิ เป็นขอ้ มูลและสารสนเทศทแ่ี สดงถึงพัฒนาการความก้าวหน้าและความสาเร็จทางการเรียนของ นักเรยี นตลอดจนข้อมลู ทีเ่ ป็นประโยชนต์ ่อการสง่ เสริมให้นักเรียนเกิดการพัฒนาและเรียนรู้อย่างเต็มตาม ศักยภาพ (กระทรวงศึกษาธกิ าร. 2551 : 23) กล่มุ สาระการเรียนรคู้ ณติ ศาสตร์ ความสาคญั ของกลมุ่ สาระการเรยี นรู้คณิตศาสตร์ คณิตศาสตรม์ บี ทบาทสาคัญยง่ิ ต่อการพัฒนาความคิดมนุษย์ทาให้มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์คิด อยา่ งมเี หตผุ ลเป็นระบบมแี บบแผน สามารถวิเคราะหป์ ญั หาหรอื สถานการณ์ได้อย่างถี่ถ้วนรอบคอบช่วยให้ คาดการณว์ างแผนตัดสนิ ใจแก้ปัญหาและนาไปใช้ในชีวิตประจาวันได้อย่างถูกต้องเหมาะสม นอกจากน้ี คณิตศาสตร์ยงั เปน็ เคร่ืองมือในการศกึ ษาทางดา้ นวิทยาศาสตร์เทคโนโลยแี ละศาสตร์อื่น ๆ คณิตศาสตร์จึงมี ประโยชน์ตอ่ การดาเนนิ ชีวติ ชว่ ยพฒั นาคุณภาพชีวติ ใหด้ ีขึ้นและสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข (สานกั งานวิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา. 2551 : 1) ธรรมชาตกิ ารเรยี นรูข้ องกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ กล่มุ สาระการเรียนรคู้ ณิตศาสตรเ์ ปิดโอกาสใหเ้ ยาวชนทุกคนได้เรียนร้คู ณติ ศาสตร์อย่างต่อเนื่องตาม ศักยภาพโดยกาหนดสาระหลักท่ีจาเป็นสาหรับนักเรียนทุกคนดังนี้ ( สานักงานวิชาการและมาตรฐาน การศกึ ษา. 2551 : 1-2) 1. จานวนและการดาเนนิ การ ความคิดรวบยอดและความรสู้ กึ เชิงจานวน ระบบจานวนจริงสมบัติ เกี่ยวกบั จานวนจรงิ การดาเนนิ การของจานวน อัตราส่วน ร้อยละ การแกป้ ัญหาเก่ียวกับจานวนและการใช้ จานวนในชีวติ จริง 2. การวัดความยาวระยะทาง น้าหนัก พื้นที่ ปรมิ าตรและความจุ เงนิ และเวลา หน่วยวัดระบบต่าง ๆ การคาดคะเนเกย่ี วกับการวดั อตั ราสว่ นตรีโกณมิติ การแกป้ ัญหาเกยี่ วกบั การวัดและการนาความรู้เก่ียวกับ การวดั ไปใชใ้ นสถานการณต์ า่ ง ๆ

3. เรขาคณิตรปู เรขาคณิตและสมบัติของรูปเรขาคณิตหน่ึงมิติสองมิติและสามมิติ การนึกภาพ แบบจาลองทางเรขาคณิต ทฤษฎีบททางเรขาคณิตการแปลงทางเรขาคณิต (geometric transformation) ในเร่ืองการเล่อื นขนาน (translation) การสะท้อน (reflection) และการหมนุ (rotation) 4. พชี คณิตแบบรปู (pattern) ความสัมพนั ธ์ฟงั ก์ชนั เซตและการดาเนินการของเซตการให้เหตุผล นพิ จนส์ มการระบบสมการ อสมการ กราฟ ลาดบั เลขคณิต ลาดับเรขาคณิต อนุกรมเลขคณิตและอนุกรม เรขาคณติ 5. การวเิ คราะห์ขอ้ มลู และความน่าจะเป็นการกาหนดประเด็น การเขียนข้อคาถาม การกาหนดวิธีการศึกษา การเก็บรวบรวมขอ้ มลู การจัดระบบข้อมูลการนาเสนอข้อมูล ค่ากลางและการกระจายของข้อมูล การ วิเคราะห์และการแปลความข้อมูลการสารวจความคิดเห็น ความน่าจะเป็นการใช้ความรู้เก่ียวกับสถิติและ ความน่าจะเปน็ ในการอธิบายเหตกุ ารณ์ต่าง ๆ และชว่ ยในการตัดสนิ ใจในการดาเนนิ ชีวติ ประจาวนั 6. ทักษะและกระบวนการทางคณติ ศาสตร์การแกป้ ญั หาดว้ ยวิธกี ารท่หี ลากหลาย การให้เหตุผลการ ส่อื สาร การสอ่ื ความหมายทางคณิตศาสตร์และการนาเสนอการเช่ือมโยงความรู้ต่าง ๆ ทางคณิตศาสตร์และ การเชือ่ มโยงคณิตศาสตรก์ บั ศาสตรอ์ นื่ ๆ และความคิดริเรม่ิ สร้างสรรค์ สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ กลมุ่ สาระการเรียนร้คู ณิตศาสตรไ์ ด้ทาการกาหนดสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ต่าง ๆ (สานักงาน วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา. 2551 : 2-3) ไวด้ ังนี้ สาระที่ 1 จานวนและการดาเนนิ การ มาตรฐาน ค 1.1 เข้าใจถึงความหลากหลายของการแสดงจานวนและการใชจ้ านวนในชวี ิตจริง มาตรฐาน ค 1.2 เขา้ ใจถงึ ผลทเี่ กดิ ขน้ึ จากการดาเนินการของจานวนและความสัมพันธ์ระหว่างการ ดาเนินการต่าง ๆ และสามารถใชก้ ารดาเนินการในการแกป้ ัญหา มาตรฐาน ค 1.3 ใชก้ ารประมาณค่าในการคานวณและแกป้ ญั หา มาตรฐาน ค1.4 เข้าใจระบบจานวนและนาสมบตั ิเก่ียวกบั จานวนไปใช้ สาระที่ 2 การวดั มาตรฐาน ค 2.1 เข้าใจพืน้ ฐานเกี่ยวกับการวดั วัดและคาดคะเนขนาดของส่งิ ท่ีตอ้ งการวดั มาตรฐาน ค 2.2 แก้ปญั หาเกย่ี วกับการวดั สาระที่ 3 เรขาคณิต มาตรฐาน ค 3.1 อธบิ ายและวิเคราะห์รปู เรขาคณิตสองมติ ิและสามมติ ิ มาตรฐาน ค 3.2 ใช้การนกึ ภาพ (visualization) ใชเ้ หตุผลเกี่ยวกบั ปริภูมิ (spatial reasoning) และใช้ แบบจาลองทางเรขาคณิต (geometric model) ในการแกป้ ญั หา สาระท่ี 4 พีชคณติ มาตรฐาน ค 4.1 เขา้ ใจและวเิ คราะห์แบบรปู (pattern) ความสัมพนั ธ์ และฟงั กช์ นั มาตรฐาน ค 4.2 ใช้นิพจน์ สมการ อสมการ กราฟ และตัวแบบเชิงคณติ ศาสตร์ (mathematical model) อืน่ ๆ แทนสถานการณ์ต่าง ๆ ตลอดจน แปลความหมาย และนาไปใชแ้ ก้ปญั หา สาระท่ี 5 การวเิ คราะห์ข้อมลู และความน่าจะเป็น มาตรฐาน ค 5.1 เขา้ ใจและใชว้ ิธกี ารทางสถิตใิ นการวิเคราะหข์ อ้ มูล มาตรฐาน ค 5.2 ใช้วธิ ีการทางสถิติและความรเู้ กี่ยวกับความน่าจะเป็นในการคาดการณ์ได้อย่าง สมเหตสุ มผล

มาตรฐาน ค 5.3 ใช้ความรูเ้ กีย่ วกบั สถิตแิ ละความน่าจะเป็นช่วยในการตัดสนิ ใจและแก้ปัญหา สาระท่ี 6 ทักษะและกระบวนการทางคณติ ศาสตร์ มาตรฐาน ค 6.1 มคี วามสามารถในการแก้ปัญหา การใหเ้ หตุผล การสื่อสาร การสือ่ ความหมายทาง คณติ ศาสตร์และการนาเสนอ การเชอ่ื มโยงความรู้ต่าง ๆ ทางคณิตศาสตรแ์ ละ เชื่อมโยงคณติ ศาสตรก์ ับศาสตรอ์ ื่น ๆ และมคี วามคดิ รเิ ร่มิ สรา้ งสรรค์ ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ การกาหนดให้ทกั ษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์เปน็ สาระหนึง่ ในกลมุ่ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เนื่องจากนกั การศึกษาคณิตศาสตร์ตระหนกั ถงึ ความสาคญั และจาเปน็ ไม่เพยี งแต่ประเทศไทยเท่าน้ันท่ีหันมา สนใจส่งเสรมิ ทักษะ/กระบวนการทางคณติ ศาสตร์ ในทกุ ระดบั ชัน้ ของหลักสตู รคณิตศาสตร์ ยังมีประเทศอ่ืน ๆ อีกทว่ั โลกที่ใหค้ วามสนใจสง่ เสริมทักษะกระบวนการทางคณติ ศาสตรด์ ว้ ยเชน่ กนั เชน่ ออสเตรเลีย สิงคโปร์ และสหรฐั อเมรกิ า (สถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี. 2551 : 4) สาหรบั ทักษะกระบวนการทางคณติ ศาสตร์นน้ั เป็นเร่อื งทสี่ าคญั เพราะต้องการใหส้ งิ่ เหล่าน้ีเกิดขึ้นใน กระบวนการเรียนการสอน หลักสตู รการศึกษาขน้ึ พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระ การเรยี นร้กู ลุ่มคณิตศาสตรไ์ ด้กาหนดมาตรฐานการเรียนรู้ด้านทักษะกระบวนก ารทางคณิตศาสตร์ไว้ คือ สาระท่ี 6 ทกั ษะและกระบวนการทางคณติ ศาสตร์ ซึ่งมี 5 ทกั ษะ ดังน้ี (สานักงานวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา. 2551: 43) ทกั ษะที่ 1 ความสามารถในการแกป้ ญั หา ทักษะที่ 2 ความสามารถในการใหเ้ หตุผล ทกั ษะที่ 3 ความสามารถในการส่ือสาร การส่ือความหมายทางคณิตศาสตรแ์ ละการนาเสนอ ทกั ษะที่ 4 ความสามารถการเชอ่ื มโยงความร้ตู ่าง ๆ ทางคณิตศาสตร์และเช่อื มโยงคณิตศาสตร์กับศาสตรอ์ น่ื ทกั ษะที่ 5 ความคิดรเิ ริ่มสร้างสรรค์ แบบฝึกเสรมิ ทกั ษะ ความหมายและความสาคัญของแบบฝกึ เสรมิ ทกั ษะ สุวิทย์ มูลคา และสนุ ันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 53) ไดก้ ลา่ ววา่ ผู้เรยี นหลงั จากเรียนจบเน้ือหา ในชว่ งหน่ึงๆ เพือ่ ฝกึ ฝนใหเ้ กิดความรคู้ วามเข้าใจ รวมทง้ั เกิดความชานาญในเรอื่ งนั้นๆ อย่างกว้างขวางมาก ข้ึน ดังนั้น แบบฝึกจงึ มคี วามสาคญั ตอ่ ผูเ้ รยี นไม่น้อย ในการทจี่ ะชว่ ยเสริมสรา้ งทักษะให้กั บผู้เรียนได้เกิดการ เรยี นรู้และเขา้ ใจได้เรว็ ข้ึน ชดั เจนข้นึ กว้างขวางขน้ึ ทาใหก้ ารสอนของครูและการเรียนของนักเรียนประสบ ผลสาเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ นงนุช สามญั ฤทธิ์ (2550 : 41) กลา่ วไว้ว่า แบบฝกึ เสริมทักษะ หมายถงึ นวตั กรรมที่จัดขึ้นเพ่ือให้ ผเู้ รียนได้ศกึ ษา ทาความเขา้ ใจ ฝึกปฏิบัตคิ วบคู่ไปกับเนื้อหาท่ีเรียนจนเกิดทักษะ สามารถ นาความรู้ไปใช้ได้ อย่างถูกต้อง และแบบฝึกเสรมิ ทักษะยังเป็นเคร่ืองมือท่ีครูใช้ในการตรวจสอบความรู้และความเข้าใจของ นกั เรียนอกี ด้วย เครือฟ้า ไวแสน (2553 : 70) กล่าวว่า แบบฝึก หมายถึง สื่อหรือกิจกรรมท่ีครูสร้างข้ึน เพ่อื ใช้ฝกึ ทักษะและทบทวนความรู้ต่างๆ ท่ไี ดเ้ รียนมาแล้วให้กับนักเรียน โดยเน้นการฝึกหัดซ้าๆ เรื่อยไป จนกระทง่ั เกิดความจา และทาไดโ้ ดยอัตโนมตั ิ

พลอยระวี อนุสรณ์ (2553 : 70) กล่าวว่า แบบฝึก หมายถึง ส่ือหรือส่ิงเร้าทางการเรียน ที่สร้างขึ้นเพอ่ื สรา้ งเสริมทกั ษะใหแ้ กผ่ ู้เรียน มลี ักษณะที่เป็นแบบฝึกหัดท่ีมีกิจกรรมให้ผู้เรียนกระทาโดยมี จุดมุ่งหมายเพือ่ พัฒนาความสามารถของผ้เู รยี น แบบฝึกจึงเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์ในการเรียนการสอน เพราะชว่ ยใหผ้ ู้เรียนได้แก้ไขขอ้ บกพร่องทางการเรยี นด้วยการฝึกจากแบบฝกึ ท่ีครสู ร้างข้ึน ราวนั สมั ปัญนงั (2553 : 42) กล่าวว่า แบบฝึก หมายถงึ สื่อการเรียนการสอนที่สาคัญประเภท หนึ่งที่ค รูสร้า งขึ้น โ ดยมีจุ ดปร ะส งค์ให้ นักเรี ยน ฝึก ปฏิบัติ ฝึกทัก ษะเพิ่ มมา ก ขึ้น หลั งจ า ก ที่ ได้เรียน ไปแล้ว เพ่ือทบทวนเน้ือหาท่ีเรียนมาแล้วให้เกิดความเข้าใจอย่างกว้างขวาง และเกิดความชานาญ ในเน้ือหาทเ่ี รียนย่ิงขึ้น ซึง่ เปน็ บทเรยี นหรอื งานที่นกั เรียนตอ้ งทา เพ่อื ให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ความชานาญ จนสามารถนาไปใชป้ ระโยชนใ์ นชวี ิตประจาวนั ได้ ชมพนู ชุ สาแดงเดช (2554 : 35) กล่าววา่ แบบฝกึ หมายถึง เครอื่ งมือทางการเรียนท่ีสร้างขึ้นสาหรับ ให้นักเรียน ฝึกปฏิบั ติ เพื่อให้เกิดคว า มรู้ควา มเข้า ใจ แ ละทักษะเพิ่มขึ้น ห ลังจ า กท่ีได้เรียน รู้ ในภาคทฤษฎหี รอื ด้านเน้อื หาแล้ว แบบฝึกเป็นส่งิ ทช่ี ว่ ยให้นักเรยี นประสบผลสาเรจ็ ในการเรียนและเป็นการ แก้ไขปัญหาการเรยี นการสอน บุศรินทร์ ไชยทน (2555 : 27) กล่าววา่ แบบฝกึ ทักษะ หมายถึง ส่ือการสอนท่ีสร้างขึ้นเพื่อให้ นกั เรยี นฝึกปฏบิ ัติ เพือ่ ให้เกดิ ความรคู้ วามเข้าใจ มปี ระสบการณ์ และมีทกั ษะเพม่ิ ข้ึน จา กความหมา ยและควา มสา คัญของแบบฝึกเสริมทักษะสรุปได้ว่า แบบฝึกเสริมทักษะ เปน็ วัตกรรมทีจ่ ดั ทาขนึ้ เพอ่ื ใหน้ ักเรยี นไดศ้ กึ ษา ทาความเข้าใจและฝกึ ปฏิบตั ิ เพื่อเสริมทักษะเฉพาะอย่างให้กับ นักเรยี น ช่วยให้นกั เรียนเกดิ การเรียนรู้จากการปฏบิ ัติดว้ ยตนเอง ไดฝ้ ึกทกั ษะเพม่ิ เตมิ จากเน้ือหา โดยครูเป็น ผ้แู นะนาช่วยเพ่ิมพนู ความรแู้ ก่นักเรียน ทาใหเ้ กิดการเรยี นรูแ้ ละเข้าใจไดเ้ รว็ ขึน้ นอกจากนั้นยังช่วยทาให้การ สอนของครูและการเรยี นของนักเรียนประสบผลสาเร็จและมีประสทิ ธภิ าพมากย่ิงขน้ึ

บทที่ 3 วธิ ดี าเนินการวิจัย ขอบเขตของการวจิ ัย ในการศกึ ษาวจิ ัยคร้งั นี้ เป็นการสรา้ งแบบฝกึ เก่ยี วกับการคดิ วิเคราะห์ เพื่อพัฒนาทักษะ กระบวนการคดิ อย่าง มเี หตมุ ีผลไดอ้ ย่างถกู ต้อง และได้กาหนดขอบเขตของการวจิ ยั ไวด้ งั นี้ 1. ประชากร คอื นักเรียนช้นั ประถมศึกษาปที ่ี ๖ 2. เน้อื หา/หลกั วชิ า การคิดวิเคราะห์โจทยป์ ัญหาในระดับชนั้ ประถมศึกษาปีที่ ๖ วธิ ดี าเนินการวจิ ยั ระยะเวลาในการดาเนนิ งาน ๑ กรกฎาคม 256๓ – ๓๑ สงิ หาคม 256๓ ตารางดาเนนิ การวจิ ัย วนั /เดอื น/ปี กิจกรรม/ข้ันตอนการดาเนินงาน หมายเหตุ ๑-10 ก.ค. 2563 บันทึกคะแนน จดั เตรยี มเอกสารแบบทดสอบ และแบบฝกึ หัดการคิดคานวณ 11-15 ก.ค. 2563 โดยใช้แบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียนชุดเดียวกัน บันทกึ คะแนน 16-31 ก.ค. 2563 ทาการทดสอบกอ่ นเรยี น บันทกึ คะแนน 1-20 ส.ค. 2563 สอนโดยเรมิ่ จากทกั ษะทีง่ ่ายไปหายาก และสอดแทรกเทคนคิ คดิ เลขเรว็ โดยทาการสอนในช่วง 10 นาทสี ดุ ทา้ ยของแตล่ ะ 21 ส.ค. 2563 คาบเรยี น 22-29 ส.ค. 2563 30-31 ส.ค. 2563 ทาแบบฝึกหัดท่ีเตรยี มไว้ โดยทาแบบฝึกหัดในช่วง 10 นาที สดุ ท้ายของแต่ละคาบเรยี น ทาการทดสอบหลังเรียน รวบรวมและวิเคราะห์ขอ้ มลู สรปุ ผลการวิจัย เครอ่ื งมือทใ่ี ช้ในการวจิ ยั 1. แบบทดสอบกอ่ นเรยี น หลงั เรยี น จานวน 10 ขอ้ 2. แบบฝกึ หัดการคดิ คานวณ จานวน ๕ ชุด ชุดละ 5 ขอ้

บทท่ี 4 ผลการวจิ ัย สถิตทิ ีใ่ ชใ้ นการวิจยั 1. การหาค่าเฉล่ีย 2. การหาค่าร้อยละ การวเิ คราะห์ขอ้ มูล จากการศึกษาวิจัยในชั้นเรยี น และศึกษาจากกลุ่มนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปที ่ี ๖/๒ ปกี ารศึกษา 256๓ โรงเรยี นเทศบาล ๔ (บา้ นทรายทอง) จานวน คน คณะผู้วจิ ยั ได้ใชแ้ บบทดสอบทาการทดสอบกอ่ น เรยี น จานวน 10 ขอ้ หลงั จากนน้ั ไดส้ อนหลักการคดิ คานวณ พร้อมกับทาแบบฝกึ หัดทง้ั หมด 5 ชุด ๆละ 5 ข้อ และใชแ้ บบทดสอบ ทาการทดสอบหลงั เรยี น จานวน 10 ข้อ โดยสามารถวิเคราะห์ผลไดด้ งั นี้

ผลคะแนนนกั เรยี นชัน้ ป.๖/๒ ชอื่ – นามสกุล Pretest Posttest แบบฝึกหดั แบบฝกึ หัด แบบฝกึ หดั แบบฝึกหัด แบบฝึกหดั (10 (10 ท่ี 1 ท่ี 2 ท่ี 3 ท่ี 4 ท่ี 5 ด.ข.ฮามีซัน ยูโซ๊ะ คะแนน) คะแนน) ด.ช.นรนิ ทร์ ปหู ดั 5 5 7 6 7 ด.ช.นิมูไฮมงิ สะมะแอ 4 7 6 6 7 5 7 5 6 7 5 7 ด.ช.มูฮาหมัดราชิดดี เปาะอาเดะ 3 7 5 6 8 5 7 4 7 4 6 7 7 7 ด.ช.สห เจ๊ะสานิ 5 5 6 7 7 ด.ช.อภริ ักษ์ บินปิ 5 6 6 7 8 7 8 5 5 8 6 7 ด.ช.อับดลุ เราะมาน อามือเยาะ 3 7 4 5 5 7 6 4 6 5 7 8 ด.ช.อฟั นนั มือลี 4 8 6 6 5 7 8 ด.ช.อามนี ดู นี ยะโกะ๊ 6 7 7 7 5 7 5 ด.ช.ศุภสนิ แกว้ ส่งแสง 5 7 6 7 5 ด.ช.กฤตนัย ศรีสุวรรณ์ 2 7 5 7 6 7 5 ด.ญ.ซารนิ ดา ดาตมู ะดา 6 6 6 8 7 ด.ญ.ดามยิ าอ์ เจ๊ะโอะ๊ 4 8 7 7 6 7 7 ด.ญ.นาบลี า สะนิ 6 7 5 6 7 ด.ญ.นาอัยฟะห์ สวุ รรณโน 5 6 6 6 7 8 7 ด.ญ.นูรมี อนนั ตช์ ลธี 6 7 6 6 5 8 7 ด.ญ.นูรอาชีฟา สะมะแอ 7 7 5 5 7 ด.ญ.นรู ูลอซี าตี เจะ๊ แว 5 8 7 7 6 5 7 ด.ญ.โนรซีฮมั สะมะแอ 7 7 6 5 8 ด.ญ.ฟาตีฮะห์ สาหะ 3 8 8 7 7 6 7 ด.ญ.วารซี ะห์ บินมะยโู ซ๊ะ 7 6 7 7 6 ด.ญ.สโรชา อีซาแล 3 8 6 6 7 6 8 ด.ญ.สตี ฟี าระห์ สะมะแอ 4 7 8 6 6 7 8 ด.ญ.อรัญญา ดาตมู ะดา 8 7 6 7 5 ด.ญ.อัลยา ยโู ซ๊ะ 4 7 5 5 6 6 5 ด.ญ.อานซิ ยาเมาะ 5 5 7 6 5 ด.ญ.อามาดยี า อาแว 3 6 5 6 7 6 7 ด.ญ.นรู ฟาตนิ ซาฮลี า มะมิง ด.ญ.ชนาภา นิสยั กล้า 4 6 ด.ญ.อาตกี ะหื หวันตะ๊ 5 8 3 7 4 7 6 8 2 6 4 7 5 7 6 8 5 8 3 6 3 7 4 8

ตารางแสดงการเปรียบเทียบคะแนนทดสอบก่อนเรยี นและคะแนนทดสอบหลังเรยี น ชอื่ -สกุล คะแนนทดสอบก่อน คะแนนทดสอบหลัง ความกา้ วหนา้ (%) เรียน (%) เรียน (%) ด.ข.ฮามีซนั ยโู ซะ๊ 30 ด.ช.นรินทร์ ปูหัด 40 70 50 ด.ช.นมิ ูไฮมงิ สะมะแอ 20 70 30 40 ด.ช.มฮู าหมัดราชดิ ดี เปาะอาเดะ 50 80 30 10 ด.ช.สห เจ๊ะสานิ 30 70 40 ด.ช.อภริ กั ษ์ บนิ ปิ 40 40 70 10 ด.ช.อบั ดุลเราะมาน อามอื เยาะ 50 50 60 40 ด.ช.อฟั นัน มือลี 30 70 10 ด.ช.อามีนดู นี ยะโกะ๊ 10 ด.ช.ศภุ สิน แก้วสง่ แสง 40 80 30 ด.ช.กฤตนยั ศรีสุวรรณ์ 50 ด.ญ.ซารินดา ดาตมู ะดา 60 70 50 ด.ญ.ดามิยาอ์ เจะ๊ โอ๊ะ 30 ด.ญ.นาบีลา สะนิ 20 70 30 ด.ญ.นาอัยฟะห์ สุวรรณโน 40 80 30 ด.ญ.นูรมี อนันต์ชลธี 30 ด.ญ.นรู อาชีฟา สะมะแอ 50 60 40 ด.ญ.นูรลู อซี าตี เจะ๊ แว 30 ด.ญ.โนรซีฮัม สะมะแอ 60 70 20 ด.ญ.ฟาตฮี ะห์ สาหะ 40 ด.ญ.วารซี ะห์ บนิ มะยโู ซ๊ะ 50 80 30 ด.ญ.สโรชา อีซาแล 30 80 20 ด.ญ.สตี ีฟาระห์ สะมะแอ 20 ด.ญ.อรญั ญา ดาตูมะดา 30 80 30 ด.ญ.อัลยา ยูโซ๊ะ 30 ด.ญ.อานิซ ยาเมาะ 40 70 40 ด.ญ.อามาดียา อาแว ด.ญ.นูรฟาตินซาฮลี า มะมงิ 40 70 ด.ญ.ชนาภา นสิ ยั กลา้ 30 60 ด.ญ.อาตีกะหื หวนั ต๊ะ 50 80 30 70 40 70 60 80 20 60 40 70 50 70 60 80 50 80 30 60 30 70 จากตารางจะเห็นวา่ นักเรยี นทกุ หอ้ งของชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี ๖ มคี ะแนนทดสอบหลังเรียนมากขึ้น กว่าคะแนนทดสอบก่อนเรียน ดงั จะเห็นไดจ้ ากเปอรเ์ ซน็ ต์ความก้าวหน้าท่ไี ม่มีที่มคี า่ ติดลบ

บทที่ 5 สรปุ ผลการวจิ ัย จากผลการวจิ ยั สรุปไดด้ งั นี้ คอื จากการศึกษาและวิเคราะห์คะแนนทไ่ี ดจ้ ากการทดสอบก่อนเรียนนั้นแสดงให้เห็นว่านกั เรยี นขาด ความเข้าใจในความหมายของในทางคณิตศาสตร์แต่หลังจากได้เรยี นเสรมิ มีการพูดคุยสนทนาและใช้ ประสบการณเ์ ดิมทาใหน้ กั เรียนเข้าใจความหมายของคาในทางคณิตศาสตร์มากข้ึนนาไปสู่การวิเคราะหโ์ จทย์ และแก้โจทย์ปัญหาได้ดขี ้นึ ข้อคิดท่ีได้จากการวิจัย 1. ควรมกี ารวดั ระดับความสามารถในการคิดคานวณในทกุ ระดับชนั้ เน่ืองจากการคิดคานวณเป็น พนื้ ฐานในวชิ าคณติ ศาสตร์ ถา้ นักเรียนในระดับเล็กไมเ่ ข้าใจจนถงึ ระดับทีส่ งู ขึ้นการแก้ปญั หาจะ เปน็ ไปไดย้ าก เพราะในระดบั สูงผสู้ อนจะไมก่ วดขนั ในเร่ืองการคดิ คานวณแล้ว แต่จะเน้นในส่วนของ บทเรียนมากกว่า 2. ควรจดั เวลาเพิ่มใหก้ บั นกั เรียน โดนเนน้ เฉพาะเรอื่ งการคิดคานวณ

บรรณานกุ รม กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2551). หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551. กรงุ เทพฯ : ครุ ุสภาลาดพรา้ ว. _______. (2552). หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์ ชุมนมุ สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทยจากัด. กญั จนา ลนิ ทรตั นศริ กิ ลุ . (2550). “เครอื่ งมือวจิ ัยและการตรวจสอบคณุ ภาพ” ใน ประมวลสาระวชิ า การ วจิ ยั หลกั สตู รและการเรยี นการสอน. หนว่ ยที่ 9 หนา้ 6 นนทบรุ .ี หาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช สาขาศกึ ษาศาสตร.์ กลั ยา ทองอว้ น. (2552). การพฒั นากจิ กรรมการเรยี นแบบโครงงาน เรื่อง ภูมิปญั ญาท้องถนิ่ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3. วทิ ยานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑติ สาขาวชิ าหลักสตู รและการสอน: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. เกสร รองเดช. (2552). การสร้างแบบฝึกเพ่ือสอนเสริมการออกเสียงพยัญชนะ ง ฟ ฝคว และขว สาหรบั นักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 5 ในจงั หวดั นครศรธี รรมราช. นครศรีธรรมราช : สถาบัน ราชภฎั นครศรธี รรมราช. เครือฟ้า ไวแสน. (2553). การพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการเรียนรู้คาศัพท์ภาษาอังกฤษ กลุ่มสาระ การเรียนรภู้ าษาต่างประเทศ ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 1 โรงเรียนบ้านโนนสูงดอนล่ี สานักงานเขต พื้นที่การศึกษามหาสารคาม เขต 2 . วิทยานิพนธ์ กศ.ม. มหา สารคา ม : มหา วิทยาลัย มหาสารคาม. จันจิรา หมุดหวนั . (2552). การศกึ ษาความสามารถในการแกโ้ จทย์ปัญหาทางคณติ ศาสตร์ และ ความสามารถในการทางานกลุม่ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที ี่ 5 โดยการจัดการเรยี นรูแ้ บบ ร่วมมอื เทคนิค STAD รว่ มกบั เทคนิค KWDL โรงเรียนบ้านคลองนา้ ใส อาเภอกาบงั สานกั งาน เขตพืน้ ท่ีการศกึ ษายะลา เขต 2. กศ.ม. หลักสูตรและการสอน สงขลา : บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั ทกั ษณิ . จารวุ รรณ เขยี วอ่อน. (2551). การพฒั นาแผนการจดั การเรยี นรู้กลมุ่ สาระคณิตศาสตร์ เร่อื ง รปู สเ่ี หล่ยี ม ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใชแ้ บบฝึกเสริมทักษะ. วิทยานพิ นธ์การศกึ ษามหาบัณฑติ สาขาวชิ า หลักสูตรและการสอน : มหาวิทยาลยั มหาสารคาม.

ภาคผนวก

นกั เรยี นทาแบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรยี น

นกั เรียนเรยี นซอ่ มเสรมิ จากแบบฝึกหดั ที่ครูสร้างข้นึ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook