หน่วยการเรียนรอู้ ิงมาตรฐาน รหสั วชิ า ว 31242 รายวชิ า ชีววทิ ยาเพิ่มเติม ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2562 ผูจ้ ดั ทา นางสาวภักดินันท์ สมรกั ษ์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนน้าปลีกศึกษา สานกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษามธั ยมศึกษาเขต 29
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรือ่ ง การถ่ายทอดทางพนั ธุกรรม รหสั วิชา ว 31242 รายวิชา ชวี วิทยาเพ่มิ เติม ปีการศึกษา 2562 ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาคเรียนที่ 2 เวลา 16 ชว่ั โมง ผสู้ อน นางสาวภกั ดินนั ท์ สมรกั ษ์ 1.มาตรฐานการเรยี นรู้ / ตัวชี้วัด/ผลการเรยี นรู้ (รายวิชาพืน้ ฐานมีทั้งมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชวี้ ดั รายวิชาเพมิ่ เติม มีผลการเรียนร)ู้ 1.1 มาตรฐานการเรียนรู้ เข้าใจการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม การถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม สมบตั แิ ละหน้าที่ของสารพันธกุ รรม การ เกิดมิวเทชันเทคโนโลยีทางดเี อน็ เอ หลกั ฐานข้อมูลและแนวคิดเกีย่ วกับวิวฒั นาการของสง่ิ มีชีวิตภาวะสมดลุ ของฮาร์ด-ี ไวน์เบิร์กการเกิดสปีชสี ใ์ หม่ ความหลากหลายทางชีวภาพกาเนิดของส่งิ มีชีวิตความหลากหลายของสง่ิ มีชีวิตและ อนุกรมวิธาน รวมท้ังนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ 1.2 ตัวชีว้ ัด/ผลการเรียนรู้ ม.4-6/1สบื ค้นข้อมูลอธิบายและสรุปผลการทดลองของเมนเดล ม.4-6/2 อธิบายและสรุปกฎแห่งการแยกและกฎแห่งการรวมกลุ่มอย่างอิสระ และนากฎของเมนเดลนี้ไปอธิบายการ ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมและใช้ในการคานวณโอกาสในการเกิดฟีโนไทป์และ จีโนไทป์แบบต่างๆ ของรุ่น F1 และ F2 ม.4-6/3สืบค้นข้อมูลวิเคราะห์ อธิบายและสรุปเกี่ยวกับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมที่เป็นส่วนขยายของ พนั ธุศาสตร์เมนเดล ม.4-6/4สืบค้นข้อมูลวิเคราะห์ และเปรียบเทียบลักษณะทางพันธุกรรมทีม่ ีการแปรผันไม่ต่อเนื่องและลักษณะทาง พนั ธกุ รรมที่มี การแปรผนั ต่อเนือ่ ง ม.4-6/5 อธิบายการถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม และยกตวั อย่างลกั ษณะทางพันธกุ รรมทีถ่ ูกควบคมุ ดว้ ยยีนบน ออโต โซมและยีนบนโครโมโซมเพศ 2.สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด เกรเกอร์ โยฮันน์ เมนเดลทาการทดลองการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมของถว่ั ลนั เตา โดยผสมถั่วลนั เตาที่มีลักษI ะแตกต่างกันพบว่า ถวั่ ลนั เตารุ่นลูกจะมีลกั ษณะเหมือนต้นพ่อหรือต้นแม่อย่างใดอย่างหนึง่ เท่านั้นและเมือ่ นารุ่นลกู มา ผสมกนั เองจะไดถ้ ่วั ลันเตารุ่นหลานที่มีบางต้นลกั ษณะเหมือนต้นพ่อ และบางต้นลกั ษณะเหมือนต้นแม่ ซึง่ การถ่ายทอด
ลักษณะของถวั่ ลันเตามียีน(gene) ควบคุม ซึ่งประกอบดว้ ยแอลลลี (alele)2 แอลลลี รุ่นลกู จะไดร้ ับแอลลีลจากพ่อและแม่ อย่างละหนึ่งแอลลลี แต่ลักษณะที่ปรากฏออกมาจะมเี พียงลกั ษณะเดยี วเท่าน้ันเนือ่ งจากแอลลลี ทีค่ วบคุมลักษณะเดน่ จะ ข่มแอลลลี ทีค่ วบคุมลกั ษณะดอ้ ยอยู่ โดยเรียกแอลลลี ที่ควบคุมลักษณะเดน่ ว่า แอลลลี เดน่ (dominant alele)และเรียกแอล ลลี ทีค่ วบคุมลกั ษณะดอ้ ยว่า แอลลลี ดอ้ ย(recessivealele)เมือ่ ให้รุ่นลูกผสมกันเองจะไดร้ ุ่นหลานที่แสดงทั้งลักษณะเดน่ และลกั ษณะดอ้ ยออกมา ซึง่ มีอตั ราสว่ นระหว่างลักษณะเดน่ ต่อลกั ษณะดอ้ ยเท่ากบั 3: 1ซึ่งคู่ของแอลลลี หรือรปู แบบ ของยีนทีป่ รากฏเปน็ คู่กนั เรียกว่า จีโนไทป์ (genotype) สว่ นลักษณะทีแ่ สดงออกมา เรียกว่า ฟีโนไทป์ (phenotype) การศึกษาการถ่ายทอดลกั ษณะของถ่วั ลนั เตา เมนเดลสามารถสรุปกฎแห่งการถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมได้ 2 ข้อ ดังนี้ - กฎการแยก(law ofsegregation)มีใจความสาคัญว่าลักษณะของสง่ิ มีชีวิตถกู ควบคุมโดยยีนและยีนจะปรากฏเป็นคู่ ๆ เสมอ ซึง่ ยีนจะแยกจากกนั เมื่อมีการสร้างเซลลส์ บื พันธ์ุ โดยเซลลส์ บื พันธุ์แต่ละเซลลจ์ ะไดร้ ับเพียงแอลลีลใดแอลลลี หนึ่ง - กฎการรวมกลมุ่ อย่างอิสระ (law of independent assortment) มีใจความสาคญั ว่า แอลลลี ของยีนทีเ่ ป็นคู่กนั เมือ่ แยกออก จากกันจะจดั กลมุ่ กนั อย่างอิสระกับแอลลลี ของยีนอื่นๆ ซึง่ แยกออกจากคเู่ ช่นกันเพื่อเข้าไปยงั เซลลส์ บื พันธ์ุ การถ่ายทอดลกั ษณะพันธกุ รรมของเมนเดลเปน็ การถ่ายทอดลกั ษณะทีค่ วบคุมดว้ ยยีนเพียงยีนเดยี วหรือสองแอลลลี เท่าน้ันซึ่งยีนเดน่ จะข่มยีนดอ้ ยอย่างสมบรู ณ์ แต่การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรมบางลกั ษณะไม่ไดถ้ ูกควบคุมการ แสดงออกตามกฎของเมนเดล ดังนี้ - การข่มไม่สมบรู ณ์ (incompletedominant) เป็นลกั ษณะทางพนั ธุกรรมทีถ่ ูกควบคมุ ดว้ ยยีนเดียว แต่แอลลลี ไม่ไดม้ ี ลกั ษณะเดน่ หรือดอ้ ยอย่างสมบูรณ์ เช่นสดี อกของต้นล้นิ มงั กรลกั ษณะของเสน้ ผม - ความเดน่ ร่วม (codominant) เปน็ ลกั ษณะทางพันธุกรรมที่ถกู ควบคมุ ดว้ ยยีนเดยี ว แต่แอลลลี 2แอลลลี ไม่ขม่ ซึง่ กันและ กนั แต่แสดงลกั ษณะเดน่ ออกมาเท่ากันเช่นหมู่เลอื ดABในระบบABO - มัลติเพิลแอลลลี (multiplealele)เปน็ ลักษณะทางพนั ธุกรรมที่ถกู ควบคุมดว้ ยแอลลลี มากกว่า 2 แอลลลี เช่นหมู่เลอื ด ระบบ ABO ประกอบดว้ ยแอลลลี IA IBและ i - พอลยิ ีน(polygene) เปน็ ลกั ษณะทางพันธกุ รรมทีถ่ ูกควบคมุ ดว้ ยยีนหลายยีนและมีสิง่ แวดลอ้ มมาเกี่ยวข้อง เช่นสผี ิว สี ตา - ยีนบนโครโมโซมเพศเปน็ ลักษณะทางพนั ธกุ รรมที่ถูกควบคมุ ดว้ ยยีนบนโครโมโซมเพศเช่นโรค ฮีโมฟิเลยี โรคตาบอดสี - ยีนบนโครโมโซมเดยี วกันเป็นลกั ษณะทางพันธุกรรมที่ถูกวบคุมดว้ ยยีนบนโครโมโซมเดียวกนั และยีนจะถูกถ่ายทอดไป พร้อมกนั เช่นยีนควบคมุ ลกั ษณะสตี วั และลกั ษณะปีกของแมลงหวี่ - ลักษณะภายใต้อิทธิพลเพศเป็นลักษณะพันธกุ รรมที่อยู่บนโครโมโซมร่างกายแต่มกี ารแสดงออกแตกต่างกันในแต่ละ เพศเช่นลักษณะศีรษะลา้ น - ลกั ษณะที่ปรากฏจาเพาะเพศเปน็ ลกั ษณะพนั ธกุ รรมทีอ่ ยู่บนโครโมโซมร่างกายแต่แสดงออกในเพศใดเพศหนึ่งเท่าน้ัน เช่นการสร้างน้านมในเพศหญงิ การเกิดหนวดเคราในเพศชาย
3. สาระการเรยี นรู้ 3.1 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง/สาระการเรียนรเู้ พิ่มเตมิ (รายวิชาเพม่ิ เตมิ ) 1) เมนเดลศึกษาการถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมโดยการผสมพันธ์ุถ่ัวลันเตา จนสรปุ เป็นกฎการแยกและกฎการ รวมกลมุ่ อย่างอิสระ 2) กฎการแยกมีใจความว่า แอลลลี ที่อยู่เป็นคู่จะแยกออกจากกันในระหว่างการสร้างเซลลส์ บื พันธุ์ โดยเซลล์ สบื พันธุ์แต่ละเซลลจ์ ะมีเพียงแอลลลี ใดแอลลีลหนึง่ 3) กฎการรวมกลมุ่ อย่างอิสระมีใจความว่า หลังจากคู่ของแอลลลี แยกออกจากกนั แต่ละแอลลลี จะจัดกลมุ่ อย่าง อิสระกบั แอลลลี อืน่ ๆ ที่แยกออกจากคู่เช่นกันในการเข้าไปอยู่ในเซลลส์ บื พันธุ์ 4) การถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรมบางลกั ษณะให้อัตราสว่ นทีแ่ ตกต่างจาก ผลการศึกษาของ เมนเดลเรยี ก ลกั ษณะเหลา่ นีว้ ่า ลักษณะทางพนั ธุกรรมทีเ่ ป็นสว่ นขยายของพันธุศาสตร์เมนเดลเช่นการข่มไม่สมบูรณ์ ความเดน่ ร่วม มัลติเพิลแอลลลี ยีนบนโครโมโซมเพศและพอลยิ ีน 5) ลักษณะพนั ธกุ รรมบางลักษณะมีความแตกต่างกนั ชัดเจนเช่นการมีติ่งหหู รือไม่มตี ิ่งหู ซึง่ เป็นลักษณะทาง พันธกุ รรมทีม่ ีการแปรผันไม่ต่อเนื่อง 6) ลกั ษณะทางพนั ธุกรรมบางลักษณะมีความแตกต่างกันเล็กน้อยและลดหล่ันกันไป เช่นความสงู และ สผี ิวของ มนษุ ย์ถกู ควบคมุ โดยยีนหลายคู่ซึ่งเปน็ ลักษณะทางพนั ธุกรรมทีม่ ีการแปรผนั ต่อเนือ่ ง และสง่ิ แวดลอ้ มอาจมีผลต่อการ แสดงลักษณะนั้น 7) โครโมโซมภายในเซลลร์ ่างกายแบ่งเปน็ ออโตโซมและโครโมโซมเพศลักษณะทางพนั ธกุ รรมสว่ นใหญถ่ กู ควบคมุ ดว้ ยยีนบนออโตโซม บางลกั ษณะถกู ควบคุมดว้ ยยีนบนโครโมโซมเพศซึง่ สว่ นมากเป็นยีนบนโครโมโซมX 8) เมือ่ มีการสร้างเซลลส์ บื พันธุ์ ยีนบนโครโมโซมเดียวกันที่อยู่ใกลก้ ันมกั จะถูกถ่ายทอดไปดว้ ยกนั แต่การเกิดครอส ซิงโอเวอร์ในการแบ่งเซลลแ์ บบไมโอซิสอาจทาให้ยีนบนโครโมโซมเดยี วกันแยกจากกันได้ สง่ ผลให้รปู แบบของเซลลส์ บื พันธ์ุ ที่ไดแ้ ตกต่างไปจากกรณีทีไ่ ม่เกิดครอสซิงโอเวอร์ 3.2 .สาระการเรียนรู้ท้องถิน่ (ถ้ามี) - 4.สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น(เฉพาะที่เกดิ ในหนว่ ยการเรยี นร้นู ี)้ 4.1 ความสามารถในการส่อื สาร 4.2 ความสามารถในการคิด 4.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 4.4 ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวิต 4.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 5.คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ ( เฉพาะทีเ่ กดิ ในหนว่ ยการเรยี นรูน้ ี้) 5.1คุณลักษณะอันพึง่ ประสงค์ (ตามหลกั สูตรแกนกลาง)
□ 1)รักชาติศาสน์ กษตั ริย์ 2) ซื่อสตั ย์สจุ ริต 3) มีวินัย 4) ใฝ่เรียนรู้ 5) อยู่อย่างพอเพียง 6)มุ่งมน่ั ในการทางาน □ 7) รักความเปน็ ไทย 8) มจี ิตสาธารณะ 5.2 คุณลักษณะตามหลักสตู รมาตรฐานสากล 1) มีความรู้พืน้ ฐานในยคุ ดจิ ิตอลวิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ภาษา พหุวฒั นธรรมตระหนักสานึก ระดับโลก 2) สามารถคิดประดษิ ฐ์อย่างสร้างสรรค์ ปรบั ตวั ใฝ่รู้ ใฝ่เรียนวิเคราะห์ สังเคราะห์ สรุป สร้างองค์ความรู้ 3) มีทกั ษะส่อื สารอย่างมีประสทิ ธิภาพ 4) มีความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวิต 5) มีความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี 6. ทกั ษะผเู้ รยี นในศตวรรษที่ 21 (3Rs8Cs 2Ls) (กาหนดลอยไวถ้ ้าจดั กิจรรมที่มีการปฏิบัติ/กลุ่ม/ชิน้ งาน/โครงงานจะเกิดอยู่แล้ว) 1.ทกั ษะในสาระวิชาหลกั (3Rs) 1.1 Reading (อ่าน) 1.2 (W)Riting(เขียน) 1.3(A)Rithemetics(คณิตฯ) 2.ทักษะการเรยี นร้แู ละนวตั กรรม(8Cs) 2.1 Critical ThinkingandProblemSolving(การคิดวิจารณญาณและแก้ปญั หา) 2.2 Creativity andInnovation(การสร้างสรรค์และนวัตกรรม) 2.3 Cross-cultural Understanding(ความเข้าใจความต่างวัฒนธรรม) 2.4 Collaboration, Teamwork andLeadership(การทางานเปน็ ทีมภาวะผู้นา) 2.5 Communications, Information, andMediaLiteracy (การส่อื สารสารสนเทศ) 2.6 ComputingandICTLiteracy (ทกั ษะดา้ นคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี) 2.7 CareerandLearningSkills(ทักษะอาชีพและการเรียนรู้) 2.8 Compassion (คุณธรรมเมตตากรณุ าระเบียบวินัย) 7.บรู ณาการกจิ กรรมสะเตม็ ศึกษา (จาก STEMสู่ STEAM) 1.S(Science):ระบุเนือ้ หา/ กิจกรรม 1. การถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมโดยการผสมพันธุ์ถว่ั ลันเตาเมนเดล 2. กฎของเมนเดล
2.T (Technology):ระบุเนอื้ หา/กิจกรรม การใช้คอมพิวเตอร์สืบค้น ออกแบบรายงาน 3.E(Engineering):ระบุเนือ้ หา/ กิจกรรม การออกแบบโครงสร้าง ป้ายนิเทศรายงาน 4.A (Art):ระบเุ นือ้ หา/กิจกรรม การออกแบบโครงสร้าง ป้ายนิเทศ 5.M(Mathematics):ระบเุ นือ้ หา/ กิจกรรม จานวนนับ
8.การบรู ณาการตามพระราชบญั ญัติการศึกษาแหง่ ชาติ (เฉพาะทีเ่ กดิ ในหน่วยการเรยี นรนู้ ี้) 8.1 บูรณาการสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน 8.2 บรู ณาการเศรษฐกิจพอเพียง 8.3 บูรณาการห้องเรียนสเี ขียว 8.4 อืน่ ๆ (โปรดระบุ) 9. การบูรณาการและเตรยี มความพรอ้ มในการสอบ Pre O-NET, O-NET, PISA มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ชี้วดั ตัวชีว้ ัดมาตรฐาน .................... - 10.ชิ้นงาน/ ภาระงาน(รวบยอด) 1) ผงั สรุป เรือ่ งการศึกษาพันธศุ าสตร์ของเมนเดล 2) ผงั สรุป เรื่องวิเคราะห์ความพันธ์ของกฎการแยกและกฎการร่วมกลมุ่ อย่างอิสระของเมนเดกับการแบ่งเซลลข์ อง ส่งิ มีชีวิต 3) ผังมโนทัศน์ เรื่องลักษณะพนั ธกุ รรมที่เปน็ สว่ นขยายของพนั ธุศาสตร์เมนเดล 4) )แบบฝึกหดั ชีววิทยา ม.4 เลม่ 2หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 การถ่ายทอดทางพนั ธุกรรม 5)ใบงานที่ 4.1เรื่องการถ่ายทอดลักษณะถ่ัวลันเตาของเมนเดล 6)ใบงานที่ 4.2เรื่องกฏการแยกของเมนเดล 7) ใบงานที่ 4.3 เรื่องกฎการรวมกลมุ่ อย่างอิสระของเมนเดล 8)ใบงานที่ 4.4 เรื่องการถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมแบบการข่มไม่สมบรู ณ์ 9)ใบงานที่ 4.5 เรือ่ งถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรมแบบมลั ติเพิลแอลลลี 10)ใบงานที่ 4.6 เรื่องการถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมที่ควบคมุ โดยยีนบนโครโมโซมเพศ 11. สือ่ /แหล่งการเรยี นรู้ 1) เอกสารประกอบการเรียน 1)หนงั สอื เรียนชีววิทยา ม.4 เลม่ 2หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 การถ่ายทอดทางพันธกุ รรม 2)แบบฝึกหัดชีววิทยา ม.4 เลม่ 2หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 การถ่ายทอดทางพนั ธกุ รรม 3)ใบงานที่ 4.1เรื่องการถ่ายทอดลักษณะถ่วั ลันเตาของเมนเดล 4)ใบงานที่ 4.2 เรือ่ งกฏการแยกของเมนเดล 5)ใบงานที่ 4.3เรือ่ งกฎการรวมกลมุ่ อย่างอิสระของเมนเดล 6)ใบงานที่ 4.4 เรือ่ งการถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมแบบการข่มไม่สมบรู ณ์
7)ใบงานที่ 4.5 เรื่องถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมแบบมัลติเพิลแอลลลี 8)ใบงานที่ 4.6 เรื่องการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมที่ควบคุมโดยยีนบนโครโมโซมเพศ 9)PowerPoint เรื่องการถ่ายทอดทางพนั ธกุ รรม 2) แหลง่ เรียนรู้ในโรงเรียน 1) ห้องเรียน 2) ห้องสมดุ 3)สอ่ื ออนไลน์ 4) ห้องปฏบิ ตั กิ ารวิทยาศาสตร์ 3)สอบถามจากบุคลคลเช่นครู เจ้าหน้าทีท่ ั้งในและนอกโรงเรียนโดยสามารถติดต่อสอบถามแลกเปลย่ี นเรียนรู้ กับครผู ่านระบบเครือข่ายสังคม (SocialNetwork)และเพือ่ นไดท้ ี่ (โทรศัพท์มือถอื ครู .....................................,LineID : KRUYOK 12. การวัดและประเมินผล การวดั และประเมินผล(มีหรือไม่ก็ได้ อาจระบกุ ว้างๆ) รายการวดั วิธีวดั เครอ่ื งมือ เกณฑก์ ารประเมิน 12.1การประเมินชิน้ งาน/ - ตรวจสรุป เรื่อง การศึกษา - แบบประเมินชนิ้ งาน - ระดับคณุ ภาพ2 - แบบประเมินชนิ้ งาน ภาระงาน (รวบยอด) พันธศุ าสตร์ของเมนเดล ผ่านเกณฑ์ - ผังสรุป เรือ่ งวิเคราะห์ - แบบประเมินชนิ้ งาน - ระดบั คุณภาพ2 12.2 การประเมินก่อนเรียน ความพันธ์ของกฎการแยก - แบบทดสอบก่อนเรียน - แบบทดสอบก่อนเรียน และกฎการร่วมกลมุ่ อย่าง ผ่านเกณฑ์ หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 อิสระของเมนเดล ของเมน 12.3 การประเมินระหว่าง เดลกับการแบ่งเซลลข์ อง - ระดบั คณุ ภาพ2 ผ่านเกณฑ์ การจดั กิจกรรม สง่ิ มีชีวิต - ผงั มโนทศั น์ เรือ่ ง ลกั ษณะ - ประเมินตามสภาพจริง พันธุกรรมทีเ่ ป็นสว่ นขยาย ของพนั ธ-ุ ศาสตร์เมนเดล - ตรวจแบบทดสอบ ก่อนเรียน
รายการวัด วิธีวัด เครอ่ื งมือ เกณฑก์ ารประเมิน 1)การศึกษาพนั ธศุ าสตร์ - ตรวจใบงานที่ 4.1 - ใบงานที่ 4.1 - ร้อยละ 60ผ่านเกณฑ์ - ตรวจแบบฝึกหดั - แบบฝึกหัด - ร้อยละ 60ผ่านเกณฑ์ ของเมนเดล - ตรวจใบงานที่ 4.2 - ใบงานที่ 4.2 - ร้อยละ 60ผ่านเกณฑ์ 2) กฎของเมนเดล - ตรวจใบงานที่ 4.3 - ใบงานที่ 4.3 - ร้อยละ 60ผ่านเกณฑ์ - ตรวจแบบฝึกหัด - แบบฝึกหดั - ร้อยละ 60ผ่านเกณฑ์ 3)ลกั ษณะพนั ธกุ รรม ที่ - ตรวจใบงานที่ 4.4 - ใบงานที่ 4.4 - ร้อยละ 60ผ่านเกณฑ์ เปน็ สว่ นขยายของ พันธุ - ตรวจใบงานที่ 4.5 - ใบงานที่ 4.5 - ร้อยละ 60ผ่านเกณฑ์ - ตรวจใบงานที่ 4.6 - ใบงานที่ 4.6 - ร้อยละ 60ผ่านเกณฑ์ ศาสตร์เมนเดล - ตรวจแบบฝึกหัด - แบบฝึกหดั - ร้อยละ 60ผ่านเกณฑ์ - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤติกรรม 4) พฤติกรรม การทางานรายบคุ คล การทางานรายบุคคล - ระดบั คุณภาพ2 การทางานรายบุคคล ผ่านเกณฑ์ 5)คณุ ลกั ษณะ - สังเกตความมีวินัย - แบบประเมิน - ระดับคณุ ภาพ2 อันพึงประสงค์ ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น คุณลักษณะ ผ่านเกณฑ์ อันพึงประสงค์ 12.4 ประเมินหลงั เรียน ในการทางาน 1) ทดสอบหลังเรียน - แบบทดสอบหลังเรียน - ร้อยละ 60ผ่านเกณฑ์ - ตรวจแบบทดสอบหลงั - แบบทดสอบหลังเรียน เรียน - หนงั สอื เรียน - ร้อยละ 60ผ่านเกณฑ์ หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 - Unit Question ท้ายหน่วย - ตรวจUnit Questionท้าย - แบบฝึกหดั - ร้อยละ 60ผ่านเกณฑ์ การเรียนรู้ที่ 4 หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 - แบบทดสอบท้ายหน่วย การเรียนรู้ที่ 4 - ตรวจแบบทดสอบท้าย หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 13.กจิ กรรมการเรยี นรู้
เรือ่ งที่ 1 เรื่อง การศึกษาพันธุศาสตร์ของเมนเดล จานวนเวลาเรียน 3 ชวั่ โมง แนวคดิ /รูปแบบการสอน/วธิ ีการสอน/เทคนิค:สืบเสาะหาความรู้ 5Es(5EsInstructionalModel) ขน้ั นำ ข้ันกระตนุ้ ความสนใจ(Engage) 1. ครแู จ้งผลการเรียนรู้ประจาหน่วยการเรียนรู้ให้นักเรยี นทราบ 2. ครใู ห้นกั เรยี นทาแบบทดสอบก่อนเรียน 3. ครูถามคาถาม Big Question เพื่อกระตุ้นความสนใจของนักเรียนว่า เพราะเหตุใด บุคคลใน ครอบครัวจึงมีลกั ษณะต่าง ๆ ที่คล้ายคลึงกัน (แนวตอบ มนุษย์จะถ่ายทอดลักษณะต่าง ๆ เช่น สีตา สีผม ความสูง สีผิว ห่อล้ินได้ ห่อล้ินไม่ได้ ผมหยิก ผมเหยียดตรง มีติ่งหู ไม่มีติ่งหู จากบรรพบุรุษสู่ลูกหลาน โดยลูกจะได้รับการถ่ายทอด ลักษณะจากพ่อและแม่ ซึ่งพ่อก็จะได้รับการถ่ายทอดลักษณะมาจากปู่และย่าอีกที เช่นเดียวกับ แม่กจ็ ะไดร้ ับการถ่ายทอดลักษณะจากตายายเช่นกนั จากการถ่ายทอดลักษณะต่าง ๆ ของแตล่ ะ รุ่น จึงทาให้บุคคลในครอบครวั มีลกั ษณะต่าง ๆ ที่คล้ายคลึงกัน) ขน้ั สอน ขนั้ สารวจค้นหา (Explore) 1. ครถู ามคาถาม Prior Knowledge เพื่อทบทวนความรเู้ ดมิ ว่า บิดาแห่งวิชาพันธศุ าสตร์ คือใคร (แนวตอบ เกรเกอร์ โยฮนั น์ เมนเดล) 2. ครูเล่าประวัติคราว ๆ เกี่ยวกับเกรเกอร์ โยฮันน์ เมนเดล ก่อนการได้รับเลือกให้เป็นบิดาแห่งวิชา พันธุศาสตร์ให้นกั เรยี นทราบ 3. ครูนาภาพถ่วั ลนั เตาและคาอธิบายลักษณะของถั่วลันเตามาให้นักเรียนศึกษา แล้วถามนกั เรยี นว่า เพราะเหตุใด เมนเดลจึงเลือกถ่ัวลันเตาเป็นพืชตัวอย่างในการทดลองการถ่ายทอดลักษณะทาง พันธุกรรม (แนวตอบ ถ่ัวลันเตาเป็นพืชปลูกง่าย เจริญเติบโตเร็ว และให้ลูกหลานจานวนมาก เป็นพืชที่มี หลายพันธุ์ และมีลักษณะทางพันธุกรรมที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน อีกท้ังยังมีดอกประเภทดอก สมบรู ณ์เพศ ซึ่งสามารถเกิดการผสมพันธุ์ภายในดอกเดยี วกนั หรอื เกิดการผสมขา้ มตน้ ได้)
4. ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า ลักษณะของถั่วลันเตาที่เหมาะสมต่อการเป็นพืชตัวอย่าง เพราะถ่ัว ลันเตาเป็นพืชปลูกง่าย เจริญเติบโตเร็ว ให้ลูกหลานจานวนมาก เป็นพืชที่มีหลายพันธุ์และมี ลกั ษณะทางพันธุกรรมที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน มีดอกประเภทดอกสมบูรณ์เพศ จึงสามารถเกิด การผสมพันธุ์ภายในดอกเดียวกันหรือเกิดการผสมข้ามต้นได้ พร้อมระบุลักษณะที่เมนเดลเลอื ก มาศึกษาทั้ง 7 ลักษณะ ได้แก่ สีดอก ตาแหน่งของดอก สีเมล็ด ลักษณะของเมล็ด ลักษณะของ ฝัก สขี องฝกั และความสูงของลาตน้ ข้นั อธิบายความรู้ (Explain) 1. ครูและนกั เรยี นร่วมกันอภิปรายถึง ลักษณะของถ่วั ลันเตาทีเ่ หมาะสมในการเป็นพืชตวั อย่าง 2. ครูให้นักเรียนศึกษาเพิ่มเติมจากภาพยนต์สารคดีสั้น (Twig) เรื่อง เมนเดลและการถ่ายทอด ลักษณะทางพนั ธุกรรม https://www.twig-aksorn.com/film/mendel-and-inheritance-7940/ ชัว่ โมงที่ 2 ขน้ั สอน ขั้นสารวจคน้ หา (Explore) 1. ครทู บทวนความรจู้ ากช่วั โมงที่แล้วให้นกั เรยี นทราบพอสังเขป 2. ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า การผสมพันธุ์ถ่ัวลันเตาระหว่างต้นพ่อและต้นแม่ที่เป็นพันธุ์แท้ทั้งคู่ เช่น ลักษณะดอกสีม่วงกับดอกสีขาว จะได้รุ่นลูกที่มีดอกสีม่วงทั้งหมด เมื่อนารุ่นลูกมาผสม กันเองจะได้ถั่วลันเตารุ่นหลานที่มีอัตราส่วนดอกสีม่วงต่อดอกสีขาวเท่ากับ 3 : 1 ซึ่งการ ถ่ายทอดลักษณะนี้ยังสามารถพบได้ในการถ่ายทอดลักษณะอื่น ๆ อีก 6 ลักษณะของถั่วลันเตา เช่นกนั 3. ครูถามนักเรียนว่า ทาไมจึงไม่พบลักษณะดอกสีขาวในรุ่นลูก แต่มาพบลักษณะดอกสีขาวในรุ่น หลาน (แนวตอบ ลักษณะดอกสขี าวเป็นลกั ษณะดอ้ ย จึงถกู ลกั ษณะดอกสมี ่วงทีเ่ ป็นลักษณะเดน่ ข่มให้ไม่ มีการแสดงออก แต่เมื่อให้รุ่นลูกผสมกันเอง จะมีการรวมกันของยีนที่ควบคมุ ลักษณะดอกสีขาว จึงมีการแสดงลักษณะดอกสขี าวออกมา) 4. ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า การถ่ายทอดลักษณะต่าง ๆ ของถ่ัวลันเตามียีนควบคุม ซึ่ง ประกอบด้วย แอลลีล 2 แอลลีล โดยรุ่นลูกจะได้รับแอลลีลจากพ่อและแม่อย่างละ 1 แอลลีล แตล่ กั ษณะที่ปรากฏออกมาจะมีเพียงลกั ษณะเดยี วเท่าน้ัน เรียกลักษณะที่ปรากฏออกมาในรุ่นลูก
ว่าลักษณะเด่น ส่วนลักษณะที่ยังไม่ปรากฏเรียกว่า ลักษณะด้อย เนื่องจากแอลลีลที่ควบคุม ลักษณะเด่นจะข่มแอลลีล ที่ควบคุมลักษณะด้อยอยู่ แต่เมื่อให้รุ่นลูกผสมกันเองจะได้รุ่น หลาน ซึ่งจะแสดงทั้งลักษณะเด่นและลักษณะด้อยออกมา โดยมีอัตราส่วนระหว่างลักษณะเด่น ต่อลกั ษณะด้อยเท่ากับ 3 : 1 5. ครูให้นักเรียนกลับไปศึกษาตารางที่ 4.2 เพื่อศึกษาว่าลักษณะใดของถั่วลันเตาเป็นลักษณะเดน่ และลกั ษณะใดเปน็ ลักษณะดอ้ ย 6. ครถู ามนักเรยี นว่า อัตราสว่ นของรนุ่ F1 และ F2 ของถ่ัวลนั่ เตาเปน็ อยา่ งไร (แนวตอบ ในรุ่น F1 จะปรากฏเพียงลักษณะใดลกั ษณะหนึ่งเท่าน้ัน แตใ่ นรุ่น F2 จะปรากฏอัตราสว่ น ของลกั ษณะหนึ่งต่อลักษณะหนึง่ ทีอ่ ตั ราสว่ น 3:1 ) 7. ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า แอลลีลที่ควบคุมลักษะเด่น เรียกว่า แอลลีลเด่น ซึ่งสามารถแสดง ลักษณะออกมาแม้จะมีเพียงแค่แอลลีลเดียว ส่วนแอลลีลที่ควบคุมลักษณะด้อยเรียกว่า แอลลี ลด้อย ซึง่ จะแสดงลักษณะออกมาก็ต่อเมื่อแอลลีลทั้งคู่เป็นแอลลีลดอ้ ย 8. ครูถามคาถามการคิดวิเคราะห์ขั้นสูง (H.O.T.S.) กับนักเรียนว่า เพราะเหตุใดยีนจานวนมากจึง บรรจอุ ยู่บนโครโมโซมเดยี วกนั (แนวตอบ โครโมโซมของส่ิงมีชีวิตชนิดหนึ่ง ๆ จะมีจานวนจากัด แต่ส่ิงมีชีวิตจะมีลักษณะต่าง ๆ เป็นจานวนร้อยหรือพันลักษณะที่ถูกกาหนดขึ้นด้วยยีน จึงทาให้ยีนที่ควบคุมลักษณะต่าง ๆ จานวนมากถูกบรรจอุ ยู่บนโครโมโซมเดยี วกัน) ขัน้ อธิบายความรู้ (Explain) 1. ครสู ุ่มเลอื กนักเรยี นจานวน 7 คน ให้ระบุลกั ษณะลักษณะเดน่ และลักษณะดอ้ ยของถ่ัวลนั่ เตาแต่ ละลักษณะ 2. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากรุ่นพ่อแม่ สู่รุ่น ลกู และสรู่ ุ่นหลาน 3. ครูให้นักเรยี นศึกษาเพิ่มเตมิ จากภาพยนต์สารคดีสั้น (Twig) เรือ่ ง เมนเดลและการถ่ายทอด ลักษณะทางพันธกุ รรม https://www.twig-aksorn.com/film/mendel-and-inheritance-7940/ ช่วั โมงที่ 3 ขน้ั สอน ข้นั สารวจคน้ หา (Explore)
1. ครทู บทวนความรเู้ ดมิ จากชวั่ โมงที่แล้วให้นกั เรยี นทราบพอสงั เขป 2. ครูให้นักเรียนศึกษาการถ่ายทอดลักษณะสีดอกของถั่วลันเตาที่กาหนดให้แอลลีล P ควบคุม ลักษณะดอกสมี ่วง และแอลลีล p ควบคุมลักษณะดอกสขี สว 3. ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า คู่ของแอลลีลหรือรูปแบบของยีนที่ปรากฏเป็นคู่ ๆ บนฮอมอโลกัส โครโซม เรียกว่า จีโนไทป์ พบท้ังแบบฮอมอไซกัสจีโนไทป์ที่มีแอลลีล 2 แอลลีลเหมือนกัน และ แบบเฮเทอโร-ไซกัสจีโนไทป์ที่มีแอลลีล 2 แอลลีลต่างกัน ส่วนลักษณะที่ปรากฏออกมาจะ เรียกว่า ฟีโนไทป์ ขั้นอธิบายความรู้ (Explain) 1. ครูและนกั เรยี นร่วมกันอภิปรายเกีย่ วกบั จีโนไทป์ และฟีโนไทป์ของถัว่ ลนั เตา 2. ครใู ห้นักเรยี นทาใบงานที่ 4.1 เรือ่ ง การถ่ายทอดลักษณะถั่วลนั เตาของเมนเดล 3. ครูให้นกั เรยี นทาแบบฝึกหัดในแบบฝึกหัดชีววิทยา ม.4 เลม่ 2 ขน้ั สรปุ ขน้ั ขยายความเข้าใจ (Elaborate) 1. ครใู ห้นกั เรยี นทาผังสรปุ เรือ่ ง การศึกษาพันธศุ าสตร์ของเมนเดล ซึง่ มเี นือ้ หาประกอบดว้ ย ประวตั ิ ของเมนเดล การเลือกพืชตัวอย่างในการทดลอง หลักการถ่ายทอดลักษณะทางพันุกรรมที่เมน เดลศึกษา และสรุปผลการศึกษาการถ่ายทอดลักษณะทางพันกุ รรม ขน้ั ตรวจสอบผล (Evaluate) 1. ครตู รวจสอบผลจากแบบทดสอบก่อนเรียน 2. ครูตรวจสอบผลจากผงั สรุป เรื่อง การศึกษาพันธศุ าสตร์ของเมนเดล 3. ครูตรวจสอบผลจากใบงานที่ 4.1 เรื่อง การถ่ายทอดลกั ษณะถวั่ ลนั เตาของเมนเดล 4. ครตู รวจสอบผลจากการตอบคาถามในแบบฝึกหัดชีววิทยา ม.4 เลม่ 2
เรือ่ งที่ 2 เรอื่ ง กฎของเมนเดล จานวนเวลาเรียน 5 ชว่ั โมง แนวคิด/รูปแบบการสอน/วิธกี ารสอน/เทคนิค:สืบเสาะหาความรู้ 5Es(5EsInstructionalModel) ชั่วโมงที่ 1 ขนั้ นำ ขั้นกระต้นุ ความสนใจ(Engage) 1. ครูถามคาถาม Prior Knowledge เพื่อทบทวนความรขู้ องนักเรียนว่า เมนเดลอธิบายการถ่ายทอด ลกั ษณะของถั่วลันเตาว่าอย่างไร (แนวตอบ การถ่ายทอดลกั ษณะของถัว่ ลันเตาระหว่างลกั ษณะเดน่ และลักษณะดอ้ ยที่เป็นพันธ์ุแท้ ทั้งคู่ พบว่า รุ่น F1 จะแสดงฟีโนไทป์ที่เป็นลักษณะเด่นออกมา แต่มีจีโนไทป์แบบเฮเทอโรไซกัส และเมื่อให้ F1 ผสมกันเองจะได้รุ่น F2 มีจีโนไทป์ 3 แบบที่อัตราส่วน 1 : 2 : 1 แต่ฟีโนไทป์ที่ แสดงออกมามีเพยี ง 2 แบบ คือ ลกั ษณะเดน่ ต่อลกั ษณะด้อยที่อตั ราสว่ น 3 : 1) 2. ครถู ามคาถามกบั นักเรยี นว่า อัตราสว่ น 3 : 1 ในรุ่น F2 จากการทดลองของเมนเดลเกิดได้ อย่างไร (แนวตอบ เนือ่ งจากรนุ่ F1 จะมีจีโนไทป์แบบเฮเทอโรไซกัส เมือ่ ให้รุ่น F1 กนั เอง จะได้รุ่น F2 ทีม่ ีจี โน-ไทป์ 3 แบบ คือ ฮอมอไซกัสโดมแิ นนต์ เฮเทอโรไซกัส และฮอมอไซกัสรีเซสซฟี ในอัตราส่วน 1 : 2 : 1 แตฮ่ อมอไซกสั โดมแิ นนต์และเฮเทอโรไซกสั จะแสดงลักษณะออกมาเหมือนกัน ทาให้ใน รุ่น F2 มีลักษณะทีแ่ สดงออกมาในอัตราสว่ น 3 : 1) ข้นั สอน ข้ันสารวจคน้ หา (Explore) 1. ครูให้นักเรียนศึกษาการผสมพันธุ์ถ่ัวลันเตาดอกสีม่วงกับดอกสีขาว แล้วถามนักเรียนว่า ในการ ผสมโดยพิจารณาเพียง 1 ลักษณะ เพราะเหตุใดอัตราส่วนฟีโนไทป์ของรุ่น F2 จึงมีลักษณะเด่น ต่อลักษณะด้อยเท่ากับ 3 : 1 (แนวตอบ ถว่ั ลันเตาดอกสมี ่วงในรุ่น F1 มีจโี นไทป์ Pp โดยแอลลีล P และ p จะแยกไปสเู่ ซลลไ์ ข่หรือ สเปิร์มเท่า ๆ กัน คือ ½ เมื่อมีการปฏิสนธิโอกาสที่สเปิร์มจะรวมกับเซลล์ไข่จึงเป็นไปได้ 3 แบบ
คือ PP Pp pp ในอัตราส่วน 1 : 2 : 1 แต่จะมีฟีโนไทป์ 2 แบบ คือ ดอกสีม่วงต่อดอกสีขาวใน อัตราสว่ น 3 : 1) 2. ครูอธิบายให้นกั เรยี นฟังว่า การผสมพันธุ์ถว่ั ลันเตาในรุ่น F1 ดว้ ยกันเองจะได้อัตราสว่ นจโี นไทป์ใน รุ่น F2 เท่ากับ 1 : 2 : 1 และอัตราส่วนฟีโนไทป์เท่ากับ 3 : 1 ซึ่งเกิดจากการแยกกันของเซลล์ สบื พนั ธ์ุ P และ p ทาให้เมนเดลตั้งเปน็ กฎการแยก ทีม่ ีใจความสาคญั ว่า ลักษณะของสิง่ มชี ีวิตถูก ควบคุมโดยยีน และยีนจะปรากฏเป็นคู่ ๆ เสมอ ซึง่ ยีนจะแยกจากกันเมือ่ มีการสร้างเซลล์สืบพันธ์ุ โดยเซลลส์ บื พันธ์ุแต่ละเซลลจ์ ะได้รบั เพียงแอลลีลใดแอลลีลหนึ่ง 3. ครูให้นักเรยี นแบ่งกลมุ่ ออกเป็น 6 กลุ่ม แล้วใช้กฎการแยกของเมนเดลมาพิจารณาการผสมพันธุ์ ลกั ษณะตา่ ง ๆ ทีเ่ หลอื อีก 6 ลักษณะ ดังนี้ - ตาแหน่งของดอก - สเี มล็ด - ลกั ษณะของเมล็ด - ลกั ษณะของฝกั - สขี องฝัก - ความสูงของลาต้น ขน้ั อธิบายความรู้ (Explain) 1. ครใู ห้นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ ออกมานาเสนอการพิจารณาการผสมพันธุ์ถั่วลันเตาลักษณะตา่ ง ๆ โดย ใช้ กฎการแยกของเมนเดล 2. ครูและนักเรยี นร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับกฎการแยกของเมนเดลกบั การถ่ายทอดลกั ษณะของถั่ว ลนั เตา 3. ครใู ห้นกั เรยี นทาใบงานที่ 4.2 เรื่อง กฎการแยกของเมนเดล ชัว่ โมงที่ 2 ขนั้ สอน ข้นั สารวจคน้ หา (Explore) 1. ครูทบทวนความรเู้ ดมิ จากชัว่ โมงที่แล้วให้นกั เรยี นทราบพอสงั เขป 2. ครถู ามนักเรยี นว่า ถัว่ ลนั เตาดอกสมี ่วงที่นักเรยี นเหน็ สามารถมีจโี นไทป์ไดก้ ีแ่ บบ (แนวตอบ ถั่วลันเตาดอกสมี ่วงสามารถมีจโี นไทป์ได้ 2 แบบ คือ ฮอมอไซกัส (PP) และแบบเฮเทอ โร-ไซกัส (Pp) เนื่องจากลักษณะสีม่วงเป็นลักษณะเด่นจึงสามารถข่มลักษณะสีขาวได้ แม้จะมี รูปแบบ จีโนไทป์เปน็ เฮเทอโรไซกัสก็ตาม)
3. ครูถามนักเรียนว่า นักเรียนจะรู้ได้อย่างไรว่าถ่ัวลันเตาดอกสมี ่วงทีเ่ ห็นมีจีโนไทป์แบบฮอมอไซกสั (PP) และแบบเฮเทอโรไซกัส (Pp) (แนวตอบ ใช้การตรวจสอบที่เรยี กว่า การผสมเพื่อทดสอบหรือเทสต์ครอส) 4. ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า การผสมเพื่อทดสอบหรือเทสต์ครอส เป็นวิธีการตรวจสอบรูปแบบ ของจีโน-ไทป์ของส่ิงมีชีวิตที่แสดงลักษณะเด่นออกมา สามารถตรวจสอบจีโนไทป์ที่สงสัยโดย นาไปผสมกบั สิ่งมชี ีวิตทีเ่ ป็นฮอมอไซกสั รีเซซีฟหรือแสดงลักษณะดอ้ ยออกมา 5. ครูให้นักเรยี นศึกษา การตรวจสอบจีโนไทป์ของถวั่ ลนั เตาดอกสมี ่วงว่า ถ้าจโี นไทป์ของถว่ั ลนั เตาที่ สงสัยเป็นแบบฮอมอไซกัส (PP) จะให้รุ่น F1 เป็นอย่างไร หรือถ้าเป็นแบบเฮเทอโรไซกัส (Pp) จะ ให้รุ่น F1 เป็นอยา่ งไร (แนวตอบ ถ้าจีโนไทป์ของถั่วลันเตาที่สงสัยเป็นแบบฮอมอไซกัส (PP) รุ่น F1 จะมีดอกสีม่วง ทั้งหมด แต่ถ้าเป็นแบบเฮเทอโรไซกัส (Pp) รุ่น F1 จะไปดอกสีม่วงและดอกสีขาวในอัตราส่วน 1:1) ขน้ั อธิบายความรู้ (Explain) 1. ครแู ละนักเรยี นร่วมกันอภิปรายเกีย่ วกับ การผสมทดสอบ 2. ครเู ช่อื มโยงความรเู้ รื่องการผสมทดสอบกับกฎการแยกของเมนเดลให้นกั เรยี นฟงั 3. ครใู ห้นักเรยี นทากิจกรรม เรือ่ ง การแก้โจทยป์ ัญหาเรือ่ งพนั ธศุ าสตร์เมนเดล ในชั้นเรียน โดย บันทึกลงในสมุดบันทึกของนักเรยี น ช่ัวโมงที่ 3 ข้ันสอน ขั้นสารวจคน้ หา (Explore) 1. ครูทบทวนความรเู้ ดมิ จากช่ัวโมงที่แล้วให้นักเรยี นทราบพอสงั เขป 2. ครอู ธิบายให้นกั เรยี นฟงั ว่า การถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรมของสิง่ มีชีวิตจะถ่ายทอดหลาย ๆ ลกั ษณะไปพร้อม ๆ กัน แตก่ ารถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรมของถ่ัวลันเตาที่ผ่านมาเป็นการศึกษา เพียงลกั ษณะใดลกั ษณะหนึ่งเท่านั้น เมนเดลจึงศึกษาเพิ่มโดยการผสมพนั ธ์ุถวั่ ลันเตาสองลักษณะ พร้อม ๆ กนั ที่เรียกว่า การผสมพิจารณาสองลักษณะ 3. ครูให้นักเรียนศึกษา การการผสมพันธ์ุถ่ัวลันเตาโดยพิจารณาสองลักษณะ คือ รูปร่างของเมลด็ และ สขี องเมลด็
4. ครูถามนกั เรยี นว่า จากภาพการผสมพันธุ์ถ่วั ลันเตาโดยพิจารณาสองลกั ษณะที่ศึกษา รุ่น F1 ทีไ่ ด้ จากการผสมพนั ธุ์มโี อกาสสร้างเซลล์สืบพันธุ์ไดก้ ี่แบบ อะไรบ้าง (แนวตอบ รุ่น F1 สร้างสเปิร์มหรือเซลล์ไข่ได้ 4 แบบ คือ RY Ry rY ry โดยยีนแต่ละคู่ของ RrYy จะแยกออกจากกันตามกฎแห่งการแยกของเมนเดล) 5. ครูถามนกั เรยี นว่า รุ่น F2 มีโอกาสทีจ่ ะเกิดจีโนไทป์และฟีโนไทป์ก่แี บบ อะไรบ้าง (แนวตอบ รุ่น F2 มีโอกาสเกิดจีโนไทป์ 9 แบบ ได้แก่ RRYY RRyy RRyy RrYy RrYy Rryy rrYY rrYy rryy และมีโอกาสเกิดฟีโนไทป์ได้ 4 แบบ ได้แก่ เมล็ดกลมสีเหลือง เมล็ดกลมสีเขียว เมล็ด ขรขุ ระ สเี หลอื ง และเมล็ดขรุขระสเี ขียว ในอัตราสว่ น 9 : 3 : 3 : 1) 6. ครูถามนักเรยี นว่า เพราะเหตฟุ ีโนไทป์ในรุ่น F2 จึงมอี ัตราสว่ นเท่ากับ 9 : 3 : 3 : 1 (แนวตอบ เมื่อพิจารณาเพียงลักษณะเดยี วจะไดอ้ ัตราสว่ นลกั ษณะเดน่ ต่อลักษณะดอ้ ยเท่ากับ 3 : 1 ซึ่งเมื่อนาอัตราส่วนของสองลักษณะมาคูณกันจะได้รุ่น F2 มีฟีโนไทป์ 4 แบบ ที่อัตราส่วน 9 : 3 : 3 : 1) 7. ครอู ธิบายให้นักเรยี นฟงั ว่า ถ้าแยกพิจารณาทีล่ ะลกั ษณะ เช่น ลกั ษณะรูปร่างเมล็ด จะได้รุ่น F2 ที่ มีเมล็ดกลมกับเมล็ดขรุขระที่อัตราส่วน 3 : 1 และสีของเมล็ด จะได้รุ่น F2 ที่มีเมล็ดสีเขียวกับสี เหลือง ที่อัตราส่วน 3:1 เช่นกัน และเมื่อนาทั้ง 2 มาคูณกัน จะได้รุ่น F2 ทั้งหมด 4 แบบ ได้แก่ เมลด็ กลมสเี หลอื ง เมลด็ กลมสเี ขียว เมล็ดขรุขระสเี หลอื ง และเมล็ดขรขุ ระสเี ขียว ทีอ่ ัตราสว่ น 9 :3:3:1 8. ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า จากผลการพิจารณาสองลักษณะทาให้เมนเดลตั้งเป็นกาแห่งการ รวมกลุ่มอย่างอิสระ ซึ่งมีใจความสาคัญว่า แอลลีลของยีนที่เป็นคู่กัน เมื่อแยกออกจากกันจะจดั กลุ่มกันอย่างอิสระกับแอลลีลของยีนอื่น ซึง่ แยกออกจากคู่เช่นกันเพื่อเข้าไปยังเซลล์สืบพันธุ์ ขน้ั อธิบายความรู้ (Explain) 1. ครูและนกั เรยี นร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกบั กฎการรวมกลมุ่ อย่างอิสระกับการถ่ายทอดลักษณะของ ถว่ั ลันเตา 2. ครูให้นักเรยี นทาใบงานที่ 4.3 เรือ่ ง กฎการรวมกลุ่มอยา่ งอิสระของเมนเดล ช่วั โมงที่ 4 ข้นั สอน
ขน้ั สารวจค้นหา (Explore) 1. ครูทบทวนความรเู้ ดมิ จากช่ัวโมงที่แล้วให้นกั เรยี นทราบพอสงั เขป 2. ครอู ธิบายให้นักเรยี นฟงั ว่า จากการทดลองของแมนเดลแสดงให้เห็นว่าเมนเดลมคี วามละเอียดใน การทดลองตั้งแต่การเลือกถั่วลันเตาเป็นพืชตัวอย่าง ซึ่งมีลักษณะที่เหมาะสมหลาย ๆ ประการ และเมนเดลยังเก็บข้อมูลการผสมพันธ์ุถึงรุ่นที่ 2 ทาให้สามารถตั้งเป็นกฎการถ่ายทอดลักษณะ ทางพันธุกรรมได้ อีกท้ังเมนเดลยังใช้ความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์และสถิติมาช่วยอธิบายการ ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของถั่วลันเตา ซึ่งทาให้ผลการทดลองของเมนเดลไม่มีความ ซบั ซ้อนจึงงา่ ยต่อการเข้าใจ และเป็นพืน้ ฐานของการศึกษาทางพนั ธกุ รรมในส่งิ มีชีวิตต่าง ๆ ขั้นอธิบายความรู้ (Explain) 1. ครใู ห้นักเรยี นทากิจกรรม เรือ่ ง การผสมพิจารณาหลายลักษณะ ในช้ันเรียน โดยบันทึกลงใน สมดุ บนั ทึกของนกั เรยี น ชั่วโมงที่ 5 ข้นั สอน ขน้ั สารวจค้นหา (Explore) 1. ครูทบทวนความรเู้ ดมิ จากชัว่ โมงทีแ่ ล้วให้นักเรยี นทราบพอสงั เขป 2. ครูสุ่มเลือกนักเรียนออกมาเฉลยคาถามด้วยการแสดงวิธีทาหน้าชั้นเรียนคนละ 1 ข้อ จาก กิจกรรมการแก้โจทย์ปัญหาเรื่องพันธุศาสตร์ของเมนเดล และกิจกรรมการผสมพิจารณาหลาย ลักษณะ และให้นักเรียนในช้ันเรียนร่วมกันวิเคราะห์ว่าเฉลยถูกหรือผิด หากเฉลยผิดให้นักเรียน ร่วมกนั แสดงวิธีทาทีถ่ ูกต้อง ขั้นอธิบายความรู้ (Explain) 1. ครูและนักเรยี นร่วมกันอภิปรายผลจากกิจกรรมทั้ง 2 กิจกรรม เกี่ยวกบั กฎการแยกและกฎแห่ง การร่วมกลมุ่ อย่างอิสระของเมนเดล 2. ครูให้นกั เรยี นทาแบบฝึกหัดในแบบฝึกหดั ชีววิทยา ม.4 เลม่ 2 ข้นั สรปุ ขั้นขยายความเข้าใจ (Elaborate)
1. ครูให้นักเรียนทาผังสรุป วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของกฎการแยกและกฎการร่วมกลุ่มอย่างอิสระ ของ เมนเดลกบั การแบ่งเซลล์ของสง่ิ มีชีวิต ขัน้ ตรวจสอบผล (Evaluate) 1. ครูตรวจสอบผลจากกจิ กรรมการแก้โจทย์ปญั หาเรือ่ งพันธุศาสตร์เมนเดล และกิจกรรมการผสม พิจารณาหลายลักษณะ 2. ครตู รวจสอบผลจากผังสรปุ เรือ่ ง วิเคราะห์ความพันธ์ของกฎการแยกและกฎการร่วมกลุ่มอย่าง อิสระของเมนเดลของเมนเดลกับการแบ่งเซลล์ของสง่ิ มีชีวิต 3. ครตู รวจสอบผลจากใบงานที่ 4.2 เรือ่ ง กฎการแยกของเมนเดล 4. ครูตรวจสอบผลจากใบงานที่ 4.3 เรือ่ ง กฎการรวมกลุ่มอยา่ งอิสระของเมนเดล 5. ครูตรวจสอบผลจากการตอบคาถามในแบบฝึกหดั ชีววิทยา ม.4 เลม่ 2
เรือ่ งที่ 3 เรือ่ ง ลักษณะพันธกุ รรมท่เี ป็นส่วนขยายของพนั ธุศาสตร์เมนเดล จานวนเวลาเรียน 8 ชว่ั โมง แนวคิด/รูปแบบการสอน/วิธีการสอน/เทคนคิ :สืบเสาะหาความรู้ 5Es(5EsInstructionalModel) ชัว่ โมงที่ 1 ขน้ั นำ ข้นั กระตนุ้ ความสนใจ(Engage) 1. ครูใช้คาถาม Prior Knowledge เพื่อทบทวนความรู้ของนักเรียนว่า การถ่ายทอดลักษณะทาง พันธุกรรมของเมนเดล มีลกั ษณะอย่างไร (แนวตอบ ตามหลักพันธุศาสตร์ของเมนเดลการผสมพันธ์ุเพียงลักษณะเดียวระหว่างลักษณะเด่นกับลักษณะ ด้อยที่เป็นพันธุ์แท้ทั้งคู่ รุ่น F1 จะแสดงฟีโนไทป์ที่เป็นลักษณะเด่นออกมาแต่จีโนไทป์เป็นแบบพันธุ์ทาง และ เมื่อให้รุ่นF1ผสมกันเองจะไดร้ ุ่น F2ที่แสดงฟีโนไทป์ทีเ่ ป็นลักษณะเดน่ ต่อลักษณะดอ้ ยที่อตั ราสว่ น 3: 1แต่มี จีโนไทป์เป็นอัตราสว่ น 1: 2 : 1สาหรับการผสมสองลักษณะระหว่างลักษณะเด่นกบั ลกั ษณะดอ้ ยทีเ่ ป็นพันธุ์ แท้ทั้งคู่ รุ่น F1 จะแสดงฟีโนไทป์ที่เป็นลักษณะเด่นออกมา แต่จโี นไทป์เปน็ แบบพนั ธุ์ทาง และเมือ่ ให้รุ่น F1ผสม กันเองจะไดร้ ุ่นF2จะแสดงฟีโนไทป์ 4 แบบ แต่จโี นไทป์จะมีอัตราสว่ นที่ 9 : 3: 3: 1) 2. ครูถามนักเรียนว่า การผสมพันธ์ุดอกบานเย็นสีแดงกับดอกบานเย็นสีขาวตามหลักพันธุศาสตร์ ของ เมนเดล จะได้ดอกบานเย็นรุ่น F1 ทีไ่ ด้จะมีลกั ษณะอย่างไร (แนวตอบ หากการผสมพันธุ์ดอกบานเย็นเป็นไปตามหลักพันธุศาสตร์ของเมนเดล รุ่น F1 ควรมี ลักษณะดอกสแี ดงหรือดอกสขี าวทั้งหมด) 3. ครูอธิบายการทดลองผสมต้นบานเย็นดอกสีแดงกับดอกสีขาวของคาร์ล คอร์เรนส์ให้นักเรียน ทราบ และอธิบายว่ามีการถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรมบางลักษณะที่ไม่ไดเ้ ป็นตามหลักพันธุ ศาสตร์ของเมนเดล ขน้ั สอน ขั้นสารวจค้นหา (Explore) 1. ครใู ห้นกั เรยี นศึกษาแผนภาพการผสมพันธุ์ดอกลนิ้ มงั กรสแี ดงกับสขี าว
2. ครูถามนักเรียนว่า ถ้าการผสมพันธุ์ดอกล้ินมงั กรสีแดงกับสีขาวเป็นไปตามหลักพันธุศาสตร์ของ เมนเดล จะได้รุ้น F1 และ F2 อย่างไร (แนวตอบ การผสมพันธ์ุดอกล้ินมังกรที่เป็นไปตามหลักพันธุศาสตร์ของเมนเดล จะได้รุ่น F1 มี ลกั ษณะดอกสแี ดงหรือดอกสขี าวทั้งหมด สว่ นรุ่น F2 จะมีสีดอกที่เปน็ ลักษณะเดน่ ต่อลกั ษณะด้อย ทีอ่ ตั ราสว่ นเท่ากบั 3 : 1) 3. ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า ดอกล้ินมังกรมีการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมที่เป็นส่วนขยาย ของ พนั ธุศาสตร์เมนเดล ซึง่ ลักษณะเดน่ ไมไ่ ด้ขม่ ลกั ษณะดอ้ ยอย่างสมบรู ณ์ แต่ละแสดงลักษณะ ที่อยู่กึ่งกลางออกมา เรียกการถ่ายทอดลักษณะนี้ว่า การข่มไม่สมบูรณ์ ซึ่งดอกล้ินมังกรมีแอล ลลี ควบคมุ 2 แอลลีล คือ R และ R’ และจะแสดงมีจโี นไทป์แสดงลกั ษณะต่าง ๆ ดังนี้ จีโนไทป์ RR จะแสดงดอกล้นิ มงั กรสแี ดง จีโนไทป์ RR’ จะแสดงดอกลนิ้ มังกรสชี มพู จีโนไทป์ R’R’ จะแสดงดอกลนิ้ มังกรสขี าว 4. ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า นอกจากดอกล้ินมังกรแล้ว ลักษณะเส้นผมก็มีการถ่ายทอดลักษณะ แบบการข่มไม่สมบูรณเ์ ช่นกนั ข้ันอธิบายความรู้ (Explain) 1. ครูและนักเรยี นร่วมกนั อภิปรายเกี่ยวกบั การถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมแบบข่มไม่สมบรู ณ์ 2. ครูให้นักเรยี นทาใบงานที่ 4.4 เรื่อง การถ่ายทอดลักษณะของเสน้ ผม ชั่วโมงที่ 2 ขน้ั สอน ขนั้ สารวจค้นหา (Explore) 1. ครทู บทวนความรจู้ ากช่วั โมงที่แล้วให้นกั เรยี นทราบพอสงั เขป 2. ครอู ธิบายให้นกั เรยี นฟงั ว่า นอกจากแอลลีล 2 แอลลีลจะไมส่ ามารถขม่ กันอย่างสมบูรณ์แลว้ ยัง มีการข่มกันอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งแอลลีล 2 แอลลีลจะไม่ข่มซึ่งกันและกัน แต่จะแสดงลักษณะเดน่ ออกมาเท่ากนั 3. ครูให้นักเรียนศึกษาแผนภาพโอกาสการมีลูกของพ่อและแม่ที่มีเลือดหมู่ A และ B แบบเฮเทอโร ไซกัส (IAi และ IBi)
4. ครูอธิบายให้นักเรยี นฟงั ว่า จากแผนภาพจะเหน็ ว่าครอบครวั น้ีมโี อกาสมลี ูกได้ทั้งหมู่ A B AB และ O ซึ่งผู้ที่มีเลือดหมู่ AB เกิดจากแอลลีล 2 ชนิด คือ IA กับ IB ซึ่งจะแสดงลักษณะเด่นออกมา เท่ากนั เรียกการถ่ายทอดลกั ษณะนวี้ ่า การเดน่ ร่วม (codominance) 5. ครูถามนกั เรยี นว่า ยีนที่ควบคุมลกั ษณะพนั ธกุ รรมจะประกอบดว้ ยแอลลีลกี่แอลลีล (แนวตอบ ยีนที่ควบคุมลักษณะพันธุกรรมที่ผ่านมาจะประกอบด้วยแอลลีล 2 แอลลีลต่อการ ควบคมุ 1 ลักษณะ) 6. ครอู ธิบายให้นกั เรยี นฟงั ว่า จากแผนภาพการข่มร่วมกันของหมู่เลอื ด AB จะสังเกตเหน็ ว่ามีแอลลี ลอีกชนิดหนึง่ ที่กาหนดลกั ษณะของเลอื ดหมู่ O นั้นกค็ ือแอลลีล i ดังนั้น หมู่เลอื ดระบบ ABO จึงมี แอลลีล ควบคุม 3 แอลลีล คือ แอลลีล IA ควบคุมการสร้างแอนติเจน A แอลลีล IB ควบคุมการ สร้างแอนติเจน B และแอลลีล i ไม่มีการสร้างแอนติเจน A และ B ซึ่งเรียกการควบคุมลักษณะ พันธุกรรมดว้ ยแอลลีล มาก กว่า 2 แอลลีลนวี้ ่า มัลติเพิลแอลลลี (multiple allele) 7. ครูให้นักเรยี นศึกษาการเข้าคู่กนั ของแอลลีลในหมู่เลอื ดระบบ ABO จากตารางที่ 4.3 และอธิบาย ให้นกั เรยี นฟงั ว่า แอลลีล IA และ IB เป็นแอลลีลเดน่ ซึ่งจะขม่ แอลลีล i ที่เป็นแอลลีลดอ้ ย และแอล ลลี i จะแสดงลกั ษณะออกมาก็ต่อเมือ่ เข้าคู่กบั แอลลีล i ดว้ ยกันเท่านนั้ ข้นั อธิบายความรู้ (Explain) 1. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมแบบความเดน่ ร่วม และแบบมลั ติเพิลแอลลีล 2. ครใู ห้นักเรยี นทาใบงานที่ 4.5 เรือ่ ง การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมแบบมลั ติเพิลแอลลีล ชั่วโมงที่ 3 ขน้ั สอน ข้นั สารวจค้นหา (Explore) 1. ครูทบทวนความรเู้ ดมิ จากช่ัวโมงทีแ่ ล้วให้นกั เรยี นทราบพอสงั เขป 2. ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมที่ผ่านมาจะมียีนควบคมุ เพียง 1 คู่เท่าน้ัน ซึ่งลักษณะต่าง ๆ จะแตกต่างกันอย่างชัดเจน เรียกการถ่ายทอดลักษณะเหล่านี้ว่า ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมทีม่ ีความแปรผนั ต่อเนือ่ งหรือลกั ษณะเชิงคณุ ภาพ 3. ครนู าภาพบคุ คลเชือ้ ชาติต่าง ๆ ที่มีสีผิวแตกต่างกันมาให้นักเรียนดู แล้วถามนักเรียนว่า นกั เรียน แยกสีผิวของบุคคลต่าง ๆ ในภาพได้กแ่ี บบ และแต่ละแบบแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร
(แนวตอบ คาตอบอยู่ในดุลยพินิจของครูผู้สอน ขนึ้ อยู่กับภาพที่นามาให้นักเรยี นด)ู 4. ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า ลกั ษณะสผี ิวของมนษุ ย์มีลักษณะที่แตกต่างกนั หลายแบบ เนือ่ งจากสี ผิวถูกควบคุมดว้ ยยีนหลายคู่ เรียกว่า พอลยิ ีน (polygenes) ซึ่งยีนทั้งหมดจะทาหน้าทีร่ ่วมกันเพื่อ ควบคุมลกั ษณะเดยี วกัน 5. ครใู ห้นักเรยี นศึกษาแผนภาพการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสีผิว ซึง่ มยี ีนควบคุม 3 คู่ ที่ มี แอลลีล A B C ควบคุมการสร้างเมลานินทาให้ผิวสีเข้ม และแอลลีล a b c ไม่มีการสร้างเม ลานินทาให้มีสีผิวขาวมาก 6. ครูถามนักเรยี นว่า จากแผนภาพการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรมของสผี ิวของครอบครวั นี้ รุ่น F1 และ F2 มีสีผิวแตกต่างกนั กี่แบบ (แนวตอบ รุ่น F1 มีสีผิวเพียงแบบเดยี ว แตร่ ุ่น F2 มีสีผิวที่แตกต่างกันถึง 7 แบบ ตามจานวนการ ได้รับยนี ทีค่ วบคมุ การสร้างเมลานิน) 7. ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า ลักษณะสีผิวของครอบครัวนี้ในรุ่น F2 ต่างกันถึง 7 แบบ ซึ่งสีผิวจะ แตกต่างกนั เล็กน้อยและลดหลั่นกันไปตามการได้รับแอลลลี ทีค่ วบคุมการสร้างเมลานิน ถ้าได้รับ แอลลีลที่ควบคุมการสร้างเมลานินมากก็จะมีผิวสีเข้ม แต่หากได้รับน้อยก็จะมีผิวสีขาว ซึ่งเรียก ลักษณะทางพันธุกรรมแบบนี้ว่า การแปรผันแบบต่อเนื่อง หรือลักษณะเชิงปริมาณ นอกจากน้ัน ยังพบลกั ษณะอื่น ๆ ทีม่ ีการถ่ายทอดแบบพอลยิ ีน เช่น ลักษณะสตี า ความสงู น้าหนัก เปน็ ต้น 8. ครูถามคาถาม H.O.T.S. กับนกั เรยี นว่า สง่ิ แวดล้อมมีผลต่อลกั ษณะทางพนั ธุกรรมทีม่ ีการแปรผัน ต่อเนื่องหรือลกั ษณะเชิงปริมาณอย่างไร (แนวตอบ ส่ิงแวดล้อมจะมีผลต่อลักษณะทางพันธุกรรมที่มีการแปรผันแบบต่อเนื่อง เนื่องจาก ลักษณะทางกายภาพบางอย่าง เช่น แสงแดดที่มีผลต่อการสร้างเมลานินของสีผิว ทาให้สีผิวเข้ม ขนึ้ ได้ อาหารทีร่ บั ประทานท่มี ีผลต่อนา้ หนกั และความสูง หากได้รบั สารอาหารทีแ่ ตกต่างกนั หรือ ปรมิ าณนา้ และแร่ธาตทุ ีพ่ ืชได้รบั ที่มผี ลต่อขนาดของผลไม้ เป็นต้น) ขน้ั อธิบายความรู้ (Explain) 1. ครแู ละนกั เรยี นร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับการถ่ายทอดลักษณะสผี ิวของรุ่น F1 และ F2 จากพ่อและ แม่ทีม่ สี ผี ิวแตกต่างกนั 2. ครูและนกั เรยี นร่วมกันอภิปรายเกีย่ วกบั การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมแบบพอลยิ ีน ชั่วโมงที่ 4 ขน้ั สอน
ข้ันสารวจคน้ หา (Explore) 1. ครูสรุปหลักการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรมแบบการข่มไม่สมบูรณ์ ความเด่นร่วมกัน มัลติเพิล แอลลีล และพอลยิ ีน ให้นกั เรยี นทราบ 2. ครูให้นักเรียนทากิจกรรม เรื่องลักษณะพันธุกรรมที่เป็นสว่ นขยายของพันธศุ าสตร์เมนเดล ในชั้น เรียน โดยบันทึกลงสมดุ บนั ทึกของนกั เรยี น ข้ันอธิบายความรู้ (Explain) 1. ครูสุ่มเลือกนักเรียนออกมาเฉลยคาถามในกิจกรรม ลักษณะพันธุกรรมที่เป็นส่วนขยายของพันธุ ศาสตร์เมนเดล โดยการแสดงวิธีทาหน้าชั้นเรียนคนละ 1 ข้อ และให้นักเรียนในชั้นเรียนร่วมกัน วิเคราะห์ว่าเฉลยถูกหรือผิด หากเฉลยผิดให้นักเรยี นร่วมกันแสดงวิธีทาที่ถูกต้อง 2. ครแู ละนกั เรยี นร่วมกันอภิปรายผลจากกิจกรรม เรื่องลักษณะพนั ธุกรรมทีเ่ ป็นสว่ นขยายของพันธุ ศาสตร์เมนเดล 3. ครใู ห้นักเรยี นทาแบบฝึกหดั ในแบบฝึกหดั ชีววิทยา ม.4 เลม่ 2 ช่วั โมงที่ 5 ขน้ั สอน ขั้นสารวจค้นหา (Explore) 1. ครูทบทวนความรเู้ ดมิ จากชวั่ โมงทีแ่ ล้วให้นักเรยี นทราบพอสังเขป 2. ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า ลักษณะทางพันธุกรรมที่ผ่านมาจะถ่ายทอดผ่านโครโมโซมร่างกาย ซึ่งพบท้ังแอลลีลเด่นและแอลลีลด้อย แต่ลักษณะทางพันธุกรรมบางลักษณะมีการถ่ายทอดผา่ น โครโมโซมเพศ ซึง่ ค้นพบคร้ังแรกโดยโทมสั ฮนั ต์ มอร์แกน 3. ครใู ห้นักเรยี นศึกษาแผนภาพการถ่ายทอดลกั ษณะสตี าของแมลงหวี่ 4. ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า ยีนที่ควบคุมลักษณะสีตาของแมลงหวี่อยู่บนโครโมโซมเพศ X โดย แอลลีลควบคุมตาสีแดงจะข่มแอลลีลควบคุมตาสขี าว ซึ่งเพศผู้มีโครโมโซมเพศเป็น XY ถ้าได้รับ
แอลลีลตาสขี าวมาจะแสดงออกทันที แตเ่ พศเมียมีโครโมโซมเพศเป็น XX จะต้องได้รับแอลลีลตา สีขาวท้ัง 2 แอลลีล จึงจะแสดงลักษณะตาสีขาวออกมา โดยเรียกยีนที่ถ่ายทอดลักษณะผ่าน โครโมโซมเพศ X นีว้ ่า ยีนทีเ่ กีย่ วเนือ่ งกับ X (X-linked gene) 5. ครูยกตัวอย่างยีนที่เกี่ยวเนื่องกับ X ที่พบในมนุษย์ เช่น ยีนควบคุมโรคตาบอดสี และให้นักเรียน ศึกษาแผนพังเพดดีกรีของครอบครัวหนึง่ ทีพ่ ่อตาบอดสี และแม่สายตาปกติแต่เป็นพาหะของโรค ตาบอดสี จึงมโี อกาสที่จะมีลกู สาวและลกู ชายเป็นตาบอดสีที่แตกต่างกนั 6. ครถู ามนักเรยี นว่า การแสดงออกของโรคตาบอดสีของมนษุ ย์ในเพศชายและเพศหญงิ แตกต่างกัน อย่างไร (แนวตอบ โรคตาบอดสีของมนษุ ย์เปน็ แอลลีลด้อยที่อยู่บนโครโมโซม X ดงั นั้น เพศชาย เมือ่ ได้รบั แอลลีล ด้อยของโรคตาบอดสีจะแสดงอาการของโรคตาบอดสีทันที เนื่องจากมีโครโมโซม X เพียงโครโมโซมเดียว แตส่ าหรับเพศหญิงต้องได้รบั แอลลีลด้อยท้ัง 2 แอลลีล จึงจะแสดงอาการ ของโรคออกมา) 7. ครูถามนักเรยี นว่า ยีนทีพ่ บบนโครโมโซม Y จะสามารถพบในเพศหญงิ ได้หรือไม่ (แนวตอบ ยีนทีอ่ ยู่บนโครโมโซม Y จะมีการแสดงออกเฉพาะในเพศชายเท่านน้ั เนื่องจากเพศหญงิ ไมม่ ีโครโมโซม Y) 8. ครูอธิบายให้นักเรยี นฟงั ว่า ยีนทีพ่ บบนโครโมโซม Y จะพบเฉพาะในเพศชายเท่านั้น เนือ่ งจากเพศ หญิงไม่มีโครโมโซม Y ดังน้ัน ยีนที่อยู่บนโครโมโซม Y จึงเป็นการถ่ายทอดลักษณะจากพ่อสู่ลูก ชาย และจากลกู ชายสหู่ ลานชายเท่านนั้ ขัน้ อธิบายความรู้ (Explain) 1. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับการถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมที่ควบคุมโดยยีนบน โครโมโซมเพศ 2. ครูให้นักเรยี นทาใบงานที่ 4.6 เรือ่ ง ถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมทีค่ วบคมุ โดยยีนบน โครโมโซมเพศ ชัว่ โมงที่ 6 ขน้ั สอน ขนั้ สารวจค้นหา (Explore) 1. ครูสรปุ หลักการการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมผ่านยีนบนโครโมโซมพศ และการเขียนพันธุ ประวตั ใิ ห้นักเรยี นทราบ
2. ครูให้นักเรียนทากิจกรรม การแก้โจทย์ปัญหาเรื่องลักษณะทางพันธุกรรมที่ควบคุมโดยยีนบน โครโมโซมเพศ ในชั้นเรียน โดยบันทึกลงสมุดบนั ทึกของนักเรยี น ม.4 เลม่ 2 ขน้ั อธิบายความรู้ (Explain) 1. ครูสุ่มเลือกนักเรียนออกมาเฉลยคาถามในกิจกรรมโดยการแสดงวิธีทาหน้าช้ันเรียนคนละ 1 ข้อ ในกิจกรรมการแก้โจทย์ปัญหาเรื่องลักษณะทางพันธุกรรมที่ควบคุมโดยยีนบนโครโมโซมเพศ และให้นักเรียนในชั้นเรียนร่วมกันวิเคราะห์ว่าเฉลยถูกหรือผิด หากเฉลยผิดให้นักเรียนร่วมกัน แสดงวิธีทาที่ถกู ต้อง 2. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายกิจกรรม การแก้โจทย์ปัญหาเรื่องลักษณะทางพันธุกรรมที่ ควบคมุ โดยยีนบนโครโมโซมเพศ 3. ครใู ห้นักเรยี นทาแบบฝึกหดั ในแบบฝึกหดั ชีววิทยา ม.4 เลม่ 2 ชัว่ โมงที่ 7 ขน้ั สอน ขัน้ สารวจค้นหา (Explore) 1. ครูทบทวนความรจู้ ากชั่วโมงที่แล้วให้นกั เรยี นทราบพอสังเขป 2. ครูยกตัวอย่างการผสมพันธ์ุระหว่างแมลงหวี่ตัวสีน้าตาลปีกตรงทีเ่ ป็นเฮอเทอโรไซกัส (BbCc) กบั แมลงหวี่ตัวสีดาปีกโค้งที่เป็นฮอมอไซกัส (bbcc) แล้วให้นักเรียนทานายการสร้างเซลล์สืบพันธ์ุ และโอกาสของลูกรุ่น F1 ว่าเป็นอย่างไร ที่อัตราส่วนเท่าใด ถ้าการถ่ายทอดลักษณะทาง พันธุกรรมนีเ้ ป็นไปตามหลกั พนั ธุศาสตร์ของเมนเดล (แนวตอบ ตัวสีน้าตาลปีกตรงทีเ่ ป็นเฮเทอโรไซกัสจะสร้างเซลล์สืบพันธุ์ได้ 4 ชนิด คือ BC Bc bC bc และแมลงหวี่ตวั สีดาปีกโค้งที่เปน็ ฮอมอไซกัสจะสร้างเซลล์สืบพนั ธุ์ไดเ้ พียงชนิดเดยี ว คือ bc ทา ให้รุ่น F1 จะมีลักษณะที่แสดงออกมา 4 ลักษณะ คือ ตัวสีน้าตาลปีกตรง (BbCc) ตัวสีน้าตาลปีก โค้ง (Bbcc) ตัวสีดาปีกตรง (bbCc) และตวั สีดาปีกโค้ง (bbcc) ในอตั ราสว่ น 1 : 1 : 1 : 1) 3. ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า การผสมพันธุ์ของแมลงหวี่ข้างต้นไม่เป็นไปตามตามหลกั พันธุศาสตร์ ของ เมนเดล เนื่องจากรุ่นลูก F1 ที่เกิดขึ้นมีฟีโนไทป์เพียง 2 ลักษณะเท่าน้ัน คือ ตัวสีน้าตาลปีก ตรง (BbCc) และตวั สีดาปีกโค้ง (bbcc) ในอัตราสว่ น 1:1 เนือ่ งจากตวั สีน้าตาลปีกตรงที่เป็นเฮเทอ โรไซกัสสามารถสร้างเซลลส์ ืบพันธุ์เพียง 2 แบบเท่านนั้ คือ BC และ bc จึงทาให้รุ่นลูกทีเ่ กิดมามี ลักษณะฟีโนไทป์เพียง 2 ลักษณะเท่าน้ัน โดยแอลลีล B กับ C และแอลลีล b กับ c ที่อยู่บน
โครโมโซมเดียวกันจะถูกถ่ายทอดไปดว้ ยกันเมื่อมีการสร้างเซลลส์ ืบพันธุ์ เรียกยีนเหล่านี้ว่า เป็น ลิงก์ยีนกัน แต่ยีนที่เป็นลิงค์ยีนกันอาจไม่ถูกถ่ายทอดไปด้วยกัน หากระหว่างการแบ่งเซลล์ สบื พนั ธ์ุเกิดครอสซิงโอเวอร์ (crossing over) ซึง่ ทาให้ยีนทีเ่ คยถูกถ่ายทอดไปดว้ ยกนั อาจแยกออก จากกนั ไปยงั เซลลส์ บื พันธุ์ที่ต่างกัน 4. ครูให้นักเรียนศึกษาแผนภาพการผสมพันธุ์ระหว่างแมลงหวี่ตัวสีน้าตาลปีกตรงที่เป็นเฮอเทอโร ไซกัส (BbCc) กับแมลงหวี่ตัวสีดาปีกโค้งที่เป็นฮอมอไซกัส (bbcc) ซึ่งจะได้รุ่น F1 มีฟีโนไทป์ 4 ลกั ษณะ แล้วตั้งคาถามถามนกั เรียนว่า ทาไมรุ่นลูก F1 จึงมลี กั ษณะฟีโนไทป์ถึง 4 ลกั ษณะ ทั้งที่ แอลลีล B กับ C และแอลลีล b กบั c เป็นลิงค์เกจกัน (แนวตอบ ในระหว่างการสร้างเซลล์สืบพันธุ์จะเกิดปรากฏการณ์ครอสซิงโอเวอร์ ทาให้ยีนที่ถูก ถ่ายทอดไปด้วยกันแยกออกจากกัน เช่น แอลลีล B กับ C และ b กับ c ที่จะถ่ายทอดไปด้วยกัน ถูกแยกออกจากกนั ทาให้เซลลส์ บื พนั ธุ์เปล่ยี นแปลงไปจากปกติ) 5. ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า ในระหว่างการสร้างเซลล์สืบพันธุ์อาจเกิดปรากฏการณ์ครอสซิงโอ เวอร์ ทาให้เซลล์สืบพันธุ์บางเซลล์เปล่ียนแปลงไป เช่น จากเซลล์สืบพันธ์ุปกติ BC และ bc เปลย่ี นเปน็ Bc และ bC จึงทาให้รุ่น F1 มีฟีโนไทป์แตกต่างจากปกติ ขน้ั อธิบายความรู้ 1. ครแู ละนักเรยี นร่วมกนั อภิปรายเกี่ยวกับการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรมผ่านยีนบนโครโมโซม เดยี วกัน 2. ครแู ละนกั เรยี นร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับผลของการเกิดคลอสซิงโอเวอร์ต่อการถ่ายทอดลักษณะ ทางพันธกุ รรมผ่านยีนบนโครโมโซมเดยี วกัน ชั่วโมงที่ 8 ขน้ั สอน ขนั้ สารวจค้นหา (Explore) 1. ครทู บทวนความรเู้ ดมิ จากช่วั โมงที่แล้วให้นกั เรยี นทราบพอสังเขป 2. ครูอธิบายให้นักเรยี นฟงั ว่า การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมบางลกั ษณะมียีนอยู่บนโครโมโซม ร่างกาย แต่มีฮอร์โมนเพศมาเป็นตัวควบคุม จึงแสดงออกในแต่ละเพศแตกต่างกัน เรียกลักษณะ เหลา่ น้วี ่า ลักษณะภายใต้อิทธิพลเพศ
3. ครูให้นักเรียนศึกษาการแสดงออกของลักษณะศีรษะล้านในเพศชายและเพศหญิงจากตารางที่ 4.4 และถามนักเรียนว่า เพศชายและเพศหญิงมีการแสดงออกของลักษณะศีรษะล้านต่างกัน อย่างไร (แนวตอบ ลักษณะศีรษะล้านจะสามารถแสดงออกในเพศชายได้แม้ได้รับแอลลีลควบคุมศีรษะ ล้านเพียงแอลลีลเดียว แต่ในเพศหญิงต้องได้รับแอลลีลควบคุมศีรษะล้านทั้ง 2 แอลลีล จึงจะ แสดงลักษณะศีรษะลา้ นออกมา) 4. ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า แอลลีลที่ควบคุมลักษณะศีรษะล้านจะเป็นแอลลีลเด่นในเพศชาย แต่ จะเปน็ แอลลีลดอ้ ยในเพศหญงิ จึงทาให้การแสดงออกในแตล่ ะเพศแตกต่างกนั 5. ครูอธิบายให้นกั เรยี นฟังว่า การถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรมบางลกั ษณะมียีนอยู่บนโครโมโซม ร่างกายเช่นกัน แต่จะแสดงลักษณะเพียงเพศใดเพศหนึ่งเท่าน้ัน เรียกลักษณะเหล่าน้ีว่า ลักษณะ จากัดในเพศ เช่น ขนหางของไก่เพศผู้และเพศเมีย 6. ครใู ห้นักเรยี นการแสดงออกของขนหางไก่เพศผู้และเพศเมียที่แตกต่างกัน จากตารางที่ 4.5 แล้ว ถามนักเรยี นว่า ไก่เพศผู้และไก่เพศเมียมีการแสดงออกของขนหางต่างกนั อย่างไร (แนวตอบ ไก่เพศผู้จะแสดงขนหางแบบค็อกก็ต่อเมื่อไปรับแอลลีลควบคุมลักษณะขนหางแบบค็ อกท้ัง 2 แอลลีล แตส่ าหรบั ไกเ่ พศเมีย แม้จะไดร้ ับแอลลีลควบคุมลักษณะขนหางแบบคอ็ กท้ัง 2 แอลลีล ก็จะไมแ่ สดงลกั ษณะขนหางแบบค็อกออกมา ดังน้ัน ขนหางแบบคอ็ กจะแสดงออกเฉพาะ ในไก่เพศผู้เท่านั้น) 7. ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า ถึงแม้ไก่เพศเมียจะมีแอลลีลควบคมุ ขนหางแบบค็อกอยู่ก็จะไม่แสดง ลักษณะออกมา เพราะจะมีการแสดงลักษณะขนหางแบบค็อกเฉพาะในเพศผู้เท่านั้น ซึ่งลักษณะ จากัดในเพศสามารถพบในมนุษย์เช่นกนั เช่น ยีนควบคุมการสร้างน้านมจะพบทั้งในเพศชายและ หญงิ แตจ่ ะแสดงออกในเพศหญงิ เท่าน้ัน หรือยนี ควบคุมการสร้างหนวดเคราจะพบท้ังในเพศชาย และหญงิ เช่นกัน แตจ่ ะแสดงออกในเพศชายเท่านนั้ ข้นั อธิบายความรู้ (Explain) 1. ครูและนกั เรยี นร่วมกันอภิปรายเกีย่ วกบั การถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรมแบบลักษณะภายใต้ อิทธิพลเพศ 2. ครูและนักเรยี นร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกบั การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมแบบลักษณะจากดั ในเพศ
ขน้ั สรุป ขน้ั ขยายความเขา้ ใจ (Elaborate) 1. ครูให้นักเรียนทาแผนผังมโนทัศน์เรื่อง เรื่อง ลักษณะพันธุกรรมที่เป็นส่วนขยายของพันธุศาสตร์ เมนเดล ซึ่งมีเนื้อหาประกอบด้วยหลักการการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม พร้อมยกตัวอย่าง ลักษณะพันธกุ รรมที่มีการถ่ายทอดรูปแบบต่าง ๆ 2. ครใู ห้นกั เรยี นทา Self Check เพือ่ ตรวจสอบความเข้าใจของตนเอง 3. ครูให้นักเรยี นทา Unit Question ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 ในหนังสือเรียนชีววิทยา ม.4 เลม่ 2 4. ครูให้นกั เรยี นทาแบบทดสอบท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 ในแบบฝึกหัดชีววิทยา ม.4 เลม่ 2 5. ครูให้นักเรยี นทาแบบทดสอบหลังเรียน ขนั้ ตรวจสอบผล (Evaluate) 2. ครตู รวจสอบผลจากผังมโนทัศน์ เรือ่ ง ลกั ษณะพนั ธกุ รรมที่เปน็ ส่วนขยายของพนั ธศุ าสตร์เมนเดล 3. ครตู รวจสอบผลจากใบงานที่ 4.4 เรือ่ ง การถ่ายทอดลกั ษณะของเสน้ ผม 4. ครูตรวจสอบผลจากใบงานที่ 4.5 เรื่อง ถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมแบบมลั ติเพิลแอลลีล 5. ครูตรวจสอบผลจากใบงานที่ 4.6 เรือ่ ง การถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมที่ควบคมุ โดยยีนบน โครโมโซมเพศ 6. ครูตรวจสอบผลจากการตอบคาถาม Unit Question ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 ในหนังสือเรียน ชีววิทยา ม.4 เลม่ 2 7. ครูตรวจสอบผลจากการทาแบบทดสอบท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 ในแบบฝึกหัดชีววิทยา ม.4 เลม่ 2 8. ครูตรวจสอบผลจากการตอบคาถามในแบบฝึกหัดชีววิทยา ม.4 เลม่ 2 9. ครูตรวจสอบผลจากแบบทดสอบหลังเรียน
บนั ทึกการนเิ ทศจากฝ่ายบรหิ าร(ส่งก่อนจัดการเรียนรู้ 1 สัปดาห์) ความเหน็ ของหวั หน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ เหน็ ควรอนญุ าตให้ใช้ประกอบการจัดการเรียนรู้ได้ โดยมีขอ้ เสนอแนะเพิม่ เตมิ คือ ……………………………………………………………………………..…………………………………………………………………………..…………… ………………………………………………………………..…………………………………………………………………………..………………………… ไมเ่ ห็นควรอนญุ าตให้ใช้ประกอบการจัดการเรียนรู้ เพราะ ……………………………………………………………………………..…………………………………………………………………………..…………… ………………………………………………………………..…………………………………………………………………………..………………………… ………………………………………………………………..…………………………………………………………………………..………………………… ลงชือ่ ......................................................... (……………………………………) หวั หน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้……………………………………. ............/......................../.............. ความเหน็ ผู้บริหาร/ผู้ที่ไดร้ บั มอบหมาย อนุญาตให้ใช้ประกอบการจดั การเรียนรู้ได้ โดยมีขอ้ เสนอแนะเพิ่มเตมิ คือ ……………………………………………………………………………..…………………………………………………………………………..…………… ………………………………………………………………..…………………………………………………………………………..………………………… ………………………………………………………………..…………………………………………………………………………..………………………… ไมอ่ นุญาตให้ใช้ประกอบการจดั การเรียนรู้ เพราะ ……………………………………………………………………………..…………………………………………………………………………..…………… ………………………………………………………………..…………………………………………………………………………..………………………… ………………………………………………………………..…………………………………………………………………………..………………………… ลงชื่อ ......................................................... (………………………………………) ผู้ช่วยผู้อานวยการฝ่ายบรหิ ารวิชาการ ............/......................../............
เอกสารแนบทา้ ยหน่วยการเรยี นรู้ อาจเป็นดังน้ี 1. แบบทดสอบกอ่ นการเรยี น 2. แบบทดสอบหลังการเรยี น
แบบทดสอบก่อนเรยี น หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 4 คาชแ้ี จง : ใหน้ ักเรยี นเลือกคาตอบท่ีถูกต้องท่ีสุดเพียงข้อเดียว 1.ข้อใดไม่ใช้คุณสมบัติของถ่ัวลันเตำที่ถูกใช้เป็นพืช 6.พ่อและแมค่ วรมีจโี นไทป์แบบใดจงึ จะสำมำรถมีโอกำสมี ตัวอย่ำงกำรทดลองกำรถำ่ ยทอดทำงพนั ธกุ รรมอยำ่ งไร ลกู ที่มเี ลอื ดทงั้ 4หมู่ 1.เปน็ พืชท่มี ีหลำยพันธ์ุ 1. IAIA กับ IBIB 2.IAi กับIBi 3. IAIB กับ i 4.IAi กับIBIB 2.มีวงจรชีวิตสนั้ และเจรญิ เติบโตเร็ว 3.มลี ักษณะที่แตกตำ่ งน้อยจงึ ศึกษำได้ง่ำย 5. IAIA กับ IBi 4.ใหเ้ มลด็ จำนวนมำกจึงขยำยพนั ธไุ์ ดม้ ำก 7.หำกพ่อมีเลือดหมู่ Aแบบเฮเทอโรไซกัสแต่งงำนกับแม่ 5.มดี อกสมบูรณเ์ พศจึงงำ่ ยต่อกำรผสมพันธุ์ มีเลอื ดหมู่ Bแบบเฮเทอโรไซกัส จะใหก้ ำเนิดลูกมเี ลือดหมู่ 2. กำรผสมพันธุ์ถั่วลันเตำผักสีเขียวกับฝักสีเหลืองท่ีเป็น Oร้อยละเทำ่ ไร พันธ์แุ ทท้ ้งั คู่ รนุ่ F1ควรมีอตั รำสว่ นฟีโนไทป์เทำ่ ไร 1. 0 2. 25 1.ฝกั สเี ขียวทงั้ หมด 3.50 4. 75 2.ฝักสเี หลืองท้ังหมด 5. 100 3.ฝักสีเขยี ว :ฝกั สีเหลอื ง เท่ำกับ 1:1 8. ข้อใดกล่ำวได้ถูกต้องเก่ียวกับกำรถ่ำยทอดลักษณะ 4.ฝักสีเขยี ว :ฝกั สเี หลอื ง เท่ำกบั 3:1 พันธกุ รรมแบบพอลิยนี 5.ฝกั สีเหลอื ง :ฝักสีเขียว เท่ำกบั 3:1 1.เปน็ ลกั ษณะเชิงคณุ ภำพ 3. ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับกำรผสมพิจำรณำเพียง 2.มียีนควบคุมลกั ษณะเดยี วกนั หลำยคู่ ลกั ษณะเดยี วของพนั ธศุ ำสตร์เมนเดล 3.เปน็ ลักษณะท่ีมกี ำรแปรแบบไม่ตอ่ เนื่อง 1.รุ่น F1 จำกกำรผสมระหว่ำงลักษณะเด่นแบบฮอมอ 4. กำรแสดงออกของลักษณะข้ึนอยู่กับพันธุกรรม ไซกัสกับลักษณะด้อยจะมีฟีโนไทป์แบบลักษณะเด่น เท่ำนั้น ทัง้ หมด 5. ลักษณะฟีโนไทป์แบบต่ำง ๆ จะแตกต่ำงกันเพียง 2.จีโนไทป์ของรุ่น F1 จำกกำรผสมระหว่ำงลักษณะ เล็กนอ้ ยเท่ำนนั้ เด่นแบบ ฮอมอไซกัสกับลักษณะด้อยจะมีจีโนไทป์ 9.ข้อใดกลำ่ วเกยี่ วกบั ยีนบนโครโมโซมเพศไม่ถูกต้อง แบบฮอมอไซกสั 1. โรคตำบอดสีจะสำมำรถพบในเพศชำยได้ง่ำยกว่ำใน 3.จีโนไทป์ของรุ่น F2 จำกกำรผสมระหว่ำงลักษณะ เพศหญงิ เด่นแบบฮอมอไซกัสกับลักษณะด้อยจะมีอัตรำส่วน 2. โรคตำบอดสีเป็นลักษณะที่ถูกควบคุมด้วยยีนบน เปน็ 1 : 2 : 1 โครโมโซม X 4.รุ่น F1จำกกำรผสมระหว่ำงลักษณะเด่นแบบเฮเทอโร 3. ควำมผิดปกติของยีนบนโครโมโซม Xจะพบในเพศชำย ไซกัสกับลักษณะด้อยจะมีฟ๊โนไทป์แบบลักษณะเด่นต่อ มำกกวำ่ เพศหญงิ ลักษณะด้อยท่ีอตั รำส่วน 1: 1 4.บนโครโมโซมYไมม่ ียนี ปรำกฏอยู่ จงึ ไม่พบควำมผิดปกติ ของยีนบนโครโมโซม Y
5.รุ่น F2จำกกำรผสมระหว่ำงลักษณะเด่นแบบฮอมอไซกัส 5. เพศหญงิ ต้องไดร้ ับแอลลลี ด้อยทงั้ 2แอลลีล จึงจะแสดง อำกำรของโรคฮีโมฟเิ ลียออกมำ กบั ลักษณะด้อยจะมฟี โี นไทป์แบบลกั ษณะเด่นต่อลักษณะ 10. กระบวนกำรใดทำให้เซลล์สืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต แตกตำ่ งไปจำกเซลล์สบื พันธเ์ุ ดมิ ด้อยทอี่ ัตรำส่วน 3: 1 1.คลอสซงิ โอเวอร์ 2.กำรแยกกันของเซลลส์ บื พนั ธุ์ 4. กำรผสมพิจำรณำ 2 ลักษณะ ซ่ึงมีจีโนไทป์แบบเฮเทอ-โร 3.ยนี ของเซลลส์ ืบพนั ธเ์ุ ป็นลิงคเ์ กจกนั 4.กำรเข้ำค่กู ันของฮอมอโลกสั โครโมโซม ไซกสั ทงั้ คู่ รุ่นF2ที่ไดจ้ ะมีฟีโนไทปอ์ ตั รำส่วนเทำ่ ใด 5.กำรรวมกันอยำ่ งอิสระของเซลล์สืบพันธ์ุ 1.1: 1 2.3: 1 6.2 7.2 8.5 9.4 10.1 3.1: 2:1 4.1: 1:1: 1 5.9: 3:3: 1 5.ข้อใดต่อไปน้เี ป็นลกั ษณะทม่ี กี ำรแปรผันแบบไม่ตอ่ เนือ่ ง 1.สีผิว 2.สตี ำ 3.ตงิ่ หู 4น้ำหนัก 5.สว่ นสูง เฉลย 1.3 2.1 3.2 4.5 5.3
แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 4 คาชีแ้ จง : ให้นักเรยี นเลือกคาตอบท่ีถูกต้องท่ีสุดเพียงข้อเดียว 1.ข้อใดไม่ใช้คุณสมบัติของถ่ัวลันเตำท่ีถูกใช้เป็นพืช 6.พ่อและแมค่ วรมจี ีโนไทป์แบบใดจึงจะสำมำรถมีโอกำสมี ตัวอย่ำงกำรทดลองกำรถำ่ ยทอดทำงพันธุกรรมอย่ำงไร ลกู ที่มเี ลอื ดท้งั 4หมู่ 1.IAIAกบั IBIB 2.IAi กับIBi 1.เปน็ พืชทม่ี หี ลำยพนั ธุ์ 2.มีวงจรชีวิตสน้ั และเจริญเตบิ โตเร็ว 3. IAIB กับ i 4.IAi กบั IBIB 5.IAIAกบั IBi 3.มลี ักษณะท่แี ตกตำ่ งนอ้ ยจงึ ศกึ ษำไดง้ ่ำย 4.ใหเ้ มล็ดจำนวนมำกจึงขยำยพันธ์ไุ ดม้ ำก 7.หำกพ่อมีเลือดหมู่ Aแบบเฮเทอโรไซกัสแต่งงำนกับแม่ 5.มีดอกสมบูรณเ์ พศจึงงำ่ ยต่อกำรผสมพนั ธ์ุ มีเลือดหมู่ Bแบบเฮเทอโรไซกสั จะให้กำเนดิ ลกู มีเลือดหมู่ 2. กำรผสมพันธ์ุถ่ัวลันเตำผักสีเขียวกับฝักสีเหลืองที่เป็น O ร้อยละเท่ำไร พนั ธุ์แท้ทัง้ คู่ รนุ่ F1ควรมีอตั รำส่วนฟโี นไทปเ์ ท่ำไร 1. 0 2. 25 1.ฝกั สเี ขียวทั้งหมด 3.50 4. 75 2.ฝกั สีเหลืองทัง้ หมด 5. 100 3.ฝักสเี ขยี ว :ฝกั สีเหลือง เทำ่ กบั 1:1 8. ข้อใดกล่ำวได้ถูกต้องเกี่ยวกับกำรถ่ำยทอดลักษณะ 4.ฝักสีเขยี ว :ฝกั สีเหลือง เทำ่ กบั 3:1 พนั ธกุ รรมแบบพอลิยนี 5.ฝักสีเหลอื ง :ฝักสเี ขยี ว เท่ำกับ 3:1 1.เปน็ ลักษณะเชิงคุณภำพ 3. ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับกำรผสมพิจำรณำเพียง 2.มยี ีนควบคมุ ลกั ษณะเดียวกนั หลำยคู่ ลกั ษณะเดยี วของพนั ธุศำสตรเ์ มนเดล 3.เปน็ ลักษณะท่มี กี ำรแปรแบบไม่ต่อเนอื่ ง 1.รุ่น F1 จำกกำรผสมระหว่ำงลักษณะเด่นแบบฮอมอ 4. กำรแสดงออกของลักษณะขึ้นอยู่กับพันธุกรรม ไซกัสกับลักษณะด้อยจะมีฟีโนไทป์แบบลักษณะเด่น เท่ำน้ัน ทง้ั หมด 5. ลักษณะฟีโนไทป์แบบต่ำง ๆ จะแตกต่ำงกันเพียง 2.จีโนไทป์ของรุ่น F1 จำกกำรผสมระหว่ำงลักษณะ เลก็ น้อยเทำ่ นน้ั เด่นแบบ ฮอมอไซกัสกับลักษณะด้อยจะมีจีโนไทป์ 9.ขอ้ ใดกล่ำวเกี่ยวกบั ยีนบนโครโมโซมเพศไม่ถกู ตอ้ ง แบบฮอมอไซกัส 1. โรคตำบอดสีจะสำมำรถพบในเพศชำยได้ง่ำยกว่ำใน 3.จีโนไทป์ของรุ่น F2 จำกกำรผสมระหว่ำงลักษณะ เพศหญงิ เด่นแบบฮอมอไซกัสกับลักษณะด้อยจะมีอัตรำส่วน 2. โรคตำบอดสีเป็นลักษณะที่ถูกควบคุมด้วยยีนบน เป็น 1 : 2 : 1 โครโมโซม X 4.รุ่น F1จำกกำรผสมระหว่ำงลักษณะเด่นแบบเฮเทอโร 3. ควำมผิดปกติของยีนบนโครโมโซม Xจะพบในเพศชำย ไซกัสกับลักษณะด้อยจะมีฟ๊โนไทป์แบบลักษณะเด่นต่อ มำกกวำ่ เพศหญิง ลกั ษณะดอ้ ยที่อัตรำสว่ น 1: 1 4.บนโครโมโซมYไมม่ ยี นี ปรำกฏอยู่ จงึ ไมพ่ บควำมผดิ ปกติ 5.รุ่น F2จำกกำรผสมระหว่ำงลักษณะเด่นแบบฮอมอไซกสั ของยนี บนโครโมโซมY กับลักษณะดอ้ ยจะมฟี ีโนไทปแ์ บบลักษณะเด่นตอ่ ลักษณะ 5. เพศหญิงตอ้ งได้รบั แอลลลี ด้อยทง้ั 2แอลลีล จงึ จะแสดง ด้อยที่อัตรำสว่ น 3: 1 อำกำรของโรคฮโี มฟิเลยี ออกมำ
4. กำรผสมพิจำรณำ 2 ลักษณะ ซึ่งมีจีโนไทป์แบบเฮเทอ-โร 10. กระบวนกำรใดทำให้เซลล์สืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต แตกตำ่ งไปจำกเซลลส์ บื พนั ธเ์ุ ดิม ไซกัสทง้ั คู่ รุน่ F2ท่ีได้จะมฟี โี นไทปอ์ ัตรำสว่ นเทำ่ ใด 1.คลอสซงิ โอเวอร์ 2.กำรแยกกันของเซลลส์ บื พันธ์ุ 1.1: 1 2.3: 1 3. ยีนของเซลล์สืบพันธุ์เป็นลิงค์เกจกนั 4.กำรเขำ้ ค่กู ันของฮอมอโลกสั โครโมโซม 3.1: 2:1 4.1: 1:1: 1 5.กำรรวมกนั อย่ำงอสิ ระของเซลลส์ บื พันธุ์ 5.9: 3:3: 1 6.2 7.2 8.5 9.4 10.1 5.ข้อใดต่อไปนีเ้ ปน็ ลกั ษณะท่ีมกี ำรแปรผนั แบบไม่ตอ่ เนอ่ื ง 1.สีผวิ 2.สีตำ 3.ติง่ หู 4น้ำหนกั 5. ส่วนสูง เฉลย 1.3 2.1 3.2 4.5 5.3
Search
Read the Text Version
- 1 - 35
Pages: