1 วิเคราะห์หลกั สูตรสู่การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ รหัสวิชา ว23102 รายวิชาวิทยาศาสตร์พน้ื ฐาน ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 ภาคเรียนที่ 2/๒๕๖3 นางสาวภักดินันท์ สมรกั ษ์ ตาแหน่ง ครู โรงเรียนน้าปลีกศกึ ษา สหวิทยา ๓ หัวตะพาน สานักงานเขตพนื้ ท่ีการศึกษามธั ยมศึกษาเขต ๒๙ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน
2 บันทึกขอ้ ความ สว่ นราชการโรงเรยี นนา้ ปลีกศึกษา อ้าเภอเมือง จังหวัดอา้ นาจเจริญ ที่ ............................................................วันท.ี่ ............เดือน............... พ.ศ. 25........ เร่อื ง รายงานผลการวิเคราะห์หลกั สตู รส่กู ารจดั ทาแผนการจดั การเรียนรู้ เรยี น ผ้อู านายการโรงเรยี นนาปลีกศกึ ษา ตามท่ีโรงเรียนนาปลีกศึกษา ได้มอบหมายให้ข้าพเจ้า นางสาวภักดินันท์ สมรักษ์ ตาแหน่ง ครู รายงาน ผลการวิเคราะห์หลกั สตู รสู่การจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ เพ่อื วเิ คราะหห์ ลกั สตู รแล้วนาไปสู่การจัดทาแผนให้ตรง กบั หลักสตู ร เพอื่ นาไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนต่อไป ดังนันขา้ พเจ้าได้จดั ทารายงานผลการวิเคราะหห์ ลักสูตร สู่การจัดทาแผนการจัดการเรยี นรู้ เรียบรอ้ ยแลว้ จงึ เสนอรายงานผล ต่อผบู้ รหิ ารตอ่ ไป จึงเรียนมาเพ่ือโปรดทราบและพจิ ารณา ลงชอ่ื ............................................................. (นางสาวภกั ดนิ ันท์ สมรักษ์) ความคิดเหน็ ของรองผ้อู านวยการโรงเรียน ............................................................................................................................. ....................................................... ....................................................................................................................................... ............................................. ลงชอื่ ............................................................. (นายวทิ ยา ทรวงดอน) รองผูอ้ านวยการโรงเรยี นนาปลกี ศึกษา ความคดิ เหน็ ของผู้อานวยการโรงเรยี น ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ลงช่อื ............................................................. (นายโชตชิ ยั กงิ่ แก้ว) ผูอ้ านวยการโรงเรยี นนาปลีกศึกษา
3 คา้ น้า รายงานผลการวิเคราะห์หลักสตู รสู่การจดั ทาแผนการจัดการเรียนรู้ จดั ทาขนึ มาเพื่อรายงานผลการ วิเคราะห์หลักสตู รเพอ่ื นาไปสู่การเขยี นแผนการจัดการเรยี นรู้ เพ่อื นาไปใชก้ บั นักเรยี นให้สอดคลอ้ งกับมาตรฐาน ตวั ชีวัดแกนกลาง รายงานเล่มนเี ปน็ รายงานทจี่ ดั ทาโดยวเิ คราะห์จากหลกั สูตรโรงเรียนและสอดคล้องกับหลักสูตร ปรับปรงุ 60 รายงานเล่มนจี ะเปน็ ประโยชน์มากน้อยเพยี งใดขึนอย่กู บั ผู้ที่ศกึ ษา หากข้าพเจ้าเขยี นขาดตกบกพรอ่ ง ประการใดตอ้ งขออภัยไว้ ณ ทนี่ ีด้วย
4 หนา้ สารบัญ ๑ ๑ เรื่อง ๑ ๑ วิสัยทศั น์ ๒ พันธกิจ ๓ จดุ มุ่งหมาย 4 สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น 5 คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ ๑๓ คณุ ภาพผู้เรียนจบชันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๓ ๑๔ จำนวน มำตรฐำนและตวั ช้ีวัดกลมุ่ สำระกำรเรียนรู้วทิ ยำศำสตร์ ๒4 โครงสรำ้ งแผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ วทิ ยำศำสตร์พ้ืนฐำน ม.3 คาอธิบายรายวชิ า โครงสรำ้ งรำยวชิ ำ วิทยำศำสตร์พืน้ ฐำน ม.3 กำรวดั ผลประเมินผล/ขอ้ ตกลงเฉพำะวิชำ
5 เอกสารวเิ คราะหห์ ลกั สูตรสกู่ ารจัดท้าแผนการจดั การเรยี นรู้ วชิ าวิทยาศาสตร์ วสิ ัยทัศน์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ มุ่งให้นักเรียนมีความสามารถในการเรียนรู้ โดยใช้ทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ในการเชอ่ื มโยงความรู้ รวมทังพัฒนานักเรียนให้มีเจตคติ คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมท่ีเหมาะต่อ วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสังคมและส่ิงแวดล้อมซึ่งเป็นการศึกษาตลอดชีวิตบนพืนฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถ เรยี นร้แู ละพฒั นาตนเองได้เตม็ ตามศักยภาพ พันธกิจ ๑. พัฒนาใหน้ ักเรียนมคี วามรู้ความสามารถทาด้านวิทยาศาสตร์ ๒. พัฒนาทักษะในการศกึ ษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ๓. นาความรู้ ความเข้าใจในเรอ่ื งวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยีไปใชป้ ระโยชน์ต่อสงั คมและการ ดารงชวี ติ ๔. พัฒนาศกั ยภาพนักเรยี นส่งเสริมผ้เู รยี นเข้ารับการแขง่ ขันทังภายในและภายนอก จุดม่งุ หมาย ๑. นกั เรยี นเข้าใจหลักการ ทฤษฎที ี่เปน็ พืนฐานในวิทยาศาสตร์ ขอบเขต ธรรมชาตแิ ละข้อจากัดของ วทิ ยาศาสตร์ ๒. นกั เรียนมที กั ษะท่สี าคัญในการศึกษาค้นควา้ ทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๓. นกั เรียนมีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนเพมิ่ สูงขึน ๔. เพ่อื นาความรู้ความเข้าใจเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยไี ปใช้ให้เกิดประโยชน์ตอ่ สังคมและการ ดารงชวี ิต ๕. เพือ่ ให้คนมจี ิตวิทยาศาสตร์ มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรมและค่านิยมในการใช้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี อยา่ งสรา้ งสรรค์ สมรรถนะส้าคัญของผเู้ รียน หลกั สูตรโรงเรียนนาปลีกศกึ ษา ตามแนวหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั พนื ฐานพุทธศกั ราช ๒๕๕๑ มุง่ พฒั นาผู้เรยี นใหม้ คี ุณภาพมาตรฐานการเรียนรู้ ซ่งึ การพฒั นาผ้เู รียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนร้นู ัน จะชว่ ยให้ ผเู้ รียนเกิดสมรรถนะสาคญั ๕ ประการ ดงั นี ๑. ความสามารถในการส่ือสาร เปน็ ความสามารถในการรับและสง่ สาร มวี ฒั นธรรมในการใช้ภาษา ถ่ายทอดความคดิ ความรูค้ วามเข้าใจ ความรสู้ ึก และทัศนะของตนเองเพ่อื แลกเปลีย่ นข้อมลู ข่าวสารและ ประสบการณ์อนั จะเปน็ ประโยชน์ตอ่ การพฒั นาตนเองและสังคม รวมทังการเจรจาตอ่ รองเพ่อื ขจดั และลดปัญหา ความขดั แย้งตา่ งๆ การเลอื กรบั หรอื ไม่รับข้อมูลข่าวสารดว้ ยหลกั เหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้ วิธีการสือ่ สาร ที่มีประสทิ ธภิ าพโดยคานงึ ถึงผลกระทบทมี่ ีต่อตนเองและสังคม
6 ๒. ความสามารถในการคดิ เป็นความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ การคิดสงั เคราะห์ การคิด อย่าง สรา้ งสรรค์ การคดิ อยา่ งมวี ิจารณญาณ และการคดิ เปน็ ระบบ เพอื่ นาไปสู่การสร้างองคค์ วามรหู้ รอื สารสนเทศเพื่อ การตัดสินใจเกย่ี วกับตนเองและสังคมไดอ้ ย่างเหมาะสม ๓. ความสามารถในการแกป้ ัญหา เป็นความสามารถในการแกป้ ัญหาและอปุ สรรคตา่ งๆ ทีเ่ ผชญิ ไดอ้ ยา่ ง ถกู ต้องเหมาะสมบนพืนฐานของหลกั เหตผุ ล คณุ ธรรมและขอ้ มลู สารสนเทศ เข้าใจความสัมพนั ธ์และการ เปล่ยี นแปลงของเหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยกุ ต์ความรู้มาใชใ้ นการป้องกนั และแก้ไขปัญหา และมีการตัดสนิ ใจท่ีมปี ระสิทธภิ าพโดยคานงึ ถึงผลกระทบทเ่ี กิดขนึ ต่อตนเอง สังคมและสง่ิ แวดลอ้ ม ๔. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนากระบวนการตา่ งๆ ไปใช้ใน การดาเนิน ชีวิตประจาวนั การเรยี นรดู้ ้วยตนเอง การเรียนรู้อยา่ งต่อเนื่อง การทางาน และการอยู่ร่วมกนั ในสังคมด้วยการสร้าง เสริมความสมั พนั ธ์อนั ดรี ะหว่างบคุ คล การจดั การปญั หาและความขดั แยง้ ต่างๆ อย่างเหมาะสมการปรบั ตัวให้ทนั กบั การเปล่ยี นแปลงของสังคมและสภาพแวดลอ้ ม และการรู้จกั หลกี เล่ียง พฤตกิ รรมไม่พึงประสงคท์ ่สี ง่ ผลกระทบ ต่อตนเองและผู้อืน่ ๕. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลอื ก และใช้ เทคโนโลยดี า้ นต่าง ๆ และ มีทกั ษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การสอ่ื สาร การทางาน การ แกป้ ญั หาอย่างสร้างสรรค์ ถูกตอ้ ง เหมาะสม และมคี ุณธรรม คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ หลกั สูตรโรงเรียนนาปลีกศึกษา พุทธศักราช ๒๕๕๙ ตามแนวหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขันพืนฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ มุ่งพัฒนาผเู้ รียนให้มีคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ เพ่ือใหส้ ามารถอย่รู ่วมกนั กับผู้อื่นในสังคมได้ อย่างมีความสุข ในฐานะเปน็ พลเมอื งไทยและพลโลก ตามแนวปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง ดังนี ๑. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ ๒. ซื่อสัตย์ สจุ รติ ๓. มวี นิ ยั ๔. ใฝเ่ รยี นรู้ ๕. อยู่อยา่ งพอเพียง ๖. มุ่งมัน่ ในการทางาน ๗. รักความเปน็ ไทย ๘. มีจิตสาธารณะ
7 คณุ ภาพผ้เู รยี น จบชนั มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๓ ๑. เขา้ ใจลกั ษณะและองค์ประกอบทีส่ าคัญของเซลลส์ ิง่ มีชีวิต ความสมั พันธ์ของการทางาน ของระบบตา่ ง ๆ การถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม เทคโนโลยชี วี ภาพ ความหลากหลายของ สิ่งมชี ีวติ พฤตกิ รรมและการตอบสนองต่อสิง่ เรา้ ของสงิ่ มชี วี ติ ความสมั พันธร์ ะหว่างสิ่งมีชีวิตใน สง่ิ แวดลอ้ ม ๒. เข้าใจองค์ประกอบและสมบตั ขิ องสารละลาย สารบรสิ ทุ ธ์ิ การเปล่ยี นแปลงของสารใน รปู แบบของการเปล่ยี นสถานะ การเกิดสารละลายและการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี ๓. เข้าใจแรงเสยี ดทาน โมเมนต์ของแรง การเคล่อื นที่แบบตา่ ง ๆ ในชวี ิตประจาวนั กฎการ อนุรกั ษ์พลังงาน การถ่ายโอนพลงั งาน สมดลุ ความร้อน การสะทอ้ น การหักเหและความเข้มของแสง ๔. เขา้ ใจความสมั พันธร์ ะหว่างปริมาณทางไฟฟา้ หลกั การต่อวงจรไฟฟา้ ในบา้ น พลังงาน ไฟฟา้ และหลกั การเบืองตน้ ของวงจรอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ๕. เขา้ ใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงของเปลอื กโลก แหล่งทรัพยากรธรณี ปจั จยั ที่มผี ลต่อการ เปล่ยี นแปลงของบรรยากาศ ปฏสิ มั พันธภ์ ายในระบบสรุ ิยะ และผลท่มี ีตอ่ สิ่งต่าง ๆ บนโลก ความสาคัญ ของเทคโนโลยีอวกาศ ๖. เข้าใจความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งวิทยาศาสตรก์ บั เทคโนโลยี การพฒั นาและผลของการพัฒนา เทคโนโลยตี ่อคณุ ภาพชวี ติ และสิ่งแวดลอ้ ม ๗. ตงั คาถามท่ีมีการกาหนดและควบคมุ ตวั แปร คดิ คาดคะเนคาตอบหลายแนวทาง วางแผน และลงมือสารวจตรวจสอบ วิเคราะห์และประเมินความสอดคลอ้ งของขอ้ มลู และสรา้ งองค์ความรู้ ๘. สื่อสารความคิด ความรู้จากผลการสารวจตรวจสอบโดยการพูด เขียน จดั แสดง หรือใช้เทคโนโลยี สารสนเทศ ๙. ใชค้ วามรูแ้ ละกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดารงชวี ติ การศึกษาหา ความรเู้ พิม่ เตมิ ทาโครงงานหรอื สรา้ งชินงานตามความสนใจ ๑๐. แสดงถงึ ความสนใจ มงุ่ ม่ัน รบั ผิดชอบ รอบคอบ และซื่อสัตยใ์ นการสบื เสาะหาความร้โู ดยใช้ เครอื่ งมอื และวธิ กี ารทใ่ี ห้ได้ผลถูกตอ้ งเชือ่ ถือได้ ๑๑. ตระหนกั ในคณุ คา่ ของความรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทีใ่ ช้ในชวี ติ ประจาวนั และการประกอบ อาชพี แสดงความชื่นชม ยกย่องและเคารพสิทธใิ นผลงานของผคู้ ดิ ค้น ๑๒. แสดงถึงความซาบซึง หว่ งใย มพี ฤตกิ รรมเกี่ยวกบั การใชแ้ ละรกั ษาทรพั ยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอ้ มอย่างรู้คุณค่า มสี ่วนร่วมในการพิทักษ์ ดแู ลทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในท้องถ่ิน ๑๓. ทางานรว่ มกบั ผอู้ ่ืนอย่างสร้างสรรค์ แสดงความคิดเหน็ ของตนเองและยอมรับฟังความคดิ เห็นของ ผู้อื่น
8 จานวน มาตรฐานและตวั ช้ีวัดกลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ สาระ มาตรฐาน จานวนตัวช้วี ดั /ระดับช้ัน ม.3 รวม ภาค ๑ ภาค ๒ 9 3 5 ว. 2.3 ม.3/1-3/9 9 4 6 ว.2.3 ม.3/10-3/12 25 7 ว.2.1 ม.3/13-3/21 8 ว.3.1 ม.3/1-3/4 รวม 4 25 เวลำเรยี น/หน่วยกติ ๖๐/๑.๕
9 โครงสร้างแผนการจัดการเรีย หน่วยการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ วธิ ีสอน/วิธีการจัด กจิ กรรมการเรียนรู้ 5. ไฟฟ้าและ อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ แผนฯ ท่ี 1 ควำมสมั พันธ์ 5Es Instructional Model ระหว่ำงกระแสไฟฟ้ำกับ เบอื้ งตน้ ควำมตำ่ งศกั ย์ แผนฯ ที่ 2 ตวั ตำ้ นทำน 5Es Instructional Model
9 ยนรู้ วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ม.3 ทักษะทไ่ี ด้ การประเมิน เวลา (ช่วั โมง) l - ทกั ษะกำรทดลอง - ตรวจแบบทดสอบก่อนเรยี น 3 - ทักษะกำรคำนวณ - ตรวจแบบฝึกหดั 5 - ทกั ษะกำรวิเครำะห์ - ตรวจใบงำนท่ี 5.1.1 เร่อื ง กฎของ - ทักษะกำรจดั กระทำ โอหม์ และ สื่อควำมหมำย - ประเมินกำรปฏิบตั กิ ิจกรรม ข้อมลู ควำมสมั พันธ์ ระหวำ่ งกระแสไฟฟำ้ กบั ควำมตำ่ งศกั ย์ - ประเมินกำรนำเสนอผลงำน - สงั เกตพฤติกรรมกำรทำงำนรำยบุคคล - สงั เกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนกลุ่ม - สงั เกตควำมมวี ินยั รบั ผดิ ชอบ ใฝ่ เรียนรู้ และมุ่งมัน่ ในกำรทำงำน l - ทกั ษะกำรวัด - ตรวจแบบฝึกหดั - ทักษะกำรสังเกต - ตรวจ Topic Questions - ทกั ษะกำรคำนวณ - ตรวจใบงำนที่ 5.2.1 เร่อื ง ตัว - ทักษะกำรจดั กระทำ ตำ้ นทำน และ สอ่ื ควำมหมำยขอ้ มูล - ประเมนิ กำรปฏบิ ตั กิ จิ กรรมกำรตอ่ ตัว - ทักษะกำรตคี วำมหมำย ต้ำนทำนแบบอนุกรม ข้อมลู และลงข้อสรุป - ประเมินกำรปฏิบตั กิ จิ กรรมกำรตอ่ ตวั ตำ้ นทำนแบบขนำน - ประเมินกำรนำเสนอผลงำน - สังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนรำยบุคคล - สงั เกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนกลุ่ม - สังเกตควำมมวี ินยั รับผดิ ชอบ ใฝ่ เรียนรู้ และมุ่งม่ันในกำรทำงำน
1 หน่วยการเรียนรู้ แผนการจัดการเรยี นรู้ วธิ สี อน/วธิ ีการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ แผนท่ี 3 วงจร อิเลก็ ทรอนิกสเ์ บือ้ งตน้ 5Es Instructional Model แผนฯ ที่ 4 พลงั งำนไฟฟ้ำ 5Es Instructional Model กำลังไฟฟำ้ และกำร คำนวณค่ำไฟฟ้ำ
10 ทกั ษะท่ีได้ การประเมิน เวลา (ชั่วโมง) l - ทกั ษะกำรสงั เกต - ตรวจแบบฝึกหดั 4 - ทกั ษะกำรทดลอง - ตรวจ Topic Questions - ทักษะกำรจัดกระทำ - ตรวจใบงำนที่ 5.3.1 เร่ือง ชิ้นสว่ น และ สื่อควำมหมำย อิเลก็ ทรอนิกส์ ข้อมลู - ประเมนิ กำรปฏบิ ตั ิกจิ กรรมกำรต่อ วงจรทรำนซิสเตอร์ - ประเมินกำรนำเสนอผลงำน - สงั เกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนรำยบุคคล - สงั เกตพฤติกรรมกำรทำงำนกลุ่ม - สังเกตควำมมีวินัย รับผิดชอบ ใฝ่ เรียนรู้และมุ่งมั่นในกำรทำงำน l - ทกั ษะกำรสังเกต - ตรวจแบบฝกึ หดั 3 - ทักษะกำรคำนวณ - ตรวจแผนภำพแสดงระบบกำรสง่ - ทักษะกำรนำควำมรู้ไป กระแสไฟฟำ้ จำกโรงไฟฟำ้ ถงึ บ้ำนเรือน ใช้ - ตรวจใบงำนที่ 5.4.1 เร่อื ง พลังงำน ไฟฟ้ำ - ประเมินกำรนำเสนอผลงำน - สังเกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนรำยบคุ คล - สังเกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนกลุ่ม - สังเกตควำมมีวินัย รับผิดชอบ ใฝ่ เรยี นรู้และมงุ่ มน่ั ในกำรทำงำน
1 หน่วยการเรียนรู้ แผนการจดั การเรยี นรู้ วธิ สี อน/วธิ กี ารจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ แผนฯ ท่ี 5 วงจรไฟฟ้ำ 5Es Instructional Model และเครอื่ งใช้ไฟฟ้ำในบ้ำน แผนฯ ท่ี 6 กำรใช้ไฟฟำ้ 5Es Instructional Model อย่ำงประหยดั และ ปลอดภัย 6. คลื่น แผนฯ ท่ี 1 คล่นื กล 5Es Instructional Model
11 ทักษะที่ได้ การประเมิน เวลา l - ทักษะกำรสังเกต (ชัว่ โมง) - ทกั ษะกำรคำนวณ - ตรวจแบบฝกึ หดั 2 - ทกั ษะกำรวิเครำะห์ - ทกั ษะกำรนำควำมรไู้ ป - ตรวจใบงำนที่ 5.5.1 เร่ือง ประเภท ใช้ เครื่องใชไ้ ฟฟ้ำ l - ทกั ษะกำรนำควำมรไู้ ป - ประเมนิ กำรนำเสนอผลงำน ใช้ - สังเกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนรำยบคุ คล - ทกั ษะกำรลงควำมเห็น จำกข้อมูล - สังเกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนกลุ่ม l - ทักษะกำรสงั เกต - สังเกตควำมมีวินัย รับผิดชอบ ใฝ่ - ทกั ษะกำรทดลอง - ทักษะกำรคำนวณ เรยี นรู้ และมุ่งมั่นในกำรทำงำน - ทักษะกำรวเิ ครำะห์ - ตรวจแบบทดสอบหลงั เรยี น 3 - ตรวจแบบฝึกหดั - ตรวจ Topic Questions - ตรวจ Unit Question - ประเมินกำรปฏบิ ตั กิ ิจกรรม Fun Science Activity เรือ่ ง ไฟฉำยจำก ขวดพลำสติก - ประเมินกำรนำเสนอผลงำน - ตรวจและประเมินชน้ิ งำน/ผลงำน สง่ิ ประดิษฐก์ ำรตอ่ วงจรไฟฟ้ำ - สังเกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนรำยบคุ คล - สังเกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนกลมุ่ - สงั เกตควำมมวี นิ ยั รบั ผดิ ชอบ ใฝ่ เรยี นรู้และมงุ่ มั่นในกำรทำงำน - ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน 3 - ตรวจแบบฝึกหดั - ตรวจใบงำนที่ 6.1.1 เรือ่ ง คล่นื กล - ประเมนิ กำรปฏบิ ตั ิกจิ กรรมคล่นื ใน ลวด
หน่วยการเรียนรู้ แผนการจัดการเรยี นรู้ 1 วิธีสอน/วิธกี ารจดั กิจกรรมการเรียนรู้ แผนฯ ที่ 2 คลื่น 5Es Instructional Model แมเ่ หล็กไฟฟ้ำ แผนฯ ที่ 3 ประโยชน์ของ 5Es Instructional Model คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้ำ
12 ทกั ษะทีไ่ ด้ การประเมิน เวลา - ทกั ษะกำรลงควำมเหน็ (ช่ัวโมง) จำกข้อมูล สปรงิ l - ทักษะกำรวิเครำะห์ - ทกั ษะกำรนำควำมรไู้ ป - ประเมินกำรนำเสนอผลงำน ใช้ - ทักษะกำรลงควำมเห็น - สังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนรำยบคุ คล จำก ขอ้ มลู - สงั เกตพฤติกรรมกำรทำงำนกลมุ่ - สงั เกตควำมมีวนิ ยั รับผดิ ชอบ ใฝ่เรยี นรู้ และมุง่ มัน่ ในกำรทำงำน - ตรวจแบบฝึกหดั 2 - ประเมนิ กำรนำเสนอผลงำน - สงั เกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนรำยบคุ คล - สังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนกลมุ่ - สังเกตควำมมวี ินยั รบั ผดิ ชอบ ใฝเ่ รียนรู้ และมงุ่ มั่นในกำรทำงำน l - ทกั ษะกำรวเิ ครำะห์ - ตรวจแบบทดสอบหลังเรยี น 2 - ตรวจแบบฝึกหดั - ทกั ษะกำรนำควำมรไู้ ป - ตรวจ Topic Questions - ตรวจ Unit Question ใช้ - ประเมนิ กำรปฏิบตั ิกจิ กรรม Fun - ทกั ษะกำรลงควำมเห็น Science Activity เร่อื ง กระดำษ จำกข้อมูล ฟอยลก์ ับโทรศพั ทม์ ือถือ - ทกั ษะกำรตีควำมหมำย - ประเมนิ กำรนำเสนอผลงำน - ตรวจและประเมนิ แผนผังมโนทศั น์ ข้อมลู และลงขอ้ สรุป เรือ่ ง คลืน่ - สังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนรำยบคุ คล - สังเกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนกลุ่ม - สังเกตควำมมีวินัย รับผิดชอบ ใฝ่ เรยี นรู้และมงุ่ มั่นในกำรทำงำน
1 หนว่ ยการเรียนรู้ แผนการจดั การเรยี นรู้ วธิ ีสอน/วิธกี ารจัด กิจกรรมการเรียนรู้ 7. แสงและการมองเหน็ แผนฯ ท่ี 1 กำรสะทอ้ น ของ 5Es Instructional Model แสง แผนฯ ท่ี 2 กำรเกิดภำพ 5Es Instructional Model จำกกระจกเงำ แผนฯ ท่ี 3 กำรหกั เหของ 5Es Instructional Model แสง
13 ทกั ษะทีไ่ ด้ การประเมนิ เวลา (ชั่วโมง) l - ทักษะกำรวดั - ทักษะกำรสังเกต - ตรวจแบบทดสอบกอ่ นเรยี น 2 - ทกั ษะกำรทดลอง - ทกั ษะกำรลงควำมเหน็ - ตรวจแบบฝึกหัด จำกขอ้ มลู - ทกั ษะกำรจดั กระทำ - ประเมินกำรปฏิบัติกิจกรรมกำร และสื่อควำมหมำย ข้อมลู สะท้อน l - ทักษะกำรวดั ของแสง - ทักษะกำรสังเกต - ทักษะกำรทดลอง - ประเมินกำรนำเสนอผลงำน - ทกั ษะกำรลงควำม คดิ เหน็ จำกข้อมลู - สังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนรำยบคุ คล - สงั เกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนกลุม่ - สังเกตควำมมีวินัย รับผิดชอบ ใฝ่ เรียนรู้ และมงุ่ ม่ันในกำรทำงำน - ตรวจแบบฝกึ หดั 2 - ตรวจ Topic Questions - ตรวจใบงำนที่ 7.2.1 เรื่อง กำร สะท้อน ของแสง - ประเมินกำรปฏิบัติกิจกรรมภำพจำก กำรสะทอ้ นแสงของวตั ถทุ ่มี ีผิวรำบ - ประเมนิ กำรนำเสนอผลงำน - สังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนรำยบคุ คล - สงั เกตพฤติกรรมกำรทำงำนกลมุ่ - สังเกตควำมมีวินัย รับผิดชอบ ใฝ่ เรียนร้แู ละม่งุ มั่นในกำรทำงำน l - ทกั ษะกำรวดั - ตรวจแบบฝกึ หดั 5 - ทักษะกำรสังเกต - ตรวจ Topic Questions - ทักษะกำรทดลอง
หน่วยการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ 1 วิธสี อน/วธิ กี ารจัด กจิ กรรมการเรยี นรู้ แผนฯ ที่ 4 ปรำกฏกำรณ์ 5Es Instructional Model ที่เกยี่ วกบั แสง แผนฯ ที่ 5 ทัศนอปุ กรณ์ 5Es Instructional Model
14 ทกั ษะทีไ่ ด้ การประเมนิ เวลา - ทกั ษะกำรลงควำมเห็น (ชั่วโมง) จำกขอ้ มูล - ตรวจใบงำนท่ี 7.3.1 เรื่อง กำรหักเห - ทกั ษะกำรจัดกระทำ ของแสง และ สอื่ ควำมหมำย ขอ้ มูล - ประเมินกำรปฏิบัติกิจกรรมกำรหักเห l - ทกั ษะกำรสังเกต ของแสงผำ่ นตัวกลำงที่ต่ำงชนิดกนั - ทักษะกำรวเิ ครำะห์ - ทักษะกำรนำควำมรไู้ ป - ประเมนิ กำรนำเสนอผลงำน ใช้ - สังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนรำยบคุ คล l - ทกั ษะกำรสังเกต - ทักษะกำรวเิ ครำะห์ - สังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนกลุ่ม - ทกั ษะกำรนำควำมรไู้ ป ใช้ - สังเกตควำมมีวินัย รับผิดชอบ ใฝ่ - ทกั ษะกำรจัดกระทำ และส่ือควำมหมำยข้อมูล เรยี นรู้และมุ่งมน่ั ในกำรทำงำน - ทักษะกำรตีควำมหมำย ข้อมูลและลงขอ้ สรปุ - ตรวจแบบฝึกหดั 2 - ตรวจ Topic Questions - ต ร ว จ ใ บ ง ำ น ท่ี 7 . 4 . 1 เ ร่ื อ ง ปรำกฏกำรณ์ทีเ่ ก่ยี วกบั แสง - ประเมินกำรนำเสนอผลงำน - สังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนรำยบคุ คล - สังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนกลมุ่ - สังเกตควำมมีวินัย รับผิดชอบ ใฝ่ เรียนรู้และม่งุ มั่นในกำรทำงำน - ตรวจแบบฝึกหดั 2 - ตรวจใบงำนที่ 7.5.1 เรื่อง ทัศน อปุ กรณ์ - ประเมนิ กำรนำเสนอผลงำน - สังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนรำยบุคคล - สงั เกตพฤติกรรมกำรทำงำนกลุม่ - สังเกตควำมมีวินัย รับผิดชอบ ใฝ่ เรียนรู้และม่งุ มนั่ ในกำรทำงำน
1 หน่วยการเรียนรู้ แผนการจดั การเรียนรู้ วิธีสอน/วิธีการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ แผนฯ ที่ 6 ตำและกำร มองเหน็ 5Es Instructional Model แผนฯ ท่ี 7 ควำมสว่ำง วธิ สี อนแบบบรรยำย ของ (Lecture Method) แสง
15 ทักษะท่ีได้ การประเมนิ เวลา (ช่วั โมง) l - ทักษะกำรสงั เกต - ทกั ษะกำรนำควำมรไู้ ป - ตรวจแบบฝกึ หดั 2 ใช้ - ทกั ษะลงควำมเห็นจำก - ตรวจใบงำนท่ี 7.5.1 เรื่อง ทัศน ข้อมูล อุปกรณ์ - ทักษะกำรสงั เกต - ทักษะกำรนำควำมรไู้ ป - ประเมินกำรนำเสนอผลงำน ใช้ - ทักษะกำรลงควำมเห็น - สงั เกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนรำยบุคคล จำก ข้อมูล - สงั เกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนกลมุ่ - ทักษะกำรตคี วำมหมำย ขอ้ มูลและลงข้อสรุป - สังเกตควำมมีวินัย รับผิดชอบ ใฝ่ เรยี นรู้ และมุง่ มั่นในกำรทำงำน - ตรวจแบบทดสอบหลงั เรียน 2 - ตรวจแบบฝึกหดั - ตรวจ Topic Questions - ตรวจ Unit Question - ประเมนิ กำรปฏิบตั ิกจิ กรรม Fun Science Activity เร่ือง กลอ้ ง จุลทรรศน์ จำกโทรศพั ท์มอื ถือ - ประเมินกำรนำเสนอผลงำน - ตรวจและประเมนิ แผนผังมโนทศั น์ เรื่อง แสงและกำรมองเหน็ - สงั เกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนรำยบุคคล - สงั เกตพฤติกรรมกำรทำงำนกล่มุ - สังเกตควำมมีวินัย รับผิดชอบ ใฝ่ เรยี นรู้ และม่งุ มน่ั ในกำรทำงำน
1 หน่วยการเรียนรู้ แผนการจดั การเรียนรู้ วธิ สี อน/วิธีการจัด กิจกรรมการเรยี นรู้ 8. ปฏสิ มั พนั ธ์ใน แผนฯ ที่ 1 กำรโคจรของ ระบบสรุ ยิ ะและ ดำวเครำะหร์ อบ ดวง 5Es Instructional Model เทคโนโลยีอวกาศ อำทิตย์ แผนฯ ท่ี 2 กำรเกดิ ฤดกู ำล 5Es Instructional Model และกำรเคลอื่ นท่ปี รำกฏ ของดวงอำทติ ย์ แผนฯ ท่ี 3 กำรเกดิ ข้ำงขึน้ 5Es Instructional Model ข้ำงแรม
16 ทกั ษะทไ่ี ด้ การประเมนิ เวลา (ชว่ั โมง) - ทักษะกำรคำนวณ - ตรวจแบบทดสอบก่อนเรยี น - ทักษะกำรวเิ ครำะห์ - ตรวจแบบฝกึ หดั 2 - ทกั ษะกำรลงควำมเห็น - ตรวจใบงำนท่ี 8.1.1 เรอ่ื ง กำรโคจร จำกขอ้ มูล ของ 3 ดำวเครำะห์รอบดวงอำทติ ย์ - ทกั ษะกำรสังเกต - ประเมนิ กำรนำเสนอผลงำน 3 - ทักษะกำรทดลอง - สังเกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนรำยบุคคล - ทักษะกำรสรำ้ ง - สงั เกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนกลุม่ แบบจำลอง - สงั เกตควำมมวี นิ ัย รับผดิ ชอบ ใฝ่เรียนรู้ - ทักษะกำรลงควำมเห็น และมุง่ มน่ั ในกำรทำงำน จำก ขอ้ มลู - ตรวจแบบฝกึ หัด - ทักษะกำรตคี วำมหมำย - ตรวจใบงำนท่ี 8.2.1 เรื่อง กำรเกิด ขอ้ มลู และลงข้อสรุป ฤดกู ำล - ประเมนิ กำรปฏิบตั ิกิจกรรมแบบจำลอง - ทักษะกำรสังเกต กำรโคจรของโลกรอบดวงอำทิตย์ - ทกั ษะกำรทดลอง - ประเมนิ กำรนำเสนอผลงำน - ทกั ษะกำรสร้ำง - สังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนรำยบคุ คล แบบจำลอง - สังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนกลมุ่ - ทักษะกำรลงควำมเหน็ - สังเกตควำมมีวนิ ยั รบั ผิดชอบ ใฝเ่ รียนรู้ จำก ข้อมลู และมุ่งมนั่ ในกำรทำงำน - ทกั ษะกำรตีควำมหมำย - ตรวจแบบฝึกหดั - ตรวจใบงำนที่ 8.2.1 เรื่อง กำรเกิด ขำ้ งข้ึนขำ้ งแรม - ประเมินกำรปฏิบัติกิจกรรมกำรข้ึนและ ตกของดวงจนั ทร์ - ประเมินกำรนำเสนอผลงำน - สังเกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนรำยบคุ คล
1 แผนฯ ท่ี 4 กำรเกดิ น้ำข้นึ 5Es Instructional Model น้ำลง แผนฯ ที่ 5 กล้อง 5Es Instructional Model โทรทรรศน์ แผนฯ ที่ 6 ดำวเทยี มและ 5Es Instructional Model ยำนอวกำศ
17 ข้อมูลและลงขอ้ สรุป - สงั เกตพฤติกรรมกำรทำงำนกล่มุ 2 - สงั เกตควำมมวี นิ ยั รับผิดชอบ ใฝ่เรียนรู้ 2 - ทกั ษะกำรสังเกต และมุง่ มนั่ ในกำรทำงำน 2 - ทักษะกำรนำควำมรไู้ ปใช้ - ทักษะกำรตคี วำมหมำย - ตรวจแบบฝกึ หดั ขอ้ มูลและลงขอ้ สรุป - ตรวจ Topic Questions - ตรวจใบงำนท่ี 8.4.1 เรื่อง กำรเกิดน้ำ - ทักษะกำรสรำ้ ง ขน้ึ แบบจำลอง น้ำลง - ทักษะกำรนำควำมรไู้ ปใช้ - ประเมนิ กำรนำเสนอผลงำน - ทักษะกำรลงควำมเห็น - สังเกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนรำยบุคคล จำก - สงั เกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนกลมุ่ ขอ้ มลู - สังเกตควำมมวี ินัย รับผดิ ชอบ ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมัน่ ในกำรทำงำน - ทกั ษะกำรตคี วำมหมำย ขอ้ มูลและลงข้อสรปุ - ตรวจแบบฝึกหัด - ตรวจใบงำนที่ 8.5.1 เรื่อง หลักกำร - ทกั ษะกำรวเิ ครำะห์ ทำงำน - ทักษะกำรนำควำมรไู้ ปใช้ ของกลอ้ งโทรทรรศน์ - ทกั ษะกำรจัดกระทำและ - ตรวจใบงำนท่ี 8.5.2 เร่ือง กล้อง โทรทรรศน์ ส่ือควำมหมำยขอ้ มลู - ประเมินกำรนำเสนอผลงำน - ทักษะกำรตคี วำมหมำย - สงั เกตพฤติกรรมกำรทำงำนรำยบุคคล - สังเกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนกล่มุ - สงั เกตควำมมีวินัย รบั ผิดชอบ ใฝเ่ รยี นรู้ และมงุ่ ม่นั ในกำรทำงำน - ตรวจแบบฝึกหัด - ตรวจใบงำนท่ี 8.6.1 เรื่อง ดำวเทียม และ ยำนอวกำศ - ประเมนิ กำรนำเสนอผลงำน
1 แผนฯ ท่ี 7 นกั บินอวกำศ 5Es Instructional Model และโครงกำร สำรวจอวกำศ
18 ขอ้ มูลและลงขอ้ สรุป - สังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนรำยบุคคล 2 - สงั เกตพฤติกรรมกำรทำงำนกลมุ่ - ทกั ษะกำรสงั เกต - สังเกตควำมมวี นิ ยั รับผิดชอบ ใฝเ่ รียนรู้ - ทกั ษะกำรนำควำมรไู้ ปใช้ และมุ่งมน่ั ในกำรทำงำน - ทักษะกำรลงควำมเหน็ จำก - ตรวจแบบทดสอบหลงั เรยี น ข้อมลู - ตรวจแบบฝึกหดั - ทักษะกำรจดั กระทำและ - ตรวจ Topic Questions ส่ือควำมหมำยข้อมลู - ตรวจ Unit Question - ทกั ษะกำรตคี วำมหมำย - ประเมนิ กำรปฏบิ ัติกจิ กรรม Fun ขอ้ มูลและลงข้อสรุป Science Activity เรอ่ื ง จรวดไมข้ ดี ไฟ - ประเมนิ กำรนำเสนอผลงำน - ตรวจและประเมนิ แผนผังมโนทศั น์ เรือ่ ง ปฏิสมั พันธใ์ นระบบสรุ ยิ ะและ เทคโนโลยอี วกำศ - สังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนรำยบุคคล - สังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนกลมุ่ - สังเกตควำมมวี นิ ัย รบั ผดิ ชอบ ใฝเ่ รียนรู้ และมุ่งมั่นในกำรทำงำน
19 รายวชิ า วิทยาศาสตร์พ้นื ฐาน รหสั วิชา ว23102 วิทยาศาสตร์พ้ืนฐาน กลุม่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 3 เวลา 60 ชั่วโมง / ภาค เรยี น จานวน 1.5 หนว่ ยกิต ภาคเรียนท่ี 2 คาอธิบายรายวชิ า ศึกษำ วิเครำะห์ ปริมำณทำงไฟฟ้ำ กระแสไฟฟ้ำ ควำมต่ำงศักย์ ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกระแสไฟฟ้ำกับ ควำมต่ำงศักย์ กฎของโอห์ม ควำมต้ำนทำน ตัวต้ำนทำน กำรต่อตัวต้ำนทำนแบบอนุกรมและแบบขนำน ชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์อย่ำงง่ำย ไดโอด ทรำนซิสเตอร์ ตัวเก็บประจุ วงจรรวม กำรต่อวงจรอิเล็กทรอนิกส์ พลังงำนไฟฟ้ำ และกำลังไฟฟำ้ กำรคำนวณคำ่ ไฟฟ้ำ วงจรไฟฟำ้ ในบ้ำน อปุ กรณ์ไฟฟ้ำและเคร่ืองใช้ไฟฟำ้ ในบ้ำน กำรใช้ไฟฟำ้ อย่ำง ประหยัดและปลอดภัย กำรเกิดคลื่น ส่วนประกอบของคลื่น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำ สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำ ประโยชน์และกำรป้องกันอันตรำยจำกคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำ กำรสะท้อนของแสงบนกระจกเงำรำบ กำรสะท้อนของ แสงบนกระจกเงำโค้ง กำรหักเหของแสงผ่ำนเลนส์ กำรทดลองกำรหักเหของแสง กำรเกิดภำพจำกเลนส์บำง ปรำกฏกำรณท์ ีเ่ กี่ยวกับแสง เช่น รงุ้ มริ ำจ และกำรทำงำนของทัศนอุปกรณ์ เชน่ แว่นขยำย กระจกโค้งจรำจร กำร มองเห็นวัตถุ ควำมสว่ำงของแสง กำรโคจรของดำวเครำะห์รอบดวงอำทิตย์ กำรเกิดฤดูกำล กำรเคลื่อนที่ปรำกฏ ของดวงอำทิตย์ กำรเกิดข้ำงขึ้นข้ำงแรม กำรเกิดน้ำข้ึนน้ำลง น้ำเป็น น้ำตำย เทคโนโลยีอวกำศ กล้องโทรทรรศน์ ดำวเทยี มและยำนอวกำศ นักบนิ อวกำศ โครงกำรสำรวจอวกำศ โดยใช้กระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์ กระบวนกำรสืบเสำะหำควำมรู้ กำรสืบค้นข้อมูล กำรสัง เกต กำรวิเครำะห์ กำรทดลอง กำรอภิปรำย กำรอธิบำย และกำรสรุป เพื่อให้เกิดควำมรู้ ควำมคิด ควำมเข้ำใจ มีควำมสำมำรถในกำรตัดสินใจ สื่อสำรส่ิงที่เรียนรู้และนำควำมรู้ไปใช้ในชีวิตของตนเอง มีจิตวิทยำศำสตร์ จริยธรรม คณุ ธรรม และค่ำนยิ ม ตัวชวี้ ัด ว 2.3 ม.3/1 วิเครำะห์ควำมสัมพันธร์ ะหว่ำงควำมต่ำงศักย์กระแสไฟฟำ้ และควำมต้ำนทำน และคำนวณ ปรมิ ำณท่ีเกยี่ วขอ้ งโดยใชส้ มกำร V = IR จำกหลักฐำนเชิงประจักษ์ ว 2.3 ม.3/2 เขียนกรำฟควำมสัมพันธ์ระหวำ่ งกระแสไฟฟำ้ และควำมตำ่ งศกั ย์ไฟฟ้ำ ว 2.3 ม.3/3 ใช้โวลตม์ ิเตอร์ แอมมเิ ตอรใ์ นกำรวัดปรมิ ำณทำงไฟฟำ้ ว 2.3 ม.3/4 วเิ ครำะห์ควำมต่ำงศักยไ์ ฟฟ้ำและกระแสไฟฟำ้ ในวงจรไฟฟ้ำเมื่อต่อตัวตำ้ นทำนหลำยตวั แบบอนกุ รมและแบบขนำนจำกหลักฐำนเชงิ ประจักษ์ ว 2.3 ม.3/5 เขียนแผนภำพวงจรไฟฟำ้ แสดงกำรต่อตัวต้ำนทำนแบบอนกุ รมและขนำน ว 2.3 ม.3/6 บรรยำยกำรทำงำนของช้นิ สว่ นอเิ ล็กทรอนิกส์อยำ่ งง่ำยในวงจรจำกข้อมลู ท่ีรวบรวมได้ ว 2.3 ม.3/7 เขยี นแผนภำพและต่อชิ้นส่วนอิเล็กทรอนกิ สอ์ ย่ำงงำ่ ยในวงจรไฟฟ้ำ
20 ว 2.3 ม.3/8 อธิบำยและคำนวณพลังงำนไฟฟ้ำโดยใช้สมกำร W = Pt รวมท้ังคำนวณค่ำไฟฟ้ำของ เคร่อื งใช้ไฟฟ้ำในบ้ำน ว 2.3 ม.3/9 ตระหนักในคณุ ค่ำของกำรเลอื กใชเ้ คร่ืองใช้ไฟฟำ้ โดยนำเสนอวิธีกำรใช้เครือ่ งใช้ไฟฟ้ำอยำ่ ง ประหยดั และปลอดภยั ว 2.3 ม.3/10 สรำ้ งแบบจำลองท่อี ธิบำยกำรเกดิ คล่ืนและบรรยำยส่วนประกอบของคล่นื ว 2.3 ม.3/11 อธบิ ำยคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟำ้ และสเปกตรมั คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟำ้ จำกข้อมลู ที่รวบรวมได้ ว 2.3 ม.3/12 ตระหนักถึงประโยชน์และอนั ตรำยจำกคลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้ำโดยนำเสนอกำรใช้ประโยชน์ในดำ้ น ตำ่ ง ๆ และอนั ตรำยจำกคลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟ้ำในชีวิตประจำวัน ว 2.3 ม.3/13 ออกแบบกำรทดลองและดำเนนิ กำรทดลองด้วยวิธที ่ีเหมำะสมในกำรอธบิ ำยกฎกำรสะท้อนของ แสง ว 2.3 ม.3/14 เขยี นแผนภำพกำรเคลอ่ื นท่ีของแสง แสดงกำรเกิดภำพจำกกระจกเงำ ว 2.3 ม.3/15 อธบิ ำยกำรหักเหของแสงเมื่อผ่ำนตัวกลำงโปร่งใสท่แี ตกต่ำงกนั และอธิบำยกำรกระจำยแสง ของแสงขำวเมื่อผ่ำนปริซมึ จำกหลกั ฐำนเชิงประจักษ์ ว 2.3 ม.3/16 เขียนแผนภำพกำรเคลอ่ื นท่ีของแสงแสดงกำรเกิดภำพจำกเลนสบ์ ำง ว 2.3 ม.3/17 อธบิ ำยปรำกฏกำรณท์ เี่ ก่ียวกบั แสง และกำรทำงำนของทัศนอปุ กรณจ์ ำกข้อมูลท่ีรวบรวมได้ ว 2.3 ม.3/18 เขยี นแผนภำพกำรเคลอ่ื นที่ของแสง แสดงกำรเกดิ ภำพของทัศนอปุ กรณ์และเลนส์ตำ ว 2.3 ม.3/19 อธิบำยผลของควำมสวำ่ งที่มีต่อดวงตำจำกขอ้ มูลทไ่ี ดจ้ ำกกำรสืบค้น ว 2.3 ม.3/20 วดั ควำมสวำ่ งของแสงโดยใช้อปุ กรณ์วดั ควำมสว่ำงของแสง ว 2.3 ม.3/21 ตระหนักในคณุ ค่ำของควำมรเู้ รื่อง ควำมสว่ำงของแสงทมี่ ีต่อดวงตำ โดยวิเครำะหส์ ถำนกำรณ์ ปญั หำและเสนอแนะกำรจัดควำมสวำ่ งใหเ้ หมำะสมในกำรทำกิจกรรมต่ำง ๆ ว 3.1 ม.3/1 อธบิ ำยกำรโคจรของดำวเครำะหร์ อบดวงอำทติ ย์ด้วยแรงโน้มถ่วงจำกสมกำร F = (Gm1m2)/r2 ว 3.1 ม.3/2 สรำ้ งแบบจำลองท่ีอธิบำยกำรเกิดฤดู และกำรเคลือ่ นที่ปรำกฏของดวงอำทติ ย์ ว 3.1 ม.3/3 สรำ้ งแบบจำลองท่ีอธบิ ำยกำรเกิดขำ้ งข้ึน ขำ้ งแรม กำรเปลีย่ นแปลงเวลำกำรขึ้นและตกของ ดวงจนั ทร์ และกำรเกดิ นำ้ ขนึ้ น้ำลง ว 3.1 ม.3/4 อธิบำยกำรใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีอวกำศ และยกตัวอย่ำงควำมก้ำวหน้ำของโครงกำรสำรวจ อวกำศ จำกขอ้ มลู ทีร่ วบรวมได้ รวม 25 ตัวช้วี ัด
21 โครงสร้างรายวิชา วิทยาศาสตร์พ้ืนฐาน ม.3 ชื่อหนว่ ยการ มาตรฐานการ เวลา เรียนรู้ (ชวั่ โมง) ลาดับที่ เรยี นรู/้ สาระสาคัญ 1. ระบบนเิ วศ 12 ตัวช้ีวดั 2. พนั ธกุ รรม 24 ว 1.1 ระบบนิเวศประกอบด้วยองค์ประกอบที่ไม่มีชีวิตและ ม.3/1 องค์ประกอบท่ีมีชีวิตซึ่งมีปฏิสัมพันธ์กันอย่ำงเป็นระบบ ม.3/2 ตัวอย่ำงปฏิสัมพันธ์ระหว่ำงองค์ประกอบที่มีชีวิตกับ ม.3/3 องค์ประกอบที่ไม่มีชีวิต เช่น ต้นไม้ต้องกำรน้ำ แสง ธำตุ ม.3/4 อำหำร และแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ ตัวอย่ำงปฏิสัมพันธ์ ม.3/5 ระหว่ำงองค์ประกอบที่มีชีวิตกับองค์ประกอบที่มีชีวิต เช่น ม.3/6 กวำงกินหญ้ำ เสือกินกวำง แร้งกินซำกเสือที่ตำยแล้ว และ จุลินทรีย์จะย่อยสลำยซำกเสือให้กลำยเป็นสำรอินทรีย์ กลบั คนื สธู่ รรมชำติ สงิ่ มชี ีวติ ในระบบนเิ วศมีอยู่หลำยชนิด ซึ่งแต่ละชนิดตำ่ ง ก็มีรูปแบบควำมสัมพันธ์ท่ีแตกต่ำงกัน ควำมสัมพันธ์ระหวำ่ ง สิ่ ง มี ชี วิ ต ใ น ร ะ บ บ นิ เ ว ศ อ ำ จ ท ำ ใ ห้ ส่ิ ง มี ชี วิ ต บ ำ ง ช นิ ด ได้ประโยชน์ เสียประโยชน์ หรือไม่มีผลต่อกำรดำรงชีวิต ของสิ่งมชี ีวิตนัน้ สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศมีควำมเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน โดยมีกำรถ่ำยทอดพลังงำนในรูปของโซ่อำหำรและสำยใย อำหำร ซ่ึงโซ่อำหำรมีควำมสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตในบริเวณ เ ดี ย ว กั น ท่ี มี ก ำ ร ถ่ ำ ย ท อ ด พ ลั ง ง ำ น ผ่ ำ น ก ำ ร กิ น ต่ อ กั น เป็นทอดๆ เร่ิมจำกสิ่งมีชีวิตที่เป็นผู้ผลิต และสำยใยอำหำร เป็นกำรถ่ำยทอดพลังงำนผ่ำนกำรกินท่ีซับซ้อนมำกข้ึน ในระบบนิเวศจะมีกำรถ่ำยทอดพลังงำนเกิดข้ึนพร้อมกับ กำรหมุนเวียนสำร และในระบบหน่ึงประกอบด้วย องค์ ป ร ะ กอบ ที่ไม่ มีชี วิตแ ละองค์ ป ระกอบที่มีชีวิต ซ่ึงมีควำมสัมพันธ์กันอย่ำงเหมำะสม ระบบนิเวศจึงจะอยู่ใน สภำวะสมดลุ ว 1.3 ลักษณะทำงพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตสำมำรถถ่ำยทอด ม.3/1 จำกรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหน่ึงได้ โดยมียีนเป็นหน่วยควบคุม ม.3/2 ลักษณะทำงพันธุกรรม โดยยีนเป็นส่วนหน่ึงของสำยดีเอ็นเอ ม.3/3 และดีเอ็นเอจะขดกันเป็นโครโมโซมอยู่ภำยในนิวเคลียสของ ม.3/4 เซลล์ ส่ิงมีชีวิตชนิดเดียวกันจะมีจำนวนโครโมโซมเท่ำกัน ม.3/5 และอำจมีจำนวนโครโมโซมเท่ำหรือไม่เท่ำกับส่ิงมีชีวิต ม.3/6 ต่ำงชนิดกัน ซึ่งโครโมโซมแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ม.3/7 โครโมโซมร่ำงกำยและโครโมโซมเพศ และสิ่งมีชีวิตที่มี ม.3/8 โครโมโซม 2 ชุด อยู่กันเป็นคู่และมีกำรเรียงลำดับยีน ม.3/9 บนโครโมโซมเหมือนกัน เรยี กวำ่ ฮอมอโลกัสโครโมโซม
22 ชอื่ หนว่ ยการ มาตรฐานการ เวลา เรียนรู้ (ช่วั โมง) ลาดับที่ เรยี นร้/ู สาระสาคญั ตวั ช้ีวดั ม.3/10 เมลเดลเป็นบิดำแห่งวิชำพันธุศำสตร์ ศึกษำกำร ม.3/11 ถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรมของต้นถั่วลันเตำ พบว่ำ ผลกำรผสมพันธ์ุถ่ัวลันเตำท่ีมีลักษณะต่ำงกันในรุ่นพ่อแม่ ได้ลูกท่ีปรำกฏลักษณะเด่นในทุกรุ่น และลักษณะด้อยจะมี โอกำสปรำกฏในแต่ละรุ่นน้อยกว่ำ นำมำสู่หลักกำรพื้นฐำน กำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรม นอกจำกน้ี เมนเดล ได้สนั นษิ ฐำนว่ำ ยีนแตล่ ะตำแหน่งบนฮอมอโลกัสโครโมโซมมี 2 แอลลีล จะแยกออกจำกกันเม่ือมีกำรสร้ำงเซลล์สืบพันธุ์ หลังปฏิสนธิแอลลีลจะกลับมำเข้ำคู่กันอย่ำงอิสระ โดย แอลลีลหนึ่งไดร้ ับมำจำกพ่อ และอีกแอลลีลหน่ึงได้รับมำจำก แม่ ซ่ึงอำจมีรูปแบบเดียวกันหรือแตกต่ำงกัน โดยแอลลีล ท่ตี ่ำงกัน จะมแี อลลลี หนงึ่ สำมำรถขม่ อีกแอลลีลหน่ึงได้ เรยี ก แอลลีลที่ข่มอีกแอลลีลหน่ึงว่ำ แอลลีลเด่น ทำให้สิ่งมีชีวิต แสดงลกั ษณะเดน่ สว่ นแอลลลี ทถี่ กู ข่ม เรียกวำ่ แอลลลี ด้อย สงิ่ มชี ีวิตทกุ ชนิดลว้ นมีกำรแบ่งเซลล์ ซ่ึงแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ กำรแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสและไมโอซิส กำรแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสเป็นกำรแบ่งเซลล์เพ่ือเพิ่มจำนวน เซลล์ร่ำงกำย ได้เซลล์ใหม่จำนวน 2 เซลล์ ซึ่งแต่ละเซลล์มี จำนวนโครโมโซมเหมือนเซลล์ตั้งต้น และกำรแบ่งเซลล์แบบ ไมโอซสิ เป็นกำรแบ่งเซลลเ์ พื่อสร้ำงเซลลส์ ืบพันธุ์ ได้เซลลใ์ หม่ จำนวน 4 เซลล์ ซ่ึงแต่ละเซลล์จะมีจำนวนโครโมโซม เปน็ คร่ึงหนง่ึ ของเซลล์เดมิ กำรเปลี่ยนแปลงของยีนหรือโครโมโซมก่อให้เกิด โรคทำงพันธุกรรม เช่น โรคธำลัสซีเมียเกิดจำกกำร เปล่ียนแปลงของยีน กลุ่มอำกำรดำวน์เป็นกลุ่มอำกำรเกิด จำกกำรเปล่ียนแปลงจำนวนของโครโมโซม กลุ่มอำกำร คริดูชำเป็นกลุ่มอำกำรที่เกิดจำกควำมผิดปกติท่ีเกิดข้ึนกับ รูปร่ำงโครโมโซม นอกจำกน้ัน โรคทำงพันธุกรรมสำมำรถ ถ่ำยทอดจำกพ่อแม่ไปสู่ลูกได้ ดังน้ัน เพื่อป้องกันควำมเส่ียง จำกกำรถ่ำยทอดโรคทำงพันธุกรรม จึงควรตรวจและ วินิจฉัยภำวะเสี่ยงจำกกำรถ่ำยทอดโรคทำงพันธุกรรม กอ่ นแตง่ งำนหรือในระหว่ำงตง้ั ครรภ์ สิ่ ง มี ชี วิ ต ดั ด แ ป ร พั น ธุ ก ร ร ม คื อ ส่ิ ง มี ชี วิ ต ที่ มี กำรเปล่ียนแปลงพันธุกรรมโดยมนุษย์ซึ่งอำศัยควำมรู้ ทำงพันธุวิศวกรรม ซ่ึงเป็นกระบวนกำรท่ีนอกเหนือไปจำก กำรเปล่ียนแปลงตำมธรรมชำติ กำรสร้ำงส่ิงมีชีวิตดัดแปร พันธุกรรมทำได้โดยกำรถ่ำยทอดยีนท่ีมีลักษณะที่ต้องกำร
23 ชอ่ื หน่วยการ มาตรฐานการ เวลา เรยี นรู้ (ชั่วโมง) ลาดบั ที่ เรียนรู้/ สาระสาคญั ตวั ชวี้ ดั จำกส่ิงมีชีวิตหนึ่งเข้ำไปอยู่ในดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิตอีกชนิด หนึ่ง ทำให้สิ่งมีชีวิตท่ีได้รับยีนแสดงลักษณะตำมที่ต้องกำร และลักษณะดังกล่ำวสำมำรถถ่ำยทอดไปยังรุ่นลูกและหลำน ต่อไปได้ โดยมนุษย์ใช้ประโยชน์จำกส่ิงมีชีวิตดัดแปร พันธุกรรมในด้ำนต่ำงๆ เช่น กำรผลิตอำหำร ด้ำนกำรแพทย์ ด้ำนกำรเกษตร ด้ำนอุตสำหกรรม อย่ำงไรก็ตำม สังคมก็ยัง มี ค ว ำ ม กั ง ว ล เ ก่ี ย ว ค ว ำ ม ป ล อ ด ภั ย ใ น ก ำ ร บ ริ โ ภ ค แ ล ะ ผลกระทบของสง่ิ มีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมท่ีมตี ่อสง่ิ มีชวี ิตและ สิ่งแวดล้อม ดงั น้นั จงึ ควรศกึ ษำและติดตำมผลกระทบตอ่ ไป ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ควำมหลำกหลำยทำงระบบนิเวศ ควำมหลำกหลำย ของชนิดส่ิงมีชีวิต และควำมหลำกหลำยทำงพันธุกรรม ซ่ึง ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพในแต่ละพ้ืนที่จะแตกต่ำงกัน บำงพ้ืนท่ีมีควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพสูง บำงพื้นที่มี ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพต่ำ ซ่ึงควำมหลำกหลำย ทำงชีวภำพมีควำมสำคัญต่อกำรรักษำสมดุลของระบบนิเวศ และมีควำมสำคัญต่อมนุษย์ ดังนั้น จึงควรร่วมกันดูแลรักษำ ค ว ำ ม ห ล ำ ก ห ล ำ ย ท ำ ง ชี ว ภ ำ พ โ ด ย ก ำ ร ร่ ว ม กั น อ นุ รั ก ษ์ พันธุส์ ตั ว์ ใชท้ รพั ยำกรอยำ่ งประหยัดและรคู้ ณุ ค่ำ
24 ชือ่ หน่วยการ มาตรฐานการ เวลา เรียนรู้ (ชวั่ โมง) ลาดับท่ี เรยี นรู/้ สาระสาคญั 3. วัสดใุ น 11 ชีวิตประจำวนั ตัวชี้วดั 4. 13 ปฏกิ ริ ิยำเคมี ว 2.1 พอลิเมอร์เป็นสำรประกอบโมเลกุลใหญ่ท่ีเกิดจำก ม.3/1 โมเลกุลจำนวนมำกรวมตัวกันทำงเคมี เช่น พลำสติกเป็น ม.3/2 พอลิเมอร์ท่ีสำมำรถข้ึนรูปเป็นรูปทรงต่ำง ๆ ได้ ยำงเป็น พอลิเมอร์ท่ีสำมำรถยืดหยุ่นได้ และเส้นใยเป็นพอลิเมอร์ ที่สำมำรถดึงเป็นเส้นยำวได้ จึงถูกนำมำใช้ประโยชน์ ไดแ้ ตกต่ำงกนั เซรำมิกเป็นวัสดุที่ผลิตจำกดิน หิน ทรำย และแร่ธำตุ ต่ำงๆ จำกธรรมชำติ และส่วนมำกจะผ่ำนกำรเผำที่อุณหภูมิ สูงเพอื่ ใหไ้ ด้เนอื้ สำรที่แขง็ แรง เซรำมิกสำมำรถทำเป็นรูปทรง ต่ำงๆ ได้ มีลักษณะแข็ง ทนต่อกำรสึกกร่อน และเปรำะ จึง ส ำ ม ำ ร ถนำ ไ ป ใช้ ป ร ะ โ ย ชน์ไ ด้ เ ช่ น ภ ำ ชนะ ที่เ ป็ น เคร่อื งป้นั ดนิ เผำ ชิ้นส่วนอิเลก็ ทรอนกิ ส์ วัสดุผสมเป็นวัสดุท่ีเกิดจำกวัสดุต้ังแต่ 2 ประเภท ที่มีสมบัติต่ำงกัน เพ่ือนำไปใช้ประโยชน์ได้มำกข้ึน เช่น เส้ือกันฝนบำงชนิดเป็นวัสดุผสมระหว่ำงผ้ำกับยำง คอนกรีต เสริมเหลก็ เป็นวสั ดุผสมระหวำ่ งคอนกรีตกับเหลก็ ผลกระทบที่เกิดข้ึนจำกกำรใช้ผลิตภัณฑ์ท่ีทำจำก วัสดุประเภทพอลิเมอร์ เซรำมิก และวัสดุผสม ส่งผลกระทบ ต่อส่ิงแวดล้อม เน่ืองจำกผลิตภัณฑ์เหล่ำน้ีย่อยสลำยยำก จึงเกิดกำรสะสมและตกค้ำงอยู่ในส่ิงแวดล้อม ยำกต่อกำร กำจัด หำกนำไปเผำจะก่อให้เกิดควันพิษ เม่ือสูดดมจะเป็น อั น ต ร ำ ย ต่ อ ร่ ำ ง ก ำ ย ห ำ ก น ำ ไ ป ฝั ง ดิ น ก็ จ ะ ท ำ ใ ห้ ดนิ เส่อื มสภำพ สง่ ผลให้สภำพแวดลอ้ มปนเปอื้ นสำรเคมี เพ่อื ลดปัญหำจึงควรเลือกใช้วัสดุให้เหมำะสมต่อกำรใช้งำนและ งำ่ ยตอ่ กำรกำจัดหรือนำกลับมำใช้ใหม่ เพ่อื ลดปรมิ ำณขยะซงึ่ เป็นสำเหตุของปัญหำส่งิ แวดล้อม ว 2.1 ปฏิกิริยำเคมีหรือกำรเปล่ียนแปลงทำงเคมีของสำร ม.3/3 ทำให้เกิดสำรใหม่ โดยสำรที่เข้ำทำปฏิกิริยำเรียกว่ำ ม.3/4 สำรตั้งต้น และสำรที่เกิดขึ้นใหม่ เรียกว่ำ ผลิตภัณฑ์ ม.3/5 ที่มีสมบัติแตกต่ำงไปจำกสำรต้ังต้น เน่ืองจำกมีกำรจัดเรียง ม.3/6 อะตอมใหม่ของสำรตั้งต้นขณะเกิดปฏิกิริยำ ซ่ึงกำร ม.3/7 เกิดปฏิกิริยำเคมีดงั กลำ่ วสำมำรถเขยี นได้เปน็ สมกำรขอ้ ควำม ม.3/8 ที่แสดงถึงจำนวนอะตอมแต่ละชนิดก่อนและหลังกำรทำ ป ฏิ กิริ ย ำเ คมีจ ะมีจ ำนวนเท่ำกันและม วลร วมของ สำรตั้งต้นจะเท่ำกับมวลรวมของผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นไปตำม กฎทรงมวล
25 ชอ่ื หน่วยการ มาตรฐานการ เวลา เรยี นรู้ (ชัว่ โมง) ลาดบั ที่ เรียนรู้/ สาระสาคญั ตวั ชวี้ ดั ในขณะที่เกิดปฏิกิริยำเคมีจะมีกำรถ่ำยโอนควำมร้อน ควบคู่ไปกับกำรจัดเรียงตัวใหม่ของอะตอมของสำร แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ปฏิกิริยำท่ีมีกำรถ่ำยโอนควำมร้อนจำก ส่ิงแวดล้อมเข้ำสู่ระบบ เรียกว่ำ ปฏิกิริยำดูดควำมร้อน และ ป ฏิ กิ ริ ย ำ ท่ี มี ก ำ ร ถ่ ำ ย โ อ น ค ว ำ ม ร้ อ น จ ำ ก ร ะ บ บ อ อ ก สู่ ส่งิ แวดล้อม เรยี กวำ่ ปฏกิ ิริยำคำยควำมรอ้ น ปฏิกิริยำเคมีในชีวิตประจำวันมีหลำยชนิด เช่น ปฏิกิริยำกำรเผำไหม้เป็นปฏิกิริยำระหว่ำงสำรกับออกซิเจน ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นสำรประกอบท่ีมีคำร์บอนและไฮโดรเจน เป็นองค์ประกอบ กำรเกิดสนิมเหล็กเกิดจำกปฏิกิริยำเคมี ระหว่ำงเหล็ก น้ำ และออกซิเจน ได้ผลิตภัณฑ์เป็นสนิมของ เหล็ก ปฏิกิริยำของกรดกับโลหะจะได้ผลิตภัณฑ์เป็นเกลือ ของโลหะกับแก๊สไฮโดรเ จน ปฏิกิริยำของกรดกับ ส ำ ร ป ร ะ กอบ ค ำ ร์ บ อเ นต จะ ได้ ผ ลิต ภัณฑ์ เ ป็ นแก๊ส คำร์บอนไดออกไซด์ เกลือของโลหะ และน้ำ ปฏิกิริยำของ กรดกับเบสจะได้ผลิตภัณฑ์เป็นเกลือของโลหะและน้ำ ปฏิกิริยำของเบสกับโลหะบำงชนิดจะได้ผลิตภัณฑ์เป็นเกลือ ของเบสและแก๊สไฮโดรเจน กำรเกิดฝนกรดเกิดจำกปฏิกริ ิยำ ระหว่ำงน้ำฝนกับออกไซด์ของไนโตรเจน หรือออกไซด์ของ ซัลเฟอร์ ทำให้ไดน้ ้ำฝนที่มสี มบัติเปน็ กรด กำรสังเครำะหด์ ว้ ย แ ส ง ข อ ง พื ช เ ป็ น ป ฏิ กิ ริ ย ำ ที่ เ กิ ด ข้ึ น ร ะ ห ว่ ำ ง แก๊สคำร์บอนไดออกไซด์กับน้ำ โดยมีแสงเป็นปัจจัยที่ทำให้ เกิดปฏิกิริยำ และได้ผลิตภัณฑ์เป็นน้ำตำลกลูโคสและ แกส๊ ออกซเิ จน ควำมรู้เก่ียวกับปฏิกิริยำเคมีสำมำรถนำไปประยุกต์ ใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และสำมำรถบูรณำกำรกับ คณิตศำสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศำสตร์ เพื่อใช้ ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภำพตำมต้องกำร หรืออำจสร้ำง นวัตกรรมเพื่อป้องกันและแก้ปัญหำท่ีเกิดจำกปฏิกิริยำเคมี โดยใช้ควำมรู้เก่ียวกับปฏิกิริยำเคมี เช่น กำรเปลี่ยนแปลง พ ลั ง ง ำ น ค ว ำ ม ร้ อ น อั น เ น่ื อ ง ม ำ จ ำ ก ป ฏิ กิ ริ ย ำ เ ค มี กำรเพม่ิ ปริมำณผลผลติ
26 ช่อื หน่วยการ มาตรฐานการ เวลา เรยี นรู้ (ช่วั โมง) ลาดับท่ี เรียนรู/้ สาระสาคัญ 5. ไฟฟำ้ และ 20 อิเลก็ ทรอนกิ ส์ ตวั ชี้วดั ว 2.3 กระแสไฟฟ้ำ เป็นปริมำณประจุไฟฟ้ำท่ีเคล่ือนที่หรือ ถ่ำยเทจำกจุดหน่ึงไปยังอีกจุดหน่ึง เป็นควำมแตกต่ำงของ ม . 3/1 พลังงำนไฟฟ้ำต่อหน่วยประจุระหว่ำงจุด 2 จุด ซึ่งทำให้เกิด กระแสไฟฟ้ำ โดยกระแสไฟฟ้ำจะไหลจำกจุดที่มีระดับ ม . 3/2 พลังงำนไฟฟ้ำสูงกว่ำไปยังจุดที่มีระดับพลังงำนไฟฟ้ำต่ำกว่ำ และจะหยุดไหลเมื่อศักยไ์ ฟฟ้ำของทั้งสองจุดเท่ำกัน สำมำรถ ม . 3/3 วัดค่ำกระแสไฟฟ้ำได้โดยใช้แอมมิเตอร์ ซึ่งควำมสัมพันธ์ ระหว่ำงกระแสไฟฟ้ำและควำมต่ำงศักย์ เป็นไปตำมกฎของ ม . 3/4 โอห์ม มีใจควำมสำคัญว่ำ เมื่ออุณหภูมิคงท่ี กระแสไฟฟ้ำใน ตัวนำโลหะจะแปรผันตรงกับควำมต่ำงศักย์ระหว่ำงปลำยทงั้ ม . 3/5 2 ขำ้ ง ของตวั นำนนั้ กำรอำ่ นค่ำควำมต้ำนทำนท่แี สดงไวบ้ นตวั ต้ำนทำนอำ่ นได้ ม.3/6 หลำยแบบ เชน่ ตวั ตำ้ นทำนคำ่ คงท่ี มกั มแี ถบสีปรำกฏอยู่บน ม.3/7 ตัวต้ำนทำนแตกต่ำงกันไปตำมคำ่ ควำมต้ำนทำน โดยจะมีท้ัง ม.3/8 แบบ 4 แถบสี และ 5 แถบสี ซึ่งกำรอ่ำนค่ำควำมต้ำนทำน ม.3/9 จะต้องนำตัวต้ำนทำนไปเทียบกับตำรำงแสดงรหัสสขี องแถบ สบี นตัวตำ้ นทำนแล้วแปลงออกมำเป็นค่ำควำมตำ้ นทำน และ อุปกรณ์ไฟฟ้ำในวงจรไฟฟ้ำแต่ละชิ้นมักจะมีควำมต้ำนทำน เม่ือนำมำต่อเข้ำกันเป็นวงจรส่วนใหญ่จะเป็นกำรต่อแบบ อนุกรมและแบบขนำนข้ึนอยู่กับกำรใช้งำน โดยควำมต่ำง ศักย์ท่ีตกคร่อมตัวต้ำนทำนแต่ละตัวกับกระแสไฟฟ้ำท่ีไหล ผำ่ นในวงจรจะมคี ำ่ แตกต่ำงกนั ไปตำมรปู แบบกำรต่อวงจร ช้ินส่วนอิเล็กทรอนิกส์เป็นอุปกรณ์ท่ีสำคัญอย่ำงหนึ่งใน วงจรไฟฟ้ำ โดยช้ินส่วนอิเล็กทรอนิกส์แต่ละอย่ำงจะมีหน้ำท่ี แตกต่ำงกันไป เช่น ตัวต้ำนทำน ทำหน้ำที่ควบคุมปริมำณ กระแสไฟฟ้ำในวงจรไฟฟ้ำ ไดโอด ทำหน้ำท่ีให้กระแสไฟฟ้ำ ผ่ำนทำงเดียว ทรำนซิสเตอร์ ทำหน้ำที่เป็นสวิตช์ปิดหรือเปดิ วงจรไฟฟ้ำและควบคุมปริมำณกระแสไฟฟ้ำ ตัวเก็บประจุ ทำ หน้ำท่ีเก็บและคำยประจุไฟฟ้ำ กำรต่อชิ้นสว่ นอเิ ลก็ ทรอนิกส์ เข้ำในวงจรไฟฟ้ำจะต้องทำกำรต่อให้ถูกต้องและถูกหลักกำร ทำงไฟฟ้ำ จึงจะทำให้วงจรไฟฟ้ำน้ันทำงำนได้ตำมที่ต้องกำร และมีประสิทธภิ ำพ พลังงำนไฟฟ้ำเป็นงำนหรือพลังงำนที่ใช้ในกำรเคล่ือนที่ หรือกำรถ่ำยเทของประจุไฟฟ้ำจำกจุดหน่ึงไปยังจุดหน่ึง พลังงำนไฟฟ้ำที่ใช้ไปในหนึ่งหน่วยเวลำ เรียกว่ำ กำลังไฟฟ้ำ มีหน่วยเป็น วัตต์ หรือจูลต่อวินำที กล่ำวได้ว่ำ กำลังไฟฟ้ำ
27 ชือ่ หน่วยการ มาตรฐานการ เวลา เรียนรู้ (ช่วั โมง) ลาดับที่ เรยี นร/ู้ สาระสาคัญ 6. คล่นื 7 ตวั ชวี้ ัด คือ อัตรำกำรใช้พลังงำนไฟฟ้ำ เครื่องมือที่ใช้ในกำรวัด ปริมำณกำรไหลของกระแสไฟฟ้ำเข้ำสู่บ้ำนเรือนเรียกว่ำ มำตรไฟฟ้ำ ไฟฟ้ำท่ีใช้ในบ้ำนเรือนโดยทั่วไปเป็นไฟฟ้ำกระแสสลับมี ควำมต่ำงศักย์ 220 โวลต์ กำรส่งพลังงำนไฟฟ้ำเข้ำบ้ำนจะ ใช้สำยไฟฟ้ำ 2 สำย คือ สำยมีศักย์ เป็นสำยท่ีมีพลังงำน ศกั ยไ์ ฟฟ้ำ อำจเรยี กวำ่ สำย L และสำยกลำง มศี กั ยไ์ ฟฟ้ำเปน็ ศูนย์เมือ่ เทยี บกบั ดิน อำจเรียกวำ่ สำย N วงจรไฟฟ้ำในบ้ำนมี กำรต่อเคร่ืองใช้ไฟฟ้ำแบบขนำนเพ่ือให้ควำมตำ่ งศักย์เทำ่ กนั เคร่ืองใช้ไฟฟ้ำในบ้ำนเมื่อแบ่งตำมลักษณะพลังงำนท่ีได้รับ จำกเคร่ืองใช้ไฟฟ้ำ สำมำรถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ เคร่ืองใช้ไฟฟ้ำท่ีเปลี่ยนพลังงำนไฟฟ้ำเป็นพลังงำนแสงสว่ำง เคร่ืองใช้ไฟฟ้ำท่ีเปลี่ยนพลังงำนไฟฟ้ำเป็นพลังงำนควำมร้อน และเครอื่ งใชไ้ ฟฟำ้ ท่ีเปล่ยี นพลงั งำนไฟฟำ้ เป็นพลังงำนกล กำรใช้พลังงำนไฟฟ้ำมำกจะทำให้เสียค่ำไฟฟ้ำต่อหน่วย มำกข้ึนด้วย เพื่อควำมประหยดั ควรเลอื กใช้เครื่องใช้ไฟฟ้ำให้ เหมำะสมกับควำมต้องกำรในกำรใช้งำนเท่ำที่จำเป็น เพื่อ ควำมปลอดภัยของผู้ใช้ไฟฟ้ำควรใช้เคร่ืองใช้ไฟฟ้ำอย่ำง ระมดั ระวงั รวมท้งั ตรวจสอบสภำพกำรใช้งำนอย่ำงสม่ำเสมอ ว 2.3 คล่ืน (wave) เป็นปรำกฏกำรณ์ที่เกิดจำกกำรรบกวน ม.3/10 แหล่งกำเนิด หรือตัวกลำงเกิดกำรสั่นสะเทือนทำให้มีกำรแผ่ หรือถ่ำยโอนพลังงำนจำกกำรส่ันสะเทือนไปยังจุดอ่ืน ๆ โดย ม.3/11 ท่ีตัวกลำงน้นั ไมม่ กี ำรเคลอื่ นทไี่ ปกับคล่ืน กำรเกิดคล่นื น้ำเปน็ กำรถ่ำยโอนพลังงำนโดยผ่ำนโมเลกุลของน้ำ ซึ่งโมเลกุลของ ม.3/12 นำ้ จะไม่เคลอ่ื นทไ่ี ปกับคลนื่ คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้ำ (electromagnetic waves) เป็น คลื่นตำมขวำง ประกอบดว้ ยสนำมไฟฟำ้ และสนำมแมเ่ หล็กที่ มีกำรสั่นในแนวตั้งฉำกกันและอยู่บนระนำบตั้งฉำกกับทิศ ทำงกำรเคลื่อนที่ของคล่ืน โดยที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำเกิดจำก กำรรบกวนทำงแม่เหลก็ ไฟฟำ้ โดยกำรทำให้สนำมไฟฟ้ำ หรือ สนำมแม่เหล็กมีกำรเปล่ียนแปลง เมื่อสนำมไฟฟ้ำมีกำร เปลี่ยนแปลงจะเหน่ียวนำให้เกิดสนำมแม่เหล็ก หรือถ้ำ สนำมแม่เหล็กมีกำรเปล่ียนแปลงก็จะเหนี่ยวนำทำให้เกิด สนำมไฟฟำ้ คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้ำมีด้วยกันอยู่หลำยชนิด ซ่ึงแบ่งตำม ควำมถ่ีของคลื่น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำทุกช่วงที่มีควำมถ่ีที่ ต่อเนื่องกัน เรียกว่ำ สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำ
28 ชอื่ หนว่ ยการ มาตรฐานการ เวลา เรยี นรู้ (ชว่ั โมง) ลาดบั ท่ี เรยี นร/ู้ สาระสาคญั 7. แสง 17 ตวั ชีว้ ัด (electromagnetic spectrum) โดยคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้ำช่วง ควำมถ่ีต่ำง ๆ มีลักษณะเฉพำะตัว ซึ่งสำมำรถนำไปใช้ ประโยชน์ได้แตกต่ำงกนั คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้ำนำไปใช้ประโยชน์ในด้ำนต่ำง ๆ เช่น คล่ืนไมโครเวฟนำมำใช้ในกำรสื่อสำรผ่ำนดำวเทียม ใช้ในกำร รักษำโรคดว้ ยควำมรอ้ น ดำ้ นกำรแพทยม์ กี ำรนำเลเซอร์มำใช้ ผ่ำตัดหรอื รักษำอำกำรผิดปกตทิ ี่บริเวณตำ ด้ำนอุตสำหกรรม ใช้เลเซอร์ในกำรเช่ือมโลหะเข้ำด้วยกัน นอกจำกคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้ำจะนำมำใช้ประโยชน์แล้ว ยังมีโทษต่อมนุษย์ ด้วย เช่น คลื่นจำกโทรศัพท์มือถือส่งผลต่อกำรทำงำนของ สมอง เกิดกำรอักเสบของสมอง รังสีเอกซ์และรังสีแกมมำ เม่ือร่ำงกำยได้รับรังสีเข้ำไปอำจทำเซลล์เสื่อมสภำพส่งผลให้ อวยั วะต่ำง ๆ ทำงำนไมม่ ปี ระสทิ ธิภำพหรอื ไม่สำมำรถทำงำน ได้ ว 2.3 กำรสะท้อนของแสง เกิดจำกแสงเดินทำงไปตกกระทบ ม . 3/13 กับผิวของวัตถุที่แสงไม่สำมำรถเดินทำงผ่ำนได้ ทำให้แสงที่ ตกกระทบผิวของวัตถุน้ัน ๆ เกิดกำรสะท้อนกลับหมด ม.3/14 ลักษณะกำรสะท้อนของแสงจะสะท้อนกลบั มำกหรือน้อย จะ ม.3/15 ข้ึนอยู่กบั ลักษณะของผิวของวัตถทุ ี่แสงตกกระทบ ม.3/16 กำรสะท้อนของแสงบนกระจกเงำรำบ ทำให้เกิด ม.3/17 ภำพเสมือนหัวต้ังท่ีมีขนำดเท่ำกับวัตถุ แต่ภำพท่ีเห็นจะกลับ ม.3/18 ด้ำนจำกซ้ำยเป็นขวำ ส่วนกำรสะท้อนของแสงบนกระจกเงำ ม.3/19 นนู ทำให้เกิดภำพเสมือนหวั ต้ังท่ีมขี นำดเล็กกว่ำวตั ถุ สว่ นกำร ม.3/20 สะท้อนของแสงบนกระจกเงำเว้ำ สำมำรถเกิดภำพได้หลำย ม . แบบขึน้ อยู่กบั ระยะระหว่ำงวตั ถกุ บั กระจก 3 กำรหักเหของแสง เกิดจำกกำรท่ีควำมเร็วของแสง / เปลี่ยนไป เมื่อเดินทำงผ่ำนตัวกลำงต่ำงชนิดกัน แสงจะเบน 2 มำกหรือน้อยขึ้นอยู่กับควำมหนำแน่นและดรรชนีกำรหักเห 1 ของตัวกลำงที่แสงเดินทำงผ่ำน กำรหักเหของแสงผ่ำนเลนส์ นูน ทำให้เกิดภำพได้หลำยแบบข้ึนอยู่กับระยะระหว่ำงวัตถุ กับเลนส์ และกำรหักเหของแสงผ่ำนเลนส์เว้ำ ทำให้เกิด ภำพเสมอื นหวั ตัง้ ขนำดเล็กกวำ่ วัตถุ กฎกำรสะท้อนของแสงและกำรหักเหของแสง สำมำรถ นำมำใช้อธิบำยปรำกฏกำรณ์ท่ีเกี่ยวกับแสง เช่น รุ้ง พระ อำทิตย์ทรงกลด ภำพลวงตำหรือมิรำจ ทัศนอุปกรณ์เป็นอุปกรณ์ที่สร้ำงข้ึนมำใช้งำนโดยอำศัย ควำมรู้เร่ืองหลักกำรทำงแสงมำใช้ และอำศัยควำมรู้เกี่ยวกบั
29 ช่อื หน่วยการ มาตรฐานการ เวลา เรียนรู้ (ชั่วโมง) ลาดบั ที่ เรยี นรู้/ สาระสาคัญ ตัวชีว้ ดั กำรเกิดภำพจำกอุปกรณ์พ้ืนฐำน เช่น เลนส์ กระจกเงำรำบ กระจกเงำเว้ำ ตัวอย่ำงของทัศนอุปกรณ์ ได้แก่ แว่นขยำย แว่นตำ กล้องจุลทรรศน์ กล้องโทรทรรศน์ ทัศนอุปกรณ์ เหลำ่ นี้นำไปประโยชน์ในงำนด้ำนตำ่ ง ๆ กำรรับภำพของนัยน์ตำมนุษย์ เกิดจำกกำรสะท้อนของ แสงจำกวัตถุเข้ำตำ ทำให้เกิดภำพวัตถุบนจอตำ ข้อมูลของ วัตถุที่มองเห็นจะถูกส่งขึ้นไปยังสมองตำมเส้นประสำท ซึ่ง สมองจะทำหน้ำท่ีแปลขอ้ มูลเหลำ่ น้ันใหเ้ ปน็ ภำพของวตั ถุ ควำมสว่ำงของแสงไม่ว่ำมีมำกหรือน้อย ล้วนมีผลต่อ กล้ำมเน้ือท้ังส้ิน กล่ำวคือ ถ้ำมีแสงสว่ำงมำกม่ำนตำจะต้อง ปรับควำมสว่ำงของแสงท่ีเข้ำมำบนจอตำให้เล็กลง แต่ถ้ำมี แสงน้อย ม่ำนตำจะเปิดกว้ำงมำก เพ่ือให้แสงสว่ำงเข้ำมำสู่ นัยน์ตำอย่ำงเพียงพอ ดังน้ันในกำรปฏิบัติงำน หรือกำร ทำงำนประเภทต่ำง ๆ จึงจำเป็นต้องให้มีแสงสว่ำงในแต่ละ หน่วยพื้นที่อย่ำงเพียงพอ ซึ่งเรำจะรู้ได้ก็โดยใช้เครื่องวัดแสง วัด เคร่อื งมอื ทจี่ ะใชว้ ัดปรมิ ำณแสงท่ตี กกระทบต่อหนึ่งหน่วย พน้ื ท่ี เรยี กว่ำ ลกั ซ์มเิ ตอร์ (luxmeter)
30 ลาดับที่ ชื่อหนว่ ยการ มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา 8. เรียนรู้ เรยี นร/ู้ (ช่ัวโมง) ตัวช้วี ัด 16 ปฏสิ มั พนั ธใ์ น ว 3.1 ดวงอำทิตย์เป็นศูนย์กลำงของระบบสุริยะมีดำวเครำะห์ ระบบสรุ ิยะและ ม.3/1 ต่ำง ๆ โคจรอยู่โดยรอบ ซึ่งดำวเครำะห์ที่เป็นบริวำร ขนำด เทคโนโลยีอวกำศ ม.3/2 ใหญ่ของดวงอำทิตย์มี 8 ดวง เรียงลำดับจำกใกล้ไปไกล ม.3/3 ได้แก่ ดำวพุธ ดำวศุกร์ โลก ดำวอังคำร ดำวพฤหัสบดี ดำว ม.3/4 เสำร์ ดำวยูเรนัส และดำวเนปจูน ซ่ึงดำวเครำะห์และวัตถุ เหล่ำน้ีสำมำรถโคจรรอบดวงอำทิตย์ด้วยได้ด้วยแรงดึงดูด ระหว่ำงวัตถุสองวัตถุซึ่งเรียกว่ำ แรงโน้มถ่วง (gravitational force) กำรท่ีโลกโคจรรอบดวงอำทิตย์ในลักษณะท่ีแกนโลก เอียงทำมุมประมำณ 23.5 องศำ กับแนวต้ังฉำกของระนำบ ทำงโคจร ทำให้ส่วนต่ำง ๆ บนโลกได้รบั ปรมิ ำณแสงจำกดวง อำทิตย์แตกต่ำงกันในรอบปีเกิดเป็นฤดูกำล (seasons) โลก หมุนรอบตัวเอง 1 รอบ ใช้เวลำ 24 ชั่วโมง หรือ 1 วัน โดย หมุนจำกทศิ ตะวันตกไปยงั ทศิ ตะวันออก กำรหมนุ รอบตัวเอง ของโลกทำให้เรำสังเกตเห็นกำรเคลื่อนที่ปรำกฏของดวง อำทิตย์จำกทิศตะวันออกไปยั งทิศตะวันต ก เรียก ปรำกฏกำรณ์ท่ีเกิดน้ีว่ำ กำรข้ึนและตกของดวงอำทิตย์ ซึ่ง สังเกตเห็นได้จำกบริเวณขอบฟ้ำ เรียกบริเวณท่ีดวงอำทิตย์ ข้ึนจำกขอบฟ้ำว่ำ ทิศตะวันออก และเรียกบริเวณท่ีดวง อำทิตยต์ กจำกขอบฟำ้ วำ่ ทิศตะวนั ตก ดวงจันทร์มกี ำรหมนุ รอบตัวเองและโคจรรอบโลก ซงึ่ ดวง จันทร์รับแสงจำกดวงอำทิตย์ครึ่งดวงตลอดเวลำ ด้ำนสว่ำง ได้รับแสงจำกดวงอำทิตย์ แต่ด้ำนตรงข้ำมกับดวงอำทิตย์ถูก บังด้วยเงำของตัวเอง ดวงจันทร์มีกำรหมุนรอบตัวเองเท่ำกบั คำบกำรโคจรรอบโลก ทำให้ดวงจันทร์หันด้ำนเดียวเข้ำหำ โลก เม่ือดวงจันทร์โคจรรอบโลกจะหันส่วนสว่ำงมำยังโลก แตกต่ำงกัน ทำให้เรำสังเกตเห็นส่วนสว่ำงของดวงจันทร์ แตกต่ำงไปในแตล่ ะวนั เกดิ เป็นข้ำงขนึ้ ขำ้ งแรม ปรำกฏกำรณ์น้ำข้ึนน้ำลง เป็นปรำกฏกำรณ์ท่ีเก่ียวข้อง กับดวงอำทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก ซ่ึงเป็นผลมำจำกควำม ต่ำงของแรงโน้มถ่วงท่ีดวงอำทิตย์และดวงจันทร์กระทำต่อ โลก แต่เน่ืองจำกระยะห่ำงระหว่ำงดวงอำทิตย์กับโลก มำกกว่ำระยะหำ่ งระหว่ำงโลกกับดวงจันทรม์ ำก จึงทำให้ดวง จนั ทร์มีอทิ ธพิ ลตอ่ กำรเกดิ นำ้ ขึ้นนำ้ ลงมำกกวำ่ ดวงอำทิตย์ เทคโนโลยีอวกำศ คือ กำรนำควำมรู้ วิธีกำรต่ำง ๆ ทำง วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีมำใช้ให้เหมำะสมในกำรศึกษำ ทำงดำรำศำสตร์และอวกำศ ตลอดจนสำมำรถนำมำ
31 ชอ่ื หน่วยการ มาตรฐานการ เวลา เรยี นรู้ (ชัว่ โมง) ลาดบั ที่ เรียนรู้/ สาระสาคญั ตวั ชวี้ ดั ประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับทรัพยำกรธรรมชำติและกำร ดำรงชีวิตของมนุษย์ เช่น กำรนำเทคโนโลยีอวกำศมำใช้ สำรวจและตรวจสอบสภำพอำกำศของโลก กล้องโทรทรรศน์ เป็นอุปกรณห์ นง่ึ ท่ีใช้ในกำรสำรวจอวกำศ ช่วยทำให้สำมำรถ มองเห็นวัตถใุ นท้องฟำ้ ได้ชดั เจนมำกกว่ำกำรมองด้วยตำเปล่ำ ซึ่งกล้องโทรทรรศน์ประกอบด้วย เลนส์นูนสองอันทำงำน ร่วมกัน เลนส์นูนที่อยู่ด้ำนใกล้วัตถุทำหน้ำท่ีรวมแสง ส่วน เลนส์นนู ทอ่ี ยใู่ กล้ตำทำหน้ำทีเ่ พมิ่ กำลงั ขยำย ดำวเทียม คือสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์สร้ำงข้ึนแล้วส่งขึ้นไป โคจรรอบโลก โดยอำศัยควำมเข้ำใจเก่ียวกับแรงโน้มถ่วงของ โลก ควำมเร็วในกำรโคจรและวงโคจรของดำวเทียม ทำให้ ดำวเทียมสำมำรถโคจรรอบโลกได้ ซ่ึงดำวเทียมมีประโยชน์ ต่อกำรดำรงชีวิตของมนุษย์ในหลำย ๆ ด้ำน และเป็น ยำนพำหนะท่ีออกแบบขึ้นมำเพ่ือใช้ในกำรบินไปในอวกำศ ยำนอวกำศถูกนำมำใช้ประโยชน์หลำกหลำยด้ำนแล้วแต่ วตั ถุประสงค์ เช่น กำรสอื่ สำรโทรคมนำคม กำรอตุ ุนิยมวิทยำ กำรนำทำง กำรสำรวจดำวเครำะห์ และกำรสำรวจอวกำศ นักบินอวกำศ เป็นบุคคลที่เดินทำงไปกับยำนอวกำศ ไม่ ว่ำจะไปในฐำนะใดหรือยำนอวกำศแบบใด ท้ังทโ่ี คจรรอบโลก ในระยะควำมสงู จำกพนื้ รำว 80-100 กโิ ลเมตรขึ้นไป หรอื ที่ เดินทำงนอกวงโคจรของโลก กำรสำรวจอวกำศ เป็นกำรใช้ วิทยำกำรด้ำนดำรำศำสตร์และอวกำศเพ่ือสำรวจและศึกษำ อวกำศ โครงกำรสำรวจอวกำศต่ำง ๆ ได้พัฒนำเพ่ิมพูน ควำมรู้ควำมเข้ำใจต่อโลก ระบบสุริยะและเอกภพมำกขึ้น ตำมลำดับ กำรสำรวจอวกำศเรม่ิ ต้นมำตงั้ แตส่ มัยโบรำณ โดย เร่ิมตั้งแต่กำรสังเกตด้วยตำเปล่ำจนมีวิวัฒนำกำรเทคโนโลยี อวกำศตำ่ ง ๆ มำกมำยในปัจจบุ ัน
32 กำรวดั ผลประเมนิ ผล/ข้อตกลงเฉพำะวิชำ วิธีกำรประเมินผล กำรประเมนิ ผลกำรเรยี นให้ถือปฏิบตั ดิ ังน้ี 1. ทำกำรวดั และประเมนิ ผลกำรเรยี นรู้ตำมตัวช้ีวัดทก่ี ำหนดในหนว่ ยกำรเรียนรดู้ ว้ ยวธิ กี ำรที่ หลำกหลำย ใหไ้ ดผ้ ลกำรประเมนิ ตำมควำมสำมำรถทแี่ ท้จริงของผู้เรียน ให้ควำมสำคัญกับกำรประเมินระหวำ่ งภำค เรียนมำกกวำ่ กำรประเมินปลำยภำค 2. ประเมินผลก่อนเรยี น เพ่ือศึกษำควำมรู้พน้ื ฐำนของผูเ้ รยี น 3. วดั และประเมนิ ผลระหว่ำงเรียนเพ่อื ศกึ ษำผลกำรเรยี น ให้มุ่งหำคำตอบวำ่ ผ้เู รยี นมคี วำมกำ้ วหน้ำ ทั้งด้ำนควำมรู้ ทักษะกระบวนกำร คณุ ธรรม และคำ่ นยิ มอันพงึ ประสงค์ กำรวดั และประเมนิ ผลต้องใช้วธิ ีกำรท่ี หลำกหลำย ประเมนิ ตำมสภำพจรงิ 4. กำหนดอัตรำสว่ นคะแนนระหวำ่ งภำค:สอบปลำยภำคดังน้ี อัตรำสว่ นคะแนน อตั รำสว่ นคะแนนผลกำรเรียนรู้ อตั รำส่วนคะแนนผลกำรเรยี นรู้ ระหวำ่ งภำค:สอบปลำยภำค กอ่ นสอบกลำงภำค:หลังสอบกลำงภำค ก่อนสอบปลำยภำค:หลงั สอบปลำยภำค 70:30 25:20 25:30 5. กำรประเมินกำรอำ่ น คดิ วเิ ครำะห์และเขียน เปน็ กำรประเมินศักยภำพของผู้เรยี นในกำรอ่ำน กำร ฟงั กำรดูและกำรรับรู้ จำกหนงั สอื เอกสำร และสือ่ ต่ำง ๆ ไดอ้ ย่ำงถกู ต้องแล้วนำมำคิดวิเครำะห์เนื้อหำสำระที่ นำไปสู่กำรแสดงควำมคิดเห็น ถ่ำยทอดควำมคิดเหน็ น้ันด้วยกำรเขยี นซง้ึ สะท้อนถึงสตปิ ัญญำ ควำมรู้ ควำมสมำรถ ในกำรวิเครำะห์ 6. กำรประเมินคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ ตำมหลกั สูตรแกนกลำงกำรศึกษำขนั้ พน้ื ฐำนพทุ ธศกั รำช 2551 และตำมทสี่ ถำนศึกษำกำหนดเพิ่มเตมิ เปน็ กำรประเมินรำยบุคคลเกณฑ์กำรวัดและ ประเมนิ ผลกำรเรียนรู้ 1. กำรตัดสนิ ผลกำรเรียน หลกั เกณฑ์กำรวัดและประเมินผลกำรเรยี นรเู้ พอื่ ตดั สินผลกำรเรยี นของผู้เรยี นของผ้เู รียนตำมหลกั สูตร แกนกลำงกำรศึกษำข้นั พนื้ ฐำน พทุ ธศักรำช 2551 มดี งั นี้ 1) ตดั สินผลกำรเรียนเป็นรำยวชิ ำ รำยบุคคล ผ้เู รยี นตอ้ งมีเวลำเรยี นตลอดภำคเรียนไมน่ ้อยกวำ่ ร้อยละ 80 ของเวลำเรยี นทง้ั หมดในรำยวิชำนน้ั ๆ 2) ผู้เรียนต้องไดร้ ับกำรประเมินทกุ ตัวช้ีวดั และผำ่ นเกณฑต์ ำมเกณฑ์ทสี่ ถำนศึกษำกำหนด(เกณฑ์กำรผ่ำน รำยวชิ ำพนื้ ฐำนและเพิ่มเติม กำหนดตัวช้ีวัดท่ตี อ้ งผำ่ นต้องไม่นอ้ ยกวำ่ ร้อยละ 60 ของแตล่ ะรำยวชิ ำ กำรพิจำรณำเล่อื นชน้ั ถำ้ นักเรียนมขี ้อบกพร่องบำงตวั ช้ีวัด ซึง่ สถำนศึกษำพจิ ำรณำเห็นว่ำสำมำรถ พฒั นำและสอนซ่อมเสรมิ ได้ ก็ให้อยู่ในดลุ ยพินจิ ของสถำนศึกษำทจี่ ะผ่อนผันให้เลอ่ื นช้ันได้) 3) ผู้เรยี นต้องได้รับกำรตัดสินผลกำรเรยี นทกุ รำยวชิ ำ 4) ผู้เรยี นตอ้ งได้รบั กำรประเมนิ และมีผลกำรประเมนิ ผำ่ นเกณฑ์ตำมที่สถำนศกึ ษำกำหนดในกำรอ่ำน คิด วิเครำะหแ์ ละเขียน คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์และกจิ กรรมพัฒนำผ้เู รียน 2. กำรให้ระดบั ผลกำรเรยี น
33 ในกำรตัดสนิ เพ่อื ใหร้ ะดับผลกำรเรยี นรำยวิชำของกล่มุ สำระกำรเรียนรู้ ให้ใช้ตัวเลขแสดงระดับผลกำร เรียนเปน็ 8 ระดับ รำยวิชำท่จี ะนบั หนว่ ยกิตได้ จะต้องได้ระดบั ผลกำรเรียนต้งั แต่ 1 ขน้ึ ไป โดยมี แนวกำรใหร้ ะดบั ผลกำรเรยี น ดงั น้ี คะแนนร้อยละ ระดับผลกำรเรียน ควำมหมำยผลกำรประเมนิ 80-100 4 ดีเย่ียม 75-79 3.5 ดมี ำก 70-74 3 ดี 65-69 2.5 คอ่ นข้ำงดี 60-64 2 ปำนกลำง 55-59 1.5 พอใช้ 50-54 1 0-49 0 ผ่ำนเกณฑ์ข้ันต่ำ ต่ำกว่ำเกณฑ์ กำรประเมนิ กำรอ่ำน คดิ วเิ ครำะหแ์ ละเขยี น และคุณลักษณะอันพงึ ประสงคน์ ัน้ ให้ระดับผลกำรประเมิน ผ่ำน และ ไมผ่ ำ่ น กรณีท่ผี ำ่ นให้ระดับผลกำรเรียนเปน็ ดเี ยีย่ ม ดี และผำ่ น ดงั น้ี 3. กำรประเมินกำรอำ่ น คดิ วิเครำะห์และเขยี น ดีเยีย่ ม หมำยถงึ สำมำรถจบั ใจควำมสำคัญได้ครบถ้วน เขยี นวิพำกษ์วิจำรณ์ เขยี น สร้ำงสรรค์ แสดงควำมคดิ เห็นประกอบอย่ำงมเี หตผุ ลได้ถูกต้องและ สมบูรณ์ใชภ้ ำษำสุภำพและเรยี บร้อยอย่ำงสละสลวย ดี หมำยถงึ สำมำรถจับใจควำมสำคัญได้ เขยี นวิพำกษว์ จิ ำรณ์และเขียนสรำ้ งสรรค์ได้ โดยใช้ภำษำสุภำพ ผ่ำน หมำยถงึ สำมำรถจับใจควำมสำคัญ และเขยี นวพิ ำกษว์ จิ ำรณไ์ ดบ้ ำ้ ง 4. กำรประเมินคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ ดเี ยย่ี ม หมำยถงึ ผู้เรยี นมีคุณลกั ษณะในกำรปฏิบตั ิตนเปน็ นสิ ัยและนำไปใชไ้ ด้ใน ชวี ติ ประจำวนั เพ่ือประโยชน์สขุ ของตนเองและสังคม ดี หมำยถึง ผูเ้ รียนมคี ุณลักษณะในกำรปฏบิ ัติตำมเกณฑ์ เพื่อให้เปน็ ทยี่ อมรับของสงั คม ผำ่ น หมำยถึง ผูเ้ รียนรับรู้และปฏิบัติตำมเกณฑแ์ ละเงื่อนไข ทส่ี ถำนศกึ ษำกำหนด ในกรณีทผ่ี ้เู รยี นไดผ้ ลกำรเรยี นต่ำกวำ่ เกณฑท์ ่ีกำหนด ใหค้ รผู สู้ อนดำเนินกำรซ่อมเสริมปรบั ปรงุ แก้ไข ในสำระกำรเรียนรู้ที่ไม่ผ่ำนเกณฑ์ ดว้ ยวธิ กี ำรที่มปี ระสิทธภิ ำพ จนผเู้ รียนมีควำมรู้ ทักษะ กระบวนกำร ผ่ำนเกณฑ์ขั้นต่ำท่ีกำหนด ภำยในภำคเรยี นถัดไปผลกำรประเมนิ ที่ได้ไมเ่ กิน 1 ในกรณที ีผ่ เู้ รียนไม่เข้ำรับกำรซอ่ มเสรมิ ในระยะเวลำท่กี ำหนด ใหค้ รูผ้สู อนบันทึกข้อควำมเสนอผู้บริหำร ตำมลำดบั ขัน้ เพอื่ เสนอต่อคณะกรรมกำรบริหำรหลักสูตรและวิชำกำรพิจำรณำเปน็ กรณีต่อไป
34 “เงอ่ื นไขกำรตดิ ร” คือนักเรียนท่ไี ม่ได้วัดผลกำรเรียนรกู้ ลำงภำค หรือปลำยภำค หรอื ไมส่ ง่ งำนท่ี มอบหมำย เกิน 3 คร้งั ขอ้ เสนอแนะอ่นื ๆ ............................................................................................................................. ................................................. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. (ลงชอ่ื )............................................................ครผู ู้สอน ( นำงสำวภักดนิ ันท์ สมรักษ์ ) ตำแหนง่ ครู ............................................................................................................................. ................................................. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. (ลงชอ่ื )............................................................หัวหน้ำกลุ่มสำระ ( นำงสำวภทั ริยำ โพธศิ์ รคี ณุ ) ตำแหน่ง ครู วทิ ยฐำนะชำนำญกำรพิเศษ ............................................................................................................................. ....................................................... ....................................................................................................................................................................... .. (ลงชอ่ื )............................................ผชู้ ว่ ยผอู้ ำนวยกำรกลมุ่ บริหำรวชิ ำกำร ( นำยเถลิงศักดิ์ เถำวโ์ ท ) ตำแหน่ง. ครู วทิ ยฐำนะ. ครูชำนำญกำรพิเศษ ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ............................................ (ลงชอ่ื )............................................ ( นำยวทิ ยำ ทรวงดอน ) รองผอู้ ำนวยกำรโรงเรียนน้ำปลกี ศกึ ษำ ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ............................................ (ลงช่อื )............................................ ( นำยโชติชยั กิง่ แก้ว ) ผอู้ ำนวยกำรโรงเรยี นน้ำปลีกศึกษำ
Search
Read the Text Version
- 1 - 44
Pages: