Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI

การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI

Published by นายมนตรี สาสังข์, 2022-08-28 06:41:33

Description: การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เรื่องศาสนาพราหมณ์-ฮินดู สำหรับนักศึกษา กศน.ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา ภาคเรียนที่ 1ปีการศึกษา 2565

Search

Read the Text Version

วิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เรื่องศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นักศึกษา กศน.ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชัยจังหวัดนครราชสีมา นายมนตรี สาสังข์ ครู กศน.ตำบล ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอโชคชัย สำนั กงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย จังหวัดนครราชสีมา

ก ชอื่ งานวิจัย การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน CAI เรอ่ื งศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู นกั ศกึ ษา กศน. ตำบลโชคชยั อำเภอโชคชัย จงั หวดั นครราชสมี า ผูท้ ำวจิ ยั นายมนตรี สาสังข์ ตำแหนง่ ครู กศน.ตำบล ปีการศึกษา ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565 สังกัด ศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั อำเภอโชคชัย บทคดั ย่อ ผลการวิจัยการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เรื่องศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นักศึกษา กศน.ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อพัฒนาบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เรื่องศาสนาพราหมณ์-ฮินดู สำหรับนักศึกษา กศน.ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชยั จังหวัดนครราชสีมา 2) เพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู สำหรับนักศึกษา กศน.ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา ที่สร้างขึ้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถามแบบประมาณค่า 5 ระดับ โดยมีตัวแปรที่ศึกษา คือ บทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เรื่องศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นักศึกษา กศน.ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา โดยใช้การวิเคราะห์ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน บรรยาย ด้วยตารางประกอบความเรียง ใชก้ ารวิเคราะห์ขอ้ มูลด้วยโปรแกรม SPSS ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามจำแนกตามเพศ มีผู้ท่ตี อบแบบสอบถามเปน็ เพศชายจำนวน 34 คน (ร้อยละ 50.00) เป็นเพศหญิงจำนวน 34 คน (ร้อยละ 50.00) ผู้ตอบแบบสอบถามจำแนกตามช้ัน มีผู้ที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่อยู่ ระดับ ม.ปลาย จำนวน 40 คน (ร้อยละ 58.82) และอยู่ ระดับ ม.ต้น จำนวน 28 คน(ร้อยละ 41.18) โดยผลการประเมินด้านการนำเสนอและเนื้อหา พบว่า มีผลการประเมิน อยู่ในระดับมาก (̅X=4.29) เมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า เทคนิคและวิธีการสอน อยู่ในระดับมาก (X̅=4.39) รองลงมาคือเนื้อเนื้อหามีความเหมาะสมกับผู้เรียนกับ มีผลการประเมิน อยู่ในระดับมาก (̅X=4.36) ความน่าสนใจของเนื้อหา มีผลการประเมิน อยู่ในระดับมาก (̅X=4.33) และการนำเสนอเข้าสู่บทเรียนมี ความน่าสนใจ กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ความชัดเจนในการอธิบายเนื้อหา มีผลการประเมิน อยู่ใน ระดับมาก (̅X=4.16) ตามลำดับ ส่วนผลการประเมินด้านภาพและสื่อการสอน มีผลการประเมิน อยู่ใน ระดับมาก (X̅=4.38) เมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า รูปภาพมีความเหมาะสมกับวัยผู้เรียน มีผลการประเมิน อยู่ในระดับมาก (X̅=4.42) รองลงมาคือ รูปภาพกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจ มีผลการประเมิน อยู่ในระดับมาก (X̅=4.41) ความน่าสนใจของเนื้อหาในสื่อการสอน มีผลการประเมิน อยู่ในระดับมาก (X̅=4.39) ความ น่าสนใจของสื่อการสอน มีผลการประเมิน อยู่ในระดับมาก (̅X=4.38) และ รูปภาพสอดคล้องกับสื่อการ สอน มีผลการประเมิน อยใู่ นระดับมาก (̅X=4.26)

ข กิตติกรรมประกาศ การวิจัยครั้งนี้สำเร็จได้ด้วยความอนุเคราะห์ช่วยเหลือและคำแนะนำเป็นอย่างดีจาก นางจีระภา วัฒนกสิการ ผู้อำนวยการ กศน.อำเภอโชคชัย ที่ได้จัดอบรมความรู้เรือ่ งการทำวิจัยในชัน้ เรียน และการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เรื่องศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นักศึกษา กศน. ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชยั จังหวดั นครราชสมี า ได้ดำเนนิ การทำผลงานจนกระทงั่ ทำงานได้สำเรจ็ ลุลวงไป ได้ด้วยดี ขอขอบคุณ นางจีระภา วัฒนกสิการ ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัยอำเภอโชคชัย ที่ได้ให้ความกรุณาดูแล เอาใจใส่ ให้คำแนะนำ ให้ข้อคิดและข้อเสนอแนะที่เป็น ประโยชน์ตลอดจนแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ จนทำให้งานวิจัยนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดีและมีความสมบูรณ์ ยงิ่ ขึ้น ผูว้ ิจัยขอขอบพระคุณด้วยความเคารพเป็นอยู่อยา่ งสงู ไว้ ณ โอกาสน้ี ขอกราบขอบพระคุณผู้เชี่ยวชาญทุกท่าน ที่ได้กรุณาตรวจสอบ แก้ไขและให้คำแนะนำที่เป็น ประโยชน์ในการปรับปรุงเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ขอขอบพระคุณผู้อำนวยการศูนย์การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศยั อำเภอโชคชยั ทใ่ี ห้ความชว่ ยเหลอื และเปน็ กำลังใจตลอดมาขอขอบใจนักศึกษา ท่ีเปน็ กล่มุ ตวั อยา่ งทใี่ หค้ วามร่วมมอื ในการศึกษาค้นควา้ ครั้งนี้ มนตรี สาสงั ข์

สารบัญ ค เนือ้ หา หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข สารบญั ค บทท่ี 1 บทนำ 1 ความเปน็ มาและความสำคญั ของปญั หา 2 วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั 2 ประโยชน์ทค่ี าดว่าจะไดร้ ับ 2 ขอบเขตของการวจิ ยั 2 นยิ ามศัพท์ 4 บทท่ี 2 เอกสารที่ศกึ ษาและงานวจิ ัยท่ีเกยี่ วข้อง 5 ความหมายของบทเรียนคอมพิวเตอร์ 13 ความรู้เกีย่ วกับบทเรียนคอมพิวเตอร์ 15 ทฤษฎีการสรา้ งบทเรียนคอมพิวเตอร์ 17 หลกั การวดั และการประเมนิ ผลบทเรยี น 19 การหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพวิ เตอร์ 20 เอกสารทเี่ กี่ยวข้องกับผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน 22 งานวจิ ัยทเ่ี กี่ยวข้อง 24 27 บทที่ 3 วิธกี ารดำเนินงาน 30 บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล 31 บทท่ี 5 สรุปผล อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ 32 34 บรรณานกุ รม 39 ภาคผนวก แบบประเมินความพึงพอใจ ตารางวเิ คราะห์ข้อมูล โดยใชโ้ ปรแกรม SPSS ประวัติผู้วิจยั

1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา กรอบทิศทางแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2574 เป็นแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวสำหรับ หน่วยงานท่ีเกีย่ วข้อง กบั การศึกษา ทง้ั ทอี่ ยู่ในกระทรวงศึกษาธิการและนอกกระทรวงศึกษาธิการ ได้นำไป เป็นกรอบและแนวทางการพัฒนาการศึกษาและการเรียนรู้สำหรับ พลเมืองทุกช่วงวัย ตั้งแต่เกิดจนตลอด ชีวิต ให้บรรลุผลตามเป้าหมายของ แผนฯ โดยจุดมุ่งหมายที่สำคัญของแผนคือ การมุ่งเน้นการประกัน โอกาส และความเสมอภาคทางการศกึ ษา การพฒั นาคณุ ภาพและมาตรฐาน การศกึ ษา และการศึกษาเพื่อ การมีงานทำและสร้างงานได้ภายใต้บริบท เศรษฐกิจและสังคมของประเทศและของโลกที่ขับเคลื่อนด้วย นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งมีความเป็นพลวัต ภายใต้สังคมแห่ง ปัญญา (Wisdom-Based Society) สังคมแห่งการเรียนรู้(Lifelong Learning Society) และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการ เรียนรู้ (Supportive Learning Environment) เพ่ือใหพ้ ลเมืองสามารถแสวงหา ความรู้และเรียนรู้ได้ด้วย ตนเองอย่างตอ่ เนอ่ื งตลอดชีวิต หลกั สตู รการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 เปน็ หลักสูตรท่เี ป็นไป ตามหลักการและปรัชญาการศึกษานอกโรงเรียน พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และพระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัย พ.ศ. 2551 โดยจัดการศึกษาใหส้ อดคล้องกับความต้องการของผู้เรยี น ชุมชน สังคม ซึ่งสามารถ ออกแบบไดต้ ามสถานการณ์ และจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ใหบ้ รรลมุ าตรฐานการเรยี นรูท้ ่ีกำหนดไว้ ปัจจุบันบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (computer-assisted instruction, CAI) เป็นเทคโนโลยี ทางการศึกษาที่นำมาใช้ในการเรียนการสอน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้อย่างอิสระ และเพิ่มประสิทธิผล ทั้งการเพิ่มความรู้และการพัฒนาทักษะความสามารถในใช้เทคโนโลยีของนักศึกษา บทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน เป็นสื่อ การสอนที่ประกอบด้วยข้อความ สื่อวีดิทัศน์ และเสียง ควบคู่กับการเลือกใช้ ภาพประกอบที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาทำให้นักศึกษาเข้าใจเนื้อหาได้ง่าย มีความคงทนในการจำ ช่วยอธิบาย สิ่งท่ีเป็นนามธรรมให้งา่ ยตอ่ การรับรู้ และช่วยกระตุน้ ให้นักศกึ ษาเกดิ ความสนใจและตั้งใจเรยี น ทำใหบ้ รรลุ ตามวัตถุประสงค์ของบทเรียนที่กำหนด และยังมีแบบฝึกหัดที่ช่วยให้นักศึกษาทบทวนเนื้อหาความรู้และ โต้ตอบกับบทเรียนได้ ซึ่งอยู่บนหลักการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และยังเป็นอีก ช่องทางหนึ่งในการช่วยเหลือผู้เรียนที่ไม่มีเวลาเขาร่วมกิจกรรมการเรียนการสอนการพบกลุ่ม เนื่องจาก นักศึกษามีภาระในการทำงานเพื่อเลี้ยงชีพตนเอง และยังสอดคล้องกับนโยบายและจุดเน้นการดำเนินงาน สำนกั งาน กศน.ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เร่ืองที่ 3.1 ดา้ นการจดั การเรียนรคู้ ุณภาพ ข้อท่ี 7 พฒั นา Digital Learning Platform แพลตฟอร์มการเรียนรู้ของสำนักงาน กศน.ตลอดจนพัฒนาสื่อ การเรียนรู้ทั้ง ในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ และใหม้ คี ลังสอ่ื การเรยี นร้ทู เ่ี ปน็ ส่อื ท่ถี กู ต้องตามกฎหมาย

2 จากการสำรวจปัญหาและรวบรวมข้อมูลข้างต้นผู้วิจัย ต้องการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน CAI เรื่องศาสนาพราหมณ์-ฮินดู สำหรับนักศึกษา กศน.ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชัย จังหวัด นครราชสมี า มาใชใ้ นการพฒั นานักศึกษาความรูค้ วามสามารถ และแก้ปัญหาผ้เู รยี น ไม่มีเวลาในการมาพบ กลุ่มในแต่ละสัปดาห์ ใหไ้ ด้เรียนรอู้ ย่างตอ่ เนื่องและนำองคท์ ี่ได้ไปเปน็ แนวทางในการพฒั นาและประยุกต์ใช้ ในการจดั การเรยี นการสอนทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพตอ่ ไป 1.2 วัตถุประสงค์ของการวจิ ยั 1.2.1 เพ่ือพัฒนาบทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน CAI เร่อื งศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู สำหรับนักศึกษา กศน.ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสมี า 1.2.2 เพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI ศาสนา พราหมณ-์ ฮินดู สำหรับนกั ศึกษา กศน.ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชัย จงั หวัดนครราชสีมา ที่สร้างขึน้ 1.3 ประโยชน์ทีค่ าดวา่ จะไดร้ บั 1.3.1 ได้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เรื่องศาสนาพราหมณ์-ฮินดู สำหรับนักศึกษา กศน. ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชัย จังหวดั นครราชสีมา ทมี่ ีคณุ ภาพและประสทิ ธิภาพสามารถนำไปใชใ้ นการเรียน การสอนสง่ เสริมใหผ้ ู้เรยี นเรียนดว้ ยตนเอง 1.3.2 เป็นแนวทางในการสร้างและพัฒนาปรับปรุงบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เรื่อง ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู สำหรับนักศึกษา กศน.ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา และบทเรียนคอมพวิ เตอร์มัลติมเี ดียเร่อื งอ่นื ๆต่อไป 1.4 ขอบเขตของการวจิ ยั 1.4.1 ประชากร และกลุ่มตัวอย่าง ประชากร ได้แก่ นกั ศึกษา กศน.ตำบลโชคชยั จำนวน 68 คน กลมุ่ ตวั อย่าง ได้แก่ นกั ศึกษาระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ และระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย ทล่ี งทะเบยี นเรียนในภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 โดยวธิ ีการเฉพาะเจาะจง จำนวน 68 คน 1.4.2 ตัวแปรทีศ่ กึ ษา ตัวแปรต้น คือ นักศึกษา บทเรียนคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน CAI เรื่องศาสนาพราหมณ์-ฮินดู สำหรับนักศกึ ษากศน.ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชยั จังหวัดนครราชสมี า ตัวแปรตาม คือ ประสิทธิภาพของบทเรียน ที่เรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เรือ่ งศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู สำหรับนักศกึ ษา กศน.ตำบลโชคชยั อำเภอโชคชยั จงั หวัดนครราชสีมา 1.5 นิยามศัพท์ 1.5.1 บทเรยี นคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน หมายถงึ สื่อการเรยี นการสอนทางคอมพิวเตอร์รูปแบบหนึ่ง ซึ่งใช้ความสามารถของคอมพิวเตอร์ในการนำเสนอส่ือประสมอันได้แก่ ข้อความ ภาพนิ่ง กราฟิก แผนภูมิ

3 กราฟวิดีทัศน์ ภาพเคลื่อนไหว และเสียง เพื่อถ่ายทอดเนื้อหาบทเรียน หรือองค์ความรู้ในลักษณะ ท่ี ใกล้เคียงกับการสอนจริงในห้องเรียนมากที่สุดโดยมีเป้าหมายที่สำคัญก็คือ สามารถดึงดูดความสนใจของ ผเู้ รยี น และกระตนุ้ ให้เกิดความตอ้ งการท่ี จะเรียนรู้ คอมพิวเตอรช์ ่วยสอนเปน็ ตัวอยา่ งท่ีดีของสื่อการศึกษา ในลักษณะตัวต่อตัว ซึ่งผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์ หรือการโต้ตอบพร้อมทั้งการได้รับผล ป้อนกลับ (FEEDBACK) นอกจากน้ยี งั เปน็ สื่อ ทส่ี ามารถตอบสนองความแตกต่างระหว่างผ้เู รยี นได้เป็น อยา่ งดี รวมทง้ั สามารถที่จะประเมิน และตรวจสอบความเขา้ ใจของผเู้ รียนได้ตลอดเวลา 1.5.2 นักศึกษา หมายถึง นักศึกษา กศน.ตำบลโชคชัยที่ลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2565 จำนวน 68 คน 1.5.3 แบบสอบถาม หมายถึง เครื่องมือชนิดหนึ่งที่สร้างขึ้นเพื่อวัดความคิดเห็นต่าง ๆ หรือวัด ความจริงที่ไม่ทราบ อันจะทำให้ได้มาซึง่ ข้อเท็จจริง สว่ นใหญจ่ ะอยูใ่ นรปู คำถามเปน็ ชดุ ๆ เพือ่ วัดที่ต้องการ วัด โดยมีคำถามเป็นตัวกระต้นุ ให้บุคคลตอบออกมา (ยุทธพล ไพชนะ และคณะ, 2548)

4 บทที่ 2 เอกสารการศกึ ษาและงานวจิ ัยท่เี ก่ียวข้อง ในการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เรื่องศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นักศึกษา กศน.ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา ซง่ึ สามารถแยกกล่าวเปน็ หัวข้อได้ดงั น้ี 2.1 ความหมายของบทเรียนคอมพิวเตอร์ 2.2 ความรเู้ กยี่ วกับบทเรียนคอมพิวเตอร์ 2.3 ทฤษฎกี ารสร้างบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ 2.4 หลกั การวัดและการประเมินผลบทเรยี น 2.5 การหาประสทิ ธภิ าพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ 2.6 เอกสารที่เกี่ยวข้องกบั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น 2.7 งานวิจัยทเี่ ก่ียวขอ้ ง 2.1 ความหมายของบทเรียนคอมพิวเตอร์ (Computer Assisted Instruction) หรือ ซีเอไอ (CAI) มผี ูร้ วบรวมและใหค้ วามหมายไวค้ ลา้ ยคลึงกัน ดงั น้ี CAI มาจากคำย่อในภาษาอังกฤษ คือ Computer Assisted Instruction หรือ Computer Aided Instrucion เป็นโปรแกรมบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนครู ทำหน้าที่เป็นสื่อการเรียนบทเรียน สามารถโต้ตอบกับผู้เรียนได้ ประกอบด้วย ตัวอักษร ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียง (Multimedia) ทำให้ ผู้เรียนสนกุ ไปกบั การเรยี นไม่รู้สึกเบื่อหน่าย การสร้างบทเรยี นแบบน้ี อาศยั แนวคิดจากทฤษฎกี ารเชื่อมโยง สิ่งร้กับการตอบสนอง โดยการออกแบบโปรแกรม จะเริ่มต้นจากการให้สิ่งเร้าแก่ผู้เรียน ประเมินการ ตอบสนองของผู้เรียน ให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อเสริมแรงและให้ผู้เรียนเลือกสิ่งเร้าอันดับต่อไป (สมรกั ปริยะวาที, 2544) คอมพิวเตอร์ช่วยสอนหรือโปรแกรมช่วยสอน คือสื่อที่ใช้ในการเรียนการสอนอันหนึ่ง CAI คล้าย กับสื่อการสอนอื่นๆ เช่น วิดีโอช่วยสอน บัตรคำช่วยสอน โปสเตอร์ แต่คอมพิวเตอร์ช่วย -สอนจะดีกว่า ตรงท่ีตัวส่ือการสอน คือ คอมพิวเตอรส์ ามารถโต้ตอบกับนักเรียนได้ ไมว่ า่ จะเปน็ การรบั คำส่ังเพ่ือมาปฏิบัติ ตอบคำถามหรือไม่เช่นน้ัน คอมพิวเตอรก์ จ็ ะเป็นฝ่ายปอ้ นคำถาม (พฒั นา เอกบูรญวฒั น์, 2539) คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI : Comput er Assisted Instruction) หมายถึง การประยุกต์นำ คอมพวิ เตอร์มาชว่ ยในการเรียนการสอน โดยมกี ารพัฒนาโปรแกรมขึน้ เพื่อนำเสนอเนื้อหาในรปู -แบบต่างๆ เช่น การเสนอแบบติวเตอร์ (Intorail) แบบจำลองสถานการณ์ (Simlation) หรือแบบการแก้ไขปัญหา (Problem Solving) เป็นต้น การเสนอเนื้อหาเป็นการเสนอโดยตรงไปยังผู้เรียนผ่านทางจอภาพ หรือ

5 แป้นพิมพ์ โดยเปดิ โอกาสให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วม วัสดุทางการสอนคือ โปรแกรม หรือ Coursware ซ่ึงปกติ จะถกู เกบ็ ไวใ้ นแผน่ ดิสกห์ รือหน่วยความจำของเคร่ือง พร้อมทีจ่ ะเรยี กใชไ้ ดต้ ลอดเวลา การเรยี นในลักษณะ นี้ ในบางคร้งั ผ้เู รียนจะตอ้ งโตต้ อบ หรือตอบคำถามเครอื่ งคอมพวิ เตอร์ดว้ ยการพมิ พ์ การตอบคำถามจะถูก ประเมนิ โดยคอมพิวเตอร์ และจะเสนอแนะขั้นตอนหรือระดับในการเรยี นขั้นต่อไป กระบวนการเหล่านเี้ ป็น ปฏิกริ ิยาทเี่ กดิ ข้นึ ระหวา่ งผเู้ รยี นกบั คอมพิวเตอร์ (ศริ ชิ ัย สงวนแกว้ , 2534) คอมพิวเตอร์ช่วยการสอน (CAI) คือ การนำคอมพิวเตอร์เข้ามาเสริม เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ การเรียนการสอนให้ดียิ่งขึ้น การใช้คอมพิวเตอร์เสริมการสอนนี้สามารถใช้ประกอบขณะที่ผู้สอนทำการ สอนเอง หรือการใช้สอนแทนผู้สอนทั้งหมดก็ได้การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนขณะที่ผู้สอนทำการสอนเอง เป็นการใช้คอมพวิ เตอร์ช่วย-สอนขณะทผ่ี ูส้ อนทำการสอนซึ่งแบ่งเป็น การใช้แทรกในกระบวนการสอน คือ ใช้ประกอบขณะดำเนินการสอนและใช้ช่วยเสริมก่อนหรือภายหลังการสอน เช่น เป็นการซ่อมเสริมหรือ ทบทวน เปน็ ต้น ส่วนการใช้คอมพิวเตอร์แทนผู้สอน เป็นการใช้คอมพิวเตอร์นำเสนอบทเรียน หรือเนื้อหาสาระ ตา่ งๆ แทนครูผสู้ อน จะต้องพฒั นาในรปู ของบทเรยี นสำเร็จรูป ซงึ่ สามารถจะใช้เรยี นเมื่อใดที่ใดก็ได้ การใช้ คอมพิวเตอร์ในลักษณะนี้ น่าจะเป็นทางเลือกในการจัดการศึกษาในอนาคต ซึ่งมุ่งการศึกษาในฐานะของ การเรยี นรู้เปน็ หลัก ดงั นน้ั การให้ความสนใ่ จในการพัฒนาการใชค้ อมพิวเตอรส์ อนแทนผสู้ อนของการเรียนรู้ เปน็ หลกั ดงั น้นั การใหค้ วามสนใจในการพัฒนาการใช้คอมพิวเตอรส์ อนแทนผู้สอนซงึ่ เป็นแนวทางทสี่ มควร ให้ความสนใจ และรบั การสนับสนนุ ในการศึกษาพฒั นาอย่างย่ิง (พโรจน์ ตีรณธนากลุ ,ไพบูลย์ เกียรติโกมล และเสกสรรค์ แย้มพนิ จิ , 2546) จากความดังกล่าว สามารถสรุปความหมายของ \"คอมพิวเตอร์ช่วยสอน\" หรือ CAI (Computer Assisted Instuction) การนำคอมพิวเตอร์เพื่อมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนซึ่งเป็นโปรแกรม คอมพวิ เตอร์ทใ่ี ช้เพ่ือใหผ้ ู้เรยี นนำไปเรยี นรู้ด้วยตนเองให้เกดิ การเรียนรเู้ พ่ิมเติมมากยงิ่ ข้นึ ในโปรแกรมจะใช้ ลักษณะในการนำเสนอห์ลากหลาย อาจมีทั้งตัวหนังสือ ภาพกราฟิก ภาพเคลื่อนไหว สีและ เสียง เพื่อทำ ให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในการเรียนมากยิ่งขึ้น และโปรแกรมจะประกอบไปด้วยเนื้อหาวิชา แบบฝึกหัด แบบทดสอบ เกมส์ การแสดงผลการเรียนดว้ ยข้อมูลย้อนกลบั แก่ผู้เรียน อนั ทง้ั ยังมีการจัดลำดับวิธีการสอน หรอื กิจกรรมตา่ งๆ เพ่อื ใหเ้ หมาะสมแกผ่ เู้ รียนอีกด้วย ซ่งึ จะเหน็ ได้จากแผนภูมิการใช้คอมพวิ เตอร์ช่วยสอน ของผู้สอน (ไพโรจน์ ตรี ณธนากุล, ไพบลู ย์ เกยี รตโิ กมล และเสกสรรค์แย้มพินิจ, 2546) 2.2 ความรู้เกี่ยวกบั บทเรยี นคอมพิวเตอร์ ประเภทของคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน ลักษณะในการนำเสนอเนื้อหาและกระบวนการ การเรียนการสอนของคอมพิวเตอร์-ช่วยสอนนั้น สามารถสรปุ ได้เป็น 8 ประเภท ดงั น้ี (ไพโรจน์ ตีรณธนากลุ และไพบูลย์ เกยี รติโกมล, 2539)

6 1. แบบการสอน (Instruction) ใช้เพื่อสอนความรู้ใหม่แทนครู เป็นการพัฒนาแบบ Self Study Package เป็นรูป-แบบใน การศกึ ษา เรียนรดู้ ว้ ยตนเอง และเปน็ ชุดการสอนท่ีจะต้องใชค้ วามระมัดระวัง รวมทงั้ ทกั ษะในการพัฒนาท่ี สูงมาก ในการออกแบบจะต้องเน้นการมีปฏิสัมพันธ์กับบทเรียน การควบคุมแนวทาง กิจกรรมการเรียน และการประเมินผลการเรียนให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และลักษณะของผู้เรียน ส่วนการออกแบบ หน้าจอ จะต้องเน้นให้องค์ประกอบหน้าจอมคี วามน่าสนใจเปน็ หลัก 2. แบบสอนซ่อมเสริมหรือทบทวน (Tutorial) เป็นบทเรียนที่ใช้ในการทบทวนการเรียนจากห้องเรียนหรือจากผู้สอน ไม่ว่าจะจากทางไกลหรือ ทางใกล้ก็ตาม การเรียนมักไม่ใชค่ วามรู้ใหม่ แต่อาจจะเป็นความรู้ท่ีเคยเรียนรู้มาแล้วในรปู แบบการเรยี นรู้ แบบอื่นๆ แลว้ ใช้บทเรยี นซอ่ มเสรมิ เพอ่ื เพม่ิ เติมความเข้าใจใหถ้ ูกต้องและแมน่ ยำสมบูรณ์ย่ิงข้ึน ซง่ึ บทเรียน สามารถใช้ได้ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน ดังนั้น CAI ประเภทนี้จึงไม่สามารถนำมาสอนแทนครูได้ ทั้งหมด เพียงแต่นำมาสอนเสริมหรือทบทวนในราย-วิชาที่มีการจัดการเรียนการสอนมาแล้วในชั้นเรียน ปกติ 3. แบบฝึกหดั และฝกึ ปฏบิ ตั ิ (Drill and Practice) เป็นบทเรียนที่ใช้เสริมการปฏิบัติหรือเสริมทักษะ ในการเรียนการสอนให้เข้าใจยิ่งขึ้น และเกิด ทักษะที่ต้องการได้ เป็นการเสริมประสิทธิผลการเรียนของผู้เรียน สามารถใช้ในห้องเรียนเสริมขณะที่สอน หรือนอกห้องเรียน ณ ที่ใด เวลาใดก็ได้ ซึ่งการใช้บทเรียนในการเรียนการสอนเช่นนี้สามารถใช้ฝึกหัดท้ัง ดา้ นทักษะการแก้ปญั หาทางคณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ รวมทงั้ ทางช่างอตุ สาหกรรมด้วย 4. แบบสรา้ งสถานการณ์จำลอง (Simulation) เป็นบทเรียนที่ออกแบบเพ่ือช่วยเปลี่ยนแปลงบรรยากาศการเรียนการสอนในชั้นปกติให้น่าสนใจ ยิ่งขึ้น ในเชิงของการปฏิบัติ ถ้าพิจารณาถึงความยืดหยุ่น ความคุ้มค่าความปลอดภัยต่างๆ รวมทั้งการ ควบคุมสถานการณ์ด้วย*นองแล้ว สถานการณ์จำลองบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน จะให้ประสิทธิภาพ และความคล่องตัว ซึ่งครอบคลุมเนื้อหาได้ทุกเรื่อง เช่น การซื้อขายหุ้น หรือการทดลองวิทยาศาสตร์ เป้าหมายหลักของการสร้างบทเรียนแบบสถานการณ์จำลองเพื่อนำสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นเข้ามาอยู่ใน คอมพิวเตอร์ จะทำให้ผู้เรยี นมโี อกาสเข้ารว่ มในกิจกรรมที่เกิดขึ้น มโี อกาสควบคุมสถานการณ์ให้เหมาะสม จึงเป็นส่วนสำคัญเพิ่มเติมจากการให้สถานการณ์ปกติ เพื่อการเรียนรู้และแก้ปัญหามีความความสมบูรณ์ ยิ่งข้ึน 5. แบบสร้างเปน็ เกมส์ (Game) การพฒั นาในลักษณะเกมส์ สามารถเสริมการเรยี นรู้ได้ดีกวา่ การใชเ้ กมสเ์ พ่ือการเรียน สามารถใช้ สำหรับการเรียนร้คู วามรู้ใหม่ หรือเสรมิ การเรยี นในห้องเรยี นได้ ซ่ึงเหมาะสำหรบั ผู้เรยี นที่มรี ะยะเวลาความ สนใจสั้น เช่น เด็ก หรอื สภาวะแวดลอ้ มทไี่ ม่อำนวย เป็นตน้

7 6. แบบการแกป้ ัญหา (Problem Solving) เป็นบทเรียนในการฝึกการคิด การตัดสินใจ สามารถใช้กับวิชาการต่างๆ ที่ต้องการให้สามารถคิด แก้ปัญหา ใชเ้ พ่ือการสอนในหอ้ งเรยี น หรอื ใช้ในการฝึกทว่ั ๆ ไป เปน็ ส่ือสำหรบั ผบู้ รหิ ารไดด้ ี 7. แบบทดสอบ (Test) ใช้เพื่อตรวจวัดความสามารถของผู้เรียน สามารถใช้ประกอบการสอนในห้องเรียนหรือความ ตอ้ งการของผ้สู อนหรอื ผเู้ รยี นเอง ทั้งนย้ี ังสามารถใช้นอกหอ้ งเรียน เพ่ือตรวจวดั ความสามารถของตนเองได้ ด้วย 8. แบบสถานการณเ์ พอ่ื ใหค้ ้นพบ (Discovery) จัดทำเพื่อให้ผู้เรียน เรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเอง โดยการลองผิดลองถูกหรือเป็น การจดั ระบบนำล่องเพอ่ื ชักนำสูก่ ารเรยี นรู้ สามารถใช้เรียนรคู้ วามรู้ใหม่หรือเป็นการทบทวนความรูเ้ ดมิ ข้อดีของคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนในการนำเสนอเนื้อหามีข้อดีหลายๆ ประการ ดังนี้ (ศิริชัย นามบุรี, 2546) 1. เสนอเน้ือหาไดร้ วดเร็วเพียงแตผ่ เู้ รยี นกดแป้นพิมพเ์ พียงคร้ังเดยี วคอมพิวเตอร์ก็จะเสนอเน้ือหา ตอ่ ไป 2. คอมพิวเตอร์สามารถเสนอรูปภาพที่เคล่ือนไหวได้ ทำให้มีประโยชน์ในการเรียนรู้ความคิดรวบ ยอดทีส่ ลับซับซ้อนต่างๆ 3. มเี สียงประกอบ ทำใหเ้ กดิ ความน่าสนใจ และเพิ่มศักยภาพทางด้านการเรยี นได้ดมี ากขน้ึ 4. สามารถเกบ็ ขอ้ มลู เนอื้ หาได้ดมี ากกวา่ หนังสอื หลายเทา่ 5. ผู้เรยี นมปี ฏิสมั พนั ธก์ ับบทเรียนอยา่ งแทจ้ รงิ คือ มกี ารโต้ตอบระหวา่ งบทเรยี นกบั ผ้เู รยี นได้ 6. สามารถบนั ทึกผลการเรยี น ประเมนิ ผลการเรยี น และประเมนิ ผลผเู้ รียนได้ 7. ทำให้ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น ของผูเ้ รียนสงู ขน้ึ เมื่อเทยี บกับการเรยี นในชั้นเรียนปกติ 8. ช่วยลดเวลาในการเรยี นของผู้เรยี น เม่อื เทียบกบั การเรยี นแบบปกตใิ นหอ้ งเรียน 9. ช่วยเพ่ิมความสนใจให้กับผูเ้ รยี นมากย่ิงข้ึน เมื่อเพยี บกบั การเรียนในห้องเรยี น ทำให้ผู้เรียนต้อง มสี มาธอิ ยู่กับเครอื่ งคอมพวิ เตอรแ์ ละจอภาพตลอดเวลา 10. สามารถควบคุมกิจกรรมการเรียนของผู้เรียนได้ด้วยตนเอง ซึ่งไม่สามารถทำได้หากเรียนโดย ใชผ้ สู้ อนจรงิ 11. ช่วยสนบั สนนุ การเรยี นแบบรายบคุ คลได้อยา่ งมีประสิทธผิ ล 12. ช่วยลดต้นทนุ ด้านการจดั การเรยี นการสอนได้ เพราะไมต่ ้องใชผ้ ้สู อนจริง 13. มีเนื้อหาที่แนน่ อน เนือ่ งจากผา่ นการตรวจสอบใหม้ ีเน้อื หาท่ีครอบคลุม จัดลำดบั ความสมั พันธ์ ของเนือ้ หาอยา่ งถูกตอ้ ง มคี วามคงสภาพเหมอื นเดมิ ทกุ ครั้งทเ่ี รยี น ต่างจากการสอนดว้ ยครูผ้สู อน

8 ข้อจำกดั ของคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนในการนำเสนอเนื้อหามีข้อจำกัดหลายๆ ประการ ดังนี้ (ศิริชัย นาม บรุ ี, 2546) 1. สิ้นเปลืองคา่ ใช้จ่ายและเวลา ซึ่งจำเป็นต้องลงทุนค่าใช้จ่ายค่อนข้างสงู ทั้งในดา้ นฮาร์ดแวร์และ ซอฟต์แวร์ 2. ลดความสมั พันธ์ของผูเ้ รยี นท่มี ตี ่อกันลง 3. จำเป็นต้องติดต่อกับผู้ผลิตซอฟต์แวร์ เพื่อขอคำแนะนำโดยตรง ในด้านเทคนิคของตัวเครื่อง คอมพวิ เตอร์ วธิ ีการบำรงุ รักษา การแก้ไขปัญหา เมื่อเกดิ ปัญหาทีไ่ มส่ ามารถแก้ไขได้ 4. ขาดโปรแกรมเมอร์ที่มีความรู้พื้นฐานทางการศึกษา ความรู้ในเนื้อหาวิชาอย่างแท้จริง ขาดกล ยุทธ์ในการสอน และปัญหาอีกอยา่ งหน่ึงคือ ขาดความชำนาญในการเลอื กใชซ้ อฟตแ์ วร์ 5. ต้องใช้เวลาในการพัฒนามาก ในดา้ นการทดสอบการใช้งาน และปรบั ปรงุ แกไ้ ข 6. มีความยากในการออกแบบ เนื่องจากต้องออกแขบให้ยืดหยุ่นต่อการใช้งานเพื่อให้เหมาะสม กบั ผ้เู รียนท่ีมีความถนดั ท่แี ตกตา่ งกันท่ีมอี ยู่ ขนั้ ตอนการสร้างบทเรยี นคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน ขั้นตอนการสร้างและพัฒนาบทเรียนนั้น จะเป็นการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ซ่ึง เป็นไปตามแนวทางของ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี พัฒนาขึ้นโดย รค.ไพโรจน์ ตีรณธนากุล ขั้นตอนทั้งกระบวนการได้แบ่งออกเป็น 16 ขั้นตอน (ไพโรจน์ ตี รณธนากลุ และไพบูลย์ เกยี รตโิ กมล, 2541) ข้นั ที่ 1 การสรา้ งแผนภมู ริ ะดมสมอง (Brain Storm Creation) ขั้นการสร้างแผนภูมิระดมสมอง เป็นการนำเอาเทคนิค การระดมสมอง (Brain Storm) เข้ามา ประยุกต์ใช้ เพื่อรวบรวมหัวเรื่องที่ควรจะมีอยู่ในบทเรียนหลักการการระดมสมองเป็นการระดมความคิด โดยผู้ร่วมระดมความคิดประมาณ 4-5 คนช่วยกันคดิ หาคำตอบหรือแกป้ ัญหาท่ีต้ังขึ้น ทุกคนมีสิทธิท่ีจะคิด ได้ เมื่อคิดแล้วความคิดนั้นก็จะถูกบันทึกไว้โดยไม่มีใครคอยโต้แย้งหรือคัดค้าน ดังนั้น ทุกคนจึงมีสิทธิที่จะ คิดอย่างอิสระ ซึ่งเกิดประโยชน์คือ จะได้ความคิดมากมายที่อาจเป็นคำตอบ สำหรับในกรณีการพัฒนา บทเรยี นก็จะเป็นการระดมความคิด เพ่อื รวบรวมหัวเรอื่ งทคี่ วรจะมีในบทเรยี น โดยเริ่มจากการเขียนหัวเรื่องที่สร้างเป็นบทเรียนไว้ตรงกลาง แล้วให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน เน้อื หาวชิ าจำนวน 4-5 คน ชว่ ยกันระดมสมองแจงหัวเรื่องท่ีควรจะสอนในวชิ านั้น โดยโยงออกจากช่ือเร่ือง หลักขยายออกไปเป็นชั้น ๆ มีเส้นเชื่อมให้เห็นความสัมพันธ์ของหัวเรื่องหลักกับหัวเรื่องย่อยหลังจากผ่าน กระบวนการระดมสมองแลว้ ผลทไี่ ด้จะเปน็ แผนภูมริ ะดมสมองทแ่ี สดงถงึ หวั เรอ่ื งที่ควรจะมีอยู่ในบทเรียน

9 ขนั้ ท่ี 2 การสร้างแผนภูมหิ วั เรื่องสมั พนั ธ์ (Concept Chart Creation) แนวคิดของแผนภูมิหัวเรื่องสัมพันธ์คือ การจัดกลุ่มของหัวเรื่องที่ระดมสมองไว้ให้เป็นกลุ่มหรือ หมวดหมู่ที่สัมพันธ์กัน โดยนำแผนภูมิระดมสมองมาศึกษาความถูกต้อง สอดคล้องของทฤษฎี หลักการ เหตุผล ความสัมพันธ์ และความต่อเนื่องกันของหัวเรื่องอย่างละเอียด อาจมีการตัดหรือเพิ่มหัวเรื่องตาม เหตุผลและความเหมาะสม จนสามารถอธบิ ายและตอบ คำถามได้ ขน้ั ที่ 3 การสร้างแผนภมู โิ ครงข่ายเนอ้ื หา (Content Network Chart Creation) แนวคิดของแผนภูมิโครงข่ายเนื้อหาคือ นำหัวเรื่องที่ได้จากแผนภูมิหัวเรื่องสัมพันธ์ มาจัดลำดับ ความสัมพันธ์ของเนื้อหา โดยพิจารณาลำดับก่อนหลัง หรือคู่ขนานกันตามความจำเป็นที่จะต้องอ้างอิงกัน ตามหลักการเทคนิคโครงข่าย เนื้อหาบางอย่างเป็นพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับเนื้อหา เช่น การบวก การลบ จะเป็นพื้นฐานของการคูณ การหาร จึงต้องให้เรียนเรื่องการบวก การลบก่อน เมื่อเขียนเสร็จแล้วทำการ พจิ ารณาความสัมพันธข์ องเนอ้ื หาในโครงข่ายน้ันอกี คร้งั จนสมบรู ณ์ ขั้นที่ 4 กำหนดกลวิธีในการนำเสนอ และเขยี นวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของเนอ้ื หา ในขั้นตอนนี้ เราจะจัดเนื้อหาที่มีให้เย็นหน่วยการเรียน เพื่อให้เหมาะสมกับการเรียนของผู้เรียน จากนั้นจึงสร้างแผนภูมิหน่วยการเรียนวิชา แล้วเขียนกำกับในแต่ละหน่วยการเรียน ด้วยวัตถุประสงค์เชิง พฤตกิ รรมมี 2 ขนั้ ตอนยอ่ ย คือ 1. การแบ่งเนื้อหาออกเป็นหน่วยการเรียน เป็นการแบ่งเพื่อให้เหมาะสมกับการเรียนแต่ละคร้ัง โดยเปรียบเทียบกับการสอนในห้องเรยี นปกติ เช่น เนื้อหาการสอน ระดับชัน้ ประถมศกึ ษา 1 คาบ ใช้เวลา ประมาณ 20 นาที ตอ่ หนว่ ยการเรียน เป็นต้น ดังนั้น ในการแบ่งเนื้อหาออกเป็นหน่วยการเรียน จะแบ่งตามเงื่อนไขของเวลาทีใ่ ช้สอนแต่ละครั้ง สำหรับการผลิตบทเรียน 1 วิชานั้น โดยทั่วไปจะแบ่งเนื้อหาออกเป็นหน่วยการเรียน ประมาณ 13-15 หนว่ ย การแบง่ เนอื้ หาออกเป็นหน่วยการเรียนนน้ั จะเริ่มจากนำแผนภูมิโครงขา่ ยเน้ือหามาพิจารณากลุ่ม หัวเรื่องที่สามารถจัดไว้ในหน่วยเดียวกันได้ จากนั้นก็ตีกรอบล้อมรอบกลุ่มต่างๆ ไว้จนครบ อย่างไรก็ตาม การตกี รอบควรพิจำรูณาตามเงอื่ นไขของเวลาท่ตี ั้งไว้ เม่ือเสร็จแลว้ เนือ้ หาในกรอบแตล่ ะกรอบ ก็คอื แตล่ ะ หนว่ ยการเรยี นทตี่ อ้ งการ 2. การสร้างแผนภูมิหน่วยการเรียนวิชา เมื่อเราแบ่งเนื้อหาออกเป็นหน่วยการเรียนได้แล้ว ก็กำหนดอันดับของแต่ละหน่วยโดยเขียนเป็นตัวเลขลงไป จากนั้น ก็นำหน่วยการเรียนมาลำดับการ นำเสนอตามลำดับ และความสัมพันธ์ในเดียวกบั แผนภูมิโครงข่ายเนื้อหาซ่ึงจะได้ผลเป็นแผนภมู ิหน่วยการ เรียนวชิ า (Course Flow Chart) การกำหนด และเขียนวัตถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรมของเนื้อหาแต่ละหน่วย การเรียนนำหัวเรื่อง เนื้อหาแต่ละหน่วยการเรียน มาพิจารณากำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมท่ี

10 เหมาะสม แล้วเขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ได้กำหนดกำกับไว้แต่ละหน่วยการเรียนให้เป็นระเบียบ ชัดเจน ขน้ั ที่ 5 การออกแบบแผนภมู ิ การนำเสนอในแตล่ ะหน่วยการเรยี น เมื่อได้แบ่งเนื้อหาออกเป็นหน่วยการเรียน และสร้างแผนภูมิการเรียนวิชาแล้ว จะดำเนินการ ออกแบบแผนภมู กิ ารนำเสนอเน้อื หาในแตล่ ะหน่วยการเรียนต่อไป เป้าหมายที่สำคัญในการออกแบบนั้นคือ การให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์เชิง พฤติกรรมที่ตั้งไว้ ในการออกแบบนั้น จะคำนึงถึงกระบวนการนำเสนอทั้งหมด ซึ้งจะมีการนำเข้าบทเรียน การนำเสนอเน้ือหาสาระ การทบทวนเสริมความเข้าใจ และการสรุป บทเรียน รวมทั้งการใชเ้ ทคนิควธิ ีการ สอน การใช้สื่อต่างๆที่เหมาะสม และสิ่งที่สำคัญที่การออกแบบการสอนทั่วๆไปไม่มีก็คือ จะต้องออกแบบ ปฏิสัมพนั ธร์ ะหว่างบทเรยี นกับผู้เรยี น ซ่งึ เป็นสิ่งทคี่ อมพวิ เตอร์สามารถทำได้ สำหรับขั้นตอนการออกแบบแผนภูมิการนำเสนอ ในแต่ละหน่วยการเรียนนั้น จะเริ่มจากการใน หัวข้อนั้นๆ พิจารณาเนื้อหาแต่ละช่วงพร้อมคิดวิธีการสอน สื่อที่ใช้และลักษณะปฏิสัมพันธ์ทีละหัวข้อ พิจารณาไปทีละลำดับ ทำไปเรือ่ ย ๆ จนกระทง่ั หมดหนว่ ยการเรยี นนั้น แล้วจึงเริ่มทำหน่วยการเรียนถัดไป เพียงเทา่ นี้ กจ็ ะได้แผนภูมกิ ารนำเสนอในแต่ละหน่วยการเรียน ขั้นที่ 6 การเขยี นรายละเอยี ดเน้ือหาลงบนกรอบการสอน การเขียนรายละเอียดเนือ้ หาลงบนกรอบการสอน หรือการเขียนสคริปต์ หากเปรียบเทียบกับการ ผลติ รายการโทรทัศน์ กค็ อื การเขียนบทรายการก่อนทีจ่ ะนำไปถ่ายทำจรงิ หลังจากได้ออกแบบแผนภูมิการนำเสนอในแต่ละหน่วยการเรียนเสร็จแล้วในขั้นตอนต่อไป จะ นำแผนภูมิการนำเสนอแต่ละหน่วยการเรียนที่ได้ออกแบบไว้ มาเป็นแนวทางในการเขียนรายละเอียดของ เนอื้ หาโดยเขยี นลงบนกรอบท่ีออกแบบไว้ เราเรียกวา่ \"กรอบการสอน\" สำหรับการเขียนเนื้อหาลงในกรอบการสอน จะต้องเขียนไปทีละกรอบ ตามลำดับเนื้อหา และ วธิ ีการสอน ท่ีไดอ้ อกแบบไว้ เขียนจนกระทั่งครบทุกเน้ือหา ก็เสรจ็ ส้ินกระบวนการนี้ ขั้นท่ี 7 การจัดลำดับกรอบการสอน ในขั้นตอนนี้ จะเป็นการนำกรอบการสอนมาตรวจสอบลำดับการนำเสนอเนื้อหาที่ได้วางแผนไว้ ขั้นตอนนี้มีความสำคัญมาก เพราะเป็นการตรวจสอบลำดับการสอนของกรอบการสอนที่ได้เขียนไว้ ว่ามี ความต่อเน่อื งกันหรือไม่ ในการตรวจสอบลำดับเนื้อหา จะมีการตรวจสอบ 2 ขัน้ ตอน คอื 1. การตรวจสอบความต่อเนื่องของเนื้อหาในหน่วยการเรียนเดียวกันเพื่อดูว่ามีความเหมาะสม ตอ่ เนื่องกนั หรอื ไม่ และตอบสนองวัตถุประสงค์เชงิ พฤติกรรมครบถ้วนหรอื ไม่ 2. การตรวจสอบความเชื่อมีโยงของเนื้อหาในแต่ละหน่วยการเรียน เพื่อดูว่าการเชื่อมโยง ของเนื้อหาแตล่ ะหน่วยเปน็ ไปตามท่ีไดว้ ิเคราะห์ไวห้ รอื ไม่

11 ขนั้ ท่ี 8 การตรวจสอบความถูกต้องของเนือ้ หา ภายจากการนำกรอบการสอนไปจัดเรียงลำดับ และตรวจสอบอย่างถูกต้องแล้วในขั้นตอนนี้ จะเป็นการนำบทเรียนคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้น ไปทำการตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาที่พัฒนาขึ้น โดยทำ 2 ด้านตอ่ เนอื่ งกัน คือ การตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา การตรวจสอบความถูกต้อง เป็นการรับรองคุณภาพของเนือ้ หา ว่าถูกต้องก่อนที่จะนำไปพัฒนาเป็นบทเรยี น การตรวจสอบนัน้ อาจจะ ใหผ้ ูเ้ ช่ียวชาญประเมินลงในกรอบการสอน หรอื ประเมนิ ควบคูก่ ับแบบฟอร์มทเ่ี ป็นปลายเปดิ นำไปทดลองกับกลุ่มเป้าหมาย ที่จะเรียนเนื้อหานั้นๆ เพื่อทดสอบความเข้าใจในการเรียนเนื้อหา และการสื่อความหมายของสำนวนที่ใช้ ตลอดจนรูปแบบที่สื่อความหมายต่อผู้เรียน ในขั้นนี้ จะต้อง ใช้กลุ่มเป้าหมายจริง โดยคัดเลือกประมาณ 9-12 คน ให้ทดลองเรียนเนื้อหาจากนั้น จึงรวบรวมข้อมูลที่ ได้มาปรับแก้ให้สมบูรณ์ ขัน้ ที่ 9 การเขยี นและประเมนิ คุณภาพของแบบทดสอบ ในขั้นนี้ จะเริ่มจากการสร้างแบบทดสอบตามหลักการพัฒนาข้อทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ โดยอ้างอิง ตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ได้กำหนดไว้ จากนั้นนำไปทดลองกับกลุ่มที่เคยเรียนเนื้อหานั้นมาแล้ว โดยใชป้ ระมาณ 30-100 คน นำผลทดสอบมาหาค่าความยากง่ายคา่ อำนาจจำแนก ค่าความเชอื่ ม่ันและค่า ความเที่ยง โดยข้อสอบที่ดี ควรเหมาะสมกับระดับความสามารถ และระดับของผู้เรียนหลังจากนำ แบบทดสอบไปทดลองแล้ว นำข้อที่ยังไม่ได้ตามเกณฑ์ไปปรับปรุงแก้ไข จนกว่าจะใช้ได้ ผลที่ได้ทั้งหมด ซึ่งได้แก่ กรอบการสอนที่ได้ตรวจสอบคุณภาพแล้ว และแบบทดสอบที่ได้ตามเกณฑ์จะรวมกันเป็นตัว บทเรยี นทพี่ ร้อมดว้ ยส่วนของการวัด และ การประเมนิ ผล ซึง่ พร้อมทีจ่ ะนำไปจดั ทำเปน็ โปรแกรมต่อไป ขน้ั ที่ 10 การเรยี กโปรแกรมทจ่ี ะใช้นำเสนอบทเรยี น ในขั้นนี้ จะเป็นการคัดเลือกโปรแกรมที่จะใช้ในการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์โดยแต่ละ โปรแกรม ก็มีความสามารถในการสรา้ งงานที่แตกต่างกัน ดังนั้น ผู้พัฒนา บทเรียนจึงควรเลือกโปรแกรมที่ จะนำมาสร้างโดยพิจารณาโปรแกรมทีเ่ หมาะสม และสามารถสนองตอบตอ่ ความต้องการได้โปรแกรมท่ใี ช้ นำเสนอบทเรยี น สามารถแบ่งเปน็ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1. โปรแกรมชว่ ยสร้างบทเรียนคอมพวิ เตอรแ์ บบสำเรจ็ รูป เปน็ โปรแกรมที่ออกแบบมาสำหรับช่วย สร้างบทเรยี นคอมพวิ เตอรโ์ ดยเฉพาะ ข้อดี คือ ใชง้ านง่าย และสามารถรองรับสอ่ื มัลตมิ ีเดยี ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิ-ภาพ ขอ้ ดอ้ ย คอื ไม่เหมาะกับงานทส่ี ลบั ซบั ซ้อน 2. โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอรท์ ่วั ๆไป เชน่ ภาษาซี ภาษาแอส-แซมับลี ภาษาปาลคาล เป็นตน้ ข้อดี คอื สามารถสร้างบทเรยี นที่สลบั ซับซ้อนได้ดี ข้อดอ้ ย คือ ใชง้ านยากผใู้ ชต้ อ้ งมีความชำนาญดา้ นการเขยี ินโปรแกรมมาก

12 ขนั้ ท่ี 11 การพัฒนาและจัดเตรยี มสือ่ ท่จี ะใช้ประกอบบทเรยี น ขั้นตอนนี้ จำเป็นต้องใช้ในการผลิตบทเรียน สื่อต่างๆ ที่จะต้องเตรียม ได้แก่ ภาพน่ิง ภาพเคลื่อนไหว เสียงภาพกราฟิกต่างๆ เมื่อทำการผลิตสื่อต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ก็ทำการบันทึกเป็นไฟล์ไว้ และจดั เก็บแยกเป็นแฟม้ ๆ ไว้ เพื่อให้สามารถเรยี กใช้ไดส้ ะดวก ขน้ั ท่ี 12 นำข้อมูลเนื้อหาลงโปรแกรม หลังจากเตรียมทุกอย่างแล้ว ก็จะนำข้อมูลเนื้อหาที่พัฒนาไว้บนกรอบ การสอนจัดลงโปรแกรม พรอ้ มสื่อตา่ งๆ ทไ่ี ด้จัดเตรียมไว้ ในการลงโปรแกรมนั้น ผู้ดำเนินการจะต้องทำด้วยความปราณีต ในระหว่างทำ ควรตรวจสอบ สื่อต่างๆ และลำดับการนำเสนอเนื้อหาว่าถูกต้องตามกรอบการสอนที่ได้ออกแบบไว้รวมทั้ง ลำดับกา ร เชือ่ มโยงของเนื้อหา ขั้นที่ 13 การตรวจสอบคุณภาพมลั ติมเี ดียของบทเรยี น ขั้นตอนนี้ เป็นการตรวจสอบคุณภาพมัลติมเี ดียของบทเรียนคอมพิวเตอร์ ที่สร้างเสร็จแล้วโดยให้ ผเู้ ชย่ี วชาญทางดา้ นมลั ติมเี ดยี เป็นผตู้ รวจสอบ ซ่ึงอาจจะตรวจสอบส่ือตา่ งๆ เชน่ สีของตัวอกั ษร และสีของ พ้ืนหลังเหมาะสมหรือไม่ การออกแบบหน้าจอ รวมทั้งการเชื่อมโยงของกรอบการสอนในแต่ละกรอบภาย หลังจากการตรวจสอบคุณภาพเรียบร้อยแล้ว นำมาปรับปรุงให้สมบูรณ์ ก็จะได้บทเรียนที่พร้อมจะนำไป ทดลองหาประสิทธภิ าพต่อไป ขนั้ ท่ี 14 การทดลองกระบวนการการทดสอบหาประสิทธิภาพ ขั้นตอนนี้ เป็นการทดลองขั้นตอน หรือกระบวนการในการหาประสิทธิ-ภาพก่อนที่จะหา ประสิทธิภาพจริง โดยการนำกลุ่มเป้าหมาย จำนวนประมาณ 10 คน ทำการทดลองในขณะทดลองหา ประสิทธิภาพนั้นก็เก็บข้อมูลต่างๆ เอาไว้ ซึ่งข้อมูลเหล่านั้น จะเป็นประโยชน์ในการหาประสิทธิภาพจริง แต่หากปัญหาใด ที่ต้องแก้ไข เช่น การสื่อสารระหว่างบทเรียนกับผู้เรียนก็แก้ไขข้อมูลนั้น ให้เรียบร้อย ก่อนท่ีจะนำไปทดสอบหาประสทิ ธิภาพจริง ขน้ั ท่ี 15 การทดลองหาประสิทธิภาพของบทเรียนและประสทิ ธิผลทางการเรียน ขั้นตอนนี้ เป็นการทดลองหาประสิทธิภาพของบทเรียน และ ประสิทธิผลทางการเรียน ซึ่งจะใช้ กลุ่มตัวอย่างเป้าหมาย ไม่น้อยกว่า 30 คน มาทำการทดสอบหาประสิทธภิ าพของบทเรียน บทเรียนที่ดจี ะ มีค่าประสิทธิภาพในกระบวนการเรียนจะใกล้เคียงกับค่าประสิทธิภาพหลังการเรียน (E1/E2) และค่า ประสิทธิผล (Epost - Epre ควรจะมีคำสูงกว่า 60 หากได้ผลตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ถือว่าบทเรียนนั้นใช้ได้ แตถ่ า้ หากไม่เปน็ ไปตามทีต่ อ้ งการ กจ็ ะต้องนำไปปรับ-ปรงุ แกไ้ ขให้ได้ผลตามทต่ี ้องการ ขั้นที่ 16 จัดทำคูม่ อื การใช้บทเรยี นคอมผวิ เตอร์ชว่ ยสอน หลังจากผลิตบทเรยี นเสร็จแลว้ จะตอ้ งทำคมู่ อื การใช้บทเรยี น เพือ่ ใช้ประกอบ การเรียน หรอื หาก มีปัญหาสงสยั ก็สามารถที่จะเปดิ ดูได้จากคู่มือนี้ ดังน้ัน คู่มอื จะเป็นจุดเร่ิมตันที่ทำให้ผู้เรียนเข้าหาบทเรียน คอมพวิ เตอร์ช่วยสอน ไดส้ ะดวก และถูกตอ้ ง

13 2.3 ทฤษฎกี ารสร้างบทเรียนคอมพวิ เตอร์ ทฤษฎกี ารพฒั นาบทเรียนคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน การพฒั นาบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน เป็นกระบวนการที่จะต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่องซ่ึงต้องใช้ ทงั้ ความวิริยะ อตุ สาหะ รวมทั้งความร้คู วามสามารถของผพู้ ัฒนาและทีมงานเปน็ อยา่ งมาก โดยมีเป้าหมาย อยู่ท่กี ารสร้างคุณภาพหรือประสทิ ธภิ าพเชงิ ความรู้ ทง้ั น้ี เพอื่ รับประกันไดว้ า่ บทเรียนที่พัฒนาหรือสร้างข้ึน นั้นมีคุณค่าต่อการศึกษา และช่วยให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์การเรียนรู้ขั้นตอนการพัฒนาบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีผู้เสนอขั้นตอนหรือวิธีการพัฒนาหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบมีขั้นตอนในการ พฒั นาบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ช่วยสอนท่คี ลา้ ยคลงึ กันและแตกต่างกนั บ้าง ในท่ีนีข้ อนำเสนอ 2 แนวคดิ ดังน้ี แนวคิดที่ 1 การพฒั นาโดยเน้นตามการจดั กิจกรรมสอดคล้องกบั ช้ันเรยี นปกติ เป็นแนวคิดในการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่เน้นการพัฒนาตามขั้นตอนการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนในชน้ั เรียนปกติ เน้นสร้างเนื้อหา การนำเสนอใหเ้ หมาะสมกับพฤติกรรมและการ ตอบสนองของผู้ใช้บทเรยี น มีขน้ั ตอนการสรา้ ง 8 ข้นั ตอน ดังน้ี (วุฒชิ ยั ประสารสอย, 2543) 1.วตั ถปุ ระสงค์ 2.รายละเอียดของเนอื้ หา 3.วิเคราะห์เนอื้ หา 8.การวัดผลประเมินผล 4.วตั ถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม 7.การนำเสนอตอ่ ผเู้ รยี น 5.กลยทุ ธ์ทางการสอนและการนำเสนอ 6.ออกแบบและสรา้ งบทเรยี น รปู แสดงขนั ตอนการพัฒนาบทเรยี นคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอนเนน้ ตามการจดั กิจกรรมในชันเรียนปกติ

14 1. วตั ถุประสงค์ทว่ั ไป (Goa/Objective) เป็นการกำหนดว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่พัฒนาขึ้นนี้ ต้องการจะนำไปใช้เพื่อใคร และ ต้องการให้เรียนรู้ อะไรบ้าง จากการศึกษาและวิเคราะห์คำอธิบายรายวิชา รวมไปถึงแผนการจัดการเรียน การสอนในรายวิชาที่ตอ้ งการนำมาสร้างเปน็ ส่ือบทเรียนคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอนอีกดว้ ย 2. รายละเอยี ดของเน้อื หาวชิ า (Content Specification) ได้แก่เนื้อหาความรู้ที่กำหนดเอาไว้ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมตามวัตถุประสงค์ซึ่งอาจจะได้จาก การวิเคราะห์เนื้อหาของหลักสูตร การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ การสัมมนาทางวิชาการหรือค้นหาเพื่อ จัดระบบจากแหล่งทรัพยากรอื่น แล้วนำมาวิเคราะห์ความสำคัญและคุณค่าของบูรณาการด้านเนื้อหา รวมไปถงึ 3. วิเคราะห์เน้อื หาวชิ า (Content Analysis) วธิ กี ารน้ี จะเริม่ ต้นจากการ วเิ คราะห์งาน (Task Analysis) เพ่อื อธิบายกจิ กรรมการเรียนการสอน และจดั ลำดับกิจกรรมเหลา่ นัน้ ให้เหมาะสม ถกู ต้อง และสอดคล้องกบั วัตถุประสงค์ทั่วไปจนได้รายละเอียด ของเรื่องที่จะสอนหรอื หวั ขอ้ การสอน (Topic Content) 4. วัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม (Behavioral Objectives) เป็นการกำหนดพฤติกรรมาเชิงความรู้ (Knowledge-Based Behavior) เพื่อให้ผู้เรียนได้รับรู้ว่า เมื่อเรียนจบบทเรียนแล้วจะได้รับสิ่งใดจากบทเรียน ซึ่งการกำหนดวัตถุป ระสงค์ในการเรียนไว้ล่วงหน้า อย่างแน่ชัด เป็นการบอกให้ผู้เรียนทราบว่าจะได้รับการพัฒนาความสามารถ (Competency - Base Learning) จนประสบผลสำเรจ็ ในการเรยี นอย่างไร และช่วยให้ผู้เรยี นมีผลสัมฤทธติ์ ามระดับความสามารถ จากการกำหนดระดบั ขั้น เพอื่ จะไดจ้ ดั สภาวการณ์การเรียนการสอนล่วงหนา้ 5. กลยุทธ์ทางการสอนและนำเสนอ (Teaching Strategies & Models of Delivery) ได้แก่การเลือกว่าจะใช้วิธีสื่อสารเพื่อให้เกิดความรู้ เช่น การน้ำเสนอข้อมูลเนื้อหาด้วยข้อความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เป็นต้น โดยกำหนดหลักการให้สอดคล้องกันกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมและ ธรรมชาติของเนื้อหาวิชา เพื่อนำไปสู่การเรียนรู้ในที่สุด และการกำหนดกลยุทธ์ทางการสอนและการ นำเสนอบทเรียน ควรแบ่งเนื้อหาออกเป็นหน่วยย่อยที่สัมพันธ์กันเป็นอย่างดี นำเสนอเนื้อหาความรู้นั้นที ละน้อย ๆ เพอ่ื ใหผ้ ู้เรียนประสบสำเรจ็ ในการเรียนทตี่ ่อเนอื่ งกัน และสามารถกลบั มาเรยี นซ้ำไดไ้ มจ่ ำกดั ครั้ง 6. ออกแบบและลงมือสรา้ งบทเรยี น (Design & Implementation) ในขั้นตอนนี้เกี่ยวข้องกับการเตรียมผลิตบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ได้แก่การนำรายละเอียด ทไี่ ด้จากการปฏบิ ตั ิท่ผี ่านมาท้งั หมดมาจำแนกรายละเอยี ดเป็นการเฉพาะในแตล่ ะส่วน และเป็นการกำหนด แผนวิธีการปฏิบตั ใิ นรายละเอยี ดทเ่ี ก่ียวข้อง เพอื่ ให้ได้ข้อมูลในการปฏิบัติ หากพบวา่ มีขอ้ บกพร่องที่ส่วนใด ควรปรับปรุงและแก้ไขให้บกพร่องมีน้อยที่สุดเรียกขั้นตอนนี้ว่า การเขียนบทดำเนินเรื่อง หรือ การเขียน สครปิ ต์ (Script)

15 7. นำเสนอตอ่ ผเู้ รียน (Delivery) เป็นวิธีการที่จะนำไปสู่กระบวนการหาประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงหลักการด้านความยืดหยุ่น (Flexibility) และสร้างรูปแบบนำเสนอให้เหมาะสมกับระดับความสามารถของผู้เรียนควรเลือกวิธีการ นำเสนอความรู้อย่างรอบคอบรัดกุม โดยอาจจะใช้วิธีออกแบบกิจกรรมในบทเรียนใหผ้ ูเ้ รียนได้มีโอกาสรับ การสอนซ่อมเสริม (Remediab Teaching เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือกันระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน และผู้เรียนกับผู้สอน ซึ่งเป็นการสร้างบรรยากาศของการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับการ ส่งเสริมพัฒนาการทางเจตคติหรือเข้าใจความรู้สึกมนุษย์ การร้างบริปากาศการจัดกิจกรรมการสอนใน บทเรียนใหเ้ ปน็ ไปตามแนวความคิดของการสอนแนวใหม่ (Alternative Teaching) ควรมีหลักการ ดงั น้ี - เน้นความเปน็ การเองระหวา่ งผสู้ อนกับผเู้ รียน และไมเ่ ครง่ เครยี ด - เปิดโอกาสใหผ้ ู้เรยี นไดม้ สี ว่ นรว่ มในการเรยี น - ผ้เู รยี นมเี สรภี าพในการเลอื กเรียนสิ่งทตี่ นเองสนใจ และใชเ้ วลาเรียนไดอ้ ยา่ งเต็มที่ - เนน้ กิจกรรมแบบความร่วมมือกนั ของกลมุ่ มากกวา่ การแขง่ ขัน 2.4 หลักการวัดและประเมนิ ผลบทเรยี น เนื่องจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ถือเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ประเภทหนึ่ง ที่ประยุกต์ใช้ในด้าน การศึกษา ดังนั้นเมื่อพัฒนาบทเรียนแล้วจะต้องประเมินเพื่อตรวจสอบโครงสร้างภายใน ประเมินผลลัพธ์ ประเมินสิ่งต่าง ๆ ที่ประกอบเป็นโครงสร้างภายใน เช่น ด้านเนื้อหา ด้านการออกแบบจอภาพ ความ สะดวกในการใช้งาน เป็นต้น การประเมินโดยใช้แบบสอบถาม ส่วนใหญ่จะใช้แบบมาตราส่วนประมาณคา่ สอบถามกลุ่มตัวอย่างที่ทดลองใช้บทเรียน ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาโปรแกรม ผู้เชี่ยวชาญในด้าน บทเรยี น ผสู้ อนและผู้เรียนท่วั ๆ ไป ทัง้ นผ้ี อู้ อกแบบจะตอ้ งเลือกกลุ่มตวั อย่างอยา่ งเหมาะสมและสอดคล้อง กับรายการทีจ่ ะประเมิน รายละเอียดท่ีผู้ออกแบบสามารถเลือกใช้ในการประเมินบทเรียน จำแนกเป็นด้าน ได้ดงั นี้ 1. การประเมินผลโครงสร้างบทเรียน ดังที่กล่าวมาแล้วว่าบทเรียนถือว่าเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ประเภทหนึ่ง ดังนั้น ในบทเรียนจึง ประกอบดว้ ยโมดูลต่าง ๆ ประกอบกนั เป็นโครงสร้างบทเรยี น ในแต่ละโมดูลทำหน้าที่เพียงอย่างเดยี ว หรือ อาจจะมีการส่งผ่านค่าเพื่อติดต่อสื่อสารกับโมดูลอื่น 1 ในโครงสร้างเดียวกัน การประเมินโครงสร้าง บทเรียน เปน็ การประเมนิ องคป์ ระกอบภายในบทเรียน ได้แก่ โครงสร้างของบทเรียน การออกแบบขน้ั ตอน การทำงาน การเขียนโปรแกรม การประเมินในด้านนี้เป็นการประเมินด้านเทคนิคเป็นหลัก ดังนั้นจึงเรียก วิธีการประเมินแบบนี้ว่า ไวท์บ๊อคหรือกล่องขาว (whitebox) หมายถึง การทดสอบกล่องขาว โดยเปรียบ บทเรียนเป็นเสมือนกล่องขาวในการประเมินจะกระทำเฉพาะภายในกล่องขาวเท่านั้น จะไม่พิจารณา สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ภายนอกกล่องขาว ได้แก่ ส่วนข้อมูลนำเข้าและการประเมินผล การประเมินแบบไวท์บ๊อค เป็นการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเขียนโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะอย่างย่ิงจะต้องเชย่ี วชาญด้านภาษาคอมพิวเตอร์ทใ่ี ช้เขยี นโปรแกรมบทเรยี นท่จี ะประเมนิ

16 2. การประเมินผลลพั ธข์ องบทเรยี น การประเมินลักษณะนี้จะตรงกันข้ามกับแบบไวท์บ๊อค โดยเรียกการประเมินแบบนี้ ว่าแบล็คบ๊อคหรือกล่องดำ (blackbox) ซึ่งเปรียบบทเรียนเป็นกล่องดำและการประเมินทำการประเมิน เฉพาะปัจจัยที่อยู่ภายนอกกล่องดำท่านั้น ได้แก่ ข้อมูลนำเข้าและผลลัพธ์ที่ได้จากบทเรียน โดยพิจารณา ปัจจัยนำเข้าทำให้ได้ผลลัพธ์จากบทเรียนเป็นอย่างไร ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องอย่างไร สอดคล้องกับความ ต้องการหรือไม่อย่างไร ในการประเมินผลแบบแบล็คบ๊อคประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้าน บทเรียน ผู้สอนและผู้ใช้บทเรียน โดยใช้แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (มนต์ชัย เทียนทอง ,2548 ก, หนา้ 334 - 336) 3. การประเมินองคป์ ระกอบ การประเมินองค์ประกอบ หมายถึง การประเมินตามแนวทางการศึกษาที่เน้นประเมินในด้าน เนื้อหาและแบบทดสอบ ในด้านการออกแบบ เช่น สี เสียง หรือภาพ เป็นต้น ด้านการจัดการของบทเรียน ตลอดจนด้านการจัดทำเอกสาร ดังรายละเอยี ดตอ่ ไปน้ี 3.1 ด้านเนือ้ หา เนอ้ื หาถือเปน็ สว่ นที่สำคัญในการพฒั นาบทเรยี น เนื่องจากเน้อื หาเป็นสว่ นที่จะให้ ความรู้แกผ่ เู้ รยี น ดังนนั้ ในการประเมินจะประเมินในประเด็นต่าง ๆ ดังน้ี 3.1.1 ด้านความเหมาะสมของเนื้อหา หมายถึง การประเมินในด้านความเหมาะสมของ เนื้อหากับผู้เรียน บทเรียนที่ดีควรจะมีคุณลักษณะอย่างหนึ่งคือมีเนื้อหาที่ตรงกับระดับของผู้เรียน โดยมี การใช้ภาษาทีเ่ หมาะสม มีการสอดแทรกการอธิบายด้วยภาพนงิ่ หรอื ภาพเคลื่อนไหว 3.1.2 ด้านความถูกต้องของเนื้อหา ความถูกต้องของเนื้อหาเป็นประเด็นสำคัญที่จะต้องมี การตรวจสอบและประเมินผล เนื้อหาที่นำเสนอในบทเรียนจะต้องเป็นเนื้อหาที่ถูกต้องและครบถ้วน ไมค่ ลมุ เครือ นอกจากนีจ้ ะตอ้ งใชภ้ าชา สะกดคำหรือใช้ไวยากรณไ์ ด้อย่างถูกต้องด้วย 3.1.3 คุณค่าของเนื้อหา หมายถึง เนื้อหาที่นำเสนอในบทเรียนมีคุณค่าเพียงไรต่อผู้เรียน เช่น เนื้อหาที่มุ่งแต่ความเพลิดเพลิน ความรุนแรง หรือเนื้อหาที่นำเสนอในแง่การเหยียดผิว เชื้อชาติ เป็นต้น ซึ่งเนื้อหาที่กล่าวถึงนี้ถือว่าเป็นเนื้อหาที่ไม่มีคุณค่าและไม่เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียนแต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าผู้เรียนเป็นเด็กเล็กผู้ออกแบบควรจะระมัดระวัง ดังนั้นการประเมินคุณค่ของเนื้อหา ของบทเรยี นจงึ เปน็ ส่ิงทส่ี ำคญั 3.2 ดา้ นการออกแบบ หมายถึง การออกแบบลักษณะครงสร้างของจอภาพทีน่ ำเสนอการใช้สีและ ตวั อักษร และการใชส้ อื่ ประสม ดังรายละเอียดตอ่ ไปนี้ 3.2.1 การใช้พื้นที่หน้าจอ เนื่องจากจอภาพคอมพิวเตอร์เป็นส่วนที่จะใช้ติดต่อกับผู้เรียน ดังนั้นการออกแบบการใช้พืน้ ท่ีของจอภาพ จึงควรออกแบบให้มคี วามง่ายและสะดวกต่อการใช้ของผูเ้ รียน จดั รูปแบบการนำเสนอของจอภาพอย่างเปน็ สัดสว่ นท่ีชัดเจนและเปน็ รูปแบบการนำเสนอตลอดท้ังบทเรยี น 3.2.2 การใช้สีและตัวอักษร การออกแบบเพื่อการใช้สีและตัวอักษรถือว่าเป็นองค์ประกอบ หนึง่ ในการนำเสนอของจอภาพ สที ี่ใช้ควรเป็นสีท่ีสบายตาและผอ่ นคลายผ้เู รียนนอกจากนี้จะต้องเน้นความ

17 สวยงามและความชัดเจน ในส่วนของตัวอักษรก็เช่นกัน ควรจะเป็นตัวอักษรที่มีขนาดเหมาะสม และใช้สี ของตัวอกั ษรโดยมีหลักคอื สขี องตัวอักษรเข้มบนสีพนื้ ทอ่ี อ่ นหรือใช้สีตวั อักษรอ่อนบนสพี ื้นเขม้ 3.2.3 การใช้สื่อประสม หมายถึง การใช้เสียง ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว หรือข้อความใน บทเรียน ทำให้บทเรียนมีการอธิบายที่หลากหลาย แต่อย่างไรก็ตามการใช้สื่อประสมควรจะพิจารณาให้ เหมาะสมกับวัยหรือระดับของผู้เรียน สถานการณ์ในบทเรียน และควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ควบคุม การแสดงผลบนจอภาพในดา้ นสอื่ ประสมด้วยตนเองได้ 3.3 ด้านกิจกรรม การออกแบบบทเรียนส่วนหนึ่งที่จะต้องออกแบบควบคู่กันไปได้แก่ กิจกรรมที่ จะให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์เพื่อให้มีส่วนร่วมหรือเพื่อทำการทดสอบความรู้ผู้เรียน กิจกรรมที่ออกแบบ ในบทเรียนจะต้องสอดคล้องกับเนื้อหาที่กำลังนำเสนอ และถ้าเป็นกิจกรรมการตอบค ำถามหรือ แบบทดสอบ จะตอ้ งเปน็ แบบทดสอบท่ผี ่านการหาความยากงา่ ย คา่ อำนาจจำแนก หรือคา่ ความเช่ือมั่นมา ก่อน เป็นคำถามที่ชัดเจนและสอดคล้องกับเนื้อหาที่นำเสนอ นอกจากนี้กิจกรรมต่าง ๆ ที่ผู้เรียนได้มี ปฏสิ มั พนั ธ์ควรจดั ใหม้ กี ารเสริมแรง (rein forcement) ในจังหวะทเี่ หมาะสมกับเวลาและระดับของผเู้ รยี น 3.4 ด้านการจัดการบทเรียน หมายถึง วิธีการควบคุมบทเรียน ความชัดเจนของคำสั่งในตัว บทเรยี น การจัดทำเอกสารประเดน็ ตา่ ง ๆ เหล่าน้ี จะต้องมกี ารออกแบบอย่างเหมาะสมและสมบรู ณ์ ดังนี้ 3.4.1 ส่วนของวิธีการควบคุมบทเรียน หมายถึง ผู้เรียนมีโอกาสในการควบคุมบทเรียนเป็น อย่างไร บทเรียนเสนอหัวข้อหลักหรือหัวข้อย่อยสอดคล้องกันหรือไม่อย่างไร ตลอดจนการมีสิ่งอำนวย ความสะดวกในบทเรียนที่ให้ผู้เรียนได้จัดการเองได้ เช่น การปรับแต่งเรื่อง การตั้งเวลาให้ความช่วยเหลือ เป็นต้น 3.4.2 ความชัดเจนของคำสั่งในบทเรยี น หมายถงึ การทผี่ เู้ รียนสามารถจดั การบทเรียนได้ง่าย ไม่สับสนโดยไม่ต้องร้องขอความช่วยเหลือจากผู้สอน หรือผู้เรียนที่ไม่มีพื้นความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ก็ สามารถใช้งานบทเรยี นได้ 3.4.3 ส่วนการจดั ทำเอกสาร ถอื เป็นส่วนหน่ึงท่ีจำเป็นต้องจัดทำเนื่องจากสามารถใช้เอกสาร เป็นแหล่งอา้ งองิ ได้ และสามารถใช้เป็นคู่มือในการใชบ้ ทเรยี นได้ เอกสารที่ดีควรประกอบด้วยรายละเอียด ทีเ่ ก่ยี วกับอุปกรณ์ทจ่ี ำเป็น การแนะนำบทเรียน วัตถปุ ระสงคข์ องบทเรยี น การใชง้ านบทเรียนและปัญหาที่ อาจจะพบได้ในการใช้บทเรยี น จากรายละเอียดต่าง ๆ ที่กล่าวมา ผู้ออกแบบจะต้องประเมินให้ครบทุกองค์ประกอบเพื่อ ความครอบคลุมทุก ๆ ด้านในบทเรียน ส่วนผู้ที่ประเมินบทเรียน ได้แก่ ผู้สอนหรือผู้เรียนเครื่องมือที่ใช้ใน การประเมินคือ แบบสอบถามมาตราสว่ น 5 ระดบั มนต์ชัย เทียทอง, 2548 ก, หน้า 330 - 332) 2.5 การหาประสิทธภิ าพของบทเรยี นคอมพิวเตอร์ ประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนหมายถึง ความสามารถของบทเรียนในการสร้าง ผสสัมฤทธิท์ างการเรยี นให้ผ้เู รียนเกิดการเรียนร้ตู ามจดุ ประสงค์ถึงระดบั เกณฑท์ ่ีคาดหวังไว้

18 มีกระบวนการทส่ี ำคัญ 2 ขนั้ ตอน 1. วิธีการหาประสิทธิภาพเชิงเหตุผล เป็นการหาประสิทธิภาพโดยอาศัยหลักความรู้และเหตุผล โดยอาศยั ผเู้ ช่ียวชาญเปน็ ผู้พจิ ารณาตดั สนิ คุณค่า 2. การประสทิ ธิภาพเชิงประจกั ษ์ โดยการนำส่ือไปทดีลองกับกล่มุ เปา้ หมาย การกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพ หมายถึง ระดับประสิทธิภาพบทเรียนคอมพิวเตอร์ที่จะช่วยให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เป็นระดับที่ผู้ผลิตบทเรยี นคอมพิวเตอร์ ที่จะพึงพอใจว่าหากบทเรียนคอมพิวเตอรม์ ี ประสิทธิภาพถึงระดับนั้นแล้ว แสดงว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์นั้นมีคุณค่าที่จะนำ ไปสอนนักเรียน ประสิทธิภาพท่ีวัดออกมาจะพิจารณาจาก ค่าเฉลี่ยร้อยละของคะแนนแบบฝึกหัด กับค่าเฉลี่ยร้อยละของ คะแนนแบบทดสอบแสดงเป็นตวั เลข 2 ตัว เชน่ 80/80, 85/85, 90/90 ขน้ั ตอนการทดลองหาประสทิ ธภิ าพ 1. ทดลองแบบหนึง่ ตอ่ หน่งึ 1.1 เพื่อตรวจสอบความเหมาะสมของส่ือ ในด้านการออกแบบ ขนาดของตัวอักษร ภาพนิ่ง/ เคลอ่ื นไหว คำบรรยาย สี เสียง เป็นต้น 1.2 ทดลองโดยใชน้ ักเรียนระดบั เดียวกัน เก่ง ปานกลาง ออ่ น อย่างละ 1 คน ดูสื่อที่สร้างขึ้น ครูคอยชักถามนกั เรยี นเกี่ยวกับการออกแบบข้างตน้ 2. ทดลองแบบกลุ่มเล็ก 2.1 ใชเ้ ด็กเกง่ ปานกลาง อ่อน กลมุ่ ละ 3-10 คน 2.2 ทดลองเหมือนการทดลองจริงโดยใช้เครื่องมือทุกชนิด เช่น บทเรียนคอมพิวเตอร์ แบบทดสอบ แบบสอบถามความพึงพอใจ 2.3 เพ่อื ตรวจสอบเวลาในการปฏบิ ตั กิ ิจกรรมและขอ้ บกพรอ่ งของการออกแบบอ่ืนๆ 3. ทดลองแบบภาคสนาม 3.1 เปน็ การทดลองกบั กล่มุ ตวั อยา่ งทก่ี ำหนด 3.2 เพอ่ื หาคุณภาพของสือ่ เทคโนโลยี หรอื นวตั กรรมท่กี ำหนด 3.3 มีการทดสอบก่อนเรียน เก็บคะแนนระหว่างเรียน ทดสอบหลังเรยี น และสอบถามความ พึงพอใจตอ่ การเรียนวธิ นี ้ี 3.4 ถ้าจะทดสอบความคงทนในการเรียน ก็ใช้แบบทดสอบเดิม สอบอีกครั้งหลังการเรียน ผา่ นไป 2-3 สัปดาห์

19 2.6 เอกสารที่เกีย่ วขอ้ งกบั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Achievement) เป็นสมรรถภาพในด้านต่าง ๆ ที่นักเรียนได้จาก ประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากครูผู้สอน สำหรับความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มนี กั การศกึ ษาไดใ้ หค้ วามหมายไวห้ ลายท่าน สรปุ ไดด้ งั นี้ Good (1973 : 6-7) ผสสัมฤทธท์ิ างการเรียน หมายถงึ การเข้าถงึ ความรู้ (Knowledge Attained) หรือการพัฒนาทักษะทางการเรียน ซึ่งโดยปกติพิจารณาจากคะแนนสอบที่กำหนด คะแนนที่ได้จากงานท่ี ครูผ้สู อนมอบหมายให้หรอื ท้ังสองอย่าง ไพศาล หวังพานิช (2537 : 30 31) ใ@ใโควมีหมายชอิงฝลสับฤทธิ์ทางการเรียน (Academic Achievement) ว่า หมายถึง คุณลักษณะและความสามารถของบุคคลอันเกิดจากการเรียนการสอน เป็น การเปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรมและประสบการณ์การเรียนรู้ ทเี่ กิดจากการศึกษาฝกึ ฝน อบรมหรือจากการสอน การวัดผลสัมฤทธิ์จึงเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถหรือความสัมฤทธิ์ผล ( Level of Accomplishment) ว่าเรยี นแลว้ ร้เู ทา่ ไร มคี วามสามารถชนดิ ใด ชนินทร์ชยั อินทิราภรณ์ และคนอื่น ๆ (2540 : 5) ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น หมายถึง ความสำเร็จ ในด้านความรู้ ทักษะ สมรรถภาพด้านต่าง ๆ ของสมองหรือมวลประสบการณ์ ทั้งปวงของบุคคลที่ได้รับ การเรียนการสอนหรอื ผลงานท่นี ักเรยี นไดจ้ ากการประกอบกิจกรรม ธวัชชัย บุญสวัสดิ์กุลชัย (2543 : 4) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ทักษะและ สมรรถภาพทางสมองในด้านต่าง ๆ ที่นักเรียนได้รับจากการสั่งสอนของครูผู้สอน ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ โดยใชแ้ บบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ (Achievement Test) รัตนาภรณ์ ผา่ นพเิ คราะห์ (2543 : 7) ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน หมายถงึ ผลของความสามารถทาง วิชาการท่ีได้จากการทดสอบโดยวธิ ตี ่างๆ กระทรวงศึกษาธิการ (2544 : 11) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสำเร็จหรือ ความสามารถในการกระทำใด ๆ ที่จะต้องอาศัยทักษะ หรือมิฉะนั้นก็ต้องอาศัยความรอบรู้ในวิชาใดวิชา หนึง่ โดยเฉพาะ การวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีความจำเป็นต่อการเรียนการสอน หรือการตัดสินผลการเรียน เพราะเปน็ การวัดระดบั ความสามารถในการเรียนร้ขู องบุคคลหลงั จากท่ีไดร้ บั การฝกึ ฝน โดยอาศัยเคร่ืองมือ ประเภทแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นิยมมากที่สุด เยาวดี วิบูลย์ศรี ( 2540 : 19) ได้กล่าวถึงข้อตกลงเบ้ืองต้นทคี่ วรคำนึงถึงในการสรา้ งแบบทดสอบผลสมั ฤทธ์ิไวด้ ังน้ี 1) เน้อื หา หรือทักษะภายในขอบเขตท่ีครอบคลุมในแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ินั้น จะต้องสามารถ จำกดั อยใู่ นรปู ของพฤตกิ รรม ซ่งึ มีความเฉพาะเจาะจงในลักษณะท่ีจะสื่อสารไปยังบุคคลอืน่ ได้ ถ้าเป้าหมาย ทางการศึกษาไม่สามารถจำกัดอยู่ในรูปของพฤติกรรมแล้ว ย่อมไม่สมารถที่จะวัดได้ในลักษณะของ ผลสมั ฤทธไิ์ ด้อยา่ งชัดเจน

20 2) ผลิตผลที่แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิวดั นั้น จะตอ้ งเป็นผลิตผลเฉพาะที่เกดิ ข้ึนจากการเรียนการ สอนตามวตั ถุประสงค์ที่ตอ้ งการเทา่ นนั้ จะวดั ผลผลติ ผลอยา่ งอื่นไม่ได้ 3) ผลสมั ฤทธิ์หรือความร้ตู า่ ง ๆ ทีแ่ บบทดสอบผลสมั ฤทธว์ิ ดั ไดน้ น้ั ถา้ จะนำไปเปรียบเทยี บกันแล้ว เข้าสอบทุกคนจะต้องมโี อกาสได้เรียนรู้ในเร่ืองนนั้ ๆ เท่าเทียมกัน ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น ชวาล แพรัตกุล (2516 : 111, อ้างถึงใน วิชาญ เลิศลพ 2543 : 23 - 24 ) ได้แบ่งประเภทของ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น ตามหน้าทห่ี รอื การนำไปใชว้ ัดเปน็ 2 ประเกท ดังน้ี 1 แบบทดสอบที่ครูสร้าง (Teacher - Made Test) หมายถึง ข้อสอบ หรือปัญหา หรือโจทย์ คำถามต่าง ๆ ที่ครูสร้างขึ้นเพื่อวัดผลขณะที่มีารเรียนการสอน และสามารถพลิกแพลงให้เหมาะสมกับ สภาพการณ์ตา่ ง ๆ 2) แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardize Test) เปน็ แบบทดสอบที่วิวัฒนาการมาจากแบบทดสอบ ทค่ี รูสรา้ ง และไดผ้ า่ นการทดลองใช้ ตรวจสอบวจิ ัย ปรบั ปรุงคณุ ภาพใหด้ ีขึน้ จนมคี วามเป็นมาตรฐานท้ังใน แง่เวลาที่ใช้ การดำเนินการสอน การให้คะแนนและการแปลความแบบทดสอบทั้งสองฉบับนี้ แบ่งตาม ลกั ษณะข้อสอบไดเ้ ปน็ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 2.1) แบบอตั นยั (Subjective Test หรือ Essay Test) เปน็ แบบทดสอบทก่ี ำหนดปัญหาหรือ คำถามให้ และให้ผู้ตอบแสวงหาความรู้ ความเข้าใจ และความคิดตามที่โจทย์กำหนดภายในระยะเวลาที่ กำหนด การใช้ภาษาในการเขียนตอบขึ้นอยู่กับตัวผูส้ อบ แบบทดสอบนี้สามารถวัดได้หลาย ๆ ด้าน ในแต่ ละขอ้ เช่น ความสามารถในดา้ นการใชภ้ าษา ความคดิ เจตคติ และอ่ืน ๆ 2.2) แบบปรนัย (Objective Test ) หมายถึง แบบทดสอบที่มีคำตอบไว้ให้แล้วผู้สอบต้อง ตัดสินใจเลือกขอ้ ท่ีตอ้ งการหรือพิจารณาข้อความท่ีให้ว่าถูกหรือผิด ไดแ้ ก่ แบบถกู ผิด แบบเติมคำ หรอื ตอบ สัน้ ๆ และแบบเลือกตอบแบบทดสอบท้ังสองแบบ ดงั กลา่ ว ตา่ งก็มขี ้อเด่นและข้อด้อยแตกต่างกัน และไม่ มีกฎตายตัวว่าต้องใช้ประเภทใด แต่ควรคำนึงถึงจุดประสงค์และสภาพการณ์ของการใช้ ในการวิจัยครั้งนี้ ผ้วู ิจัยใชแ้ บบทดสอบปรนยั ชนิดเลือกตอบ 2.7 งานวิจัยทเ่ี กยี่ วขอ้ ง ปทุมวัน ดุษฎี[2] ได้ทำการวิจัยเรื่องการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย การสร้างคำ ไทยตามหลักเกณฑ์ทางภาษา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อสร้าง บทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ัลติมเี ดยี การสร้างคำไทยตามหลกั เกณฑท์ างภาษา สำหรับนกั เรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 3 2) เพื่อประเมินคุณภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย 3) เพื่อหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ ผู้เรียนที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย 4) เพื่อหาความพึงพอใจของผู้เรียนท่ีเรียนด้วยบทเรียน คอมพิวเตอร์มัลติมีเดียโดยทดลองกับประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปี

21 การศกึ ษา 2552 โรงเรียนบ้านหนิ ลาด อำเภอครุ ะบรุ ี จงั หวัดพังงา จำนวน 46 คน ผลการประเมนิ คุณภาพ บทเรยี นคอมพิวเตอร์มัลตมิ ีเดีย การสร้างคำไทยตามหลกั เกณฑ์ทางภาษา สำหรับนักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ 3 โดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน และด้านการนำเสนอจำนวน 3 ท่าน ปรากฏว่ามีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.23 และ 4.33 ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ดี ผู้เรียนที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย มีคะแนน การทดสอบหลงั เรียนสงู กวา่ คะแนนการทดสอบก่อนเรียนอย่างมนี ยั สำคัญทางสถิติท่รี ะดบั .05 และผเู้ รียน มีความพึงพอใจต่อคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.5 1 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ดีมาก สรุปได้ว่า บทเรียนคอมพวิ เตอรม์ ัลตมิ เี ดีย การสรา้ งคำไทยตามหลักเกณฑ์ทางภาชา สำหรบั นกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 3 มีคณุ ภาพและสามารถนำไปใชส้ อนได้ รุ่งโรจน์ ขวัญโกมล[3] ได้ทำการวิจัยเรื่องการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียแบบฝึก ปฏิบัติเรื่อง \"PHP\" เบื้องต้น เพื่อหาผสสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อบทเรียน คอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย แบบฝึกปฏิบัติเรื่อง \"PHP\" เบื้องต้น เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย 1) บทเรียน คอมพิวเตอร์มัลติมีเดียแบบฝึกปฏิบัติเรื่อง \"PHP\" เบื้องต้น 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3)แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะเทคโนโลยี สารสนเทศ ภาควิชาเทคโนโลยีสาริสนเทศ ชั้นปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2/2550 วิชา Web Programming มหาวิทยาลัยเทคโนโลยพี ระจอมเกล้าธนบรุ ี จำนวน 30 คน ผลการวจิ ัยพบวา่ บทเรียนคอมพิวเตอร์ท่ีสร้าง ขึ้นมีประสิทธิภาพ 85.66/86.00 เมื่อนำคะแนนสอบก่อนเรียนและคะแนนสอบหลังเรียนมาวิเคราะห์เพื่อ หาผสสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนพบว่าได้ประสิทธิภาพก่อนกระบวนการ เท่ากับ 25.33 และ ประสิทธิภาพหลงั กระบวนการเรียน เท่ากับ 86.00 ดังนั้นบทเรียนคอมพิวเตอร์ท่ีสรา้ งข้ึนน้ี ทำให้ผู้เรยี นมี ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นเพิ่มขึ้นอย่างมีนยั สำคัญทางสถิติทร่ี ะดับ 0.01 และความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อ บทเรียนคอมพิวเตอร์ มีค่าเฉลี่ยโดยเท่ากับ 4.03 ซึ่งอยู่ในระดับความพึงพอใจค่อนข้างมาก สรุปได้ว่า บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียแบบฝึกปฏิบัติเรื่อง \"PHP\" เบื้องต้น ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ สามารถ นำไปใชใ้ นการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองและใชใ้ นการการสอนได้ ซึ่งสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีความต้องการมากในนักเรียนระดับชั้นต่าง ๆ โดยดูได้จาก งานวิจัยของ ธิตินาฎ ดาลาด [ 1] ซึ่งได้ทำการสำรวจความต้องการสื่อการเรียนการสอนภาษาจีนของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย สายศิลป์ภาษาจีน โรงเรียนนารีนุกูล จังหวัดอุบลราชธานี โดยเนื้อหา เน้นไปทางการสำรวจส่ือการสอนในระดับมัธยมศกึ ษาเท่านนั้ และในงานวิจัยฉบับน้ี ผู้วจิ ัยจะเนน้ พฒั นาสื่อ การสอนในระดบั ประถมศกึ ษา เพื่อนำไปพัฒนาการเรยี นการสอนในอนาคต จากความสำคัญทก่ี ลา่ วมาข้างตน้ ทำใหผ้ ้วู ิจยั สนใจที่จะพัฒนา บทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน คำศัพท์ภาษาจีนกลางในชีวิตประจำวัน สำหรับนักเรียนเริ่มต้นเรียนภาษาจีนระดับประถมศึกษา เพื่อเป็น สื่อการเรียนการสอนแก่นักเรียนที่เริ่มต้นเรียนภาษาจีน และยังเป็นการสร้างความเข้มแข็งในการเริ่มต้น การเข้าสู่ประชาคมอาเซยี นของนกั เรยี นได้

22 บทที่ 3 วิธดี ำเนินการวจิ ัย งานวจิ ัยเรอ่ื ง การพฒั นาบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน CAI เรอ่ื งศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู นักศึกษา กศน.ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชัย จงั หวดั นครราชสมี า ผวู้ จิ ยั ได้ดำเนนิ การวิจยั มีข้ันตอน ดังนี้ 1. ประชากร และกลมุ่ ตัวอย่าง ประชากร ได้แก่ นักศึกษา กศน.ตำบลโชคชัย จำนวน 68 คน กลุม่ ตวั อยา่ ง ได้แก่ นกั ศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย ท่ลี งทะเบยี นเรยี นในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โดยวธิ ีการเฉพาะเจาะจง จำนวน 68 คน 2.เครือ่ งมือท่ใี ช้ในการวิจยั 2.1. บทเรยี นคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เร่อื งศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู 2.2 แบบสอบถามเกี่ยวกับบทเรยี นคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน เรอื่ งศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู 3. ระยะเวลาในการดำเนินวิจยั เดอื นสิงหาคม – กันยายน พ.ศ. 2565 4. การสร้างเครอ่ื งมือท่ีใชใ้ นการวิจัย 1. บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เรื่องศาสนา พราหมณ-์ ฮนิ ดู นักศึกษา กศน.ตำบลโชคชยั อำเภอโชคชยั จงั หวัดนครราชสีมา โดยนำ ข้อความ รูปภาพ เสียงดนตรี มารวบรวมเขา้ ดว้ ยกัน โดยใช้โปรมแกรมตัดตอ่ ทางคอมพิวเตอร์ 2. แบบสอบถามเกี่ยวกับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยการพัฒนาบทเรยี นคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เรื่องศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นักศึกษา กศน.ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา แบ่งออกเป็น 2 ด้าน ดังน้ี 1. ด้านการนำเสนอและเนอื้ หา จำนวน 5 ข้อ 2. ดา้ นภาพและสือ่ การสอน จำนวน 5 ขอ้ รวม จำนวน 10 ข้อ ลักษณะของตัวแบบสอบถามมาตราสว่ นประมาณคา่ Rating Scale 5 ระดับ ระดบั 5 คะแนน หมายถงึ ดมี าก ระดบั 4 คะแนน หมายถึง ดี ระดับ 3 คะแนน หมายถึง ปานกลาง ระดบั 2 คะแนน หมายถึง น้อย

23 ระดบั 1 คะแนน หมายถงึ น้อยทสี่ ดุ เมอื่ รวบรวมข้อมูลและแจกแจงความถแ่ี ล้ว จะใช้คะแนนเฉลย่ี ของกลุ่มตัวอยา่ งมาพิจารณาระดับ ความพึงพอใจ ซงึ่ มเี กณฑใ์ นการพิจารณาดังนี้ คา่ เฉลี่ย เกณฑ์การแปลความหมาย 4.50-5.00 ดมี าก 3.50-4.49 ดี 2.50-3.49 1.50-2.49 ปานกลาง 1.00-1.49 น้อย น้อยที่สุด การเก็บรวบรวมข้อมลู 1. ดำเนินการเก็บรวมร่วมข้อมูลจากตำรา เอกสารและงานวิจัยทีเ่ กี่ยวขอ้ ง เพ่อื นำมาเปน็ ข้อมูล พน้ื ฐานสำหรับทำการศกึ ษาวิจัย 2. ดำเนนิ การเกบ็ รวบรวมข้อมลู จากกลุ่มตวั อยา่ งจากจำนวนทก่ี ำหนด ซึ่งการเกบ็ ตวั อยา่ งทำโดย การแจกแบบสอบถามแก่นักศึกษา กศน.ตำบลโชคชยั อำเภอโชคชัย จังหวดั นครราชสมี า ที่ลงทะเบียน เรียน ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 68 คน โดยการเลือกทงั้ หมด โดยผู้วิจยั เปน็ ผู้แจก แบบสอบถาม 3. ผวู้ ิจยั ไดเ้ กบ็ รวบรวมแบบสอบถามท่ไี ด้จากการตอบคำถามทง้ั หมด เพอื่ ดำเนนิ การวิเคราะห์ ข้อมูลต่อไป สถิติที่ใช้ในการวจิ ัย สถิติทใี่ ช้ในการวิเคราะห์สำหรับการวิจยั ครัง้ น้ี คือสถิตเิ ชงิ พรรณนา สถิตจิ ำนวนและร้อยละ และ ข้อสรุปในเชงิ คุณภาพการวิเคราะหข์ ้อมลู และประมวลผล 1. นำข้อมลู ทั่วไปของผ้ตู อบแบบสอบถาม มาวิเคราะหโ์ ดยการแจกแจงความถี่ และหาค่ารอ้ ยละ ตามตัวแปร และนำเสนอในรูปตาราง 2. นำข้อมลู ประเมินในแต่ละดา้ นแต่ละข้อมาวิเคราะหโ์ ดยการแจกแจงความถี่ และหาคู่ร้อยละ ตามตัวแปร และนำเสนอในรูปตาราง ประกอบความเรยี ง 3. นำแบบสอบถามมาสรุปและสรา้ งข้อสรุปในเชิงคุณภาพ

24 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล การวเิ คราะห์ขอ้ มลู ครั้งนี้ มวี ตั ถุประสงค์ เพือ่ ประเมนิ ผลการพฒั นาบทเรยี นคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เรื่องศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นักศึกษา กศน.ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา ที่ลงทะเบียนเรียน ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 68 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวม ข้อมูล คือ แบบประเมินความพึงพอใจ ได้นำผลการวิเคราะห์ข้อมูล ในแบบตาราง ความถี่ ค่าเฉลี่ย และ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) ซึ่งใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป SPSS เพื่อวิเคราะห์ ค่าสถิติทง้ั หมด ดังมรี ายละเอยี ดตอ่ ไปนี้ดังนี้ ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบประเมินความพึงพอใจบทเรียนคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน โดยใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป SPSS (Standard deviation) โดยการแจกแจงความถี่และค่าร้อยละ ของตัวแปร ตอนที่ 2 ผลการประเมินความพึงพอใจการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนอนออนไลน์โดย ใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป SPSS (Standard deviation) โดยการแจกแจงค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน ตอนที่ 3 ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะอืน่ ๆ ตอนที่ 1 ขอ้ มูลทัว่ ไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ตารางที่ 4.1 แสดงขอ้ มลู ของกลุ่มตัวอยา่ งจำนวนและร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถามจำแนกตามเพศ เพศ ความถ่ี ร้อยละ ชาย 34 50.00 หญงิ 34 50.00 รวม 68 100 จากตารางที่ 4.1 แสดงข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างจำนวนและร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถามจำแนกตามเพศ มีผู้ที่ตอบแบบสอบถามเป็นเพศชายจำนวน 34 คน (ร้อยละ 50.00) เป็นเพศหญิงจำนวน 34 คน(ร้อยละ 50.00)

25 ตารางท่ี 4.2 แสดงข้อมูลของกลุ่มตัวอยา่ งจำนวนและร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถามจำแนกตามชนั้ ระดับชัน้ ความถ่ี รอ้ ยละ ม.ต้น 28 41.18 ม.ปลาย 40 58.82 รวม 68 100 จากตารางที่ 4.2 แสดงข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างจำนวนและร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถามจำแนกตามช้ัน มีผู้ที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่อยู่ ระดับ ม.ปลาย จำนวน 40 คน (ร้อยละ 58.82) และอยู่ ระดับ ม.ต้น จำนวน 28 คน(ร้อยละ 41.18) ตอนที่ 2 แบบประเมนิ การพฒั นาบทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน CAI เรอ่ื งศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู สำหรบั นักศกึ ษา กศน.ตำบลโชคชยั อำเภอโชคชยั จงั หวัดนครราชสมี า ในด้าน การนำเสนอและ เนื้อหา ภาพและสอ่ื การสอน ตารางที่ 4.3 แสดงผลค่าคะแนนเฉลี่ยและความเบี่ยงเบนมาตรฐาน เกี่ยวกับการพัฒนาบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เรื่องศาสนาพราหมณ์-ฮินดู สำหรับนักศึกษา กศน.ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชยั จงั หวดั นครราชสมี า เป็นรายขอ้ ในดา้ นการนำเสนอและเนอ้ื หา ดา้ นการนำเสนอและเนือ้ หา X̅ S.D ระดบั 1. การนำเสนอเขา้ ส่บู ทเรียนมีความน่าสนใจ กระตุน้ ใหผ้ ู้เรียน เกดิ การเรียนรู้ 4.16 0.37 มาก 2. ความน่าสนใจของเนื้อหา 3. เนือ้ หามคี วามเหมาะสมกบั ผเู้ รยี น 4.33 0.47 มาก 4. ความชดั เจนในการอธบิ ายเน้ือหา 4.36 0.51 มาก 5. เทคนคิ และวธิ กี ารสอน 4.16 0.37 มาก 4.39 0.49 มาก รวม 4.29 0.45 มาก จากตาราง 4.3 แสดงว่า การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เรื่องศาสนาพราหมณ์- ฮินดู สำหรับนักศึกษา กศน.ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา ในด้านการนำเสนอและ เน้อื หา พบว่าบทเรยี นคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอนด้านการนำเสนอและเน้ือหา มีผลการประเมนิ อย่ใู นระดับมาก (X̅=4.29) เม่อื พิจารณารายข้อ พบวา่ เทคนิคและวิธกี ารสอน อยู่ในระดบั มาก (X̅=4.39) รองลงมาคือเน้ือ เนื้อหามีความเหมาะสมกับผู้เรียนกับ มีผลการประเมิน อยู่ในระดับมาก (X̅=4.36) ความน่าสนใจของ เนื้อหา มีผลการประเมิน อยู่ในระดับมาก (X̅=4.33) และการนำเสนอเข้าสู่บทเรียนมีความน่าสนใจ

26 กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ความชัดเจนในการอธิบายเนื้อหา มีผลการประเมิน อยู่ในระดับมาก (X̅=4.16) ตามลำดับ ตารางที่ 4.4 แสดงผลค่าคะแนนเฉลี่ยและความเบี่ยงเบนมาตรฐาน เกี่ยวกับการพัฒนาบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เรื่องศาสนาพราหมณ์-ฮินดู สำหรับนักศึกษา กศน.ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสมี า เป็นรายขอ้ ในด้านภาพและสื่อการสอน ด้านภาพและส่ือการสอน X̅ S.D ระดบั 6. ความนา่ สนใจของส่ือการสอน 7. ความน่าสนใจของเนือ้ หาในส่ือการสอน 4.38 0.51 มาก 8. รปู ภาพสอดคล้องกบั สอื่ การสอน 9. รูปภาพกระตนุ้ ให้ผเู้ รียนสนใจ 4.39 0.49 มาก 10. รูปภาพมคี วามเหมาะสมกบั วัยผูเ้ รียน 4.26 0.44 มาก รวม 4.41 0.52 มาก 4.42 0.49 มาก 4.38 0.50 มาก จากตาราง 4.4 แสดงว่า การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เรื่องศาสนาพราหมณ์- ฮินดู สำหรับนักศึกษา กศน.ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา ในด้านการภาพและสื่อการ สอน พบว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้านภาพและสื่อการสอน มีผลการประเมิน อยู่ในระดับมาก (X̅=4.38) เมอ่ื พจิ ารณารายข้อ พบว่า รปู ภาพมคี วามเหมาะสมกับวัยผูเ้ รียน มีผลการประเมนิ อยู่ในระดับ มาก (X̅=4.42) รองลงมาคือ รูปภาพกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจ มีผลการประเมิน อยู่ในระดับมาก (X̅=4.41) ความน่าสนใจของเนื้อหาในสื่อการสอน มีผลการประเมิน อยู่ในระดับมาก (X̅=4.39) ความน่าสนใจของ สื่อการสอน มีผลการประเมิน อยู่ในระดับมาก (X̅=4.38) และ รูปภาพสอดคลอ้ งกับสื่อการสอน มีผลการ ประเมิน อยใู่ นระดับมาก (X̅=4.26) ตามลำดับ

27 บทท่ี 5 สรปุ ผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ งานวิจัยเรื่องการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เรื่องศาสนาพราหมณ์-ฮินดู สำหรับ นักศกึ ษา กศน.ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสมี า มวี ัตถปุ ระสงค์ คือ 1) เพอ่ื พัฒนาบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เรื่องศาสนาพราหมณ์-ฮินดู สำหรับนักศึกษา กศน.ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา 2) เพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู สำหรับนักศึกษา กศน.ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา ที่สร้างขน้ึ โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 68 คน ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับ ม.ต้น และ นักศึกษาระดับ ม.ปลาย กศน.ตำบลโชคชัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถาม โดยมีตัวแปรที่ศึกษา ได้แก่ บทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู สำหรับนักศึกษา กศน.ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชัย จงั หวดั นครราชสีมา ซงึ่ แบบการวดั ผลประเมนิ จำแนกออกเปน็ 2 ด้าน ได้แก่ ดา้ นการนำเสนอและเนือ้ หา และ ด้านภาพและสื่อการสอน โดยใช้การวิเคราะห์ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ในการวิเคราะห์ข้อมลู สรุปผลการวจิ ัย จากการวัดประเมินบทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน CAI ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู สำหรับนักศกึ ษา กศน.ตำบลโชคชยั อำเภอโชคชยั จังหวัดนครราชสีมา ผลวจิ ยั สรปุ เป็น 2 สว่ นดังนี้ 1. ขอ้ มูลพ้ืนฐานเกีย่ วกับผตู้ อบแบบสอบถาม ผู้ตอบแบบประเมินความพึงพอใจกลุ่มตัวอยา่ งจำนวนและร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถามจำแนก ตามเพศ มผี ทู้ ่ีตอบแบบสอบถามเปน็ เพศชายจำนวน 34 คน (รอ้ ยละ 50.00) เป็นเพศหญงิ จำนวน 34 คน (ร้อยละ 50.00) 2. แบบประเมินการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู สำหรับ นักศึกษา กศน.ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา ในด้านการนำเสนอและเนือ้ หา ภาพ และสอ่ื การสอน 2.1 ดา้ นการนำเสนอและเนื้อหา บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เรื่องศาสนาพราหมณ์-ฮินดู สำหรับนักศึกษา กศน. ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา ในด้านการนำเสนอและเนื้อหา พบว่าบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้านการนำเสนอและเนื้อหา มีผลการประเมิน อยู่ในระดับมาก (X̅=4.29) เม่ือ พิจารณารายข้อ พบว่า เทคนิคและวธิ ีการสอน อยู่ในระดับมาก (X̅=4.39) รองลงมาคือเน้ือเนื้อหามีความ เหมาะสมกับผู้เรียนกับ มีผลการประเมิน อยู่ในระดับมาก (X̅=4.36) ความน่าสนใจของเนื้อหา มีผลการ

28 ประเมิน อยู่ในระดับมาก (X̅=4.33) และการนำเสนอเข้าสู่บทเรียนมีความน่าสนใจ กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิด การเรยี นรู้ ความชดั เจนในการอธบิ ายเน้ือหา มีผลการประเมนิ อย่ใู นระดบั มาก (X̅=4.16) ตามลำดบั 2.2 ด้านภาพและสื่อการสอน บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เรื่องศาสนาพราหมณ์-ฮินดู สำหรับนักศึกษา กศน. ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา ในด้านการภาพและสื่อการสอน พบว่าบทเรียน คอมพวิ เตอรช์ ่วยสอนดา้ นภาพและส่ือการสอน มีผลการประเมนิ อย่ใู นระดบั มาก (X̅=4.38) เม่อื พิจารณา รายข้อ พบว่า รูปภาพมีความเหมาะสมกับวัยผู้เรียน มีผลการประเมิน อยู่ในระดับมาก (X̅=4.42) รองลงมาคือ รูปภาพกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจ มีผลการประเมิน อยู่ในระดับมาก (X̅=4.41) ความน่าสนใจ ของเนื้อหาในสื่อการสอน มีผลการประเมิน อยู่ในระดับมาก (X̅=4.39) ความน่าสนใจของสื่อการสอน มี ผลการประเมนิ อย่ใู นระดบั มาก (X̅=4.38) และ รปู ภาพสอดคลอ้ งกับสื่อการสอน มีผลการประเมนิ อยู่ใน ระดบั มาก (X̅=4.26) ตามลำดบั อภิปรายผลงานวิจยั เรื่องการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เรื่องศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นักศึกษา กศน. ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชยั จังหวัดนครราชสมี า มปี ระเด็นทีค่ วรนำมาอภิปรายดงั น้ี 1. ขอ้ มลู พ้ืนฐานเกี่ยวกับผู้ตอบแบบสอบถาม 1.1 ผู้ตอบแบบสอบถามเป็นเพศชาย จำนวน 34 คน (ร้อยละ 50.00) เป็นเพศหญิง จำนวน 34 คน (รอ้ ยละ 50.00) 1.2 ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา กศน.ตำบลโชคชัยที่ลงทะเบียนเรียนในภาค เรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ระดับ ม.ต้น จำนวน 28 คน ร้อยละ 44.18 ระดับ ม.ปลาย จำนวน 40 คน รอ้ ยละ 58.82 2. แบบประเมินการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เรื่องศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นักศึกษา กศน.ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา ในด้านการนำเสนอและเนื้อหา ภาพ และสื่อการสอน 2.1 แบบประเมินการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เรื่องศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นักศึกษา กศน.ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา ในด้านการนำเสนอและเนื้อหาของ นักศึกษา ระดับ ม.ต้น และระดับ ม.ปลาย พบวา่ นกั ศึกษาคิดวา่ บทเรยี นคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอนนี้ มีเนื้อหา ที่เหมาะสมกับผู้เรียนมากที่สุด และยังชื่นชอบเทคนคิ และวิธีการสอนของครูผู้สอนที่ทำให้นักเรียนมีความ กระตือรอื รน้ ตลอดเวลา

29 2.2 แบบประเมินการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เรื่องศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นกั ศกึ ษา กศน.ตำบลโชคชยั อำเภอโชคชัย จงั หวดั นครราชสีมา ในดา้ นการภาพและสื่อการสอน นักศึกษา ระดับ ม.ต้น และระดับ ม.ปลาย พบว่า นักศึกษาคิดว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนนี้ มีเนื้อหาท่ี เหมาะสมกับผู้เรียนมากที่สุด และยังชื่นชอบเทคนิคและวิธีการสอนของครูผู้สอนที่ทำให้นักเรียนมีความ กระตอื รือรน้ ตลอดเวลา พบว่า รูปภาพในบทเรยี นคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอนมีความเหมาะสมกบั วยั ผสู้ อน และ ทำให้ดงึ ดดู ความสนใจจากผูเ้ รียนได้ในระดบั มาก ขอ้ เสนอแนะเพื่อการพัฒนาคร้ังต่อไป จากการศกึ ษาการพัฒนาบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน CAI เร่ืองศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู นกั ศึกษา กศน.ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสมี า ผวู้ ิจัยขอ้ เสนอแนะการนำผลวิจยั ไปใช้ ดงั น้ี 1. บทเรยี นคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอนนีม้ ีรปู ภาพและสสี ่นั เหมาะกับวัยผู้เรยี น 2. บทเรยี นคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอนนคี้ วรมีประโยคตวั อยา่ งแบบงา่ ยให้ผเู้ รียนเรียนร้เู พม่ิ เติม 3. บทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนควรมีคำแปลเปน็ ภาษาไทยเพ่ือใหเ้ ข้าใจง่ายข้นึ 4. ทา้ ยบทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอนควรมรี ูปแบบแบบฝึกหัดทา้ ยบทท่หี ลากหลายข้นึ

30 บรรณานุกรม การพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ของรายวิชาออกแบบเครื่องเรือนและ การประมาณราคา รหัสวิชา 554341 [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://goo.gl/7NH3pe (วนั ท่คี น้ ขอ้ มูลวันท่ี 12 มีนาคม 2564). ธิตินาฎ ดาลาด , อัญชลี ตุนา สำรวจความต้องการสอื่ การเรยี นการสอนภาษาจีนของนกั เรียนช้ัน มัธยมศึกษาตอนปลาย สายศลิ ปภ์ าษาจีน โรงเรียนนรนี กุ ลู จงั หวัดอบุ ลราชธานี 2554 ปทุมวัน ดษุ ฎี, 2552, การสร้างบทเรยี นคอมพวิ เตอร์มลั ติมีเดยี การสร้างคำไทยตามหลกั เกณฑ์ทาง ภาษา สำหรับนักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 3,วิทยานพิ นธม์ หาบณั ฑิต สาขาวิชาครุศาสตร์ เทคโนโลยี คณะครศุ าสตรอ์ ตุ สาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ ธนบรุ ี. รงุ่ โรจน์ ขวญั โกมล, 2550, การสรา้ งบทเรียนคอมพิวเตอรม์ ัลตมิ เี ดียแบบฝกึ ปฏิบตั ิเรอ่ื ง \"PHP\" เบ้ืองต้น ,วิทยานิพนธม์ หาบัณฑติ สาขาวิชาครศาสตร์เทคโนโลยี คณะครศุ าสตร์อุตสาหกรรม และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ ธนบรุ ี.

31 ภาคผนวก

32 แบบสอบถามเพ่ือการวจิ ยั การพฒั นาบทเรยี นคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน CAI เรอ่ื งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นักศึกษา กศน. ตำบลโชคชยั อำเภอโชคชยั จงั หวัดนครราชสีมา ………………………………………………………………………. คำชแี้ จง แบบประเมินนีม้ ีวตั ถุประสงค์ เพื่อทราบความพงึ พอใจในการร่วมกิจกรรมและนำขอ้ มลู มาใช้ ประโยชนใ์ นการพฒั นาการดำเนนิ งาน ส่วนที่ 1 ข้อมูลทว่ั ไป 1.1 เพศ ชาย  หญิง 1.2 ระดับการศึกษา ประถมศึกษา มธั ยมศกึ ษาตอนต้น  มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย สว่ นที่ 2 แบบประเมนิ คำชแี้ จง โปรดทำเครื่องหมาย / ลงในชอ่ งที่ตรงกบั ความคิดเห็นของท่านเพียงชอ่ งเดียว ท่ี รายการ ระดับการประเมนิ /ความรู้ท่ไี ดร้ ับ/การนำไปใช้ มากที่สดุ มาก ปานกลาง นอ้ ย น้อยที่สดุ ดา้ นการนำเสนอและเนือ้ หา 1 การนำเสนอเขา้ สบู่ ทเรียนมีความน่าสนใจ กระตุ้น ให้ผู้เรยี นเกดิ การเรยี นรู้ 2 ความนา่ สนใจของเนื้อหา 3 เน้ือหามคี วามเหมาะสมกบั ผู้เรยี น 4 ความชัดเจนในการอธบิ ายเน้ือหา 5 เทคนคิ และวธิ ีการสอน ด้านภาพและสื่อการสอน 6 ความนา่ สนใจของส่อื การสอน 7 ความน่าสนใจของเนื้อหาในสื่อการสอน 8 รปู ภาพสอดคล้องกับส่อื การสอน 9 รปู ภาพกระตุ้นให้ผ้เู รียนสนใจ 10 รปู ภาพมคี วามเหมาะสมกบั วัยผเู้ รียน

33 แบบประเมินความพึงพอใจ การพฒั นาบทเรยี นคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน CAI เรื่องศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู นกั ศกึ ษา กศน. ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชยั จงั หวดั นครราชสมี า

34 ตารางวเิ คราะห์ข้อมูล spss การพฒั นาบทเรียนคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน CAI เรือ่ งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นักศกึ ษา กศน. ตำบลโชคชยั อำเภอโชคชยั จงั หวัดนครราชสมี า เพศ Frequency Percent Valid Cumulative Percent Percent Valid ชาย 34 50.0 50.0 50.0 หญงิ 34 50.0 50.0 100.0 100.0 Total 68 100.0 ระดับชัน้ Frequency Percent Valid Cumulative Percent Percent Valid ม.ตน้ 28 41.2 41.2 41.2 ม.ปลาย 40 58.8 58.8 100.0 100.0 Total 68 100.0 1. การนำเสนอเขา้ สู่บทเรียนมีความน่าสนใจ กระตุ้นใหผ้ ้เู รยี นเกดิ การเรียนรู้ Valid Cumulative Frequency Percent Percent Percent Valid มาก 57 83.8 83.8 83.8 มากทสี่ ุด 11 16.2 16.2 100.0 Total 68 100.0 100.0

35 ตารางวเิ คราะห์ข้อมูล spss การพัฒนาบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน CAI เร่อื งศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู นกั ศกึ ษา กศน. ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชยั จงั หวดั นครราชสมี า 2. ความนา่ สนใจของเนือ้ หา Valid Cumulative Frequency Percent Percent Percent Valid มาก 45 66.2 66.2 66.2 มากที่สุด 23 33.8 33.8 100.0 Total 68 100.0 100.0 3. เน้ือหามคี วามเหมาะสมกับผูเ้ รยี น Valid Cumulative Frequency Percent Percent Percent Valid ปานกลาง 1 1.5 1.5 1.5 มาก 41 60.3 60.3 61.8 มากท่สี ุด 26 38.2 38.2 100.0 Total 68 100.0 100.0 4. ความชดั เจนในการอธิบายเนื้อหา Valid Cumulative Frequency Percent Percent Percent Valid มาก 57 83.8 83.8 83.8 มากที่สดุ 11 16.2 16.2 100.0 Total 68 100.0 100.0 5. เทคนคิ และวธิ ีการสอน Valid Cumulative Frequency Percent Percent Percent Valid มาก 41 60.3 60.3 60.3 มากท่ีสดุ 27 39.7 39.7 100.0 Total 68 100.0 100.0

36 ตารางวเิ คราะหข์ อ้ มลู spss การพฒั นาบทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน CAI เร่อื งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นักศึกษา กศน. ตำบลโชคชยั อำเภอโชคชัย จงั หวดั นครราชสมี า 6. ความนา่ สนใจของสื่อการสอน Valid Cumulative Frequency Percent Percent Percent Valid ปานกลาง 1 1.5 1.5 1.5 มาก 40 58.8 58.8 60.3 มากท่ีสุด 27 39.7 39.7 100.0 Total 68 100.0 100.0 7. ความน่าสนใจของเน้ือหาในสอ่ื การสอน Valid Cumulative Frequency Percent Percent Percent Valid มาก 41 60.3 60.3 60.3 มากทีส่ ุด 27 39.7 39.7 100.0 Total 68 100.0 100.0 8. รูปภาพสอดคล้องกับส่อื การสอน Valid Cumulative Frequency Percent Percent Percent Valid มาก 50 73.5 73.5 73.5 มากทส่ี ดุ 18 26.5 26.5 100.0 Total 68 100.0 100.0

37 ตารางวิเคราะหข์ ้อมลู spss การพฒั นาบทเรยี นคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน CAI เรอื่ งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นักศึกษา กศน. ตำบลโชคชยั อำเภอโชคชยั จงั หวัดนครราชสมี า 9. รปู ภาพกระตุ้นใหผ้ เู้ รียนสนใจ Valid Cumulative Frequency Percent Percent Percent Valid ปานกลาง 1 1.5 1.5 1.5 มาก 38 55.9 55.9 57.4 มากทีส่ ุด 29 42.6 42.6 100.0 Total 68 100.0 100.0 10. รปู ภาพมีความเหมาะสมกับวัยผเู้ รยี น Valid Cumulative Frequency Percent Percent Percent Valid มาก 39 57.4 57.4 57.4 มากท่สี ุด 29 42.6 42.6 100.0 Total 68 100.0 100.0

38 ตารางวเิ คราะห์ขอ้ มลู spss การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน CAI เร่ืองศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นักศึกษา กศน. ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชยั จงั หวดั นครราชสมี า Descriptive Statistics N Minimum Maximum Mean Std. Deviation 1. การนำเสนอเขา้ ส่บู ทเรียนมีความนา่ สนใจ 68 4.00 5.00 4.1618 .37097 กระตุน้ ใหผ้ ้เู รียนเกิดการเรยี นรู้ 2. ความนา่ สนใจของเนอ้ื หา 68 4.00 5.00 4.3382 .47663 3. เน้อื หามีความเหมาะสมกบั ผูเ้ รียน 68 3.00 5.00 4.3676 .51556 4. ความชดั เจนในการอธิบายเนอื้ หา 68 4.00 5.00 4.1618 .37097 5. เทคนคิ และวิธีการสอน 68 4.00 5.00 4.3971 .49293 6. ความน่าสนใจของสือ่ การสอน 68 3.00 5.00 4.3824 .51917 7. ความน่าสนใจของเนอ้ื หาในส่ือการสอน 68 4.00 5.00 4.3971 .49293 8. รูปภาพสอดคล้องกบั ส่ือการสอน 68 4.00 5.00 4.2647 .44446 9. รูปภาพกระต้นุ ใหผ้ เู้ รยี นสนใจ 68 3.00 5.00 4.4118 .52505 10. รปู ภาพมีความเหมาะสมกับวยั ผู้เรยี น 68 4.00 5.00 4.4265 .49824 Valid N (listwise) 68

39 ประวตั ิผูว้ ิจยั ช่อื -สกุล นายมนตรี สาสังข์ วนั เดอื นปีเกดิ 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2535 อายุ 30 ปี ทอ่ี ยู่ปจั จบุ นั 110/5 หอพักอยู่เจรญิ หมู่ท่ี 12 ตำบลโชคชยั อำเภอโชคชัย จังหวดั นครราชสมี า รหัสไปรษณีย์ 30190 โทร 092-6661981 คุณวุฒทิ างการศกึ ษา วฒุ ิปริญญาตรี : ศกึ ษาศาสตร์บัณฑิต เอกพลศึกษา จากสถาบันการศกึ ษา สถาบนั การพลศึกษา วทิ ยาเขตศรสี ะเกษ ตำแหนง่ ครู กศน.ตำบล สถานศึกษา ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอำเภอโชคชยั จังหวดั นครราชสีมา

ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอโชคชัย สำนั กงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย จังหวัดนครราชสีมา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook