Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore chapter 3 พันธะเคมี ม.4 part 3

chapter 3 พันธะเคมี ม.4 part 3

Published by Pattaranun Chuenroung, 2021-09-04 06:49:23

Description: chapter 3 พันธะเคมี ม.4 part 3

Search

Read the Text Version

พันธะโคเวเลนต์ 01 02 06COVALENT BONDS 03 04

https://javalab.org/en/covalent_bond_en/

Covalent bond คอื การสรา้ งพนั ธะระหว่างอะตอมของ เกิดจากธาตุ : อโลหะ + อโลหะ 01 อโลหะกับอโลหะ เปน็ การเกิดพันธะของ 02 SHARED ELECTRON อะตอมทีม่ คี า่ อิเลก็ โตรเนกาติวิตี ใกลเ้ คยี งกันหรือเท่ากัน ซง่ึ จะตอ้ งเปน็ ไปตามกฎออกเตต ขอ้ ยกเวน้ ! และอโลหะที่มี มกี ารใช้อเิ ลก็ ตรอนรว่ มกนั ระหวา่ งอะตอมครู่ ่วมพนั ธะนนั้ ๆและมจี านวน 03 เวเลนซอ์ ิเล็กตรอน 04 รวมธาตุ Be อเิ ลก็ ตรอนอยรู่ อบ ๆ แตล่ ะอะตอมเปน็ ไปตาม กฎออกเตต (โลหะ) เท่ากับ 1 คอื ไฮโดรเจน (H)

ข้ อ ค ว ร รู้ 01 02 “โดยทัว่ ไปแล้วอโลหะเปน็ ธาตุท่มี คี ่าอเิ ล็กโตรเนกาตวิ ติ ี (EN) และพลังงานไอออไนเซชัน 03 (IE) สูง ทาใหเ้ สียอเิ ลก็ ตรอนยาก จงึ ไม่สามารถให้หรอื รับอเิ ล็กตรอนกนั อยา่ งสมบรู ณ์ 04 ไมเ่ หมอื นกรณีของการสร้างพนั ธะไอออนิก” ธาตทุ เ่ี ป็น คือ คารบ์ อน (C) อโลหะ น้นั ส่วน ใหญม่ ีเวเลนซ์ แต่ธาตุทมี่ เี วเลนซอ์ เิ ล็กตรอนเท่ากับ อเิ ล็กตรอนตง้ั แต่ 4 อกี 2 ธาตุ 4 ข้นึ ไป คือ Sn กบั Pb เปน็ โลหะ

High electronegativity

ดังนนั้ พนั ธะโคเวเลนตเ์ ปน็ พันธะทเ่ี กดิ จากอะตอมของ!! • อโลหะกบั อโลหะ 01 02 เชน่ CO2 และ NH3 03 • ก่งึ โลหะกบั อโลหะ 04 เชน่ SiO2 และ GeCl4 • โลหะบางชนดิ (Be และ B) กบั อโลหะ *เชน่ BeCl2 และ BF3

EXAMPLE H2 F2 CO2 CF4

แรงผลักมากไมเ่ กิดเปน็ โมเลกลุ • เมื่ออะตอมทั้ง 2 เขา้ มาใกล้กันใน ไมด่ งึ ดดู ไมเ่ กิดเป็นโมเลกลุ ระยะที่เหมาะสม จะมีพลังงาน ศักยต์ ่าสุด ดงึ ดูดไดด้ ี แรงผลักนอ้ ย • อะตอมเกดิ การใชอ้ ิเล็กตรอน เสถียร เกิดเป็นโมเลกลุ ร่วมกนั เปน็ เป็นโมเลกุลขนึ้ แรงยึดเหนี่ยวท่ที าให้อะตอมอยู่ รวมกันไดใ้ นลักษณะน้ี เรยี กวา่ “พันธะโคเวเลนต์”

ป ร ะ เ ภ ท พั น ธ ะ โ ค เ ว เ ล น ต์ พั น ธ ะ เ ด่ี ย ว พั น ธ ะ คู่ พั น ธ ะ ส า ม

ประเภทพันธะโค เวเลนต์  Single bond เกดิ จากอะตอมใชเ้ วเลนตอ์ ิเล็กตรอน (พันธะเดยี่ ว) รว่ มกนั 1 คู่ เช่น 01 02 Share electron 03 พนั ธะเดย่ี ว 04

ประเภทพันธะโค เวเลนต์ 01 02  Double bond เกดิ จากอะตอมใชเ้ วเลนต์ 03 (พันธะค)ู่ อิเลก็ ตรอนรว่ มกนั 2 คู่ เช่น 04 พนั ธะคู่

ประเภทพันธะโค เวเลนต์ 01 02  Triple bond เกดิ จากอะตอมใช้เวเลนต์ 03 (พันธะสาม) อเิ ล็กตรอนรว่ มกัน 3 คู่ เช่น 04 พันธะสาม

ตวั อย่างท่ี 1 NH3 = แอมโมเนีย (Ammonia) อิเลก็ ตรอนคู่รว่ มพันธะ อิเล็กตรอนคู่โดดเดีย่ ว (boning electrons) (lone pair electron/ Non-bonding) คู่อเิ ล็กตรอนที่ใช้รว่ มกนั อเิ ลก็ ตรอนท่ีไม่ได้ใช้ใน 01 อาจจะแสดงเป็น การสร้างพันธะ 02 1 เสน้ (ใช้ 1 คู่อเิ ล็กตรอน) จะแสดงเป็น จดุ 2 เสน้ (ใช้ 2 คู่อิเล็กตรอน) 3 เสน้ (ใช้ 3 คูอ่ ิเล็กตรอน) อย่บู นอะตอม 03 04

สูตรโมเลกลุ 06 01 02 และการอา่ นชอ่ื 03 สารประกอบเวเลนต์ 04 1. สูตรแบบจดุ 2. สตู รแบบเสน้

สูตรโครงสร้าง 1. สตู รแบบจดุ เป็นการสร้างพันธะโดยการนาเอาเวเลนซ์อเิ ล็กตรอนมาใชร้ ว่ มกนั 01 หรือสตู รลวิ อสิ การให้หรอื /และรบั อเิ ล็กตรอนของอะตอมทงั้ สองอะตอมให้เปน็ ไปตาม 02 03 “กฎออกเตต (octet rule)” โดยแสดงเวเลนซ์อเิ ล็กตรอนเป็นจดุ (electron-dot structure) 04

สตู รโครงสรา้ ง H2O 01 02 หลกั การเขยี น 03 04 1. เขียนอะตอมกลาง 2. เขยี น จดุ แทนเวเลนตอ์ เิ ล็กตรอน 3. นาอะตอมของแตล่ ะธาตมุ าเขา้ คู่กัน โดยใหแ้ ตล่ ะอะตอมท่ีใชอ้ เิ ล็กตรอน ร่วมกันมวี าเลนซ์อิเล็กตรอนเป็นแปด ตามกฏออกเตต

สตู รโครงสร้างพนั ธะโคเวเลนต์ : Octet rule 01 02 “โมเลกุลทีไ่ มเ่ ป็นไปตามกฎออกเตต” 03 04 1. พวกทไี่ มค่ รบออกเตต ได้แก่ สารประกอบของธาตใุ นคาบที่ 2 ของตารางธาตุที่ มเี วเลนตอ์ เิ ล็กตรอน นอ้ ยกวา่ 4 4Be = 2 , 2 เวเลนตอ์ ิเลก็ ตรอนเทา่ กับ 2 5B = 2 , 3 เวเลนตอ์ ิเลก็ ตรอนเท่ากบั 3 ธาตุ Be และ B เมือ่ เกดิ เป็นสารประกอบโคเวเลนตท์ ว่ั ๆ ไปจะไม่ครบออกเตต เชน่ BF3 BCl3 BeCl2 และ BeF2 เป็นตน้

สตู รโครงสร้างพนั ธะโคเวเลนต์ : Octet rule 01 02 “โมเลกุลทไ่ี ม่เป็นไปตามกฎออกเตต” 03 04 2. พวกทเ่ี กนิ ออกเตต ตามทฤษฎีสารประกอบของธาตุท่อี ย่ใู น คาบท่ี 3 ของตารางธาตุ เป็นต้นไป สามารถสรา้ งพันธะแลว้ ทาใหอ้ ิเลก็ ตรอนเกิน 8 ได้ (ตามกฎการจัดอิเลก็ ตรอน 2n2 ในคาบท่ี 3 สามารถมี อิเล็กตรอนไดเ้ ตม็ ทถี่ งึ 18 อิเลก็ ตรอน) เชน่ PCl5 SF6 เปน็ ตน้

สตู รโครงสรา้ งพนั ธะโคเวเลนต์ : Octet rule 01 02 “โมเลกุลทไ่ี ม่เป็นไปตามกฎออกเตต” 03 04 3. ออกไซดข์ อง N และ Cl • ออกไซด์บางตัวของธาตุไนโตรเจน NO, NO2, N2O, N2O3, N2O5 • ออกไซดข์ องคลอรีน = ClO2 ธาตเุ หลา่ นี้ (N และ Cl) สามารถมีอิเล็กตรอนทไี่ ม่ได้ จบั คู่ หรือ “อเิ ล็กตรอนคู่โดดเดยี่ ว (lone pair)”

สู ต ร โ ค ร ง ส ร้ า ง 2. สูตรแบบเสน้ (graphic structure) 01 02 ❑ ใช้เส้นตรง 1 เสน้ ( — ) แทนอเิ ลก็ ตรอนทีใ่ ช้ร่วมกัน 1 คู่ HCN มสี ูตรแบบเสน้ เป็น 03 ❑ ใชเ้ สน้ ตรง 2 เส้น ( = ) แทนอิเล็กตรอนทใ่ี ช้รว่ มกนั 2 คู่ 04 ❑ ใชเ้ ส้นตรง 3 เส้น (  ) แทนอเิ ลก็ ตรอนทใ่ี ช้ร่วมกัน 3 คู่ H-C–N ❑ ให้เขยี นไวใ้ นระหว่างสัญลักษณ์ของธาตุครู่ ่วมพันธะ ❑ อิเล็กตรอนคโู่ ดดเด่ียวทเ่ี หลอื อาจเขยี นโดยใชจ้ ดุ แทน PCl3 มสี ูตรแบบเส้นเป็น Cl — P — Cl Cl

ห ลั ก ก า ร เ ขี ย น สู ต ร แ ล ะ แ ส ด ง พั น ธ ะ “สารท่มี ีจานวนแขนมากท่ีสดุ สารนนั้ จะตอ้ ง 01 เป็นอะตอมกลาง” 02 03 หมู่ 7 F Cl Br I และ H มี 1 แขน 04 หมู่ 6 O S มี 2 แขน หมู่ 5 N มี 3 แขน หมู่ 4 C Si มี 4 แขน

แบบฝึกหัด ลองคิด 1

การเรียกช่ือสารประกอบโคเวเลน ต์ 01 02 สตู รโมเลกุลสารประกอบโคเวเลนต์ = เรยี งลาดบั ธาตุองคป์ ระกอบ 03 จากคา่ อเิ ลก็ โทรเนกาตวิ ิตี (จาก EN นอ้ ยไปมาก) 04 เชน่ CO2 CCl4 SF6 N2O2 ขอ้ ยกเวน้ บางตวั ! NH3 CH4

การเรียกช่ือสารประกอบโคเวเลน ต์ 1. กรณที ่ปี ระกอบด้วยธาตชุ นิดเดยี ว (สว่ นใหญ่จะอยใู่ นสถานะแกส๊ ใหร้ ะบสุ ถานะแกส๊ ด้วย) 01 เช่น O2(g) อา่ นว่า แกส๊ ออกซเิ จน 02 2. กรณีประกอบด้วยธาตุ 2 ชนิดขึ้นไป ให้อ่านธาตุตัวหน้าก่อน และตามด้วยธาตุตัว หลงั โดยเปลีย่ นท้ายพยางค์เป็นไอด์ (-ide) 3. ระบจุ านวนอะตอมของแต่ละธาตุด้วยจานวนใน ภาษากรกี ดงั น้ี 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 03 mono di tri tetra penta hexa hepta octa nona deca (มอนอ) (ได) (ไตร) (เตตระ) (เพนตะ) (เฮกซะ) (เฮปตะ) (ออกตะ) (โนนะ) (เดคะ) CH4 : Carbon tetrahydride 04

การเรียกชื่อสารประกอบโคเวเลน ต์ 01 02 4. ถ้าธาตตุ ัวหน้ามอี ะตอมเดยี ว ไมต่ ้องระบุจานวนอะตอม 03 แต่ธาตุตวั หลงั ตอ้ งระบจุ านวนอะตอม แมม้ เี พียงอะตอมเดยี ว 04 CO = Carbon monoxide CO2 = Carbon dioxide

การเรียกช่ือสารประกอบโคเวเลน ต์ กรณีพเิ ศษ : ตดั คาสดุ ทา้ ยของคาระบุจานวนออก 01 02 CO = Carbon monoxide (คารบ์ อนมอนอกไซด์) 03 04 N2O4 = Dinitrogen tetroxide (ไดไนโตรเจนเตตรอกไซด์)

แบบฝึกหัด ลองคิด 2

เพิ่มเติม การเรียกชื่อสารประกอบเวเลนต์ PH3 phosphorus trihydride 1 = Mono SCl6 sulfur hexachloride 2 = Di N2O3 dinitrogen trioxide 3 = Tri 4 = Tetra HI hydrogen monoiodide* 5 = Penta 6 = Hexa 7 = Hepta 8 = Octa 9 = Nona 10 = Deca

การเรียกชื่อสารประกอบ เวเลนต์ จงอา่ นชอ่ื สารประกอบเหล่าน้ี Arsenic pentafluoride Aluminium triiodide AsF5 Dinitrogen monoxide AlI3 N2O Dicholrene heptaoxide Cl2O7 Carbon monoxide CO

SO3 sulfur trioxide sulfur dibromide SBr2 N2S CS2 P2Br4 dinitrogen monosulfide carbon disulfide B2H4 SiO2 BF3 diphosphorus tetrabromide diboron tetrahydride N2O3 NCl3 silicon dioxide dinitrogen trioxide boron trifluoride nitrogen trichloride

ความยาวพันธะ 01 และพลังงานของสาร 02 03 07โคเวเลนต์ 04

ความยาวพนั ธะและพลงั งานของสารโคเวเลนต์ เมอ่ื อะตอมทัง้ สองของไฮโดรเจนเขา้ ใกล้กนั 01 จะเกิดแรงดึงดดู ระหวา่ งอเิ ลก็ ตรอนหน่ึง 02 กบั โปรตอนในนวิ เคลียสอกี ชนดิ หนึง่ 03 04 กรณที ่ี 1 แรงผลกั > แรงดดู กรณที ่ี 2 แรงดดู > แรงผลกั กรณที ี่ 3 แรงดดู = แรงผลกั ท่ี 74 พิโกเมตร กราฟแสดงการเปลี่ยนแปลงพลงั งานในการเกิดโมเลกลุ แก๊ส H2

ความยาวพันธะ (Bond Length) 1. ความยาวพันธะ หมายถึง คือระยะห่างที่สั้นที่สุดระหว่าง นิวเคลียสของอะตอมคู่ที่สร้างพันธะ โดยเป็นตาแหน่งที่อะตอมทั้งสอง *ดงึ ดดู กันไดด้ ีที่สดุ มพี ลังงานตา่ สุดหรอื มเี สถยี รภาพที่สุด พันธะเดี่ยว > พนั ธะคู่ > พนั ธะสาม

ความยาวพันธะ (Bond Length) Example. H2O vs CH3OH ความยาวพนั ธะ O-H 95.8 95.6 (pm) มคี า่ ใกลเ้ คียงกัน → ใช้เป็น ความยาวพนั ธะเฉลยี่ (average bond length)

พลงั งานพันธะของสารโคเวเลนต์ In the case of H2, the covalent bond is very 01 strong; a large amount of energy, 436 kJ, 02 must be added to break the bonds in one 03 mole of hydrogen molecules and cause the 04 atoms to separate: H2(g) → 2H(g) ΔH = 436kJ Conversely, the same amount of energy is released when one mole of H2 molecules forms from two moles of H atoms: 2H(g) → H2(g) ΔH = −436kJ กราฟแสดงการเปลีย่ นแปลงพลงั งานในการเกิดโมเลกุลแก๊ส H2

พลังงานพันธะ (Bond Energy) 2. พลงั งานพนั ธะ หมายถึง พลงั งานท่ใี ช้ไปเพ่ือสลายพันธะระหวา่ งอะตอมภายในโมเลกลุ ซงึ่ อยใู่ นสถานะแก๊สใหแ้ ยกออกเป็นอะตอมในสถานะแกส๊ เช่น * พลังงานพนั ธะใช้บอกความแข็งแรงของพนั ธะ พันธะสาม > พันธะคู่ > พันธะเดีย่ ว H2(g) + 436 kJ → 2H(g) การสลายพนั ธะ – ดูดพลงั งาน 2H(g) → H2(g) + 436 kJ การสร้างพนั ธะ – คายพลังงาน

พลังงานพันธะ (Bond Energy) Example. สาหรบั โมเลกลุ ทมี่ พี นั ธะชนดิ เดียวกันมากกวา่ 1 พนั ธะ เชน่ การสลายโมเลกุลนา้ H-O-H + 494 kJ/mol → H(g) + O-H(g) O-H(g) + 424 kJ/mol → H(g) + O-H(g) ใ ช้ เ ป็ น พลงั งานพนั ธะเฉลย่ี (average bond energy)



สรุป! ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งความยาวพันธะและพลงั งานพนั ธะ ความแขง็ แรงของพนั ธะ  พลังงานพันธะ  1 01 คคววาามมยายวาพวนั พธะนั ธะ 02 03 1. ความยาวพนั ธะ : พันธะเดย่ี ว > พันธะคู่ > พนั ธะสาม 04 2. พลงั งานพันธะ : พันธะสาม > พนั ธะคู่ > พันธะเด่ยี ว 3. ความแขง็ แรงพันธะ : พันธะสาม > พนั ธะคู่ > พนั ธะเด่ยี ว

ก า ร คา น ว ณ พ ลั ง ง า น ข อ ง ป ฏิ กิ ริ ย า “ปฏิกิรยิ าเคมใี ดๆ พลังงานท่เี ปล่ยี นแปลง (H) มคี ่าเท่ากบั 01 ผลรวม พลังงานท่ีใช้สลายพนั ธะเดมิ E1 (ค่า +) กับพลงั งานท่ีได้ 02 03 จากการสร้างพันธะใหม่ E2 (คา่ -)” 04 การเกดิ ปฏิกิริยาเคมี คือ กระบวนการท่ี มกี ารทาลายพนั ธะเดิม (สารตั้งตน้ ) และสรา้ งพันธะใหม่ (สารผลิตภณั ฑ)์

Copncet 01 ก า ร คา น ว ณ พ ลั ง ง า น ข อ ง ป ฏิ กิ ริ ย า 02 03 H = E1 + E2 04 พลงั งานพนั ธะรวมของสารต้งั ตน้ - พลงั งานพนั ธะรวมของสารผลติ ภัณฑ์ สลาย พันธะเดิม สร้าง พันธะใหม่ E1 (คา่ +) E2 (คา่ -) สลายพนั ธะ = ดดู (+) สร้างพันธะ = คาย (-)

ตัวอยา่ งที่ 1 จงคานวณพลงั งานของปฏกิ ิรยิ าการเผาไหมข้ องแกส๊ เอทิลีน (C2H4) ดงั สมการ C2H4(g) + 3O2(g) → 2CO2(g) +2H2O(g) วธิ ีคดิ พลงั งานทใี่ ช้สลายพันธะของ C2H4 1 โมล และ O2 3 โมล = E1 kJ E1 (สตต.) = [(1 mol C=C × 614 kJ/mol C=C) + (4 mol C−H × 414 kJ/mol C−H)] + [(3 mol O=O × 498 kJ/mol O=O)] = 614 kJ + 1656 kJ + 1494 kJ = 3764 kJ วิธคี ดิ การสร้างพนั ธะของ CO2 2 โมล และ H2O 2 โมล = E2 kJ E2 (ผลติ ฯ) = [(4 mol C=O) × (-804 kJ/mol C=O)] + [(4 mol H−O) × (-463 kJ/mol H−O)] = (-3216 kJ) + (-1852 kJ) = -5068 kJ ดังน้ัน ΔH = E1 + E2 = 3764 kJ + (-5068 kJ) = -1304 kJ ดงั น้นั การเผาไหมข้ องแกส๊ เอทลิ นี คาย พลังงานเทา่ กบั 1304 กิโลจลู ตอ่ โมล

เ พิ่ ม เ ติ ม ก า ร คานวณพลั งงานขอ งปฏิ กิ ริ ยา Ex.1 การสลายพันธะในโมเลกลุ มเี ทน (CH4) 1 โมล ออกเป็นอะตอมเดี่ยวต้องใช้พลังงนเท่าใดและ การเปลีย่ นแปลงน้เี ปน็ ดูดหรือคายความร้อน ? CH4(g) → C(g) + 4H(g) วธิ ีทา CH4 1 mol มพี นั ธะ C-H 4 mol สลายพันธะ = ดดู (+) จากตาราง พลงั งานพันธะของ C-H = +414 kJ/mol พลงั งานที่ใช้สลายพนั ธะของ CH4 = 4 mol ดงั น้ัน 4C-H x +414 kJ/mol = +1656 kJ ดงั นนั้ การสลายพนั ธะในโมเลกุลมีเทน 1 โมล ให้เป็นอะตอมคารบ์ อนและ ไฮโดรเจนต้องใชพ้ ลงั งาน 1656 กิโลจูน และเปน็ การเปลย่ี นแปลงแบบดดู พลงั งาน

รปู ร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ 01 02 03 08 04

(Valence Shell Electron Pair Repulsion) VSEPR ทฤษฎกี ารผลกั ของคูอ่ ิเลก็ ตรอน T h e o r y “จะข้นึ กับจานวนคูอ่ ิเลก็ ตรอนที่ใชใ้ นการสรา้ งพันธะกับจานวน 01 อเิ ล็กตรอนค่โู ดดเดย่ี ว” 02 03 คือ ทฤษฎที ใี่ ช้ “ทานาย” รูปรา่ งโมเลกลุ ของสารประกอบโคเวเลนต์ จากโครงสรา้ ง Lewis รปู รา่ งสามมติ ิ 04

1. แรงผลกั ระหวา่ งอเิ ลก็ ตรอนคโู่ ดดเดยี่ ว - อเิ ล็กตรอนคโู่ ดดเดย่ี ว 2. แรงผลกั ระหวา่ งอเิ ลก็ ตรอนคโู่ ดดเดย่ี ว – 2 อเิ ลก็ ตรอนครู่ ว่ มพนั ธะ 3. แรงผลกั ระหวา่ งอเิ ลก็ ตรอนครู่ ว่ มพนั ธะ รูปรา่ งมมุ งอ (Bent) โมเลกลุ โควาเลนต์ มรี ูปร่างแตกต่างกนั ขนึ้ อยูก่ ับแรงผลักภายในโมเลกุลของอเิ ลก็ ตรอน ค่รู ่วมพนั ธะและอิเล็กตรอนคโู่ ดดเด่ยี ว

รู ป ร่ า ง โ ม เ ล กุ ล โ ค เ ว เ ล น ต์ A. โมเลกุลทีอ่ ะตอมกลางไมม่ ี B. โมเลกลุ ท่ีอะตอมกลาง มี อิเล็กตรอนคโู่ ดดเดย่ี ว อเิ ล็กตรอนคโู่ ดดเด่ยี ว รูปรา่ งเสน้ ตรง (Linear) : AB2 รูปร่างมุมงอ (Bent) : AB2E หรือ AB2E2 รูปร่างสามเหล่ยี มแบนราบ (Trigonal planar) : AB3 รูปรา่ งพีระมดิ ฐานสามเหลยี่ ม (Trigonal pyramidal) : รปู รา่ งทรงสหี่ นา้ (Tetarhedarl) : AB4 AB3E รปู ร่างพีระมดิ คฐู่ านสามเหล่ียม (Trigonal bipyramidal) : รปู ร่างตวั ที (T-Shaped) : AB3E2 รปู ร่างทรงเหลย่ี มบดิ เบยี้ ว (Seesaw) : AB4E AB5 รูปรา่ งสี่เหล่ยี มแบนราบ (Square planar) : AB4E2 ทรงแปดหนา้ (Octahedral) : AB6 รปู ร่างพรี ะมิดฐานสี่เหลยี่ ม (Square pyramidal) : AB5E

ห ลั ก ก า ร พิ จ า ร ณ า รู ป ร่ า ง โ ม เ ล กุ ล 01 02 STEP 1 : เขียนโครงสรา้ งลวิ อสิ ของสารประกอบ 03 ท่ตี อ้ งการจะหารปู ร่างของโมเลกลุ 04 STEP 2 : นบั จานวนคอู่ เิ ลก็ ตรอน ทอ่ี ะตอมกลางท่ีสรา้ ง x = 2, y = 1 พันธะโดยจัดให้อิเลก็ ตรอนเกิดแรงผลักกนั น้อยท่สี ดุ และถา้ เปน็ พันธะสองหรอื สามให้คดิ เป็นอิเล็กตรอน 1 คู่ A B 2 E 1 หรอื A B 2 E อะตอมกลางมี 2 พันธะโคเวเลนต์ STEP 3 : แสดงรปู รา่ งของโมเลกลุ ตามการจัดเรียงตวั (มมุ งอ) ของคู่อิเลก็ ตรอนเชงิ มุมในพันธะ

เพ่ิมเตมิ 01 เรโซแนนซ์ และโคออดิเนต 02 03 โคเวเลนต์ 04

เพ่มิ เตมิ เรโซแนนซ์ (Resonance) คอื ปรากฎการณท์ ส่ี ารใดสารหนง่ึ เขียนสตู รทถี่ กู ตอ้ งไดห้ ลายแบบ เนอ่ื งจากพนั ธะคเู่ คลอ่ื นทไ่ี ด้ โครงสรา้ งลวิ อิสของ O3, SO2 เปน็ ต้น “การจะเปน็ โครงสร้าง เรโซแนนซไ์ ด้สารต้องมีการ O O OO OO จดั เรียงตัวของอะตอม เหมือนกัน ต่างเพยี งการ กระจายอเิ ล็กตรอนในพนั ธะ เท่าน้นั ”


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook