Part 1 4. ท ฤ ษ ฎี แ บ บ อ ะ ต อ ม ข อ ง โ บ ร์ ผ ล ส รุ ป แ บ บ จำ ล อ ง ข อ ง โ บ ร์ ชอ่ื ระดบั พลงั งำน K L M N O P Q เลขท่ีระดบั พลงั งำน 1 2 3 4 5 6 7 1. อะตอมประกอบดว้ ยนิวเคลยี สอยตู่ รงกลำงของอะตอม Bohr Model โดยมอี เิ ลก็ ตรอนเคล่ือนทอี่ ยูโ่ ดยรอบอะตอม 2. แตล่ ะระดับช้ันพลังงำนจะมพี ลังงำนไม่เทำ่ กนั โดยระดบั ชนั้ พลังงำนทอี่ ยู่ ใกลน้ วิ เคลยี สที่สดุ จะมีพลงั งำนตำ่ ที่สดุ คอื ช้นั n = 1 และช้ันถัด ๆ ไปเปน็ n = 2, 3, 4, … ซง่ึ จะมพี ลงั งำนสูงขน้ึ เร่ือย ๆ ตำมลำดบั บ ท ท่ี 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
การเปรยี บเทียบการเปลี่ยนระดับพลังงานของอิเล็กตรอนระหวา่ งสถานะพ้ืนและสถานะกระตุ้น 1. ลูกบอล (อิเล็กตรอน) จะเคล่ือนท่ีข้ึนไปได้ทีละช้ัน พลงั งานสูง n=1 n=1 พลงั งานตา่ บ ท ที่ 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
การเปรยี บเทยี บการเปลี่ยนระดบั พลังงานของอเิ ลก็ ตรอนระหว่างสถานะพื้นและสถานะกระตุ้น 1. ลูกบอล (อิเล็กตรอน) จะเคล่ือนท่ีข้ึนไปได้ทีละช้ัน พลงั งานสูง n=2 n=2 พลงั งานตา่ บ ท ที่ 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
การเปรียบเทยี บการเปลย่ี นระดบั พลังงานของอิเลก็ ตรอนระหวา่ งสถานะพื้นและสถานะกระตุ้น 1. ลูกบอล (อิเล็กตรอน) จะเคลื่อนท่ีข้ึนไปได้ทีละช้ัน พลงั งานสูง n=3 n=3 พลงั งานตา่ บ ท ที่ 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
การเปรยี บเทยี บการเปลย่ี นระดับพลงั งานของอเิ ลก็ ตรอนระหวา่ งสถานะพื้นและสถานะกระตุ้น 1. ลูกบอล (อิเล็กตรอน) จะเคลื่อนท่ีข้ึนไปได้ทีละช้ัน พลงั งานสูง n=4 n=4 พลงั งานตา่ บ ท ที่ 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
การเปรยี บเทียบการเปลย่ี นระดบั พลงั งานของอเิ ลก็ ตรอนระหวา่ งสถานะพน้ื และสถานะกระตุ้น 2. ลูกบอล (อิเล็กตรอน) ต้องกล้ิงลง และหยุดท่ีข้ันบันไดเท่ำนั้น! พลงั งานสูง พลังงานตา่ บ ท ท่ี 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
การเปรยี บเทียบการเปลย่ี นระดบั พลงั งานของอเิ ลก็ ตรอนระหวา่ งสถานะพน้ื และสถานะกระตุ้น 2. ลูกบอล (อิเล็กตรอน) ต้องกล้ิงลง และหยุดท่ีข้ันบันไดเท่ำนั้น! พลงั งานสูง พลังงานตา่ บ ท ท่ี 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
การเปรียบเทยี บการเปลี่ยนระดบั พลงั งานของอเิ ลก็ ตรอนระหวา่ งสถานะพ้ืนและสถานะกระตุ้น 3. ลูกบอล (อิเล็กตรอน) สำมำรถกล้ิงและหยุดอยู่บนบันไดข้ันท่ีติดกั น ห รื อ ห่ ำ ง กั น อ อ ก ไ ป ไ ด้ พลงั งานสงู พลังงานตา่ เช่น จากขน้ั ที่ 4 ลงมา 3 หรอื ขั้นที่ 4 ลงมา 1 ก็ได้ บ ท ที่ 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
Part 1 4 . ท ฤ ษ ฎี แ บ บ อ ะ ต อ ม ข อ ง โ บ ร์ สรุปอกี ท!ี “ อะตอมประกอบด้วยโปรตอนและนิวตรอน Bohr อยู่ภำยในนวิ เคลยี ส ส่วนอิเลก็ ตรอนวิ่งอยรู่ อบ ๆ นิวเคลียส เปน็ ชนั้ ๆ ในแต่ละชัน้ มรี ะดบั พลงั งำน เฉพำะตวั ลกั ษณะคล้ำยวงโคจรของดำวเครำะห์ รอบดวงอำทติ ย์ พลงั งำนระดบั ตำ่ สดุ จะอยู่ใกล้ นิวเคลยี สมำกท่ีสดุ และอิเลก็ ตรอนทีว่ งนอกสดุ จะมพี ลงั งำนมำกทส่ี ดุ ” บ ท ที่ 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
Part 1 ข้อลบล้ำง! แบบจำลองอะตอมของโบร์ • ไมส่ ำมำรถ อธบิ ำยกำรเกดิ สเปกตรมั ท่เี กดิ จำกอะตอมของ ธำตทุ มี่ หี ลำยอิเลก็ ตรอนได้ • แตจ่ ะอธบิ ำยได้ดี กบั อะตอมขนำดเล็กท่มี ี อเิ ลก็ ตรอนเดียว เชน่ ไฮโดรเจน ต่อมำนักวิทยำศำสตรจ์ ึงศกึ ษำเกี่ยวกับพฤติกรรม ของอิเลก็ ตรอน พบว่ำ อเิ ล็กตรอนสำมำรถเปน็ ได้ ทงั้ คลนื่ และอนภุ ำค บ ท ท่ี 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
เพิ่มเติม 1. เมือ่ อเิ ลก็ ตรอนได้รบั พลังงำนท่ีเหมำะสมจะขนึ้ ไปอยใู่ นระดับพลงั งำนทสี่ งู กวำ่ ระดับพลงั งำนเดมิ ซึง่ จะขน้ึ ไปอยู่ ในระดบั พลังงำนใดกข็ น้ึ อยกู่ บั ปริมำณพลังงำนทไี่ ด้รับ กำรท่ีอิเล็กตรอนขนึ้ ไปอยใู่ นระดบั พลงั งำนใหม่จะทำให้ อะตอมไม่เสถียร อเิ ลก็ ตรอนจึงกลบั มำอยใู่ นระดบั พลังงำนเดิมหรอื ระดับพลงั งำนต่ำกว่ำ ในกำรเปลยี่ นตำแหนง่ อิเล็กตรอนจะคำยพลังงำนออกมำเปน็ คลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟำ้ 2. กำรเปลี่ยนระดบั พลังงำนของอิเลก็ ตรอนไม่จำเปน็ ต้องเปลี่ยนระหวำ่ งระดบั พลงั งำนทอี่ ยู่ติดกนั อำจ มีกำรเปลี่ยนขำ้ มชั้นกันได้ 3. ระดับพลังงำนที่อยู่ตำ่ จะอยหู่ ่ำงกันมำกกวำ่ ระดับพลังงำนสงู ระดบั พลงั งำนยิง่ สงู ข้นึ จะอย่ชู ดิ กนั มำกขน้ึ 4. ระดบั พลงั งำนของอเิ ลก็ ตรอนที่ต่ำที่สดุ จะอย่ใู กลน้ วิ เคลยี สระดับพลังงำนสงู จะอยู่ไกลนวิ เคลยี ส บ ท ที่ 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
Part 1 กำรศึกษำโอกำสในกำรพบอิเล็กตรอน กำรศกึ ษำเกย่ี วกบั โอกำสหรือควำมเปน็ ไปได้ทจ่ี ะพบอิเล็กตรอนในบรเิ วณรอบ ๆ นิวเคลยี ส ซ่ึงจำกกำรศกึ ษำดังกล่ำว ทำใหพ้ บว่ำ บรเิ วณท่ีมโี อกำสพบอเิ ลก็ ตรอนมำกกวำ่ ภำพวำดจำกสมกำร ภำพจำกกำรทดลอง บรเิ วณอน่ื ๆ ได้แก่ บริเวณใกลน้ วิ เคลยี ส และโอกำสทจ่ี ะพบอเิ ลก็ ตรอนในระยะห่ำง ออกไปจะค่อย ๆ นอ้ ยลงตำมลำดับ บ ท ที่ 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
Part 1 5. ท ฤ ษ ฎี แ บ บ อ ะ ต อ ม ข อ ง ช โ ร ดิ ง เ ง อ ร์ ไดเ้ สนอ : สมกำรคลืน่ ของชโรดงิ เงอร์ (Schr dinger wave equation ) ท่ีแสดง “พฤติกรรมของอิเลก็ ตรอนท่เี ปน็ ได้ทงั้ คลื่นและอนุภำค” Schr dinger กำรแก้สมกำรชโรดิงเงอร์ ทำให้เกิดอนุกรมของฟังก์ชันทำง คณิตศำสตร์ทเ่ี รียกว่ำ ฟังก์ชนั คลืน่ (wave function) Hy = Ey 2������ ∇2= ������2 + ������2 + ������2 ℏ2 ������������2 ������������2 ������������2 ∇2������ + ������ − ������ ������ = 0 1 ������ 2 ������ 1 ������ ������ 1 ������2 = ������2 ������������ ������ ������������ + ������2 sin ������ ������������ sin ������ ������������ + ������2 sin ������ ������������2 บ ท ที่ 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
Part 1 5. แ บ บ อ ะ ต อ ม แ บ บ ก ลุ่ ม ห ม อ ก ภำพ: ลักษณะแบบ จำลองอะตอมแบบกลุม่ หมอก 1. ไม่สำมำรถบอกตำแหน่งที่แน่นอนได้ บอกได้เพียงท่ี พบอิเล็กตรอนตำแหน่งต่ำง ๆ ภำยในอะตอม และ อิเล็กตรอนเคลื่อนที่เร็วมำกจนเหมือนกับอิเล็กตรอนอยู่ ท่วั ไปในอะตอม ลักษณะนี้เรยี กว่ำ \"กลมุ่ หมอก\" 2. กลุ่มหมอกทม่ี อี ิเลก็ ตรอนระดบั พลังงำนตำ่ จะอยู่ใกล้ นวิ เคลียส ส่วนอเิ ล็กตรอนที่มรี ะดับพลังงำนสงู จะอยู่ไกล นิวเคลียส 3. อะตอม มีอิเลก็ ตรอนหลำย ๆ ระดับพลังงำน บ ท ท่ี 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
Part 1 5. แ บ บ อ ะ ต อ ม แ บ บ ก ลุ่ ม ห ม อ ก Schr dinger Model สรุป “อะตอมประกอบด้วยกลมุ่ หมอก ของอเิ ลก็ ตรอนรอบนวิ เคลยี ส บรเิ วณใดหนำทบึ แสดงวำ่ มี โอกำสพบอเิ ลก็ ตรอนไดม้ ำกกวำ่ บริเวณทม่ี กี ลมุ่ หมอกจำง” บ ท ท่ี 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
แบบจำลองอะตอมแบบต่ำง ๆ นน้ั ถกู สรำ้ งขึ้นมำตำมจินตนำกำรบนพน้ื ฐำนของควำมรตู้ ำมแต่ละยุคสมยั น้ัน ๆ และเม่อื นักวิทยำศำสตร์ค้นพบขอ้ บกพรอ่ ง หรือมคี วำมรูใ้ หม่ ๆ เกิดขึ้นก็จะนำไปสู่ กำรเปล่ียนแปลงแบบจำลองอะตอม เพือ่ ใหเ้ กดิ ควำมเหมำะสมและถกู ต้องต่อไป บ ท ท่ี 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
กำรทดลอง - E X P E R I M E N T- เรอ่ื ง กำรศกึ ษำสีของเปลวไฟ จำกสำรประกอบ และสเปกตรัม ของธำตุบำงชนิด บ ท ท่ี 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
-E X P E R I M E N T- อุ ป ก ร ณ์ แ ล ะ ส ำ ร เ ค มี 1. ผงโซเดียมคำรบ์ อเนต (Sodium Carbonate Powder : Na2CO3) 2. กรดไฮโดรคลอรกิ เขม้ ขน้ (Con. hydrochloric acid : HCl) 3. ผงโพแทสเซยี มคลอไรด์ (Potassium Chloride Powder : KCl) 4. ผงโซเดยี มคลอไรด์ (Sodium chloride powder : NaCl) 5. ตะเกยี งแอลกอฮอล์ (Alcohol lamp) 6. คมี คบี (Forceps) 9. ลวดนิโครม 7. กระจกนำฬกิ ำ (watch glass) 10. ชดุ สเปกตรมั 8. บีกเกอร์ (Beaker) 11. แผ่นเกรตตงิ บ ท ท่ี 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
-E X P E R I M E N T- ตอนท่ี 1 สขี องเปลวไฟจำกสำรประกอบบำงชนิด วิ ธี ก ำ ร ท ด ล อ ง 1 ลำ้ งลวดนิโครมด้วยกรด HCl 2 จุ่มลวดนโิ ครมที่ได้จำก 3 ทำกำรทดลอง เขม้ ข้น แลว้ นำไปเผำใหร้ ้อนโดย ขอ้ 1. ลงในกรด HCl เข้มขน้ เช่นเดียวกับ ข้อ 1. ทำซำ้ เชน่ นอ้ี ีกหลำยครัง้ จนลวด แล้วนำไปแตะกับผง NaCl และ 2. โดยเปลย่ี น นโิ ครมสะอำด จำกนัน้ นำไปเผำในเปลวไฟ (สงั เกตไดจ้ ำกสีของเปลวไฟบน จำกตะเกยี งแอลกอฮอล์โดยตรง มำใชส้ ำรชนดิ อื่นแทนผง ลวดนิโครมจะไมม่ ีกำร สังเกตสีของเปลวไฟที่เกิดขึ้น NaCl เชน่ KCl Na2CO3 เปลีย่ นแปลง) บนั ทกึ ผล เปน็ ตน้ บ ท ที่ 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
- E X P E R I M E N T- อใ หอ้ นกั กแเ รบี ยบน ต ำ ร ำ ง ก ำ ร ท ด ล อ ง กำรศึกษำสีของเปลวไฟ จำกสำรประกอบ และสเปกตรัมของธำตุบำงชนิด บ ท ที่ 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
ตอนท่ี 1 สีของเปลวไฟจำกสำรประกอบบำงชนิด ตำรำง แสดงสีของเปลวที่เกิดจำกกำรเผำสำรประกอบ สำรประกอบ สขี องเปลวไฟ NaCl สีเหลือง KCl สีมว่ ง Na2CO3 สเี หลือง บ ท ที่ 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
-E X P E R I M E N T- วิธีกำรทดลอง ตอนท่ี 2 เส้นสเปกตรัมของธำตุบำงชนิด 1 ใชแ้ ผน่ เกรตติงส่องดดู วงอำทติ ย์ สังเกตสีปรำกฏ จำกนน้ั นำแผ่นเกรตติง มำส่องดแู สงจำกหลอดไฟฟลูออเรสเซนตแ์ ลว้ เปรยี บเทยี บสที ี่ สงั เกตได้ จำกกำรส่องดูแสงท้งั สองแหลง่ 2 ต่อชุดสเปกตรมั ท่มี หี ลอดบรรจแุ กส๊ H2 เขำ้ กับวงจรไฟฟำ้ แลว้ ใช้แผ่นเกรตตงิ สอ่ งดู ท่หี ลอดบรรจุแก๊ส H2ขณะท่กี ำลงั เรอื งแสง สังเกตเสน้ สเปกตรัมท่ปี รำกฏ 3 ทำกำรทดลองเช่นเดียวกับข้อ 2. กำรจดั อุปกรณเ์ พอื่ ศกึ ษำเสน้ สเปกตรมั ของธำตุ แต่เปลี่ยนเป็นหลอดบรรจุแก๊สนีออน และไอปรอท ตำมลำดับ บ ท ที่ 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
ตอนท่ี 2 เส้นสเปกตรัมของธำตุบำงชนิด ตำรำง แสดงสีของสเปกตรัม สำรประกอบ สขี องสเปกตรมั NaCl สเี หลืองเข้ม KCl สีม่วงเขม้ Na2CO3 สีเหลอื งเข้ม บ ท ที่ 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
-E X P E R I M E N T- คำถำมท้ำยกำรทดลอง 11. เม่อื เผำสำรประกอบของโลหะชนดิ เดียวกนั จะใหส้ ีของเปลวไฟสีเดียวกันหรือไม่ และเสน้ สเปกตรัมที่สงั เกตไดเ้ หมือนกนั หรือไม่ 22. เมื่อเผำสำรประกอบของอโลหะชนดิ เดียวกัน จะให้สีของเปลวไฟสีเดียวกันหรือไม่ และเส้นสเปกตรมั ท่สี ังเกตไดเ้ หมือนกันหรือไม่ 3 สเปกตรมั ที่เหน็ จำกกำรใช้เกรตติงสอ่ งดแู สงอำทติ ยก์ บั แสงจำกหลอดไฟ ฟลอู อเรสเซนตเ์ หมือนหรือแตกต่ำงกันอยำ่ งไร บ ท ที่ 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
-E X P E R I M E N T- อ ภิ ป ร ำ ย ผ ล ก ำ ร ท ด ล อ ง จำกขอ้ มลู สรปุ ไดว้ ำ่ 1 สขี องสเปกตรัมท่มี องเหน็ น้นั เกดิ จำกอะตอมของโลหะทเี่ ป็นไอออนของโลหะ หรอื ไอออนบวก เชน่ Na+ 2 โลหะชนดิ เดยี วกนั ให้สีสเปกตรัมเดยี วกัน โดยไม่ข้ึนกับชนดิ ของสำรประกอบ เชน่ NaCl และ Na2CO3 ให้สีเหลอื ง 3 โลหะตำ่ งชนิดกันใหส้ สี เปกตรมั ต่ำงกัน เช่น NaCl และ KCl ใหส้ ีสเปกตรมั ตำ่ งกนั บ ท ท่ี 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
เพมิ่ เติม เพม่ิ เตมิ กำรศกึ ษำสขี องเปลวไฟจำกสำรประกอบและเสน้ สเปกตรมั ของธำตุบำงชนิดเม่อื เผำ สำรประกอบบำงชนิดจะเหน็ สีของเปลวไฟ และสขี อง เสน้ สเปกตรมั แตกตำ่ งกัน ดังนี้ บ ท ที่ 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
ส เ ป ก ต รั ม ข อ ง ธ ำ ตุ แ ล ะ ก ำ ร แ ป ล ค ว ำ ม ห ม ำ ย จำกกิจกรรม อิเล็กตรอนซึ่งเคลื่อนที่อยู่รอบ ๆ นิวเคลียสมีพลังงำนเฉพำะตัวอยู่ใน กำรทดลอง ระดบั ช้ันพลังงำนต่ำเรยี กวำ่ สถำนะพื้น (ground state) ซึ่งเมื่ออิเลก็ ตรอนถูกกระตุ้นให้มพี ลงั งำนสูงขึ้น อเิ ลก็ ตรอนจะเคลื่อนที่ขึ้น ไปในระดับชั้นพลังงำนที่ สูงขึ้น เรียกว่ำ สถำนะกระตุ้น (excited state) ซึ่งอิเล็กตรอนใน สถำนะนี้จะไม่เสถียร (เนื่องจำกมีพลังงำนสูงมำก) อิเล็กตรอนจึงมีกำรคำยพลังงำนออกมำ ส่วนหนึ่ง เพื่อให้พลังงำนในอะตอมลดลง จำกนั้นอิเล็กตรอนจะเคลื่อนที่กลับเข้ำสู่ระดับที่มี พลังงำนต่ำกว่ำสถำนะกระตุ้น ซึ่งคำยออกมำจะอยู่ในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำ ซึ่งปรำกฏ เปน็ เสน้ สเปกตรัมทีม่ สี ตี ่ำง ๆ กนั บ ท ที่ 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
ก ำ ร เ กิ ด ส เ ป ก ต รั ม ข อ ง ธ ำ ตุ ท่มี าภาพ : https://goo.gl/CRKZ9x บ ท ที่ 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
Part 2 สัญลักษณ์นิวเคลียร์ A X A = เลขมวล (Mass number) หรือ นิวคลีออน Z โปรตอน รวมกับ นิวตรอน สญั ลกั ษณธ์ ำตุ p+ + n Z = เลขอะตอม (Atom number) คือ จำนวน โปรตอน p+ = e- บ ท ท่ี 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
Part 2 สัญลักษณ์นิวเคลียร์ A X A = เลขมวล (Mass number) หรือ นิวคลีออน p+ + n Z สัญลกั ษณธ์ ำตุ p+ = e- Z = เลขอะตอม (Atom number) ตวั อยำ่ ง 1351 P โปรตอน (p+) = นิวตรอน (n) = อเิ ล็กตรอน (e-) = บ ท ท่ี 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
Part 2 สัญลักษณ์นิวเคลียร์ A X A = เลขมวล (Mass number) หรือ นิวคลีออน p+ + n Z สญั ลักษณธ์ ำตุ เลขอะตอม (Atom number) p+ = e- Z= ตัวอย่ำง 1351 P โปรตอน = 15 นวิ ตรอน = 16 อเิ ลก็ ตรอน = 15 บ ท ท่ี 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
Part 2 ตัวอย่ำงกำรหำสัญลักษณ์นิวเคลียร์ ธำตุ Q มเี ลขมวลเทำ่ กบั 35 และมีเลขอะตอมเทำ่ กับ 17 37 Li 151 B จงระบจุ ำนวนอนภุ ำคมลู ฐำน และเขยี นสญั ลกั ษณน์ วิ เคลียร์ เลขมวล (A) = เลขมวล (A) = เลขอะตอม (Z) = เลขอะตอม (Z) = ของธำตุ Q โปรตอน (p+) = โปรตอน (p+) = นวิ ตรอน (n) = นิวตรอน (n) = อิเลก็ ตรอน (e-) = อิเล็กตรอน (e-) = บ ท ที่ 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
Part 2 ตัวอย่ำงกำรหำสัญลักษณ์นิวเคลียร์ 73 Li 151 B ธำตุ Q มเี ลขมวลเท่ำกับ 35 และมเี ลขอะตอมเทำ่ กับ 17 เลขมวล (A) = 7 เลขมวล (A) = 11 จงระบุจำนวนอนภุ ำคมลู ฐำน เลขอะตอม (Z) = 3 เลขอะตอม (Z) = 5 และเขยี นสญั ลกั ษณน์ วิ เคลียร์ โปรตอน (p+) = 3 โปรตอน (p+) = 5 นิวตรอน (n) = 4 นวิ ตรอน (n) = 6 ของธำตุ Q อเิ ลก็ ตรอน (e-) = 3 อิเล็กตรอน (e-) = 5 3157 Q ธำตุ Cl โปรตอน (p+) = 17 นวิ ตรอน (n) = 18 อเิ ลก็ ตรอน (e-) = 17 บ ท ท่ี 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
Part 2 กรณีท่ีเป็น ไอออน ? อะตอมไมเ่ ป็นกลำง ชอบให้ e-!!! (เลขอะตอมลดลง) ชอบรับ e-!!! ( เ ล ข อ ะ ต อ ม เ พ่ิ ม ข้ึ น ) บ ท ท่ี 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
ก ำ ร ห ำ จำ น ว น อิ เ ล็ ก ต ร อ น ข อ ง อ ะ ต อ ม ท่ี ไ ม่ เ ป็ น ก ล ำ ง ( ไ อ อ อ น ) “ถำ้ มปี ระจุบวก” “ถำ้ มีประจุลบ” ใหน้ ำไป ลบออก จำกเลขอะตอม ใหน้ ำมำ บวกกบั เลขอะตอม บ ท ท่ี 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
Part 2 สัญลักษณ์นิวเคลียร์ (กรณีมีไอออน) บ ท ที่ 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
Part 2 สรุป สัญลักษณ์นิวเคลียร์ กรณีมีไอออน กรณที ่ี 1 : ถำ้ อะตอมเปน็ กลำง “จำนวนอเิ ล็กตรอนเทำ่ กบั จำนวนโปรตอน” ∴ เลขอะตอม = จำนวนโปรตอน = จำนวนอิเลก็ ตรอน กรณที ่ี 2 : แต่ถ้ำอะตอมไมเ่ ปน็ กลำง “จำนวนอิเล็กตรอนจะไม่เท่ำกับโปรตอน ” เช่น ไอออนบวก จะมโี ปรตอน > อเิ ลก็ ตรอน ไอออนลบ จะมีโปรตอน < อิเล็กตรอน ∴ เลขอะตอม = จำนวนโปรตอน ≠ จำนวนอิเลก็ ตรอน บ ท ท่ี 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
Part 2 ไอโซโทป ไอโซโทน และไอโซบำร์ ไอโซโทป กำรศึกษำเกี่ยวกับอนุภำคมูลฐำนของธำตุแต่ละชนิด พบว่ำ (Isotope) ส่วนมำกมวลอะตอมของธำตุแต่ละชนิดจะไม่เท่ำกัน นั่นหมำยควำมว่ำ แตล่ ะอะตอมของธำตมุ ีจำนวนนิวตรอนไม่เทำ่ กนั จงึ ทำใหอ้ ะตอมของ ธำตชุ นิดเดยี วกันมี เลขมวลต่ำงกัน แตม่ จี ำนวนโปรตอนหรอื เลขอะตอมเทำ่ กัน ตัวอย่ำง ไฮโดรเจนมี 3 ไอโซโทป และมชี อ่ื เฉพำะดงั นี้ บ ท ที่ 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
Part 2 ไอโซโทป ไอโซโทน และไอโซบำร์ ไอโซโทน ธำตุต่ำงชนิดกันท่ีมีจำนวน นิวตรอนเท่ำกัน (Isotones) แต่มีเลขมวลและเลขอะตอมไม่เท่ำกัน ธำตุ เลขมวล เลขอะตอม นวิ ตรอน 18 O 18 8 10 8 19 F 19 9 10 9 ไอโซบำร์ ธำตตุ ำ่ งชนดิ กันทมี่ ี เลขมวลเทำ่ กัน (Isobar แตม่ เี ลขอะตอมและจำนวนนวิ ตรอนไมเ่ ทำ่ กนั ธำตุ เลขมวล เลขอะตอม นวิ ตรอน 30 P 30 15 15 15 30 Si 30 14 16 14 บ ท ที่ 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
Part 2 ไอโซโทป ไอโซโทน และไอโซบำร์ ไอโซอิเล็กทรอนิก (Isoelectronics) หมำยถึง อะตอมหรือไอออน ท่ีมีจำนวน อิเล็กตรอนเท่ำกันและมีกำรจัดเรียงอิเล็กตรอนเหมือนกัน 7N3- 9F- 8O2- 10Ne Chemistry กำรใชไ้ อโซโทปรงั สใี นกำรถนอมอำหำร (กำรฉำยรงั สีอำหำร) เพ่ือลดปริมำณ in real life จลุ ินทรยี ท์ ่ที ำให้เกดิ โรค เพ่ือยืดอำยกุ ำรเก็บรกั ษำ เพ่ือชะลอกำรสุกของผลไม้ บ ท ท่ี 2 : อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ข อ ง ธ า ตุ
Search