นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สอน 1. ราก เป็นสว่ นของพืชท่ีเจรญิ เติบโตและแผ่ขยายอยูใ่ ต้ดิน รากมหี นา้ ที่ ดูดน�า้ และแรธ่ าตุทอ่ี ยใู่ นดินขึน้ ไปเลย้ี งสว่ นตา่ ง ๆ ของพืช และชว่ ยยดึ ล�าตน้ ของ อธบิ ายความรู พืชใหต้ ั้งอยู่บนดนิ รากของพืชมีสีขาวหรือสนี �า้ ตาล และมีลักษณะแตกตา่ งกนั ไป ตามแต่ละชนดิ ของพชื รากพืชโดยทั่วไปมี 3 ชนดิ ดังน้ี 1. ครูใหนักเรียนศึกษาขอมูลเกี่ยวกับรากและ ลําตนของพืช รวมถึงทอลําเลียงของพืช รากแกว้ จากหนังสือเรียน หนา 38-39 หรือศึกษา จากแหลงการเรียนรูอื่นๆ เชน หองสมุด มีลกั ษณะช่วงโคนรากโต อินเทอรเ นต็ เปน ตน แลว ใหนาํ ขอ มูลทีไ่ ดม า แล้วคอ่ ย ๆ เรียวเลก็ ลง รวบรวมและสรุปผลกบั การทํากจิ กรรม ไปจนถงึ ช่วงปลายราก 2. ครูใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอผล รากแขนง ภาพท่ี 1.71 การทดลอง เพอื่ ตรวจสอบความรูข องนักเรยี น หลังการทํากิจกรรมท่ี 1 โดย โดยครูสุมจับ เป็นรากทีเ่ จริญเติบโต สลากเลอื กนกั เรยี นทลี ะกลมุ ใหอ อกมานาํ เสนอ ออกมาจากรากแกว้ หนา ชัน้ เรยี น แล้วแตกแขนงยาว 3. ครูใหตัวแทนแตละกลุมมานําเสนอผลงาน ออกไป หนาชั้นเรียน จากนั้นรวมกันอภิปรายความรู เก่ียวกับหนาที่รากและลําตนวา จากการทํา ภาพที่ 1.72 กิจกรรม เมื่อนักเรียนสังเกตลําตนท่ีตัดตาม ขวางจะเหน็ วามสี ีแดงอยเู ปนจดุ ๆ ซ่ึงเกดิ จาก รากฝอย การทรี่ ากดดู นา้ํ สแี ดงขน้ึ ไปสลู าํ ตน ทเ่ี ปน เชน นี้ เพราะภายในลําตนจะมีทอเล็กๆ อยู เรยี กวา เปน็ รากเส้นเลก็ ๆ ที่มีขนาดโต ทอลําเลียง เมื่อรากดูดนํ้าและแรธาตุจากดิน สม�่าเสมอกนั และงอกออกมา ทอลําเลียงนํ้าจะนํานํ้าและแรธาตุจากดินขึ้น ไปเพอื่ เลี้ยงสวนตา งๆ ของพชื เปน็ กระจกุ (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม) ¤Ó¶ÒÁ·ÒŒ ·Ò¡Òä´Ô ¢¹éÑ ÊÙ§ ภาพท่ี 1.73 ขนั้ สรปุ รากเป็นสว่ นของพชื ทีท่ �าหนา้ ทดี่ ูดน�้าและแรธ่ าตไุ ปเลย้ี งส่วนต่าง ๆ ของพชื หากพชื ไม่มรี าก พืชจะสามารถด�ารงชีวิตอยู่ได้หรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด ขยายความเขา ใจ 38 1. ครูถามคําถามทายทายการคิดข้ันสูง จาก หนังสือเรียนหนานี้ แลวใหนักเรียนชวยกัน อภปิ รายและสรุปคําตอบรวมกัน (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช แบบสังเกตพฤติกรรมการทาํ งานรายบุคคล) เกร็ดแนะครู ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET ครูอาจใหความรูกับนักเรียนเพ่ิมเติมวา รากของพืชบางชนิดทําหนาที่ ขอใดกลาวถูกตอ งเก่ียวกบั การลาํ เลียงอาหารของพืช สะสมอาหารประเภทแปง นํ้าตาล หรือโปรตีนไว จึงทําใหรากมีขนาดใหญ ก. พชื ทุกชนดิ มีการลําเลยี งอาหารท่ีสรา งข้นึ ผา นทางทอ เชน แครรอต เปนรากทีเ่ ปลี่ยนมาจากรากแกว สวนมนั เทศ เปน รากท่เี ปลีย่ นมา ลําเลียงนํ้า จากรากแขนง เปน ตน ข. พชื ลําเลยี งอาหารทีส่ รางขน้ึ จากรากไปสูสว นตางๆ ค. พืชสามารถใชท อ ลาํ เลยี งอาหารแทนทอ ลําเลยี งนํา้ ได แนวตอบ คําถามทายทายการคิดขัน้ สงู ง. พืชลําเลยี งอาหารท่ีสรางขน้ึ จากใบไปสูสว นตางๆ (วิเคราะหคําตอบ พืชสรางอาหารขึ้นที่ใบ จากกระบวนการ สามารถดํารงชีวิตอยูได เพราะหากพืชไมมีราก แตตนพืยังมีลําตนอยู ซึ่งภายในลําตนพืชมีทอลําเลียงที่สามารถลําเลียงน้ําและแรธาตุไปสูสวนตางๆ สงั เคราะหด ว ยแสง อาหารจะถกู สง ไปยงั ทอ ลาํ เลยี งอาหารและนาํ ของพชื ได จงึ ทําใหพ ชื สามารถดํารงชีวิตอยูไ ด ไปเล้ยี งสวนตางๆ ของพืช ดงั นน้ั ขอ ง. จงึ เปนคาํ ตอบที่ถูกตอ ง) T44
นาํ สอน สรุป ประเมนิ 1หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ ขนั้ สรปุ ความหลากหลายของส่ิงมีชีวิต ขยายความเขา ใจ 2. ลา� ตน้ เป็นสว่ นของพชื ที่ตอ่ จากรากขึ้นมา มีหนา้ ท่ีชกู ิง่ ก้าน และใบ 2. นักเรียนทํากิจกรรมหนูตอบไดจากหนังสือ ขนึ้ สอู่ ากาศเพอื่ ใหไ้ ดร้ บั อากาศและแสงแดด ลา� ตน้ เปน็ ทางลา� เลยี งนา�้ และแรธ่ าตุ เรียน หนา 37 ลงในสมุดหรือในแบบฝกหัด จากรากขน้ึ ไปสสู่ ว่ นตา่ ง ๆ ของพชื และลา� เลยี งอาหารทพี่ ชื สรา้ งขนึ้ ทใ่ี บไปสสู่ ว่ น วทิ ยาศาสตร หนา 31 ตา่ ง ๆ ของลา� ตน้ ขนั้ ประเมนิ ทอ่ ลา� เลียงอาหาร ตรวจสอบผล เป็นกลุ่มเซลล์ท่ีเรียงตัวต่อกันเป็นท่อยาวแทรกอยู่ คกู่ บั ทอ่ ลา� เลยี งนา้� เพอ่ื ลา� เลยี งอาหารทพี่ ชื สรา้ งขน้ึ ที่ 1. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปเกี่ยวกับลักษณะ ใบไปเลี้ยงสว่ นต่าง ๆ ของพชื โครงสรางสวนตางๆ ภายนอกของพืชดอกวา โครงสรางภายนอกของพืชดอกทส่ี ําคญั ไดแ ก ทอ่ ล�าเลียงนา้� ราก ลําตน ใบ ดอก และผล ซ่ึงโครงสราง เหลา นี้ทาํ หนาท่ีแตกตางกนั และมกี ารทํางาน เป็นกลุ่มเซลล์ท่ีเรียงต่อกันเป็นท่อยาว ประสานกันเปนระบบ จึงทําใหพืชสามารถ ตง้ั แตร่ าก ล�าตน้ จนถงึ ใบ เพอ่ื ล�าเลียงน�้า ดาํ รงชวี ติ อยูไ ดค รใู ห และแรธ่ าตไุ ปยงั ส่วนตา่ ง ๆ ของพชื และ ลา� เลยี งนา�้ ไปสใู่ บเพอ่ื ใชใ้ นการสรา้ งอาหาร 2. ครตู ้ังคําถาม แลวใหน กั เรียนชว ยกนั ตอบเพื่อ ของพืช สรปุ ความเขาใจหลงั เรียนวา รากและลาํ ตนมี การทํางานที่ประสานกันเปนระบบอยางไร ภาพที่ 1.74 โครงสร้างของต้นพชื เกรด็ วทิ ยน์ า่ รู้ ลา� ตน้ ของพชื แตล่ ะ (แนวตอบ รากของพืชดูดน้ําและแรธ าตจุ ากดนิ ผา นทอ ลาํ เลยี งภายในลาํ ตน ของพชื เพอื่ นาํ ไป ชนดิ จะมีลักษณะแตกตา่ งกัน ล�าต้นของพชื เลีย้ งสวนตางๆ ของพืช) บางชนิดตั้งตรงอย่บู นดิน เช่น ชมพู่ มะม่วง มะละกอ มะพรา้ ว ข้าว เปน ต้น ล�าต้นของ 3. ครูตรวจผลการทาํ ใบงานที่ 1.7 เรอื่ ง คาํ ศัพท พืชบางชนิดอยู่ใต้ดิน เช่น เผือก แห้ว ขิง โครงสรา งสว นตา งๆ ของพืชดอก มนั ฝร่งั เปนตน้ 4. ครูตรวจผลการวาดภาพตนพืชดอกในสมุด 39 หรือตรวจผลการทํากิจกรรมนําสูการเรียนใน แบบฝกหดั วิทยาศาสตร หนา 27 5. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมที่ 1 เรื่อง หนาที่ของสวนตางๆ ของพืช ในสมุดหรือใน แบบฝกหัดวทิ ยาศาสตร หนา 30 6. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมหนูตอบไดใน สมดุ หรือในแบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 31 กิจกรรม 21st Century Skills แนวทางการวัดและประเมินผล 1. ครใู หน ักเรยี นแบง กลมุ กลุมละ 3-5 คน ครูสามารถสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนจากการตอบคําถาม การทํางาน 2. ใหแตละกลุมสืบคนขอมูลเพ่ิมเติมวา มีรากและลําตนของพืช รายบคุ คล การทํางานกลมุ และการนําเสนอผลการทํากจิ กรรมหนา ช้ันเรียนได โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลที่แนบทายแผนการจัดการเรียนรูของ ชนิดใดบางท่ีทําหนา ท่เี ก็บสะสมอาหาร หนว ยการเรียนรูท ่ี 1 ความหลากหลายของสงิ่ มีชวี ติ 3. ใหนักเรียนวาดภาพหรือติดภาพประกอบ จากน้ันเขียนบอกวา เปน รากหรือลําตนพชื ชนดิ ใด 4. ใหนกั เรียนแตละกลมุ ชวยกนั นาํ เสนอผลงานหนา ชน้ั เรยี น T45
นาํ นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั นาํ กิจกรรมที่ 2 ทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ทใี่ ช้ กระตนุ ความสนใจ การคายน้าํ ของพชื 1. การวดั 2. การสังเกต ครสู นทนากบั นกั เรยี นวา พชื คายนาํ้ ไดอ ยา งไร จุดประสงค 3. การลงความเหน็ จากข้อมูล และคายนํ้าดวยวิธีใด จากน้ันใหนักเรียนชวยกัน 4. การพยากรณ์หรือการคาดคะเน ตอบคาํ ถามอยา งอสิ ระ โดยทคี่ รยู งั ไมเ ฉลยคาํ ตอบ 1. ทดลองและอธิบายส่วนของพชื ทท่ี า� หนา้ ทีค่ ายน้�า 5. การจดั กระทา� และส่อื ความหมายขอ้ มลู 2. ทดลองและอธบิ ายความสัมพนั ธข์ องการคายน�า้ และ 6. การตคี วามหมายข้อมูลและการลงข้อสรุป (แนวตอบ ข้ึนอยูกับคาํ ตอบของนักเรยี น ใหอยู ในดุลยพนิ จิ ของครผู ูสอน) การล�าเลยี งน้า� ของพชื (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทํางานรายบุคคล) ตอ งเตรียมตอ งใช 2. ท่ตี ้ังหลอดทดลอง 1 อัน 4. หนงั ยางหรอื เชอื ก 4 เส้น ขน้ั สอน 1. ดนิ น้า� มัน 2 กอ้ น 6. น�้าผสมสีแดง 100 มลิ ลิลติ ร 3. ปากกาเคมี 1 แทง่ 8. ต้นไมข้ นาดไมใ่ หญม่ าก 1 ตน้ สาํ รวจคน หา 5. ถงุ พลาสติกใส 4 ใบ 7. หลอดทดลอง 2 หลอด 1. นกั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 3-4 คน แลว รว มกนั สืบคน ความรเู พม่ิ เตมิ เร่อื ง การคายนา้ํ ของใบ ลองทาํ ดู ตอนท่ ี 1 จากหนังสือเรียน หองสมุด หรือแหลงขอมูล อืน่ ๆ จากนน้ั รว มกันสรุปขอมูล 1. แบง่ กลมุ่ กลมุ่ ละ 3 - 4 คน จากนนั้ ใหอ้ อกไป ศกึ ษาตน้ ไมร้ อบบรเิ วณโรงเรยี น กลมุ่ ละ 1 ตน้ 2. ครูแจงจุดประสงคการทดลองใหนักเรียนฟง จากน้ันถามคําถามเพ่ือกระตุนความคิดของ 2. เลอื กกง่ิ ไมท้ ม่ี ขี นาดเทา่ กนั 2 กงิ่ โดยกงิ่ หนงึ่ นักเรียนกอนทํากิจกรรมวา พืชมีการหายใจ เดด็ ใบออกหมด อกี กง่ิ หนงึ่ ไมต่ อ้ งเดด็ ใบออก หรอื ไม และหายใจอยางไร (แนวตอบ พืชมีการหายใจโดยผานรูปากใบ 3. คาดคะเนวา่ หากนา� ถงุ พลาสตกิ ใสครอบกง่ิ ไม้ ซึ่งอยูที่ทองใบ โดยรูปากใบจะเปดและปด ท้งั 2 ก่ิง แล้วใชเ้ ชอื กผกู ปากถงุ ไว้ประมาณ เพอ่ื เปนทางผานของนํา้ และอากาศ) 15-30 นาที จะเกดิ ผลอยา่ งไร 3. ครมู อบหมายใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ ทาํ กจิ กรรม 4. ให้ร่วมกันท�ากิจกรรม เพ่ือตรวจสอบผล ที่ 2 เรื่อง การคายนาํ้ ของพืช ตอนท่ี 1-2 จาก การคาดคะเน แล้วสังเกตการเปลี่ยนแปลง หนังสือเรยี น หนา 40-41 โดยปฏิบัตกิ ิจกรรม ภายในถงุ พลาสติก และบันทึกผลในสมดุ ตามขั้นตอน แลวบันทึกผลลงในสมุดหรือ แบบฝกหัดวิทยาศาสตร หนา 34 และทํา 5. อภิปรายผลการท�ากิจกรรมและร่วมกันสรุป ใบงานที่ 1.8 เรอ่ื ง ใบของพืช เกีย่ วกบั การคายน้า� ของพชื ภายในช้นั เรียน (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทํางานกลมุ ) 40 ภาพท่ี 1.75 เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET ครสู ามารถหยบิ ใชใ บงานท่ี 1.8 เรอื่ ง ใบของพชื ไดจ ากแผนการจดั การเรยี นรทู ่ี จาํ นวนใบของพืชมผี ลตอ การคายน้ําของพืชหรอื ไม เพราะอะไร 7 เร่อื ง การคายน้าํ ของพืช หนวยการเรียนรูท ี่ 1 ความหลากหลายของสิง่ มชี ีวติ ก. มี เพราะพชื เก็บสะสมนา้ํ ไวบรเิ วณใบ ดงั ภาพตัวอยาง ข. มี เพราะพชื คายน้าํ ออกทางปากใบ ค. ไมมี เพราะการคายนา้ํ ของพชื จะมากเมอ่ื อณุ หภมู สิ งู ขนึ้ ง. ไมม ี เพราะพชื จะคายน้าํ เมือ่ มนี า้ํ อยูในเซลลมากเกินไป (วเิ คราะหค าํ ตอบ พชื ทม่ี ใี บจาํ นวนมาก กจ็ ะมปี ากใบมากขนึ้ ดว ย เนอ่ื งจากพชื มกี ารสญู เสยี นา้ํ ออกทางปากใบ และทาํ ใหม พี น้ื ทผี่ วิ ใน การระเหยของนา้ํ มากข้ึน ดงั นน้ั ขอ ข. จงึ เปน คาํ ตอบทีถ่ กู ตอง) T46
นาํ สอน สรุป ประเมนิ 1หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ ขนั้ สรปุ ความหลากหลายของสิ่งมชี วี ิต ขยายความเขา ใจ ตอนที ่ 2 ภาพที่ 1.76 1. นักเรียนแตละกลุมศึกษาขอมูลเพิ่มเติม จากสื่อดิจิทัลในหนังสือเรียน หนา 44 โดย 1. ตัดกิง่ ไมท้ ีม่ ขี นาดเท่ากัน 2 ก่ิง กงิ่ หน่ึง ใหใชโทรศัพทมือถือสแกน QR Code เรื่อง เด็ดใบออก อีกกงิ่ หนึง่ ไมต่ ้องเด็ดใบออก การคายนํ้าของพชื จากนน้ั รวมกนั สรุปความรู ท่ไี ดจ ากการศึกษา 2. น�าถุงพลาสติกมาครอบกิ่งไม้ทั้ง 2 ก่ิง แล้วใช้หนงั ยางรดั ปากถุงให้แน่น 2. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก หนังสือเรียน หนา 41 ลงในสมุดหรือทําใน 3. เตรียมน้�าสีแดงใส่ลงในหลอดทดลอง แบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 35 ประมาณคร่ึงหลอด จ�านวน 2 หลอด (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แล้วใช้ปากกาเคมีท�าสัญลักษณ์แสดง แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) ระดับน�า้ ท่หี ลอดทดลอง ขนั้ ประเมนิ 4. นา� ก่งิ ไมท้ เี่ ตรียมไว้ 2 กง่ิ มาแช่ในหลอด ทดลองหลอดละ 1 กงิ่ จากนนั้ ใชด้ นิ นา�้ มนั ตรวจสอบผล อดุ ปดปากหลอดทดลองกับก่ิงไม้ใหแ้ นน่ 1. ครูใหนักเรียนทุกคนรวมกันสรุปเกี่ยวกับ 5. คาดคะเนว่า หากน�าก่ิงไม้ที่แช่น�้าอยู่ใน การคายนํ้าของพืช โดยใหครูอธิบายเสริมใน หลอดทดลองไปวางไวก้ ลางแดดประมาณ สวนทีบ่ กพรอง 30 นาที จะเกิดผลอยา่ งไร 2. ครตู รวจการทาํ ใบงานที่ 1.8 เรอื่ ง ใบของพืช 6. ให้ร่วมกันท�ากิจกรรมเพ่ือตรวจสอบผล 3. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมที่ 2 เร่ือง การคาดคะเน โดยนา� หลอดทดลองไปตงั้ ไว้ กลางแดด สังเกตการเปล่ียนแปลงทุก ๆ การคายน้ําของพืช ในสมุดหรือในแบบฝกหัด 10 นาที และบันทกึ ผล วิทยาศาสตร หนา 34 4. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมหนูตอบไดใน 7. สรปุ ผลการทา� กจิ กรรม จากนั้นน�าเสนอ สมดุ หรอื ในแบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 35 หน้าช้นั เรียน เพ่อื อภปิ รายรว่ มกนั แนวตอบ หนูตอบได หนูตอบได ภาพที่ 1.77 ขอ 3. 1. การคายน�า้ ของพืชคืออะไร และมคี วามส�าคญั อย่างไร • ผลดี เพราะการคายนาํ้ ของพชื เปน การควบคมุ 2. การคายน้�าของพชื เกดิ ขึน้ ทบ่ี รเิ วณใด และมีปัจจยั ใดมาเก่ยี วขอ้ งบา้ ง 3. นักเรียนคิดวา่ การคายน�้าของพืชมผี ลดีหรอื ผลเสยี ตอ่ พชื เพราะอะไร ปรมิ าณนา้ํ ของพชื เมอื่ มนี า้ํ เกนิ ความตอ งการของพชื ซง่ึ การคายนาํ้ จะทาํ ใหพ ชื มกี ารลาํ เลยี งนาํ้ และแรธ าตุ (หมายเหตุ : คาํ ถามขอ สดุ ทายของหนูตอบได เปน คาํ ถามทอ่ี อกแบบใหผ ูเ รียนฝกใชทกั ษะการคิดข้ันสูง 41 อยางตอเน่ือง และชวยลดความรอ นใหพืช คือ การคดิ แบบใหเหตุผล และการคิดแบบโตแ ยง ซงึ่ ผเู รียนอาจเลอื กตอบอยา งใดอยางหนงึ่ กไ็ ด ใหครู พจิ ารณาจากเหตผุ ลสนบั สนนุ ) • ผลเสีย เพราะหากพืชมีการคายนํ้ามาก เกินกวาปริมาณนํ้าท่ีรากพืชดูดเขามาภายในลําตน จะทําใหปริมาณนํ้าภายในลําตนพืชมีไมเพียงพอ ซง่ึ อาจทาํ ใหพชื แหงเห่ยี วและไมเจริญเติบโต ส่ือ Digital ครูใหนกั เรยี นเรียนรเู กี่ยวกับการคายนา้ํ ของพืชเพิ่มเตมิ จากสือ่ ดจิ ทิ ัล โดย ใหส แกน QR Code เรื่อง การคายน้าํ ของพืช จากหนงั สอื เรยี น หนา 44 ซง่ึ จะ ปรากฏคลิปวดิ ีโอ ดังภาพตวั อยาง แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนจากการตอบคําถาม การทํางาน รายบุคคล การทํางานกลมุ และการนําเสนอผลการทํากจิ กรรมหนาชน้ั เรียนได โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลที่แนบทายแผนการจัดการเรียนรูของ หนว ยการเรยี นรูท่ี 1 ความหลากหลายของสง่ิ มีชีวิต T47
นาํ นํา สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั นาํ กจิ กรรมที่ 3 ทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตรท์ ใี่ ช้ กระตนุ ความสนใจ พชื สรางอาหาร 1. การสังเกต 2. การทดลอง 1. ครูสนทนากับนักเรียนเก่ียวกับกระบวนการ จุดประสงค 3. การตง้ั สมมติฐาน สรางอาหารของพืช แลวใหนักเรียนรวมกัน 4. การกา� หนดและควบคมุ ตัวแปร แสดงความคิดเห็นวา ในการสรางอาหาร สงั เกต สบื คน้ ข้อมูล และอธิบายเกี่ยวกบั การสร้างอาหาร 5. การกา� หนดนยิ ามเชิงปฏิบตั ิการ ของพืชจะตองอาศัยปจจัยใดบาง และปจจัย ของพืช 6. การตีความหมายข้อมลู และการลงขอ้ สรปุ เหลานั้นมีความสําคัญตอกระบวนการสราง อาหารของพืชอยา งไร ตอ งเตรียมตอ งใช 2. จานหลุม 1 ใบ 4. ผงชอลก์ 1 ช้อน 2. ครสู มุ หมายเลขนกั เรยี น 3-4 คน ออกมาแสดง 1. ไฟแช็ก 1 อนั 6. น้า� แปง มนั 2 ชอ้ น ความคิดเห็นท่ีหนาช้ันเรียน ครูและเพื่อนคน 3. ปากคบี 1 อนั 8. หลอดหยด 1 หลอด อนื่ ๆ ชว ยกันเสนอแนะเพมิ่ เติม จากนัน้ ครูให 5. เศษกระดาษขาว 1 แผน่ 10. หลอดทดลอง 2 หลอด คาํ ชมเชยหรอื มอบรางวลั เพอื่ เปน การเสรมิ แรง 7. สารละลายไอโอดนี 1 ขวด 12. ใบไม้ทม่ี สี ีเขียว 1 - 2 ใบ 9. ขาต้ังและตะเกียงแอลกอฮอล์ 1 ชดุ 14. น�า้ เปลา่ (น้�าเย็น) 200 มิลลลิ ิตร 3. ครใู หน กั เรยี นทกุ คนชว ยกนั ตอบคาํ ถามกระตนุ 11. บีกเกอร์ 1 ใบ ขนาด 250 มลิ ลลิ ิตร 15. แหล่งขอ้ มลู เช่น อินเทอร์เน็ต เปน็ ตน้ ความคดิ วา นกั เรยี นคดิ วา ปจ จยั ทส่ี าํ คญั ทส่ี ดุ 13. เอทิลแอลกอฮอล์ 75 เปอร์เซน็ ต์ ในการสรางอาหารของพชื คืออะไร (แนวตอบ พิจารณาตามคําตอบของนักเรียน ปรมิ าณ 31 ของหลอดทดลอง โดยใหอ ยูใ นดุลยพินจิ ของครูผูสอน) (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช ลองทําดู แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทํางานรายบุคคล) 1. แบง่ กลมุ่ กลมุ่ ละ 4 - 5 คน จากนน้ั ใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ ชว่ ยกนั สบื คน้ ขอ้ มลู เกยี่ วกบั การสรา้ งอาหาร ขน้ั สอน ของพืชจากแหล่งขอ้ มูลต่าง ๆ แลว้ รวบรวมข้อมูล และนา� เสนอหน้าช้นั เรียน เพ่ือร่วมกัน แสดงความคิดเห็น สาํ รวจคน หา 2. ชว่ ยกันต้งั สมมตฐิ านว่า เม่ือพชื สรา้ งอาหาร 1. ครูนําใบพืชท่ีมีสีแตกตางกันมาใหนักเรียน ไดน้ า�้ ตาล พชื จะเปลย่ี นนา�้ ตาลบางสว่ นสะสม รวมกันสังเกต เชน ใบโกสน ใบคริสตมาส ไว้ในรูปใด จากนั้นให้ก�าหนดตัวแปรต้น ใบบอนสี เปน ตน ตัวแปรตาม และตัวแปรควบคุม ส�าหรับ การทดลองน้ี แลว้ บันทกึ ผลลงในสมดุ 2. ครูใหนักเรยี นแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน โดย ใหม คี วามสามารถคละกนั (เกง-คอนขางเกง - ภาพที่ 1.78 ปานกลาง-ออ น) จากนน้ั ใหแ ตละกลมุ รวมกัน 42 ศึกษาความรู เร่ือง การสรางอาหารของพืช จากแหลงการเรยี นรตู างๆ เชน หนังสอื เรียน หองสมดุ อินเทอรเนต็ เปนตน เกร็ดแนะครู ครใู หค วามรคู วามเขา ใจนกั เรยี นเพ่มิ เติมวา แอลกอฮอลเ ปนสารที่มสี มบตั ิ ในการเปน ตวั ทาํ ละลายชนดิ หนงึ่ เนอื่ งจากคลอโรฟล ลไ มล ะลายในนาํ้ แตล ะลาย ไดดีในแอลกอฮอล ดังนนั้ จึงนําแอลกอฮอลม าใชสกดั สารคลอโรฟล ล เพ่อื แยก สารสเี ขยี วออกจากใบพชื และเพอื่ ใหส ามารถสงั เกตการเปลย่ี นสขี องสารละลาย ไอโอดนี ไดช ดั เจน หองปฏิบัติการ à·¤¹Ô¤ ¤ÇÒÁ»ÅÍ´ÀÑ ในขณะทํากิจกรรมครูผูสอนควรหามไมใหนักเรียนนําเอทิลแอลกอฮอล ไปตง้ั ไฟโดยตรงหรอื หา มไมใ หน าํ เขา ใกลเ ปลวไฟ เพราะอาจตดิ ไฟจนกอ ใหเ กดิ อนั ตรายได T48
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ 1หนว่ ยการเรียนรู้ที่ ขนั้ สอน ความหลากหลายของสง่ิ มีชีวิต สาํ รวจคน หา 3. ท�าการทดลองเพื่อตรวจสอบสมมติฐาน ภาพท่ี 1.79 3. ครซู กั ถามนกั เรยี นวา สขี องใบเกย่ี วขอ งกบั การ โดยนา� ใบไมต้ ม้ ในนา�้ เดอื ดประมาณ 5 นาที สรางอาหารของพืชหรือไม และคลอโรฟลล จากนั้นน�าใบไม้ท่ีต้มแล้วมาใส่ในหลอด มีความสําคัญตอกระบวนการสังเคราะหดวย ทดลองทีบ่ รรจเุ อทิลแอลกอฮอล์ แสงอยา งไร จากนนั้ ใหน กั เรยี นรว มกนั อภปิ ราย เพื่อหาขอสรปุ 4. นา� หลอดทดลองข้อ 3. จมุ่ ลงในบกี เกอร์ (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช ทม่ี นี ้�าเดอื ด แล้วต้มตอ่ ไป 5 นาที แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทาํ งานรายบคุ คล) 5. น�าใบพืชออกมาลา้ งน้า� เย็นใหส้ ารสีเขียว 4. ครูนําแผนภูมิกระบวนการสรางอาหารของ หมดไป แล้ววางใบพชื ในจานหลุม พืชมาใหนักเรียนดู และใหนักเรียนรวมกัน อภปิ รายเพอ่ื เปน การเสรมิ ความเขา ใจเกย่ี วกบั 6. หยดสารละลายไอโอดนี ลงบนใบพชื ใหท้ วั่ กระบวนการสรา งอาหารของพืชเพม่ิ เตมิ แลว้ สงั เกตการเปลย่ี นแปลงทเี่ กดิ ขน้ึ และ บันทกึ ผล 5. ครูอธิบายใหน กั เรยี นเขาใจวา การสังเคราะห ดวยแสงของพืชเปนการชวยลดปริมาณแกส 7. นา� นา้� แปง มนั ผงชอลก์ และเศษกระดาษ คารบ อนไดออกไซด และเปน การชว ยเพมิ่ แกส ขาว ใสล่ งในจานหลมุ แลว้ หยดสารละลาย ออกซิเจนในอากาศ ไอโอดีน จากนั้นสงั เกตการเปลีย่ นแปลง และบนั ทกึ ผล 6. ครูสนทนากับนักเรียนวา จากท่ีนักเรียนได ศกึ ษาการสรา งอาหารของพชื แลว นกั เรยี นคดิ 8. สรุปผลการทดลองและร่วมกันอภิปราย วา ใบพืชสามารถสรา งอาหารประเภทใด และ ผลในช้ันเรียน สะสมไวในรปู แบบใด หนตู อบได ภาพท่ี 1.80 7. ครูกําหนดปญหาเพื่อใหนักเรียนกลุมเดิม (จากช่วั โมงทีก่ อ นหนา น้)ี รวมกันสบื คน ขอ มลู 1. กระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพชื คอื อะไร และมคี วามส�าคัญต่อพืชอยา่ งไร วาใบของพชื สรา งอาหารประเภทใด 2. ปจั จัยทส่ี �าคัญในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงมอี ะไรบ้าง 3. นักเรียนคิดว่า ระหว่างต้นมะพร้าวกับต้นกล้วย พืชชนิดใดสามารถเกิดกระบวนการ 8. ครใู หน กั เรยี นแตล ะกลมุ ชว ยกนั ศกึ ษาขนั้ ตอน และวธิ กี ารทาํ กจิ กรรมท่ี 3 เรอ่ื ง พชื สรา งอาหาร สังเคราะหด์ ้วยแสงได้ดกี วา่ กนั เพราะอะไร จากหนังสือเรียน หนา 42-43 แลว รวมกนั ทํา กิจกรรมตามข้ันตอน จากน้ันบันทึกผล (หมายเหตุ : คําถามขอ สุดทา ยของหนูตอบได เปนคาํ ถามทอี่ อกแบบใหผ ูเรยี นฝกใชทกั ษะการคดิ ข้ันสงู การทํากิจกรรมลงในสมุดหรือในแบบฝกหัด คอื การคดิ แบบใหเ หตุผล และการคิดแบบโตแยง ซง่ึ ผเู รียนอาจเลอื กตอบอยางใดอยา งหน่งึ ก็ได ใหครู 43 วิทยาศาสตร หนา 38 โดยใหครดู ูแลนักเรยี น พจิ ารณาจากเหตผุ ลสนบั สนุน) อยา งใกลช ดิ ตลอดระยะเวลาทปี่ ฏบิ ตั กิ จิ กรรม (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทาํ งานกลุม ) ขอสอบเนน การคดิ แนว O-NET เกร็ดแนะครู ขน้ั ตอนการสกดั แยกคลอโรฟล ลอ อกจากใบพชื ในการตรวจหา ครูใหค วามรูความเขา ใจกับนักเรียนเพิม่ เติมวา คลอโรฟล ล คอื สารสเี ขียว สารอาหารท่พี ืชสรา งขึ้นและสะสมไวนนั้ ทาํ เพ่อื จดุ ประสงคใ ด ที่พบในตนพืช สวนใหญพบมากที่บริเวณใบของพืช คลอโรฟลลทําหนาท่ีใน การดูดกลืนพลังงานแสง เพื่อนํามาใชสรางอาหารในกระบวนการสังเคราะห ก. เพอ่ื ทําลายโครงสรางของใบใหเ สียสภาพ ดว ยแสงของพชื ข. เพื่อใหปรมิ าณสารอาหารในใบพชื มมี ากขนึ้ ค. เพอ่ื ใหใบพชื สามารถปลดปลอยสารอาหารออกมาได แนวตอบ หนูตอบได ง. เพอ่ื ใหเห็นการเปลย่ี นสขี องสารละลายไอโอดีนชัดเจน (วิเคราะหคําตอบ ในใบพืชมคี ลอโรฟล ล ซึ่งเปน สารสเี ขยี วสะสม ขอ 3. อยมู าก จึงตองมกี ารสกดั และแยกสารสีเขยี วน้อี อกไป เพอ่ื ใหงาย • ตน มะพรา ว เพราะมใี บสเี ขยี วจาํ นวนมากกวา ใบกลว ย จงึ มสี ารคลอโรฟล ล ตอการสังเกตการเปลี่ยนแปลงสีของสารละลายไอโอดีนที่เกิดข้ึน ไดชดั เจน ดังนนั้ ขอ ง. จึงเปนคาํ ตอบท่ีถูกตอ ง) มาก ทําใหดูดกลืนพลังงานแสงจากดวงอาทิตยเขามาใชเปนแหลงพลังงาน ในกระบวนการสังเคราะหด วยแสงไดด ี • ตนกลวย เพราะมีใบสีเขียวขนาดใหญกวาใบมะพราว จึงอาจจะดูดกลืน แสงอาทิตยไดม ากกวาใบมะพรา ว จึงทาํ ใหเกดิ กระบวนการสังเคราะหด ว ยแสง ไดดกี วา T49
นาํ สอน สรุป ประเมนิ ขน้ั สอน 3. ใบ เปนโครงสรางที่สําคัญของพืช ซึ่งใบของพืชจะมีรูปรางลักษณะ แตกตา งกนั ตามชนดิ ของพชื ใบมหี นา ทห่ี ลกั คอื สรา งอาหาร หายใจ และคายนา้ํ อธบิ ายความรู รูปใบหอก รูปใบรี รปู ใบกลม รูปใบหยัก รูปใบเรียวยาว 1. สมาชกิ แตล ะกลมุ นาํ ผลการทาํ กจิ กรรมท่ี 3 มา วเิ คราะหแ ละตรวจสอบความถูกตอ ง จากนั้น ภาพท่ี 1.81 ตัวอยางใบพชื ท่ีมีรูปรา งตา ง ๆ อภิปรายรวมกันภายในกลมุ เพือ่ ใหไ ดข อ สรุป ทถี่ ูกตอง ใบของพืชมีการคายนํ้า จึงทําใหเกิดการลําเลียงน้ําและแรธาตุภายในตนพืช อยา งตอพเืชนค่อื างยนแลา้ํ อะชอวกยทลี่บดรคเิ ววณามใบรอนเพใหราพ ะืชมีปากใบ1 (stoma) ซ่ึงจะมเี ซลลคมุ2ท่คี วบคุม 2. นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอ การคายน้ําของพืช ปากใบมีลักษณะเปนรูเล็ก ๆ กระจายอยูที่ใบพืช สวนมากจะพบ ผลการทํากิจกรรมที่ 3 หนาช้นั เรยี น ปากใบบรเิ วณทองใบ (ผิวใบดานลา ง) มากกวาหลงั ใบ (ผิวใบดา นบน) เราไมสามารถ มองเห็นปากใบไดด ว ยตาเปลา ถามองผานกลอ งจลุ ทรรศนปากใบจะมลี ักษณะ ดงั ภาพ 3. ครูและนักเรียนชวยกันสรุปความรูท่ีไดจาก ไอน้าํ เซลลคุม การทํากิจกรรมที่ 3 จนไดขอสรุปวา ใบพืช ไอน้ํา ปากใบ ทําหนา ท่ีสรา งอาหาร อาหารท่ีพืชสรางข้นึ มา ไอนํ้า ไอน้ํา ครง้ั แรกเปน นา้ํ ตาล สว นทเ่ี หลอื พชื จะสะสมไว ทําหนาท่ีหายใจ โดยมีการแลก ในรปู แปง เมอื่ ทดสอบดว ยสารละลายไอโอดนี เปลย่ี นแกส ทางปากใบ และคายนา้ํ ท่มี ีสนี ้าํ ตาล จงึ เปลี่ยนเปนสนี ้าํ เงินเขม ออกมา ซงึ่ พชื จะคายนาํ้ ในรปู ของ (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช ไอนา้ํ ผานทางปากใบ แบบสงั เกตพฤติกรรมการทาํ งานกลมุ ) ปากใบเปด ปากใบปด ขน้ั สรปุ ¤Ó¶ÒÁ·ŒÒ·Ò¡ÒäԴ¢é¹Ñ ÊÙ§ ขยายความเขา ใจ นักเรียนคดิ วา สวนตาง ๆ ของพชื สามารถทาํ หนา ที่ 1. ครูใหนักเรียนตอบคําถามกระตุนความคิดวา แทนใบไดห รอื ไม เพราะอะไร บริเวณใดของใบท่ีมีแปงสะสมอยู แลวให นักเรยี นชวยกันตอบคาํ ถาม (แนวตอบ บริเวณทีม่ สี เี ขยี ว) 2. ครูใหนักเรียนศึกษาแผนภาพกระบวนการ สังเคราะหดวยแสงของพืช แลวสนทนากับ นักเรียนวา กระบวนการสังเคราะหดวยแสง ของพชื มคี วามสําคญั อยา งไรบา ง แนวตอบ คําถามทา ทายการคิดข้ันสูง นํ้า น้ํา ภาพที่ 1.82 แผนภาพกระบวนการคายนา้ํ ของพืช ไมไ ด เพราะบริเวณใบมปี ากใบ ซึ่งเปน ชองทาง 44 นํ้า การคายนํ้าของพืช สาํ หรบั คายนาํ้ และแลกเปลยี่ นแกส ของพชื โดยสว น ตางๆ ของพืชไมมีปากใบ เกร็ดแนะครู กิจกรรม 21st Century Skills ครูใหความรูกับนักเรียนเพิ่มเติมวา การคายน้ําของพืช คือ การควบคุม 1. ครใู หนักเรียนแบง กลุม กลมุ ละ 3-5 คน ปรมิ าณนา้ํ ของพชื เมอ่ื มนี า้ํ เกนิ ความตอ งการของเซลล โดยพชื จะคายนา้ํ ออกมา 2. ใหแตละกลุมสืบคนขอมูลเพ่ิมเติมวา พืชมีกลไกในการลดการ ทางรปู ากใบในรปู ของไอนาํ้ หรอื หยดนาํ้ ปจ จยั ทม่ี ผี ลตอ การคายนา้ํ ของพชื ไดแ ก อณุ หภมู คิ วามชนื้ สภาพนาํ้ ในดนิ ความเขม ของแสง และลม คายนํ้าเพื่อปองกันการสูญเสียน้ําออกจากเซลลไดอยางไรบาง จากนั้นหาภาพประกอบ และเขียนอธิบายกลไกที่ชวยลดการ นักเรียนควรรู คายน้ําของพืช 3. ใหน กั เรยี นแตล ะกลุมชว ยกนั นําเสนอผลงานหนา ช้ันเรียน 1 ปากใบ (stoma) คือ รูหรอื ชอ งเล็กๆ ที่อยรู ะหวางเซลลค ุม ภายในใบพชื ทาํ หนาท่ีเปนทางผานของนํ้าและแกส 2 เซลลคมุ (guard cell) คือ เซลลท ่ที ําหนาทคี่ วบคมุ การเปดปดของปากใบ เซลลคมุ มีรูปรางคลายเมล็ดถ่ัวอยกู ันเปน คูๆ และระหวางเซลลค มุ แตละคู จะมี ชองเปดเลก็ ๆ เรียกวา ปากใบ T50
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ 1หนว ยการเรยี นรูท่ี ขนั้ สรปุ ¤ÇÒÁËÅÒ¡ËÅÒ¢ͧʧèÔ ÁªÕ ÕÇÔµ ขยายความเขา ใจ ในใบพชื ที่มสี ีตา ง ๆ จะมีสารสเี ขยี ว เรยี กวา คลอโรฟลล ใบพืชทมี่ สี เี ขียว 3. นักเรียนจับกลุมเดิม แลวรวมกันศึกษาเร่ือง หจะรมอื ีสเรายี รกควลา อโกรรฟะลบลวอนยกูมาราสกงัทเ่ีสคุดราะคหลดอวโยรแฟสลง1ลเซป่ึงนปสราะรกทอี่พบดืชวใชยใปนจ กจายั รสสํารคาัญงอาดหงั นาร้ี กระบวนการสังเคราะหดวยแสง จากหนังสือ เรียนหนาน้ี หรือจากแหลงการเรียนรูอื่นๆ ¡Ãкǹ¡ÒÃ椄 à¤ÃÒÐË´ÇŒ Âáʧ¢Í§¾×ª เชน อนิ เทอรเนต็ เปน ตน แกส คารบ อนไดออกไซด + นาํ้ แสง นํา้ ตาลกลโู คส + แกส ออกซเิ จน 4. นักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับ คลอโรฟล ล ความสําคัญของกระบวนการสังเคราะหดวย แสงของพืชวา มีประโยชนตอการดํารงชีวิต CO2 »˜¨¨Ñ·Õè 㪌 ของมนษุ ยอ ยางไร H2O O2 คลอโรฟลล 5. ครูขออาสาสมัครนักเรียนแตละกลุมออกมา H2O C6H12O6 เปน ตวั ดดู กลนื แสง เพอ่ื นาํ แสงมาใชเ ปน นาํ เสนอผลการอภปิ รายทีห่ นาชั้นเรียน แหลงพลงั งาน 6. ครมู อบหมายใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ ทาํ รายงาน แกส คารบ อนไดออกไซด เรื่อง ปจจัยท่ีมีผลตอการเจริญเติบโตและ CO พืชจะดูดแกสคารบอนไดออกไซดจาก การสังเคราะหดวยแสงของพืช แลวใหนํามา 2 อากาศเขา ทางปากใบ เพอ่ื ใชเ ปน วตั ถดุ บิ สง ในชวั่ โมงถดั ไป ในการสงั เคราะหด ว ยแสง (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทํางานกลมุ ) H O น้ํา2 พชื ดดู นาํ้ ผา นรากและลาํ เลยี งขน้ึ สใู บเพอ่ื ใชเปนวตั ถุดิบในการสังเคราะหดวยแสง 7. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก หนังสือเรียน หนา 43 ลงในสมุดหรือทําใน ¼Å·Õè ä´Œ แบบฝก หัดวทิ ยาศาสตร หนา 39 C H O นํา้ ตาลกลูโคส ขน้ั ประเมนิ 6 12 6 อาหารท่ีพืชสรางขึ้น คือ นํ้าตาลกลูโคส ซง่ึ ถกู ลาํ เลยี งไปเลี้ยงสว นตา ง ๆ ของพืช ตรวจสอบผล สว นท่ีเหลือพชื จะสะสมไวในรูปของแปง O แกสออกซิเจน 1. ครูขออาสาสมัครตัวแทนนักเรียน 2-4 คน 2 พืชคายแกสออกซิเจนออกทางปากใบ ออกมาสรุปเกยี่ วกบั การสรา งอาหารของพชื ชวยทาํ ใหอากาศบริสทุ ธ์ิ 2. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมที่ 3 เรื่อง H2O พืชสรางอาหาร ในสมุดหรือในแบบฝกหัด วิทยาศาสตร หนา 38 ภาพที่ 1.83 แผนภาพกระบวนการสงั เคราะหด ว ยแสงของพชื 45 3. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมหนูตอบไดในสมุด หรือในแบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 39 4. ครตู รวจรายงาน เรอ่ื ง ปจ จยั ทม่ี ผี ลตอ การเจรญิ เติบโตและการสังเคราะหด ว ยแสงของพชื ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET นักเรียนควรรู ขน้ั ตอนใดเปน ขนั้ ตอนทถ่ี กู ตอ งในกระบวนการสงั เคราะหด ว ยแสง ก. นแแแแแแกกกกกก้าํ ตสสสสสสคอออคอาลออออาารรกกกก+บบซซซซออเิเเิิิเนจจจจนนํ้านนนนไไดด++ออออแนกกก้ําไไส ซซคคดดาล รอ+แบ โคสรอนลงฟนอ้ําแลโไสลรดงฟ คอล ลอลอแนกโสรํ้าไงฟซตนล ดาลํา้ล ตคาลลนอแา้ํโ+สรตงฟาลลล 1 กระบวนการสังเคราะหด วยแสง (photosynthesis) คือ กระบวนการสรา ง ข. + อาหารของพชื โดยมนี าํ้ และแกส คารบ อนไดออกไซดเ ปน วตั ถดุ บิ มคี ลอโรฟล ลก บั แสงอาทติ ยเ ปน ตวั เรง ปฏกิ ริ ยิ า และผลทไ่ี ด คอื นาํ้ ตาลกลโู คสกบั แกส ออกซเิ จน ค. แนวทางการวัดและประเมินผล ง. ครูสามารถสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนจากการตอบคําถาม การทํางาน (วเิ คราะหค าํ ตอบ กระบวนการสงั เคราะหด ว ยแสง คอื กระบวนการ รายบุคคล การทํางานกลุม และการนําเสนอผลการทาํ กจิ กรรมหนาช้นั เรยี นได ทพี่ ืชสรางอาหาร (นํา้ ตาล) จากวัตถุดบิ คอื แกส คารบอนไดออก โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลที่แนบทายแผนการจัดการเรียนรูของ ไซดและน้ํา โดยใชพลังงานแสงอาทิตยซึ่งถูกดูดกลืนโดยคลอโร หนวยการเรยี นรทู ี่ 1 ความหลากหลายของส่งิ มชี ีวติ ฟลล พรอ มกบั ปลอ ยแกสออกซิเจนและคายนํา้ ออกมา ขอ ง. จึง เปน คําตอบทีถ่ กู ตอง) T51
นาํ นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั นาํ กิจกรรมที่ 4 ทกั ษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตรท์ ี่ใช้ กระตนุ ความสนใจ สว นประกอบของดอก 1. การสงั เกต 2. การจา� แนกประเภท 1. ครนู ําตัวอยางดอกไม 2 ชนดิ มาใหน กั เรียนดู จดุ ประสงค 3. การลงความเหน็ จากข้อมูล (เชน ดอกกุหลาบ ดอกชบา) แลวใหรวมกัน 4. การตีความหมายข้อมูลและการลงข้อสรุป อภปิ รายวา ดอกไมท งั้ 2 ดอกน้ี มสี ว นประกอบ 1. สงั เกตและบอกส่วนประกอบของดอก เหมือนกนั หรอื แตกตา งกัน อยา งไรบา ง 2. อธบิ ายหนา้ ทขี่ องสว่ นประกอบของดอก (แนวตอบ ขึ้นอยูกับตัวอยางดอกไมท่ีครูนํามา เปน ตวั อยา ง) ตอ งเตรยี มตอ งใช (หมายเหตุ : ครเู รม่ิ ประเมินนักเรียน โดยใช แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทํางานรายบคุ คล) 1. คัตเตอร์ 1 อนั 2. แว่นขยาย 1 อนั 2. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา พืชบนโลกใบน้ี 3. แหลง่ ข้อมูลตา่ ง ๆ เชน่ หนังสอื อนิ เทอรเ์ น็ต เปน็ ต้น มมี ากมายหลากหลายชนดิ พชื บางชนดิ มดี อก 4. ดอกของพืช 1 ชนิด เชน่ ดอกชบา ดอกบวั ดอกกุหลาบ เปน็ ต้น พืชบางชนิดไมมีดอก พืชดอกจะอาศัยดอก ในการสืบพันธุ ซง่ึ ตองอาศัยสวนประกอบของ ลองทาํ ดู ดอกทําหนาท่ีเก่ยี วของกบั การสืบพันธุ 1. แบง่ กลุ่ม กลุม่ ละ 3 - 4 คน แลว้ ชว่ ยกันสบื ค้นข้อมูลเกย่ี วกบั ส่วนประกอบตา่ ง ๆ ของดอก ขน้ั สอน รวมทัง้ หนา้ ท่ีของส่วนประกอบนัน้ จากนน้ั บนั ทกึ ขอ้ มลู ลงในสมดุ สาํ รวจคน หา 2. สงั เกตโครงสรา้ งภายนอกของดอกทนี่ า� มาทา� กจิ กรรม แลว้ ทา� การแยกสว่ นประกอบของดอก โดยใช้คตั เตอรต์ ัดผ่าคร่ึงตามแนวยาวของดอกเพื่อดสู ่วนประกอบตา่ ง ๆ 1. ครใู หน กั เรยี นแบง กลมุ แบบคละความสามารถ (เกง-คอนขา งเกง -ปานกลาง-ออน) กลมุ ละ 4 3. ใชแ้ วน่ ขยายสงั เกตโครงสรา้ งของดอก จากนน้ั วาดภาพและบนั ทกึ ขอ้ มลู สว่ นประกอบของ คน จากน้ันใหแ ตละกลุมทํากจิ กรรมท่ี 4 เรื่อง ดอกและหน้าท่ขี องแต่ละสว่ นลงในสมดุ สว นประกอบของ จากหนงั สอื เรยี นหนา นี้ โดย ใหปฏิบัติกิจกรรมตามขั้นตอน แลวบันทึกผล 4. ร่วมกันสรุปผลการท�ากิจกรรม จากน้ันน�าข้อมูลมาเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ เก่ียวกับ ในสมุดหรอื แบบฝกหดั วทิ ยาศาสตร หนา 41 ส่วนประกอบของดอกของพืชแตล่ ะชนิด (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทาํ งานกลมุ ) หนูตอบได 1. ดอกของพชื มีความสา� คญั ต่อพืชดอกอย่างไร 2. ดอกของพืชดอกชนดิ หน่ึงมีส่วนประกอบ ได้แก่ กลบี เล้ียง กลีบดอก และเกสรเพศเมีย นกั เรยี นคิดว่า พืชดอกชนิดน้สี ามารถสบื พันธ์ุได้หรอื ไม่ อย่างไร 46 ค(หอื มกายารเหคติดุแ: คบําบถใหามเหขตอ ุผสลุดทแาลยะขกอางรหคนิดูตแอบบบไโดตแ เปยงน คซําึ่งถผาูเ รมยี ทนีอ่ ออากจแเลบอืบกใหตผอบูเรอยี ยนาฝงกใดใชอทยักางษหะนก่ึงากรค็ไดิด ขใหั้นคสรงู ู พิจารณาจากเหตุผลสนบั สนนุ ) แนวตอบ หนูตอบได ขอ 2. • ได เพราะเกสรเพศเมียที่อยู ในดอกของพืชตนน้ีจะอาศัยการปลิวของ ละอองเรณจู ากเกสรเพศผขู องดอกอนื่ ทอี่ ยู ในตน เดยี วกนั หรอื อาศยั การปลวิ ของ ละอองเรณจู ากเกสรเพศผขู องดอกจากพชื ตน อนื่ (พชื ชนดิ เดยี วกนั ) ทอ่ี ยใู กลเ คยี ง เพ่ือทาํ ใหเ กดิ การสบื พันธุข องพืชดอกน้ตี อ ไป • ไมได เพราะดอกของพืชตน น้ไี มม เี กสรเพศผู จงึ ทาํ ใหไมเ กิดการปฏสิ นธิ หรือการสบื พันธภุ ายในดอก เกสรเพศเมียจะตอ งอาศยั การปลิวของละอองเรณู จากเกสรเพศผู ในดอกของพืชอีกตน (พืชชนิดเดียวกัน) ซ่ึงอาจจะทําไดยาก หากพืชอกี ตนนน้ั อยูห า งไกลออกไป T52
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ 1หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี ขนั้ สอน ความหลากหลายของสิ่งมชี วี ิต อธบิ ายความรู ท�าหนา้4ท. ่ใี นดกอากรสพืบืชพดนั อธก1ุ์ ซเมง่ึ ท่ือา�เจใหริเญ้ กเดิ ตเิบปน็โตตเน้ตพ็มชืทตี่แ้นลใ้วหจมะไ่ อดอ้ กดอก ดอกของพืช 1. ครูใหนักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมา ดอกของพืชแต่ละชนิดมีลักษณะแตกต่างกัน ดอกของพืชบางชนิด นาํ เสนอผลการทาํ กจิ กรรมที่ 4 หนาช้นั เรียน มีสีสันสวยงาม บางชนิดมีกล่ินหอม บางชนิดมีน้�าหวาน ซ่ึงสิ่งเหล่าน้ีสามารถ 2. แตล ะกลมุ บนั ทกึ ผลการสาํ รวจดอกไมข องเพอื่ น ดึงดดู แมลงใหม้ าตอมเพ่อื ช่วยในการผสมพันธขุ์ องพชื ได้ โดยท่วั ไปดอกของพืช กลุมอ่นื ๆ ทไ่ี มซ า้ํ กบั กลุมตนเองลงในสมุด ประกอบดว้ ยสว่ นตา่ ง ๆ 4 สว่ น และมีหน้าทแ่ี ตกตา่ งกันไป ดังน้ี (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช แบบสงั เกตพฤติกรรมการทํางานกลมุ ) ส่วนประกอบของดอก ขนั้ สรปุ เทก�าสหรนเพ้าทศเี่ มสยี ร้า(งcเaซrลpลe์สlืบ)พันธ์ุเพศเมีย2 ในดอกชบามรี งั ไขแ่ ละกา้ นเกสรเพศเมยี ขยายความเขา ใจ ตดิ กนั แตย่ อดเกสรเพศเมยี แยกจากกนั 1. นักเรียนแตละกลุมศึกษาแผนผังความคิด เกสรเพศผู้ (stamen) 3 การจาํ แนกดอกของพชื โดยใชเ กณฑต า งๆ จาก ท�าหน้าที่ สร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ ใบความรทู ่ี 1.1 เรอ่ื ง การจาํ แนกดอกของพชื ในดอกชบามีเกสรเพศผู้อยู่ติดกันและ ทค่ี รแู จกให แลว ชว ยกนั จําแนกดอกของพชื ท่ี มหี ลายอนั นํามาทํากิจกรรม โดยจัดทําเปนแผนผังหรือ แผนภาพลงในกระดาษแขง็ กลีบดอก (petal) ท�าหน้าที่ ห่อหุ้มเกสรขณะที่เกสรนั้น 2. แตละกลุมสงตัวแทนนําเสนอผลการจําแนก ยังอ่อนอยู่ มักมีสีสันสวยงาม หรือมี ดอกของพชื โดยครสู มุ เลอื กตวั แทนแตล ะกลมุ กลน่ิ หอม เพอ่ื ชว่ ยลอ่ แมลงใหม้ าผสมเกสร ใหออกมานําเสนอหนาช้ันเรียนดวยวิธีการ จับสลากเลือกลําดับกลุม จากนั้นแตละกลุม กลบี เลีย้ ง (sepal) เปรยี บเทียบขอมลู กลมุ ตนเองและกลุมอื่นๆ ทา� หนา้ ท่ี หอ่ หมุ้ สว่ นของดอกในขณะท่ี ยงั ตมู อยู่ เพอ่ื ปอ งกนั อนั ตรายจากแมลง 3. ครูถามคําถามนักเรียนเพ่ือขยายความรูวา ถานักเรียนไมจําแนกดอกของพืชโดยใชสวน ภาพที่ 1.84 โครงสรา้ งส่วนประกอบของดอกชบา 47 ประกอบของดอก หรือเกสรในดอกเปน เกณฑ จะสามารถจําแนกดอกของพืช โดยใชเกณฑ ใดไดอกี บา ง 4. ครูใหนักเรียนแตละคนแสดงความคิดเห็น และตอบคาํ ถามไดอ ยา งอสิ ระ จากน้นั ครูคอย อธบิ ายเสรมิ และสรปุ เพม่ิ เตมิ (แนวตอบ เชน จํานวนกลีบดอก สีของดอก ขนาดของดอก กล่นิ ของดอก เปน ตน ) (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช แบบสงั เกตพฤติกรรมการทํางานรายบคุ คล) เกร็ดแนะครู ใบความรูที่ 1.1 เรื่อง การจําแนกดอกของพืช ครูสามารถหยิบใชไดจาก แผนการจัดการเรียนรูท่ี 9 เรื่อง สวนประกอบของดอก หนวยการเรียนรูท่ี 1 ความหลากหลายของสิ่งมชี วี ติ นักเรียนควรรู 1 การสืบพันธุ (reproduction) หมายถึง กระบวนการที่ทําใหเกิดส่ิงมีชีวิต ตัวใหมข น้ึ จากส่ิงมชี วี ติ เดมิ (ชนิดเดียวกัน) ทมี่ อี ยูกอ นแลว โดยส่งิ มชี วี ิตรุนใหม ที่เกิดข้ึนจะทดแทนส่ิงมีชีวิตรุนเกาที่ตายลงไป ทําใหส่ิงมีชีวิตเหลือรอดอยูได โดยไมส ญู พนั ธไุ ป 2 เซลลส บื พนั ธเุ พศเมยี คอื เซลลไข ท่อี ยูในออวุลภายในรังไข 3 เซลลสบื พนั ธุเ พศผู คือ ละอองเรณู ทอี่ ยใู นอบั เรณบู นกา นชอู บั เรณู T53
นาํ สอน สรุป ประเมนิ ขน้ั สรปุ 1กจิ กรรม พฒั นาการเรยี นรู้ที่ ขยายความเขา ใจ ใหน้ ักเรียนแบ่งกลมุ่ แล้วปฏบิ ตั ิกจิ กรรม ดังน้ี 1) ให้แต่ละกลุ่มช่วยกันศึกษาภาพดอกของพืชท้งั 3 ชนิดทกี่ า� หนดให้ 5. นักเรียนรวมกันสรุปเก่ียวกับสวนประกอบของ ดอก จนไดขอสรุปวา ดอกของพืชทําหนาท่ี ภาพที่ 1.85 ดอกบวั ภาพที่ 1.86 ดอกชบา ภาพท่ี 1.87 ดอกมะเขอื สืบพันธุ ดอกของพืชโดยทั่วไปประกอบดวย สวนตา งๆ ไดแก กลบี เลย้ี ง กลบี ดอก เกสร - 2) สังเกตส่วนประกอบของดอกวา่ ประกอบด้วยสว่ นใดบา้ ง และมคี วามแตกตา่ งกัน เพศผู และเกสรเพศเมยี ซง่ึ แตล ะสว นประกอบ หรอื ไม่ อย่างไร ของดอกจะทาํ หนา ทแี่ ตกตา งกนั โดยดอกของ 3) สบื ค้นขอ้ มลู เพ่มิ เติมเก่ียวกับดอกของพชื ทง้ั 3 ชนดิ จากแหลง่ ขอ้ มลู ตา่ ง ๆ พืชบางชนิดมีสวนประกอบครบทั้ง 4 สวน 4) ร่วมกนั อภิปรายภายในกลุ่มถงึ สงิ่ ทไ่ี ด้จากการสงั เกตและการสบื ค้นขอ้ มูล แตบ างชนิดอาจมีสวนประกอบไมครบ 4 สวน 5) น�าเสนอความคิดของกลมุ่ หน้าชน้ั เรยี น แล้วให้ครูชว่ ยสรุปอีกครงั้ 6. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก ตรวจสอบตนเอง กิจกรรม สรปุ ความรปู้ ระจา� บทท่ี 2 หนังสือเรียนหนาน้ี ลงในสมุดหรือทําลงใน แบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 42 หลงั เรยี นจบหนว่ ยน้ีแล้ว ใหน้ กั เรียนบอกสัญลักษณท์ ตี่ รงกับระดับความสามารถของตนเอง 7. นกั เรยี นแตล ะคนนาํ กจิ กรรมพฒั นาการเรยี นรู รายการ เกณฑ์ ท่ี 1 จากหนังสือเรียน หนา 48 ไปทําเปน การบาน โดยใหทําลงในสมุดหรือใหนักเรียน ดี พอใช้ ควรปรับปรุง ทําในใบงานท่ี 1.9 เรื่อง ความแตกตางของ สวนประกอบของดอกไม ท่ีครูแจกใหแลว 1. เขา้ ใจเนอ้ื หาเกยี่ วกบั เรอื่ งหนา้ ทขี่ องสว่ นตา่ ง ๆ ของพชื นํามาสง ในชัว่ โมงถดั ไป (หมายเหตุ : ครเู ร่ิมประเมนิ นกั เรียน โดยใช 2. สามารถท�ากิจกรรมและอธิบายผลการทา� กจิ กรรมได้ แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบคุ คล) 3. สามารถตอบค�าถามจากกิจกรรมหนูตอบได้ได้ 8. ครูสนทนากับนักเรียนเพื่อทบทวนความรู 4. ทา� งานกล่มุ ร่วมกบั เพอ่ื นได้ดี ความเขาใจเก่ียวกับเนื้อหาที่ไดเรียนผานมา จากหนวยการเรียนรูที่ 1 บทท่ี 2 จากนัน้ ให เขียนสรุปความรูเกี่ยวกับเรื่องท่ีไดเรียนมา จากบทท่ี 2 ในรปู แบบตางๆ เชน แผนภาพ แผนผัง เขยี นบรรยาย เปน ตน ลงในสมุดหรอื อาจทํากิจกรรมสรุปความรปู ระจาํ บทท่ี 2 ใน แบบฝก หัดวิทยาศาสตร หนา 43 5. น�าความรู้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจ�าวันได้ 48 เกร็ดแนะครู ขอ สอบเนน การคดิ แนว O-NET ใบงานท่ี 1.9 เรื่อง ความแตกตางของสวนประกอบของดอกไม ครู ดอกของพชื มคี วามสําคัญอยา งไร สามารถหยิบใชไดจากแผนการจัดการเรียนรูท่ี 9 เรื่อง สวนประกอบของดอก ก. สรา งอาหาร หนวยการเรยี นรูที่ 1 ความหลากหลายของส่งิ มีชวี ิต ข. ใชใ นการสืบพันธุ ค. สังเคราะหด วยแสง ความรูบูรณาการอาเซียน ง. เพิม่ สีสนั และความสวยงาม (วิเคราะหคําตอบ ดอกของพืชเปนสวนท่ีใชในการสืบพันธุ โดย ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 3-5 คน แลว ใหแ ตล ะกลมุ สบื คน ขอ มลู และศกึ ษา ลักษณะของดอกไมประจําชาติของประเทศสมาชิกอาเซียนแตละประเทศ ดอกท่ีไดรับการผสมเกสรแลวจะเจริญไปเปนผล ซึ่งภายในผลจะ จากน้ันใหนําขอมูลดอกไมประจําชาติมาจําแนก โดยใชความรูเกี่ยวกับเร่ือง มเี มลด็ อยเู ราสามารถขยายพนั ธพุ ชื ชนดิ นด้ี ว ยวธิ กี ารเพาะเมลด็ ได พืชใบเลี้ยงเดี่ยว และพืชใบเล้ียงคู แลวใหแตละกลุมนําเสนอผลการจําแนก ดังนัน้ ขอ ข.จึงเปนคําตอบท่ถี กู ตอง) และบอกวา พิจารณาจากขอมลู ใด T54
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ½¡Ôจ¡ƒ ¡ทรร¡Ñ มÉะ ºทท่ี 2 ขน้ั สรปุ 1. ตดิ ภาพพชื หรอื วาดภาพพชื ทสี่ นใจลงในสมดุ จากนนั้ ลากเสน้ ชบี้ อกสว่ นตา่ ง ๆ ของ ขยายความเขา ใจ พชื และบอกหน้าท่ขี องส่วนนัน้ พรอ้ มตกแต่งให้สวยงาม 9. นักเรียนทํากิจกรรมฝกทักษะบทท่ี 2 จาก 2. สงั เกตภาพ แล้วตอบคา� ถาม หนังสอื เรียน หนา 49-50 ขอ 1-5 ลงในสมดุ ใชภ้ าพน้ตี อบคา� ถามขอ้ 1) - 2) หรอื ทาํ ในแบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 44-47 ภาพที่ 1.88 ราก A ภาพท่ี 1.89 ราก B 10. นกั เรยี นทกุ คนทาํ กจิ กรรมทา ทายการคดิ ขนั้ สงู ในแบบฝก หัดวทิ ยาศาสตร หนา 48 1) รากของพืชท้งั 2 ชนดิ นี้ มลี กั ษณะแตกตา่ งกันอย่างไร 2) รากของพืชท้งั 2 ชนดิ นี้ ท�าหน้าทเี่ หมอื นกนั หรือแตกต่างกัน อย่างไร 11. นกั เรียนแบง กลมุ กลมุ ละ 3-4 คน จากนน้ั ศึกษากิจกรรมสรางสรรคผลงานจากหนังสือ ใช้ภาพน้ีตอบค�าถามขอ้ 3) - 4) 3) C และ D คอื อะไร เป็นสว่ นประกอบของ เรียน หนา 50 โดยใหจัดทําสมุดภาพ โครงสรา้ งส่วนใดของพืช สวนประกอบภายในดอกของพืชชนิดตางๆ C แลวนําไปวางไวท่ีมุมอานหนังสือตามจุด D 4) C และ D มหี นา้ ทต่ี า่ งกันหรอื ไม่ อยา่ งไร ตางๆ ของโรงเรยี นเพอ่ื ใหความรู (หมายเหตุ : ครูเรมิ่ ประเมนิ นักเรียน โดยใช ภาพท่ี 1.90 แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทาํ งานกลมุ ) 3. เขียนแผนผังแสดงกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชลงในสมุด และอธิบาย แนวตอบ กิจกรรมฝก ทกั ษะ มาพอสังเขป ขอ 2. 49 1) ราก A เปน รากทชี่ วงโคนลาํ ตน มีขนาดใหญ แลว คอ ยเรยี วเลก็ ลง และมรี ากขนาดเลก็ แตกแขนง ออกมา สวนราก B เปน รากขนาดเล็กท่ีมขี นาดโต สมํ่าเสมอกัน และแตกออกจากโคนลําตนเปน กระจุก 2) เหมือนกนั คือ ชวยยึดลําตน ใหตัง้ อยบู นดนิ ดูดนํ้าและแรธ าตุจากดนิ ขึ้นสูสวนตา งๆ ของพชื 3) C คือ ทอลําเลียงอาหาร สวน D คือ ทอ ลาํ เลยี งนา้ํ ซง่ึ เปน สว นประกอบภายในลาํ ตน ของพชื 4) ตา งกนั เนอ่ื งจาก C คือ ทอ ลาํ เลยี งอาหาร ทําหนา ทล่ี าํ เลยี งอาหารทีส่ รา งจากใบไปสวนตางๆ ของพืช สวน D คือ ทอลําเลียงน้ํา ทําหนาท่ี ลาํ เลยี งนา้ํ และแรธ าตจุ ากรากไปสว นตา งๆ ของพชื ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET เกร็ดแนะครู พืชไดร บั พลังงานเพื่อใชใ นการดํารงชวี ติ จากขอใด ในการทาํ กจิ กรรมสรา งสรรคผ ลงาน ครอู าจใชร ปู แบบการเรยี นรแู บบรว มมอื ก. จากแกสออกซเิ จน เทคนิค L.T. มาจัดกิจกรรมการเรียนรู เพื่อกําหนดใหสมาชิกของนักเรียน ข. จากการคายนาํ้ ของพชื แตละกลมุ มีหนาท่ขี องตนเอง และทํางานรวมกนั ค. จากแกสคารบ อนไดออกไซด ง. จากนํ้าตาลท่ีสะสมไวโดยกระบวนการสังเคราะหดวยแสง รปู แบบการเรียนรูแบบรว มมอื เทคนคิ L.T. หรือ Learning Together คอื (วเิ คราะหค ําตอบ พชื สเี ขียวสรา งอาหารเองได โดยกระบวนการ กระบวนการสอนหนึ่งของรูปแบบการเรียนรูแบบรวมมือ โดยมีขั้นตอนการจัด กจิ กรรมการเรียนรู ดงั นี้ สังเคราะหดวยแสง และใชนํ้าตาลที่สรางข้ึนไปในการเผาผลาญ พลงั งานและใชใ นการเจรญิ เตบิ โต ดังน้นั ขอ ง. จึงเปนคําตอบท่ี 1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละเทาๆ กัน จากน้ันครูและนักเรียนทบทวน ถูกตอง) เน้ือหาเดมิ หรือความรูพ ้ืนฐานทีเ่ กี่ยวขอ ง 2. ครแู จกแบบฝกหัด ใบงาน หรอื โจทย ใหนักเรียนทุกกลมุ กลุมละ 1 ชดุ เหมอื นกนั จากนัน้ ใหน ักเรยี นแบงหนาทใี่ นการทํางาน 3. นักเรียนทํากจิ กรรม แลว นาํ เสนอผลงาน จากนั้นใหค รปู ระเมินผลงาน ของกลมุ โดยเนนกระบวนการทํางานกลุม T55
นาํ สอน สรุป ประเมนิ ขนั้ สรปุ 4. ดูภาพ แล้วเขียนชอื่ ส่วนต่าง ๆ ของดอกลงในสมุดใหถ้ ูกต้อง พร้อมเขยี นอธบิ าย หนา้ ทีข่ องสว่ นประกอบนน้ั ขยายความเขา ใจ หมายเลข 2 12. นักเรียนทําทบทวนทายหนวยการเรียนรูที่ หมายเลข 3 1 เร่ือง ความหลากหลายของส่ิงมีชีวิต จากแบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 50-53 หมายเลข 1 13. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียนของ หมายเลข 4 หนวยการเรียนรูที่ 1 เพื่อตรวจสอบความรู ความเขา ใจหลงั เรยี น 5. ตอบคา� ถามตอ่ ไปนี้ ภาพท่ี 1.91 แนวตอบ กิจกรรมฝก ทักษะ 1) การคายน�า้ ของพืชมีประโยชนต์ อ่ พืชหรอื ไม่ อย่างไร 2) ทอ่ ลา� เลยี งนา้� และทอ่ ลา� เลยี งอาหารมลี กั ษณะอยา่ งไร และพบทส่ี ว่ นใดของพชื ขอ 4. 3) อาหารทพี่ ืชสรา้ งข้นึ จากใบ และแร่ธาตุท่ีรากพืชดดู ข้นึ มาจากดนิ มีทศิ ทางใน หมายเลข 1 คือ เกสรเพศผู ทาํ หนา ทีส่ รางเซลล การล�าเลยี งเหมอื นกันหรอื แตกต่างกนั อย่างไร สบื พันธเุ พศผู กจิ กรรม ทา้ ทา¡ารค´Ô ¢นéÑ สงู หมายเลข 2 คือ เกสรเพศเมยี ทาํ หนา ทส่ี ราง ส¡Ôจร¡ำ้ รงรสมรรค์¼ลงำน เซลลส ืบพนั ธเุ พศเมีย หมายเลข 3 คอื กลีบดอก ทําหนาทห่ี อหมุ เกสร ầ‹ ¡Å‹ÁØ áŌǻ¯ÔºÑµÔ¡¨Ô ¡ÃÃÁ ´§Ñ ¹éÕ 1) ãˌᵋÅÐ¡ÅØ‹Áä»ÊíÒÃǨʋǹ»ÃСͺÀÒÂã¹´Í¡¢Í§¾×ª ขณะที่ยังออน และลอแมลง หมายเลข 4 คือ กลีบเลี้ยง ทาํ หนา ทห่ี อหมุ สวน µÒ‹ § æ 10 ª¹´Ô 㹺ÃÔàdzâçàÃÕ¹ËÃ×ͪØÁª¹ 2) ¹íÒ¢ŒÍÁÙÅÁÒ·íÒ໚¹ÊÁØ´ÀÒ¾â´ÂÇÒ´ÀÒ¾ËÃ×͵ԴÀÒ¾¾ª× ของดอกในขณะทีย่ งั ตมู อยู ขอ 5. ¾ÃÍŒ ÁºÍ¡ª×Íè áÅÐÊÇ‹ ¹»ÃСͺ㹴͡¢Í§¾ª× áµÅ‹ Ъ¹´Ô 3) µ¡áµ§‹ ÊÁ´Ø ãËÊŒ ǧÒÁ áÅÇŒ ¹Òí ä»äÇ·Œ ÕÁè ÁØ ÍÒ‹ ¹Ë¹§Ñ ÊÍ× µÒÁ 1) มีประโยชนตอพืช เพราะเปนการควบคุม ปรมิ าณนา้ํ ของพชื เมอ่ื มนี า้ํ เกนิ ความตอ งการ ทาํ ให ¨Ø´µÒ‹ § æ ¢Í§âçàÃÕ¹à¾Íè× ãËŒ¤ÇÒÁÃÙŒ พืชมีการลําเลียงน้ําและแรธาตุอยางตอเนื่อง และ ชว ยลดความรอ นใหพ ืช 50 2) ทอลําเลียงนํ้าและทอลําเลียงอาหารของพืช มีลักษณะเปนกลุมเซลลเรียงตอกันเปนทอยาวๆ ทอลําเลียงนํ้าและทอลําเลียงอาหารพบไดภายใน ลาํ ตนพืช 3) แตกตางกัน โดยอาหารท่ีพืชสรางข้นึ จากใบ มีทิศทางการลําเลียงขึ้นและลงไปตามสวนตางๆ ของพชื สว นแรธ าตทุ รี่ ากดดู ขน้ึ มาจากดนิ มที ศิ ทาง การลาํ เลยี งจากรากขึ้นสูสวนตา งๆ ของลําตน พชื เกร็ดแนะครู เมื่อเรียนจบบทนี้แลว ครูใหนักเรียนตั้งคําถามที่อยากรูเพิ่มเติมเกี่ยวกับ บทเรียนน้ีคนละ 1 คําถาม แลวครูสุมเรียกใหนักเรียนบอกคําถามของตนเอง จากน้ันใหเพ่ือนๆ ชวยกันแสดงความคิดเห็นวาจะใชวิธีการทางวิทยาศาสตร ตอบคําถามน้อี ยางไร การตั้งคําถามจากการสังเกตหรือจากประเด็นที่ตนเองสงสัย (ระบุปญหา) เปนข้ันตอนแรกของวิธีการทางวิทยาศาสตร ซ่ึงครูควรใหนักเรียนไดฝกฝน เพราะเปน คณุ สมบตั สิ ําคัญอยางหนึ่งของนักวทิ ยาศาสตร T56
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ สร»Ø สารÐสาí คÞั 1»ÃШíาห¹‹วยกาÃàÃยี ¹Ã·ÙŒ ี่ ขนั้ ประเมนิ ความ¡าËรÅาจÑ¡´Ë¡Å ุ‹ÅาÂม Ôส่ง ีมªีวÔต ¡ ุ่ลมพืช¡¡ล่มุลสุ่มัตทว่ี์ไม่ãช่พืชและพสืชัตไมว่ม์ ีดอ¡ พชื ãบเพลชืยีé ãงบเดเลยี่ ยวéี งค่Ù ¿องนาíé ตรวจสอบผล สัตหวท์ นีม่อลีนíาตตัววั แ¡บลนวง ¢อง¾×ª พืชมีดอ¡ หนอนตัว¡ลม 1. ครูใหนักเรียนดูตารางตรวจสอบตนเองจาก หนงั สอื เรยี น หนา 48 จากนน้ั ครถู ามนกั เรยี น สตั ว์ไมม่ ¡ี ระด¡Ù สนั หลงั สัตว์ทหสีม่อตัสยีลตัวแท์íาวตท์ละเัวะมี่ ลหเขี»¼มาšนวิเ¡Ö»ข»ทรนš ลขะุขŒอรเอŒลงะ เปนรายบุคคลตามรายการขอ 1-5 เพื่อเปน สตั วม์ ¡ี ระด¡Ù สนั หลงั ¡¡ล¡ล¡มุ่มุ่ลลสสมุ่มุ่ตัตั ¡»นววลส์เ์¡ลมุ่ละาเยสéี ทตงั นิลวน¡Ùเ์ ลาíéดอสืé วŒ ยะยเคนทลาíéนิ านบนม¡ การตรวจสอบความรคู วามเขา ใจของนกั เรยี น ¡Å‹ุมสÔ่งคมวีªี ำมหลำกหลำยความËÅา¡ËÅา¢องสÑตว หลังจากการเรียน วÔตของสิ่งมชี ีวติ 2. ครูใหนักเรียนรวมกันศึกษาแผนผังความคิด มหี สว‹ นตา‹ ง æ ¢อง¾ª× สรุปสาระสําคัญประจําหนวยการเรียนรูที่ 1 แลมะมหี แหีนรนาŒธ่ ทาŒาทตส่ี ช่ีรขุ ¡ÙนÖéาŒ ง่ิงไ»อ¡าสาŒหนส่Ù นาŒาว่ ทรนãดี่ บตดÙหา่นแางาíéยลแæãะลจเขะ»แอแนš รงลทธ่พะาาชืคงตลาุãนยาí เดนลนิาíéยี งนาíé ãบลาí ตรานŒ ¡ ในหนังสือเรยี นวิทยาศาสตร หนา 51 เ¡สรเเพ¡Èสเรมเีพ¡Èลบี ¡ลบี เลยีéดงอ¡ ¼ÙŒ ย ม»หี รนะาŒ ¡ทอสี่ บบื ดพวŒนั ยธ์ุ ดอ¡ 3. ครูประเมินผลจากการสังเกตพฤติกรรมการ ตอบคําถาม พฤตกิ รรมการทํางานรายบคุ คล 51 พฤติกรรมการทํางานกลุม และจากการ นาํ เสนอหนา ชั้นเรยี น 4. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมท่ี 4 เร่ือง สวนประกอบของดอก จากในสมุดหรือใน แบบฝกหดั วิทยาศาสตร หนา 41 5. ครตู รวจสอบผลการทาํ กจิ กรรมหนตู อบไดใ น สมดุ หรอื ในแบบฝก หัดวิทยาศาสตร หนา 42 6. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมพัฒนา การเรยี นรูท่ี 1 ในสมดุ หรอื ในใบงานท่ี 1.9 7. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมสรุปความรู ประจําบทท่ี 2 ในสมุดหรือในแบบฝกหัด วิทยาศาสตร หนา 43 8. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมฝกฝนทักษะบทที่ 2 ในสมุดหรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร หนา 44-47 9. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมทาทายการคิด ขั้นสงู ในแบบฝกหัดวทิ ยาศาสตร หนา 48 10. ครตู รวจชนิ้ งานสมดุ ภาพดอกของพชื และสว น ประกอบของดอก และการนําเสนอช้ินงาน/ ผลงาน หนาชน้ั เรยี น 11. ครตู รวจสอบผลการทาํ แบบทดสอบทา ยหนว ย การเรียนรูท่ี 1 จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร หนา 50-53 12. ครตู รวจสอบผลการทาํ แบบทดสอบหลงั เรยี น ของหนว ยการเรยี นรูที่ 1 แนวทางการวัดและประเมินผล ครสู ามารถวดั และประเมนิ ผลชนิ้ งาน/ผลงานสมดุ ภาพดอกของพชื และสว น ประกอบของดอกที่นักเรียนสรางข้ึน โดยศึกษาเกณฑประเมินผลงานจากแบบ ประเมนิ ผลงาน/ชน้ิ งานทแี่ นบมาทา ยแผนการจดั การเรยี นรขู องหนว ยการเรยี นรทู ่ี 1 ความหลากหลายของสงิ่ มีชีวติ ดงั ภาพตวั อยาง T57
Chapter Overview แผนการจดั ส่อื ท่ีใช้ จดุ ประสงค์ วธิ สี อน ประเมิน ทักษะท่ีได้ คุณลกั ษณะ การเรียนรู้ อนั พงึ ประสงค์ แผนฯ ท่ี 1 - แบบทดสอบกอ่ นเรยี น 1. สงั เกตและระบผุ ล แบบสบื เสาะ - ต รวจแบบทดสอบก่อนเรยี น - ทกั ษะการสงั เกต - มวี ินยั ผลของแรง - หนงั สือเรยี นวิทยาศาสตร์ ของแรงโนม้ ถว่ งที่มี หาความรู้ - ต รวจใบงานท่ี 2.1 ผลของ - ทักษะการระบุ - ใฝเ่ รยี นรู้ โน้มถ่วงของโลก ป.4 เลม่ 1 ต่อวัตถไุ ด้ (K) (5Es แรงโน้มถ่วงของโลก - ทักษะการสรุปอ้างอิง - ม่งุ ม่นั ใน - แบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตร์ 2. ป ฏิบัติการทดลอง Instructional - ต รวจการท�ำกจิ กรรมในสมดุ - ทกั ษะการให้เหตุผล การทำ� งาน 4 ป.4 เล่ม 1 เก่ียวกบั ผลของ Model) หรือแบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตร์ - วัสดุ-อุปกรณก์ ารทดลอง แรงโนม้ ถ่วงทม่ี ีตอ่ วตั ถุ วิธสี อนโดยใช้ - ก ารน�ำเสนอผลการท�ำ ชั่วโมง กจิ กรรมท่ี 1 ได้ครบทุกขนั้ ตอน (P) การทดลอง กจิ กรรม - หนงั สอื จุดประกายคดิ 3. มคี วามสนใจและ - สงั เกตพฤตกิ รรม ชดุ รู้วิทย์ คิดเปน็ กระตอื รอื ร้นในการ การทำ� งานกล่มุ เร่ือง แรงโน้มถว่ งของโลก เรยี นรู้ (A) - สงั เกตพฤติกรรม - PowerPoint การทำ� งานรายบคุ คล - QR Code แรงโน้มถ่วง - สงั เกตคณุ ลักษณะ ของโลก อนั พึงประสงค์ - บตั รภาพใบไมร้ ว่ ง - ใบงานท่ี 2.1 ผลของ แรงโนม้ ถ่วงของโลก - สมดุ ประจำ� ตัวนกั เรยี น แผนฯ ท่ี 2 - หนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ 1. สังเกตและอธิบาย แบบสบื เสาะ - ตรวจการท�ำกจิ กรรมในสมุด - ทักษะการสงั เกต - มีวินัย การหาน�้ำหนัก ป.4 เลม่ 1 การวัดนำ้� หนกั ของ หาความรู้ หรือแบบฝกึ หดั วทิ ยาศาสตร์ - ท ักษะการตัง้ สมมตฐิ าน - ใฝ่เรียนรู้ ของวตั ถุ - แบบฝึกหัดวทิ ยาศาสตร์ วัตถุโดยใชเ้ คร่ืองชง่ั (5Es - ก ารน�ำเสนอผลการทำ� - ทกั ษะการทดสอบ - มงุ่ มน่ั ใน ป.4 เล่ม 1 สปรงิ ได้ (K) Instructional กิจกรรม สมมตฐิ าน การท�ำงาน 3 - วสั ด-ุ อปุ กรณ์การทดลอง 2. ใชเ้ คร่ืองชง่ั สปริงวดั Model) - สังเกตพฤติกรรมการ - ทกั ษะการเปรยี บเทยี บ กิจกรรมที่ 2 น�้ำหนักของวัตถุต่าง ๆ วธิ สี อนโดย ท�ำงานรายบุคคล ช่วั โมง - QR Code ปัจจยั ทมี่ ีผลตอ่ ได้ (P) การลงมอื - สงั เกตพฤตกิ รรม น้�ำหนกั ของวตั ถุ 3. ใหค้ วามร่วมมือในการ ปฏบิ ตั ิ การท�ำงานกลุ่ม - สมุดประจำ� ตวั นักเรยี น ทำ� กิจกรรมกล่มุ (A) - สังเกตคุณลักษณะ อันพงึ ประสงค์ แผนฯ ที่ 3 - หนังสือเรยี นวิทยาศาสตร์ 1. สังเกตและบรรยาย แบบสืบเสาะ - ตรวจการท�ำกิจกรรมในสมุด - ทกั ษะการสังเกต - มวี ินยั มวลกับ ป.4 เล่ม 1 มวลของวัตถุท่ีมีผลต่อ หาความรู้ หรือแบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตร์ - ทักษะการต้ังสมมติฐาน - ใฝเ่ รยี นรู้ การเปลี่ยนแปลง - แบบฝึกหดั วิทยาศาสตร์ การเปลีย่ นแปลงการ (5Es - ต รวจชิน้ งาน/ผลงาน - ทักษะการทดสอบ - มุ่งม่ันใน การเคลอ่ื นท่ีของ ป.4 เล่ม 1 เคล่ือนที่ของวัตถไุ ด้ Instructional (กล่องกันกระแทก) สมมตฐิ าน การทำ� งาน วัตถุ - วสั ด-ุ อุปกรณก์ ารทดลอง (K) Model) - การน�ำเสนอชิ้นงาน/ผลงาน - ทักษะการเปรียบเทียบ กจิ กรรมท่ี 3 2. ทำ� การทดลองเพ่อื - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน - ทักษะการเชอื่ มโยง - วสั ดุ-อปุ กรณก์ จิ กรรม อธบิ ายมวลของวตั ถุท่มี ี รายบคุ คล 3 สร้างสรรคผ์ ลงาน ผลตอ่ การเปลยี่ นแปลง - สงั เกตพฤติกรรม - บตั รภาพชิงช้าขนาดเลก็ การเคลอ่ื นทข่ี องวตั ถุ การท�ำงานกลุม่ ชั่วโมง และขนาดใหญ่ ได้ (P) - สงั เกตคณุ ลักษณะ - สมดุ ประจำ� ตัวนกั เรยี น 3. มีความกระตือรอื รน้ อันพงึ ประสงค์ ในการเรยี นรู้และ การทำ� กิจกรรม (A) แผนฯ ที่ 4 - หนงั สือเรยี นวทิ ยาศาสตร์ 1. สงั เกตและอธบิ าย แบบสบื เสาะ - ต รวจแบบทดสอบหลงั เรียน - ทกั ษะการสังเกต - มวี นิ ยั ตวั กลางของแสง ป.4 เลม่ 1 การมองเหน็ แสงผ่าน หาความรู้ - ต รวจการท�ำกิจกรรมในสมุด - ทกั ษะการต้งั สมมตฐิ าน - ใฝเ่ รยี นรู้ และวัตถุทึบแสง - แบบฝึกหดั วิทยาศาสตร์ วัตถุตา่ ง ๆ ได้ (K) (5Es หรอื แบบฝึกหดั วิทยาศาสตร์ - ท ักษะการทดสอบ - มุ่งมน่ั ใน ป.4 เลม่ 1 2. จ�ำแนกวตั ถทุ ีน่ ำ� มาใช้ Instructional - ตรวจช้นิ งาน/ผลงาน สมมตฐิ าน การทำ� งาน 3 - วัสดุ-อุปกรณก์ ารทดลอง ก้ันแสงได้ เป็นวัตถุ Model) (สมดุ ภาพการจ�ำแนกวัตถุ) - ทักษะการส�ำรวจค้นหา โปรง่ ใส วัตถโุ ปรง่ แสง - การน�ำเสนอช้นิ งาน/ผลงาน - ทกั ษะการจำ� แนก ชั่วโมง กิจกรรมที่ 1 และวัตถทุ บึ แสง (P) - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน ประเภท - วสั ดุ-อุปกรณก์ ิจกรรม สร้างสรรคผ์ ลงาน 3. ให้ความร่วมมือในการ รายบุคคล - ผา้ เช็ดหน้า ท�ำกจิ กรรมกลุม่ และมี - สงั เกตพฤตกิ รรมการท�ำงาน - สมุดประจำ� ตวั นักเรยี น ความรับผิดชอบในการ กลุม่ - แบบทดสอบหลงั เรยี น ส่งงานตรงเวลา (A) - ส ังเกตคุณลักษณะ - PowerPoint อนั พงึ ประสงค์ T58
Chapter Concept Overview หนว ยการเรยี นรทู ี่ 2 แรงโนม้ ถว งของโลก แรงโนมถวงของโลก คือ แรงของโลกท่ีกระท�าต่อมวลของวัตถุทุกชนิดบนโลก โดยจะดึงดูดวัตถุเข้าสู่ศูนย์กลางของโลก ท�าให้วัตถุ ตา่ ง ๆ มนี า้� หนกั และตกลงสูพ่ ้ืนโลกเสมอ ซ่งึ เราสามารถวดั น้า� หนกั ของวัตถุตา่ ง ๆ ได้โดยใช้เครอื่ งช่งั สปริง แรงโน้มถ่วงมีทิศทางพุ่งเข้าหาจุดศูนย์กลางของโลกท่ีต�าแหน่งเดียวกัน แรงโน้มถ่วงท่ีกระท�าต่อวัตถุจะเพิ่มข้ึนตามมวลของวัตถ ุ และแรงโนม้ ถ่วงจะลดลงเม่อื ระยะห่างของวัตถุจากศูนย์กลางของโลกเพ่มิ ขึน้ มวลและนํ้าหนักของวัตถุ ปจจัยทีม่ ผี ลตอน้าํ หนกั ของวตั ถุ มวลนอ้ ย • นํ้าหนกั คือ ปริมาณของแรงโน้มถว่ งของโลก • มวลของวัตถุ น�า้ หนกั นอ้ ย ท่ีกระท�าต่อมวลของวัตถุต่าง ๆ บนโลก โดย มวลมาก ดงึ ดดู ใหว้ ตั ถตุ กลงมาทพ่ี น้ื โลก นา�้ หนกั มหี นว่ ย น�า้ หนกั มาก เป็นนวิ ตนั (N) • ระยะหางจากจุดศูนยกลางของโลก วัตถุย่ิงอยู่ห่าง • มวล คอื ปรมิ าณของเนอื้ สารทงั้ หมดทม่ี อี ยใู่ น จากจดุ ศนู ยก์ ลางของโลกมากขน้ึ เทา่ ใด แรงโนม้ ถว่ ง วัตถุนั้น ซึ่งมีค่าคงท่ีไม่ว่าจะอยู่ท่ีใดบนโลก ของโลกที่กระทา� ต่อวตั ถนุ ้ันจะยง่ิ ลดน้อยลง มวลมีหนว่ ยเปน็ กรัม (g) หรอื กิโลกรัม (kg) มวลของวัตถุกบั การเปล่ียนแปลงการเคลอื่ นท่ี มวลมผี ลตอ่ การเปลยี่ นแปลงการเคลอ่ื นทข่ี องวตั ถ ุ ซง่ึ วตั ถทุ มี่ มี วลมากจะเปลย่ี นแปลง การเคลอ่ื นท่ไี ดย้ ากกว่าวตั ถทุ ่ีมีมวลน้อย เชน่ ตไู้ มม้ ีมวลมากกวา่ เกา้ อ้ีไม้ทา� ใหเ้ คลอ่ื นที่หรือ เคล่ือนยา้ ยได้ยากกว่า ท�าให้เกิดเป็นการตา้ นการเปล่ยี นแปลงการเคลอื่ นที่ของต้ไู ม้ เปน็ ต้น ตัวกลางของแสง เมอ่ื มองสงิ่ ของตา่ ง ๆ โดยมวี ัตถตุ ่างชนดิ กันมาวางก้ัน จะทา� ใหเ้ รามองเหน็ ส่ิงของน้นั ๆ ไดช้ ัดเจนตา่ งกนั จึงใชล้ ักษณะการมองเห็น สง่ิ ตา่ ง ๆ ผ่านวัตถนุ นั้ เปน็ เกณฑใ์ นการจา� แนกวตั ถุได้ ดงั น้ี ชนดิ ของวัตถุ วตั ถุโปรงใส วัตถุโปรงแสง วตั ถุทึบแสง • วัตถุท่เี มอื่ นา� มาก้นั แสง แลว้ มองเหน็ แสง • วตั ถทุ ่เี มอื่ นา� มาก้นั แสง แล้วมองเห็นแสง • ว ตั ถทุ เ่ี มอ่ื นา� มากนั้ แสง แลว้ ทา� ใหม้ องไมเ่ หน็ แสง หรือมองเห็นส่ิงที่อยู่ด้านหลงั วัตถนุ ้นั ได้ชัดเจน หรือมองเหน็ สิ่งท่ีอยดู่ ้านหลังวตั ถนุ นั้ ไมช่ ดั เจน หรอื ไม่สามารถมองเหน็ สิง่ ที่อยูด่ า้ นหลงั วัตถุนนั้ • ตัวอย่างวัตถุโปร่งใส • ตวั อยา่ งวตั ถุโปร่งแสง • ตัวอย่างวตั ถุทบึ แสง กล่องใส แก้วใส แกว้ สีน�้าเงนิ ขวดสชี า กระปกุ ออมสิน กลอ่ งลัง T59
นาํ นํา สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั นาํ 2หน่วยกำรเรียนรู้ท่ี ááÃŧÐâµ¹ÇÑ ÁŒ ¡¶ÅÇ‹ Ò§§¢¢Íͧ§âáÅÊ¡§ áçâ¹ÁŒ ¶Ç‹ §¢Í§âš໹š áç´§Ö ´´Ù ·èÕâÅ¡¡ÃзÒí กระตนุ ความสนใจ µÍ‹ ÁÇÅ¢Í§ÇµÑ ¶·Ø ¡Ø ª¹´Ô º¹âÅ¡áÅÐÇµÑ ¶·Ø ÍÕè ‹Ùã¡Å⌠š «§Öè Á·Õ ÈÔ ·Ò§à¢ÒŒ Êȋ٠¹Ù ¡ ÅÒ§¢Í§âÅ¡ ¨§Ö ·Òí ãËÇŒ µÑ ¶ÁØ Õ 1. ครูสนทนากับนักเรียนโดยถามคําถามวา ¹Òéí ˹¡Ñ áÅе¡Å§Ê¾‹Ù ¹×é âÅ¡àÊÁÍ นักเรียนทราบหรือไมวา วันนี้จะไดเรียนรู เกย่ี วกบั เรอ่ื งอะไร แลว ใหน กั เรยี นชว ยกนั ตอบ àÁÍ×è ÁͧʧèÔ µÒ‹ §æ â´ÂÁÇÕ µÑ ¶µØ Ò‹ §ª¹´Ô ÁÒ¡¹éÑ áʧ คาํ ถาม จากนัน้ ครูแจงชือ่ เรอ่ื งทจี่ ะเรยี นรูแ ละ ¨Ð·Òí ãË¡Œ ÒÃÁͧà˹ç ʧèÔ ¹¹éÑ æ ª´Ñ ਹᵡµÒ‹ §¡¹Ñ ä» ผลการเรียนรใู หน ักเรยี นทราบ ¨§Ö ¨Òí á¹¡ÇµÑ ¶·Ø ¡Õè ¹Ñé áʧÍ͡໹š µÇÑ ¡ÅÒ§â»Ã§‹ ãÊ µÇÑ ¡ÅÒ§â»Ã§‹ áʧ áÅÐÇµÑ ¶·Ø ºÖ áʧ 2. นกั เรยี นทาํ แบบทดสอบกอ นเรยี นเพอ่ื วดั ความรู เดมิ ของนักเรยี นกอนเขาสกู ิจกรรม 3. นักเรียนสังเกตภาพหนาหนวยการเรียนรูท่ี 2 แรงโนมถวงของโลกและตัวกลางของแสง จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ป.4 เลม 1 หนา น้ี 4. ครูใหนักเรียนแสดงความคิดเห็นรวมกันอยาง อสิ ระวา ภาพในหนา นเี้ กย่ี วขอ งกบั แรงโนม ถว ง ของโลกหรอื ไม อยา งไร โดยครคู อยเสรมิ ขอ มลู ในสวนท่บี กพรอง µÑǪÕéÇÑ´ 1. ระบผุ ลของแรงโน้มถ่วงที่มีต่อวตั ถุจากหลักฐานเชิงประจกั ษ์ (มฐ. ว 2.2 ป.4/1) 2. ใชเ้ ครอ่ื งชง่ั สปรงิ ในการวัดน้า� หนักของวัตถุ (มฐ. ว 2.2 ป.4/2) 3. บรรยายมวลของวัตถทุ มี่ ผี ลตอ่ การเปลี่ยนแปลงการเคลอ่ื นท่ีของวตั ถจุ ากหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ (มฐ. ว 2.2 ป.4/3) 4. จา� แนกวตั ถุเปน ตวั กลางโปร่งใส ตวั กลางโปร่งแสง และวัตถทุ ึบแสง โดยใชล้ ักษณะการมองเห็นส่งิ ตา่ ง ๆ ผา่ นวัตถุนั้นเปนเกณฑ์ จากหลักฐานเชงิ ประจักษ์ (มฐ. ว 2.3 ป.4/1) เกร็ดแนะครู ครสู ามารถหยบิ ใชแ บบทดสอบกอ นเรยี นทแ่ี นบมาทา ยแผนการจดั การเรยี นรู ของหนวยการเรยี นรทู ี่ 2 แรงโนมถว งของโลกและตวั กลางของแสง ในการเรียนหนวยการเรียนรูที่ 2 น้ี ครูควรจัดกระบวนการเรียนรูโดยให นักเรียนไดลงมือปฏิบัติกิจกรรมดวยตนเอง จนเกิดเปนความรูความเขาใจที่ ถูกตอง รวมท้ังสามารถนําวิธีการทางวิทยาศาสตรและทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตรม าใชในการคนหาคาํ ตอบเกยี่ วกับประเด็นทส่ี งสยั ได ดังนี้ • สงั เกตและระบุผลของแรงโนมถว งของโลกทม่ี ตี อ วัตถุ •ï ใชเ คร่อื งชั่งสปรงิ เพื่อวัดนํ้าหนกั ของวตั ถุ •ï สังเกตและบรรยายมวลของวัตถุท่ีมีผลตอการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ ของวตั ถุ •ï สังเกตและอธิบายการมองเห็นแสงผานวัตถุตางๆ รวมท้ังจําแนกวัตถุ โปรงใส วตั ถุโปรง แสง และวตั ถทุ ึบแสง T60
นาํ นํา สอน สรปุ ประเมนิ 1º··èÕ áç⹌Á¶Ç‹ §¢Í§âÅ¡ Key words ขน้ั นาํ • gravitational force กระตนุ ความสนใจ • mass • weight 5. นักเรียนเรียนรูคําศัพทที่เกี่ยวของกับการเรียน ในบทที่ 1 เรื่อง แรงโนมถวงของโลก จาก ?áç⹌Á¶‹Ç§¢Í§âÅ¡ หนังสือเรียนหนาน้ี โดยครูสุมเลือกตัวแทน Áռŵ‹ÍÇѵ¶Ø หรือขออาสาสมัครนักเรียน 1 คน ออกมา Í‹ҧäà หนาช้ันเรียนเพ่ือเปนผูอานนําและใหนักเรียน ในหองคนอนื่ ๆ อา นตาม มวล แรงโนม้ ถว่ ง (หมายเหตุ : ครเู ริม่ ประเมนิ นกั เรียน โดยใช แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทาํ งานรายบคุ คล) (mass) (gravitational force) 6. ครูถามคําถามสําคัญประจําบทเพ่ือกระตุน นา้� หนัก กิจกรรม นาํ สกู ารเรียน นักเรียนกอนเขาสูเนื้อหาวา แรงโนมถวงของ โลกมีผลตอวัตถุอยางไร แลวใหนักเรียนรวม (weight) 53 กันแสดงความคิดเห็นอยางอิสระในการตอบ คาํ ถาม (แนวตอบ แรงโนมถว งของโลกทาํ ใหว ตั ถตุ า งๆ มนี าํ้ หนกั และตกลงสูพ้ืนโลกเสมอ) 7. ครูใหนักเรียนแตละคนสืบคนกิจกรรมในชีวิต ประจําวันที่เกี่ยวของกับแรงโนมถวงของโลก จากหนังสือเรียนหรอื ส่อื อื่นๆ ที่ครูเตรียมไว 8. นกั เรยี นวาดภาพหรอื ตดิ ภาพเกย่ี วกบั กจิ กรรม ท่ีเกี่ยวของกับแรงโนมถวงของโลกมา 2-3 กิจกรรม ลงในสมุดหรือใหทํากิจกรรมนําสู การเรยี นในแบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร ป.4 เลม 1 หนา 54 นักเรียนควรรู ครูใหน ักเรยี นฝกเรียนรูและอานคาํ ศพั ทวทิ ยาศาสตร ดงั น้ี Mass (แมส) มวล Weight (เวท) น้าํ หนัก Gravitational force (แกรฟ็ ว’ิ เทชึนึล ฟอซ) แรงโนมถว ง Spring scale (สปริง สเกล) เครือ่ งชงั่ สปรงิ Hang scale (แฮง็ สเกล) เครือ่ งช่ังสปริง แบบแขวน T61
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขนั้ สอน 1. áç⹌Á¶‹Ç§¢Í§âÅ¡ นักเรียนเคยสังเกตหรือไม่ว่า สิ่งของต่าง ๆ สาํ รวจคน หา รอบตัวเรานั้นล้วนวางอยู่บนพ้ืนโดยท่ีไม่ลอยอยู่ ในอากาศ ท่ีเปนเช่นน้ี เพราะโลกของเรา 1. นักเรียนแตละคนศึกษาขอมูลและดูภาพใน มีแรงชนิดหนึ่งมากระท�าต่อสิ่งต่าง ๆ ท่ีอยู่ หนังสือเรียนหนาน้ี จากน้ันครูใหนักเรียน บนโลก เรียกว่า แรงโน้มถ่วงของโลก ตอบคาํ ถามลงในสมดุ ดังน้ี หรอื แรงดึงดดู ของโลก • ภาพตา งๆ ในหนา นเ้ี ปน เหตกุ ารณใดบา ง ภาพท่ี 2.1 น้�าตก (แนวตอบ น้ําตก คนกระโดดรม คนเลนกฬี า แรงโน้มถ่วงของโลกเปนแรงที่โลกกระท�าต่อมวลของวัตถุต่าง ๆ บนโลก กระจกหลนแตก ฝนตก และใบไมร วง) วแัตลถะวนุ ตั ้ันถไทุม่อีไ่ ดย้สใู่ กัมลผ้โัสลกกบั เผชิวน่ โลกโลกแดรงงึ โดนดู ้มดถา่ววงเทขอียมงโลหกรจอื ึงโจลัดกเดปึงน ดแูดรดงวไมงจ่สันัมทผรัส์1โดยท่ี • นักเรยี นคดิ วา วัตถุ ส่งิ ของ หรือคนในภาพ จะตกลงสูพ้นื หรอื ไม เพราะอะไร ภาพที่ 2.2 ตวั อยา่ งผลของแรงโนม้ ถว่ งของโลกทมี่ ตี อ่ วตั ถตุ ่าง ๆ ฝนตก (แนวตอบ ตกลงสพู นื้ เพราะโลกมแี รงโนม ถว ง ท่กี ระทาํ ตอวตั ถตุ า งๆ จึงทาํ ใหว ัตถุ ส่งิ ของ กระโดดรม่ หรือคนตกลงสูพ้นื ได) • นกั เรยี นคิดวา แรงโนมถวงเกยี่ วขอ งกบั การ กระจกหลน่ แตก ใบไม้ร่วง ใชชวี ติ ประจําวันของนักเรียนอยา งไรบาง (แนวตอบ เชน การยกสิ่งของที่มีนํ้าหนัก เลน่ กีฬา áçâ¹ÁŒ ¶Ç‹ §à¡ÕÂè Ç¢ŒÍ§¡ºÑ ¡ÒÃ㪪Œ ÇÕ µÔ มากๆ ไดย าก การทาํ สง่ิ ของหลน พน้ื จะเกดิ »ÃШÒí Ç¹Ñ ¢Í§¹Ñ¡àÃÕ¹ÍÂÒ‹ §äúҌ § ความเสียหาย เปนตน) 54 2. ครสู มุ นกั เรยี นจากลาํ ดบั เลขท่ี 4-5 คน ใหต อบ คําถาม จากน้ันใหนักเรียนชวยกันอภิปราย คําตอบของเพื่อน และสรุปคําตอบท่ีถูกตอง รวมกัน โดยครคู อยตรวจสอบความถกู ตอ ง 3. ครูใหรางวัลกับตัวแทนนักเรียนที่ตอบคําถาม ถูกตอง และชมเชยนักเรียนทุกคนท่ีชวยกัน อภิปรายคาํ ตอบจากคาํ ถามที่ครตู ้ังไว 4. ครูใหนักเรียนสังเกตบัตรภาพใบไมรวงหรือ ดภู าพเคลือ่ นไหว (ใบไมร ว ง) จาก PPT เรอ่ื ง แรงโนม ถว งของโลก โดยครตู ง้ั คาํ ถามวา ใบไม จะหลน ลงสพู น้ื โลกหรอื ไม เพราะอะไร จากนน้ั ใหน ักเรยี นตอบคําถามไดอยา งอสิ ระ ซึ่งครูยัง ไมเฉลยคําตอบ (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคดิ ครอู าจยกตัวอยา งกิจกรรมตา งๆ ใหนักเรียนฟงเพิม่ เตมิ เชน แรงโนมถวงของโลกมีผลตอ วตั ถุตา งๆ ทอ่ี ยบู นโลกอยา งไร ï• ข่จี ักรยานลงทางลาดชัน ก. ทาํ ใหว ัตถุหยดุ นิ่ง ï• กระโดบันจจี้ มั พ ข. ทําใหวัตถุตกลงสพู ืน้ โลก ï• ล่ืนหกลมเพราะเหยยี บนํา้ บนพืน้ ค. ทําใหวตั ถุเคล่อื นทไ่ี ดเรว็ ขน้ึ •ï ปน ขน้ึ ตนไม ง. ทําใหวตั ถลุ อยไปมาในอากาศได (หรอื ตวั อยา งอืน่ ๆ) จากนนั้ ใหน กั เรยี นรว มกนั วเิ คราะหว า กจิ กรรมนน้ั เกยี่ วขอ งกบั แรงโนม ถว ง (วเิ คราะหคาํ ตอบ แรงโนมถว งของโลก เปนแรงท่ีโลกดึงดูดวัตถุ ของโลกหรือไม อยา งไร ตางๆ เขาสูศูนยกลางของโลก ทําใหวัตถุตางๆ มีน้ําหนักและ ตกลงสูพ ืน้ โลกเสมอ ดงั นน้ั ขอ ข. จึงเปน คําตอบท่ีถกู ตอง) นักเรียนควรรู 1 แรงไมส มั ผสั หรอื แรงสนาม (field force) หมายถงึ แรงทไ่ี มต อ งมกี ารสมั ผสั กบั วัตถุ แรงประเภทนี้ ไดแก แรงโนมถว งของโลก แรงแมเ หลก็ และแรงไฟฟา T62
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ¡Ô¨¡ÃÃÁ·èÕ 1 2หนวยการเรียนรูท ี่ ขนั้ สอน ผลของแรงโนมถว งของโลก áç⹌Á¶Ç‹ §¢Í§âÅ¡áÅеÇÑ ¡ÅÒ§¢Í§áʧ สาํ รวจคน หา ทักษะกระบวนกำร จุดประสงค ทำงวทิ ยำศำสตรท์ ่ีใช้ 5. ครูแบงกลุมนักเรียนแบบคละความสามารถ กลมุ ละ 3-4 คน ใหอยกู ลุม เดียวกัน โดยครู สงั เกตและอธิบายผลของแรงโนม้ ถว่ งของโลกที่มีต่อวตั ถุ 1. การสงั เกต เปน ผเู ลอื กนักเรยี นเขา กลุม 2. การลงความเห็นจากข้อมูล 3. การพยากรณ์หรือการคาดคะเน 6. ในช่ัวโมงน้ีครูใชวิธีสอนโดยใชการทดลอง 4. การตีความหมายข้อมลู และการลงขอ้ สรปุ (Experiment) เขามาจัดกิจกรรมการเรียนรู แลวต้ังคําถามเพ่ือกําหนดปญหาใหนักเรียน ตองเตรียมตองใช 2. ถุงพลาสตกิ 1 ใบ กอนทํากิจกรรมวา แรงโนมถวงของโลกมีผล 4. ใบไมแ้ ห้ง 1 ใบ ตอ วตั ถตุ า งๆ บนโลกอยา งไร จากนน้ั ใหแ ตล ะ 1. กระดาษ 1 แผน่ กลุมรวมกันตง้ั สมมติฐาน 3. ยางลบ 1 ก้อน 7. ครูใหความรูกับนักเรียนกอนทํากิจกรรมวา ลองทาํ ดู แรงโนมถวงของโลกน้ันเปนแรงไมสัมผัส เนื่องจากแรงโนมถวงของโลกสามารถดึงดูด 1. สงั เกตวตั ถทุ นี่ า� มาใชท้ า� กจิ กรรม จากนนั้ คาดคะเนวา่ ภาพที่ 2.3 วัตถุตางๆ บนโลกและท่ีอยูใกลโลกใหเขาหา เมอื่ โยนวตั ถตุ า่ ง ๆ ขน้ึ ไปในอากาศ วตั ถจุ ะตกลงสพู่ นื้ จดุ ศนู ยก ลางของโลกไดโ ดยทไ่ี มต อ งสมั ผสั กนั หรือไม่ แลว้ บนั ทกึ ผลลงในสมุด 8. แตละกลุมชวยกันศึกษาการทํากิจกรรมที่ 1 2. ท�ากิจกรรมเพื่อตรวจสอบผลการคาดคะเน โดยขย�า ในหนังสือเรียนหนาน้ี แลว ชว ยกนั ทํากิจกรรม แผ่นกระดาษแล้วโยนข้นึ ไปในอากาศ จากน้นั สงั เกต ใหครบทุกขั้นตอน จากน้ันบันทึกผลลงสมุด การเคล่อื นทีข่ องก้อนกระดาษและบันทกึ ผล หรือแบบฝกหัดวิทยาศาสตร หนา 56 3. ท�าการทดลองซ�้าขอ้ 2. แตเ่ ปลีย่ นวัตถเุ ปน ใบไมแ้ ห้ง 9. ครูคอยสังเกตการทํากิจกรรมของนักเรียน ถุงพลาสติก และยางลบ ตามล�าดับ แตล ะกลมุ อยา งใกลช ดิ พรอ มใหค าํ แนะนาํ กบั นักเรียนทมี่ ขี อ สงสัยระหวางทํากิจกรรม 4. รว่ มกนั อภปิ รายขอ้ มลู จากการสงั เกตและสรปุ ผลการ (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช ท�ากจิ กรรม แล้วน�าเสนอหนา้ ช้ันเรียน แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทํางานกลุม) หนูตอบได แนวตอบ หนูตอบได 1. กจิ กรรมในชวี ติ ประจา� วนั ใดบ้าง เปนผลมาจากแรงโนม้ ถ่วงของโลกท่กี ระท�าต่อวัตถุ ขอ 3. 2. เพราะเหตุใด เม่อื โยนวตั ถขุ ้นึ ไปในอากาศ วตั ถจุ งึ ตกลงสูพ่ น้ื เสมอ • เห็นดวย เพราะส่ิงมีชีวิตทุกชนิดบนโลก 3. “แรงโนม้ ถ่วงของโลกทา� ใหท้ กุ ส่งิ บนโลกไม่ลอยไปในอากาศ จงึ ถือว่าเปน ผลดตี อ่ ส่ิงมีชีวติ จาํ เปน ตอ งใชแ รงโนม ถว งของโลกเพอื่ ทาํ ใหส ามารถ บนโลก” นักเรียนเหน็ ดว้ ยกบั ข้อความนีห้ รอื ไม่ เพราะอะไร อยูบ นพื้นโลกได (คหือมกายารเหคตดิ ุแ: คบําบถใหามเ หขตอ ุผสลดุ ทแาลยะขกอางรหคนิดูตแอบบบไโดตแ เปยงนคซาํงึ่ ถผาเู รมยี ทนอ่ี ออากจแเลบอืบกใหตผอบูเรอยี ยนา ฝงกใดใชอทยักา งษหะนก่งึากรคไ็ ดิด ขใหั้นคสรงู ู 55 • ไมเ หน็ ดว ย เพราะสง่ิ ไมม ชี วี ติ ทกุ ชนดิ บนโลก ตง้ั อยบู นพน้ื โลกได เนอื่ งจากมแี รงโนม ถว งของโลก พจิ ารณาจากเหตผุ ลสนบั สนุน) ดงึ ดูดไวเ ชนเดยี วกนั กบั สง่ิ มชี วี ติ ขอสอบเนน การคดิ เกร็ดแนะครู ส่งิ ใดตอไปนี้เคลอื่ นทไ่ี ดดวยแรงโนมถวงของโลก วิธีสอนโดยใชการทดลอง (Experiment) เปนวิธีสอนท่ีมุงชวยใหผูเรียน ก. กงั หนั ลมหมนุ รายบุคคลหรือรายกลุมเกิดการเรียนรูโดยการเห็นประจักษจากการคิดและ ข. เรอื แลนบนผวิ น้าํ การกระทําของตนเอง โดยเปนกระบวนการสอนที่ชวยใหผูเรียนเกิดการเรียนรู ค. รถยนตแลน บนถนน ตามวัตถุประสงค ซึ่งตองมีการกําหนดปญหาและสมมติฐานในการทดลอง ง. ลกู มะพราวหลน จากตน ตามขน้ั ตอนท่กี าํ หนด โดยใชวสั ดอุ ปุ กรณทีจ่ าํ เปน เกบ็ รวบรวมขอ มลู วเิ คราะห ขอมูล อภิปรายและสรุปผลการทดลอง รวมท้ังสรุปผลการเรียนรูที่ไดรับจาก (วิเคราะหค าํ ตอบ แรงโนมถวงของโลกเปน แรงทด่ี งึ ดูดวตั ถตุ างๆ การทดลอง ซ่ึงมีขนั้ ตอนสําคญั ของการจดั กิจกรรมการเรียนรู ดังนี้ ใหตกลงสูพื้นได จึงดึงดูดลูกมะพราวที่กําลังหลนจากตนใหตก ลงมาสูพืน้ โลกได ดงั นน้ั ขอ ง. จงึ เปนคําตอบทีถ่ กู ตอง) 1. ผสู อน/ผูเรียนกําหนดปญหาและสมมตฐิ านในการทดลอง 2. ผูสอนใหความรูท่ีจําเปนตอการทดลอง เชน ขั้นตอนและรายละเอียด ของการทดลอง 3. ผเู รียนลงมอื ทดลองตามข้ันตอน และบนั ทกึ ผล 4. ผเู รียนวเิ คราะหแ ละสรุปผลการทดลอง 5. ผสู อนและผูเรียนอภปิ รายผลการทดลอง และสรุปผลการเรยี นรู T63
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สอน 1.1 ลกั ษณะของแรงโนม้ ถว่ งของโลก อธบิ ายความรู แรงโน้มถ่วงของโลก คอื แรงทโ่ี ลกกระทา� ตอ่ มวลของวัตถทุ กุ ชนิดบนโลก และวตั ถุทอี่ ย่ใู กลโ้ ลก โดยจะดึงดูดวัตถเุ ข้าส่ศู ูนย์กลางของโลก ท�าให้วัตถุต่าง ๆ 1. ครูใหนักเรียนดูภาพเคล่ือนไหว (ใบไมรวง) มีน�้าหนักและตกลงสู่พ้ืนโลกเสมอ เราและวัตถุต่าง ๆ บนโลกจึงสามารถอยู่บน จาก PowerPoint ตอ แลวใหนักเรียนรวมกัน พ้ืนโลกได้โดยไม่ลอยขน้ึ ไปในอากาศ อภิปรายวา เพราะเหตุใดใบไมจึงรวงลงสู เซอร์ ไอแซก นวิ ตนั นกั วทิ ยาศาสตรช์ าวองั กฤษ พ้ืนโลก คือผู้ค้นพบทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของโลก ซ่ึงค้นพบ โดยบังเอิญจากการสังเกตผลแอปเปลท่ีหลุดจากต้น 2. ครจู บั สลากเลอื กลาํ ดบั ของแตล ะกลมุ ใหม านาํ แลว้ ร่วงลงพนื้ นวิ ตนั เกิดความสงสยั และไดศ้ กึ ษาจน เสนอผลการทาํ กจิ กรรม เพอ่ื ตรวจสอบความรู ได้ข้อสรุปว่า “วัตถุทุกอยางจะออกแรงดึงดูดซ่ึงกัน ของนกั เรียนหลงั การทาํ กจิ กรรมที่ 1 และกัน เหมือนกับแรงโนมถวงของโลกที่กระทําตอ วัตถทุ ุกอยา งในโลก” ภาพที่ 2.4 เซอร์ ไอแซก นวิ ตนั 3. นักเรียนทุกกลุมรวมกันอภิปรายผลการทํา กิจกรรมจนไดขอสรุปวา วัตถุทุกชนิดจะตอง ภาพที่ 2.5 แรงโนม้ ถว่ งของโลกมที ศิ พงุ่ เขา้ หาจดุ ศนู ยก์ ลางของโลก ตกลงสูพ้ืนโลกเสมอ เพราะโลกมีแรงโนมถวง เมื่อลากเส้นสมมุตติ ามทศิ ทางท่ีวัตถทุ ัง้ หลายตกลงสพู่ ื้นโลก ที่กระทําตอวัตถุตางๆ ทําใหวัตถุมีน้ําหนัก เมอื่ เราโยนวตั ถขุ น้ึ ไปในอากาศหรอื ปลอ ยวตั ถุ 56 แรงโนม ถวงของโลก จากทสี่ งู วตั ถจุ ะตกลงสพู น้ื โลกเสมอ โดยใหค รู คอยเสนอแนะเพ่ิมเติมในสวนที่บกพรอง ขนั้ สรปุ ขยายความเขา ใจ 1. นักเรียนศึกษาขอมูลลักษณะของแรงโนมถวง ของโลกจากหนังสอื เรยี น หนา 56-57 2. นักเรียนจับคูกับเพ่ือนแลวชวยกันศึกษาขอมูล เพิ่มเติมจากสื่อดิจิทัล โดยใชโทรศัพทมือถือ สแกน QR Code เรื่อง แรงโนม ถว งของโลก จากหนงั สอื เรยี นหนา นี้ 3. นักเรียนนําความรูท่ีไดจากการศึกษาขอมูล จากหนังสือเรียนและส่ือดิจิทัลมาอภิปรายถึง ลักษณะของแรงโนมถวงของโลก และผลของ แรงโนม ถว งของโลกทมี่ ตี อ วตั ถุ แลว รว มกนั สรปุ ภายในชนั้ เรยี น โดยใหค รคู อยอธบิ ายเพมิ่ เติม สื่อ Digital ขอ สอบเนน การคิด ครูใหนักเรียนเรียนรูเก่ียวกับลักษณะของแรงโนมถวงของโลกเพ่ิมเติมจาก ขอใดไมใ ชประโยชนท ่เี กดิ จากแรงโนม ถว งของโลก ส่อื ดจิ ิทัล โดยใหส แกน QR Code เร่ือง แรงโนม ถวงของโลก จากหนงั สอื เรยี น ก. ทาํ ใหฝ นตกลงสูพ้ืนดนิ หนา 56 ซงึ่ จะปรากฏคลปิ วดิ โี อ ดงั ภาพตัวอยาง ข. ทําใหย กของหนักๆ ไดยาก ค. ทาํ ใหเ กดิ นํา้ ตกตามแหลงนํ้าธรรมชาติ ง. ทําใหวตั ถหุ รือสิ่งตา งๆ ต้งั อยบู นพืน้ ได (วิเคราะหคําตอบ แรงโนม ถว งของโลก คอื แรงของโลกที่ดึงดูด วตั ถหุ รอื ส่งิ ตางๆ เขาสูศนู ยก ลางของโลก จึงมผี ลทาํ ใหวตั ถุหรือ สิ่งตา งๆ ตกลงสพู ้นื โลกเสมอ แตมีขอ จาํ กัด คือ ทําใหเ รายกวตั ถุ หรอื สงิ่ ของท่ีมนี า้ํ หนักมากๆ ไดยาก ดังนั้น ขอ ข. จึงเปน คาํ ตอบ ทถ่ี กู ตอง) T64
นาํ สอน สรุป ประเมิน 2หนว ยการเรยี นรูท่ี ขนั้ สรปุ áçâ¹ÁŒ ¶Ç‹ §¢Í§âÅ¡áÅеÑÇ¡ÅÒ§¢Í§áʧ ขยายความเขา ใจ แรงโน้มถ่วงของโลกอาจท�าให้เกิดประโยชน์และท�าให้เกิดข้อจ�ากัดต่าง ๆ 4. ใหนักเรียนชวยกันตอบคําถามจากกิจกรรม ในการใชช้ วี ติ ประจ�าวนั ของเราได้ เช่น พัฒนาการเรียนรูที่ 1 ในหนังสือเรียนหนานี้ ประโยชน์ โดยครูเปน ผูเ ฉลยและอธิบายเหตผุ ลเพ่มิ เติม (หมายเหตุ : ครูเรม่ิ ประเมนิ นักเรยี น โดยใช • ท�าให้ส่งิ ของตา่ ง ๆ ไม่ลอยไปมาในอากาศ แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) • ทา� ใหเ้ รายืนอยูบ่ นโลกไดโ้ ดยไม่ลอยไปมา • ท�าใหน้ ้�าไหลจากที่สงู ลงสู่ทตี่ �่า 5. ครูแจกใบงานท่ี 2.1 เร่ือง ผลของแรงโนม • ท�าให้น�า้ ฝนตกลงส่พู ้ืนโลก ถวงของโลก ใหนักเรียนทุกคนนํากลับไปทํา เปน การบานแลว นาํ มาสง ในชวั่ โมงเรียนถัดไป ภาพที่ 2.6 6. ครตู ง้ั คาํ ถามวา แรงโนม ถว งของโลกมปี ระโยชน ข้อจ�ำกดั หรอื มขี อ จาํ กดั ในการใชช วี ติ ประจาํ วนั ของเรา อยางไรบาง จากนน้ั ใหนกั เรียนชวยกันตอบ • การท�ากจิ กรรมบางอย่างทส่ี วนทางกบั แรงโนม้ ถว่ ง 7. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก ของโลกจะรู้สึกเหนอื่ ยและทา� ได้ลา� บาก เชน่ หนังสือเรียน หนา 55 ลงในสมุดหรือทําใน เดินข้นึ บนั ได ปนจักรยานขึ้นเขา เปน ต้น แบบฝก หัดวิทยาศาสตร หนา 57 • เม่ือทา� สิง่ ของบางอย่างหล่นพืน้ จะทา� ใหช้ �ารุดเสียหาย ขน้ั ประเมนิ • ทา� ให้ไมส่ ามารถกระโดดให้สงู มาก ๆ ได้ • ทา� ให้ยกสิ่งของทมี่ นี ้�าหนกั มาก ๆ ไม่ได้ ตรวจสอบผล 1¡Ô¨¡ÃÃÁ ¾Ñ²¹Ò¡ÒÃàÃÕ¹ÌٷÕè ภาพท่ี 2.7 1. ครสู มุ นกั เรยี นตามเลขท่ี 5 คน แลว ใหแ ตล ะคน อธิบายผลของแรงโนมถวงของโลกท่ีมีตอวัตถุ ใหด้ ภู ำพแลว้ ตอบวำ่ ภำพหมำยเลขใดเปน ผลกระทบมำจำกแรงโนม้ ถว่ งของโลก จากนั้นใหนักเรยี นท้งั หอ งสรปุ ความรรู วมกัน พรอ้ มใหเ้ หตุผลประกอบ 2. ครตู รวจสอบผลการทําแบบทดสอบกอ นเรียน 123 3. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมท่ี 1 เร่ือง ภาพท่ี 2.8 ดวงอาทติ ยข์ ึน้ ภาพท่ี 2.9 ยกน้า� หนัก ภาพที่ 2.10 ปน จกั รยาน ผลของแรงโนมถวงของโลก ในสมุดหรือใน 57 แบบฝก หัดวทิ ยาศาสตร หนา 56 4. ครูตรวจสอบการวาดภาพหรือการติดภาพที่ เกี่ยวของกับแรงโนมถวงของโลกในสมุดหรือ ตรวจกิจกรรมนําสูการเรียนในแบบฝกหัด วทิ ยาศาสตร หนา 54 5. ครูตรวจสอบผลการทําใบงานที่ 2.1 เรื่อง ผลของแรงโนมถวงของโลก 6. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมหนูตอบได ในสมุดหรือแบบฝกหดั วิทยาศาสตร หนา 57 ขอ สอบเนน การคดิ เกร็ดแนะครู ปรากฏการณทางธรรมชาติในขอใดเก่ียวของกับแรงโนมถวง ใบงานท่ี 2.1 เรอื่ ง ผลของแรงโนมถว งของโลก ครูสามารถหยบิ ใชไ ดจ าก ของโลก แผนการจดั การเรียนรูท่ี 1 เรอ่ื ง ผลของแรงโนมถว งของโลก หนวยการเรยี นรู ท่ี 2 แรงโนมถวงของโลกและตวั กลางของแสง ก. ฟาผา ข. ฝนตก แนวทางการวัดและประเมินผล ค. ฟา รอง ง. ฟา แลบ ครูสามารถสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนจากการตอบคําถาม การทํางาน รายบุคคล การทาํ งานกลุม และการนําเสนอผลการทาํ กจิ กรรมหนาช้นั เรียนได (วเิ คราะหค าํ ตอบ เมอ่ื ฝนตกหยดนาํ้ ฝนจะถกู แรงโนม ถว งของโลก โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลท่ีแนบทายแผนการจัดการเรียนรูของ ดึงดูดใหต กลงสูพ้ืนโลกได เนอ่ื งจากแรงโนมถวงของโลกสามารถ หนวยการเรียนรูท่ี 2 แรงโนม ถว งของโลกและตัวกลางของแสง ดึงดูดวัตถุใหตกลงสูพื้นโลกเสมอ ดังนั้น ขอ ข. จึงเปนคําตอบ ทถ่ี ูกตอ ง) T65
นาํ นํา สอน สรปุ ประเมนิ ขนั้ นาํ ¡¨Ô ¡ÃÃÁ·èÕ 2 ทกั ษะกระบวนกำร ทำงวิทยำศำสตร์ท่ใี ช้ กระตนุ ความสนใจ แรงดงึ ดดู ของโลกกบั นํา้ หนักของวัตถุ 1. การวดั 2. การสังเกต ครูสมุ นักเรยี น 1 คน ใหออกมาหนาชน้ั เรยี น จุดประสงค 3. การลงความเห็นจากขอ้ มลู แลวใหนักเรียนท่ีเหลือรวมกันคาดคะเนวา 4. การพยากรณ์หรือการคาดคะเน เพื่อนท่ีอยูหนาหองกับตนเองมีนํ้าหนักเทากัน สังเกตและอธิบายการวดั นา้� หนักของวัตถโุ ดยใช้เครือ่ งชงั่ สปรงิ 5. การตีความหมายขอ้ มูลและการลงข้อสรุป หรือไม จากน้ันครูใหนักเรียนบอกน้ําหนักของ ตวั เองทีละคน ตองเตรียมตอ งใช 2. ถุงทราย 1 ถงุ 4. ถา่ นไฟฉาย 1 ก้อน ขน้ั สอน 1. หนงั สือ 1 เล่ม 6. เคร่อื งชั่งสปรงิ แบบตั้ง 1 เครอ่ื ง 3. ก้อนหนิ 1 ก้อน 8. เคร่ืองชั่งสปริงแบบแขวน 1 เคร่ือง สาํ รวจคน หา 5. ดินนา้� มัน 1 ก้อน 10. ผลไม้ 1 ชนดิ (ครูเตรียมไว)้ เชน่ ฝรงั่ เปน ต้น 7. ถงุ พลาสติก 1 ใบ 1. ครูถามคําถามกระตุนความคิดนักเรียน ดังน้ี 9. กล่องดินสอ 1 กล่อง • นกั เรยี นสามารถทราบนา้ํ หนกั ของตนเองได อยา งไร ลองทําดู µÍ¹·èÕ 1 (แนวตอบ ชงั่ นาํ้ หนกั โดยใชเ ครอื่ งชง่ั นาํ้ หนกั ) • เคร่ืองมอื ใดทใ่ี ชวัดนา้ํ หนกั ของวตั ถตุ า งๆ 1. สังเกตเคร่อื งชงั่ สปรงิ แบบแขวนและตัวเลขบนเคร่อื งช่ัง จากนน้ั วาดภาพลงในสมดุ (แนวตอบ เคร่ืองชั่ง) 2. ร่วมกนั แสดงความคิดเหน็ เกยี่ วกับวธิ กี ารใช้งานเครอ่ื งช่ังสปรงิ แบบแขวน 3. สังเกตถ่านไฟฉาย ดินน�้ามัน ถุงทราย และก้อนหิน แล้วคาดคะเนว่า วัตถุเหล่านั้น 2. ครชู แ้ี จงวา นกั เรยี นจะไดเ รยี นรกู ารวดั นาํ้ หนกั มีน้�าหนกั เท่าใด แลว้ บันทึกผล ของวตั ถตุ างๆ จากการทาํ กิจกรรมท่ี 2 เร่ือง 4. ทา� กจิ กรรมเพอ่ื ตรวจสอบผลการคาดคะเน แรงดึงดูดของโลกกับน้ําหนักของวัตถุ ตอนที่ โดยนา� ถา่ นไฟฉายใสถ่ งุ พลาสตกิ แลว้ แขวน 1-2 จากหนังสอื เรยี น หนา 58-59 กบั ตะขอของเครอ่ื งชง่ั สปรงิ จากนนั้ สงั เกต ตัวเลขบนเคร่ืองชั่ง แล้วบันทึกน�้าหนัก 3. ครูใชวิธีสอนโดยการลงมือปฏิบัติ (Practice) (ทา� ซ�้าอกี 2 ครงั้ แลว้ หาค่าเฉลี่ย*) เขามาจัดกิจกรรมในชั่วโมงน้ี โดยแบงกลุม 5. ทา� กจิ กรรมซา�้ ขอ้ 4. โดยเปลยี่ นวตั ถเุ ปน นักเรียนเปนกลุมละ 4-5 คน แลวกําหนด ดนิ นา้� มนั ถงุ ทราย และกอ้ นหนิ ตามลา� ดบั จดุ มุงหมายและขอปฏิบัตใิ หแตล ะกลมุ ทราบ จากน้นั รว่ มกนั วเิ คราะหแ์ ละสรปุ ผล ภาพที่ 2.11 4. นักเรียนแตละกลุมรวมกันทํากิจกรรมท่ี 2 ตอนท่ี 1 จากหนงั สอื เรยี นหนา น้ี แลว บนั ทกึ ผล ลงในสมดุ หรอื แบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 60 จากน้ันรว มกันสรปุ ผลการทํากจิ กรรม (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสงั เกตพฤติกรรมการทํางานกลุม ) *หมำยเหตุ : การหาคา่ เฉล่ียท�าไดโ้ ดยนา� คา่ ทห่ี าไดท้ ัง้ หมดบวกกนั แลว้ หารด้วยจา� นวนคร้ัง 58 เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคดิ วธิ ีสอนโดยการลงมอื ปฏิบตั ิ (Practice) เปน วิธสี อนทใี่ หป ระสบการณต รง ขอใดทีม่ ีผลตอ แรงโนม ถวงของโลก กบั ผเู รยี น โดยใหผ เู รยี นลงมอื ปฏบิ ตั จิ รงิ ซงึ่ เปน การสอนทมี่ งุ ผสมผสานระหวา ง ก. มวล ทฤษฎกี ับการปฏิบัติ วิธีสอนนีม้ ขี นั้ ตอนสาํ คัญ ดังนี้ ข. ปรมิ าตร ค. ความยาว 1. ขั้นเตรียม ผูสอนกําหนดจุดมุงหมายของการปฏิบัติและรายละเอียด ง. ความแขง็ ของการทาํ งาน (วิเคราะหคําตอบ มวลของวัตถุมีผลตอแรงโนมถวงของโลก 2. ข้ันดําเนินการ ผูสอนใหความรูและทักษะที่เปนพ้ืนฐานในการปฏิบัติ หากเราเพมิ่ มวลของวตั ถใุ หม ากขน้ึ แรงโนม ถว งของโลกทก่ี ระทาํ ตอ และมอบหมายงานเปน กลมุ หรือรายบคุ คล วัตถจุ ะมากขนึ้ ตามไปดวย ดังนั้น ขอ ก. จึงเปน คําตอบท่ถี ูกตอง) 3. ข้ันสรปุ ผูสอนและผเู รียนชวยกันสรุปกจิ กรรมการปฏิบตั ิงาน 4. ขั้นประเมินผล ผูสอนสังเกตพฤติกรรมการเรียนรูและผลการทํางาน ของผเู รยี น T66
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ 2หนวยการเรยี นรูท่ี ขนั้ สอน áçâ¹ÁŒ ¶Ç‹ §¢Í§âÅ¡áÅеÑÇ¡ÅÒ§¢Í§áʧ สาํ รวจคน หา µÍ¹·Õè 2 àÍÐ ... 5. ครูสนทนากับนักเรียนเพื่อทบทวนเก่ียวกับ ˹ѡ෋ÒäùРการใชเคร่ืองชั่งสปริงแบบแขวนวัดน้ําหนัก 1. สังเกตเครื่องชั่งสปริงแบบต้ังและตัวเลข ภาพท่ี 2.12 ของวตั ถุ บนเคร่อื งช่ัง แล้ววาดภาพลงในสมุด 6. ครใู หน กั เรยี นจบั กลมุ เดมิ แลว ทาํ กจิ กรรมที่ 2 2. ร่วมกันแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับวิธี ตอนท่ี 2 ตอ โดยใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ สงั เกต การใช้งานเคร่ืองชง่ั สปริงแบบตั้ง เครอ่ื งชง่ั สปรงิ แบบตง้ั และตวั เลขบนเครอื่ งชง่ั แลวใหวาดภาพลงในสมุดหรือในแบบฝกหัด 3. สงั เกตกลอ่ งดนิ สอ หนงั สอื ถงุ ทราย และ วิทยาศาสตร หนา 61 ผลไมท้ คี่ รเู ตรยี มไว้ แลว้ คาดคะเนวา่ วตั ถุ เหล่าน้มี ีน�า้ หนักเทา่ ใด และบันทึกผล 7. นกั เรยี นรว มกนั แสดงความคดิ เหน็ เกยี่ วกบั วธิ ี การใชงานเครอื่ งช่ังสปริงภายในกลมุ 4. ช่วยกันท�ากิจกรรมเพื่อตรวจสอบผล (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมนิ นกั เรยี น โดยใช การคาดคะเน โดยวางเคร่ืองชั่งสปริง แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม ) แบบต้ังให้อยู่ในระดับเดียวกับพ้ืนราบ แลว้ นา� กลอ่ งดนิ สอวางบนถาดชงั่ จากนน้ั 8. สมาชิกทุกคนในกลุมชวยกันสังเกตวัตถุที่ สังเกตตัวเลขบนเครื่องช่ังแล้วบันทึกค่า ใชในการทํากิจกรรม ตอนท่ี 2 แลวชวยกัน (ทา� ซา้� อีก 2 คร้งั แล้วหาค่าเฉลย่ี *) คาดคะเนวา วัตถุเหลานั้นมีน้ําหนักเทาใด และบันทึกผลลงในสมุดหรือในแบบฝกหัด 5. ทา� ซ้�าขอ้ 4. โดยเปลี่ยนวตั ถุท่ีใช้ช่งั เปน วทิ ยาศาสตร หนา 61 หนังสือ ถุงทราย และผลไม้ ตามลา� ดับ จากนนั้ รว่ มกนั สรปุ เกยี่ วกบั การวดั นา�้ หนกั 9. นักเรียนแตละกลุมชวยกันทํากิจกรรมเพ่ือ ของวตั ถโุ ดยใช้เคร่อื งชง่ั สปริง ตรวจสอบผลการคาดคะเน แลว บันทกึ ลงใน สมดุ หรือในแบบฝก หัดวทิ ยาศาสตร หนา 61 หนูตอบได ภาพท่ี 2.13 จากนนั้ รวมกนั สรุปผลการทํากจิ กรรม 1. แรงโนม้ ถว่ งของโลกมีความสมั พันธก์ บั มวลของวัตถหุ รอื ไม่ อยา่ งไร แนวตอบ หนตู อบได 2. วตั ถุแต่ละชนดิ บนโลกมมี วลเทา่ กนั หรอื ไม่ เพราะอะไร 3. เพราะเหตุใด วัตถุตา่ ง ๆ บนโลกจึงมนี �้าหนักแตกตา่ งกนั ขอ 4. 4. หากต้องการทราบว่า ฝรัง่ 1 ผล มีน�า้ หนกั เท่าไร เราควรเลอื กใช้เครอ่ื งมอื ชนดิ ใดเพือ่ หา • เครือ่ งช่ังสปริงแบบแขวน เพราะมีขนาดเล็ก นา�้ หนกั ของฝรง่ั ระหวา่ งใชเ้ ครอ่ื งชงั่ สปรงิ แบบแขวนกบั เครอ่ื งชง่ั สปรงิ แบบตงั้ เพราะอะไร พกพาสะดวกและใชงานงาย เหมาะสําหรับใชชั่ง วัตถหุ รือสง่ิ ของที่มขี นาดเลก็ (หมายเหตุ : คําถามขอสุดทา ยของหนูตอบได เปนคําถามท่อี อกแบบใหผ เู รยี นฝก ใชทกั ษะการคดิ ขนั้ สงู 59 คือ การคิดแบบใหเหตผุ ล และการคิดแบบโตแยง ซงึ่ ผูเรียนอาจเลอื กตอบอยา งใดอยางหนงึ่ กไ็ ด ใหค รู • เคร่ืองชั่งสปริงแบบตั้ง เพราะสามารถรับ พจิ ารณาจากเหตุผลสนบั สนุน) น้ําหนักไดมาก ช่ังวัตถุหรือส่ิงของไดหลายขนาด ใชง านงา ย และใหรายละเอยี ดขอ มูลชัดเจน ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู ปจ จัยใดบางที่มผี ลตอนํ้าหนักของวตั ถุ ครูอาจใหความรูเก่ียวกับการใชเคร่ืองช่ังสปริงแบบแขวนกับนักเรียนกอน ก. มวลของวตั ถุ การทาํ กจิ กรรมวา การใชเ ครอื่ งชงั่ สปรงิ แบบแขวนทาํ ไดโ ดยการนาํ วตั ถไุ ปแขวน ข. สถานะของวัตถุ ไวท ตี่ ะขอดานลางของเครอ่ื งชงั่ สปรงิ ซึ่งจะทาํ ใหสปริงของเครอ่ื งช่ังยืดตัวออก ค. สถานทีท่ ่ีนําวัตถุไปชงั่ โดยนา้ํ หนกั ของวตั ถจุ ะสมั พนั ธก บั การยดื ตวั ของสปรงิ ถา สปรงิ ยดื ตวั มากแสดงวา ง. ถกู ท้งั ขอ ก. และ ค. วัตถุมีน้ําหนักมาก เน่ืองจากเคร่ืองชั่งสปริงถูกออกแบบใหตัวเลขแสดงน้ําหนัก สัมพนั ธกบั การยดื ตัวของสปรงิ (วิเคราะหคําตอบ นํ้าหนักของวัตถุ คือ แรงโนมถวงของโลกที่ กระทําตอวัตถุตางๆ ท่ีมีมวลตางกัน ทําใหนํ้าหนักของวัตถุมีคา หองปฏิบัติการ ตางกัน นอกจากน้ี วัตถุชิ้นเดยี วกันเม่ือนําไปช่ังในสถานที่ตา งกัน จะมีน้ําหนักตางกันดวย เน่ืองจากคาแรงโนมถวงของโลกใน à·¤¹Ô¤ ¤ÇÒÁ»ÅÍ´ÀÑ ตําแหนงตางๆ มีคาไมเทากัน โดยขึ้นอยูกับระยะหางจาก จุดศูนยก ลางของโลก ดงั นน้ั ขอ ง. จงึ เปน คําตอบที่ถกู ตอง) ครูใหความรูกับนักเรียนวา เม่ือแขวนเครื่องชั่งสปริงในแนวต้ังฉากกับพื้น คาทช่ี ่ังไดจ ะตรงกับตัวเลขท่อี านพอดี แตถ า แขวนเครอื่ งชงั่ สปรงิ ใหเ อยี งขางใด ขา งหน่งึ คาทชี่ ั่งไดจ ะเบากวา ตวั เลขทอ่ี านและไมต รงกับความเปน จรงิ T67
นาํ สอน สรุป ประเมนิ ขน้ั สอน 1.2 มวลและน�้ำหนักของวตั ถุ อธบิ ายความรู ทตี่ า� แหนง่ เดยี วกนั บนโลก จะมแี รงโนม้ ถว่ งของโลกหรอื แรงดงึ ดดู ของโลก ทกี่ ระทา� ตอ่ วตั ถตุ า่ ง ๆ ดงั นน้ั วตั ถตุ า่ ง ๆ จงึ มนี า้� หนกั แตส่ งิ่ ทที่ า� ใหว้ ตั ถมุ นี า�้ หนกั 1. ครูจับสลากเลือกลําดับของแตละกลุมใหออก ไมเ่ ทา่ กนั เปน เพราะวตั ถุเหล่านั้นมีมวลตา่ งกนั มานาํ เสนอผลการทาํ กจิ กรรมท่ี 2 ตอนท่ี 1-2 โดยใหนักเรียนกลุมท่ีถูกเลือกกอนสงตัวแทน ภาพที่ 2.14 แรงโนม้ ถว่ งของโลกท�าให้วัตถุตกลงสู่พนื้ โลกเสมอ ออกมานาํ เสนอผลการทาํ กิจกรรม มวล คือ ปริมาณของเน้ือสารท้ังหมดที่ น้�ำหนัก คือ ปริมาณของแรงโน้มถ่วงของ 2. นักเรียนทุกกลุมรวมกันอภิปรายผลการทํา มีอยู่ในวัตถุนั้น ซ่ึงมีค่าคงท่ีไม่ว่าจะอยู่ โลกท่ีกระท�าต่อมวลของวัตถุต่าง ๆ บนโลก กจิ กรรมจนไดข อสรุปวา มวลของวัตถุมีผลตอ ทใี่ ดบนโลก มวลมหี นว่ ยเปน กรมั (g) หรอื โมดีหยนด่วึงยดเดู ปในหน้วิวัตตถันุตก(ลNง)1มาท่พี ้นื โลก น�้าหนกั แรงดึงดูดของโลก สังเกตไดจากการยืดของ กิโลกรมั (kg) สปรงิ ในเครือ่ งช่ังสปรงิ หากวตั ถใุ ดมมี วลนอ ย แรงโนมถวงของโลกที่กระทําตอวัตถุจะนอย น้ํานห้ํานหักนัก9ข.8องนมวิวตลัน1 มกีคิโลาเกทราัมกับ ทาํ ใหว ตั ถมุ นี า้ํ หนกั นอ ย หากวตั ถใุ ดมมี วลมาก แรงโนม ถว งของโลกทก่ี ระทาํ ตอ วตั ถจุ ะมากขนึ้ จงึ ทาํ ใหว ตั ถมุ นี า้ํ หนกั มาก ดงั นน้ั แรงโนม ถว ง ของโลกที่กระทําตอวัตถุแตละชนิดจึงมีคา แตกตางกัน และสามารถวัดนํ้าหนักของวัตถุ ไดโดยใชเครือ่ งชง่ั สปรงิ ขน้ั สรปุ ขยายความเขา ใจ 1. ครูใหนักเรียนศึกษาเน้ือหาจากหนังสือเรียน หนา 60-62 จากนั้นศกึ ษาขอมลู เพ่ิมเตมิ จาก ส่ือดิจิทัลในหนังสือเรียน หนา 61 โดยใช โทรศัพทมอื ถอื สแกน QR Code เรอ่ื ง ปจ จยั ท่มี ีผลตอน้ําหนักของวตั ถุ จากนน้ั รว มกนั สรุป ความรทู ่ีไดจากการศกึ ษา ¤Ó¶ÒÁ·ÒŒ ·Ò¡ÒäԴ¢¹éÑ ÊÙ§ เ“ชกนารเดทียแี่ วรกงโนั นมเพถรว างขะถอางไโลมกม ดแี งึรดงดูโนใหมส ถงิ่ วตงา งตๆวั เตรกาแลลงสะวพู ัตนื้ ถโลตุ กา งทๆาํ ใกหจ็ต ะวั อเรยาใูแนลสะภวตัาถพตุไารงน ๆํ้าหมนนี ัก2า้ํ ”หนกั นกั เรียนคิดว่า คนเราสามารถอย่ใู นสภาพไรน้ ้า� หนกั ได้หรอื ไม่ เพราะอะไร 60 นักเรียนควรรู กิจกรรม 21st Century Skills 1 นิวตัน (Newton) คือ หนวยการวัดขนาดของแรง โดยตง้ั ชอ่ื เพ่ือเปนการ 1. ใหนักเรียนแบงกลมุ ตามความสมคั รใจ กลุมละ 3-4 คน ใหเ กียรติแกเ ซอร ไอแซก นิวตัน ซ่ึงเปน ผคู น พบทฤษฎแี รงโนม ถว งของโลก 2. ใหช ว ยกนั แสดงความคดิ เหน็ และอภปิ รายเพอื่ รวบรวมเหตกุ ารณ 2 สภาพไรน ํา้ หนัก (weightlessness) คือ สภาพท่เี หมือนไมม ีแรงดงึ ดูดของ โลกกระทาํ ตอ วัตถุ ในสภาวะนวี้ ัตถุท่ีอยใู นอวกาศจะไมมแี รงดงึ ตวั เองใหล งบน ในชวี ติ ประจาํ วันทมี่ ผี ลมาจากแรงโนมถว งของโลก พน้ื ทีร่ องรับ จึงลอยเควง ควา งและเคล่ือนไหวไดลาํ บาก 3. นาํ ขอ มลู ทไี่ ดม าจดั ทาํ ในรปู แบบตา งๆ ทหี่ ลากหลายเพอื่ นาํ เสนอ ผลงาน เชน สรางแผนผังความคดิ แผนภาพ ใบความรู แผน พบั โดยแบงหนาท่ีความรบั ผดิ ชอบของสมาชิกแตละคนใหช ัดเจน 4. นําเสนอผลงานหนาชั้นเรียนดวยวิธีการสื่อสารท่ีหลากหลาย เพอื่ ใหผอู น่ื เขา ใจผลงานไดดีขนึ้ T68
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ 2หนว ยการเรียนรูท่ี ขน้ั สรปุ áçâ¹ÁŒ ¶Ç‹ §¢Í§âÅ¡áÅеÑÇ¡ÅÒ§¢Í§áʧ ขยายความเขา ใจ แรงโนม้ ถว่ งของโลกทา� ใหว้ ตั ถมุ นี า�้ หนกั ซงึ่ นา�้ หนกั ของวตั ถตุ า่ ง ๆ จะมาก 2. ครถู ามคาํ ถามทา ทายการคดิ ขน้ั สงู จากหนงั สอื หรือนอ้ ยข้นึ อย่กู บั ปจ จัย ดังน้ี เรยี นหนา 60 และหนา 62 จากน้ันใหน ักเรยี น รวมกันตอบคําถามอยางอิสระ โดยครูคอย 1. มวลของวัตถุ เฉลยและอธบิ ายเพ่มิ เติม ดังน้ี • “การทแ่ี รงโนม ถว งของโลกดงึ ดดู ใหส งิ่ ตา งๆ • ถา้ วตั ถุใดมมี วลน้อย แรงโน้มถ่วง ตกลงสพู นื้ โลก ทาํ ใหต วั เราและวตั ถตุ า งๆ มี ของโลกที่กระท�าต่อวัตถุน้ันจะมี นา้ํ หนกั เชน เดยี วกนั เพราะถา ไมม แี รงโนม ถว ง ค่าน้อย วตั ถจุ ึงมีนา�้ หนักนอ้ ย 65 kg 40 kg ตัวเราและวัตถุตางๆ ก็จะอยูในสภาพ ไรน า้ํ หนกั ” นักเรียนคิดวา คนเราสามารถ • ถ้าวัตถุใดมีมวลมาก แรงโน้มถ่วง อยใู นสภาพไรน าํ้ หนกั ไดห รอื ไม เพราะอะไร ของโลกที่กระท�าต่อวัตถุนั้นจะมี (แนวตอบ คนเราไมสามารถอยูในสภาพไร ค่ามาก วตั ถจุ ึงมีน้�าหนกั มาก นา้ํ หนกั ได เพราะถา ไมม แี รงโนม ถว งของโลก ภาพที่ 2.15 วตั ถุทม่ี มี วลต่างกนั จะมี คนและส่ิงตางๆ บนโลกจะลอยเควงควาง 2. ระยะหำ่ งจำกจุดศูนยก์ ลำงของโลก น�้าหนกั ต่างกนั ไปมาในอากาศ และจะทาํ ใหเ ราเคลอ่ื นทไี่ ป ในบรเิ วณทีต่ อ งการไดย ากลําบาก) วัตถุชิ้นเดียวกันจะมีน้�าหนักไม่เท่ากัน เม่ือน�าไปช่ังในสถานที่ต่างกัน ï• นํ้าหนักของวัตถุ มีความเกี่ยวของกับแรง เพราะคา่ แรงโนม้ ถว่ งของโลกในตา� แหนง่ ตา่ ง ๆ มคี า่ ไมเ่ ทา่ กนั โดยขน้ึ อยกู่ บั ระยะ โนมถวงของโลกอยางไร ห่างจากจุดศูนยก์ ลางของโลก หากวตั ถุอยูห่ า่ งจากจุดศนู ยก์ ลางของโลกมากขึน้ ï (แนวตอบ นาํ้ หนกั ของวตั ถตุ า งๆ เกดิ ขน้ึ จาก เทา่ ใด แรงโนม้ ถว่ งของโลกทกี่ ระท�าตอ่ วตั ถนุ น้ั จะยิง่ ลดนอ้ ยลง แรงโนม ถว งของโลกกระทาํ ตอ มวลของวตั ถุ จึงทําใหว ัตถมุ นี ้ําหนัก) ภาพท่ี 2.16 เปรยี บเทยี บน�้าหนักของวัตถุเมือ่ อยู่หา่ งจากจุดศนู ย์กลางของโลก (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสังเกตพฤติกรรมการทาํ งานรายบคุ คล) 29.4 ¹ÇÔ µÑ¹ 9.8 ¹ÇÔ µ¹Ñ 49 ¹ÇÔ µ¹Ñ ปจจยั ท่มี ผี ลตอ นํา้ หนักของวัตถุ 61 ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET ส่ือ Digital ขอ มลู แสดงมวลของวตั ถุ 4 ชนดิ เปน ดงั น้ี ครูใหนักเรียนเรียนรูเกี่ยวกับปจจัยท่ีมีผลตอน้ําหนักของวัตถุเพิ่มเติมจาก ชนดิ ของวัตถุ มวล (กิโลกรัม) ส่ือดิจิทัล โดยใหสแกน QR Code เรื่อง ปจจัยท่ีมีผลตอนํ้าหนักของวัตถุ ชนดิ ที่ 1 1 จากหนังสอื เรยี น หนา 61 ซึ่งจะปรากฏคลิปวิดโี อ ดงั ภาพตัวอยาง ชนดิ ท่ี 2 2 ชนิดท่ี 3 3 T69 ชนดิ ที่ 4 4 จากขอ มูล ถา ชง่ั วตั ถทุ ต่ี ําแหนง เดยี วกันบนโลก วตั ถชุ นิดใดจะมี น้ําหนักมากที่สดุ ก. ชนิดที่ 1 ข. ชนิดที่ 2 ค. ชนิดที่ 3 ง. ชนดิ ที่ 4 (วิเคราะหค าํ ตอบ ถา วตั ถมุ ีมวลมาก แรงโนม ถว งทมี่ ากระทาํ ตอ วัตถุนั้นจะมคี ามาก วัตถจุ งึ มนี า้ํ หนกั มาก ดงั นน้ั ขอ ง. จึงเปน คาํ ตอบทถี่ ูกตอง)
นาํ สอน สรุป ประเมิน ขนั้ สรปุ 1.3 กำรวัดนำ้� หนกั ของวตั ถุ ขยายความเขา ใจ เราสามารถวัดน้�าหนักของวัตถุท่ีเกิดจากแรงโน้มถ่วงของโลกได้โดยใช้ เคร่ืองชั่งสปริง ซ่ึงค่าที่อ่านได้จะเท่ากับขนาดของแรงท่ีโลกดึงดูดวัตถุและเปน 3. ครใู หน กั เรยี นแบงกลุม กลมุ ละ 5 คน จากน้นั น�า้ หนกั ของวัตถนุ ั่นเอง นา�้ หนักของวัตถุจะมีหน่วยเปน นิวตัน (N) ครูใหแตละกลุมไปวัดหานํ้าหนักของสมาชิก ในกลมุ โดยใชเ คร่อื งชั่งสปรงิ แลว เปรยี บเทียบ เคร่ืองช่ังสปรงิ สา� หรับวดั น้า� หนักจะอาศยั หลักการยดื ของสปรงิ ซง่ึ เปนผล ผลวา น้ําหนักของใครมากที่สุดและน้ําหนัก มาจากการทโ่ี ลกดึงดดู วตั ถใุ นแนวดง่ิ ท�าให้สปรงิ ยืดออกตามแรงทโี่ ลกกระทา� ตอ่ ของใครนอยที่สุด จากน้ันสงตัวแทนนําเสนอ มวลของวตั ถุน้นั เครื่องชัง่ สปริงแบ่งออกเปน 2 แบบ ไดแ้ ก่ ขอ มลู หนาชน้ั เรยี น (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช ภาพที่ 2.17 ภาพท่ี 2.18 แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทาํ งานกลมุ ) เครือ่ งชง่ั สปรงิ แบบแขวน เคร่ืองชงั่ สปริงแบบตั้ง 4. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก หนงั สอื เรียน หนา 59 ลงในสมุดหรือใหทาํ ใน ดวงจนั ทร์มมี วลน้อยกว่าโลกมาก แรงดงึ ดดู ของดวงจนั ทรจ์ ึงน้อยกว่าโลก แบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 62 6 เท่า ดังน้ัน หากช่ังน้�าหนักของวัตถุช้ินเดียวกันบนพ้ืนโลกและบนดวงจันทร์ นา�้ หนักของวตั ถชุ ิ้นน้ันทีช่ งั่ บนดวงจันทร์จะมนี า�้ หนักน้อยกวา่ ท่ชี ่งั บนโลก 6 เท่า ขน้ั ประเมนิ ภาพท่ี 2.19 เปรียบเทียบการชัง่ น้�าหนักของวัตถุบนโลกและบนดวงจันทร์ ตรวจสอบผล โลก ดวงจันทร์ 1. ครูสุมถามนักเรียนเปนรายบุคคลเก่ียวกับ การวัดนํ้าหนักของวัตถุโดยใชเครื่องช่ังสปริง 58.8 ¹ÇÔ µ¹Ñ 9.8 ¹ÇÔ µ¹Ñ และปจจัยที่มีผลตอนํ้าหนักของวัตถุตางๆ เพื่อเปนการสรปุ ความรหู ลังจากทไี่ ดเรียนมา 62 2. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมท่ี 2 เรื่อง แรงดงึ ดดู ของโลกกบั นํ้าหนักของวัตถุ ในสมุด หรือแบบฝก หดั วิทยาศาสตร หนา 60-61 3. ครตู รวจผลการทาํ กจิ กรรม เรอ่ื ง การวดั นาํ้ หนกั ของสมาชกิ ในกลมุ จากสมดุ 4. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมหนูตอบได ในสมุดหรอื แบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 62 ¤Ó¶ÒÁ·ÒŒ ·Ò¡ÒäԴ¢¹éÑ ÊÙ§ นา�้ หนักของวัตถุ มีความเก่ยี วข้องกับ แรงโน้มถว่ งของโลกอยา่ งไร แนวทางการวัดและประเมินผล ขอ สอบเนน การคดิ ครูสามารถสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนจากการตอบคําถาม การทํางาน วัตถุชิ้นหนึ่งเม่ืออยูบนโลกมีน้ําหนัก 15 นิวตัน เม่ือวัตถุช้ินน้ี รายบุคคล การทาํ งานกลุม และการนําเสนอผลการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียนได อยูใ นอวกาศ จะมนี ํ้าหนกั เทา ไร โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลที่แนบทายแผนการจัดการเรียนรูของ หนวยการเรียนรทู ่ี 2 แรงโนม ถวงของโลกและตวั กลางของแสง ดงั ภาพตัวอยา ง ก. มากกวา 15 นิวตัน ข. นอยกวา 15 นวิ ตนั ค. 15 นิวตนั ง. ไมม ีนํา้ หนกั (วเิ คราะหค าํ ตอบ ในอวกาศไมม แี รงโนม ถว ง เมอื่ วตั ถอุ ยใู นอวกาศ จงึ อยใู นสภาพไรน าํ้ หนกั วตั ถชุ น้ิ นนั้ จงึ ลอยเควง ควา งอยใู นอวกาศ ดงั น้นั ขอ ง. จงึ เปน คาํ ตอบท่ถี กู ตอง) T70
นาํ นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ¡Ô¨¡ÃÃÁ·Õè 3 2หนว ยการเรียนรทู ี่ ขนั้ นาํ มวลของวัตถกุ ับ áç⹌Á¶‹Ç§¢Í§âÅ¡áÅеÑÇ¡ÅÒ§¢Í§áʧ กระตนุ ความสนใจ การเปล่ียนแปลงการเคลอ่ื นท่ี ทักษะกระบวนกำร 1. ครูสนทนาทักทายกับนักเรียน จากนั้นครูแจง จดุ ประสงค ทำงวทิ ยำศำสตรท์ ่ใี ช้ ชอ่ื เรอื่ งและผลการเรยี นรทู จ่ี ะเรยี นในชวั่ โมงน้ี 1. การวัด ใหน กั เรยี นทราบ สังเกตและอธบิ ายมวลของวัตถทุ ีม่ ีผลต่อการเปลีย่ นแปลง 2. การสงั เกต 3. การทดลอง 2. ครูถามคําถามนักเรียนเพื่อกระตุนความคิด 4. การลงความเหน็ จากขอ้ มลู โดยใหนักเรียนชวยตอบคําถามไดอยางอิสระ 5. การพยากรณห์ รือการคาดคะเน และครูยังไมเฉลยคาํ ตอบ ดังนี้ 6. การตคี วามหมายขอ้ มูลและการลงขอ้ สรปุ • วัตถุในหองเรียน สิ่งใดบางที่มีขนาดใหญ และสิ่งใดบางที่มขี นาดเล็ก การเคลือ่ นที่ของวัตถุ (แนวตอบ สิ่งท่มี ีขนาดใหญ เชน โตะ เกาอี้ กระเปานักเรียน เปนตน สิ่งท่ีมีขนาดเล็ก ตอ งเตรียมตองใช เชน ยางลบ ดินสอ สมดุ หนังสือ เปนตน ) • นักเรียนคิดวา ส่ิงของที่มีขนาดใหญกับ 1. คานไม้ 1 อัน สิ่งของท่ีมีขนาดเล็ก ส่ิงใดเคล่ือนที่ไดยาก 2. นา้� เปลา่ 500 มลิ ลลิ ิตร กวา กนั เพราะอะไร 3. นาฬกาจับเวลา 1 เรอื น (แนวตอบ ส่ิงของท่ีมีขนาดใหญเคลื่อนท่ีได 4. เชือกยาวขนาดเทา่ กนั 2 เส้น ยากกวา เพราะมมี วลและมนี า้ํ หนกั มากกวา ) 5. เคร่ืองชงั่ สปรงิ แบบตัง้ 1 เครื่อง • นักเรียนคิดวา ระหวางโตะเรียนกับสมุด 6. ขวดน�้าพลาสตกิ ใสขนาดเท่ากัน 2 ขวด สง่ิ ใดเคลือ่ นทไ่ี ดง ายกวา กัน เพราะอะไร (แนวตอบ สมุด เพราะสมุดมีขนาดเล็กกวา ลองทาํ ดู โตะเรียน จึงมีมวลนอยกวา และสามารถ เคลอื่ นทไี่ ดงา ยและสะดวกกวา โตะ เรยี น) 1. แบง่ กลมุ่ กลมุ่ ละ 3 - 4 คน จากนัน้ เตมิ น้�าใส่ขวดพลาสติกใบที่ 1 ให้เต็มขวด และเตมิ นา้� (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช ใสข่ วดพลาสตกิ ใบท่ี 2 คร่งึ ขวด แล้วปด ฝาขวดทัง้ 2 ขวด จากน้นั ใช้เชือกขนาดเทา่ กันมัด แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทํางานรายบุคคล) ท่ปี ากขวดท้งั 2 ใบ ภาพที่ 2.20 63 ขอสอบเนน การคดิ เกร็ดแนะครู มวลของวตั ถมุ ผี ลตอการเคล่อื นทขี่ องวตั ถอุ ยางไร ในการทาํ กิจกรรมที่ 3 เร่อื ง มวลของวัตถุกับการเปลย่ี นแปลงการเคลอ่ื นที่ ก. วตั ถุท่มี วลมากจะเปลย่ี นแปลงการเคลือ่ นทีย่ ากกวา วตั ถุ ในการทํากิจกรรมโดยใชนํ้าเติมใสขวดพลาสติกใส ครูอาจเปล่ียนการเติมนํ้า ทีม่ ีมวลนอ ย เปนการเตมิ ทรายหยาบหรือทรายละเอยี ดแทนได ข. วัตถุทมี่ วลนอยจะเปลยี่ นแปลงการเคลอ่ื นท่ียากกวาวตั ถุ ที่มมี วลมาก ค. วตั ถทุ มี่ วลมากจะเปลย่ี นแปลงการเคลอ่ื นทง่ี า ยเหมอื นวตั ถุ ท่มี มี วลนอย ง. ไมสามารถสรปุ ได (วิเคราะหคําตอบ มวลของวัตถุมีผลตอการเปล่ียนแปลงการ เคลอื่ นที่ของวตั ถุ โดยวัตถุทม่ี วลมากจะเปล่ยี นแปลงการเคลอื่ นที่ ยากกวาวัตถทุ ี่มมี วลนอ ย ดังนนั้ ขอ ก. จงึ เปนคาํ ตอบทีถ่ กู ตอ ง) T71
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สอน 2. ช่วยกันคาดคะเนว่า ถ้าน�าปลายเชือกท่ี ภาพท่ี 2.21 มัดปากขวดทั้ง 2 ใบไปผูกกับคานไม้ สาํ รวจคน หา ท่ีพาดระหว่างโตะ 2 ตัว แล้วผลักขวด ท้ัง 2 ใบ ด้วยแรงท่ีเท่ากัน ขวดใบใด 1. ครนู าํ บตั รภาพชงิ ชา ทมี่ ขี นาดเลก็ กบั ขนาดใหญ จะเคล่ือนที่ง่ายกว่ากัน และจะหยุดขวด ติดไวบนกระดาน จากนั้นใหนักเรียนชวยกัน ใบใดงา่ ยกว่ากัน สังเกตความแตกตางของชิงชาท้ัง 2 ภาพ แลวใหนักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็นวา 3. ทดลองเพ่ือตรวจสอบผลการคาดคะเน ชิงชาที่มีมวลมากกวาจะมีการเปลี่ยนแปลง โดยสังเกตการเคลื่อนท่ีและจับเวลาว่า การเคลื่อนที่ไดงายกวาชิงชาที่มีมวลนอยกวา ขวดแต่ละใบเคลื่อนท่ีเปนเวลาเท่าไรจึง หรอื ไม อยางไร หยดุ เคลอ่ื นท่ี แล้วบนั ทึกผลลงในสมดุ 2. นักเรียนแบง กลมุ กลุมละ 4-5 คน โดยคละ 4. ใชเ้ ครอื่ งชง่ั สปรงิ แบบตง้ั ชงั่ มวลของขวด ตามความสามารถ จากน้ันใหสมาชิกในกลุม ทั้ง 2 ใบ จากนัน้ อา่ นค่าและบนั ทกึ ผล ชวยกันศึกษาวิธีการทํากิจกรรมที่ 3 เร่ือง มวลของวัตถกุ บั การเปลี่ยนแปลงการเคลอ่ื นที่ 5. แต่ละกลุ่มช่วยกันเปรียบเทียบมวลและ จากหนงั สอื เรยี น หนา 63-64 แลว ใหแ ตล ะกลมุ เวลาในการเคลอื่ นที่ของขวดทั้ง 2 ใบ ชวยกันทํากิจกรรมตามข้ันตอนใหครบถวน แลวบันทึกผลลงในสมุดหรือในแบบฝกหัด 6. ชว่ ยกนั สรปุ ผลการทดลอง พรอ้ มนา� เสนอ วทิ ยาศาสตร หนา 64 หน้าช้นั เรยี น (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมนิ นักเรยี น โดยใช แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทํางานกลมุ ) ภาพที่ 2.22 อธบิ ายความรู หนูตอบได 1. นักเรียนแตละกลุมชวยกันเปรียบเทียบมวล 1. มวลของวตั ถแุ ละการเคลอื่ นทข่ี องวัตถมุ คี วามสมั พนั ธก์ ันหรอื ไม่ อย่างไร และเวลาในการเคล่ือนที่ของขวดท้ังสองใบ 2. วตั ถทุ ม่ี มี วลนอ้ ยกบั วตั ถทุ มี่ มี วลมาก จะเปลย่ี นแปลงการเคลอื่ นทไ่ี ดเ้ หมอื นกนั หรอื ตา่ งกนั จากนั้นรวบรวมขอมูลและสรุปผลการทดลอง แลวสงตัวแทนมานําเสนอผลการทาํ กจิ กรรม อยา่ งไร 3. มวลและนา้� หนกั มีความสัมพนั ธก์ นั อยา่ งไร 2. นักเรียนรวมกันอภิปรายผลการทํากิจกรรม 4. “รถชนิดต่าง ๆ ท่ีแล่นอยู่บนถนนมีหลายขนาดด้วยกัน ซึ่งรถท่ีมีขนาดใหญ่จะมีมวลมาก จนไดขอสรุปวา ขวดท่ีมีนํ้าเต็มขวดมีมวล มากกวาขวดทม่ี นี ํ้าอยูครง่ึ ขวด จงึ ทาํ ใหมกี าร จงึ เคลอื่ นทีไ่ ด้ยากกว่ารถท่มี ขี นาดเลก็ ” นกั เรยี นเห็นดว้ ยหรือไม่ เพราะอะไร เปล่ียนแปลงการเคล่ือนท่ีไดยากกวา และ เมื่อขวดน้ําน้ันเคลื่อนท่ีไปแลวจะทําใหหยุด 64 (หมายเหตุ : คาํ ถามขอสดุ ทายของหนูตอบได เปน คําถามที่ออกแบบใหผูเรียนฝกใชทกั ษะการคดิ ข้นั สูง การเคล่ือนที่ไดยากกวาขวดท่ีมีน้ําอยูคร่ึงขวด คพือจิ ากราณราคจดิ าแกบเหบตใหผุ เ ลหสตนุผบั ลสแนลนุ ะ)การคิดแบบโตแยง ซง่ึ ผูเรียนอาจเลือกตอบอยางใดอยางหนง่ึ กไ็ ด ใหครู แสดงวา มวลของวตั ถมุ ผี ลตอ การเปลยี่ นแปลง การเคลอ่ื นทข่ี องวตั ถุ โดยวตั ถุทีม่ ีมวลมากจะ เปล่ียนแปลงการเคลื่อนท่ีไดยากกวาวัตถุที่มี มวลนอ ย จงึ เกดิ การตา นการเคลอื่ นทขี่ องวตั ถุ เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคดิ ในการทาํ กจิ กรรมท่ี 3 น้ี ตอ งมกี ารใชวสั ดุและอุปกรณในการทาํ กจิ กรรม นนททดลองเคลือ่ นยายกอนหิน 1 กอ น มีมวล 5 กโิ ลกรัม กับ หลายอยา ง และนกั เรยี นแตล ะกลมุ อาจใชเ วลาในการทาํ กจิ กรรมมากพอสมควร เคลอ่ื นยา ยกลองลงั ท่ีใสหนังสือ มมี วล 15 กโิ ลกรัม นักเรียนคิดวา จึงอาจทําใหเกินเวลาสอนของครูได ดังนั้น ครูอาจจัดกิจกรรมโดยใชเทคนิค ผลการทดลองของนนทจ ะเปน อยางไร การสอนแบบสาธติ โดยครเู ลือกนกั เรยี น 1-2 กลมุ เพือ่ เปน ตวั แทนสาธิตการทาํ กิจกรรมนี้ จากน้ันใหนักเรียนกลุมที่เหลือคอยสังเกตการทํากิจกรรมหรือ (วิเคราะหคําตอบ นนทจะยกหรือเคล่ือนยายกลองลังหนังสือ อาจมีสวนรวมไดบางตามความเหมาะสม แลวใหบันทึกผลและนํามาสรุปผล ไดย ากกกวา การเคลื่อนยายกอนหิน เพราะกลอ งลังหนังสือมีมวล ภายในกลุม ของตนเอง มากกวากอนหิน จึงทําใหเกิดเปนการตานการเคลื่อนที่ของวัตถุ มีผลทําใหกลองลังหนังสือเปล่ียนแปลงการคลื่อนที่ไดยากกวา แนวตอบ หนตู อบได กอนหนิ ) ขอ 4. • เหน็ ดว ย เพราะรถขนาดใหญจ ะมมี วลมากกวา รถขนาดเลก็ จงึ มผี ลทาํ ให เปลี่ยนแปลงการเคล่อื นที่หรอื เคลือ่ นยายไดย ากกวารถทมี่ ขี นาดเล็ก • ไมเห็นดวย เพราะรถขนาดใหญสามารถเปล่ียนแปลงการเคล่ือนท่ีหรือ เคลื่อนยา ยไดรวดเร็วเหมือนรถขนาดเลก็ หากรถว่ิงดว ยความเร็วสูงมาก T72
นาํ สอน สรุป ประเมนิ 2หนว ยการเรยี นรทู ่ี ขนั้ สรปุ áç⹌Á¶‹Ç§¢Í§âÅ¡áÅеÑÇ¡ÅÒ§¢Í§áʧ ขยายความเขา ใจ ม1.ว4ลขมอวงลวแัตลถะุมกีผาลรตเปอกลาี่ยรนเปแลปี่ยลนงแกปารลเงคกลาอื่รเนคทลีข่ื่อนองท1วี่ขัตอถงุวัตถุ โดยวัตถุท่ีมี 1. นักเรียนศึกษาขอมูลจากหนังสือเรียนหนานี้ จากนั้นครูใหแตละกลุมทํากิจกรรมเพื่อขยาย มวลมากจะเคลื่อนท่ีไดยากกวาวัตถุที่มีมวลนอย เนื่องจากเกิดการตาน ความเขา ใจเกย่ี วกบั ความสมั พนั ธร ะหวา งมวล การเปลยี่ นแปลงการเคลอื่ นทีข่ องวตั ถุนนั้ ของวัตถุกับการเปลี่ยนแปลงการเคล่ือนที่ โดยใหท าํ กจิ กรรม ดังน้ี วัตถุท่ีมีมวลมาก หรือมีเน้ือสารมาก • ทดลองเคลื่อนยายเพ่ือนในกลุมที่มีมวล จะเปล่ียนแปลงการเคลื่อนที่หรือเคล่ือนยาย มากทีส่ ดุ (อวน) กบั เพ่อื นที่มีมวลนอยที่สดุ ไดย าก (ผอม) •ï ทดลองเคลื่อนยายโตะเรียนกับเคล่ือนยาย วัตถุที่มีมวลนอย หรือมีเน้อื สารนอย เกาอี้ จะเปลยี่ นแปลงการเคลอื่ นทห่ี รอื เคลอ่ื นยา ย • ทดลองเคลื่อนยายโตะเรียนกับเคล่ือนยาย ไดง า ย กระเปานักเรียน • ทดลองเคลอื่ นยายกระเปานักเรยี นกบั สมุด ภาพที่ 2.23 การเปลยี่ นแปลงการเคลอ่ื นทข่ี องวตั ถุ กิจกรรม สรปุ ความรปู ระจาํ บทท่ี 1 2. หลังจากทํากิจกรรม ครูใหแตละกลุมรวมกัน ตรวจสอบตนเอง อภปิ รายวา วตั ถทุ มี่ มี วลมากกบั วตั ถทุ ม่ี วลนอ ย สง่ิ ใดเคลอื่ นทหี่ รอื เคลอ่ื นยา ยไดง า ยและสะดวก หลงั เรยี นจบหนว ยน้แี ลว ใหนักเรียนบอกสญั ลักษณท ี่ตรงกับระดบั ความสามารถของตนเอง ทสี่ ดุ เพราะอะไร จากนนั้ ใหแ ตล ะกลมุ สง ตวั แทน นําเสนอผลการอภิปรายหนาช้ันเรียนเพื่อสรุป รายการ เกณฑ รว มกันกับเพ่ือนกลุมอืน่ ๆ ดี พอใช ควรปรับปรงุ 3. ครอู ธิบายเพ่มิ เตมิ ใหนกั เรยี นเขาใจวา • วัตถทุ ี่มมี วลมาก จะมนี า้ํ หนักมาก จึงมกี าร 1. เขา ใจเนอ้ื หาเกยี่ วกับเร่ืองแรงโนม ถวงของโลก เปล่ียนแปลงการเคลื่อนที่ไดยากกวาวัตถุ ทม่ี ีมวลนอย 2. สามารถทํากจิ กรรมและอธบิ ายผลการทาํ กิจกรรมได • วตั ถทุ ี่มีมวลนอย จะมนี าํ้ หนกั นอย จึงมีการ เปล่ียนแปลงการเคล่ือนท่ีไดงายกวาวัตถุ 3. สามารถตอบคําถามจากกจิ กรรมหนูตอบไดได ทม่ี มี วลมาก 4. ทํางานกลมุ รว มกบั เพื่อนไดดี 4. ครูสนทนากับนักเรียนทุกคน เพ่ือทบทวน ความรูความเขาใจเกี่ยวกับเน้ือหาท่ีไดเรียน 5. นําความรไู ปใชประโยชนใ นชวี ติ ประจําวันได ผา นมาจากหนว ยการเรยี นรูท่ี 2 บทท่ี 1 เร่อื ง แรงโนมถวงของโลก โดยสุมเรียกชื่อนักเรียน 65 ใหออกมาเลาวา ตนเองไดรับความรูอะไรบา ง (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบคุ คล) ขอ สอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู ขอใดถกู ตองเก่ยี วกบั การเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนทข่ี องวตั ถุ เมอื่ เรยี นจบบทนแี้ ลว ครใู หน กั เรยี นตง้ั คาํ ถามทอี่ ยากรเู พมิ่ เตมิ เกยี่ วกบั เรอื่ ง ก. เกาอ้ีไมเ คลอ่ื นยายไดง ายกวาหนังสือ แรงโนมถว งของโลก คนละ 1 คาํ ถาม จากน้ันครูสุมเรยี กใหนักเรยี นบอกคําถาม ข. ตูพลาสตกิ เคลอ่ื นยา ยไดยากกวา ตเู หล็ก ของตนเอง แลว ใหเพื่อนคนอนื่ ๆ ในชนั้ เรียนชว ยกันแสดงความคิดเหน็ วา จะใช ค. สม 1 ลัง เคล่ือนยา ยไดงา ยกวาสม 10 ลงั วิธีการทางวิทยาศาสตรตอบคําถามน้ีไดอยางไร โดยครูทําหนาที่เปนผูช้ีแนะ ง. กอนหินกอ นเลก็ เคลือ่ นยายไดย ากกวา กอ นหินกอ นใหญ และสังเกตการทํากิจกรรมของนกั เรียนอยา งใกลชิด (วิเคราะหคําตอบ มวลของวัตถุมีผลตอการเปลี่ยนแปลงการ นักเรียนควรรู เคลื่อนท่ีของวตั ถุ โดยวัตถทุ ม่ี วลมากจะเปลยี่ นแปลงการเคลอ่ื นที่ ยากกวา วตั ถทุ ีม่ ีมวลนอ ย ซงึ่ สม 10 ลงั มีมวลมากกวาสม 1 ลงั 1 การเคล่อื นที่ (movement) คือ การทว่ี ัตถุหรอื สิ่งตา งๆ ยายตาํ แหนงจาก จึงทําใหเปลี่ยนแปลงการเคล่ือนท่ีไดงายกวา ดังน้ัน ขอ ค. จึง ท่เี ดมิ ไปอยใู นตาํ แหนงใหม เปนคาํ ตอบท่ถี กู ตอ ง) T73
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สรปุ ฝกิจกกทรรกั มษะ º··Õè 1 ขยายความเขา ใจ 1. ตอบคำ� ถำมตอ่ ไปนี้ 1) เพราะเหตใุ ดเม่ือเราเดินขึน้ บนั ไดจงึ ร้สู ึกเหนือ่ ยง่ายกว่าการเดนิ ลงบันได 5. นักเรียนเขียนสรุปความรูเก่ียวกับเร่ืองท่ีได 2) ลูกกอล์ฟและลกู ปง ปองทีม่ ีขนาดเท่ากนั เม่อื นา� ไปชัง่ น�้าหนกั พบวา่ ลกู กอล์ฟ เรียนมาจากบทท่ี 1 ในรูปแบบตางๆ เชน มนี ้�าหนักมากกวา่ ลกู ปง ปอง นักเรยี นคิดวา่ เปน เพราะเหตุใด แผนผังความคิด แผนภาพ เปนตน ลงในสมดุ 3) นกั เรียนคดิ วา่ หากโลกไม่มีแรงโนม้ ถว่ ง จะส่งผลกระทบตอ่ สิง่ ตา่ ง ๆ บนโลก หรอื อาจทาํ กิจกรรมสรปุ ความรูประจาํ บทที่ 1 หรอื ไม่ เพราะอะไร ในแบบฝก หัดวิทยาศาสตร หนา 66 4) มวลของวัตถุจะมีผลตอ่ การเปลยี่ นแปลงการเคลือ่ นทข่ี องวตั ถอุ ยา่ งไร 5) นกั เรยี นคดิ วา่ ระหวา่ งรถบรรทกุ หินกับรถตู้ รถคันใดสามารถเคล่อื นทไ่ี ดง้ า่ ย 6. นักเรียนทํากิจกรรมฝกทักษะบทท่ี 1 จาก กว่ากัน เพราะอะไร หนงั สอื เรียน หนา 66-67 ขอ 1-4 ลงในสมดุ หรอื ทาํ ในแบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 67-69 2. ขดี ✓ หน้ำขอ้ ท่ีเปนผลมำจำกแรงโนม้ ถว่ งของโลกโดยตรง ………..… 1) วตั ถทุ กุ ชนิดทีอ่ ย่บู นโลกมีนา�้ หนัก 7. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมทาทายการคิด ………..… 2) พืน้ ท่ีเปยกน้�าทา� ใหเ้ กดิ การลื่นไถล ข้ันสงู จากแบบฝก หัดวทิ ยาศาสตร หนา 70 ………..… 3) ลูกฟุตบอลกลง้ิ ไดไ้ กลบนพ้นื ท่เี รยี บ ………..… 4) ผลไม้ท่สี กุ งอมรว่ งจากต้นลงสพู่ ื้นดิน 8. นักเรียนแบงกลุม จากนั้นรวมกันทํากิจกรรม ………..… 5) จกั รยานเคล่ือนที่ได้ เพราะออกแรงปน สรางสรรคผลงานจากหนังสือเรียน หนา 67 พรอ มนําเสนอหนา ช้ันเรยี น 3. สงั เกตภำพและให้เหตุผลวำ่ เกี่ยวขอ้ งกบั แรงโนม้ ถ่วงของโลกอย่ำงไร 1) 2) แนวตอบ กจิ กรรมฝกทักษะ ขอ 1. สมุดับปนรทึะกจ�ผาลัตวลงใน 1) เพราะเปน การเดนิ สวนทางกบั แรงโนม ถว ง ของโลก ทาํ ใหเราตองออกแรงมากข้ึน 2) เพราะลกู กอลฟ มมี วลมากกวา ลกู ปง ปอง เมอื่ นาํ ไปช่งั ลกู กอลฟจึงมีนา้ํ หนกั มากกวา ลกู ปง ปอง 3) สง ผลกระทบ เพราะจะทําใหส ิง่ ตางๆ บน โลกไรน้ําหนักและลอยไปมาในอากาศ จึงมีผลตอ การดําเนินชีวติ ของส่งิ มีชวี ติ ตา งๆ บนโลก 4) มวลของวัตถุมีผลตอการเปลี่ยนแปลงการ เคลอ่ื นทข่ี องวตั ถุ โดยวตั ถทุ มี่ วลมากจะเปลยี่ นแปลง การเคลอื่ นทไ่ี ดย ากกวาวตั ถุทม่ี ีมวลนอย 5) รถตู เพราะเปน รถทมี่ ีขนาดเล็กและมมี วล นอ ยกวา รถบรรทกุ หนิ จงึ ทาํ ใหเ กดิ การเปลยี่ นแปลง การเคล่ือนทไี่ ดงา ยกวา ขอ 2. 1) ✓ 4) ✓ ขอ 3. 1) แรงโนมถวงของโลกดึงดูดใหนํ้าไหลจากท่ี ภาพที่ 2.24 เทนา้� ใส่แกว้ ภาพที่ 2.25 คนกระโดดรม่ 66 สูงลงสูท ่ตี าํ่ 2) แรงโนม ถว งของโลกดงึ ดดู ใหน กั กระโดดรม ตกลงสพู นื้ ดิน เกร็ดแนะครู ขอ สอบเนน การคิด ในการทาํ กจิ กรรมสรา งสรรคผ ลงาน ครอู าจใชร ปู แบบการเรยี นรแู บบรว มมอื นา้ํ หนักของนักเรียนเกิดไดจากขอใด เทคนิค L.T. มาจัดกิจกรรมการเรียนรู เพ่ือกําหนดใหสมาชิกของนักเรียน ก. เครือ่ งช่งั นํา้ หนักมีแรงดึงดูดรา งกายของนักเรยี น แตละกลุมมหี นา ท่ขี องตนเอง และทํางานรวมกัน ข. นกั เรียนชง่ั นํ้าหนักดวยเครอ่ื งชัง่ จึงเกดิ นํ้าหนกั ขึ้น ค. แรงโนมถวงของโลกกระทาํ ตอรา งกายของนกั เรยี น รปู แบบการเรยี นรแู บบรวมมอื เทคนคิ L.T. หรอื Learning Together คอื ง. ปรมิ าตรรางกายของนักเรยี นกระทาํ ตอเครือ่ งชั่งนาํ้ หนกั กระบวนการสอนหนึ่งของรูปแบบการเรียนรูแบบรวมมือ โดยมีขั้นตอนการจัด กจิ กรรมการเรียนรู ดงั น้ี (วิเคราะหคําตอบ เน่ืองจากมีแรงโนมถวงของโลกมากระทําตอ มวลของวตั ถุ (รา งกายของนกั เรยี น) จงึ ทาํ ใหว ตั ถมุ นี า้ํ หนกั เกดิ ขน้ึ 1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละเทาๆ กัน จากน้ันครูและนักเรียนทบทวน ดังนัน้ ขอ ค. จึงเปน คาํ ตอบทถ่ี กู ตอ ง) เนื้อหาเดิมหรือความรูพนื้ ฐานทเี่ กยี่ วของ 2. ครแู จกแบบฝก หดั ใบงาน หรือโจทย ใหนกั เรยี นทกุ กลุม กลมุ ละ 1 ชุด เหมอื นกัน จากน้นั ใหนกั เรียนแบง หนา ที่ในการทาํ งาน 3. นักเรยี นทาํ กิจกรรม แลว นําเสนอผลงาน จากน้นั ใหครูประเมินผลงาน ของกลุม โดยเนนกระบวนการทํางานกลุม T74
นาํ สอน สรปุ ประเมิน 2หนว ยการเรียนรทู ี่ ขนั้ ประเมนิ áçâ¹ÁŒ ¶‹Ç§¢Í§âÅ¡áÅеÇÑ ¡ÅÒ§¢Í§áʧ ตรวจสอบผล 4. อ่ำนข้อมูลท่ีกำ� หนด แลว้ ตอบค�ำถำม 1. ครูใหนักเรียนดูตารางตรวจสอบตนเองจาก หนังสือเรียน หนา 65 จากน้ันถามนักเรียน นกั บนิ อวกาศบนดวงจนั ทร รายบคุ คลตามรายการขอ 1-5 เพ่ือตรวจสอบ มวลของดวงจันทรนอยกวามวลของ ความรคู วามเขาใจของนกั เรยี นหลังเรยี น โลกมาก แรงโนมถวงบนดวงจันทร จึงนอยกวาบนโลกถึง 6 เทา ดังน้ัน 2. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมที่ 3 เร่ือง นักบินอวกาศจะมีน้ําหนักบนดวงจันทร มวลของวัตถกุ บั การเปลยี่ นแปลงการเคลื่อนท่ี ลดลง 6 เทา ทาํ ใหเคล่ือนไหวรางกาย ในสมดุ หรอื ในแบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 64 และเคลื่อนที่ไดสะดวก ในทางกลับกัน บ น ด า ว พ ฤ หั ส บ ดี ซ่ึ ง เ ป น ด า ว เ ค ร า ะ ห 3. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมหนูตอบไดใน ที่ ใหญที่สุดในระบบสุริยะ มีแรงดึงดูด สมดุ หรือแบบฝก หดั วิทยาศาสตร หนา 65 มากกวาโลกถึง 2.5 เทา หากนักบิน อวกาศยนื อยบู นดาวพฤหสั บดีนาํ้ หนกั จะ 4. ครูตรวจผลการสรุปความรูเรื่อง แรงโนมถวง เพ่ิมมากขน้ึ จึงทาํ ใหแ มแตการเดนิ ก็ทาํ ของโลก จากในสมุดหรือจากในแบบฝกหัด ไดยากลาํ บาก ภาพที่ 2.26 วทิ ยาศาสตร หนา 66 ดัดแปลงจาก : หนังสือจุดประกายความคิด ชดุ รูว ิทย คิดเปน 5. ครตู รวจผลการทาํ กจิ กรรมฝก ฝนทกั ษะในสมดุ หรือในแบบฝกหดั วทิ ยาศาสตร หนา 67-69 1) เมอ่ื ดวงจนั ทร์มแี รงดึงดูดน้อยกว่าโลกถึง 6 เท่า นกั เรยี นคดิ วา่ จะส่งผลดตี ่อ ภารกิจสา� รวจดวงจันทรอ์ ยา่ งไรบ้าง 6. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมทาทายการคิด ขั้นสูงในแบบฝกหดั วทิ ยาศาสตร หนา 70 2) หากนนท์ช่งั น้า� หนักของตนเองบนโลกได้ 60 นิวตนั เม่อื ไปอยบู่ นดวงจนั ทร์ นนทจ์ ะมีน�า้ หนกั เท่าไร 7. ครูตรวจชิ้นงาน/ผลงานกลองกันกระแทก และการนําเสนอช้ินงาน/ผลงานจากการ 3) หากนนทไ์ ปชงั่ นา�้ หนกั บนดาวพฤหสั บดี นนทจ์ ะมนี า้� หนกั เทา่ ไร จงแสดงวธิ คี ดิ ทาํ กิจกรรมสรา งสรรคผลงาน กจิ กรรม ทา ทายการคดิ ขน้ั สงู แนวตอบ กจิ กรรมฝก ทักษะ ÊกิจÃกŒÒร§รÊมÃä¼ ŧҹ ขอ 4. 1) ทําใหนักบินอวกาศสามารถเคลื่อนท่ีได แบงกลุม แลวชวยกันออกแบบและสรางกลองกันกระแทก เพอื่ ปอ งกนั ความเสยี หายของสงิ่ ตา ง ๆ หากตกหรือหลน จากทีส่ งู สะดวกมากข้ึน รวมทั้งยังสามารถห้ิวหรือเคล่ือน โดยกําหนดให ใชวัสดเุ หลือใช 2 - 3 ชนดิ จากน้ันนาํ เสนอแนวคิด ยายอุปกรณตา งๆ ไดงา ยข้นึ และทดสอบผลงาน แลวปรับปรุง เพื่อนําไปจัดแสดง ในวนั วิชาการของโรงเรียน 2) เม่ืออยูบนดวงจันทร นนทจะมีนํ้าหนัก เทา กบั 10 นิวตัน 67 3) นนทอ ยูบนโลก มนี าํ้ หนัก 60 นวิ ตัน ซงึ่ บน ดาวพฤหัสบดีมีแรงโนมถวงมากกวาโลก 2.5 เทา ดังน้ัน น้ําหนักของนนทบนดาวพฤหัสบดี คือ 60 × 2.5 เทา กบั 150 นวิ ตัน ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET แนวทางการวัดและประเมินผล หากช่งั น้ําหนักของวัตถชุ น้ิ หนึ่งบนดวงจันทรไ ด A นิวตัน และเมอื่ ครูสามารถวัดและประเมินผลชิ้นงาน/ผลงานกลองกันกระแทกที่นักเรียน นาํ วัตถชุ ้ินเดียวกนั นไ้ี ปชง่ั บนโลก ผลจะตรงกับขอ ใด สรางขึ้น โดยศึกษาเกณฑประเมินผลงานจากแบบประเมินผลงาน/ช้ินงานที่ แนบมาทายแผนการจัดการเรยี นรูข องหนวยการเรยี นรทู ่ี 2 แรงโนมถว งของโลก ก. วตั ถมุ นี า้ํ หนัก A นวิ ตัน และตวั กลางของแรง ดังภาพตวั อยาง ข. วัตถมุ ีนาํ้ หนกั มากกวา A นิวตนั ค. วตั ถุมนี ํ้าหนักนอ ยกวา A นวิ ตัน ง. มีคา ของนํ้าหนักไมแ นนอน (วิเคราะหคําตอบ แรงดึงดูดของดวงจันทรนอยกวาโลก 6 เทา ดงั นน้ั หากชงั่ นา้ํ หนกั วตั ถชุ นิ้ เดยี วกนั นาํ้ หนกั ของวตั ถทุ ช่ี ง่ั บนโลก จะมนี า้ํ หนกั มากกวา ทชี่ งั่ บนดวงจนั ทร 6 เทา ดงั นนั้ ขอ ข. จงึ เปน คาํ ตอบทถี่ กู ตอ ง) T75
นาํ นํา สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั นาํ 2º··èÕ µÑÇ¡ÅÒ§¢Í§áʧ Key words กระตนุ ความสนใจ • transparent object • translucent object 1. ครูแจง ชือ่ เรื่องที่จะเรยี นรแู ละผลการเรยี นรูให • opaque object นกั เรียนทราบ • shadow 2. นักเรียนสังเกตภาพในหนังสือเรียนหนานี้ วตั ถุทึบแสง จากน้ันใหนักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็น รวมกันวา ภาพน้ีเก่ียวของกับการมองเห็น (opaque object) แสงผานวัตถุอยางไร โดยครูคอยเสริมขอมูล ในสว นทบ่ี กพรอ ง ?àÃÒ㪌»ÃÐ⪹¨Ò¡ 3. นักเรียนเรียนรูคําศัพทที่เก่ียวกับการเรียน µÑÇ¡ÅÒ§¢Í§áʧ บทที่ 2 เรือ่ ง ตัวกลางของแสงจากภาพหนา นี้ Í‹ҧäúŒÒ§ โดยครูสุมเลือกตัวแทนหรือขออาสาสมัคร นักเรียน 1 คน ออกมาหนาช้ันเรียนเพ่ือเปน วัตถุโปรง่ ใส ผูอา นนํา และใหนักเรียนคนอื่นๆ อานตาม (transparent object) 4. ครูถามคําถามสําคัญประจําบทเพื่อกระตุน นักเรียนกอนเขาสูเนื้อหาวา เราใชประโยชน วัตถุโปรง่ แสง จากตัวกลางของแสงอยางไรบาง แลวให นักเรียนแสดงความคิดเห็นไดอยางอิสระ (translucent object) (แนวตอบ เชน ใชทํากระจกหนาตางเพื่อให มองเห็นสง่ิ ตางๆ นอกบา นไดช ัดเจน หรอื ทาํ กาํ แพงบานเพือ่ ปองกันแสงเขามา เปน ตน ) 5. นักเรียนเขียนการใชประโยชนจากตัวกลาง ของแสงในบานของตนเองมา 5 ขอ โดยทํา ลงในสมุดหรือใหทํากิจกรรมนําสูการเรียน ในแบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร ป.4 เลม 1 หนา 72 เงา กิจกรรม นาํ สกู ารเรียน 68 (shadow) นักเรียนควรรู ครูใหนกั เรยี นฝก เรียนรูและอานคาํ ศพั ทว ทิ ยาศาสตร ดงั น้ี Light (ไลท) แสง Shadow (‘แช็ดโดว) เงา Opaque object (โอ’เพค ‘อ็อบเจ็คท) วตั ถทุ ึบแสง Translucent object (แทร็นส’ลูซึนท ‘อ็อบเจค็ ท) วตั ถุโปรง แสง Transparent object (แทรน็ ซ’แพรึนท ‘อ็อบเจค็ ท) วตั ถุโปรง ใส T76
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ 2หนว ยการเรียนรทู ี่ ขนั้ สอน áçâ¹ÁŒ ¶‹Ç§¢Í§âÅ¡áÅеÑÇ¡ÅÒ§¢Í§áʧ สาํ รวจคน หา 1. µÑÇ¡ÅÒ§¢Í§áʧ 1. ครนู าํ ตวั อยา งผา เชด็ หนา มา 1 ผนื จากนน้ั กาง ผาเช็ดหนาใหนักเรียนดูและบอกนักเรียนให แสง1เปนพลังงานรูปหนึ่งท่ีเราสามารถรับรู้ได้ทางตา เม่ือแสงเดินทางมา คาดเดาวา หากครูใชไฟฉายสองผาเช็ดหนา ทบ่ี รเิ วณใดบรเิ วณหนง่ึ จะทา� ใหเ้ กดิ ความสวา่ งและชว่ ยทา� ใหเ้ รามองเหน็ สงิ่ ตา่ ง ๆ ผืนนี้ แสงจะสามารถเคล่ือนที่ทะลุผานผา ไดช้ ัดเจน ไดหรือไม เพราะอะไร แลวใหรวมกันแสดง ความคิดเห็นอยางอสิ ระ เมื่อแสงเดินทางเปนแนวเส้นตรงออกจากแหล่งก�าเนิดแสงแล้ว แสงน้ัน (แนวตอบ คําตอบข้นึ อยูกบั ชนดิ และความหนา จะเคลื่อนที่ผ่านอากาศหรือส่ิงต่าง ๆ ก่อนเข้าสู่ดวงตาของเรา จึงท�าให้มีผลต่อ ของผา เชด็ หนาทค่ี รนู ํามาใช) การมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ของเรา ส่ิงที่ก้ันแสงแล้วแสงสามารถผ่านได้ เรียกว่า ตวั กลำงของแสง สว่ นสิง่ ท่ีแสงไม่สามารถผ่านได้ เรยี กว่า วัตถทุ บึ แสง 2. ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาขอ มลู และสงั เกตภาพจาก หนังสอื เรียนหนา น้ี จากน้นั ครูสุมถามนกั เรยี น กลอ่ งของขวญั ถุงกระดาษ 4-5 คน วา วตั ถใุ นภาพใดบา งเปน ตวั กลางของ แสงและวตั ถุใดเปน วัตถุทบึ แสง แก้วใส กระจกฝา 3. ครูถามคําถามนักเรียนวา ตัวกลางของแสง กระจกใส ภาพท่ี 2.27 ตวั อยา่ งวตั ถทุ เ่ี ปน ตวั กลางของแสง แตกตางจากวัตถุทึบแสงอยางไร จากนั้นครู และวัตถุทบึ แสง จับสลากเลือกนักเรียนใหออกมาตอบคําถาม 2-3 คน µÑÇ¡ÅÒ§¢Í§áʧᵡµ‹Ò§¨Ò¡ (แนวตอบ ตวั กลางของแสง คอื วตั ถทุ ก่ี นั้ ทางเดนิ Çѵ¶·Ø ºÖ áʧÍ‹ҧäà ของแสง แลวแสงสามารถเดินทางผานไปได สวนวัตถุทึบแสง คือ วัตถุที่เมื่อนํามาก้ันแสง แลว มองไมเ หน็ แสง หรอื ไมส ามารถมองเหน็ สงิ่ ที่อยดู า นหลงั วตั ถุท่นี ํามากน้ั แสงนน้ั ) 4. ครใู หค าํ ชมเชยหรอื รางวลั เพอื่ เปน การเสรมิ แรง กบั นักเรยี นที่ตอบคาํ ถามไดถูกตอ ง (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสงั เกตพฤติกรรมการทาํ งานรายบคุ คล) 69 เกร็ดแนะครู ในขัน้ สํารวจคนหา ขอ ท่ี 1. ครูอาจแสดงตัวอยา งตวั กลางของแสงและวตั ถุ ทบึ แสงใหน กั เรยี นเหน็ เพมิ่ เตมิ โดยใชแ หลง กาํ เนดิ แสงชนดิ เดยี วกนั ตวั อยา งเชน แสงจากดวงอาทิตยที่สองผานหนาตางกระจกในเวลาที่มีและไมมีผามานกั้น ซ่ึงสามารถชวยอธิบายความแตกตางของตัวกลางของแสงและวัตถุทึบแสง ไดช ัดเจน นักเรียนควรรู 1 แสง (light) เปนพลังงานรูปแบบหนง่ึ ท่ีมีความสาํ คัญตอการดาํ รงชีวติ ของ ส่ิงมีชีวิตทุกชนิดบนโลก แสงของดวงอาทิตยเคล่ือนท่ีไดเร็วมาก โดยเดินทาง ผานชั้นบรรยากาศมายังผิวโลกดวยความเร็ว 300,000 กิโลเมตรตอวินาที แหลง กําเนดิ แสงทใี่ หญท ี่สดุ ของโลก คอื ดวงอาทิตย T77
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สอน ¡¨Ô ¡ÃÃÁ·Õè 1 ทกั ษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตรทใี่ ช สาํ รวจคน หา ตวั กลางของแสง 1. การสังเกต 2. การทดลอง 5. ครใู หน กั เรยี นเลน เกมหอยแบง ฝาเพอ่ื แบง กลมุ จุดประสงค 3. การตง้ั สมมตฐิ าน นกั เรียนออกเปน กลมุ ละ 4 คน โดยครอู ธิบาย 4. การจําแนกประเภท วิธีการเลนใหนักเรียนฟง จากน้ันใหนักเรียน 1. สังเกตและอธิบายการมองเห็นแสงผา นวตั ถตุ า ง ๆ 5. การจัดกระทาํ และส่อื ความหมายขอ มลู เลน เกม 2-3 คร้ังจนไดก ลมุ ครบทกุ คน 2. จําแนกวัตถทุ ่นี าํ มาใชกน้ั แสง โดยใชการมองเห็นส่ิงตาง ๆ 6. การตคี วามหมายขอมลู และการลงขอสรปุ 6. ครชู แ้ี จงวา ใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ ศกึ ษาขน้ั ตอน ผา นวัตถนุ น้ั เปนเกณฑ และวิธีการทํากิจกรรมที่ 1 เร่อื ง ตวั กลางของ แสง จากหนังสือเรียน หนา 70-71 จากนั้น ตอ งเตรยี มตองใช 2. แผนโฟม 1 แผน ใหแตละกลุมไปเตรียมอุปกรณใหครบถวน 4. กระจกฝา 1 บาน แลวชวยกันปฏิบัติกิจกรรมจนครบทุกขั้นตอน 1. แผนไม 1 แผน 6. แผน กระเบือ้ ง 1 แผน โดยบนั ทกึ ผลการทาํ กจิ กรรมลงในสมดุ หรอื ใน 3. แกวนาํ้ ใส 1 ใบ 8. กระดาษแกว ใส 1 แผน แบบฝก หัดวิทยาศาสตร หนา 75 5. กระดาษไข 1 แผน 10. แผนพลาสตกิ ใส 1 แผน (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช 7. ไฟฉาย 1 กระบอก แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทาํ งานกลมุ ) 9. กระดาษแข็ง 1 แผน 11. แผน พลาสติกขุน 1 แผน ลองทาํ ดู 1. รว มกนั ตง้ั สมมตฐิ านจากขอ สงสยั วา เมอ่ื นาํ วตั ถแุ ตล ะชนดิ มากน้ั แสงของไฟฉาย จะทาํ ให มองเห็นแสงทผี่ า นวตั ถุแตกตา งกนั หรือไม แลว บนั ทึกผลลงในสมดุ 70 ภาพที่ 2.28 เกร็ดแนะครู ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET “เมื่อแสงกระทบกับวัตถุท่ีไมยอมใหแสงผานจะทําใหเกิดเงา” ครอู าจใชเ กมหอยแบง ฝาเขา มาชว ยแบง กลมุ นกั เรยี น เพอ่ื กระตนุ ความสนใจ จากขอ ความดังกลา ว วตั ถุที่ไมย อมใหแสงผา นคือขอใด ในการเรียนรขู องนกั เรยี น โดยมวี ิธกี ารเลน ดังนี้ ก. แผน กระเบ้ือง 1. ครชู แี้ จงใหนกั เรียนคดิ วาตนเองตอ งการเปน ตวั หอยหรอื ฝาหอย ข. แผน กระจกใส 2. จากนนั้ ครอู อกคาํ สงั่ แลว ใหน กั เรยี นวง่ิ ไปรวมกลมุ กนั ซงึ่ กาํ หนดนกั เรยี น ค. แผนกระจกฝา ง. แผน พลาสตกิ ใส ที่ลอ มวง คอื ฝาหอย และนกั เรยี นท่อี ยใู นวง คือ ตวั หอย (วิเคราะหค ําตอบ ขอ ข. และ ง. เปนตัวกลางโปรงใส ขอ ค. 3. หากนักเรียนคนใดไมมีกลุม หรือนักเรียนกลุมใดมีจํานวนฝาหอยหรือ เปน ตวั กลางโปรงแสง ขอ ข. ค. และ ง. เปนวตั ถทุ แ่ี สงสามารถ เดนิ ทางผานไปได สว น ขอ ก. เปน วตั ถุทบึ แสง แสงไมสามารถ ตวั หอยไมค รบตามการออกคาํ สงั่ ของครจู ะถกู ทาํ โทษดว ยวธิ ตี า งๆ เชน ผา นได ดงั น้นั ขอ ก. จงึ เปน คาํ ตอบท่ีถูกตอ ง) การเตนตามเพลง การรองเพลง เปนตน 4. ตวั อยา งการออกคาํ ส่งั ของครู เชน ï มีหอย 2 ตวั อยใู นฝา 4 ฝา ï มีฝา 5 ฝา ลอ มหอย 1 ตวั ï มตี ัวหอยและฝาหอยลอมวงกัน 4 ตัว T78
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ 2หนว ยการเรียนรูที่ ขนั้ สอน áçâ¹ÁŒ ¶Ç‹ §¢Í§âÅ¡áÅеÇÑ ¡ÅÒ§¢Í§áʧ อธบิ ายความรู 2. แตล่ ะกลมุ่ ชว่ ยกนั ทา� กจิ กรรมเพอื่ ตรวจสอบ ภาพที่ 2.29 1. นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนกลุมออกมานํา ผลการต้ังสมมติฐาน ดังนี้ เสนอผลการทํากิจกรรม โดยใหเพื่อนกลุม 1) ปด ประตู หนา้ ตา่ ง และหลอดไฟทกุ ดวง µÇÑ ¡ÅÒ§â»Ã§‹ ãÊ µÑÇ¡ÅÒ§â»Ã‹§áʧ ÇµÑ ¶Ø·Öºáʧ อ่ืนๆ ซักถามขอสงสัย แลวใหครูคอยอธิบาย ในห้อง เพม่ิ เติมในสวนที่บกพรอง 2) เปด ไฟฉาย แลว้ สอ่ งผา่ นวตั ถชุ นดิ ตา่ ง ๆ ภาพที่ 2.30 โดยใช้กระดานด�าหรือผนังห้องเปน 2. นักเรียนรวมกันอภิปรายผลการทํากิจกรรม ฉากรับแสง จนสรปุ ไดวา ตวั กลางของแสง คือ วตั ถชุ นดิ 3) ช่วยกันสังเกตแสงของไฟฉายที่ผ่าน ตางๆ ที่นํามาก้ันทางเดินของแสงแลวแสง วตั ถแุ ตล่ ะชนิด แลว้ บนั ทึกผล สามารถเดนิ ทางผา นไปไดม ากหรอื ไดบ างสว น เชน กระจกฝา กระจกใส เปนตน สวนวัตถุ 3. น�าข้อมูลที่ได้มาจ�าแนกประเภทของวัตถุ ทึบแสง คือ วัตถุชนิดตางๆ ท่ีนํามากั้นแสง โดยใช้การมองเห็นแสงท่ีผ่านวัตถุนั้น แลวมองไมเห็นแสงที่ผานมาได และทําใหไม เปน เกณฑ์ สามารถมองเห็นสิ่งท่ีอยูดานหลังวัตถุที่นํามา กน้ั แสงนนั้ เชน แผน กระเบอื้ ง กลอ งลงั เปน ตน 4. น�าข้อมูลจากการทดลองมาจัดท�าเปน (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมนิ นักเรยี น โดยใช แผนผังความคิด แผนภาพ หรือตาราง แบบสงั เกตพฤติกรรมการทาํ งานกลมุ ) เพื่อน�าเสนอเกี่ยวกับชนิดของวัตถุที่ใช้ กัน้ แสง แนวตอบ หนตู อบได 5. น�าเสนอหน้าช้ันเรียน เพ่ืออภิปรายและ ขอ 3. สรุปผลร่วมกนั • กระจกใส เพราะแสงสามารถสอ งผา นเขา มา หนตู อบได ไดดี ชวยทําใหภายในบานมีความสวางมาก และ ชวงเวลากลางวนั ไมตองเปด ไฟในบา น 1. ตวั กลางของแสงกบั วัตถุทบึ แสงตา่ งกันหรอื ไม่ อย่างไร 2. ยกตัวอย่างวัตถุที่เปนตัวกลางโปร่งใส ตัวกลางโปร่งแสง และวัตถุทึบแสง มาอย่างละ • กระจกฝา เพราะแสงสามารถสอ งผา นเขา มา ไดบาง ทําใหบานสวาง โดยกระจกฝามีสวนชวย 3 ชนิด กรองแสงแดดที่สองผานเขามาในบานไดดี ทําให 3. หากตอ้ งการเลอื กใชว้ สั ดใุ นการทา� หนา้ ตา่ งของบา้ น เพอื่ ชว่ ยใหม้ แี สงสวา่ งในบา้ น นกั เรยี น บา นไมร อ นมาก และทาํ ใหค นภายนอกมองไมเห็น ภายในบาน จะเลือกใช้วัสดุชนดิ ใด ระหวา่ งกระจกใสกบั กระจกฝา เพราะอะไร (คหือมกายารเหคติดุแ: คบําบถใหามเหขตอุผสลุดทแาลยะขกอางรหคนดิ ตูแอบบบไโดตแ เปยงนคซาํึ่งถผาเู รมยี ทน่ีอออากจแเลบอืบกใหตผอบูเรอียยนาฝงกใดใชอทยกัางษหะนกึ่งากรคไ็ ดิด ขให้ันคสรูงู 71 พิจารณาจากเหตุผลสนบั สนนุ ) ขอ สอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู “ในวันที่มีอากาศหนาวจัด ชวงเวลาเชาจะมีหมอกลงหนาทึบ ในการทํากิจกรรมท่ี 1 น้ี ครสู ามารถหาวสั ดอุ ื่นมาใชใ นการทดลองแทนได ทาํ ใหม องเหน็ สง่ิ ทอี่ ยรู อบตวั ไดไ มช ดั เจน” จากขอ ความ หมอกเปน ซง่ึ ควรพจิ ารณาจากวัสดทุ เ่ี ปน ตัวกลางประเภทเดียวกนั และครูอาจใหน กั เรียน ตวั กลางโปรงแสงหรอื ไม เพราะอะไร ชว ยกนั ทาํ การทดลองเปน กลมุ หรอื เปน การสาธติ การทดลอง โดยขออาสาสมคั ร จากนกั เรยี นมาชว ยกนั ดาํ เนนิ การทดลอง และใหน กั เรยี นคนอน่ื ๆ รว มกนั สงั เกต (วิเคราะหคําตอบ จากขอความน้ี หมอกเปนตัวกลางโปรงแสง และบนั ทึกผล เพราะหมอกกัน้ ทางเดินของแสงบางสวนไว ทําใหไมสามารถมอง เห็นส่งิ ท่อี ยูรอบตัวไดชดั เจน) หองปฏิบัติการ à·¤¹Ô¤ ¤ÇÒÁ»ÅÍ´ÀÑ กอ นทาํ กิจกรรมท่ี 1 นี้ ครูควรอธิบายใหนักเรยี นเขาใจวา นกั เรียนไมค วร นําไฟฉายมาสองเขาตากัน เพราะจะทําใหแสบตาหรืออาจทําใหเกิดอันตราย ตอดวงตาได เนอ่ื งจากแสงจากไฟฉายมีความเขมของแสงสูงมาก T79
นาํ สอน สรุป ประเมนิ ขน้ั สรปุ ตัวกลำวงัตถซ1ุท่ึง่ีกวั้นัตถทุทาง่ีเปเดนินตขัวอกงลแาสงงขอแงลแ้วสมงทีผล�ามตา่อจกาากรวมัสอดง2ุชเหน็นิดแตส่างงขๆองจเรึงามีผเลรทียก�าใวห่า้ แสงเคล่อื นทผี่ า่ นวตั ถนุ น้ั ได้แตกตา่ งกนั ขยายความเขา ใจ เมือ่ นา� วัตถุต่าง ๆ มาก้นั แสง จะทา� ให้เรามองเห็นลักษณะของแสงทท่ี ะลุ 1. นักเรียนชวยกันศึกษาเนื้อหาจากหนังสือเรียน ผา่ นวตั ถุได้ต่างกัน เราจึงจา� แนกวตั ถทุ นี่ �ามาก้นั แสงได้ตามลกั ษณะการมองเหน็ หนา 72-73 จากน้ันใหสรุปความรูรวมกัน แสงท่ีทะลผุ า่ นวตั ถุนัน้ ได้ ดงั นี้ เพ่ือเช่อื มโยงกับผลการทํากิจกรรมท่ี 1 วตั ถบุ างชนดิ เมอ่ื นา� มากนั้ แสงแลว้ ทา� ใหม้ องไมเ่ หน็ แสงหรอื ไมส่ ามารถมองเหน็ สง่ิ ทอี่ ยู่ 2. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก ด้านหลงั วัตถุนน้ั ได้ เรียกวตั ถุนน้ั วา่ วตั ถทุ ึบแสง เช่น ผนงั ปนู แผ่นไม้ กล่องลงั หนงั สือเรยี น หนา 71 ลงในสมดุ หรอื ทําลงใน แบบฝกหัดวิทยาศาสตร หนา 76 วตั ถบุ างชนดิ เมอื่ นา� มากน้ั แสงแลว้ มองเหน็ แสงหรือมองเห็นส่ิงที่อยู่ด้านหลังวัตถุน้ัน 3. ครูขยายความเขาใจของนักเรียนเพิ่มเติม เไชมน่ช่ ดั กเจระนจเกรฝยี ากวกตั รถะนุดานั้ ษวาไ่ ขต3วัหกมลอำกงโคปวรง่นั แสง โดยนําน้ําท่ีบรรจุอยูในภาชนะตางๆ ไดแก ขวดพลาสติกใส ขวดพลาสติกขุน และถวย วตั ถบุ างชนดิ เมอ่ื นา� มากนั้ แสงแลว้ มองเหน็ กระเบ้ือง มาใหทุกคนไดสังเกตหนาชั้นเรียน แสงหรือมองเห็นส่ิงที่อยู่ด้านหลังวัตถุน้ัน แลว ตัง้ คาํ ถาม ดังนี้ ไดช้ ัดเจน เรียกวตั ถนุ น้ั วา่ ตัวกลำงโปร่งใส • นักเรียนสามารถมองเห็นนํ้าผานภาชนะใด เชน่ กระจกใส แก้วใส อากาศ น้�า ไดช ัดเจนที่สดุ เพราะอะไร (แนวตอบ ขวดน้ําพลาสติกใส เพราะขวดมี à¡สÃอ´ç งผานไÇป·ÔไมÂไ¹ด Ò‹จงึÃเŒÙกิดเปเมน อื่ เงนา4าํ ขวึ้นตั บถนุทหึบลแสงั ฉงาเกชทน ี่อยลูดกู าบนอหลลหงั วนตั งั ถสุนือ้นั มโาดกยั้นเงแาสทงเี่ กทิดาํ ขใ้นึหจแะสมงี ความโปรง ใส จงึ สามารถมองเหน็ นาํ้ ทบ่ี รรจุ ในขวดไดช ดั เจน) รูปรางคลา ยกับวัตถสุ ว นทีน่ ํามากน้ั แสง • การมองเหน็ นาํ้ ทบ่ี รรจอุ ยใู นภาชนะเกย่ี วขอ ง กับการเดินทางของแสงผานภาชนะหรือไม 72 ภาพท่ี 2.31 ตัวอยา่ งตวั กลางของแสงและวัตถุทึบแสงทีม่ ีภายในบา้ น อยางไร (แนวตอบ เกยี่ วของ เพราะแสงสามารถเดิน ทางผานภาชนะโปรงใสท่ีบรรจุน้ําได จึง ทําใหเรามองเห็นน้ําที่บรรจุในภาชนะได ชดั เจน) 4. นักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็นและตอบ คาํ ถามทีค่ รูตั้งไว นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET ตารางลกั ษณะของเปลวเทยี นทมี่ องเหน็ เมอื่ มองผา นวตั ถชุ นดิ ตา งๆ 1 วตั ถุ (object) คอื สง่ิ ของตา งๆ ทที่ าํ มาจากวสั ดตุ า งๆ ซง่ึ เรานาํ มาใชง าน หรอื ใชเ ลน เชน โตะ ลกู บอล เปนตน ชนดิ ของวตั ถุ ลักษณะของเปลวเทยี นท่ีมองเห็น 2 วสั ดุ (material) คือ สง่ิ ท่นี าํ มาใชท าํ เปน วตั ถุหรือสงิ่ ของตา งๆ มีดวยกัน A เหน็ ไมช ัด หลายชนดิ เชน ไม ยาง พลาสตกิ ผา โลหะ ดนิ เหนียว เปน ตน B เห็นชดั เจน 3 กระดาษไข ( stencil paper) เปน กระดาษทใี่ ชใ นการทาํ แบบลวดลายหรอื C ไมเหน็ พมิ พอ ดั สาํ เนา นอกจากน้ี ยงั นํามาใชป ระโยชนใ นดา นอ่ืนๆ ดวย เชน ใชรอง ขนมปง ขนมเคก หุมแปรงทาสีชวยรักษาขนแปรงไมใหแข็ง ขัดอุปกรณโลหะ ขอ ใดคอื วตั ถทุ บึ แสง วตั ถโุ ปรง แสง และวตั ถโุ ปรง ใส เรยี งตามลาํ ดบั ใหเงางาม เปน ตน ก. A B C ข. B D A 4 เงา (shadow) คือ บริเวณมืดหลังวัตถุท่ีเกิดข้ึนจากวัตถุทึบแสงขวางกั้น ค. C A B ง. C B F ทางเดนิ ของแสงเอาไว แบง ไดเ ปน 2 ชนิด ไดแ ก เงามืด และเงามัว (วิเคราะหคําตอบ จากขอมูลเม่ือนําวัตถุมากั้นทางเดินแสงของ เปลวเทยี ว ทาํ ใหม องเหน็ แสงของเปลวเทยี นตา งกนั วตั ถทุ น่ี าํ มากนั้ T80 เปลวเทียนแลวมองไมเห็นเปลวเทียน คือ C เปนวัตถุทึบแสง วัตถุที่นาํ มากน้ั เปลวเทยี นแลว มองเห็นเปลวเทยี นแตไมช ัด คอื A เปนวัตถุโปรงแสง วัตถุท่ีนํามาก้ันเปลวเทียนแลวมองเปลวเทียน ชดั เจน คอื B เปน วตั ถุโปรง ใส ดังนน้ั ขอ ค. เปน คาํ ตอบท่ถี ูก)
นาํ สอน สรุป ประเมนิ ตัวอยา ง 2หนว ยการเรียนรูท ่ี ขน้ั สรปุ ตัวกลำงโปร่งใส เชน่ áç⹌Á¶‹Ç§¢Í§âÅ¡áÅеÇÑ ¡ÅÒ§¢Í§áʧ ขยายความเขา ใจ ตวั กลำงโปรง่ แสง เชน่ วตั ถุทบึ แสง เชน่ 5. ครสู มุ เรยี กนกั เรยี นทลี ะคนเพอื่ ใหย กตวั อยา ง วัตถุท่เี ปนตัวกลางโปรงใส ตวั กลางโปรง แสง ภาพที่ 2.32 กระจกใส ภาพที่ 2.33 กระดาษไข ภาพท่ี 2.34 ตุกตา หรอื วตั ถทุ บึ แสง มาคนละ 1 ตวั อยา ง โดยตอ ง ไมซ ้ํากับตวั อยางที่อยูในหนงั สอื เรียนหนานี้ ภาพท่ี 2.35 น้า� ภาพที่ 2.36 หมอก1 ภาพที่ 2.37 นาฬกาปลกุ 6. ครูสนทนากับนักเรียนเพื่อทบทวนความรู ภาพที่ 2.38 อากาศ ภาพที่ 2.39 กระจกฝา ภาพที่ 2.40 หนงั สอื ความเขาใจเก่ียวกับเนื้อหาท่ีไดเรียนผานมา จากหนวยการเรียนรูท่ี 2 บทที่ 2 ตัวกลาง ตรวจสอบตนเอง กจิ กรรม สรปุ ความรปู ระจาํ บทท่ี 2 ของแสง โดยสุมเรียกชื่อนักเรียนใหออกมา เลา วา ตนเองไดรบั ความรอู ะไรบาง หลังเรยี นจบหนว่ ยน้ีแลว้ ให้นกั เรยี นบอกสัญลกั ษณท์ ่ตี รงกับระดบั ความสามารถของตนเอง (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทาํ งานรายบคุ คล) รำยกำร เกณฑ์ 7. นักเรียนเขียนสรุปความรูเก่ียวกับเรื่องท่ีได ดี พอใช้ ควรปรับปรุง เรียนมาจากบทที่ 2 ในรูปแบบตางๆ เชน แผนผงั ความคดิ แผนภาพ เปน ตน ลงในสมดุ 1. เข้าใจเน้อื หาเกี่ยวกับเร่อื งตวั กลางของแสง หรอื อาจทาํ กจิ กรรมสรปุ ความรปู ระจาํ บทที่ 2 2. สามารถทา� กิจกรรมและอธบิ ายผลการทา� กจิ กรรมได้ ในแบบฝก หดั วิทยาศาสตร หนา 77 3. สามารถตอบคา� ถามจากกิจกรรมหนตู อบได้ได้ 8. นักเรียนทํากิจกรรมฝกทักษะบทที่ 2 จาก หนงั สอื เรยี น หนา 74 ขอ 1-3 ลงในสมุดหรือ 4. ทา� งานกลุ่มรว่ มกับเพ่อื นไดด้ ี ทาํ ในแบบฝกหดั วทิ ยาศาสตร หนา 78-79 9. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมทาทายการคิด ขนั้ สงู จากแบบฝก หัดวิทยาศาสตร หนา 80 10. นกั เรียนแบงกลมุ กลุมละ 3-4 คน จากนัน้ รวมกันศึกษากิจกรรมสรางสรรคผลงานจาก หนังสือเรียน หนา 74 แลวปฏิบัติกิจกรรม ตามขน้ั ตอนใหค รบถวน และนาํ เสนอผลงาน หนา ชนั้ เรยี น (หมายเหตุ : ครเู ริม่ ประเมินนักเรยี น โดยใช แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทาํ งานกลุม) 5. น�าความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ในชีวติ ประจา� วนั ได้ 73 กิจกรรม ทา ทาย เกร็ดแนะครู ใหน กั เรยี นสาํ รวจภายในบา นของตนเองวา มกี ารนาํ วตั ถทุ เ่ี ปน เม่ือเรียนจบบทน้ีแลว ครูใหนักเรียนต้ังคําถามท่ีอยากรูเพ่ิมเติมเก่ียวกับ ตัวกลางของแสงหรือวัตถุทึบแสงมาใชประโยชนในชีวิตประจําวัน ตัวกลางของแสงคนละ 1 คําถาม เขียนใสลงในกระดาษแลว นําสง ครู จากนน้ั อยางไรบาง โดยวาดภาพลงในกระดาษ A4 แลวอธิบายวา ครูสุมหยิบคําถามครั้งละ 1 คําถาม แลวใหนักเรียนชวยกันตอบคําถามหรือ ตัวกลางที่นํามาใชเหมาะสมหรือไม อยางไร จากน้ันตกแตง แสดงความคิดเห็นวา จะใชวิธีการทางวิทยาศาสตรหาคําตอบของคําถามนี้ได ใหสวยงาม อยางไร นักเรียนควรรู 1 หมอก (fog) คอื กลุม ละอองน้าํ เล็กๆ ทเ่ี กิดจากการกลั่นตัวของไอน้ําใน บรรยากาศ ซ่งึ หมอกจะลอยตวั อยูใ นระดบั ตา่ํ เหนือพืน้ ดนิ T81
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สรปุ ฝกจิ กกทรรักมษะ º··èÕ 2 ขยายความเขา ใจ 1. ยกตัวอย่ำงกำรน�ำวัตถุท่ีเปนตัวกลำงโปร่งใส ตัวกลำงโปร่งแสง และวัตถุทึบแสง มำใชป้ ระโยชน์ในชวี ิตประจ�ำวนั อยำ่ งละ 1 ข้อ 11. นักเรียนทําทบทวนทายหนวยการเรียนรูที่ 2 เร่อื ง แรงโนม ถว งของโลกและตัวกลางของ 2. น�ำตัวอักษรหน้ำค�ำด้ำนขวำมือ มำเติมหน้ำข้อควำมใหส้ ัมพนั ธ์กนั แสง จากแบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 82-85 ………..… 1) วตั ถุทยี่ อมให้แสงผา่ นได้บางส่วน ก. เงา ………..… 2) เกดิ จากวัตถุทบึ แสงกนั้ ทางเดนิ ของแสง ข. แสง 12. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียนของ สมุดับปนรทึะกจ�ผาลัตวลงใน หนวยการเรียนรูที่ 2 เพื่อตรวจสอบความรู ………..… 3) แสงแดดสอ่ งผา่ นกระจกใสเข้ามาในบ้าน ค. ผนังปูน ความเขาใจหลงั เรยี น ………..… 4) เดินทางเปน เส้นตรงจากแหลง่ กา� เนดิ แสง ง. ตัวกลางโปร่งใส ………..… 5) เมอื่ นา� มาก้ันแสงแลว้ แสงเคลื่อนท่ีผ่านไมไ่ ด้ จ. ตัวกลางโปร่งแสง แนวตอบ กิจกรรมฝกทักษะ 3. สังเกตภำพ แล้วตอบค�ำถำม ขอ 1. 123456 • กระจกใส คือ วตั ถุโปรง ใส ใชใ นการ ภาพท่ี 2.41 ภาพที่ 2.42 ภาพที่ 2.43 ภาพท่ี 2.44 ภาพท่ี 2.45 ภาพท่ี 2.46 ทําบานหนาตางหรอื บานประตู • กระจกฝา คอื วตั ถโุ ปรง แสง ใชท าํ บานเกรด็ 1) วัตถุหมายเลขใดบ้างท่ีแสงผ่านไมไ่ ด้ 2) วตั ถหุ มายเลขใดบ้างท่ีแสงสามารถผ่านได้บางสว่ น หนาตา งหรอื บานประตหู อ งนาํ้ 3) วตั ถหุ มายเลขใดบา้ งเมือ่ ใช้ไฟฉายส่องจะเกดิ เงาขนึ้ ทผ่ี นงั ซง่ึ อยดู่ ้านหลัง • กระเบื้องหลงั คา คือ วตั ถทุ ึบแสง ใช กิจกรรม ทา ทายการคดิ ขนั้ สงู สาํ หรับมงุ หลงั คาบานหรอื อาคารเพื่อปองกัน แสงแดด ÊกิจÃกÒŒ ร§รÊมÃä¼Å§Ò¹ ขอ 2. แบง กลมุ แลว ชว ยกนั สาํ รวจวตั ถทุ ีอ่ ยภู ายในบริเวณโรงเรียน 1) จ 20 อยาง จากนั้นนําขอมูลที่ ไดมาจัดทําสมุดภาพ เพ่ือจําแนก 2) ก เปนวัตถุโปรงใส วัตถุโปรงแสง และวัตถุทึบแสง โดยติดภาพ 3) ง หรือวาดภาพลงในสมดุ พรอ มตกแตงใหสวยงาม 4) ข แลวนาํ เสนอหนา ชั้นเรียน 5) ค 74 ขอ 3. 1) หมายเลข 3, 5 2) หมายเลข 1, 6 3) หมายเลข 3, 5 เกร็ดแนะครู ขอ สอบเนน การคดิ แนว O-NET วตั ถทุ ก่ี าํ หนดใหตอ ไปนี้ ขอ ใดเปน วตั ถทุ บึ แสง ครสู ามารถหยบิ ใชแ บบทดสอบหลงั เรยี นทแี่ นบมาทา ยแผนการจดั การเรยี นรู 1. แผนผา 2. แผนกระจกฝา 3. แผน กระจกใส ของหนว ยการเรยี นรูที่ 2 แรงโนม ถวงและตัวกลางของแสง ไดดงั ภาพตวั อยาง 4. แผนไม 5. แผนสังกะสี 6. แผนพลาสติกใส ก. 1. 3. 4. ข. 1. 4. 5. ค. 1. 2. 5. ง. 2. 4. 6. (วเิ คราะหค าํ ตอบ หมายเลข 1. 4. 5. เปน วตั ถทุ บึ แสง หมายเลข 2. เปนวัตถุโปรงแสง สวนหมายเลข 3. และ 6. เปนวัตถุโปรงใส ดงั น้นั ขอ ข. จงึ เปน คําตอบทถี่ กู ตอง) T82
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ÊÃ»Ø ÊÒÃÐÊÒí ¤ÑÞ 2»ÃШÒí ˹‹Ç¡ÒÃàÃÂÕ ¹Ã·ŒÙ Õè ขน้ั ประเมนิ เคร่ืองชั่งสปเรคิงแร่ือบงบชแั่งขสวปนริงแบบตั้ง ตรวจสอบผล ไปมาในอากาศ มวลของวัตถุ 1. ครูใหนักเรียนดูตารางตรวจสอบตนเองจาก ทําใ ้ห ่สิง ่ตาง ๆ ไม่ลอย ปนัจํ้จาหัยนทัก่ีมขีผอลงตว่อัตถุ ระยะห่างจากจุดศูนย์กลางของโลก หนังสือเรียน หนา 73 จากน้ันถามนักเรียน รายบคุ คลตามรายการขอ 1-5 เพอ่ื ตรวจสอบ เค ่รืองมือ ีท่ใช้ ัวด ผคู้ น้ พบ เซอร์ ไอแซก นิวตัน ความรคู วามเขาใจของนกั เรยี นหลงั เรียน ประโยชน์และข้อจํากัด ลกั ษณะ มีทิศทางพุ่งเข้าหาจุดศูนย์กลางของโลก 2. ครูใหนักเรียนรวมกันศึกษาแผนผังความคิด ทาํ ใหย้ กส่งิ ของทม่ี นี ้าํ หนั แรขงอโงนโม้ ลถก่วง ดงึ ดดู ใหว้ ตั ถตุ กลงสพู่ ้นื โลก สรุปสาระสําคัญประจําหนวยการเรียนรูที่ 2 ในหนาน้ี แลวครูสุมเลือกนักเรียนรายบุคคล เปน็ แรงไมส่ มั ผสั ใหออกมาบอกเลาความรูความเขาใจท่ีไดรับ จากการเรยี นในหนว ยการเรยี นรนู ี้ กมากไดย้ าก 3. คคแลราํ ปูถะรกาแะมาเรรมกงนนิ โาาํผรนเลทสม้จาํนางถอกาว่หนกงนารขราาสยอชงับั้นงเกคุโเรตคลยี พลกนฤกตากิ รรทราํมงกาานรกตลอมุบ ใส เดวิันตทถุทางี่ยผอ่ามนใไห้แ 4. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมท่ี 1 เร่ือง สงด้ทั้งหมดตวั กลางของแสง เชน่ กระจกใส ตัวกลางของแสง ในสมุดหรือในแบบฝกหัด วตั วทิ ยาศาสตร หนา 75 5. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมหนูตอบได วตั ถุ ในสมุดหรอื แบบฝกหดั วทิ ยาศาสตร หนา 76 6. ครตู รวจผลการทาํ กจิ กรรมสรปุ ความรเู กย่ี วกบั เชน่ กลอ่ งลงั ตัวกลางของแสงในสมุดหรือในแบบฝกหัด วตั ถทุ ไี่ มเ่ ปน็ ตวั กลางของแสง านไ ้ห ้ด ทเี่ ปน็ ตวั กลางของแสง วิทยาศาสตร หนา 77 ัตวกลางโป ่รง 7. ครตู รวจผลการทาํ กจิ กรรมฝก ฝนทกั ษะในสมดุ วตั ถทุ บึ แสง ตวั กลางโปรง่ แสง น้าํ แกว้ ใส หรอื ในแบบฝก หัดวิทยาศาสตร หนา 78-79 8. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมทาทายการคิด วตั แถสทุ ง่ีไเมดย่ นิ อทมาใงผ่ ถทุ ยี่ อมใหแ้ สงเดนิ ทางผา่ นไดบ้ างสว่ น ขนั้ สงู ในแบบฝกหัดวทิ ยาศาสตร หนา 80 เชน่ หมอก กระดาษไข ควนั 9. ครตู รวจสอบชนิ้ งาน/ผลงานสมดุ ภาพจาํ แนก หนงั สอื แผน่ ไม้ วตั ถแุ ละการนาํ เสนอชน้ิ งาน/ผลงานจากการ ทาํ กจิ กรรมสรา งสรรคผ ลงาน 75 10. ครตู รวจกจิ กรรมทบทวนทา ยหนว ยการเรยี นรู ท่ี 2 เรอื่ ง แรงโนม ถวงของโลกและตวั กลาง ของแสง ในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร หนา 82-85 11. ครตู รวจสอบผลการทาํ แบบทดสอบหลงั เรยี น ของหนว ยการเรยี นรทู ่ี 2 ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET แนวทางการวัดและประเมินผล แผนฟลมกรองแสงที่นิยมนํามาติดกระจกรถยนต จัดเปน ครสู ามารถวดั และประเมนิ ผลชนิ้ งาน/ผลงานสมดุ ภาพจาํ แนกวตั ถทุ น่ี กั เรยี น ตวั กลางของแสงชนดิ ใด สรา งขน้ึ โดยศกึ ษาเกณฑป ระเมนิ ผลงานจากแบบประเมนิ ผลงาน/ชนิ้ งานทแี่ นบ มาทายแผนการจดั การเรยี นรขู องหนวยการเรยี นรทู ี่ 2 แรงโนมถว งของโลกและ ก. ตวั กลางโปรง แสง ตัวกลางของแสง ดังภาพตวั อยา ง ข. ตัวกลางโปรงใส ค. ตวั กลางกนั แสง ง. วัตถุทบึ แสง (วิเคราะหคําตอบ แผนฟลมกรองแสง เปนตัวกลางโปรงแสง เพราะแผน ฟลม ยอมใหแ สงผานไดบ างสวน ดังนัน้ ขอ ก. จงึ เปน คําตอบทถ่ี กู ตอ ง) T83
ST M Project โรงเรือนลดการคายนํา้ ของพชื การคายนํ้าของพืช (Transpiration) คือ การแพรของน้ําออกทางปากใบ ทําใหตนพืช มีการลําเลียงนํ้าและแรธาตุเกิดข้ึนไดอยาง ตอ เนอื่ ง และชว ยลดความรอ นใหพ ชื สถานการณ นทีต้องการปลูกกล้วยไม้เพ่ือตัดดอกจ�าหน่าย นทีจึงทดลองปลูกกล้วยไม้ไว้ท่ีกลางแจ้ง แต่กล้วยไม้ ได้รับแสงแดดในปริมาณมาก จึงท�าให้เกิดการคายน�้ามากข้ึน กล้วยไม้จึงเหี่ยวเฉาและเจริญเติบโตช้า นทีต้องการแก้ปัญหาน้ีเพื่อให้กล้วยไม้ไม่เหี่ยวเฉา มีการเจริญเติบโตตามปกติ และให้กล้วยไม้ออกดอกได้ เรว็ ขน้ึ นกั เรียนคิดว่า จะสามารถชว่ ยนทดี ว้ ยการประดษิ ฐ์ “โรงเรือนลดการคายนา้� ” เพ่อื ลดการคายนา�้ ของ กล้วยไม้จากอปุ กรณท์ ีม่ ีอยู่ไดอ้ ยา่ งไร ขอ จาํ กดั Science เชื่อมโยงสูไอเดีย นกั เรยี นสามารถสรา้ งโรงเรอื นลดการคายนา�้ ของพชื Technology การคายน้�าของพืช คือ การแพร่ รปู ทรงใดก็ได้ ซง่ึ โรงเรอื นทสี่ รา้ งขนึ้ จะตอ้ งมคี วามแขง็ Engineering ของน�้าออกทางปากใบ จึงท�าให้ แรงทนทาน มขี นาดเหมาะสมกบั พชื ทปี่ ลกู ในกระถาง Mathematics ต้นพืชมีการล�าเลียงน้�าและแร่ธาตุ สามารถยกไปต้ังกลางแจ้งได้ อากาศถ่ายเทได้สะดวก เกดิ ข้นึ อยา่ งต่อเนอ่ื ง และยงั ช่วยลด แสงสามารถส่องผ่านโรงเรอื นได้บางสว่ น และกา� หนด ความร้อนให้แก่ตน้ พชื ให้ใช้เวลาในการสรา้ งโรงเรือน 2 ช่ัวโมง โรงเรือนลดการคายนา้� ของพชื ออกแบบโรงเรือนท่ีมีลักษณะตรง วสั ดแุ ละอปุ กรณ ตามวตั ถุประสงค์ รูปเรขาคณิตสามมิติ เปนรูปเรขา- 1. ดินสอ 1 แทง่ 2. สแลน 1 แผ่น คณิตที่มีความกวา้ ง ความยาว และ 3. หนังยาง 1 ถงุ 4. กรรไกร 1 เล่ม ความสงู (ความหนา) 5. คัตเตอร์ 1 อัน 6. ไมบ้ รรทดั 1 อนั 7. เชอื กฟาง 1 ม้วน 8. ถงุ พลาสตกิ 1 ใบ 9. เทปใส/เทปกาว 1 ม้วน 10. กระดาษลงั /ฟวเจอรบ์ อร์ด 4 แผ่น T84
ข้นั ตอนการทาํ กิจกรรม ข้ันตอนท่ี 1 ระบุปญหา วิเคราะหส์ ถานการณ์และระบุแนวทางในการแกป้ ัญหา เพอ่ื เปน แนวทางในการสรา้ งสรรคช์ ิ้นงาน ขน้ั ตอนท่ี 2 รวบรวมขอมูลและแนวคิด ¹Ñ¡àÃÕ¹ÊÒÁÒÃ¶Êº× ¤Œ¹¢ÍŒ ÁÙÅä´¨Œ Ò¡áËÅ‹§¢ÍŒ ÁÅÙ µ‹Ò§ æ ઋ¹ Í¹Ô à·ÍÃà ¹çµ ËŒÍ§ÊÁØ´ à»¹š µŒ¹ สืบคน้ ความร้แู ละรวบรวมข้อมลู ทจ่ี ะน�าไปแกป้ ญั หา แล้วสรปุ ขอ้ มลู ความรู้ที่ไดม้ าโดยสังเขป ขน้ั ตอนท่ี 3 ออกแบบวิธีการแกปญหา คิดวิธแี กป้ ญั หาและออกแบบช้นิ งาน ตามแนวทางท่ีเตรยี มไวใ้ นข้ันตน้ ข้นั ตอนที่ 4 วางแผนและดําเนินการแกปญหา ร่วมกันวางแผนการสร้างสรรค์ชิ้นงานอย่างเปนล�าดับขั้นตอน แล้วตรวจสอบการด�าเนินการ หากไม่ตรง ตามแผนให้ระบุวธิ แี กไ้ ข ขน้ั ตอนท่ี 5 ทดสอบ ประเมินผล และปรับปรุงแกไขวิธีการแกปญหา บันทกึ รายละเอียดของชน้ิ งาน แลว้ ทดสอบเพือ่ หาแนวทางในการปรับปรงุ ชน้ิ งาน ขน้ั ตอนท่ี 6 นําเสนอวิธีการแกปญหา ¹Ñ¡àÃÕ¹¤Çú͡¶§Ö ÃÒÂÅÐàÍÂÕ ´¢Í§ªÔ¹é §Ò¹ ÃÇÁ¶§Ö ¨´Ø à´¹‹ áÅШ´Ø ´ŒÍ¢ͧªéÔ¹§Ò¹ รวบรวมแนวคดิ ที่ไดแ้ ละปญั หาทพ่ี บจากการทา� กิจกรรม เพ่อื น�าเสนอวิธีการแกป้ ญั หา เกณฑการประเมิน ระดบั คณุ ภาพ เกณฑ์ประเมนิ ชิน้ งาน 54321 ● มีประสิทธภิ าพสามารถลดการคายน�้าของพืชได้ ● ความคดิ สรา้ งสรรคแ์ ละความสวยงามของชน้ิ งาน T85 ● ความเหมาะสมของวสั ดุทเ่ี ลือกใชส้ รา้ งช้นิ งาน
ภาคผนวก เรียนรวู ทิ ยาศาสตร วทิ ยาศาสตรเ์ ปน การศกึ ษาเกย่ี วกบั สง่ิ ทอ่ี ยรู่ อบตวั เรา ซงึ่ วธิ กี ารและขนั้ ตอนทเ่ี ราใชเ้ พอ่ื หาความรอู้ ยา่ งเปน ระบบ เรยี กว่า กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Process) คือ วธิ กี ารและข้ันตอนที่ใช้ดา� เนินการค้นควา้ หาความรู้ ทางวทิ ยาศาสตร์ แบ่งเปน 3 ประเภท คอื 1) วิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ (Scientific Method) 2) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Science Process Skill) 3) จติ วิทยาศาสตร์ (Scientific Attitudes) วิธีการทางวิทยาศาสตร กรวะิทบยวานศกาาสรตทรา ง จิตวิทยาศาสตร ? ทักษะกระบวนการ เปนลักษณะนิสัยของบุคคลที่เกิด ทางวิทยาศาสตร จากการเรียนรผู า นกระบวนการทาง ? ? ระบุปญ หา วทิ ยาศาสตร เชน เปนคนมีเหตมุ ีผล มีความสนใจใฝรู มีความซื่อสัตย ตั้งสมมตฐิ าน มีความรับผิดชอบ มีความอดทน เปนตน โดยสามารถนําความรู ไปใชประโยชนไดอยางถูกตองและ เหมาะสม ทกั ษะขั้นพนื้ ฐาน ทักษะข้นั ผสม - การต้ังสมมติฐาน รวบรวมขอมลู - การสงั เกต - การกาํ หนดนยิ ามเชงิ - การจาํ แนกประเภท ปฏบิ ัตกิ าร - การวดั - การกาํ หนดและ วเิ คราะหขอ มูล - การใชต ัวเลข ควบคมุ ตัวแปร - การลงความเหน็ จาก - การทดลอง - การตีความหมายขอมลู ขอ มลู และการลงขอ สรปุ - การจดั กระทาํ และสอื่ - การสรา งแบบจําลอง สรปุ ผล ความหมายขอ มลู - การหาความสัมพันธ ระหวา งสเปซกบั สเปซ และสเปซกบั เวลา - การพยากรณห รือการ คาดคะเน T86
1. วธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ ? วิธีการทางวิทยาศาสตร์เปนวิธีที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ในการ ค้นหาค�าตอบของส่ิงท่ีสงสัย ใช้แสวงหาความรู้หรือหาความจริง รวมทั้งแก้ปัญหาด้านตา่ ง ๆ วธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ หมายถงึ ขน้ั ตอนในการคน้ ควา้ หรอื การแสวงหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตรอ์ ยา่ งเปน ระบบ ประกอบดว้ ย 5 ขั้นตอน ดังน้ี 1 ระบุปญหา เปนการต้ังปัญหาหรือต้ังข้อสงสัยที่เกิดข้ึนจากการสังเกตส่ิงต่าง ๆ รอบตวั การสงั เกตควรทา� อยา่ งละเอยี ดรอบคอบ โดยใชป้ ระสาทสมั ผสั ตา่ ง ๆ เข้ามาช่วยในการสังเกต 2 ตงั้ สมมตฐิ าน เปนการคาดคะเนค�าตอบของค�าถามหรือปัญหาที่ต้องการศึกษาไว้ ล่วงหน้า โดยอาศัยข้อมูลหรือความรู้เดิม ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ โดยการสงั เกต การสา� รวจ หรือการทดลอง 3 รวบรวมข้อมลู เปน การรวบรวมขอ้ มลู หรอื คน้ หาคา� ตอบของปญั หาดว้ ยวธิ กี ารตา่ ง ๆ เช่น สงั เกต ส�ารวจ ทดลอง หรอื สรา้ งแบบจา� ลอง เพอื่ ใหไ้ ด้ขอ้ มลู แล้วบันทกึ ผล 4 วิเคราะห์ขอ้ มลู เปนการน�าข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการต่าง ๆ มา แปลความหมายหรืออธิบายความหมายของข้อเท็จจริง เพ่ือน�าไปสู่ การสรุปผล 5 สรปุ ผล เปน การสรุปผลของขอ้ มลู ที่ได้ศึกษาคน้ คว้ามา เพอื่ ตรวจสอบว่าตรง กบั สมมตฐิ านทตี่ ง้ั ไวล้ ว่ งหนา้ หรอื ไม่ จากนนั้ นา� ความรทู้ ไี่ ดไ้ ปประยกุ ต์ ใชใ้ นชวี ติ ประจ�าวัน หรือต้งั เปน กฎเกณฑ์เพื่อใชใ้ นการศกึ ษาต่อไป T87
2. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เปน กระบวนการทนี่ กั วทิ ยาศาสตร์ น�ามาใช้เพื่อการศึกษา การแสวงหาความรู้หรือค้นหาความจริง รวมท้ัง แกป้ ัญหาด้านต่าง ๆ ทางวทิ ยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความชา� นาญและความ สามารถในการคดิ คน้ หรอื การสบื เสาะเพอ่ื คน้ หาคา� ตอบ และการแกไ้ ขปญั หา ต่าง ๆ ได้ถูกต้องและเหมาะสม ซงึ่ แบง่ ออกเปน 2 ข้ัน ดังนี้ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรขน้ั พนื้ ฐาน มี 8 ทักษะ ดงั น้ี 1. การสังเกต เปนการใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่งหรือ 2. การจ�าแนกประเภท เปนการแบ่งพวก การจ�าแนกหมวดหมู่ ใช้หลายอย่างร่วมกัน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวกาย หรอื เรยี งลา� ดบั วตั ถหุ รอื เหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ โดยใชค้ วามเหมอื นกนั เพ่ือค้นหา ระบุ และบอกรายละเอียดของส่ิงต่าง ๆ โดยไม่ใส่ ความแตกต่างกัน หรือความสัมพันธ์อย่างใดอย่างหนึ่งมาเปน ความคดิ เห็นของผสู้ งั เกตลงไป เกณฑ์ในการจ�าแนกวัตถหุ รือสงิ่ ต่าง ๆ ออกจากกนั 3. การวัด เปนการเลือกใช้เครื่องมือและการใช้เครื่องมือต่าง ๆ 4. การใชต้ วั เลข เปน การนา� คา่ ทไ่ี ดจ้ ากการสงั เกตเชงิ ปรมิ าณ การ เพ่ือวัดหาปริมาณของส่ิงต่าง ๆ ออกมาเปนตัวเลขได้ถูกต้อง 12 วัด การทดลอง หรอื การสืบค้นจากแหล่งอ่ืน ๆ มาทา� ใหเ้ กิดคา่ และเหมาะสมกบั สง่ิ ทต่ี อ้ งการวดั รวมทง้ั บอกหรอื ระบหุ นว่ ยของ ใหม่ โดยการนบั จา� นวนหรอื นา� ตวั เลขมาคดิ คา� นวณ เพอ่ื ระบรุ าย ตวั เลขท่ีท�าการวดั ได้ ละเอียดเชิงปรมิ าณของสง่ิ ท่สี งั เกตได้ 5. การลงความเห็นจากข้อมูล เปนการเพ่ิมหรือใส่ความคิดเห็น 6. การจัดกระท�าและการสอ่ื ความหมายขอ้ มูล เปน การนา� ขอ้ มลู ที่ เพ่ืออธิบายข้อมูลที่ได้จากการสังเกตอย่างมีเหตุผล โดยอาศัย ไดม้ าจากการรวบรวมขอ้ มูลดว้ ยวธิ ีการต่าง ๆ มาจดั กระท�าและ ความร้แู ละประสบการณเ์ ดมิ มาช่วย นา� เสนอในรปู แบบใหม่ เพอ่ื ใหผ้ อู้ ่ืนเข้าใจความหมายได้ง่ายขึน้ โดยอาจน�าเสนอในรูปแบบแผนภาพ แผนผัง ตาราง กราฟ สมการ การเขยี นบรรยาย เปน ตน้ 7. การหาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสเปซกบั สเปซ และสเปซกบั เวลา 8. การพยากรณ์ หรือการคาดคะเน เปนการคาดคะเนคา� ตอบหรอื - เปนการหาความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่ที่วัตถุต่าง ๆ ครอบ คาดการณส์ ง่ิ ทจี่ ะเกดิ ขน้ึ ไวล้ ว่ งหนา้ กอ่ นทา� การทดลอง โดยอาศยั ครอง ปรากฏการณ์ที่เกิดซ้�า ๆ หลักการ กฎ หรือทฤษฎีท่ีมีอยู่แล้ว - เปน การหาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งพนื้ ทท่ี วี่ ตั ถตุ า่ ง ๆ ครอบครอง มาชว่ ยในการคาดคะเนสง่ิ ท่ีก�าลงั จะเกดิ ขึน้ เม่ือเวลาผา่ นไป ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรขั้นผสม มี 6 ทกั ษะ ดังนี้ 1. การต้ังสมมติฐาน เปนการคิดหาค�าตอบล่วงหน้าก่อนท�าการ 2. การกา� หนดนยิ ามเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร เปน การกา� หนดความหมายและ ทดลอง โดยอาศัยการสังเกต ความรู้ หรือประสบการณ์เดิม ขอบเขตของค�าต่าง ๆ ท่ีอยู่ในสมมติฐานหรืออยู่ในการทดลอง เปนพื้นฐาน โดยค�าตอบทคี่ ดิ ไว้ลว่ งหนา้ น้ยี งั ไม่ทราบผล ไมม่ ี เพ่ือให้เกิดความเข้าใจตรงกันและสามารถสังเกตหรือวัดผลได้ หลักการ หรอื ไมเ่ ปนทฤษฎีมาก่อน และสมมติฐานที่ตัง้ ขนึ้ อาจ โดยให้ค�าอธิบายเก่ียวกับการทดลองและบอกวิธีการวัดตัวแปร ถูกหรือผิดก็ได้ ซ่งึ จะทราบได้ภายหลงั การทดลองแลว้ ทเี่ ก่ยี วกับการทดลองนัน้ ๆ 3. การก�าหนดและควบคุมตัวแปร เปนการก�าหนดตัวแปรต้น 4. การทดลอง เปนกระบวนการปฏิบัติการเพ่ือหาค�าตอบจาก ตัวแปรตาม และตัวแปรควบคุมท่ีต้องควบคุม โดยต้องให้ สมมตฐิ านท่ีตัง้ ไว้ ในการทดลองประกอบด้วย 3 ข้ันตอน คือ สอดคล้องกบั การตงั้ สมมติฐานหน่งึ ๆ ของการทดลอง การออกแบบการทดลอง การปฏบิ ตั ิการทดลอง และการบนั ทกึ ผลการทดลอง 5. การตีความหมายข้อมูลและการลงข้อสรุป เปนการแปลความ 6. การสร้างแบบจ�าลอง เปนการสร้างหรือใช้ส่ิงที่สร้างขึ้นมา หมายหรือบรรยายลักษณะของข้อมูลที่มีอยู่ และสามารถสรุป เพื่อเลียนแบบหรืออธิบายปรากฏการณ์ที่ศึกษาหรือที่สนใจ ความสัมพันธข์ องขอ้ มูลทงั้ หมดได้ แล้วสามารถน�าเสนอข้อมูล แนวคิด ความคิดรวบยอด เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจในรูปของแบบจ�าลองต่าง ๆ เช่น ชิ้นงาน สิง่ ประดษิ ฐ์ รูปภาพ กราฟ ขอ้ ความ เปนตน้ T88
3. จติ วิทยาศาสตร์ จิตวิทยาศาสตร์ คือ ลักษณะนิสัยของบุคคลท่ีเกิดขึ้นจาก การศึกษาและหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์โดยใช้กระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ จิตวิทยาศาสตร์ประกอบด้วยลักษณะต่าง ๆ เช่น ความมีเหตุ มผี ล ความสนใจใฝร ู้ ความมงุ่ มนั่ ความอดทน ความรบั ผดิ ชอบ ความ ซอื่ สัตย์ ความมวี ินยั ความละเอียดรอบคอบ ช่างสงสยั อยากรอู้ ยาก เห็น ใจกวา้ งและยอมรับฟงั ความคดิ เห็นของผู้อืน่ เปน ตน้ การเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรส์ ามารถฝก ฝนนกั เรยี นใหเ้ ปน ผมู้ จี ติ วทิ ยา ศาสตร์หรือมีลักษณะนิสัยของความเปนนักวิทยาศาสตร์ได้ โดยต้อง มีการเรียนรู้ควบคู่ไปกับการฝกความเปนนักวิทยาศาสตร์ด้านต่าง ๆ เพอ่ื ทา� ให้นกั เรยี นเกิดการเรียนรูแ้ บบนกั วิทยาศาสตร์ได้ ตัวอยา ง ลักษณะของผู้ทีม่ ีจิตวทิ ยาศาสตร์หรอื ผูท้ ่มี ีนิสยั ของความเปน นักวทิ ยาศาสตร์ 㺾תÁÕ¡ÒäÒ¹éíÒ Á´á´§ÊÌҧÃѧ䴌 ·Ò§»Ò¡ãº Í‹ҧäùРมคี วามสนใจใฝเรยี นรู้ ช่างสงสยั อยากรอู้ ยากเห็น ä»Ê‹§§Ò¹¡Ñ¹à¶ÍÐ ¢ÍµÃǨÊͺ¤ÇÒÁ¶Ù¡µŒÍ§ à´ç¡ËÞÔ§¿‡ÒãÊÊ‹§§Ò¹ä´ŒµÃ§ Ê‹§§Ò¹¤‹Ð¤Ø³¤ÃÙ ÍÕ¡Ãͺ¡‹Í¹Ê‹§¹Ð µÒÁàÇÅÒàŹФÃѺ มีความละเอยี ดรอบคอบ มีความรับผดิ ชอบ T89
บรรณานุกรม กุณฑรี เพ็ชรทวีพรเดช และคณะ. 2550. สุดยอดวิธีสอนวิทยาศาสตร์ น�ำไปสู่การจัดการเรียนรู้ของครูยุคใหม่. กรุงเทพฯ : อกั ษรเจรญิ ทศั น.์ คาน, ซาราห์ และกิลเลสพี, ลิซา เจน. 2558. พจนานุกรมภาพวิทยาศาสตร์ ประถม-มัธยมต้น. แปลโดย กฤติกา ชินพันธ์. กรงุ เทพฯ : บรษิ ทั นานมบี ๊คุ ส์ จ�ำกดั . งานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, ส�ำนัก. 2549. หนังสือชุดกิจกรรมส่งเสริม การเรยี นรู้ “การสืบคน้ ทางวทิ ยาศาสตร์” ระดบั มธั ยมศกึ ษา. ปทมุ ธานี : ส�ำนักงานพฒั นาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี แหง่ ชาต.ิ ชุตมิ า วัฒนะคีร.ี 2549. กิจกรรมวิทยาศาสตรใ์ นโรงเรยี น. กรุงเทพฯ : สวุ รี ิยาสาสน์ . ทศิ นา แขมมณ.ี 2556. ศาสตร์การสอน : องคค์ วามรเู้ พ่อื การจดั กระบวนการเรยี นรู้ท่ีมปี ระสิทธภิ าพ. พมิ พ์คร้งั ท่ี 17. กรุงเทพฯ : บรษิ ทั ดา่ นสุทธาการพมิ พ์ จ�ำกดั . พลอยทราย โอฮา่ มา. 2559. หนงั สอื เรียนรายวชิ าเพ่ิมเติม วิทยาศาสตร์เพือ่ ศตวรรษที่ 21 ป.4. พมิ พ์ครง้ั ที่ 2. นนทบุรี : บรษิ ัท ไทยรม่ เกลา้ จ�ำกัด. พมิ พ์พนั ธ์ เดชะคปุ ต.์ 2544. การจัดการเรียนการสอนดว้ ยวธิ กี ารสอนแบบสืบสวน. กรุงเทพฯ : เดอมาสเตอร์กรุ๊ฟเมเนจเม้นท์. ภพ เลาหไพบลู ย.์ 2542. แนวการสอนวิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ ). พมิ พ์ครงั้ ท่ี 3. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช. แรมสมร อยูส่ ถาพร. 2538. เทคนิคและวธิ กี ารสอนในระดับประถมศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : ส�ำนกั พิมพแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. วนั เฉลมิ กลน่ิ ศรสี ขุ . 2558. การใชก้ จิ กรรมคา่ ยวทิ ยาศาสตรเ์ พอ่ื พฒั นาทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข์ น้ั พน้ื ฐาน. วทิ ยานพิ นธ์ ครุศาสตรมหาบัณฑิต (หลักสตู รและการสอน), มหาวิทยาลยั ราชภฏั สวนสุนันทา. วันเฉลมิ กล่ินศรสี ุข และคณะ. 2558. ค่มู อื ครวู ิทยาศาสตร์ เพอ่ื ศตวรรษที่ 21 ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 4. นนทบุรี : บรษิ ทั ไทยรม่ เกลา้ จ�ำกัด. วิจารณ์ พานิช. 2555. วิถสี ร้างการเรียนร้เู พื่อศษิ ย์ ในศตวรรษท่ี 21. กรงุ เทพฯ : บรษิ ทั ตถาตาพับลเิ คช่ัน จ�ำกัด. วิชาการและมาตรฐานการศึกษา ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, ส�ำนัก. 2553. แนวทาง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิด ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ระดับประถมศึกษา. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พช์ ุมนุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำ� กดั . ศริ ริ ตั น์ วงศศ์ ริ ิ และคณะ.2560. คมู่ อื ครรู ายวชิ าพน้ื ฐาน วทิ ยาศาสตร์ ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่3. พมิ พค์ รงั้ ท่ี8. นนทบรุ ี: บรษิ ทั ไทยรม่ เกลา้ จำ� กดั . . 2560. ค่มู อื ครรู ายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 4. พมิ พ์คร้งั ท่ี 8. นนทบรุ ี : บริษัท ไทยรม่ เกลา้ จ�ำกัด. . 2560. คู่มอื ครรู ายวชิ าพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 5. พมิ พค์ รัง้ ท่ี 8. นนทบุรี : บรษิ ัท ไทยรม่ เกล้า จ�ำกัด. ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ, สถาบัน. 2558. แบบบนั ทกึ กจิ กรรมรายวชิ าพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 4. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์ สกสค. ลาดพร้าว. . 2560. คูม่ อื ครรู ายวชิ าพ้นื ฐาน วทิ ยาศาสตร์ ชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 4. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์ สกสค. ลาดพรา้ ว. . 2560. ตวั ชวี้ ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พช์ มุ นมุ สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จ�ำกดั . สรศักด์ิ แพรค�ำ. 2544. ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์. อุบลราชธานี : สถาบันราชภัฏอุบลราชธานี. ส�ำนักบริหารวิชาการ วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์, แผนกบริหารหลักสูตร. 2557. เอกสารเผยแพร่ความรู้วิชาการศึกษา : วธิ กี ารสอน (Teaching Methodology). กรงุ เทพฯ : วิทยาลัยเทคโนโลยีปญั ญาภิวัฒน.์ สวุ ิทย์ มูลค�ำ และอรทยั มูลคำ� . 2547. 21 วิธจี ดั การเรยี นรู้ : เพื่อพฒั นากระบวนการคดิ . พมิ พค์ รั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : ภาพพมิ พ์. Ho Peck Leng. (2010). I-Science Interactions Primary 5&6. Singapore : Times Printers Pte Ltd. Marshall Cavendish Education. (2011). My Pals are Here! Science (International Edition) Teacher’ s Guide 3A. Singapore : Times Printers Pte Ltd. . (2012). My Pals are Here! Science (International Edition) Teacher’ s Guide 5A. Singapore : Times Printers Pte Ltd. T90
Search