Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิเคราะห์หลัสูตรวิชาวิทยาศาสตร์

วิเคราะห์หลัสูตรวิชาวิทยาศาสตร์

Published by pakdinan somrak, 2020-09-13 05:02:54

Description: วิเคราะห์หลัสูตรวิชาวิทยาศาสตร์

Search

Read the Text Version

1 วิเคราะห์หลกั สูตรสู่การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ รหัสวิชา ว23101 รายวิชาวิทยาศาสตร์พน้ื ฐาน ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 ภาคเรียนที่ 1/๒๕๖3 นางสาวภักดินันท์ สมรกั ษ์ ตาแหน่ง ครู โรงเรียนน้าปลีกศกึ ษา สหวิทยา ๓ หัวตะพาน สานักงานเขตพนื้ ท่ีการศึกษามธั ยมศึกษาเขต ๒๙ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน

2 บนั ทกึ ขอ้ ความ ส่วนราชการโรงเรยี นนา้ ปลกี ศกึ ษา อา้ เภอเมอื ง จงั หวัดอ้านาจเจรญิ ท่ี ............................................................วันท.ี่ ............เดือน............... พ.ศ. 25........ เรื่อง รายงานผลการวิเคราะห์หลักสตู รสู่การจดั ทาแผนการจดั การเรยี นรู้ เรยี น ผู้อานายการโรงเรียนนาปลีกศกึ ษา ตามที่โรงเรียนนาปลีกศึกษา ได้มอบหมายให้ข้าพเจ้า นางสาวภักดินันท์ สมรักษ์ ตาแหน่ง ครู รายงาน ผลการวเิ คราะหห์ ลกั สตู รสู่การจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อวเิ คราะหห์ ลักสตู รแลว้ นาไปสู่การจดั ทาแผนให้ตรง กบั หลกั สตู ร เพือ่ นาไปใช้ในการจดั การเรียนการสอนต่อไป ดังนันข้าพเจ้าไดจ้ ัดทารายงานผลการวิเคราะหห์ ลักสูตร สกู่ ารจัดทาแผนการจดั การเรยี นรู้ เรียบร้อยแลว้ จึงเสนอรายงานผล ต่อผ้บู รหิ ารต่อไป จึงเรยี นมาเพ่ือโปรดทราบและพจิ ารณา ลงชื่อ............................................................. (นางสาวภกั ดนิ นั ท์ สมรักษ์) ความคิดเหน็ ของผู้อานวยการโรงเรยี น ............................................................................................................................. ....................................................... ..................................................................................................................................................... ............................... ลงช่อื ............................................................. (นายสเุ มธ หน่อแก้ว) ผูอ้ านวยการโรงเรียนนาปลีกศึกษา

3 คา้ น้า รายงานผลการวิเคราะห์หลักสตู รสู่การจดั ทาแผนการจัดการเรียนรู้ จดั ทาขนึ มาเพื่อรายงานผลการ วิเคราะห์หลักสตู รเพอ่ื นาไปสู่การเขยี นแผนการจัดการเรยี นรู้ เพ่อื นาไปใชก้ บั นักเรยี นให้สอดคลอ้ งกับมาตรฐาน ตวั ชีวัดแกนกลาง รายงานเล่มนเี ปน็ รายงานทจี่ ดั ทาโดยวเิ คราะห์จากหลกั สูตรโรงเรียนและสอดคล้องกับหลักสูตร ปรับปรงุ 60 รายงานเล่มนจี ะเปน็ ประโยชน์มากน้อยเพยี งใดขึนอย่กู บั ผู้ที่ศกึ ษา หากข้าพเจ้าเขยี นขาดตกบกพรอ่ ง ประการใดตอ้ งขออภัยไว้ ณ ทนี่ ีด้วย

4 หนา้ สารบัญ ๑ ๑ เรื่อง ๑ ๑ วิสัยทศั น์ ๒ พันธกิจ ๓ จดุ มุ่งหมาย 4 สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น 5 คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ ๑๓ คณุ ภาพผู้เรียนจบชันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๓ ๑๔ จำนวน มำตรฐำนและตวั ช้ีวัดกลมุ่ สำระกำรเรียนรู้วทิ ยำศำสตร์ ๒4 โครงสรำ้ งแผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ วทิ ยำศำสตร์พ้ืนฐำน ม.3 คาอธิบายรายวชิ า โครงสรำ้ งรำยวชิ ำ วิทยำศำสตร์พืน้ ฐำน ม.3 กำรวดั ผลประเมินผล/ขอ้ ตกลงเฉพำะวิชำ

5 เอกสารวเิ คราะหห์ ลักสูตรสู่การจัดท้าแผนการจดั การเรยี นรู้ วิชาวิทยาศาสตร์ วิสยั ทัศน์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ มุ่งให้นักเรียนมีความสามารถในการเรียนรู้ โดยใช้ทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ในการเชอ่ื มโยงความรู้ รวมทังพัฒนานักเรียนให้มีเจตคติ คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมที่เหมาะต่อ วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสังคมและส่ิงแวดล้อมซ่ึงเป็นการศึกษาตลอดชีวิตบนพืนฐานความเช่ือว่าทุกคนสามารถ เรียนรู้และพัฒนาตนเองไดเ้ ตม็ ตามศักยภาพ พนั ธกจิ ๑. พัฒนาใหน้ ักเรยี นมคี วามรคู้ วามสามารถทาด้านวิทยาศาสตร์ ๒. พฒั นาทักษะในการศกึ ษาคน้ คว้าทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ๓. นาความรู้ ความเข้าใจในเร่อื งวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีไปใชป้ ระโยชน์ตอ่ สังคมและการ ดารงชีวติ ๔. พัฒนาศกั ยภาพนักเรียนส่งเสรมิ ผเู้ รยี นเขา้ รับการแขง่ ขันทังภายในและภายนอก จดุ มงุ่ หมาย ๑. นกั เรียนเข้าใจหลกั การ ทฤษฎีทเี่ ปน็ พนื ฐานในวิทยาศาสตร์ ขอบเขต ธรรมชาติและข้อจากัดของ วทิ ยาศาสตร์ ๒. นักเรยี นมที ักษะทสี่ าคญั ในการศกึ ษาค้นควา้ ทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๓. นกั เรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นเพิม่ สูงขึน ๔. เพือ่ นาความรู้ความเขา้ ใจเร่อื งวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยไี ปใช้ให้เกิดประโยชน์ตอ่ สังคมและการ ดารงชีวติ ๕. เพอ่ื ใหค้ นมีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จรยิ ธรรมและค่านิยมในการใช้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี อย่างสร้างสรรค์ สมรรถนะส้าคญั ของผู้เรียน หลกั สตู รโรงเรยี นนาปลีกศกึ ษา ตามแนวหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั พนื ฐานพุทธศกั ราช ๒๕๕๑ ม่งุ พฒั นาผู้เรยี นให้มีคุณภาพมาตรฐานการเรียนรู้ ซงึ่ การพฒั นาผ้เู รียนให้บรรลุมาตรฐานการเรยี นร้นู ัน จะชว่ ยให้ ผู้เรียนเกดิ สมรรถนะสาคญั ๕ ประการ ดังนี ๑. ความสามารถในการสื่อสาร เปน็ ความสามารถในการรับและสง่ สาร มวี ฒั นธรรมในการใช้ภาษา ถ่ายทอดความคดิ ความรูค้ วามเข้าใจ ความรสู้ ึก และทศั นะของตนเองเพ่อื แลกเปลีย่ นข้อมลู ข่าวสารและ ประสบการณ์อันจะเปน็ ประโยชน์ตอ่ การพัฒนาตนเองและสังคม รวมทังการเจรจาตอ่ รองเพื่อขจดั และลดปญั หา ความขดั แย้งต่างๆ การเลอื กรับหรอื ไมร่ ับขอ้ มลู ขา่ วสารดว้ ยหลกั เหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้ วธิ ีการสอ่ื สาร ทีม่ ปี ระสิทธิภาพโดยคานึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม

6 ๒. ความสามารถในการคดิ เป็นความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ การคิดสงั เคราะห์ การคดิ อย่าง สรา้ งสรรค์ การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ และการคดิ เปน็ ระบบ เพอื่ นาไปสู่การสรา้ งองคค์ วามรหู้ รอื สารสนเทศเพ่ือ การตัดสินใจเกย่ี วกับตนเองและสงั คมไดอ้ ย่างเหมาะสม ๓. ความสามารถในการแกป้ ัญหา เป็นความสามารถในการแกป้ ัญหาและอุปสรรคตา่ งๆ ทเี่ ผชิญไดอ้ ยา่ ง ถกู ต้องเหมาะสมบนพืนฐานของหลักเหตผุ ล คณุ ธรรมและขอ้ มลู สารสนเทศ เข้าใจความสัมพนั ธแ์ ละการ เปล่ยี นแปลงของเหตกุ ารณต์ ่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยกุ ต์ความรู้มาใชใ้ นการป้องกนั และแก้ไขปัญหา และมีการตัดสนิ ใจท่ีมปี ระสิทธภิ าพโดยคานงึ ถึงผลกระทบทเ่ี กิดขนึ ต่อตนเอง สังคมและสง่ิ แวดล้อม ๔. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนากระบวนการต่างๆ ไปใชใ้ น การดาเนิน ชีวิตประจาวนั การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง การเรยี นรู้อยา่ งต่อเนื่อง การทางาน และการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสรา้ ง เสริมความสมั พนั ธ์อนั ดรี ะหว่างบคุ คล การจดั การปญั หาและความขดั แยง้ ต่างๆ อย่างเหมาะสมการปรับตัวให้ทนั กบั การเปล่ยี นแปลงของสังคมและสภาพแวดลอ้ ม และการรู้จกั หลกี เล่ียง พฤตกิ รรมไม่พึงประสงคท์ ีส่ ่งผลกระทบ ต่อตนเองและผู้อืน่ ๕. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลอื ก และใช้ เทคโนโลยดี ้านต่าง ๆ และ มีทกั ษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสงั คม ในด้านการเรียนรู้ การสอ่ื สาร การทางาน การ แกป้ ญั หาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมคี ุณธรรม คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ หลกั สูตรโรงเรียนนาปลกี ศึกษา พุทธศักราช ๒๕๕๙ ตามแนวหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั พืนฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ เพ่ือใหส้ ามารถอย่รู ่วมกันกับผู้อนื่ ในสงั คมได้ อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมอื งไทยและพลโลก ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง ดังนี ๑. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ ๒. ซื่อสัตย์ สจุ รติ ๓. มวี นิ ยั ๔. ใฝเ่ รยี นรู้ ๕. อยู่อยา่ งพอเพยี ง ๖. มุ่งมัน่ ในการทางาน ๗. รักความเปน็ ไทย ๘. มีจิตสาธารณะ

7 คณุ ภาพผ้เู รียน จบชนั มัธยมศกึ ษาปีที่ ๓ ๑. เข้าใจลกั ษณะและองค์ประกอบทีส่ าคัญของเซลลส์ ิ่งมชี ีวติ ความสมั พนั ธ์ของการทางาน ของระบบตา่ ง ๆ การถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม เทคโนโลยชี ีวภาพ ความหลากหลายของ สิ่งมชี ีวติ พฤติกรรมและการตอบสนองต่อสิง่ เรา้ ของสงิ่ มชี วี ิต ความสัมพันธร์ ะหว่างสิ่งมชี ีวติ ใน สง่ิ แวดลอ้ ม ๒. เข้าใจองคป์ ระกอบและสมบตั ขิ องสารละลาย สารบริสุทธ์ิ การเปลี่ยนแปลงของสารใน รปู แบบของการเปล่ยี นสถานะ การเกิดสารละลายและการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี ๓. เขา้ ใจแรงเสยี ดทาน โมเมนต์ของแรง การเคล่ือนท่ีแบบต่าง ๆ ในชีวิตประจาวนั กฎการ อนุรกั ษ์พลังงาน การถ่ายโอนพลงั งาน สมดลุ ความร้อน การสะท้อน การหักเหและความเขม้ ของแสง ๔. เขา้ ใจความสัมพันธร์ ะหวา่ งปริมาณทางไฟฟ้า หลกั การต่อวงจรไฟฟา้ ในบ้าน พลงั งาน ไฟฟา้ และหลักการเบืองต้นของวงจรอเิ ล็กทรอนิกส์ ๕. เขา้ ใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงของเปลอื กโลก แหล่งทรพั ยากรธรณี ปจั จยั ที่มผี ลต่อการ เปล่ยี นแปลงของบรรยากาศ ปฏสิ มั พันธภ์ ายในระบบสรุ ิยะ และผลทม่ี ีต่อสิ่งต่าง ๆ บนโลก ความสาคัญ ของเทคโนโลยอี วกาศ ๖. เขา้ ใจความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งวทิ ยาศาสตร์กบั เทคโนโลยี การพัฒนาและผลของการพัฒนา เทคโนโลยีต่อคณุ ภาพชวี ติ และสิ่งแวดลอ้ ม ๗. ตังคาถามที่มีการกาหนดและควบคมุ ตวั แปร คิดคาดคะเนคาตอบหลายแนวทาง วางแผน และลงมือสารวจตรวจสอบ วิเคราะห์และประเมนิ ความสอดคล้องของข้อมลู และสรา้ งองคค์ วามรู้ ๘. สื่อสารความคิด ความรู้จากผลการสารวจตรวจสอบโดยการพดู เขียน จดั แสดง หรอื ใช้เทคโนโลยี สารสนเทศ ๙. ใช้ความรูแ้ ละกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยใี นการดารงชวี ติ การศึกษาหา ความรเู้ พม่ิ เตมิ ทาโครงงานหรอื สรา้ งชินงานตามความสนใจ ๑๐. แสดงถงึ ความสนใจ มงุ่ ม่ัน รบั ผิดชอบ รอบคอบ และซื่อสตั ย์ในการสืบเสาะหาความรูโ้ ดยใช้ เครอื่ งมอื และวิธกี ารทใ่ี ห้ได้ผลถูกตอ้ งเชือ่ ถือได้ ๑๑. ตระหนกั ในคณุ คา่ ของความรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิตประจาวันและการประกอบ อาชพี แสดงความชื่นชม ยกย่องและเคารพสิทธิในผลงานของผู้คดิ ค้น ๑๒. แสดงถึงความซาบซึง หว่ งใย มพี ฤติกรรมเกย่ี วกบั การใชแ้ ละรกั ษาทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอ้ มอย่างรู้คุณค่า มสี ่วนร่วมในการพิทักษ์ ดูแลทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล้อมในท้องถ่ิน ๑๓. ทางานรว่ มกบั ผอู้ ่ืนอย่างสรา้ งสรรค์ แสดงความคิดเห็นของตนเองและยอมรับฟังความคิดเหน็ ของ ผู้อื่น

8 จานวน มาตรฐานและตัวชี้วัดกลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ สาระ มาตรฐาน จานวนตัวชว้ี ัด/ระดับชนั้ ม.3 รวม ภาค ๑ ภาค ๒ ๑ ว. 1.1 ม.3/1-3/6 2 ว.1.3 ม.3/1-3/11 3 ว.2.1 ม.3/1-3/8 รวม 3 25 เวลำเรียน/หน่วยกติ ๖๐/๑.๕

9 โครงสร้างแผนการจัดการเรีย หน่วยการเรียนรู้ แผนการจดั การเรยี นรู้ แนวคิด/รูปแบบการ - ทักษะ 1. ระบบนเิ วศ สอน/วิธีการสอน/ - ทกั ษะ แผนท่ี 1 องค์ประกอบ - ทกั ษะ ของระบบ เทคนิค - ทัก ษ นเิ วศ 5Es Instructional ควำม Model แผนที่ 2 ควำมสัมพันธ์ 5Es Instructional - ทกั ษะ ระหว่ำง Model - ทกั ษะ สง่ิ มชี วี ติ - ทักษ ในระบบนเิ วศ ขอ้ มูล

9 ยนรู้ วทิ ยาศาสตร์พืนฐาน ม.3 ทกั ษะทไ่ี ด้ การประเมนิ เวลา (ช่ัวโมง) ะกำรวดั - ตรวจแบบทดสอบกอ่ นเรียน 3 ะกำรสังเกต - ตรวจแบบฝกึ หดั ะกำรจำแนกประเภท - ตรวจใบงำนท่ี 1.1 เร่ือง ระบบนเิ วศจำลอง ษะ ก ำ ร จั ด ทำ แ ล ะ ส่ื อ - ประเมนิ กำรปฏบิ ตั กิ ำร มหมำยขอ้ มลู - ประเมินกำรนำเสนอผลงำน - สังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนรำยบคุ คล - สังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนกลมุ่ - สังเกตควำมมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งม่ันใน กำรทำงำน ะกำรสำรวจคน้ หำ - ตรวจแบบฝึกหัด 3 ะกำรจำแนกประเภท - ตรวจใบงำนที่ 1.2 เรื่อง ควำมสัมพันธ์ ษะกำรลงควำมเห็นจำก ระหวำ่ งส่ิงมชี วี ติ ในระบบนเิ วศ - ประเมินกำรนำเสนอผลงำน - สังเกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนกล่มุ - สังเกตควำมมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งม่ันใน กำรทำงำน

1 หน่วยการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ แนวคดิ /รปู แบบการ สอน/วธิ ีการสอน/ แผนที่ 3 โซอ่ ำหำรและ - ทักษะ สำยใยอำหำร เทคนิค - ทักษ 5Es Instructional ข้อมูล Model แผนที่ 4 สมดลุ ระบบ 5Es Instructional - ทักษะ นิเวศ Model - ทักษ ข้อมลู - ทกั ษะ และล

10 ทักษะท่ไี ด้ การประเมิน เวลา (ชั่วโมง) ะกำรสังเกต - ตรวจแบบฝึกหดั 4 ษะกำรลงควำมเห็นจำก - ตรวจแบบจำลองกำรถ่ำยทอดพลังงำนในสำยใย ล อำหำร - ประเมินกำรปฏบิ ตั กิ ำร - ประเมนิ กำรนำเสนอผลงำน - สังเกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนกลมุ่ - สังเกตควำมมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งม่ันใน กำรทำงำน ะกำรสังเกต - ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน 2 ษะกำรลงควำมเห็นจำก - ตรวจแบบฝึกหัด ล - ตรวจผงั มโนทศั น์ เรอื่ ง ระบบนิเวศ ะกำรตคี วำมหมำยข้อมลู - สงั เกตพฤติกรรมกำรทำงำนกลุ่ม ลงข้อสรปุ - สังเกตควำมมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นใน กำรทำงำน

1 หนว่ ยการเรยี นรู้ แผนการจดั การเรียนรู้ แนวคิด/รูปแบบการ - ทักษ 2. พนั ธกุ รรม สอน/วิธีการสอน/ ขอ้ มลู แผนท่ี 1 โครโมโซม ดเี อน็ เอ และ เทคนคิ ยีน แบบบรรยำย (Lecture Method) แผนที่ 2 กำรศึกษำ แบบบรรยำย - ทกั ษะ พนั ธศุ ำสตร์ (Lecture Method) และล ของเมนเดล แผนท่ี 3 กำรถำ่ ยทอด 5Es Instructional - ทักษะ ยนี บน Model ขอ้ มูล โครโมโซม แผนที่ 4 กำรแบ่งเซลล์ 5Es Instructional - ทักษะ ของสง่ิ มีชวี ติ Model - ทกั ษะ ขอ้ มูล

11 ทกั ษะทไี่ ด้ การประเมนิ เวลา (ชัว่ โมง) ษะกำรลงควำมเห็นจำก - ตรวจแบบทดสอบกอ่ นเรยี น 4 3 - ตรวจแบบฝึกหดั 4 3 - ตรวจแบบจำลองโครโมโซม - ประเมนิ กำรปฏิบัตกิ ำร - สังเกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนรำยบุคคล - สังเกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนกลุ่ม - สังเกตควำมมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นใน กำรทำงำน ะกำรตคี วำมหมำยข้อมลู - ตรวจแบบฝึกหดั ลงข้อสรปุ - ตรวจใบงำนที่ 2.1 เร่ือง กำรศึกษำพันธุ ศำสตร์ ของเมนเดล - สังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนรำยบุคคล - สังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนกลุ่ม - สงั เกตควำมมวี นิ ยั ใฝเ่ รยี นรู้ และมุ่งมั่นใน กำรทำงำน ะกำรลงควำมเหน็ จำก - ตรวจแบบฝกึ หดั ล - ตรวจแบบจำลองยีนบนโครโมโซม - ประเมินกำรปฏบิ ตั ิกำร - สังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนรำยบคุ คล - สังเกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนกลมุ่ - สังเกตควำมมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งม่ันใน กำรทำงำน ะกำรสงั เกต - ตรวจแบบฝึกหดั ะกำรลงควำมเหน็ จำก - ตรวจใบงำนที่ 2.2 เรื่อง กำรแบ่งเซลล์ของ สง่ิ มีชวี ติ

1 หน่วยการเรียนรู้ แนวคดิ /รูปแบบการ แผนการจัดการเรียนรู้ สอน/วิธีการสอน/ เทคนคิ แผนที่ 5 ควำมผดิ ปกติ 5Es Instructional - ทกั ษะ ทำงพนั ธุกรรม Model ขอ้ มูล แผนท่ี 6 สงิ่ มีชวี ิตดดั 5Es Instructional - ทักษะ แปรพนั ธกุ รรม Model ข้อมลู

12 การประเมิน เวลา (ช่ัวโมง) ทกั ษะทไี่ ด้ - ประเมินกำรปฏบิ ตั ิกำร - ประเมินกำรนำเสนอผลงำน - สังเกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนรำยบุคคล - สังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนกลมุ่ - สังเกตควำมมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นใน กำรทำงำน ะกำรลงควำมเหน็ จำก - ตรวจแบบฝกึ หดั 4 - ตรวจใบงำนที่ 2.3 เรื่อง โรคทำงพนั ธกุ รรม - ประเมนิ กำรปฏิบตั กิ ำร - ประเมินกำรนำเสนอผลงำน - สงั เกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนรำยบุคคล - สังเกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนกลมุ่ - สังเกตควำมมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นใน กำรทำงำน ะกำรลงควำมเหน็ จำก - ตรวจแบบฝกึ หดั 4 - ประเมนิ กำรปฏบิ ตั ิกำร - ประเมนิ กำรนำเสนอผลงำน - สงั เกตพฤติกรรมกำรทำงำนรำยบคุ คล - สังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนกลมุ่ - สังเกตควำมมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นใน กำรทำงำน

1 หน่วยการเรียนรู้ แนวคดิ /รปู แบบการ แผนการจัดการเรียนรู้ สอน/วธิ ีการสอน/ เทคนิค แผนที่ 7 ควำม 5Es Instructional - ทกั ษะ หลำกหลำย Model - ทกั ษะ ทำงชวี ภำพ และล

13 การประเมนิ เวลา (ชวั่ โมง) ทักษะที่ได้ ะกำรสงั เกต - ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน 2 ะกำรตคี วำมหมำยขอ้ มลู - ตรวจแบบฝึกหัด ลงข้อสรุป - ตรวจผังมโนทศั น์ เรอื่ ง พนั ธุกรรม - ตรวจผังมโนทัศน์ เรื่อง ควำมหลำกหลำยทำง ชีวภำพ - ประเมนิ กำรปฏบิ ตั ิกำร - ประเมนิ กำรนำเสนอผลงำน - สังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนรำยบคุ คล - สงั เกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนกลุ่ม - สังเกตควำมมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งม่ันใน กำรทำงำน

1 หน่วยการเรยี นรู้ แผนการจดั การเรียนรู้ แนวคิด/รปู แบบการ - ทักษะ แผนที่ 1 พอลเิ มอร์ สอน/วธิ กี ารสอน/ 3. วสั ดใุ น - ทกั ษะ ชีวิตประจำวนั เทคนคิ และล 5Es Instructional Model แผนท่ี 2 เซรำมกิ แบบบรรยำย - ทกั ษะ (Lecture Method) - ทักษะ และล แผนที่ 3 วัสดผุ สม แบบบรรยำย - ทกั ษะ (Lecture Method) - ทกั ษะ และล

14 ทักษะที่ได้ การประเมนิ เวลา (ชั่วโมง) ะกำรสังเกต - ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน 4 ะกำรตคี วำมหมำยข้อมลู - ตรวจแบบฝกึ หัด ลงข้อสรุป - ตรวจกำรออกแบบอุปกรณ์อำนวยควำมสะดวก 2 ในชวี ิตประจำวนั 2 ะกำรสงั เกต - ตรวจผงั มโนทศั น์ เรอ่ื ง พอลิเมอร์ ะกำรตีควำมหมำยข้อมลู - สังเกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนกลุม่ ลงขอ้ สรปุ - ประเมินกำรปฏบิ ัตกิ ำร - สังเกตควำมมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งม่ันใน ะกำรสังเกต ะกำรตีควำมหมำยข้อมลู กำรทำงำน ลงข้อสรุป - ตรวจแบบฝึกหัด - ตรวจใบงำนท่ี 3.1 เร่ือง เซรำมกิ - สงั เกตพฤติกรรมกำรทำงำนกลุ่ม - ประเมนิ กำรนำเสนอผลงำน - สังเกตควำมมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งม่ันใน กำรทำงำน - ตรวจแบบฝกึ หดั - ตรวจผงั มโนทัศน์ เร่อื ง วัสดุผสม - ประเมินกำรปฏบิ ตั กิ ำร - สังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนกลุ่ม - ประเมนิ กำรนำเสนอผลงำน - สังเกตควำมมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งม่ันใน กำรทำงำน

1 หนว่ ยการเรยี นรู้ แนวคิด/รปู แบบการ แผนการจดั การเรยี นรู้ สอน/วิธกี ารสอน/ - ทักษะ เทคนิค และล แผนท่ี 4 ผลกระทบจำก 5Es Instructional ก ำ ร ใ ช้ Model ประโยชน์วัสดุ ประเภท พอลเิ มอร์ เซรำ มิก และวัสดุ ผสม 4. ปฏิกริ ยิ ำเคมี แผนท่ี 1 กำร 5Es Instructional - ทกั ษะ - ทกั ษะ เกิดปฏิกริ ิยำ Model ข้อมลู เคมี - ทักษะ และ ลงข้อ แผนที่ 2 กำรเขยี น แบบบรรยำย - ทกั ษะ สมกำรเคมี (Lecture Method) - ทักษะ - ทกั ษะ ขอ้ มลู - ทกั ษะ และล

15 ทักษะท่ไี ด้ การประเมิน เวลา (ชวั่ โมง) ะกำรตคี วำมหมำยข้อมลู - ตรวจแบบทดสอบหลงั เรียน 3 ลงขอ้ สรปุ - ตรวจแบบฝึกหัด 3 - ตรวจผงั มโนทศั น์ เร่ือง วัสดใุ นชวี ิตประจำวนั 3 ะกำรสังเกต - ตรวจกำรออกแบบวัสดุในชีวิตประจำวันท่ี ะกำรลงควำมเห็นจำก ะกำรตคี วำมหมำยขอ้ มลู เอือ้ ประโยชนต์ อ่ กำรดำรงชีวิต อสรุป - สงั เกตพฤติกรรมกำรทำงำนรำยบุคคล - สังเกตควำมมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นใน ะกำรสังเกต กำรทำงำน ะกำรวดั ะกำรลงควำมเห็นจำก - ตรวจแบบทดสอบกอ่ นเรยี น ะกำรตีควำมหมำยข้อมลู - ตรวจแบบฝึกหดั ลงขอ้ สรุป - ตรวจใบงำนที่ 4.1 เรื่อง กำรเปลี่ยนแปลง ของสำร - ตรวจแบบจำลองอะตอม - ประเมินกำรปฏบิ ัติกำร - สังเกตควำมมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งม่ันใน กำรทำงำน - ตรวจแบบฝึกหดั - ตรวจใบงำนที่ 4.2 เรอ่ื ง สมกำรเคมี - ประเมินกำรปฏิบัตกิ ำร - สังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนกลมุ่ - สังเกตควำมมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นใน กำรทำงำน

1 หน่วยการเรยี นรู้ แผนการจัดการเรยี นรู้ แนวคดิ /รปู แบบการ สอน/วธิ กี ารสอน/ แผนท่ี 3 ประเภทของ - ทักษะ ปฏิกิรยิ ำเคมี เทคนิค - ทักษะ ทดลอง ควำมห - ทกั ษะ (Experimental ขอ้ มูล Method) - ทักษะ และล แผนท่ี 4 ชนดิ ของ ทดลอง ปฏกิ ิรยิ ำเคมี (Experimental - ทักษะ Method) ควำมห แผนท่ี 5 ประโยชน์และ 5Es Instructional - ทักษะ โทษของ Model ควำม ปฏกิ ริ ยิ ำเคมี

16 ทกั ษะทไ่ี ด้ การประเมิน เวลา (ชั่วโมง) ะกำรสังเกต - ตรวจแบบฝึกหัด 2 ะกำรจดั ทำและส่ือ - ประเมนิ กำรปฏบิ ตั กิ ำร 3 หมำยข้อมลู - ประเมินกำรนำเสนอผลงำน ะกำรลงควำมเหน็ จำก - สังเกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนกลุ่ม - สังเกตควำมมีวนิ ยั ใฝเ่ รียนรู้ และมงุ่ มน่ั ในกำร ะกำรตคี วำมหมำยข้อมลู ทำงำน ลงขอ้ สรุป ะกำรจดั ทำและสอื่ - ตรวจแบบฝึกหดั หมำยข้อมลู - ประเมินกำรนำเสนอผลงำน - สงั เกตพฤติกรรมกำรทำงำนรำยบคุ คล - สังเกตควำมมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งม่ันใน กำรทำงำน ะกำรจดั ทำและสื่อ - ตรวจแบบทดสอบหลังเรยี น 2 มหมำยขอ้ มลู - ตรวจแบบฝึกหัด - ตรวจป้ำยนิเทศ เรื่อง ปัญหำที่เกิดจำก ปฏกิ ิริยำเคมใี นชวี ติ ประจำวนั - ตรวจผงั มโนทศั น์ เร่ือง ปฏกิ ิรยิ ำเคมี - สงั เกตควำมมวี นิ ัย ใฝ่เรยี นรู้ และมุง่ มนั่ ในกำร ทำงำน

17 รายวชิ า วิทยาศาสตร์พ้ืนฐาน รหสั วชิ า ว23101 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 เวลา 60 ช่ัวโมง / ภาคเรยี น จานวน 1.5 หนว่ ยกติ ภาคเรียนที่ 1 คาอธิบายรายวชิ า ศกึ ษำเก่ียวกับระบบนิเวศ องคป์ ระกอบของระบบนเิ วศ ควำมสมั พันธ์ระหว่ำงสิ่งมชี ีวิตในระบบนเิ วศ กำร ถ่ำยทอดพลังงำนในระบบนิเวศ พันธุกรรม โครโมโซม ดีเอ็นเอ และยีน กำรถ่ำยทอดลักษณะ ทำงพันธุกรรม กำรแบ่งเซลล์ของส่ิงมีชีวิต ควำมผิดปกติทำงพันธุกรรม กำรดัดแปรทำงพันธุกรรม ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพ วัสดุในชีวิตประจำวัน สมบัติทำงกำยภำพและกำรใช้ประโยชน์พอลิเมอร์ เซรำมิก และวัสดุผสม ผลกระทบจำกกำรใช้วัสดุประเภทพอลิเมอร์ เซรำมิกและวัสดุผสม ปฏิกิริยำเคมี กำรเกิดปฏิกริ ิยำเคมี ประเภทของปฏกิ ริ ิยำเคมี ปฏิกิรยิ ำเคมีในชวี ติ ประจำวนั โดยใช้กระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์ กระบวนกำรสืบเสำะหำควำมรู้ กำรสืบค้นข้อมูล กำรสังเกต กำรวิเครำะห์ กำรทดลอง กำรอภิปรำย กำรอธิบำย และกำรสรุป เพ่ือให้เกิดควำมรู้ ควำมคิด ควำมเข้ำใจ มีควำมสำมำรถในกำรตัดสินใจ สื่อสำรส่ิงที่เรียนรู้และนำควำมรู้ไปใช้ในชีวิตของตนเอง มีจิตวิทยำศำสตร์ จรยิ ธรรม คณุ ธรรม และค่ำนิยม รหสั ตัวชี้วัด ว 1.1 ม.3/1 อธิบำยปฏสิ ัมพนั ธข์ ององคป์ ระกอบของระบบนเิ วศท่ไี ดจ้ ำกกำรสำรวจ ว 1.1 ม.3/2 อธิบำยรูปแบบควำมสัมพันธ์ระหว่ำงสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตรูปแบบต่ำงๆ ในแหล่งท่ีอยู่เดียวกันที่ได้ จำกกำรสำรวจ ว 1.1 ม.3/3 สร้ำงแบบจำลองในกำรอธบิ ำยกำรถำ่ ยทอดพลังงำนในสำยใยอำหำร ว 1.1 ม.3/4 อธบิ ำยควำมสมั พนั ธข์ องผู้ผลติ ผู้บริโภค และผยู้ อ่ ยสลำยสำรอนิ ทรียใ์ นระบบนเิ วศ ว 1.1 ม.3/5 อธิบำยกำรสะสมสำรพิษในสงิ่ มชี ีวิตในโซ่อำหำร ว 1.1 ม.3/6 ตระหนกั ถงึ ควำมสมั พนั ธข์ องสิ่งมีชีวิต และสง่ิ แวดล้อมในระบบนเิ วศ โดยไมท่ ำลำยสมดลุ ของระบบนิเวศ ว 1.3 ม.3/1 อธิบำยควำมสมั พันธร์ ะหว่ำงยนี ดเี อ็นเอ และโครโมโซม โดยใชแ้ บบจำลอง ว 1.3 ม.3/2 อธิบำยกำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรมจำกกำรผสมโดยพิจำรณำลักษณะเดียวที่แอลลีลเด่นข่ม แอลลลี ดอ้ ยอยำ่ งสมบรู ณ์ ว 1.3 ม.3/3 อธบิ ำยกำรเกดิ จีโนไทปแ์ ละฟีโนไทป์ของลูกและคำนวณอตั รำส่วนกำรเกดิ จโี นไทปแ์ ละฟีโนไทป์ของรุ่นลกู ว 1.3 ม.3/4 อธบิ ำยควำมแตกต่ำงของกำรแบง่ เซลล์แบบไมโทซสิ และไมโอซสิ ว 1.3 ม.3/5 บอกได้ว่ำกำรเปลี่ยนแปลงของยีนหรือโครโมโซม อำจทำให้เกิดโรคทำงพันธุกรรม พร้อมท้ังยกตัวอย่ำง โรคทำงพันธุกรรม ว 1.3 ม.3/6 ตระหนักถึงประโยชน์ของควำมรู้เร่ืองโรคทำงพันธุกรรม โดยรู้ว่ำก่อนแต่งงำนควรปรึกษำแพทย์เพื่อตรวจและ วนิ จิ ฉยั ภำวะเส่ียงของลูกทอ่ี ำจเกิดโรคทำงพันธกุ รรม ว 1.3 ม.3/7 อธิบำยกำรใช้ประโยชน์จำกส่ิงมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม และผลกระทบท่ีอำจมตี ่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมโดยใช้ ข้อมลู ทรี่ วบรวมได้

18 ว 1.3 ม.3/8 ตระหนักถึงประโยชน์และผลกระทบของส่ิงมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมที่อำจมีต่อมนุษย์และส่ิงแวดล้อม โดยกำรเผยแพรค่ วำมรทู้ ่ไี ด้จำกกำรโต้แย้งทำงวิทยำศำสตร์ ซ่ึงมีข้อมูลสนบั สนนุ ว 1.3 ม.3/9 เปรียบเทยี บควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพในระดับชนิดสง่ิ มีชีวิตในระบบนเิ วศตำ่ งๆ ว 1.3 ม.3/10 อธิบำยควำมสำคญั ของควำมหลำกหลำยทำงชวี ภำพทม่ี ตี ่อกำรรกั ษำสมดลุ ของระบบนิเวศและต่อมนษุ ย์ ว 1.3 ม.3/11 แสดงควำมตระหนกั ในคณุ คำ่ และควำมสำคญั ของควำมหลำกหลำยทำงชวี ภำพ โดยมีสว่ นร่วมในกำรดแู ลรักษำ ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพ ว 2.1 ม.3/1 ระบุสมบัติทำงกำยภำพและกำรใช้ประโยชน์วสั ดุประเภทพอลิเมอร์ เซรำมิก และวัสดุผสม โดยใช้หลักฐำนเชงิ ประจักษ์ และสำรสนเทศ ว 2.1 ม.3/2 ตระหนักถึงคุณค่ำของกำรใช้วัสดุประเภทพอลิเมอร์ เซรำมิก และวัสดุผสม โดยเสนอแนะแน วทำง กำรใชว้ สั ดอุ ย่ำงประหยดั และคมุ้ คำ่ ว 2.1 ม.3/3 อธิบำยกำรเกิดปฏกิ ิรยิ ำเคมี รวมถึงกำรจดั เรยี งตัวใหม่ของอะตอมเมื่อเกิดปฏิกิริยำเคมี โดยใช้แบบจำลองและ สมกำรขอ้ ควำม ว 2.1 ม.3/4 อธิบำยกฎทรงมวล โดยใช้หลักฐำนเชงิ ประจกั ษ์ ว 2.1 ม.3/5 วิเครำะห์ปฏิกิริยำดูดควำมร้อน และปฏิกิริยำคำยควำมร้อน จำกกำรเปล่ียนแปลงพลังงำนควำมร้อนของ ปฏกิ ริ ยิ ำ ว 2.1 ม.3/6 อธิบำยปฏิกิริยำกำรเกิดสนิมของเหล็ก ปฏิกิริยำของกรดกับโลหะ ปฏิกิริยำของกรดกับเบส และปฏิกิริยำของ เบสกับโลหะ โดยใช้หลักฐำนเชิงประจักษ์ และอธิบำยปฏิกิริยำกำรเผำไหม้ กำรเกิดฝ นกรด กำรสังเครำะห์ดว้ ยแสง โดยใชส้ ำรสนเทศ รวมท้ังเขยี นสมกำรข้อควำมแสดง ปฏกิ ิริยำดังกล่ำว ว 2.1 ม.3/7 ระบปุ ระโยชน์และโทษของปฏกิ ิริยำเคมที มี่ ตี ่อสงิ่ มชี ีวิตและสงิ่ แวดลอ้ ม และยกตวั อย่ำงวธิ ปี อ้ งกนั และแกป้ ญั หำ จำกปฏกิ ิรยิ ำเคมที พ่ี บในชีวติ ประจำวันจำกกำรสืบคน้ ข้อมลู ว 2.1 ม.3/8 ออกแบบวิธีแก้ปัญหำในชีวิตประจำวัน โดยใช้ควำมรู้เก่ียวกับปฏิกิริยำเคมี โดยบูรณำกำรวิทยำศำสตร์ คณิตศำสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศำสตร์ รวม 25 ตัวชว้ี ัด

19 โครงสร้างรายวิชา วิทยาศาสตร์พ้ืนฐาน ม.3 ลาดับที่ ชอ่ื หน่วยการ มาตรฐานการเรยี นรู/้ สาระสาคญั เวลา 1. เรยี นรู้ ตัวชวี้ ัด (ช่วั โมง) ระบบนเิ วศประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบทไี่ มม่ ชี ีวติ และ ระบบนเิ วศ ว 1.1 องคป์ ระกอบที่มชี วี ิตซงึ่ มปี ฏสิ มั พนั ธก์ นั อยำ่ งเปน็ ระบบ 12 ม.3/1 ตัวอย่ำงปฏสิ มั พนั ธ์ระหวำ่ งองค์ประกอบที่มชี วี ิตกบั ม.3/2 องคป์ ระกอบทไ่ี ม่มีชวี ติ เชน่ ตน้ ไม้ตอ้ งกำรน้ำ แสง ธำตุ ม.3/3 อำหำร และแกส๊ คำรบ์ อนไดออกไซด์ ตัวอย่ำงปฏสิ มั พันธ์ ม.3/4 ระหว่ำงองคป์ ระกอบที่มีชีวติ กบั องค์ประกอบท่มี ชี ีวติ เช่น ม.3/5 กวำงกนิ หญำ้ เสอื กินกวำง แร้งกนิ ซำกเสือท่ีตำยแล้ว และ ม.3/6 จลุ นิ ทรีย์จะยอ่ ยสลำยซำกเสอื ใหก้ ลำยเปน็ สำรอินทรยี ์ กลบั คืนสธู่ รรมชำติ สิ่งมชี ีวติ ในระบบนเิ วศมอี ย่หู ลำยชนดิ ซง่ึ แตล่ ะชนิด ต่ำงก็มรี ูปแบบควำมสมั พันธท์ ่ีแตกต่ำงกนั ควำมสัมพันธ์ ระหว่ำงสง่ิ มชี วี ิตในระบบนิเวศอำจทำใหส้ ิง่ มีชวี ติ บำงชนดิ ได้ประโยชน์ เสียประโยชน์ หรอื ไม่มผี ลต่อกำรดำรงชวี ิต ของส่งิ มชี วี ิตนัน้ สง่ิ มชี ีวิตในระบบนเิ วศมคี วำมเกีย่ วขอ้ งสมั พนั ธ์กนั โดยมกี ำรถำ่ ยทอดพลังงำนในรปู ของโซอ่ ำหำรและสำยใย อำหำร ซึ่งโซอ่ ำหำรมคี วำมสมั พันธก์ บั สิ่งมีชวี ิตในบรเิ วณ เดียวกันท่มี ีกำรถำ่ ยทอดพลงั งำนผำ่ นกำรกินตอ่ กนั เป็นทอดๆ เรม่ิ จำกสิ่งมีชีวิตทเี่ ปน็ ผผู้ ลติ และสำยใยอำหำร เปน็ กำรถำ่ ยทอดพลงั งำนผำ่ นกำรกินทีซ่ บั ซ้อนมำกขน้ึ ในระบบนเิ วศจะมีกำรถ่ำยทอดพลงั งำนเกดิ ขึน้ พรอ้ มกับ กำรหมนุ เวยี นสำร และในระบบหน่งึ ประกอบด้วย องค์ประกอบที่ไม่มชี วี ิตและองค์ประกอบท่ีมชี ีวิต ซ่ึงมีควำมสมั พนั ธก์ ันอยำ่ งเหมำะสม ระบบนิเวศจึงจะอย่ใู น สภำวะสมดุล 2. พนั ธุกรรม ว 1.3 ลักษณะทำงพนั ธุกรรมของส่งิ มชี วี ติ สำมำรถถำ่ ยทอด 24 ม.3/1 จำกรุ่นหนง่ึ ไปยังอีกรุน่ หนงึ่ ได้ โดยมยี นี เป็นหน่วยควบคมุ ม.3/2 ลกั ษณะทำงพนั ธกุ รรม โดยยีนเปน็ ส่วนหนึ่งของสำยดเี อน็ ม.3/3 เอ และดเี อน็ เอจะขดกันเป็นโครโมโซมอยภู่ ำยในนิวเคลียส ม.3/4 ของเซลล์ สิ่งมชี ีวติ ชนดิ เดียวกนั จะมีจำนวนโครโมโซม ม.3/5 เทำ่ กนั และอำจมจี ำนวนโครโมโซมเท่ำหรือไม่เท่ำกับ ม.3/6 ส่ิงมชี ีวิตตำ่ งชนิดกัน ซง่ึ โครโมโซมแบ่งออกเป็น 2 ประเภท

20 ลาดับที่ ชอื่ หนว่ ยการ มาตรฐานการเรยี นรู/้ สาระสาคญั เวลา เรียนรู้ ตวั ช้วี ดั (ชั่วโมง) คือ โครโมโซมร่ำงกำยและโครโมโซมเพศ และสิ่งมชี ีวิตที่มี ม.3/7 โครโมโซม 2 ชดุ อยูก่ นั เป็นคู่และมกี ำรเรยี งลำดบั ยนี ม.3/8 บนโครโมโซมเหมอื นกนั เรียกวำ่ ฮอมอโลกัสโครโมโซม ม.3/9 ม.3/10 เมลเดลเปน็ บิดำแห่งวชิ ำพนั ธศุ ำสตร์ ศกึ ษำกำร ม.3/11 ถำ่ ยทอดลกั ษณะทำงพนั ธกุ รรมของตน้ ถัว่ ลันเตำพบวำ่ ผล กำรผสมพันธถุ์ ่วั ลันเตำทม่ี ลี กั ษณะต่ำงกันในร่นุ พอ่ แม่ ไดล้ ูกทปี่ รำกฏลักษณะเดน่ ในทุกรนุ่ และลกั ษณะด้อยจะมี โอกำสปรำกฏในแตล่ ะรุ่นนอ้ ยกวำ่ นำมำสู่หลกั กำรพ้ืนฐำน กำรถ่ำยทอดลกั ษณะทำงพนั ธุกรรม นอกจำกน้ี เมนเดลได้ สันนษิ ฐำนว่ำ ยนี แต่ละตำแหน่งบนฮอมอโลกัสโครโมโซมมี 2 แอลลลี จะแยกออกจำกกนั เมอื่ มกี ำรสร้ำงเซลลส์ ืบพันธ์ุ หลังปฏิสนธแิ อลลลี จะกลับมำเขำ้ คูก่ ันอย่ำงอสิ ระโดยแอล ลลี หน่ึงได้รับมำจำกพ่อ และอกี แอลลีลหนึง่ ไดร้ ับมำจำกแม่ ซ่งึ อำจมรี ปู แบบเดียวกนั หรอื แตกต่ำงกันโดยแอลลลี ที่ ต่ำงกันจะมแี อลลลี หนึ่งสำมำรถขม่ อกี แอลลลี หนง่ึ ได้ เรียก แอลลลี ท่ขี ่มอีกแอลลลี หนึ่งว่ำ แอลลลี เด่น ทำใหส้ ่ิงมีชวี ิต แสดงลักษณะเด่น สว่ นแอลลีลท่ถี กู ข่ม เรยี กว่ำ แอลลลี ดอ้ ย สง่ิ มชี ีวิตทุกชนดิ ลว้ นมีกำรแบ่งเซลล์ ซง่ึ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ กำรแบง่ เซลล์แบบไมโทซสิ และไมโอซสิ กำร แบ่งเซลล์แบบไมโทซสิ เป็นกำรแบง่ เซลลเ์ พือ่ เพมิ่ จำนวน เซลล์รำ่ งกำย ไดเ้ ซลลใ์ หม่จำนวน 2 เซลล์ ซง่ึ แต่ละเซลลม์ ี จำนวนโครโมโซมเหมอื นเซลลต์ ้งั ตน้ และกำรแบ่งเซลล์ แบบไมโอซสิ เป็นกำรแบง่ เซลลเ์ พื่อสรำ้ งเซลลส์ บื พนั ธ์ุ ได้ เซลล์ใหม่จำนวน 4 เซลล์ ซึง่ แต่ละเซลล์จะมจี ำนวน โครโมโซมเปน็ ครึง่ หนง่ึ ของเซลลเ์ ดิม กำรเปล่ียนแปลงของยีนหรือโครโมโซมก่อใหเ้ กดิ โรค ทำงพนั ธกุ รรมเชน่ โรคธำลสั ซีเมียเกดิ จำกกำรเปลยี่ นแปลง ของยีน กลุ่มอำกำรดำวนเ์ ปน็ กลุม่ อำกำรเกิดจำกกำร เปลยี่ นแปลงจำนวนของโครโมโซมกล่มุ อำกำรครดิ ชู ำเปน็ กลุม่ อำกำรท่ีเกดิ จำกควำมผดิ ปกติที่เกิดขึ้นกบั รปู ร่ำง โครโมโซม นอกจำกน้ัน โรคทำงพนั ธุกรรมสำมำรถถ่ำยทอด จำกพอ่ แม่ไปสลู่ ูกได้ ดงั น้นั เพือ่ ปอ้ งกนั ควำมเสย่ี งจำกกำร ถำ่ ยทอดโรคทำงพันธกุ รรม จึงควรตรวจและวินจิ ฉยั ภำวะ เสี่ยงจำกกำรถ่ำยทอดโรคทำงพันธกุ รรม กอ่ นแตง่ งำนหรอื ในระหว่ำงตง้ั ครรภ์สิ่งมีชวี ิตดดั แปร พนั ธุกรรมคือสงิ่ มชี ีวติ ทมี่ ี กำรเปลย่ี นแปลงพนั ธุกรรมโดยมนษุ ย์ซ่งึ อำศยั ควำมร้ทู ำง พนั ธุวิศวกรรมซึ่งเปน็ กระบวนกำรที่นอกเหนอื ไปจำกกำร

21 ลาดบั ท่ี ช่อื หนว่ ยการ มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสาคญั เวลา เรียนรู้ ตัวชีว้ ดั (ชัว่ โมง) เปลยี่ นแปลงตำมธรรมชำติ กำรสรำ้ งสิ่งมชี วี ติ ดดั แปร พนั ธกุ รรมทำไดโ้ ดยกำรถ่ำยทอดยนี ทม่ี ีลักษณะท่ีต้องกำร จำกส่ิงมชี วี ิตหน่งึ เขำ้ ไปอยใู่ นดเี อน็ เอของสงิ่ มีชวี ิตอกี ชนิด หนึง่ ทำใหส้ ิง่ มชี วี ติ ทไ่ี ดร้ ับยีนแสดงลักษณะตำมทต่ี อ้ งกำร และลักษณะดงั กล่ำวสำมำรถถำ่ ยทอดไปยังร่นุ ลกู และ หลำนต่อไปได้ โดยมนุษย์ใชป้ ระโยชน์จำกสงิ่ มชี วี ติ ดัดแปร พนั ธกุ รรมในดำ้ นตำ่ งๆ เช่น กำรผลติ อำหำร ด้ำนกำรแพทย์ ดำ้ นกำรเกษตร ด้ำนอตุ สำหกรรม อย่ำงไรก็ตำม สังคมกย็ ัง มคี วำมกังวลเกยี่ วควำมปลอดภัยในกำรบริโภคและ ผลกระทบของส่ิงมีชวี ิตดดั แปรพันธุกรรมท่ีมตี ่อสิ่งมีชวี ิต และสงิ่ แวดล้อม ดังน้ัน จงึ ควรศกึ ษำและตดิ ตำมผลกระทบ ต่อไป ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพแบง่ ออกเป็น 3 ระดบั ไดแ้ ก่ ควำมหลำกหลำยทำงระบบนเิ วศ ควำมหลำกหลำย ของชนดิ สงิ่ มีชวี ติ และควำมหลำกหลำยทำงพนั ธุกรรม ซึ่ง ควำมหลำกหลำยทำงชวี ภำพในแต่ละพนื้ ท่จี ะแตกต่ำงกัน บำงพน้ื ทมี่ ีควำมหลำกหลำยทำงชวี ภำพสงู บำงพนื้ ท่มี คี วำม หลำกหลำยทำงชวี ภำพตำ่ ซึง่ ควำมหลำกหลำยทำงชวี ภำพ มคี วำมสำคญั ต่อกำรรกั ษำสมดุลของระบบนิเวศและมี ควำมสำคญั ต่อมนษุ ย์ ดังน้ัน จึงควรร่วมกนั ดูแลรกั ษำควำม หลำกหลำยทำงชวี ภำพโดยกำรร่วมกนั อนุรักษ์พนั ธุ์สัตว์ ใช้ ทรัพยำกรอย่ำงประหยดั และรู้คณุ คำ่

22 ลาดับที่ ชอ่ื หน่วยการ มาตรฐานการเรยี นร/ู้ สาระสาคญั เวลา 3. เรียนรู้ ตัวชว้ี ดั (ชวั่ โมง) พอลเิ มอรเ์ ป็นสำรประกอบโมเลกลุ ใหญท่ ี่เกดิ จำก วั ส ดุ ใ น ว 2.1 โมเลกุลจำนวนมำกรวมตัวกนั ทำงเคมี เชน่ พลำสติกเปน็ 11 ชีวิตประจำวนั ม.3/1 พอลเิ มอรท์ สี่ ำมำรถข้นึ รูปเป็นรูปทรงต่ำง ๆ ได้ ยำงเปน็ ม.3/2 พอลเิ มอรท์ ส่ี ำมำรถยืดหยุน่ ได้ และเสน้ ใยเปน็ พอลิเมอรท์ ี่ สำมำรถดงึ เป็นเส้นยำวได้ จึงถูกนำมำใชป้ ระโยชนไ์ ด้ แตกตำ่ งกัน เซรำมิกเป็นวัสดทุ ี่ผลติ จำกดิน หิน ทรำย และแร่ธำตุ ต่ำงๆ จำกธรรมชำติ และสว่ นมำกจะผำ่ นกำรเผำทอี่ ณุ หภูมิ สูงเพือ่ ให้ไดเ้ น้อื สำรท่ีแข็งแรง เซรำมกิ สำมำรถทำเปน็ รูปทรงตำ่ งๆ ได้ มลี ักษณะแข็ง ทนตอ่ กำรสกึ กร่อน และ เปรำะ จึงสำมำรถนำไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ เช่น ภำชนะทเี่ ปน็ เครื่องปน้ั ดนิ เผำ ช้ินสว่ นอเิ ล็กทรอนกิ ส์ วสั ดุผสมเปน็ วสั ดุทเี่ กดิ จำกวสั ดุตง้ั แต่ 2 ประเภทที่มี สมบตั ติ ่ำงกนั เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ไดม้ ำกขน้ึ เชน่ เสอื้ กัน ฝนบำงชนดิ เปน็ วสั ดุผสมระหวำ่ งผ้ำกบั ยำง คอนกรีตเสรมิ เหล็กเปน็ วสั ดผุ สมระหว่ำงคอนกรตี กับเหล็ก ผลกระทบทเ่ี กิดข้ึนจำกกำรใชผ้ ลติ ภณั ฑท์ ีท่ ำจำกวสั ดุ ประเภทพอลิเมอร์ เซรำมิก และวสั ดุผสม สง่ ผลกระทบต่อ สง่ิ แวดล้อม เนอ่ื งจำกผลติ ภณั ฑ์เหลำ่ นย้ี อ่ ยสลำยยำก งเกดิ กำรสะสมและตกค้ำงอยใู่ นสิง่ แวดลอ้ ม ยำกต่อกำรกำจดั หำกนำไปเผำจะก่อใหเ้ กิดควนั พษิ เมือ่ สูดดมจะเปน็ อนั ตรำยต่อร่ำงกำย หำกนำไปฝงั ดนิ ก็จะทำให้ ดนิ เสือ่ มสภำพ สง่ ผลใหส้ ภำพแวดลอ้ มปนเปื้อนสำรเคมี เพอ่ื ลดปญั หำจึงควรเลอื กใช้วัสดใุ หเ้ หมำะสมต่อกำรใช้งำน และงำ่ ยตอ่ กำรกำจดั หรือนำกลับมำใชใ้ หม่ เพื่อลดปรมิ ำณ ขยะซ่งึ เป็นสำเหตขุ องปญั หำสง่ิ แวดลอ้ ม 4. ปฏกิ ิริยำเคมี ว 2.1 ปฏกิ ริ ยิ ำเคมีหรือกำรเปล่ยี นแปลงทำงเคมีของสำรทำ 13 ม.3/3 ให้เกดิ สำรใหม่ โดยสำรทีเ่ ขำ้ ทำปฏกิ ริ ยิ ำเรียกวำ่ สำรตั้งต้น ม.3/4 และสำรท่ีเกดิ ข้ึนใหม่ เรียกว่ำ ผลติ ภณั ฑ์ ม.3/5 ท่ีมสี มบัติแตกตำ่ งไปจำกสำรตงั้ ตน้ เนื่องจำกมีกำรจัดเรยี ง

23 ลาดับที่ ชอื่ หนว่ ยการ มาตรฐานการเรียนร/ู้ สาระสาคญั เวลา เรียนรู้ ตวั ชว้ี ัด (ชั่วโมง) อะตอมใหมข่ องสำรตัง้ ต้นขณะเกดิ ปฏกิ ิรยิ ำ ซ่ึงกำร ม.3/6 เกิดปฏกิ ริ ยิ ำเคมีดังกลำ่ วสำมำรถเขียนได้เปน็ สมกำร ม.3/7 ข้อควำมทแ่ี สดงถึงจำนวนอะตอมแต่ละชนดิ กอ่ นและหลัง ม.3/8 กำรทำปฏิกริ ยิ ำเคมจี ะมจี ำนวนเทำ่ กนั และมวลรวมของ สำรต้งั ต้นจะเทำ่ กบั มวลรวมของผลิตภณั ฑ์ซึ่งเปน็ ไปตำม กฎทรงมวล ในขณะทีเ่ กิดปฏิกิรยิ ำเคมจี ะมีกำรถ่ำยโอนควำมร้อน ควบคู่ไปกับกำรจดั เรยี งตัวใหมข่ องอะตอมของสำร แบ่งเปน็ 2 ประเภท ได้แก่ ปฏิกิรยิ ำทมี่ กี ำรถ่ำยโอนควำม ร้อนจำกส่ิงแวดล้อมเขำ้ ส่รู ะบบ เรยี กวำ่ ปฏิกริ ิยำดูดควำม ร้อน และปฏิกริ ยิ ำท่มี ีกำรถ่ำยโอนควำมร้อนจำกระบบออก สูส่ ง่ิ แวดลอ้ ม เรยี กวำ่ ปฏิกริ ยิ ำคำยควำมรอ้ น ปฏิกิริยำเคมใี นชีวติ ประจำวันมีหลำยชนดิ เชน่ ปฏกิ ริ ยิ ำกำรเผำไหม้เป็นปฏิกิรยิ ำระหว่ำงสำรกับออกซเิ จน ซง่ึ ส่วนใหญ่เป็นสำรประกอบที่มีคำร์บอนและไฮโดรเจน เป็นองค์ประกอบ กำรเกดิ สนมิ เหล็กเกดิ จำกปฏิกิรยิ ำเคมี ระหวำ่ งเหล็ก นำ้ และออกซเิ จน ได้ผลติ ภณั ฑ์เป็นสนิมของ เหลก็ ปฏกิ ริ ิยำของกรดกับโลหะจะไดผ้ ลติ ภณั ฑเ์ ป็นเกลือ ของโลหะกบั แกส๊ ไฮโดรเจน ปฏิกริ ยิ ำของกรดกบั สำรประกอบคำร์บอเนตจะไดผ้ ลติ ภัณฑเ์ ปน็ แก๊ส คำร์บอนไดออกไซด์ เกลอื ของโลหะ และนำ้ ปฏิกริ ิยำของ กรดกับเบสจะไดผ้ ลติ ภณั ฑ์เป็นเกลอื ของโลหะและนำ้ ปฏิกริ ิยำของเบสกบั โลหะบำงชนดิ จะไดผ้ ลิตภณั ฑเ์ ป็น เกลอื ของเบสและแก๊สไฮโดรเจน กำรเกดิ ฝนกรดเกดิ จำก ปฏิกิริยำระหว่ำงน้ำฝนกับออกไซด์ของไนโตรเจน หรอื ออกไซด์ของซัลเฟอร์ ทำใหไ้ ดน้ ้ำฝนท่มี ีสมบัตเิ ปน็ กรด กำร สังเครำะหด์ ้วยแสงของพืชเปน็ ปฏกิ ิริยำทีเ่ กิดข้ึนระหว่ำง แก๊สคำรบ์ อนไดออกไซดก์ บั น้ำ โดยมีแสงเปน็ ปัจจัยทที่ ำให้ เกดิ ปฏิกริ ิยำ และไดผ้ ลิตภณั ฑเ์ ปน็ น้ำตำลกลูโคสและแก๊ส ออกซเิ จน ควำมรเู้ กีย่ วกบั ปฏิกิรยิ ำเคมสี ำมำรถนำไปประยกุ ตใ์ ช้ ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และสำมำรถบรู ณำกำรกับ คณติ ศำสตร์ เทคโนโลยี และวศิ วกรรมศำสตร์ เพอ่ื ใช้ ปรบั ปรุงผลิตภัณฑใ์ หม้ คี ณุ ภำพตำมตอ้ งกำร หรอื อำจสรำ้ ง นวัตกรรมเพ่ือปอ้ งกนั และแกป้ ญั หำท่เี กดิ จำกปฏิกิรยิ ำเคมี โดยใช้ควำมรเู้ กย่ี วกับปฏกิ ริ ยิ ำเคมี เชน่ กำรเปลย่ี นแปลง พลงั งำนควำมรอ้ นอันเน่อื งมำจำกปฏิกริ ิยำเคมี กำรเพ่มิ ปรมิ ำณผลผลิต

24 ลาดับท่ี ชอื่ หนว่ ยการ มาตรฐานการเรียนร้/ู สาระสาคัญ เวลา 5. เรียนรู้ ตวั ช้วี ดั (ชั่วโมง) กระแสไฟฟ้ำเกิดจำกกำรเคล่ือนที่ของประจุไฟฟ้ำ ไ ฟ ฟ้ ำ แ ล ะ ว 2.3 โดยกระแสไฟฟ้ำจะไหลจำกจุดที่มีควำมต่ำงศักย์สูงกว่ำ 20 อิเลก็ ทรอนกิ ส์ ม.3/1 ไปยังจุดที่มีควำมต่ำงศักย์ต่ำกว่ำ ค่ำกระแสไฟฟ้ำสำมำรถ ม.3/2 วัดไดโ้ ดยกำรต่อแอมมเิ ตอรเ์ ขำ้ ไปในวงจร และคำ่ ควำมตำ่ ง ม.3/3 ศักยส์ ำมำรถวดั ไดโ้ ดยกำรต่อโวลตม์ ิเตอร์เข้ำไปในวงจร ใน ม.3/4 วงจรไฟฟ้ำใดๆ เมอ่ื มคี วำมตำ่ งศักยต์ กครอ่ มอุปกรณไ์ ฟฟ้ำ ม.3/5 หรอื มคี วำมต่ำงศกั ยร์ ะหว่ำงจุด 2 จุด บนตวั นำโลหะ จะมี ม.3/6 กระแสไฟฟ้ำไหลผำ่ นอปุ กรณไ์ ฟฟำ้ หรอื ตวั นำโลหะนน้ั ด้วย ม.3/7 โดยควำมสัมพันธร์ ะหว่ำงกระแสไฟฟ้ำและควำมตำ่ งศักย์ ม.3/8 เป็นไปตำมกฎของโอหม์ ทีก่ ล่ำววำ่ กระแสไฟฟ้ำในตวั นำ ม.3/9 โลหะจะแปรผันตรงกบั ควำมตำ่ งศักยร์ ะหว่ำงปลำยทง้ั 2 ข้ำงของตวั นำน้ัน ตำมสมกำร V = IR ตวั ตำ้ นทำนเป็นอุปกรณไ์ ฟฟ้ำท่ีมหี นำ้ ที่หลกั ในกำร ควบคมุ ปรมิ ำณกระแสไฟฟ้ำและควำมตำ่ งศกั ย์ใน วงจรไฟฟ้ำใหเ้ หมำะสมกบั กำรใชง้ ำน โดยกำรนำตวั ต้ำนทำนมำกกวำ่ 1 ตัว มำต่อรวมกันในวงจรไฟฟ้ำเพอื่ ให้ ได้ควำมตำ้ นทำนรวมหรอื ควำมต้ำนทำนสมมลู ตำมที่ ต้องกำร สำมำรถตอ่ ได้ 2 วธิ ี คอื กำรต่อตวั ตำ้ นทำนแบบ อนุกรม เป็นกำรนำตวั ต้ำนทำนหลำยๆ ตัวมำเรยี งต่อกนั โดยขำข้ำงหน่งึ ตอ่ กับขำอีกขำ้ งหนงึ่ ของตัวตำ้ นทำนอกี ตวั หน่งึ ไปเรือ่ ย ๆ ทำให้ควำมตำ้ นทำนสมมลู เทำ่ กับผลรวม ของควำมต้ำนทำนของตวั ต้ำนทำนแตล่ ะตวั และกำรตอ่ ตวั ตำ้ นทำนแบบขนำนเปน็ กำรนำตวั ต้ำนทำนหลำยๆ ตวั มำ เรียงตอ่ กันโดยรวบปลำยของตัวตำ้ นทำนแต่ละตัวไว้ท่ีจดุ เดยี วกันทง้ั สองขำ้ ง ทำให้สว่ นกลบั ของควำมตำ้ นทำน สมมลู เทำ่ กบั ผลรวมของสว่ นกลบั ของควำมต้ำนทำนของ ตัวตำ้ นทำนแตล่ ะตวั ช้ินส่วนอิเล็กทรอนิกส์เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้ำท่ีสำคัญ อย่ำงหนึ่งในวงจรไฟฟ้ำ โดยมีหน้ำที่หลักแตกต่ำงกันไป ตำมควำมต้องกำรในกำรใช้งำน เช่น ไดโอด จะยอมให้ กระแสไฟฟ้ำไหลผ่ำนได้ทำงเดียวและก้ันกำรไหลใน ทิศทำงตรงกันข้ำม ทรำนซิสเตอร์ ทำหน้ำท่ีเป็นสวิตช์ ปิดหรือเปิดวงจรไฟฟ้ำและควบคุมปริมำณกระแสไฟฟ้ำ ตัวเก็บประจุทำหน้ำท่ีเก็บและคำยประจุไฟฟ้ำ พลังงำนท่ีได้รับจำกแหล่งกำเนิดไฟฟ้ำแล้วทำให้ประจุ ไฟฟ้ำเคล่อื นท่ี เรยี กวำ่ พลังงำนไฟฟ้ำ และงำนท่ปี ระจุไฟฟำ้ ทำได้ใน 1 หนว่ ยเวลำหรอื พลังงำนไฟฟ้ำท่เี ครื่องใชไ้ ฟฟ้ำใช้

25 ลาดับท่ี ชอ่ื หนว่ ยการ มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสาคัญ เวลา 6. เรียนรู้ ตวั ชี้วัด (ชั่วโมง) ใน 1 หน่วยเวลำหรืออัตรำกำรใช้พลังงำนไฟฟ้ำ เรียกว่ำ คลื่น ว 2.3 กำลังไฟฟำ้ 6 ม.3/10 ม.3/11 กำรคำนวณค่ำไฟฟ้ำที่ใช้ในบ้ำนเรือนจะคำนวณจำก ม.3/12 พลังงำนไฟฟ้ำที่ใช้ไปในแต่ละเดือนในหน่วย กิโลวัตต์ ชั่วโมง (kW h) หรือ หน่วย (unit) โดยค่ำไฟฟ้ำท่ีผู้ให้บริกำรหรือ ทำงกำรไฟฟ้ำเรียกเก็บจะประกอบด้วยค่ำไฟฟำ้ ฐำน คำ่ ไฟฟ้ำ ผนั แปร และคำ่ ภำษมี ูลค่ำเพิม่ ไฟฟำ้ ท่ใี ช้ตำมบำ้ นเรือนสว่ นใหญ่จะมีควำมต่ำงศักย์ 220 โวลต์ กำรส่งพลงั งำนไฟฟ้ำเข้ำบำ้ นจะสง่ ผ่ำนสำยมี ศักย์ (สำย L) และสำยกลำง (สำย N) แลว้ ผำ่ นแผงควบคมุ ไฟฟ้ำก่อนจะแยกไปตำมเครื่องใชไ้ ฟฟำ้ ต่ำงๆ ภำยในบำ้ น ซง่ึ มีกำรตอ่ วงจรแบบขนำน ไฟฟ้ำเป็นพลังงำนรูปแบบหนึ่งซ่ึงสำมำรถส่งไปตำม สำยไฟได้อย่ำงรวดเร็ว และพลังงำนไฟฟ้ำยังสำมำรถเปลี่ยน รูปไปเป็นพลังงำนอื่นได้มำกมำย แต่พลังงำนไฟฟ้ำก็มีโทษ เช่นกันหำกผู้ใช้ไฟฟ้ำปรำศจำกควำมรู้ในกำรใช้งำนที่ถูกต้อง และเหมำะสม และกำรผลติ พลงั งำนไฟฟ้ำตอ้ งอำศัยพลงั งำน จำกแหล่งต่ำงๆ จึงจำเป็นต้องช่วยกันประหยัดกำรใช้ พลังงำนไฟฟ้ำและเลือกเครอื่ งใช้ไฟฟ้ำให้เหมำะสมกบั กำรใช้ งำนเพอื่ ไม่ให้กระทบกบั ทรัพยำกรธรรมชำตแิ ละส่ิงแวดลอ้ ม คล่นื กลเป็นคล่นื ทีต่ อ้ งอำศยั ตวั กลำงในกำรเคล่อื นที่ เช่น คลนื่ ผิวนำ้ คลื่นแผน่ ดินไหว ในคลื่นกล พลงั งำนจะถกู ถ่ำยโอนผ่ำนตวั กลำงโดยอนุภำคของตัวกลำง ไมเ่ คล่อื นทไี่ ปกับคลน่ื คลืน่ ที่แผอ่ อกมำจำกแหล่งกำเนดิ คล่ืนอย่ำงต่อเนือ่ งและมรี ปู แบบที่ซำ้ กัน คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้ำเป็นคลื่นทไี่ มอ่ ำศยั ตัวกลำงในกำร เคลอ่ื นที่ จัดเป็นคลื่นตำมขวำง คล่นื แม่เหล็กไฟฟ้ำทกุ ควำมถส่ี ำมำรถนำมำใช้ประโยชนใ์ นชีวิตประจำวนั อยำ่ ง กว้ำงขวำง แตใ่ นทำนองเดียวกนั คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้ำก็ สำมำรถก่อให้เกดิ โทษได้ จงึ ควรศกึ ษำกำรนำไปใชใ้ หเ้ กิด ประโยชน์และรจู้ กั กำรปอ้ งกนั อันตรำยท่ีอำจเกดิ ขนึ้

26 ลาดับที่ ชอ่ื หน่วยการ มาตรฐานการเรยี นร้/ู สาระสาคัญ เวลา . เรียนรู้ ตัวชี้วัด (ชัว่ โมง) กำรสะท้อนของแสงบนกระจกเงำรำบทำใหเ้ กิดภำพเสมือน แสง ว 2.3 หัวตงั้ ท่มี ขี นำดเทำ่ กบั วัตถุ แตภ่ ำพจะกลบั ดำ้ นจำกซำ้ ยเปน็ ขวำ 18 ม.3/13 และขวำเปน็ ซ้ำย ส่วนกำรสะท้อนของแสงบนกระจกเงำนนู ทำให้ ม.3/14 เกดิ ภำพเสมือนหัวต้ังที่มขี นำดเลก็ กวำ่ วตั ถุ สว่ นกำรสะท้อนของ ม.3/15 แสงบนกระจกเงำเวำ้ สำมำรถเกดิ ภำพได้หลำยแบบขน้ึ อยูก่ บั ม.3/16 ระยะระหวำ่ งวตั ถุกับกระจก ม.3/17 ม.3/18 กำรหักเหของแสงเกิดจำกกำรที่ควำมเร็วของแสงเปล่ียนไป ม.3/19 เม่ือแสงเดินทำงผ่ำนตัวกลำงต่ำงชนิดกัน แสงจะเบนมำกหรือ ม.3/20 นอ้ ยขึ้นอยกู่ บั ควำมหนำแนน่ และดรรชนีหักเหของตัวกลำง ม.3/21 กำรหักเหของแสงผ่ำนเลนส์เว้ำทำให้เกิดภำพได้หลำยแบบ ขึ้นอยู่กับระยะระหว่ำงวัตถุกับเลนส์ และกำรหกั เหของแสงผ่ำน เลนสน์ นู ทำให้เกดิ ภำพเสมือนหวั ตั้งขนำดเลก็ กวำ่ วตั ถุ กำรสะทอ้ นและกำรหักเหของแสงนำไปใช้อธบิ ำย ปรำกฏกำรณ์ทเี่ กยี่ วกบั แสง เชน่ ร้งุ มริ ำจ และอธิบำยกำร ทำงำนของทศั นอุปกรณ์ เช่น แวน่ สำยตำ แว่นขยำย กระจกโค้งจรำจร กลอ้ งโทรทรรศน์ กลอ้ งจุลทรรศน์ ควำมบกพร่องทำงสำยตำ เช่น สำยตำสั้น สำยตำยำว เป็นเพรำะตำแหน่งที่เกิดภำพไม่ได้อยู่ท่ีจอตำพอดี จึงต้อง ใช้เลนส์ในกำรแก้ไขเพ่ือช่วยให้มองเห็นเหมือนคนสำยตำ ปกติ โดยคนสำยตำส้ันใช้เลนส์เว้ำ ส่วนคนสำยตำยำวใช้ เลนสน์ ูน ควำมสว่ำงของแสงมีผลต่อดวงตำมนุษย์ กำรใช้สำยตำ ในสภำพแวดล้อมท่ีมีควำมสว่ำงไม่เหมำะสมจะเป็น อันตรำยต่อดวงตำ เช่น กำรดูวัตถุในท่ีมีควำมสว่ำงมำก หรอื น้อยเกนิ ไป

27 8. ปฏิสัมพันธ์ใน ว 3.1 ระบบสรุ ยิ ะมดี วงอำทติ ยเ์ ปน็ ศูนยก์ ลำงโดยมี 16 ร ะ บ บ สุ ริ ย ะ ม.3/1 ดำวเครำะห์และบริวำร ดำวเครำะห์แคระ ดำวเครำะห์นอ้ ย และเทคโนโลยี ม.3/2 ดำวหำง และอ่นื ๆ โคจรอยโู่ ดยรอบ ซงึ่ วตั ถเุ หล่ำน้จี ะโคจร อวกำศ ม.3/3 รอบดวงอำทิตยด์ ้วยแรงโน้มถว่ ง ซ่ึงแรงโน้มถว่ งเป็น ม.3/4 แรงดงึ ดูดระหวำ่ งวัตถสุ องวัตถุ โดยเปน็ สดั ส่วนกับผลคณู ของมวลทงั้ สอง และเป็นสดั ส่วนผกผนั กับกำลังสองของ ระยะทำงระหวำ่ งวัตถทุ ้งั สอง กำรทโ่ี ลกโคจรรอบ ดวงอำทิตยใ์ นลักษณะท่ีแกนโลกเอยี งกบั แนวตั้งฉำกของ ระนำบทำงโคจรทำให้ส่วนตำ่ งๆ บนโลกได้รบั ปรมิ ำณแสง จำกดวงอำทิตย์แตกตำ่ งกนั ในรอบปี เกดิ เป็นฤดกู ำลและ ยังทำให้กลำงวนั และกลำงคนื ยำวนำนไมเ่ ท่ำกนั สว่ นกำร หมุนรอบตัวเองของโลกทำใหเ้ รำสงั เกตเหน็ กำรเคลอ่ื นที่ ปรำกฏของดวงอำทิตย์จำกทศิ ตะวันออกไปยงั ทศิ ตะวนั ตก ซ่ึงปรำกฏกำรณน์ เี้ รียกว่ำ กำรข้นึ และตกของดวงอำทติ ย์ สว่ นดวงจันทร์โคจรรอบโลกในทิศทำงเดียวกนั กบั ทโี่ ลก หมุนรอบตัวเอง จึงทำให้เห็นดวงจนั ทร์ข้ึนชำ้ ไปประมำณ วันละ 50 นำที และเนื่องจำกดวงจนั ทรใ์ ช้เวลำหมุนรอบ ตัวเองเทำ่ กบั เวลำทใ่ี ช้ในกำรโคจรรอบโลก ทำให้ดวงจนั ทร์ หนั ดำ้ นเดยี วเข้ำหำโลก เมอื่ ดวงจนั ทรโ์ คจรรอบโลกจะหัน สว่ นสว่ำงมำยงั โลก ทำให้เรำสงั เกตเหน็ สว่ นสวำ่ งของดวง จนั ทรแ์ ตกตำ่ งกันในแตล่ ะวนั เกิดเปน็ ขำ้ งขึ้นขำ้ งแรมหรอื วถิ จี นั ทร์ ผลของควำมแตกต่ำงของแรงโน้มถ่วงทดี่ วง อำทิตยแ์ ละดวงจันทรก์ ระทำตอ่ โลกทำให้เกดิ ปรำกฏกำรณ์ นำ้ ขน้ึ นำ้ ลง วนั ทน่ี ้ำมีระดับกำรขนึ้ สงู สดุ และลงต่ำสดุ เรียกวำ่ วันน้ำเกดิ ส่วนวนั ทรี่ ะดับนำ้ มกี ำรขึน้ และลงนอ้ ย เรียกว่ำ วนั น้ำตำย โดยวันนำ้ เกิด และวันนำ้ ตำยมี ควำมสมั พันธก์ บั ขำ้ งขึ้นข้ำงแรม เทคโนโลยีอวกำศเป็นกำรนำควำมรู้และวิธีกำรต่ำง ๆ ทำงวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีมำใช้ให้เหมำะสมใน กำรศึกษำทำงดำรำศำสตร์และอวกำศ ตลอดจนนำมำ ประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับทรัพยำกรธรรมชำติและกำร ดำรงชีวิตของมนุษย์ ซงึ่ อุปกรณท์ ่ีใชใ้ นกำรศึกษำเทคโนโลยี อวกำศมีหลำยอย่ำง เช่น กล้องโทรทัศน์ กระสวยอวกำศ ดำวเทียม ยำนอวกำศ

28 กำรวัดผลประเมินผล/ข้อตกลงเฉพำะวชิ ำ วิธีกำรประเมินผล กำรประเมนิ ผลกำรเรยี นให้ถือปฏิบตั ดิ ังน้ี 1. ทำกำรวดั และประเมนิ ผลกำรเรียนรู้ตำมตวั ชีว้ ัดที่กำหนดในหนว่ ยกำรเรยี นรดู้ ้วยวธิ กี ำรที่ หลำกหลำย ใหไ้ ดผ้ ลกำรประเมนิ ตำมควำมสำมำรถท่ีแท้จริงของผเู้ รยี น ให้ควำมสำคญั กับกำรประเมินระหว่ำงภำค เรียนมำกกวำ่ กำรประเมินปลำยภำค 2. ประเมินผลก่อนเรยี น เพ่ือศึกษำควำมรู้พน้ื ฐำนของผ้เู รียน 3. วดั และประเมนิ ผลระหว่ำงเรียนเพื่อศกึ ษำผลกำรเรียน ให้มงุ่ หำคำตอบวำ่ ผเู้ รยี นมคี วำมกำ้ วหนำ้ ทั้งด้ำนควำมรู้ ทักษะกระบวนกำร คณุ ธรรม และค่ำนิยมอันพงึ ประสงค์ กำรวัดและประเมินผลตอ้ งใช้วธิ ีกำรที่ หลำกหลำย ประเมนิ ตำมสภำพจรงิ 4. กำหนดอัตรำสว่ นคะแนนระหว่ำงภำค:สอบปลำยภำคดงั นี้ อัตรำสว่ นคะแนน อตั รำสว่ นคะแนนผลกำรเรียนรู้ อตั รำสว่ นคะแนนผลกำรเรียนรู้ ระหวำ่ งภำค:สอบปลำยภำค กอ่ นสอบกลำงภำค:หลงั สอบกลำงภำค ก่อนสอบปลำยภำค:หลังสอบปลำยภำค 70:30 25:20 25:30 5. กำรประเมินกำรอำ่ น คดิ วเิ ครำะห์และเขยี น เป็นกำรประเมินศักยภำพของผเู้ รียนในกำรอ่ำน กำร ฟงั กำรดูและกำรรับรู้ จำกหนงั สอื เอกสำร และสอ่ื ต่ำง ๆ ไดอ้ ย่ำงถูกต้องแล้วนำมำคดิ วิเครำะห์เนื้อหำสำระท่ี นำไปสู่กำรแสดงควำมคิดเห็น ถ่ำยทอดควำมคิดเห็นน้ันด้วยกำรเขียนซึ้งสะท้อนถึงสตปิ ัญญำ ควำมรู้ ควำมสมำรถ ในกำรวิเครำะห์ 6. กำรประเมินคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ ตำมหลกั สูตรแกนกลำงกำรศึกษำขัน้ พ้ืนฐำนพุทธศกั รำช 2551 และตำมทสี่ ถำนศึกษำกำหนดเพิ่มเติม เป็นกำรประเมินรำยบุคคลเกณฑ์กำรวดั และ ประเมนิ ผลกำรเรียนรู้ 1. กำรตัดสนิ ผลกำรเรียน หลกั เกณฑ์กำรวัดและประเมินผลกำรเรยี นรเู้ พอื่ ตัดสินผลกำรเรยี นของผู้เรียนของผเู้ รยี นตำมหลกั สตู ร แกนกลำงกำรศึกษำข้นั พนื้ ฐำน พทุ ธศกั รำช 2551 มดี งั นี้ 1) ตดั สินผลกำรเรียนเป็นรำยวิชำ รำยบคุ คล ผูเ้ รียนต้องมเี วลำเรียนตลอดภำคเรยี นไม่น้อยกว่ำรอ้ ยละ 80 ของเวลำเรยี นทง้ั หมดในรำยวชิ ำน้นั ๆ 2) ผู้เรียนต้องไดร้ ับกำรประเมินทุกตัวชี้วัดและผ่ำนเกณฑต์ ำมเกณฑ์ที่สถำนศึกษำกำหนด(เกณฑ์กำรผ่ำน รำยวชิ ำพนื้ ฐำนและเพิ่มเติม กำหนดตัวชวี้ ัดทีต่ อ้ งผ่ำนต้องไมน่ ้อยกว่ำรอ้ ยละ 60 ของแต่ละรำยวชิ ำ กำรพิจำรณำเล่อื นชน้ั ถำ้ นักเรียนมขี ้อบกพร่องบำงตวั ชวี้ ดั ซงึ่ สถำนศึกษำพิจำรณำเห็นว่ำสำมำรถ พฒั นำและสอนซ่อมเสรมิ ได้ กใ็ ห้อยู่ในดุลยพินิจของสถำนศึกษำที่จะผ่อนผันให้เลอ่ื นช้นั ได้) 3) ผู้เรยี นต้องได้รับกำรตัดสนิ ผลกำรเรยี นทุกรำยวิชำ 4) ผู้เรยี นตอ้ งได้รบั กำรประเมนิ และมผี ลกำรประเมนิ ผ่ำนเกณฑ์ตำมทสี่ ถำนศึกษำกำหนดในกำรอ่ำน คิด วิเครำะหแ์ ละเขียน คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์และกจิ กรรมพฒั นำผเู้ รียน 2. กำรให้ระดบั ผลกำรเรยี น

29 ในกำรตัดสนิ เพ่อื ใหร้ ะดับผลกำรเรยี นรำยวิชำของกล่มุ สำระกำรเรียนรู้ ให้ใช้ตวั เลขแสดงระดบั ผลกำร เรียนเปน็ 8 ระดับ รำยวิชำท่จี ะนบั หนว่ ยกิตได้ จะต้องได้ระดบั ผลกำรเรียนต้ังแต่ 1 ขนึ้ ไป โดยมี แนวกำรใหร้ ะดบั ผลกำรเรยี น ดงั น้ี คะแนนร้อยละ ระดับผลกำรเรียน ควำมหมำยผลกำรประเมนิ 80-100 4 ดเี ย่ียม 75-79 3.5 ดมี ำก 70-74 3 ดี 65-69 2.5 ค่อนข้ำงดี 60-64 2 ปำนกลำง 55-59 1.5 พอใช้ 50-54 1 0-49 0 ผ่ำนเกณฑ์ข้ันต่ำ ตำ่ กวำ่ เกณฑ์ กำรประเมนิ กำรอ่ำน คดิ วเิ ครำะหแ์ ละเขียน และคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงคน์ ้นั ใหร้ ะดบั ผลกำรประเมิน ผ่ำน และ ไมผ่ ำ่ น กรณีท่ผี ำ่ นให้ระดับผลกำรเรียนเปน็ ดเี ยีย่ ม ดี และผำ่ น ดงั น้ี 3. กำรประเมินกำรอำ่ น คดิ วิเครำะห์และเขยี น ดีเยีย่ ม หมำยถงึ สำมำรถจบั ใจควำมสำคัญได้ครบถ้วน เขยี นวพิ ำกษ์วิจำรณ์ เขยี น สร้ำงสรรค์ แสดงควำมคดิ เห็นประกอบอยำ่ งมีเหตุผลได้ถูกต้องและ สมบูรณ์ใชภ้ ำษำสุภำพและเรยี บร้อยอย่ำงสละสลวย ดี หมำยถงึ สำมำรถจับใจควำมสำคัญได้ เขยี นวิพำกษ์วจิ ำรณ์และเขยี นสรำ้ งสรรค์ได้ โดยใชภ้ ำษำสุภำพ ผ่ำน หมำยถงึ สำมำรถจับใจควำมสำคัญ และเขียนวิพำกษ์วจิ ำรณไ์ ดบ้ ้ำง 4. กำรประเมินคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ ดเี ยย่ี ม หมำยถงึ ผู้เรียนมีคุณลกั ษณะในกำรปฏิบตั ิตนเป็นนิสยั และนำไปใช้ได้ใน ชวี ติ ประจำวนั เพื่อประโยชน์สขุ ของตนเองและสังคม ดี หมำยถึง ผูเ้ รียนมคี ุณลักษณะในกำรปฏบิ ัติตำมเกณฑ์ เพ่ือใหเ้ ปน็ ที่ยอมรับของสงั คม ผำ่ น หมำยถึง ผูเ้ รยี นรับรู้และปฏิบัติตำมเกณฑแ์ ละเง่ือนไข ที่สถำนศกึ ษำกำหนด ในกรณีทผ่ี ้เู รยี นไดผ้ ลกำรเรยี นต่ำกวำ่ เกณฑท์ ่ีกำหนด ใหค้ รผู สู้ อนดำเนินกำรซ่อมเสริมปรับปรงุ แก้ไข ในสำระกำรเรียนรู้ที่ไม่ผ่ำนเกณฑ์ ดว้ ยวธิ กี ำรท่ีมปี ระสิทธิภำพ จนผเู้ รยี นมีควำมรู้ ทกั ษะ กระบวนกำร ผ่ำนเกณฑ์ขั้นต่ำท่ีกำหนด ภำยในภำคเรียนถัดไปผลกำรประเมนิ ที่ไดไ้ มเ่ กิน 1 ในกรณที ีผ่ เู้ รียนไม่เข้ำรับกำรซอ่ มเสรมิ ในระยะเวลำท่กี ำหนด ให้ครูผู้สอนบันทึกข้อควำมเสนอผู้บริหำร ตำมลำดบั ขัน้ เพอื่ เสนอต่อคณะกรรมกำรบริหำรหลักสูตรและวิชำกำรพจิ ำรณำเปน็ กรณีต่อไป

30 “เงื่อนไขกำรติด ร” คือนกั เรียนทีไ่ ม่ได้วัดผลกำรเรียนรูก้ ลำงภำค หรอื ปลำยภำค หรือไม่ส่งงำนที่ มอบหมำย เกนิ 3 ครัง้ ข้อเสนอแนะอน่ื ๆ ............................................................................................................................. ................................................. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. (ลงชื่อ)............................................................ครผู ้สู อน ( นำงสำวภักดนิ นั ท์ สมรกั ษ์ ) ตำแหนง่ ครู ............................................................................................................................. ................................................. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. (ลงชือ่ )............................................................หัวหนำ้ กล่มุ สำระ ( นำงสำวภทั รยิ ำ โพธศ์ิ รคี ณุ ) ตำแหน่ง ครู วิทยฐำนะชำนำญกำรพิเศษ ................................................................................................. ................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................ (ลงช่อื )............................................ผชู้ ว่ ยผูอ้ ำนวยกำรกลุ่มบริหำรวิชำกำร ( นำยเถลงิ ศักดิ์ เถำว์โท ) ตำแหน่ง. ครู วทิ ยฐำนะ. ครูชำนำญกำรพิเศษ ............................................................................................................................................................................ ........ ........................................................................................................................... .............................................. (ลงชอ่ื )............................................ ( นำยสุเมธ หนอ่ แกว้ ) ผ้อู ำนวยกำรโรงเรยี นน้ำปลกี ศึกษำ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook