ใบความรู เรอื่ ง ปจ จัยการเจรญิ เติบโตของพืช การเจริญเตบิ โตของพชื ตอ งการปจ จยั หลายประการทสี่ าํ คญั คือ นํา้ แสง ธาตุอาหารตางๆ พืชเปน ส่งิ มีชีวิต มกี ารเจริญเตบิ โตและดํารงชีวติ อยูไ ดยอ มตองการ สงิ่ แวดลอมท่ีเหมาะสม สภาพของสิง่ แวดลอ มตา งๆ ทม่ี ผี ล ตอ การเจรญิ เตบิ โตของพชื ไดแก 1. ดิน เปนปจ จยั สาํ คญั อันดับแรก ดินท่ีเหมาะสมตอการเจริญเตบิ โตของพืช ตอ งเปนดินทีอ่ ุม น้าํ ไดดี รว นซยุ มอี นิ ทรียว ัตถมุ าก แตเ ม่ือใชด ินปลูกไปนานๆ ดินอาจเสือ่ มสภาพ เชน หมดแรธาตุ จําเปน ตอ งมีการปรบั ปรงุ ดนิ ใหอดุ มสมบูรณ ไดแ ก การไถพรวน การใสป ยุ การปลูกพชื หมนุ เวยี น เปนตน ชนิดของดนิ ทเี่ หมาะกับการเพาะปลกู พชื 1.1. ฮิวมสั คือ ซากพืชซากสัตวท ี่ตายและเนาเปอ ยแลว อาจไดจากใบหญา ใบไมซ งึ่ กองทบั ถมกนั อยนู าน ๆ จนเนา เปอ ย มูลสัตว เชน มูลววั ควาย เปด ไก และหมู เมอ่ื ใสไปในดนิ ก็ทําใหดินดีขึ้น เพราะมูลสัตวn nเมอื่ ปนอยใู นดนิ ก็เนาเปอ ยกลายเปน ฮิวมสั ดนิ อุดมมกั มสี ีดํา เม่อื แหงไมแข็งเหมือนดนิ เหนยี ว น้ําซึมผา นได พอสมควร เปน ดินท่ีพืชสวนมากชอบ 1.2. ดินอุดม เปนดินทอี่ มุ นา้ํ ไวไดด พี อสมควร พอเหมาะทจี่ ะทําใหตน ไมเจริญงอกงามดี 1.3. ดินรวน เปน ดินทมี่ ลี กั ษณะซยุ มีสีตา งๆ กัน บางชนดิ มีสีคอนขางดํามนี ํา้ หนกั เบาเนอื่ งจากมี อินทรยี วตั ถผุ สมอยมู าก มีอาหารบรบิ รู ณ การอมุ นา้ํ ของดนิ พอเหมาะแกพืชอมุ ความรอ นไวพอเพยี งอากาศ ถายเทไดส ะดวก การระบายนํ้าดี เวลาฝนตกก็ไมชืน้ 1.4 ดินเหนยี ว เปน ดนิ ทม่ี ีลักษณะเปน เม็ดละเอียดมาก เวลาแหงจะจับกนั เปน กอนแขง็ แตกระแหง เวลา ถกู นํา้ จะเปนโคลนตม ทําใหสมบัตขิ องดนิ เปล่ียนไป เวลานตกนาํ้ ซมึ ลงชา เพราะเมด็ ดินละเอียด สามารถอมุ น้ําไดด กี วาชนดิ อน่ื ๆ อากาศถายเท หรอื ผา นเขา ออกระหวา งเม็ดดินไมไ ดดี มอี าหารพืชบางเลก็ นอย แลวแต ชนิดของดิน ดินเหนียวมหี ลายชนิด มีสตี า ง ๆ กัน 1.5 ดนิ ทราย เปนดนิ ทีม่ ีทรายอยเู ปนสวนใหญ ดินชนดิ นีม้ เี นื้อหยาบรว น ไมจบั กันเปน กอน นา้ํ ซมึ ผาน ไปไดง ายอุม น้ําไวไ ดนอ ย สว่ นประกอบของดนิ สวนประกอบของดิน โดยธรรมชาตดิ นิ จะมีสวนประกอบ 4 ชนดิ คือ 1. แรธาตตุ า ง ๆหรือ สารอนินทรีย เกดิ จากการสลายตวั ของหนิ และแรต างๆ เปนแหลงกาํ เนิดธาตุ อาหารของพชื และแหลง อาหารของจรุ ินทรยี ใ นดนิ พืชจะดูดข้นึ มาใชเปน อาหารไดซ ากพชื ซากสัตวที่ เนาเปอยผพุ ังทบั ถมกัน 2. สารอินทรยี เกิดจากการทับถมของใบไมและสตั วท่ีตายแลว เรียกรวมวา ฮวิ มัส ซึ่งเปน แหลง กําเนิด อาหารของพืชและจลุ ินทรยี ทส่ี ําคญั คอื ธาตุในโตรเจน ฟอสฟอรัส และกํามะถนั เปน สว นท่ีชวยใหพ ืช เจริญเติบโต และยงั ชว ยใหดินอมุ น้าํ ไดด ขี ึ้น 3. น้าํ ไดจากน้ําฝนทต่ี กลงมาบนพื้นผวิ ดนิ หรือนํ้าใตดินซึมขึน้ มา น้ําอยู ในสว นทีเ่ ปน ชองวา งระหวาง เม็ดดนิ ดินแตละชนิดอุมน้าํ ไวมากนอยแตกตางกนั ดินทีเ่ หมาะตอการเพาะปลูก จะมนี ้าํ ในดิน ประมาณ 25 เปอรเ ซ็นต เพื่อใหพ ืชดูดน้าํ ทม่ี ีแรธ าตุละลายอยไู ปใชได และ ทาํ ใหดนิ มคี วามชุมช้นื และออนนุม ลง มีประโยชนม ากสาํ หรับพืช
4. อากาศ แทรกซมึ อยูตามชอ งวางระหวางเม็ดดินในสว นที่ไมมนี า้ํ ซึ่งเรียกวา “ ความพรุน” อากาศที่ อยใู นดนิ มีประโยชนอ อกซิเจนในดนิ จะมคี วามสําคัญตอ การเจรญิ เตบิ โตของพืช เพราะรากพชื จะดูด อาหารขึน้ มาใชไ ดนนั้ จากพชื จะตอ งหายใจ นอกจากนี้ยังชว ยใหดนิ มีความรว นซุยและความออ นนมุ ละเอียดกวา ดนิ ชั้นบน 2. นาํ้ มีความสาํ คัญตอ การเจริญเตบิ โตของพืชมาก นาํ้ ชวยละลายแรธาตุอาหารในดนิ เพ่ือใหรากดูดอาหารไป เลยี้ งสวนตางๆ ของลาํ ตน ได และยงั ชว ยใหดินมีความชุมชน้ื พชื สดช่นื และการทาํ งานของกระบวนการตางๆ ในพืชเปน ไปอยา งปกติ 3. ธาตุอาหารหรอื ปยุ เปนส่ิงทีช่ วยใหพืชเจรญิ เติบโต ดียิง่ ข้นึ ธาตอุ าหารท่จี ําเปนตอ การเจรญิ เติบโตของพชื มี 16 ธาตุ แตธ าตุทพ่ี ืชตอ งการมากและในดินมักมไี มเ พียงพอ คือ ธาตไุ นโตรเจน ฟอสฟอรสั และโพแทสเซยี ม ธาตุอาหารเหลา น้จี ะตองอยใู นรปู สารละลายท่ีพืชนาํ ไปใชไดแ ละตอ งมปี ริมาณ ทพ่ี อเหมาะ จึงจะทําใหก าร เจริญเตบิ โตของพชื เปน ไปดว ยดี แตถา มไี มเ พียงพอตอ งเพิ่มธาตุอาหารใหแกพืชในรูปของปุย
ธาตอุ าหารพืช (Plant Nutrients) ธาตุอาหารทจ่ี ําเปนตอการดํารงชพี ของพืชมี 16 ธาตุ แบง เปน 4 กลมุ 1. คารบอน (C) ไฮโดรเจน (H) และออกซเิ จน (O) เปน สว นประกอบประมาณ 94-99.5% ของ นาํ้ หนักสดของพชื และพชื ไดรับจากอากาศและน้ํา 2. ไนโตรเจน (N) บาํ รุงใบ ฟอสฟอรสั (P) บํารุงดอก และโปตสั เซยี ม (K) บํารงุ ผล,ราก มักเรียกธาตุ อาหารหลักหรอื ปยุ เพราะพืชตอ งการใชมาก และดนิ มักจะขาดธาตุเหลาน้ี จึงมกั ใชเ ปนปยุ สําหรบั พืชในไรนา ทว่ั ไป 3. แคลเซยี ม (Ca) แมกนเี ซยี ม (Mg) และกํามะถัน (S) เรยี กวา ธาตรุ อง เพราะพชื ตองการใชมากรอง จาก N, P, K 4. เหลก็ (Fe) แมงการนีส (Mn) สังกะสี (Zn) ทอง ดอง (Cu) โบรอน (B) โมลบิ ดนี มั (Mo) คลอรนี (Cl) พชื ตองการในปรมิ าณนอยมากแตก็ขาดไมได จึงเรยี กกลุม นวี้ า จุลธาตุ - จลุ ธาตมุ ักขาดในดนิ ทราย, ดนิ มี pH สูง หรอื มอี นิ ทรยี วตั ถุมาก - N, P มกั ขาดในดินทัว่ ไป K มีมากยกเวนในดินทราย 4. อากาศ ในอากาศมแี กส หลายชนดิ แตแกสที่พืชตอ งการมากคอื แกส คารบ อนไดออกไซดแ ละแกสออกซเิ จน ซ่ึงใชในการสงั เคราะหดว ยแสงเพือ่ สรางอาหารและหายใจ แกสทง้ั สองชนดิ นีม้ ีอยูใ นดินดว ย ในการปลูกพชื เรา จงึ ควรทําใหด นิ โปรง รวนซยุ อยเู สมอ เพอ่ื ใหอาหารทอี่ ยูในชอ งวา งระหวางเมด็ ดินมีถายเทได
5. แสงสวางหรอื แสงแดด พืชตองการแสงแดดมาใชใ นการสรางอาหาร ถา ขาดแสงแดด พืชจะแคระแกรน ใบ จะมีสเี หลอื งหรือขาวซดี และตายในท่ีสดุ พืชแตละชนิดตองการแสงไมเ ทา กนั พชื บางชนิดตอ งการแสงแดดจัด แตพชื บางชนิดกต็ องการแสงราํ ไร ปัจจยั สําคญั ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง กระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพืชเป็นปฏกิ ิริยาเคมีท่ีซบั ซอ้ น โดยสามารถเขยี นสมการเคมแี สดงการเกิดกระบวนการไดด้ งั น้ี จากสมการจะเหน็ ไดว ากระบวนการสงั เคราะหดวยแสงของพืชนนั้ มีวัตถุดบิ และส่งิ ท่พี ืชจําเปนตอ งใชดังนี้ 1. แกส คารบ อนไดออกไซด (CO2) เปน แกสทีเ่ กดิ ขึจากการหายใจของพืชและสง่ิ มชี วี ติ ตางๆ เกิดจากการเผา ไหมของสาร และการยอ ยสลายของสิ่งมชี วี ิตและสิง่ ไมม ชี ีวิต ซ่งึ ในอากาศมแี กสคารบ อนไดออกไซดประมาณ 0.03-0.04 เปอรเซ็นต แกส คารบ อนไดออกไซดเ ปนวตั ถุดิบทใ่ี ชใ นการสรางอาหารของพืช โดยเปนแกส ท่ีใหธ าตุ คารบอนแกพืชเพอื่ นําไปใชก ารสรางแปง และนาํ้ ตาล (สารอาหารประเภทคารโบไฮเดรต) 2.น้ํา (H2O) เปน วตั ถดุ บิ ทพี่ ืชดูดซมึ มาจากดิน โดยอาศัยหลกั การแพรของน้าํ จากรากเขาสูทอ ลาํ เลียงนํา้ ของ พชื ไปยงั ใบ นาํ้ เปน สารท่ีใหธาตไุ ฮโดรเจนแกพชื เมอ่ื ธาตุไฮโดรเจนรวมกบั แกส คารบ อนไดออกไซดจะไดเปน สารประกอบคารโบไฮเดรต 3.แสงสวา ง (light) เปนพลงั งานท่ีมีบทบาทสาํ คัญตอกระบวนการสังเคราะหดวยแสงของพชื โดยพลังงานแสง ทาํ ใหเกิดปฏกิ ิริยาเคมรี ะหวางแกสคารบอนไดออกไซดแ ละนํา้ ซง่ึ เปน วัตถดุ ิบ สําคญั ในการสรางนํ้าตาลกลูโคส และแกสออกซเิ จน พชื แตละชนิดตอ งการแสงเพ่ือใชในการสรา งอาหารไมเ ทากนั พืชบางชนิดตองการแสงใน ปรมิ าณมาก เชน ทานตะวัน เฟองฟา ขาว เปน ตน แตพืชบางชนิดตอ งการแสงในปรมิ าณนอ ย เชน พลูดา ง เปน ตน 4.คลอโรฟล ล (chlorophyll) เปนสารประกอบพวกรงควตั ถุที่ทาํ หนา ท่ีดูดกลืนพลังงานแสงสีตางๆ จาก แสงแดด (ยกเวน แสงสีเขียวและสีเหลือง) คลอโรฟลลเ ปน โปรตนี ชนิดหนง่ึ ที่มธี าตแุ มกนเี ซียม ธาตุเหลก็ และ ธาตแุ มงกานีสเปนองคป ระกอบอยภู ายในโมเลกลุ พบไดในพชื และสาหรายทกุ ชนดิ ซึ่งในพชื และสาหรายแตละ ชนิดนัน้ ประกอบดวยคลอโรฟลลห ลายชนดิ ท่แี ตกตางกนั ออกไปดังน้ี
-คลอโรฟลลเอ เปน คลอโรฟลลทีม่ ีสีเขยี วแกมนํา้ เงนิ มสี มบัติทางเคมีคอื ไมล ะลายในนาํ้ แตส ามารถละลายได ในตัวทําละลายอินทรีย เชน เอทลิ แอลกอฮอล เอทิลอเี ทอร อะซีโตน คลอโรฟอรม เปน ตน คลอโรฟล ลเอพบ ในพืชสเี ขียวหรือพชื ท่ีมีกระบวนการสังเคราะหดว ยแสงทุกชนิด -คลอโรฟล ลบ ี เปนคลอโรฟลลท่ีมสี ีเขียวแกมเหลือง มสี มบตั ิทางเคมีคือ ไมละลายนา้ํ แตสามารถละลายไดใน ตัวทําละลายอินทรีย เชน เอทลิ แอลกอฮอล เอทลิ อเี ทอร อะซีโตน เปน ตน พบในพชื ชน้ั สูงและสาหรายสีเขยี ว (green algae) – คลอโรฟล ลซี เปนคลอโรฟล ลท่ีพบในสาหรายสีนํา้ ตาล (brown algae) และสาหรา ยสีทอง (golden algae) – คลอโรฟล ลดี เปน คลอโรฟลลทพี่ บในสาหรา ยสีแดง (red algae) ผลผลิตทไี่ ดจ ากกระบวนการสังเคราะหดวยแสง เมือ่ พืชเกดิ กระบวนการสังเคราะหด ว ยแสง ซง่ึ เปนกระบวนการที่เปลีย่ นรูปพลงั งานแสงใหเ ปน พลังงานเคมี โดยมีการสะสมพลงั งานเคมีอยใู นผลิตภัณฑคือ นํ้าตาลกลโู คสและแกส ออกซิเจน ดังน้ี 1. นาํ้ ตาลกลูโคส (C6H12O6) นาํ้ ตาลกลูโคสท่ีสงั เคราะหไดนบ้ี างสว นถูกนําไปใชในกระบวนการหายใจของ พืชเพื่อเปลยี่ นเปนพลังงานตอ ไป นา้ํ ตาลบางสว นถกู เปลยี่ นไปเปนแปง ทันทแี ละพชื จะเกบ็ สะสมไวทใ่ี บ ราก และลําตน และนา้ํ ตาลบางสว นถูกนาํ ไปใชในการสรา งเซลลูโลสซงึ่ เปน สวนประกอบของผนงั เซลลของพชื นอกจากนีน้ ้าํ ตาลบางสว นจะรวมกับแรธ าตใุ นเซลลพืชแลว เปลย่ี นไปเปนสารอ่นื ไดอ ีก เชน โปรตีน ไขมัน นาํ้ มนั ในเมล็ดพืช เปน ตน 2. แกส ออกซิเจน (O2) แกสออกซเิ จนถูกนาํ ไปใชใ นกระบวนการหายใจของพืช ซึง่ เมื่อแกสออกซเิ จนรวมกับ อาหารจะเปลี่ยนเปน พลังงานใหแกเซลลพืช เพ่อื นําไปใชใ นการดาํ เนินกจิ กรรมตางๆ ภายในเซลล สวนแกส ออกซิเจนท่ีมากเกนิ ความตองการของพืช พืชกจ็ ะคายออกมาทางปากใบ ถา พชื ไมม ีสวนท่ีเปนสีเขยี ว สามารถสังเคราะหดว ยแสงไดห รือไม ? คลอโรฟล ลไ มเ พียงทําใหพ ืชมสี ีเขียวเทา นนั้ โดยคลอโรฟลล เอ ใหสีเขยี วเขม คลอโรฟล ล บี ให สี เขียวออน คลอโรฟลล ซี ใหสีสม คลอโรฟลล ดี ใหสีนาํ้ ตาล ดงั น้นั พืชท่ไี มมสี วนทเี่ ปน สเี ขียวกไ็ มไ ดหมายถึง ไมมีคลอโรฟลล แตอยางไรก็ตามพชื ท่ีจะสามารถสงั เคราะหดวยแสงไดจะตองมสี ารสีคลอโรฟลลเอ ท่เี ปน สาร สหี ลกั ท่ีจะถา ยทอดอิเล็กตรอนในกระบวนการสังเคราะหดวยแสง พืชท่ีไมม สี วนเปน สีเขียว ก็สามารถสงั เคราะหแ สงได คณุ รู้หรือไม่ ? ในใบพชื ทมี่ ีสีอ่ืน เช่น สีแดง สีเหลือง หรือสีน้าํ ตาล เช่น ใบโกสน หรือใบฤาษีผสมก็มีคลอโรฟิ ลลอ์ ยู่ แต่ เน่ืองจากมีปริมาณคลอโรฟิลลน์ อ้ ย จึงทาํ ใหม้ องเห็นสีเขียวไดไ้ ม่ชดั เจน แต่ใบพชื เหล่าน้ียงั สามารถสร้าง อาหารไดเ้ ช่นกนั เพราะในใบมีสีเหลืองของแคโรทนี อยส์ ซ่ึงสามารถดูดพลงั งานแสงได้ ส่วนใบพชื ท่ีกลาย พนั ธุเ์ ป็ นสีขาวจะไม่สามารถสรา้ งอาหารได้ หากกลายพนั ธุห์ มดท้งั ตน้ จะเรียกวา่ พชื เผอื ก ซ่ึงตน้ พชื จะมีสี ขาวท้งั ตน้ และมีชีวติ อยไู่ ดไ้ ม่นาน เช่น ขา้ วโพดเผอื ก จะไม่สามารถเจริญเติบโตจนออกฝักได้
Search
Read the Text Version
- 1 - 5
Pages: