Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิทยาศาสตร์ ป.4 เล่ม 1

วิทยาศาสตร์ ป.4 เล่ม 1

Published by ครูสดใส ใจจริง, 2022-03-17 09:52:06

Description: คู่มือครู วิทยาศาสตร์ ป.4 เล่ม 1

Search

Read the Text Version

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สอน 1. ราก เป็นสว่ นของพืชท่ีเจรญิ เติบโตและแผ่ขยายอยูใ่ ต้ดิน รากมหี นา้ ที่ ดูดน�า้ และแรธ่ าตุทอ่ี ยใู่ นดินขึน้ ไปเลย้ี งสว่ นตา่ ง ๆ ของพืช และชว่ ยยดึ ล�าตน้ ของ อธบิ ายความรู พืชใหต้ ั้งอยู่บนดนิ รากของพืชมีสีขาวหรือสนี �า้ ตาล และมีลักษณะแตกตา่ งกนั ไป ตามแต่ละชนดิ ของพชื รากพืชโดยทั่วไปมี 3 ชนดิ ดังน้ี 1. ครูใหนักเรียนศึกษาขอมูลเกี่ยวกับรากและ ลําตนของพืช รวมถึงทอลําเลียงของพืช รากแกว้ จากหนังสือเรียน หนา 38-39 หรือศึกษา จากแหลงการเรียนรูอื่นๆ เชน หองสมุด มีลกั ษณะช่วงโคนรากโต อินเทอรเ นต็ เปน ตน แลว ใหนาํ ขอ มูลทีไ่ ดม า แล้วคอ่ ย ๆ เรียวเลก็ ลง รวบรวมและสรุปผลกบั การทํากจิ กรรม ไปจนถงึ ช่วงปลายราก 2. ครูใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอผล รากแขนง ภาพท่ี 1.71 การทดลอง เพอื่ ตรวจสอบความรูข องนักเรยี น หลังการทํากิจกรรมท่ี 1 โดย โดยครูสุมจับ เป็นรากทีเ่ จริญเติบโต สลากเลอื กนกั เรยี นทลี ะกลมุ ใหอ อกมานาํ เสนอ ออกมาจากรากแกว้ หนา ชัน้ เรยี น แล้วแตกแขนงยาว 3. ครูใหตัวแทนแตละกลุมมานําเสนอผลงาน ออกไป หนาชั้นเรียน จากนั้นรวมกันอภิปรายความรู เก่ียวกับหนาที่รากและลําตนวา จากการทํา ภาพที่ 1.72 กิจกรรม เมื่อนักเรียนสังเกตลําตนท่ีตัดตาม ขวางจะเหน็ วามสี ีแดงอยเู ปนจดุ ๆ ซ่ึงเกดิ จาก รากฝอย การทรี่ ากดดู นา้ํ สแี ดงขน้ึ ไปสลู าํ ตน ทเ่ี ปน เชน นี้ เพราะภายในลําตนจะมีทอเล็กๆ อยู เรยี กวา เปน็ รากเส้นเลก็ ๆ ที่มีขนาดโต ทอลําเลียง เมื่อรากดูดนํ้าและแรธาตุจากดิน สม�่าเสมอกนั และงอกออกมา ทอลําเลียงนํ้าจะนํานํ้าและแรธาตุจากดินขึ้น ไปเพอื่ เลี้ยงสวนตา งๆ ของพชื เปน็ กระจกุ (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม) ¤Ó¶ÒÁ·ÒŒ ·Ò¡Òä´Ô ¢¹éÑ ÊÙ§ ภาพท่ี 1.73 ขนั้ สรปุ รากเป็นสว่ นของพชื ทีท่ �าหนา้ ทดี่ ูดน�้าและแรธ่ าตไุ ปเลย้ี งส่วนต่าง ๆ ของพชื หากพชื ไม่มรี าก พืชจะสามารถด�ารงชีวิตอยู่ได้หรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด ขยายความเขา ใจ 38 1. ครูถามคําถามทายทายการคิดข้ันสูง จาก หนังสือเรียนหนานี้ แลวใหนักเรียนชวยกัน อภปิ รายและสรุปคําตอบรวมกัน (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช แบบสังเกตพฤติกรรมการทาํ งานรายบุคคล) เกร็ดแนะครู ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET ครูอาจใหความรูกับนักเรียนเพ่ิมเติมวา รากของพืชบางชนิดทําหนาที่ ขอใดกลาวถูกตอ งเก่ียวกบั การลาํ เลียงอาหารของพืช สะสมอาหารประเภทแปง นํ้าตาล หรือโปรตีนไว จึงทําใหรากมีขนาดใหญ ก. พชื ทุกชนดิ มีการลําเลยี งอาหารท่ีสรา งข้นึ ผา นทางทอ เชน แครรอต เปนรากทีเ่ ปลี่ยนมาจากรากแกว สวนมนั เทศ เปน รากท่เี ปลีย่ นมา ลําเลียงนํ้า จากรากแขนง เปน ตน ข. พชื ลําเลยี งอาหารทีส่ รางขน้ึ จากรากไปสูสว นตางๆ ค. พืชสามารถใชท อ ลาํ เลยี งอาหารแทนทอ ลําเลยี งนํา้ ได แนวตอบ คําถามทายทายการคิดขัน้ สงู ง. พืชลําเลยี งอาหารท่ีสรางขน้ึ จากใบไปสูสว นตางๆ (วิเคราะหคําตอบ พืชสรางอาหารขึ้นที่ใบ จากกระบวนการ สามารถดํารงชีวิตอยูได เพราะหากพืชไมมีราก แตตนพืยังมีลําตนอยู ซึ่งภายในลําตนพืชมีทอลําเลียงที่สามารถลําเลียงน้ําและแรธาตุไปสูสวนตางๆ สงั เคราะหด ว ยแสง อาหารจะถกู สง ไปยงั ทอ ลาํ เลยี งอาหารและนาํ ของพชื ได จงึ ทําใหพ ชื สามารถดํารงชีวิตอยูไ ด ไปเล้ยี งสวนตางๆ ของพืช ดงั นน้ั ขอ ง. จงึ เปนคาํ ตอบที่ถูกตอ ง) T44

นาํ สอน สรุป ประเมนิ 1หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ ขนั้ สรปุ ความหลากหลายของส่ิงมีชีวิต ขยายความเขา ใจ 2. ลา� ตน้ เป็นสว่ นของพชื ที่ตอ่ จากรากขึ้นมา มีหนา้ ท่ีชกู ิง่ ก้าน และใบ 2. นักเรียนทํากิจกรรมหนูตอบไดจากหนังสือ ขนึ้ สอู่ ากาศเพอื่ ใหไ้ ดร้ บั อากาศและแสงแดด ลา� ตน้ เปน็ ทางลา� เลยี งนา�้ และแรธ่ าตุ เรียน หนา 37 ลงในสมุดหรือในแบบฝกหัด จากรากขน้ึ ไปสสู่ ว่ นตา่ ง ๆ ของพชื และลา� เลยี งอาหารทพี่ ชื สรา้ งขนึ้ ทใ่ี บไปสสู่ ว่ น วทิ ยาศาสตร หนา 31 ตา่ ง ๆ ของลา� ตน้ ขนั้ ประเมนิ ทอ่ ลา� เลียงอาหาร ตรวจสอบผล เป็นกลุ่มเซลล์ท่ีเรียงตัวต่อกันเป็นท่อยาวแทรกอยู่ คกู่ บั ทอ่ ลา� เลยี งนา้� เพอ่ื ลา� เลยี งอาหารทพี่ ชื สรา้ งขน้ึ ที่ 1. ครูและนักเรียนรวมกันสรุปเกี่ยวกับลักษณะ ใบไปเลี้ยงสว่ นต่าง ๆ ของพชื โครงสรางสวนตางๆ ภายนอกของพืชดอกวา โครงสรางภายนอกของพืชดอกทส่ี ําคญั ไดแ ก ทอ่ ล�าเลียงนา้� ราก ลําตน ใบ ดอก และผล ซ่ึงโครงสราง เหลา นี้ทาํ หนาท่ีแตกตางกนั และมกี ารทํางาน เป็นกลุ่มเซลล์ท่ีเรียงต่อกันเป็นท่อยาว ประสานกันเปนระบบ จึงทําใหพืชสามารถ ตง้ั แตร่ าก ล�าตน้ จนถงึ ใบ เพอ่ื ล�าเลียงน�้า ดาํ รงชวี ติ อยูไ ดค รใู ห และแรธ่ าตไุ ปยงั ส่วนตา่ ง ๆ ของพชื และ ลา� เลยี งนา�้ ไปสใู่ บเพอ่ื ใชใ้ นการสรา้ งอาหาร 2. ครตู ้ังคําถาม แลวใหน กั เรียนชว ยกนั ตอบเพื่อ ของพืช สรปุ ความเขาใจหลงั เรียนวา รากและลาํ ตนมี การทํางานที่ประสานกันเปนระบบอยางไร ภาพที่ 1.74 โครงสร้างของต้นพชื เกรด็ วทิ ยน์ า่ รู้ ลา� ตน้ ของพชื แตล่ ะ (แนวตอบ รากของพืชดูดน้ําและแรธ าตจุ ากดนิ ผา นทอ ลาํ เลยี งภายในลาํ ตน ของพชื เพอื่ นาํ ไป ชนดิ จะมีลักษณะแตกตา่ งกัน ล�าต้นของพชื เลีย้ งสวนตางๆ ของพืช) บางชนิดตั้งตรงอย่บู นดิน เช่น ชมพู่ มะม่วง มะละกอ มะพรา้ ว ข้าว เปน ต้น ล�าต้นของ 3. ครูตรวจผลการทาํ ใบงานที่ 1.7 เรอื่ ง คาํ ศัพท พืชบางชนิดอยู่ใต้ดิน เช่น เผือก แห้ว ขิง โครงสรา งสว นตา งๆ ของพืชดอก มนั ฝร่งั เปนตน้ 4. ครูตรวจผลการวาดภาพตนพืชดอกในสมุด 39 หรือตรวจผลการทํากิจกรรมนําสูการเรียนใน แบบฝกหดั วิทยาศาสตร หนา 27 5. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมที่ 1 เรื่อง หนาที่ของสวนตางๆ ของพืช ในสมุดหรือใน แบบฝกหัดวทิ ยาศาสตร หนา 30 6. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมหนูตอบไดใน สมดุ หรือในแบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 31 กิจกรรม 21st Century Skills แนวทางการวัดและประเมินผล 1. ครใู หน ักเรยี นแบง กลมุ กลุมละ 3-5 คน ครูสามารถสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนจากการตอบคําถาม การทํางาน 2. ใหแตละกลุมสืบคนขอมูลเพ่ิมเติมวา มีรากและลําตนของพืช รายบคุ คล การทํางานกลมุ และการนําเสนอผลการทํากจิ กรรมหนา ช้ันเรียนได โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลที่แนบทายแผนการจัดการเรียนรูของ ชนิดใดบางท่ีทําหนา ท่เี ก็บสะสมอาหาร หนว ยการเรียนรูท ่ี 1 ความหลากหลายของสงิ่ มีชวี ติ 3. ใหนักเรียนวาดภาพหรือติดภาพประกอบ จากน้ันเขียนบอกวา เปน รากหรือลําตนพชื ชนดิ ใด 4. ใหนกั เรียนแตละกลมุ ชวยกนั นาํ เสนอผลงานหนา ชน้ั เรยี น T45

นาํ นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั นาํ กิจกรรมที่ 2 ทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ทใี่ ช้ กระตนุ ความสนใจ การคายน้าํ ของพชื 1. การวดั 2. การสังเกต ครสู นทนากบั นกั เรยี นวา พชื คายนาํ้ ไดอ ยา งไร จุดประสงค 3. การลงความเหน็ จากข้อมูล และคายนํ้าดวยวิธีใด จากน้ันใหนักเรียนชวยกัน 4. การพยากรณ์หรือการคาดคะเน ตอบคาํ ถามอยา งอสิ ระ โดยทคี่ รยู งั ไมเ ฉลยคาํ ตอบ 1. ทดลองและอธิบายส่วนของพชื ทท่ี า� หนา้ ทีค่ ายน้�า 5. การจดั กระทา� และส่อื ความหมายขอ้ มลู 2. ทดลองและอธบิ ายความสัมพนั ธข์ องการคายน�า้ และ 6. การตคี วามหมายข้อมูลและการลงข้อสรุป (แนวตอบ ข้ึนอยูกับคาํ ตอบของนักเรยี น ใหอยู ในดุลยพนิ จิ ของครผู ูสอน) การล�าเลยี งน้า� ของพชื (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทํางานรายบุคคล) ตอ งเตรียมตอ งใช 2. ท่ตี ้ังหลอดทดลอง 1 อัน 4. หนงั ยางหรอื เชอื ก 4 เส้น ขน้ั สอน 1. ดนิ น้า� มัน 2 กอ้ น 6. น�้าผสมสีแดง 100 มลิ ลิลติ ร 3. ปากกาเคมี 1 แทง่ 8. ต้นไมข้ นาดไมใ่ หญม่ าก 1 ตน้ สาํ รวจคน หา 5. ถงุ พลาสติกใส 4 ใบ 7. หลอดทดลอง 2 หลอด 1. นกั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 3-4 คน แลว รว มกนั สืบคน ความรเู พม่ิ เตมิ เร่อื ง การคายนา้ํ ของใบ ลองทาํ ดู ตอนท่ ี 1 จากหนังสือเรียน หองสมุด หรือแหลงขอมูล อืน่ ๆ จากนน้ั รว มกันสรุปขอมูล 1. แบง่ กลมุ่ กลมุ่ ละ 3 - 4 คน จากนนั้ ใหอ้ อกไป ศกึ ษาตน้ ไมร้ อบบรเิ วณโรงเรยี น กลมุ่ ละ 1 ตน้ 2. ครูแจงจุดประสงคการทดลองใหนักเรียนฟง จากน้ันถามคําถามเพ่ือกระตุนความคิดของ 2. เลอื กกง่ิ ไมท้ ม่ี ขี นาดเทา่ กนั 2 กงิ่ โดยกงิ่ หนงึ่ นักเรียนกอนทํากิจกรรมวา พืชมีการหายใจ เดด็ ใบออกหมด อกี กง่ิ หนงึ่ ไมต่ อ้ งเดด็ ใบออก หรอื ไม และหายใจอยางไร (แนวตอบ พืชมีการหายใจโดยผานรูปากใบ 3. คาดคะเนวา่ หากนา� ถงุ พลาสตกิ ใสครอบกง่ิ ไม้ ซึ่งอยูที่ทองใบ โดยรูปากใบจะเปดและปด ท้งั 2 ก่ิง แล้วใชเ้ ชอื กผกู ปากถงุ ไว้ประมาณ เพอ่ื เปนทางผานของนํา้ และอากาศ) 15-30 นาที จะเกดิ ผลอยา่ งไร 3. ครมู อบหมายใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ ทาํ กจิ กรรม 4. ให้ร่วมกันท�ากิจกรรม เพ่ือตรวจสอบผล ที่ 2 เรื่อง การคายนาํ้ ของพืช ตอนท่ี 1-2 จาก การคาดคะเน แล้วสังเกตการเปลี่ยนแปลง หนังสือเรยี น หนา 40-41 โดยปฏิบัตกิ ิจกรรม ภายในถงุ พลาสติก และบันทึกผลในสมดุ ตามขั้นตอน แลวบันทึกผลลงในสมุดหรือ แบบฝกหัดวิทยาศาสตร หนา 34 และทํา 5. อภิปรายผลการท�ากิจกรรมและร่วมกันสรุป ใบงานที่ 1.8 เรอ่ื ง ใบของพืช เกีย่ วกบั การคายน้า� ของพชื ภายในช้นั เรียน (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทํางานกลมุ ) 40 ภาพท่ี 1.75 เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET ครสู ามารถหยบิ ใชใ บงานท่ี 1.8 เรอื่ ง ใบของพชื ไดจ ากแผนการจดั การเรยี นรทู ่ี จาํ นวนใบของพืชมผี ลตอ การคายน้ําของพืชหรอื ไม เพราะอะไร 7 เร่อื ง การคายน้าํ ของพืช หนวยการเรียนรูท ี่ 1 ความหลากหลายของสิง่ มชี ีวติ ก. มี เพราะพชื เก็บสะสมนา้ํ ไวบรเิ วณใบ ดงั ภาพตัวอยาง ข. มี เพราะพชื คายน้าํ ออกทางปากใบ ค. ไมมี เพราะการคายนา้ํ ของพชื จะมากเมอ่ื อณุ หภมู สิ งู ขนึ้ ง. ไมม ี เพราะพชื จะคายน้าํ เมือ่ มนี า้ํ อยูในเซลลมากเกินไป (วเิ คราะหค าํ ตอบ พชื ทม่ี ใี บจาํ นวนมาก กจ็ ะมปี ากใบมากขนึ้ ดว ย เนอ่ื งจากพชื มกี ารสญู เสยี นา้ํ ออกทางปากใบ และทาํ ใหม พี น้ื ทผี่ วิ ใน การระเหยของนา้ํ มากข้ึน ดงั นน้ั ขอ ข. จงึ เปน คาํ ตอบทีถ่ กู ตอง) T46

นาํ สอน สรุป ประเมนิ 1หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ ขนั้ สรปุ ความหลากหลายของสิ่งมชี วี ิต ขยายความเขา ใจ ตอนที ่ 2 ภาพที่ 1.76 1. นักเรียนแตละกลุมศึกษาขอมูลเพิ่มเติม จากสื่อดิจิทัลในหนังสือเรียน หนา 44 โดย 1. ตัดกิง่ ไมท้ ีม่ ขี นาดเท่ากัน 2 ก่ิง กงิ่ หน่ึง ใหใชโทรศัพทมือถือสแกน QR Code เรื่อง เด็ดใบออก อีกกงิ่ หนึง่ ไมต่ ้องเด็ดใบออก การคายนํ้าของพชื จากนน้ั รวมกนั สรุปความรู ท่ไี ดจ ากการศึกษา 2. น�าถุงพลาสติกมาครอบกิ่งไม้ทั้ง 2 ก่ิง แล้วใช้หนงั ยางรดั ปากถุงให้แน่น 2. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก หนังสือเรียน หนา 41 ลงในสมุดหรือทําใน 3. เตรียมน้�าสีแดงใส่ลงในหลอดทดลอง แบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 35 ประมาณคร่ึงหลอด จ�านวน 2 หลอด (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แล้วใช้ปากกาเคมีท�าสัญลักษณ์แสดง แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) ระดับน�า้ ท่หี ลอดทดลอง ขนั้ ประเมนิ 4. นา� ก่งิ ไมท้ เี่ ตรียมไว้ 2 กง่ิ มาแช่ในหลอด ทดลองหลอดละ 1 กงิ่ จากนนั้ ใชด้ นิ นา�้ มนั ตรวจสอบผล อดุ ปดปากหลอดทดลองกับก่ิงไม้ใหแ้ นน่ 1. ครูใหนักเรียนทุกคนรวมกันสรุปเกี่ยวกับ 5. คาดคะเนว่า หากน�าก่ิงไม้ที่แช่น�้าอยู่ใน การคายนํ้าของพืช โดยใหครูอธิบายเสริมใน หลอดทดลองไปวางไวก้ ลางแดดประมาณ สวนทีบ่ กพรอง 30 นาที จะเกิดผลอยา่ งไร 2. ครตู รวจการทาํ ใบงานที่ 1.8 เรอื่ ง ใบของพืช 6. ให้ร่วมกันท�ากิจกรรมเพ่ือตรวจสอบผล 3. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมที่ 2 เร่ือง การคาดคะเน โดยนา� หลอดทดลองไปตงั้ ไว้ กลางแดด สังเกตการเปล่ียนแปลงทุก ๆ การคายน้ําของพืช ในสมุดหรือในแบบฝกหัด 10 นาที และบันทกึ ผล วิทยาศาสตร หนา 34 4. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมหนูตอบไดใน 7. สรปุ ผลการทา� กจิ กรรม จากนั้นน�าเสนอ สมดุ หรอื ในแบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 35 หน้าช้นั เรียน เพ่อื อภปิ รายรว่ มกนั แนวตอบ หนูตอบได หนูตอบได ภาพที่ 1.77 ขอ 3. 1. การคายน�า้ ของพืชคืออะไร และมคี วามส�าคญั อย่างไร • ผลดี เพราะการคายนาํ้ ของพชื เปน การควบคมุ 2. การคายน้�าของพชื เกดิ ขึน้ ทบ่ี รเิ วณใด และมีปัจจยั ใดมาเก่ยี วขอ้ งบา้ ง 3. นักเรียนคิดวา่ การคายน�้าของพืชมผี ลดีหรอื ผลเสยี ตอ่ พชื เพราะอะไร ปรมิ าณนา้ํ ของพชื เมอื่ มนี า้ํ เกนิ ความตอ งการของพชื ซง่ึ การคายนาํ้ จะทาํ ใหพ ชื มกี ารลาํ เลยี งนาํ้ และแรธ าตุ (หมายเหตุ : คาํ ถามขอ สดุ ทายของหนูตอบได เปน คาํ ถามทอ่ี อกแบบใหผ ูเ รียนฝกใชทกั ษะการคิดข้ันสูง 41 อยางตอเน่ือง และชวยลดความรอ นใหพืช คือ การคดิ แบบใหเหตุผล และการคิดแบบโตแ ยง ซงึ่ ผเู รียนอาจเลอื กตอบอยา งใดอยางหนงึ่ กไ็ ด ใหครู พจิ ารณาจากเหตผุ ลสนบั สนนุ ) • ผลเสีย เพราะหากพืชมีการคายนํ้ามาก เกินกวาปริมาณนํ้าท่ีรากพืชดูดเขามาภายในลําตน จะทําใหปริมาณนํ้าภายในลําตนพืชมีไมเพียงพอ ซง่ึ อาจทาํ ใหพชื แหงเห่ยี วและไมเจริญเติบโต ส่ือ Digital ครูใหนกั เรยี นเรียนรเู กี่ยวกับการคายนา้ํ ของพืชเพิ่มเตมิ จากสือ่ ดจิ ทิ ัล โดย ใหส แกน QR Code เรื่อง การคายน้าํ ของพืช จากหนงั สอื เรยี น หนา 44 ซง่ึ จะ ปรากฏคลิปวดิ ีโอ ดังภาพตวั อยาง แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนจากการตอบคําถาม การทํางาน รายบุคคล การทํางานกลมุ และการนําเสนอผลการทํากจิ กรรมหนาชน้ั เรียนได โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลที่แนบทายแผนการจัดการเรียนรูของ หนว ยการเรยี นรูท่ี 1 ความหลากหลายของสง่ิ มีชีวิต T47

นาํ นํา สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั นาํ กจิ กรรมที่ 3 ทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตรท์ ใี่ ช้ กระตนุ ความสนใจ พชื สรางอาหาร 1. การสังเกต 2. การทดลอง 1. ครูสนทนากับนักเรียนเก่ียวกับกระบวนการ จุดประสงค 3. การตง้ั สมมติฐาน สรางอาหารของพืช แลวใหนักเรียนรวมกัน 4. การกา� หนดและควบคมุ ตัวแปร แสดงความคิดเห็นวา ในการสรางอาหาร สงั เกต สบื คน้ ข้อมูล และอธิบายเกี่ยวกบั การสร้างอาหาร 5. การกา� หนดนยิ ามเชิงปฏิบตั ิการ ของพืชจะตองอาศัยปจจัยใดบาง และปจจัย ของพืช 6. การตีความหมายข้อมลู และการลงขอ้ สรปุ เหลานั้นมีความสําคัญตอกระบวนการสราง อาหารของพืชอยา งไร ตอ งเตรียมตอ งใช 2. จานหลุม 1 ใบ 4. ผงชอลก์ 1 ช้อน 2. ครสู มุ หมายเลขนกั เรยี น 3-4 คน ออกมาแสดง 1. ไฟแช็ก 1 อนั 6. น้า� แปง มนั 2 ชอ้ น ความคิดเห็นท่ีหนาช้ันเรียน ครูและเพื่อนคน 3. ปากคบี 1 อนั 8. หลอดหยด 1 หลอด อนื่ ๆ ชว ยกันเสนอแนะเพมิ่ เติม จากนัน้ ครูให 5. เศษกระดาษขาว 1 แผน่ 10. หลอดทดลอง 2 หลอด คาํ ชมเชยหรอื มอบรางวลั เพอื่ เปน การเสรมิ แรง 7. สารละลายไอโอดนี 1 ขวด 12. ใบไม้ทม่ี สี ีเขียว 1 - 2 ใบ 9. ขาต้ังและตะเกียงแอลกอฮอล์ 1 ชดุ 14. น�า้ เปลา่ (น้�าเย็น) 200 มิลลลิ ิตร 3. ครใู หน กั เรยี นทกุ คนชว ยกนั ตอบคาํ ถามกระตนุ 11. บีกเกอร์ 1 ใบ ขนาด 250 มลิ ลลิ ิตร 15. แหล่งขอ้ มลู เช่น อินเทอร์เน็ต เปน็ ตน้ ความคดิ วา นกั เรยี นคดิ วา ปจ จยั ทส่ี าํ คญั ทส่ี ดุ 13. เอทิลแอลกอฮอล์ 75 เปอร์เซน็ ต์ ในการสรางอาหารของพชื คืออะไร (แนวตอบ พิจารณาตามคําตอบของนักเรียน ปรมิ าณ 31 ของหลอดทดลอง โดยใหอ ยูใ นดุลยพินจิ ของครูผูสอน) (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช ลองทําดู แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทํางานรายบุคคล) 1. แบง่ กลมุ่ กลมุ่ ละ 4 - 5 คน จากนน้ั ใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ ชว่ ยกนั สบื คน้ ขอ้ มลู เกยี่ วกบั การสรา้ งอาหาร ขน้ั สอน ของพืชจากแหล่งขอ้ มูลต่าง ๆ แลว้ รวบรวมข้อมูล และนา� เสนอหน้าช้นั เรียน เพ่ือร่วมกัน แสดงความคิดเห็น สาํ รวจคน หา 2. ชว่ ยกันต้งั สมมตฐิ านว่า เม่ือพชื สรา้ งอาหาร 1. ครูนําใบพืชท่ีมีสีแตกตางกันมาใหนักเรียน ไดน้ า�้ ตาล พชื จะเปลย่ี นนา�้ ตาลบางสว่ นสะสม รวมกันสังเกต เชน ใบโกสน ใบคริสตมาส ไว้ในรูปใด จากนั้นให้ก�าหนดตัวแปรต้น ใบบอนสี เปน ตน ตัวแปรตาม และตัวแปรควบคุม ส�าหรับ การทดลองน้ี แลว้ บันทกึ ผลลงในสมดุ 2. ครูใหนักเรยี นแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน โดย ใหม คี วามสามารถคละกนั (เกง-คอนขางเกง - ภาพที่ 1.78 ปานกลาง-ออ น) จากนน้ั ใหแ ตละกลมุ รวมกัน 42 ศึกษาความรู เร่ือง การสรางอาหารของพืช จากแหลงการเรยี นรตู างๆ เชน หนังสอื เรียน หองสมดุ อินเทอรเนต็ เปนตน เกร็ดแนะครู ครใู หค วามรคู วามเขา ใจนกั เรยี นเพ่มิ เติมวา แอลกอฮอลเ ปนสารที่มสี มบตั ิ ในการเปน ตวั ทาํ ละลายชนดิ หนงึ่ เนอื่ งจากคลอโรฟล ลไ มล ะลายในนาํ้ แตล ะลาย ไดดีในแอลกอฮอล ดังนนั้ จึงนําแอลกอฮอลม าใชสกดั สารคลอโรฟล ล เพ่อื แยก สารสเี ขยี วออกจากใบพชื และเพอื่ ใหส ามารถสงั เกตการเปลย่ี นสขี องสารละลาย ไอโอดนี ไดช ดั เจน หองปฏิบัติการ à·¤¹Ô¤  ¤ÇÒÁ»ÅÍ´ÀÑ ในขณะทํากิจกรรมครูผูสอนควรหามไมใหนักเรียนนําเอทิลแอลกอฮอล ไปตง้ั ไฟโดยตรงหรอื หา มไมใ หน าํ เขา ใกลเ ปลวไฟ เพราะอาจตดิ ไฟจนกอ ใหเ กดิ อนั ตรายได T48

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ 1หนว่ ยการเรียนรู้ที่ ขนั้ สอน ความหลากหลายของสง่ิ มีชีวิต สาํ รวจคน หา 3. ท�าการทดลองเพื่อตรวจสอบสมมติฐาน ภาพท่ี 1.79 3. ครซู กั ถามนกั เรยี นวา สขี องใบเกย่ี วขอ งกบั การ โดยนา� ใบไมต้ ม้ ในนา�้ เดอื ดประมาณ 5 นาที สรางอาหารของพืชหรือไม และคลอโรฟลล จากนั้นน�าใบไม้ท่ีต้มแล้วมาใส่ในหลอด มีความสําคัญตอกระบวนการสังเคราะหดวย ทดลองทีบ่ รรจเุ อทิลแอลกอฮอล์ แสงอยา งไร จากนนั้ ใหน กั เรยี นรว มกนั อภปิ ราย เพื่อหาขอสรปุ 4. นา� หลอดทดลองข้อ 3. จมุ่ ลงในบกี เกอร์ (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช ทม่ี นี ้�าเดอื ด แล้วต้มตอ่ ไป 5 นาที แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทาํ งานรายบคุ คล) 5. น�าใบพืชออกมาลา้ งน้า� เย็นใหส้ ารสีเขียว 4. ครูนําแผนภูมิกระบวนการสรางอาหารของ หมดไป แล้ววางใบพชื ในจานหลุม พืชมาใหนักเรียนดู และใหนักเรียนรวมกัน อภปิ รายเพอ่ื เปน การเสรมิ ความเขา ใจเกย่ี วกบั 6. หยดสารละลายไอโอดนี ลงบนใบพชื ใหท้ วั่ กระบวนการสรา งอาหารของพืชเพม่ิ เตมิ แลว้ สงั เกตการเปลย่ี นแปลงทเี่ กดิ ขน้ึ และ บันทกึ ผล 5. ครูอธิบายใหน กั เรยี นเขาใจวา การสังเคราะห ดวยแสงของพืชเปนการชวยลดปริมาณแกส 7. นา� นา้� แปง มนั ผงชอลก์ และเศษกระดาษ คารบ อนไดออกไซด และเปน การชว ยเพมิ่ แกส ขาว ใสล่ งในจานหลมุ แลว้ หยดสารละลาย ออกซิเจนในอากาศ ไอโอดีน จากนั้นสงั เกตการเปลีย่ นแปลง และบนั ทกึ ผล 6. ครูสนทนากับนักเรียนวา จากท่ีนักเรียนได ศกึ ษาการสรา งอาหารของพชื แลว นกั เรยี นคดิ 8. สรุปผลการทดลองและร่วมกันอภิปราย วา ใบพืชสามารถสรา งอาหารประเภทใด และ ผลในช้ันเรียน สะสมไวในรปู แบบใด หนตู อบได ภาพท่ี 1.80 7. ครูกําหนดปญหาเพื่อใหนักเรียนกลุมเดิม (จากช่วั โมงทีก่ อ นหนา น้)ี รวมกันสบื คน ขอ มลู 1. กระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพชื คอื อะไร และมคี วามส�าคัญต่อพืชอยา่ งไร วาใบของพชื สรา งอาหารประเภทใด 2. ปจั จัยทส่ี �าคัญในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงมอี ะไรบ้าง 3. นักเรียนคิดว่า ระหว่างต้นมะพร้าวกับต้นกล้วย พืชชนิดใดสามารถเกิดกระบวนการ 8. ครใู หน กั เรยี นแตล ะกลมุ ชว ยกนั ศกึ ษาขนั้ ตอน และวธิ กี ารทาํ กจิ กรรมท่ี 3 เรอ่ื ง พชื สรา งอาหาร สังเคราะหด์ ้วยแสงได้ดกี วา่ กนั เพราะอะไร จากหนังสือเรียน หนา 42-43 แลว รวมกนั ทํา กิจกรรมตามข้ันตอน จากน้ันบันทึกผล (หมายเหตุ : คําถามขอ สุดทา ยของหนูตอบได เปนคาํ ถามทอี่ อกแบบใหผ ูเรยี นฝกใชทกั ษะการคดิ ข้ันสงู การทํากิจกรรมลงในสมุดหรือในแบบฝกหัด คอื การคดิ แบบใหเ หตุผล และการคิดแบบโตแยง ซง่ึ ผเู รียนอาจเลอื กตอบอยางใดอยา งหน่งึ ก็ได ใหครู 43 วิทยาศาสตร หนา 38 โดยใหครดู ูแลนักเรยี น พจิ ารณาจากเหตผุ ลสนบั สนุน) อยา งใกลช ดิ ตลอดระยะเวลาทปี่ ฏบิ ตั กิ จิ กรรม (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทาํ งานกลุม ) ขอสอบเนน การคดิ แนว O-NET เกร็ดแนะครู ขน้ั ตอนการสกดั แยกคลอโรฟล ลอ อกจากใบพชื ในการตรวจหา ครูใหค วามรูความเขา ใจกับนักเรียนเพิม่ เติมวา คลอโรฟล ล คอื สารสเี ขียว สารอาหารท่พี ืชสรา งขึ้นและสะสมไวนนั้ ทาํ เพ่อื จดุ ประสงคใ ด ที่พบในตนพืช สวนใหญพบมากที่บริเวณใบของพืช คลอโรฟลลทําหนาท่ีใน การดูดกลืนพลังงานแสง เพื่อนํามาใชสรางอาหารในกระบวนการสังเคราะห ก. เพอ่ื ทําลายโครงสรางของใบใหเ สียสภาพ ดว ยแสงของพชื ข. เพื่อใหปรมิ าณสารอาหารในใบพชื มมี ากขนึ้ ค. เพอ่ื ใหใบพชื สามารถปลดปลอยสารอาหารออกมาได แนวตอบ หนูตอบได ง. เพอ่ื ใหเห็นการเปลย่ี นสขี องสารละลายไอโอดีนชัดเจน (วิเคราะหคําตอบ ในใบพืชมคี ลอโรฟล ล ซึ่งเปน สารสเี ขยี วสะสม ขอ 3. อยมู าก จึงตองมกี ารสกดั และแยกสารสีเขยี วน้อี อกไป เพอ่ื ใหงาย • ตน มะพรา ว เพราะมใี บสเี ขยี วจาํ นวนมากกวา ใบกลว ย จงึ มสี ารคลอโรฟล ล ตอการสังเกตการเปลี่ยนแปลงสีของสารละลายไอโอดีนที่เกิดข้ึน ไดชดั เจน ดังนนั้ ขอ ง. จึงเปนคาํ ตอบท่ีถูกตอ ง) มาก ทําใหดูดกลืนพลังงานแสงจากดวงอาทิตยเขามาใชเปนแหลงพลังงาน ในกระบวนการสังเคราะหด วยแสงไดด ี • ตนกลวย เพราะมีใบสีเขียวขนาดใหญกวาใบมะพราว จึงอาจจะดูดกลืน แสงอาทิตยไดม ากกวาใบมะพรา ว จึงทาํ ใหเกดิ กระบวนการสังเคราะหด ว ยแสง ไดดกี วา T49

นาํ สอน สรุป ประเมนิ ขน้ั สอน 3. ใบ เปนโครงสรางที่สําคัญของพืช ซึ่งใบของพืชจะมีรูปรางลักษณะ แตกตา งกนั ตามชนดิ ของพชื ใบมหี นา ทห่ี ลกั คอื สรา งอาหาร หายใจ และคายนา้ํ อธบิ ายความรู รูปใบหอก รูปใบรี รปู ใบกลม รูปใบหยัก รูปใบเรียวยาว 1. สมาชกิ แตล ะกลมุ นาํ ผลการทาํ กจิ กรรมท่ี 3 มา วเิ คราะหแ ละตรวจสอบความถูกตอ ง จากนั้น ภาพท่ี 1.81 ตัวอยางใบพชื ท่ีมีรูปรา งตา ง ๆ อภิปรายรวมกันภายในกลมุ เพือ่ ใหไ ดข อ สรุป ทถี่ ูกตอง ใบของพืชมีการคายนํ้า จึงทําใหเกิดการลําเลียงน้ําและแรธาตุภายในตนพืช อยา งตอพเืชนค่อื างยนแลา้ํ อะชอวกยทลี่บดรคเิ ววณามใบรอนเพใหราพ ะืชมีปากใบ1 (stoma) ซ่ึงจะมเี ซลลคมุ2ท่คี วบคุม 2. นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอ การคายน้ําของพืช ปากใบมีลักษณะเปนรูเล็ก ๆ กระจายอยูที่ใบพืช สวนมากจะพบ ผลการทํากิจกรรมที่ 3 หนาช้นั เรยี น ปากใบบรเิ วณทองใบ (ผิวใบดานลา ง) มากกวาหลงั ใบ (ผิวใบดา นบน) เราไมสามารถ มองเห็นปากใบไดด ว ยตาเปลา ถามองผานกลอ งจลุ ทรรศนปากใบจะมลี ักษณะ ดงั ภาพ 3. ครูและนักเรียนชวยกันสรุปความรูท่ีไดจาก ไอน้าํ เซลลคุม การทํากิจกรรมที่ 3 จนไดขอสรุปวา ใบพืช ไอน้ํา ปากใบ ทําหนา ท่ีสรา งอาหาร อาหารท่ีพืชสรางข้นึ มา ไอนํ้า ไอน้ํา ครง้ั แรกเปน นา้ํ ตาล สว นทเ่ี หลอื พชื จะสะสมไว ทําหนาท่ีหายใจ โดยมีการแลก ในรปู แปง เมอื่ ทดสอบดว ยสารละลายไอโอดนี เปลย่ี นแกส ทางปากใบ และคายนา้ํ ท่มี ีสนี ้าํ ตาล จงึ เปลี่ยนเปนสนี ้าํ เงินเขม ออกมา ซงึ่ พชื จะคายนาํ้ ในรปู ของ (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช ไอนา้ํ ผานทางปากใบ แบบสงั เกตพฤติกรรมการทาํ งานกลมุ ) ปากใบเปด ปากใบปด ขน้ั สรปุ ¤Ó¶ÒÁ·ŒÒ·Ò¡ÒäԴ¢é¹Ñ ÊÙ§ ขยายความเขา ใจ นักเรียนคดิ วา สวนตาง ๆ ของพชื สามารถทาํ หนา ที่ 1. ครูใหนักเรียนตอบคําถามกระตุนความคิดวา แทนใบไดห รอื ไม เพราะอะไร บริเวณใดของใบท่ีมีแปงสะสมอยู แลวให นักเรยี นชวยกันตอบคาํ ถาม (แนวตอบ บริเวณทีม่ สี เี ขยี ว) 2. ครูใหนักเรียนศึกษาแผนภาพกระบวนการ สังเคราะหดวยแสงของพืช แลวสนทนากับ นักเรียนวา กระบวนการสังเคราะหดวยแสง ของพชื มคี วามสําคญั อยา งไรบา ง แนวตอบ คําถามทา ทายการคิดข้ันสูง นํ้า น้ํา ภาพที่ 1.82 แผนภาพกระบวนการคายนา้ํ ของพืช ไมไ ด เพราะบริเวณใบมปี ากใบ ซึ่งเปน ชองทาง 44 นํ้า การคายนํ้าของพืช สาํ หรบั คายนาํ้ และแลกเปลยี่ นแกส ของพชื โดยสว น ตางๆ ของพืชไมมีปากใบ เกร็ดแนะครู กิจกรรม 21st Century Skills ครูใหความรูกับนักเรียนเพิ่มเติมวา การคายน้ําของพืช คือ การควบคุม 1. ครใู หนักเรียนแบง กลุม กลมุ ละ 3-5 คน ปรมิ าณนา้ํ ของพชื เมอ่ื มนี า้ํ เกนิ ความตอ งการของเซลล โดยพชื จะคายนา้ํ ออกมา 2. ใหแตละกลุมสืบคนขอมูลเพ่ิมเติมวา พืชมีกลไกในการลดการ ทางรปู ากใบในรปู ของไอนาํ้ หรอื หยดนาํ้ ปจ จยั ทม่ี ผี ลตอ การคายนา้ํ ของพชื ไดแ ก อณุ หภมู คิ วามชนื้ สภาพนาํ้ ในดนิ ความเขม ของแสง และลม คายนํ้าเพื่อปองกันการสูญเสียน้ําออกจากเซลลไดอยางไรบาง จากนั้นหาภาพประกอบ และเขียนอธิบายกลไกที่ชวยลดการ นักเรียนควรรู คายน้ําของพืช 3. ใหน กั เรยี นแตล ะกลุมชว ยกนั นําเสนอผลงานหนา ช้ันเรียน 1 ปากใบ (stoma) คือ รูหรอื ชอ งเล็กๆ ที่อยรู ะหวางเซลลค ุม ภายในใบพชื ทาํ หนาท่ีเปนทางผานของนํ้าและแกส 2 เซลลคมุ (guard cell) คือ เซลลท ่ที ําหนาทคี่ วบคมุ การเปดปดของปากใบ เซลลคมุ มีรูปรางคลายเมล็ดถ่ัวอยกู ันเปน คูๆ และระหวางเซลลค มุ แตละคู จะมี ชองเปดเลก็ ๆ เรียกวา ปากใบ T50

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ 1หนว ยการเรยี นรูท่ี ขนั้ สรปุ ¤ÇÒÁËÅÒ¡ËÅÒ¢ͧʧèÔ ÁªÕ ÕÇÔµ ขยายความเขา ใจ ในใบพชื ที่มสี ีตา ง ๆ จะมีสารสเี ขยี ว เรยี กวา คลอโรฟลล ใบพืชทมี่ สี เี ขียว 3. นักเรียนจับกลุมเดิม แลวรวมกันศึกษาเร่ือง หจะรมอื ีสเรายี รกควลา อโกรรฟะลบลวอนยกูมาราสกงัทเ่ีสคุดราะคหลดอวโยรแฟสลง1ลเซป่ึงนปสราะรกทอี่พบดืชวใชยใปนจ กจายั รสสํารคาัญงอาดหงั นาร้ี กระบวนการสังเคราะหดวยแสง จากหนังสือ เรียนหนาน้ี หรือจากแหลงการเรียนรูอื่นๆ ¡Ãкǹ¡ÒÃ椄 à¤ÃÒÐˏ´ÇŒ Âáʧ¢Í§¾×ª เชน อนิ เทอรเนต็ เปน ตน แกส คารบ อนไดออกไซด + นาํ้ แสง นํา้ ตาลกลโู คส + แกส ออกซเิ จน 4. นักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับ คลอโรฟล ล ความสําคัญของกระบวนการสังเคราะหดวย แสงของพืชวา มีประโยชนตอการดํารงชีวิต CO2 »˜¨¨Ñ·Õè 㪌 ของมนษุ ยอ ยางไร H2O O2 คลอโรฟลล 5. ครูขออาสาสมัครนักเรียนแตละกลุมออกมา H2O C6H12O6 เปน ตวั ดดู กลนื แสง เพอ่ื นาํ แสงมาใชเ ปน นาํ เสนอผลการอภปิ รายทีห่ นาชั้นเรียน แหลงพลงั งาน 6. ครมู อบหมายใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ ทาํ รายงาน แกส คารบ อนไดออกไซด เรื่อง ปจจัยท่ีมีผลตอการเจริญเติบโตและ CO พืชจะดูดแกสคารบอนไดออกไซดจาก การสังเคราะหดวยแสงของพืช แลวใหนํามา 2 อากาศเขา ทางปากใบ เพอ่ื ใชเ ปน วตั ถดุ บิ สง ในชวั่ โมงถดั ไป ในการสงั เคราะหด ว ยแสง (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทํางานกลมุ ) H O น้ํา2 พชื ดดู นาํ้ ผา นรากและลาํ เลยี งขน้ึ สใู บเพอ่ื ใชเปนวตั ถุดิบในการสังเคราะหดวยแสง 7. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก หนังสือเรียน หนา 43 ลงในสมุดหรือทําใน ¼Å·Õè ä´Œ แบบฝก หัดวทิ ยาศาสตร หนา 39 C H O นํา้ ตาลกลูโคส ขน้ั ประเมนิ 6 12 6 อาหารท่ีพืชสรางขึ้น คือ นํ้าตาลกลูโคส ซง่ึ ถกู ลาํ เลยี งไปเลี้ยงสว นตา ง ๆ ของพืช ตรวจสอบผล สว นท่ีเหลือพชื จะสะสมไวในรูปของแปง O แกสออกซิเจน 1. ครูขออาสาสมัครตัวแทนนักเรียน 2-4 คน 2 พืชคายแกสออกซิเจนออกทางปากใบ ออกมาสรุปเกยี่ วกบั การสรา งอาหารของพชื ชวยทาํ ใหอากาศบริสทุ ธ์ิ 2. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมที่ 3 เรื่อง H2O พืชสรางอาหาร ในสมุดหรือในแบบฝกหัด วิทยาศาสตร หนา 38 ภาพที่ 1.83 แผนภาพกระบวนการสงั เคราะหด ว ยแสงของพชื 45 3. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมหนูตอบไดในสมุด หรือในแบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 39 4. ครตู รวจรายงาน เรอ่ื ง ปจ จยั ทม่ี ผี ลตอ การเจรญิ เติบโตและการสังเคราะหด ว ยแสงของพชื ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET นักเรียนควรรู ขน้ั ตอนใดเปน ขนั้ ตอนทถ่ี กู ตอ งในกระบวนการสงั เคราะหด ว ยแสง ก. นแแแแแแกกกกกก้าํ ตสสสสสสคอออคอาลออออาารรกกกก+บบซซซซออเิเเิิิเนจจจจนนํ้านนนนไไดด++ออออแนกกก้ําไไส ซซคคดดาล รอ+แบ โคสรอนลงฟนอ้ําแลโไสลรดงฟ คอล ลอลอแนกโสรํ้าไงฟซตนล ดาลํา้ล ตคาลลนอแา้ํโ+สรตงฟาลลล 1 กระบวนการสังเคราะหด วยแสง (photosynthesis) คือ กระบวนการสรา ง ข. + อาหารของพชื โดยมนี าํ้ และแกส คารบ อนไดออกไซดเ ปน วตั ถดุ บิ มคี ลอโรฟล ลก บั แสงอาทติ ยเ ปน ตวั เรง ปฏกิ ริ ยิ า และผลทไ่ี ด คอื นาํ้ ตาลกลโู คสกบั แกส ออกซเิ จน ค. แนวทางการวัดและประเมินผล ง. ครูสามารถสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนจากการตอบคําถาม การทํางาน (วเิ คราะหค าํ ตอบ กระบวนการสงั เคราะหด ว ยแสง คอื กระบวนการ รายบุคคล การทํางานกลุม และการนําเสนอผลการทาํ กจิ กรรมหนาช้นั เรยี นได ทพี่ ืชสรางอาหาร (นํา้ ตาล) จากวัตถุดบิ คอื แกส คารบอนไดออก โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลที่แนบทายแผนการจัดการเรียนรูของ ไซดและน้ํา โดยใชพลังงานแสงอาทิตยซึ่งถูกดูดกลืนโดยคลอโร หนวยการเรยี นรทู ี่ 1 ความหลากหลายของส่งิ มชี ีวติ ฟลล พรอ มกบั ปลอ ยแกสออกซิเจนและคายนํา้ ออกมา ขอ ง. จึง เปน คําตอบทีถ่ กู ตอง) T51

นาํ นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั นาํ กิจกรรมที่ 4 ทกั ษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตรท์ ี่ใช้ กระตนุ ความสนใจ สว นประกอบของดอก 1. การสงั เกต 2. การจา� แนกประเภท 1. ครนู ําตัวอยางดอกไม 2 ชนดิ มาใหน กั เรียนดู จดุ ประสงค 3. การลงความเหน็ จากข้อมูล (เชน ดอกกุหลาบ ดอกชบา) แลวใหรวมกัน 4. การตีความหมายข้อมูลและการลงข้อสรุป อภปิ รายวา ดอกไมท งั้ 2 ดอกน้ี มสี ว นประกอบ 1. สงั เกตและบอกส่วนประกอบของดอก เหมือนกนั หรอื แตกตา งกัน อยา งไรบา ง 2. อธบิ ายหนา้ ทขี่ องสว่ นประกอบของดอก (แนวตอบ ขึ้นอยูกับตัวอยางดอกไมท่ีครูนํามา เปน ตวั อยา ง) ตอ งเตรยี มตอ งใช (หมายเหตุ : ครเู รม่ิ ประเมินนักเรียน โดยใช แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทํางานรายบคุ คล) 1. คัตเตอร์ 1 อนั 2. แว่นขยาย 1 อนั 2. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา พืชบนโลกใบน้ี 3. แหลง่ ข้อมูลตา่ ง ๆ เชน่ หนังสอื อนิ เทอรเ์ น็ต เปน็ ต้น มมี ากมายหลากหลายชนดิ พชื บางชนดิ มดี อก 4. ดอกของพืช 1 ชนิด เชน่ ดอกชบา ดอกบวั ดอกกุหลาบ เปน็ ต้น พืชบางชนิดไมมีดอก พืชดอกจะอาศัยดอก ในการสืบพันธุ ซง่ึ ตองอาศัยสวนประกอบของ ลองทาํ ดู ดอกทําหนาท่ีเก่ยี วของกบั การสืบพันธุ 1. แบง่ กลุ่ม กลุม่ ละ 3 - 4 คน แลว้ ชว่ ยกันสบื ค้นข้อมูลเกย่ี วกบั ส่วนประกอบตา่ ง ๆ ของดอก ขน้ั สอน รวมทัง้ หนา้ ท่ีของส่วนประกอบนัน้ จากนน้ั บนั ทกึ ขอ้ มลู ลงในสมดุ สาํ รวจคน หา 2. สงั เกตโครงสรา้ งภายนอกของดอกทนี่ า� มาทา� กจิ กรรม แลว้ ทา� การแยกสว่ นประกอบของดอก โดยใช้คตั เตอรต์ ัดผ่าคร่ึงตามแนวยาวของดอกเพื่อดสู ่วนประกอบตา่ ง ๆ 1. ครใู หน กั เรยี นแบง กลมุ แบบคละความสามารถ (เกง-คอนขา งเกง -ปานกลาง-ออน) กลมุ ละ 4 3. ใชแ้ วน่ ขยายสงั เกตโครงสรา้ งของดอก จากนน้ั วาดภาพและบนั ทกึ ขอ้ มลู สว่ นประกอบของ คน จากน้ันใหแ ตละกลุมทํากจิ กรรมท่ี 4 เรื่อง ดอกและหน้าท่ขี องแต่ละสว่ นลงในสมดุ สว นประกอบของ จากหนงั สอื เรยี นหนา นี้ โดย ใหปฏิบัติกิจกรรมตามขั้นตอน แลวบันทึกผล 4. ร่วมกันสรุปผลการท�ากิจกรรม จากน้ันน�าข้อมูลมาเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ เก่ียวกับ ในสมุดหรอื แบบฝกหดั วทิ ยาศาสตร หนา 41 ส่วนประกอบของดอกของพืชแตล่ ะชนิด (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทาํ งานกลมุ ) หนูตอบได 1. ดอกของพชื มีความสา� คญั ต่อพืชดอกอย่างไร 2. ดอกของพืชดอกชนดิ หน่ึงมีส่วนประกอบ ได้แก่ กลบี เล้ียง กลีบดอก และเกสรเพศเมีย นกั เรยี นคิดว่า พืชดอกชนิดน้สี ามารถสบื พันธ์ุได้หรอื ไม่ อย่างไร 46 ค(หอื มกายารเหคติดุแ: คบําบถใหามเหขตอ ุผสลุดทแาลยะขกอางรหคนิดูตแอบบบไโดตแ เปยงน คซําึ่งถผาูเ รมยี ทนีอ่ ออากจแเลบอืบกใหตผอบูเรอยี ยนาฝงกใดใชอทยักางษหะนก่ึงากรค็ไดิด ขใหั้นคสรงู ู พิจารณาจากเหตุผลสนบั สนนุ ) แนวตอบ หนูตอบได ขอ 2. • ได เพราะเกสรเพศเมียที่อยู ในดอกของพืชตนน้ีจะอาศัยการปลิวของ ละอองเรณจู ากเกสรเพศผขู องดอกอนื่ ทอี่ ยู ในตน เดยี วกนั หรอื อาศยั การปลวิ ของ ละอองเรณจู ากเกสรเพศผขู องดอกจากพชื ตน อนื่ (พชื ชนดิ เดยี วกนั ) ทอ่ี ยใู กลเ คยี ง เพ่ือทาํ ใหเ กดิ การสบื พันธุข องพืชดอกน้ตี อ ไป • ไมได เพราะดอกของพืชตน น้ไี มม เี กสรเพศผู จงึ ทาํ ใหไมเ กิดการปฏสิ นธิ หรือการสบื พันธภุ ายในดอก เกสรเพศเมียจะตอ งอาศยั การปลิวของละอองเรณู จากเกสรเพศผู ในดอกของพืชอีกตน (พืชชนิดเดียวกัน) ซ่ึงอาจจะทําไดยาก หากพืชอกี ตนนน้ั อยูห า งไกลออกไป T52

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ 1หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี ขนั้ สอน ความหลากหลายของสิ่งมชี วี ิต อธบิ ายความรู ท�าหนา้4ท. ่ใี นดกอากรสพืบืชพดนั อธก1ุ์ ซเมง่ึ ท่ือา�เจใหริเญ้ กเดิ ตเิบปน็โตตเน้ตพ็มชืทตี่แ้นลใ้วหจมะไ่ อดอ้ กดอก ดอกของพืช 1. ครูใหนักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมา ดอกของพืชแต่ละชนิดมีลักษณะแตกต่างกัน ดอกของพืชบางชนิด นาํ เสนอผลการทาํ กจิ กรรมที่ 4 หนาช้นั เรียน มีสีสันสวยงาม บางชนิดมีกล่ินหอม บางชนิดมีน้�าหวาน ซ่ึงสิ่งเหล่าน้ีสามารถ 2. แตล ะกลมุ บนั ทกึ ผลการสาํ รวจดอกไมข องเพอื่ น ดึงดดู แมลงใหม้ าตอมเพ่อื ช่วยในการผสมพันธขุ์ องพชื ได้ โดยท่วั ไปดอกของพืช กลุมอ่นื ๆ ทไ่ี มซ า้ํ กบั กลุมตนเองลงในสมุด ประกอบดว้ ยสว่ นตา่ ง ๆ 4 สว่ น และมีหน้าทแ่ี ตกตา่ งกันไป ดังน้ี (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช แบบสงั เกตพฤติกรรมการทํางานกลมุ ) ส่วนประกอบของดอก ขนั้ สรปุ เทก�าสหรนเพ้าทศเี่ มสยี ร้า(งcเaซrลpลe์สlืบ)พันธ์ุเพศเมีย2 ในดอกชบามรี งั ไขแ่ ละกา้ นเกสรเพศเมยี ขยายความเขา ใจ ตดิ กนั แตย่ อดเกสรเพศเมยี แยกจากกนั 1. นักเรียนแตละกลุมศึกษาแผนผังความคิด เกสรเพศผู้ (stamen) 3 การจาํ แนกดอกของพชื โดยใชเ กณฑต า งๆ จาก ท�าหน้าที่ สร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ ใบความรทู ่ี 1.1 เรอ่ื ง การจาํ แนกดอกของพชื ในดอกชบามีเกสรเพศผู้อยู่ติดกันและ ทค่ี รแู จกให แลว ชว ยกนั จําแนกดอกของพชื ท่ี มหี ลายอนั นํามาทํากิจกรรม โดยจัดทําเปนแผนผังหรือ แผนภาพลงในกระดาษแขง็ กลีบดอก (petal) ท�าหน้าที่ ห่อหุ้มเกสรขณะที่เกสรนั้น 2. แตละกลุมสงตัวแทนนําเสนอผลการจําแนก ยังอ่อนอยู่ มักมีสีสันสวยงาม หรือมี ดอกของพชื โดยครสู มุ เลอื กตวั แทนแตล ะกลมุ กลน่ิ หอม เพอ่ื ชว่ ยลอ่ แมลงใหม้ าผสมเกสร ใหออกมานําเสนอหนาช้ันเรียนดวยวิธีการ จับสลากเลือกลําดับกลุม จากนั้นแตละกลุม กลบี เลีย้ ง (sepal) เปรยี บเทียบขอมลู กลมุ ตนเองและกลุมอื่นๆ ทา� หนา้ ท่ี หอ่ หมุ้ สว่ นของดอกในขณะท่ี ยงั ตมู อยู่ เพอ่ื ปอ งกนั อนั ตรายจากแมลง 3. ครูถามคําถามนักเรียนเพ่ือขยายความรูวา ถานักเรียนไมจําแนกดอกของพืชโดยใชสวน ภาพที่ 1.84 โครงสรา้ งส่วนประกอบของดอกชบา 47 ประกอบของดอก หรือเกสรในดอกเปน เกณฑ จะสามารถจําแนกดอกของพืช โดยใชเกณฑ ใดไดอกี บา ง 4. ครูใหนักเรียนแตละคนแสดงความคิดเห็น และตอบคาํ ถามไดอ ยา งอสิ ระ จากน้นั ครูคอย อธบิ ายเสรมิ และสรปุ เพม่ิ เตมิ (แนวตอบ เชน จํานวนกลีบดอก สีของดอก ขนาดของดอก กล่นิ ของดอก เปน ตน ) (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช แบบสงั เกตพฤติกรรมการทํางานรายบคุ คล) เกร็ดแนะครู ใบความรูที่ 1.1 เรื่อง การจําแนกดอกของพืช ครูสามารถหยิบใชไดจาก แผนการจัดการเรียนรูท่ี 9 เรื่อง สวนประกอบของดอก หนวยการเรียนรูท่ี 1 ความหลากหลายของสิ่งมชี วี ติ นักเรียนควรรู 1 การสืบพันธุ (reproduction) หมายถึง กระบวนการที่ทําใหเกิดส่ิงมีชีวิต ตัวใหมข น้ึ จากส่ิงมชี วี ติ เดมิ (ชนิดเดียวกัน) ทมี่ อี ยูกอ นแลว โดยส่งิ มชี วี ิตรุนใหม ที่เกิดข้ึนจะทดแทนส่ิงมีชีวิตรุนเกาที่ตายลงไป ทําใหส่ิงมีชีวิตเหลือรอดอยูได โดยไมส ญู พนั ธไุ ป 2 เซลลส บื พนั ธเุ พศเมยี คอื เซลลไข ท่อี ยูในออวุลภายในรังไข 3 เซลลสบื พนั ธุเ พศผู คือ ละอองเรณู ทอี่ ยใู นอบั เรณบู นกา นชอู บั เรณู T53

นาํ สอน สรุป ประเมนิ ขน้ั สรปุ 1กจิ กรรม พฒั นาการเรยี นรู้ที่ ขยายความเขา ใจ ใหน้ ักเรียนแบ่งกลมุ่ แล้วปฏบิ ตั ิกจิ กรรม ดังน้ี 1) ให้แต่ละกลุ่มช่วยกันศึกษาภาพดอกของพืชท้งั 3 ชนิดทกี่ า� หนดให้ 5. นักเรียนรวมกันสรุปเก่ียวกับสวนประกอบของ ดอก จนไดขอสรุปวา ดอกของพืชทําหนาท่ี ภาพที่ 1.85 ดอกบวั ภาพที่ 1.86 ดอกชบา ภาพท่ี 1.87 ดอกมะเขอื สืบพันธุ ดอกของพืชโดยทั่วไปประกอบดวย สวนตา งๆ ไดแก กลบี เลย้ี ง กลบี ดอก เกสร - 2) สังเกตส่วนประกอบของดอกวา่ ประกอบด้วยสว่ นใดบา้ ง และมคี วามแตกตา่ งกัน เพศผู และเกสรเพศเมยี ซง่ึ แตล ะสว นประกอบ หรอื ไม่ อย่างไร ของดอกจะทาํ หนา ทแี่ ตกตา งกนั โดยดอกของ 3) สบื ค้นขอ้ มลู เพ่มิ เติมเก่ียวกับดอกของพชื ทง้ั 3 ชนดิ จากแหลง่ ขอ้ มลู ตา่ ง ๆ พืชบางชนิดมีสวนประกอบครบทั้ง 4 สวน 4) ร่วมกนั อภิปรายภายในกลุ่มถงึ สงิ่ ทไ่ี ด้จากการสงั เกตและการสบื ค้นขอ้ มูล แตบ างชนิดอาจมีสวนประกอบไมครบ 4 สวน 5) น�าเสนอความคิดของกลมุ่ หน้าชน้ั เรยี น แล้วให้ครูชว่ ยสรุปอีกครงั้ 6. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก ตรวจสอบตนเอง กิจกรรม สรปุ ความรปู้ ระจา� บทท่ี 2 หนังสือเรียนหนาน้ี ลงในสมุดหรือทําลงใน แบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 42 หลงั เรยี นจบหนว่ ยน้ีแล้ว ใหน้ กั เรียนบอกสัญลักษณท์ ตี่ รงกับระดับความสามารถของตนเอง 7. นกั เรยี นแตล ะคนนาํ กจิ กรรมพฒั นาการเรยี นรู รายการ เกณฑ์ ท่ี 1 จากหนังสือเรียน หนา 48 ไปทําเปน การบาน โดยใหทําลงในสมุดหรือใหนักเรียน ดี พอใช้ ควรปรับปรุง ทําในใบงานท่ี 1.9 เรื่อง ความแตกตางของ สวนประกอบของดอกไม ท่ีครูแจกใหแลว 1. เขา้ ใจเนอ้ื หาเกยี่ วกบั เรอื่ งหนา้ ทขี่ องสว่ นตา่ ง ๆ ของพชื นํามาสง ในชัว่ โมงถดั ไป (หมายเหตุ : ครเู ร่ิมประเมนิ นกั เรียน โดยใช 2. สามารถท�ากิจกรรมและอธิบายผลการทา� กจิ กรรมได้ แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบคุ คล) 3. สามารถตอบค�าถามจากกิจกรรมหนูตอบได้ได้ 8. ครูสนทนากับนักเรียนเพื่อทบทวนความรู 4. ทา� งานกล่มุ ร่วมกบั เพอ่ื นได้ดี ความเขาใจเก่ียวกับเนื้อหาที่ไดเรียนผานมา จากหนวยการเรียนรูที่ 1 บทท่ี 2 จากนัน้ ให เขียนสรุปความรูเกี่ยวกับเรื่องท่ีไดเรียนมา จากบทท่ี 2 ในรปู แบบตางๆ เชน แผนภาพ แผนผัง เขยี นบรรยาย เปน ตน ลงในสมุดหรอื อาจทํากิจกรรมสรุปความรปู ระจาํ บทท่ี 2 ใน แบบฝก หัดวิทยาศาสตร หนา 43 5. น�าความรู้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจ�าวันได้ 48 เกร็ดแนะครู ขอ สอบเนน การคดิ แนว O-NET ใบงานท่ี 1.9 เรื่อง ความแตกตางของสวนประกอบของดอกไม ครู ดอกของพชื มคี วามสําคัญอยา งไร สามารถหยิบใชไดจากแผนการจัดการเรียนรูท่ี 9 เรื่อง สวนประกอบของดอก ก. สรา งอาหาร หนวยการเรยี นรูที่ 1 ความหลากหลายของส่งิ มีชวี ิต ข. ใชใ นการสืบพันธุ ค. สังเคราะหด วยแสง ความรูบูรณาการอาเซียน ง. เพิม่ สีสนั และความสวยงาม (วิเคราะหคําตอบ ดอกของพืชเปนสวนท่ีใชในการสืบพันธุ โดย ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 3-5 คน แลว ใหแ ตล ะกลมุ สบื คน ขอ มลู และศกึ ษา ลักษณะของดอกไมประจําชาติของประเทศสมาชิกอาเซียนแตละประเทศ ดอกท่ีไดรับการผสมเกสรแลวจะเจริญไปเปนผล ซึ่งภายในผลจะ จากน้ันใหนําขอมูลดอกไมประจําชาติมาจําแนก โดยใชความรูเกี่ยวกับเร่ือง มเี มลด็ อยเู ราสามารถขยายพนั ธพุ ชื ชนดิ นด้ี ว ยวธิ กี ารเพาะเมลด็ ได พืชใบเลี้ยงเดี่ยว และพืชใบเล้ียงคู แลวใหแตละกลุมนําเสนอผลการจําแนก ดังนัน้ ขอ ข.จึงเปนคําตอบท่ถี กู ตอง) และบอกวา พิจารณาจากขอมลู ใด T54

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ½¡Ôจ¡ƒ ¡ทรร¡Ñ มÉะ ºทท่ี 2 ขน้ั สรปุ 1. ตดิ ภาพพชื หรอื วาดภาพพชื ทสี่ นใจลงในสมดุ จากนนั้ ลากเสน้ ชบี้ อกสว่ นตา่ ง ๆ ของ ขยายความเขา ใจ พชื และบอกหน้าท่ขี องส่วนนัน้ พรอ้ มตกแต่งให้สวยงาม 9. นักเรียนทํากิจกรรมฝกทักษะบทท่ี 2 จาก 2. สงั เกตภาพ แล้วตอบคา� ถาม หนังสอื เรียน หนา 49-50 ขอ 1-5 ลงในสมดุ ใชภ้ าพน้ตี อบคา� ถามขอ้ 1) - 2) หรอื ทาํ ในแบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 44-47 ภาพที่ 1.88 ราก A ภาพท่ี 1.89 ราก B 10. นกั เรยี นทกุ คนทาํ กจิ กรรมทา ทายการคดิ ขนั้ สงู ในแบบฝก หัดวทิ ยาศาสตร หนา 48 1) รากของพืชท้งั 2 ชนดิ นี้ มลี กั ษณะแตกตา่ งกันอย่างไร 2) รากของพืชท้งั 2 ชนดิ นี้ ท�าหน้าทเี่ หมอื นกนั หรือแตกต่างกัน อย่างไร 11. นกั เรียนแบง กลมุ กลมุ ละ 3-4 คน จากนน้ั ศึกษากิจกรรมสรางสรรคผลงานจากหนังสือ ใช้ภาพน้ีตอบค�าถามขอ้ 3) - 4) 3) C และ D คอื อะไร เป็นสว่ นประกอบของ เรียน หนา 50 โดยใหจัดทําสมุดภาพ โครงสรา้ งส่วนใดของพืช สวนประกอบภายในดอกของพืชชนิดตางๆ C แลวนําไปวางไวท่ีมุมอานหนังสือตามจุด D 4) C และ D มหี นา้ ทต่ี า่ งกันหรอื ไม่ อยา่ งไร ตางๆ ของโรงเรยี นเพอ่ื ใหความรู (หมายเหตุ : ครูเรมิ่ ประเมนิ นักเรียน โดยใช ภาพท่ี 1.90 แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทาํ งานกลมุ ) 3. เขียนแผนผังแสดงกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชลงในสมุด และอธิบาย แนวตอบ กิจกรรมฝก ทกั ษะ มาพอสังเขป ขอ 2. 49 1) ราก A เปน รากทชี่ วงโคนลาํ ตน มีขนาดใหญ แลว คอ ยเรยี วเลก็ ลง และมรี ากขนาดเลก็ แตกแขนง ออกมา สวนราก B เปน รากขนาดเล็กท่ีมขี นาดโต สมํ่าเสมอกัน และแตกออกจากโคนลําตนเปน กระจุก 2) เหมือนกนั คือ ชวยยึดลําตน ใหตัง้ อยบู นดนิ ดูดนํ้าและแรธ าตุจากดนิ ขึ้นสูสวนตา งๆ ของพชื 3) C คือ ทอลําเลียงอาหาร สวน D คือ ทอ ลาํ เลยี งนา้ํ ซง่ึ เปน สว นประกอบภายในลาํ ตน ของพชื 4) ตา งกนั เนอ่ื งจาก C คือ ทอ ลาํ เลยี งอาหาร ทําหนา ทล่ี าํ เลยี งอาหารทีส่ รา งจากใบไปสวนตางๆ ของพืช สวน D คือ ทอลําเลียงน้ํา ทําหนาท่ี ลาํ เลยี งนา้ํ และแรธ าตจุ ากรากไปสว นตา งๆ ของพชื ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET เกร็ดแนะครู พืชไดร บั พลังงานเพื่อใชใ นการดํารงชวี ติ จากขอใด ในการทาํ กจิ กรรมสรา งสรรคผ ลงาน ครอู าจใชร ปู แบบการเรยี นรแู บบรว มมอื ก. จากแกสออกซเิ จน เทคนิค L.T. มาจัดกิจกรรมการเรียนรู เพื่อกําหนดใหสมาชิกของนักเรียน ข. จากการคายนาํ้ ของพชื แตละกลมุ มีหนาท่ขี องตนเอง และทํางานรวมกนั ค. จากแกสคารบ อนไดออกไซด ง. จากนํ้าตาลท่ีสะสมไวโดยกระบวนการสังเคราะหดวยแสง รปู แบบการเรียนรูแบบรว มมอื เทคนคิ L.T. หรือ Learning Together คอื (วเิ คราะหค ําตอบ พชื สเี ขียวสรา งอาหารเองได โดยกระบวนการ กระบวนการสอนหนึ่งของรูปแบบการเรียนรูแบบรวมมือ โดยมีขั้นตอนการจัด กจิ กรรมการเรียนรู ดงั นี้ สังเคราะหดวยแสง และใชนํ้าตาลที่สรางข้ึนไปในการเผาผลาญ พลงั งานและใชใ นการเจรญิ เตบิ โต ดังน้นั ขอ ง. จึงเปนคําตอบท่ี 1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละเทาๆ กัน จากน้ันครูและนักเรียนทบทวน ถูกตอง) เน้ือหาเดมิ หรือความรูพ ้ืนฐานทีเ่ กี่ยวขอ ง 2. ครแู จกแบบฝกหัด ใบงาน หรอื โจทย ใหนักเรียนทุกกลมุ กลุมละ 1 ชดุ เหมอื นกนั จากนัน้ ใหน ักเรยี นแบงหนาทใี่ นการทํางาน 3. นักเรียนทํากจิ กรรม แลว นาํ เสนอผลงาน จากนั้นใหค รปู ระเมินผลงาน ของกลมุ โดยเนนกระบวนการทํางานกลุม T55

นาํ สอน สรุป ประเมนิ ขนั้ สรปุ 4. ดูภาพ แล้วเขียนชอื่ ส่วนต่าง ๆ ของดอกลงในสมุดใหถ้ ูกต้อง พร้อมเขยี นอธบิ าย หนา้ ทีข่ องสว่ นประกอบนน้ั ขยายความเขา ใจ หมายเลข 2 12. นักเรียนทําทบทวนทายหนวยการเรียนรูที่ หมายเลข 3 1 เร่ือง ความหลากหลายของส่ิงมีชีวิต จากแบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 50-53 หมายเลข 1 13. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียนของ หมายเลข 4 หนวยการเรียนรูที่ 1 เพื่อตรวจสอบความรู ความเขา ใจหลงั เรยี น 5. ตอบคา� ถามตอ่ ไปนี้ ภาพท่ี 1.91 แนวตอบ กิจกรรมฝก ทักษะ 1) การคายน�า้ ของพืชมีประโยชนต์ อ่ พืชหรอื ไม่ อย่างไร 2) ทอ่ ลา� เลยี งนา้� และทอ่ ลา� เลยี งอาหารมลี กั ษณะอยา่ งไร และพบทส่ี ว่ นใดของพชื ขอ 4. 3) อาหารทพี่ ืชสรา้ งข้นึ จากใบ และแร่ธาตุท่ีรากพืชดดู ข้นึ มาจากดนิ มีทศิ ทางใน หมายเลข 1 คือ เกสรเพศผู ทาํ หนา ทีส่ รางเซลล การล�าเลยี งเหมอื นกันหรอื แตกต่างกนั อย่างไร สบื พันธเุ พศผู กจิ กรรม ทา้ ทา¡ารค´Ô ¢นéÑ สงู หมายเลข 2 คือ เกสรเพศเมยี ทาํ หนา ทส่ี ราง ส¡Ôจร¡ำ้ รงรสมรรค์¼ลงำน เซลลส ืบพนั ธเุ พศเมีย หมายเลข 3 คอื กลีบดอก ทําหนาทห่ี อหมุ เกสร ầ‹ ¡Å‹ÁØ áŌǻ¯ÔºÑµÔ¡¨Ô ¡ÃÃÁ ´§Ñ ¹éÕ 1) ãˌᵋÅÐ¡ÅØ‹Áä»ÊíÒÃǨʋǹ»ÃСͺÀÒÂã¹´Í¡¢Í§¾×ª ขณะที่ยังออน และลอแมลง หมายเลข 4 คือ กลีบเลี้ยง ทาํ หนา ทห่ี อหมุ สวน µÒ‹ § æ 10 ª¹´Ô 㹺ÃÔàdzâçàÃÕ¹ËÃ×ͪØÁª¹ 2) ¹íÒ¢ŒÍÁÙÅÁÒ·íÒ໚¹ÊÁØ´ÀÒ¾â´ÂÇÒ´ÀÒ¾ËÃ×͵ԴÀÒ¾¾ª× ของดอกในขณะทีย่ งั ตมู อยู ขอ 5. ¾ÃÍŒ ÁºÍ¡ª×Íè áÅÐÊÇ‹ ¹»ÃСͺ㹴͡¢Í§¾ª× áµÅ‹ Ъ¹´Ô 3) µ¡áµ§‹ ÊÁ´Ø ãËÊŒ ǧÒÁ áÅÇŒ ¹Òí ä»äÇ·Œ ÕÁè ÁØ ÍÒ‹ ¹Ë¹§Ñ ÊÍ× µÒÁ 1) มีประโยชนตอพืช เพราะเปนการควบคุม ปรมิ าณนา้ํ ของพชื เมอ่ื มนี า้ํ เกนิ ความตอ งการ ทาํ ให ¨Ø´µÒ‹ § æ ¢Í§âçàÃÕ¹à¾Íè× ãËŒ¤ÇÒÁÃÙŒ พืชมีการลําเลียงน้ําและแรธาตุอยางตอเนื่อง และ ชว ยลดความรอ นใหพ ืช 50 2) ทอลําเลียงนํ้าและทอลําเลียงอาหารของพืช มีลักษณะเปนกลุมเซลลเรียงตอกันเปนทอยาวๆ ทอลําเลียงนํ้าและทอลําเลียงอาหารพบไดภายใน ลาํ ตนพืช 3) แตกตางกัน โดยอาหารท่ีพืชสรางข้นึ จากใบ มีทิศทางการลําเลียงขึ้นและลงไปตามสวนตางๆ ของพชื สว นแรธ าตทุ รี่ ากดดู ขน้ึ มาจากดนิ มที ศิ ทาง การลาํ เลยี งจากรากขึ้นสูสวนตา งๆ ของลําตน พชื เกร็ดแนะครู เมื่อเรียนจบบทนี้แลว ครูใหนักเรียนตั้งคําถามที่อยากรูเพิ่มเติมเกี่ยวกับ บทเรียนน้ีคนละ 1 คําถาม แลวครูสุมเรียกใหนักเรียนบอกคําถามของตนเอง จากน้ันใหเพ่ือนๆ ชวยกันแสดงความคิดเห็นวาจะใชวิธีการทางวิทยาศาสตร ตอบคําถามน้อี ยางไร การตั้งคําถามจากการสังเกตหรือจากประเด็นที่ตนเองสงสัย (ระบุปญหา) เปนข้ันตอนแรกของวิธีการทางวิทยาศาสตร ซ่ึงครูควรใหนักเรียนไดฝกฝน เพราะเปน คณุ สมบตั สิ ําคัญอยางหนึ่งของนักวทิ ยาศาสตร T56

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ สร»Ø สารÐสาí คÞั 1»ÃШíาห¹‹วยกาÃàÃยี ¹Ã·ÙŒ ี่ ขนั้ ประเมนิ ความ¡าËรÅาจÑ¡´Ë¡Å ุ‹ÅาÂม Ôส่ง ีมªีวÔต ¡ ุ่ลมพืช¡¡ล่มุลสุ่มัตทว่ี์ไม่ãช่พืชและพสืชัตไมว่ม์ ีดอ¡ พชื ãบเพลชืยีé ãงบเดเลยี่ ยวéี งค่Ù ¿องนาíé ตรวจสอบผล สัตหวท์ นีม่อลีนíาตตัววั แ¡บลนวง ¢อง¾×ª พืชมีดอ¡ หนอนตัว¡ลม 1. ครูใหนักเรียนดูตารางตรวจสอบตนเองจาก หนงั สอื เรยี น หนา 48 จากนน้ั ครถู ามนกั เรยี น สตั ว์ไมม่ ¡ี ระด¡Ù สนั หลงั สัตว์ทหสีม่อตัสยีลตัวแท์íาวตท์ละเัวะมี่ ลหเขี»¼มาšนวิเ¡Ö»ข»ทรนš ลขะุขŒอรเอŒลงะ เปนรายบุคคลตามรายการขอ 1-5 เพื่อเปน สตั วม์ ¡ี ระด¡Ù สนั หลงั ¡¡ล¡ล¡มุ่มุ่ลลสสมุ่มุ่ตัตั ¡»นววลส์เ์¡ลมุ่ละาเยสéี ทตงั นิลวน¡Ùเ์ ลาíéดอสืé วŒ ยะยเคนทลาíéนิ านบนม¡ การตรวจสอบความรคู วามเขา ใจของนกั เรยี น ¡Å‹ุมสÔ่งคมวีªี ำมหลำกหลำยความËÅา¡ËÅา¢องสÑตว หลังจากการเรียน วÔตของสิ่งมชี ีวติ 2. ครูใหนักเรียนรวมกันศึกษาแผนผังความคิด มหี สว‹ นตา‹ ง æ ¢อง¾ª× สรุปสาระสําคัญประจําหนวยการเรียนรูที่ 1 แลมะมหี แหีนรนาŒธ่ ทาŒาทตส่ี ช่ีรขุ ¡ÙนÖéาŒ ง่ิงไ»อ¡าสาŒหนส่Ù นาŒาว่ ทรนãดี่ บตดÙหา่นแางาíéยลแæãะลจเขะ»แอแนš รงลทธ่พะาาชืคงตลาุãนยาí เดนลนิาíéยี งนาíé ãบลาí ตรานŒ ¡ ในหนังสือเรยี นวิทยาศาสตร หนา 51 เ¡สรเเพ¡Èสเรมเีพ¡Èลบี ¡ลบี เลยีéดงอ¡ ¼ÙŒ ย ม»หี รนะาŒ ¡ทอสี่ บบื ดพวŒนั ยธ์ุ ดอ¡ 3. ครูประเมินผลจากการสังเกตพฤติกรรมการ ตอบคําถาม พฤตกิ รรมการทํางานรายบคุ คล 51 พฤติกรรมการทํางานกลุม และจากการ นาํ เสนอหนา ชั้นเรยี น 4. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมท่ี 4 เร่ือง สวนประกอบของดอก จากในสมุดหรือใน แบบฝกหดั วิทยาศาสตร หนา 41 5. ครตู รวจสอบผลการทาํ กจิ กรรมหนตู อบไดใ น สมดุ หรอื ในแบบฝก หัดวิทยาศาสตร หนา 42 6. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมพัฒนา การเรยี นรูท่ี 1 ในสมดุ หรอื ในใบงานท่ี 1.9 7. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมสรุปความรู ประจําบทท่ี 2 ในสมุดหรือในแบบฝกหัด วิทยาศาสตร หนา 43 8. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมฝกฝนทักษะบทที่ 2 ในสมุดหรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร หนา 44-47 9. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมทาทายการคิด ขั้นสงู ในแบบฝกหัดวทิ ยาศาสตร หนา 48 10. ครตู รวจชนิ้ งานสมดุ ภาพดอกของพชื และสว น ประกอบของดอก และการนําเสนอช้ินงาน/ ผลงาน หนาชน้ั เรยี น 11. ครตู รวจสอบผลการทาํ แบบทดสอบทา ยหนว ย การเรียนรูท่ี 1 จากแบบฝกหัดวิทยาศาสตร หนา 50-53 12. ครตู รวจสอบผลการทาํ แบบทดสอบหลงั เรยี น ของหนว ยการเรยี นรูที่ 1 แนวทางการวัดและประเมินผล ครสู ามารถวดั และประเมนิ ผลชนิ้ งาน/ผลงานสมดุ ภาพดอกของพชื และสว น ประกอบของดอกที่นักเรียนสรางข้ึน โดยศึกษาเกณฑประเมินผลงานจากแบบ ประเมนิ ผลงาน/ชน้ิ งานทแี่ นบมาทา ยแผนการจดั การเรยี นรขู องหนว ยการเรยี นรทู ่ี 1 ความหลากหลายของสงิ่ มีชีวติ ดงั ภาพตวั อยาง T57

Chapter Overview แผนการจดั ส่อื ท่ีใช้ จดุ ประสงค์ วธิ สี อน ประเมิน ทักษะท่ีได้ คุณลกั ษณะ การเรียนรู้ อนั พงึ ประสงค์ แผนฯ ท่ี 1 - แบบทดสอบกอ่ นเรยี น 1. สงั เกตและระบผุ ล แบบสบื เสาะ - ต รวจแบบทดสอบก่อนเรยี น - ทกั ษะการสงั เกต - มวี ินยั ผลของแรง - หนงั สือเรยี นวิทยาศาสตร์ ของแรงโนม้ ถว่ งที่มี หาความรู้ - ต รวจใบงานท่ี 2.1 ผลของ - ทักษะการระบุ - ใฝเ่ รยี นรู้ โน้มถ่วงของโลก ป.4 เลม่ 1 ต่อวัตถไุ ด้ (K) (5Es แรงโน้มถ่วงของโลก - ทักษะการสรุปอ้างอิง - ม่งุ ม่นั ใน - แบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตร์ 2. ป ฏิบัติการทดลอง Instructional - ต รวจการท�ำกจิ กรรมในสมดุ - ทกั ษะการให้เหตุผล การทำ� งาน 4 ป.4 เล่ม 1 เก่ียวกบั ผลของ Model) หรือแบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตร์ - วัสดุ-อุปกรณก์ ารทดลอง แรงโนม้ ถ่วงทม่ี ีตอ่ วตั ถุ วิธสี อนโดยใช้ - ก ารน�ำเสนอผลการท�ำ ชั่วโมง กจิ กรรมท่ี 1 ได้ครบทุกขนั้ ตอน (P) การทดลอง กจิ กรรม - หนงั สอื จุดประกายคดิ 3. มคี วามสนใจและ - สงั เกตพฤตกิ รรม ชดุ รู้วิทย์ คิดเปน็ กระตอื รอื ร้นในการ การทำ� งานกล่มุ เร่ือง แรงโน้มถว่ งของโลก เรยี นรู้ (A) - สงั เกตพฤติกรรม - PowerPoint การทำ� งานรายบคุ คล - QR Code แรงโน้มถ่วง - สงั เกตคณุ ลักษณะ ของโลก อนั พึงประสงค์ - บตั รภาพใบไมร้ ว่ ง - ใบงานท่ี 2.1 ผลของ แรงโนม้ ถ่วงของโลก - สมดุ ประจำ� ตัวนกั เรยี น แผนฯ ท่ี 2 - หนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ 1. สังเกตและอธิบาย แบบสบื เสาะ - ตรวจการท�ำกจิ กรรมในสมุด - ทักษะการสงั เกต - มีวินัย การหาน�้ำหนัก ป.4 เลม่ 1 การวัดนำ้� หนกั ของ หาความรู้ หรือแบบฝกึ หดั วทิ ยาศาสตร์ - ท ักษะการตัง้ สมมตฐิ าน - ใฝ่เรียนรู้ ของวตั ถุ - แบบฝึกหัดวทิ ยาศาสตร์ วัตถุโดยใชเ้ คร่ืองชง่ั (5Es - ก ารน�ำเสนอผลการทำ� - ทกั ษะการทดสอบ - มงุ่ มน่ั ใน ป.4 เล่ม 1 สปรงิ ได้ (K) Instructional กิจกรรม สมมตฐิ าน การท�ำงาน 3 - วสั ด-ุ อปุ กรณ์การทดลอง 2. ใชเ้ คร่ืองชง่ั สปริงวดั Model) - สังเกตพฤติกรรมการ - ทกั ษะการเปรยี บเทยี บ กิจกรรมที่ 2 น�้ำหนักของวัตถุต่าง ๆ วธิ สี อนโดย ท�ำงานรายบุคคล ช่วั โมง - QR Code ปัจจยั ทมี่ ีผลตอ่ ได้ (P) การลงมอื - สงั เกตพฤตกิ รรม น้�ำหนกั ของวตั ถุ 3. ใหค้ วามร่วมมือในการ ปฏบิ ตั ิ การท�ำงานกลุ่ม - สมุดประจำ� ตวั นักเรยี น ทำ� กิจกรรมกล่มุ (A) - สังเกตคุณลักษณะ อันพงึ ประสงค์ แผนฯ ที่ 3 - หนังสือเรยี นวิทยาศาสตร์ 1. สังเกตและบรรยาย แบบสืบเสาะ - ตรวจการท�ำกิจกรรมในสมุด - ทกั ษะการสังเกต - มวี ินยั มวลกับ ป.4 เล่ม 1 มวลของวัตถุท่ีมีผลต่อ หาความรู้ หรือแบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตร์ - ทักษะการต้ังสมมติฐาน - ใฝเ่ รยี นรู้ การเปลี่ยนแปลง - แบบฝึกหดั วิทยาศาสตร์ การเปลีย่ นแปลงการ (5Es - ต รวจชิน้ งาน/ผลงาน - ทักษะการทดสอบ - มุ่งม่ันใน การเคลอ่ื นท่ีของ ป.4 เล่ม 1 เคล่ือนที่ของวัตถไุ ด้ Instructional (กล่องกันกระแทก) สมมตฐิ าน การทำ� งาน วัตถุ - วสั ด-ุ อุปกรณก์ ารทดลอง (K) Model) - การน�ำเสนอชิ้นงาน/ผลงาน - ทักษะการเปรียบเทียบ กจิ กรรมท่ี 3 2. ทำ� การทดลองเพ่อื - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน - ทักษะการเชอื่ มโยง - วสั ดุ-อปุ กรณก์ จิ กรรม อธบิ ายมวลของวตั ถุท่มี ี รายบคุ คล 3 สร้างสรรคผ์ ลงาน ผลตอ่ การเปลยี่ นแปลง - สงั เกตพฤติกรรม - บตั รภาพชิงช้าขนาดเลก็ การเคลอ่ื นทข่ี องวตั ถุ การท�ำงานกลุม่ ชั่วโมง และขนาดใหญ่ ได้ (P) - สงั เกตคณุ ลักษณะ - สมดุ ประจำ� ตัวนกั เรยี น 3. มีความกระตือรอื รน้ อันพงึ ประสงค์ ในการเรยี นรู้และ การทำ� กิจกรรม (A) แผนฯ ที่ 4 - หนงั สือเรยี นวทิ ยาศาสตร์ 1. สงั เกตและอธบิ าย แบบสบื เสาะ - ต รวจแบบทดสอบหลงั เรียน - ทกั ษะการสังเกต - มวี นิ ยั ตวั กลางของแสง ป.4 เลม่ 1 การมองเหน็ แสงผ่าน หาความรู้ - ต รวจการท�ำกิจกรรมในสมุด - ทกั ษะการต้งั สมมตฐิ าน - ใฝเ่ รยี นรู้ และวัตถุทึบแสง - แบบฝึกหดั วิทยาศาสตร์ วัตถุตา่ ง ๆ ได้ (K) (5Es หรอื แบบฝึกหดั วิทยาศาสตร์ - ท ักษะการทดสอบ - มุ่งมน่ั ใน ป.4 เลม่ 1 2. จ�ำแนกวตั ถทุ ีน่ ำ� มาใช้ Instructional - ตรวจช้นิ งาน/ผลงาน สมมตฐิ าน การทำ� งาน 3 - วัสดุ-อุปกรณก์ ารทดลอง ก้ันแสงได้ เป็นวัตถุ Model) (สมดุ ภาพการจ�ำแนกวัตถุ) - ทักษะการส�ำรวจค้นหา โปรง่ ใส วัตถโุ ปรง่ แสง - การน�ำเสนอช้นิ งาน/ผลงาน - ทกั ษะการจำ� แนก ชั่วโมง กิจกรรมที่ 1 และวัตถทุ บึ แสง (P) - สังเกตพฤติกรรมการท�ำงาน ประเภท - วสั ดุ-อุปกรณก์ ิจกรรม สร้างสรรคผ์ ลงาน 3. ให้ความร่วมมือในการ รายบุคคล - ผา้ เช็ดหน้า ท�ำกจิ กรรมกลุม่ และมี - สงั เกตพฤตกิ รรมการท�ำงาน - สมุดประจำ� ตวั นักเรยี น ความรับผิดชอบในการ กลุม่ - แบบทดสอบหลงั เรยี น ส่งงานตรงเวลา (A) - ส ังเกตคุณลักษณะ - PowerPoint อนั พงึ ประสงค์ T58

Chapter Concept Overview หนว ยการเรยี นรทู ี่ 2 แรงโนม้ ถว งของโลก แรงโนมถวงของโลก คือ แรงของโลกท่ีกระท�าต่อมวลของวัตถุทุกชนิดบนโลก โดยจะดึงดูดวัตถุเข้าสู่ศูนย์กลางของโลก ท�าให้วัตถุ ตา่ ง ๆ มนี า้� หนกั และตกลงสูพ่ ้ืนโลกเสมอ ซ่งึ เราสามารถวดั น้า� หนกั ของวัตถุตา่ ง ๆ ได้โดยใช้เครอื่ งช่งั สปริง แรงโน้มถ่วงมีทิศทางพุ่งเข้าหาจุดศูนย์กลางของโลกท่ีต�าแหน่งเดียวกัน แรงโน้มถ่วงท่ีกระท�าต่อวัตถุจะเพิ่มข้ึนตามมวลของวัตถ ุ และแรงโนม้ ถ่วงจะลดลงเม่อื ระยะห่างของวัตถุจากศูนย์กลางของโลกเพ่มิ ขึน้ มวลและนํ้าหนักของวัตถุ ปจจัยทีม่ ผี ลตอน้าํ หนกั ของวตั ถุ มวลนอ้ ย • นํ้าหนกั คือ ปริมาณของแรงโน้มถว่ งของโลก • มวลของวัตถุ น�า้ หนกั นอ้ ย ท่ีกระท�าต่อมวลของวัตถุต่าง ๆ บนโลก โดย มวลมาก ดงึ ดดู ใหว้ ตั ถตุ กลงมาทพ่ี น้ื โลก นา�้ หนกั มหี นว่ ย น�า้ หนกั มาก เป็นนวิ ตนั (N) • ระยะหางจากจุดศูนยกลางของโลก วัตถุย่ิงอยู่ห่าง • มวล คอื ปรมิ าณของเนอื้ สารทงั้ หมดทม่ี อี ยใู่ น จากจดุ ศนู ยก์ ลางของโลกมากขน้ึ เทา่ ใด แรงโนม้ ถว่ ง วัตถุนั้น ซึ่งมีค่าคงท่ีไม่ว่าจะอยู่ท่ีใดบนโลก ของโลกที่กระทา� ต่อวตั ถนุ ้ันจะยง่ิ ลดน้อยลง มวลมีหนว่ ยเปน็ กรัม (g) หรอื กิโลกรัม (kg) มวลของวัตถุกบั การเปล่ียนแปลงการเคลอื่ นท่ี มวลมผี ลตอ่ การเปลยี่ นแปลงการเคลอ่ื นทข่ี องวตั ถ ุ ซง่ึ วตั ถทุ มี่ มี วลมากจะเปลย่ี นแปลง การเคลอ่ื นท่ไี ดย้ ากกว่าวตั ถทุ ่ีมีมวลน้อย เชน่ ตไู้ มม้ ีมวลมากกวา่ เกา้ อ้ีไม้ทา� ใหเ้ คลอ่ื นที่หรือ เคล่ือนยา้ ยได้ยากกว่า ท�าให้เกิดเป็นการตา้ นการเปล่ยี นแปลงการเคลอื่ นที่ของต้ไู ม้ เปน็ ต้น ตัวกลางของแสง เมอ่ื มองสงิ่ ของตา่ ง ๆ โดยมวี ัตถตุ ่างชนดิ กันมาวางก้ัน จะทา� ใหเ้ รามองเหน็ ส่ิงของน้นั ๆ ไดช้ ัดเจนตา่ งกนั จึงใชล้ ักษณะการมองเห็น สง่ิ ตา่ ง ๆ ผ่านวัตถนุ นั้ เปน็ เกณฑใ์ นการจา� แนกวตั ถุได้ ดงั น้ี ชนดิ ของวัตถุ วตั ถุโปรงใส วัตถุโปรงแสง วตั ถุทึบแสง • วัตถุท่เี มอื่ นา� มาก้นั แสง แลว้ มองเหน็ แสง • วตั ถทุ ่เี มอื่ นา� มาก้นั แสง แล้วมองเห็นแสง • ว ตั ถทุ เ่ี มอ่ื นา� มากนั้ แสง แลว้ ทา� ใหม้ องไมเ่ หน็ แสง หรือมองเห็นส่ิงที่อยู่ด้านหลงั วัตถนุ ้นั ได้ชัดเจน หรือมองเหน็ สิ่งท่ีอยดู่ ้านหลังวตั ถนุ นั้ ไมช่ ดั เจน หรอื ไม่สามารถมองเหน็ สิง่ ที่อยูด่ า้ นหลงั วัตถุนนั้ • ตัวอย่างวัตถุโปร่งใส • ตวั อยา่ งวตั ถุโปร่งแสง • ตัวอย่างวตั ถุทบึ แสง กล่องใส แก้วใส แกว้ สีน�้าเงนิ ขวดสชี า กระปกุ ออมสิน กลอ่ งลัง T59

นาํ นํา สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั นาํ 2หน่วยกำรเรียนรู้ท่ี ááÃŧÐâµ¹ÇÑ ÁŒ ¡¶ÅÇ‹ Ò§§¢¢Íͧ§âáÅÊ¡§ áçâ¹ÁŒ ¶Ç‹ §¢Í§âš໹š áç´§Ö ´´Ù ·èÕâÅ¡¡ÃзÒí กระตนุ ความสนใจ µÍ‹ ÁÇÅ¢Í§ÇµÑ ¶·Ø ¡Ø ª¹´Ô º¹âÅ¡áÅÐÇµÑ ¶·Ø ÍÕè ‹Ùã¡Å⌠š «§Öè Á·Õ ÈÔ ·Ò§à¢ÒŒ Êȋ٠¹Ù ¡ ÅÒ§¢Í§âÅ¡ ¨§Ö ·Òí ãËÇŒ µÑ ¶ÁØ Õ 1. ครูสนทนากับนักเรียนโดยถามคําถามวา ¹Òéí ˹¡Ñ áÅе¡Å§Ê¾‹Ù ¹×é âÅ¡àÊÁÍ นักเรียนทราบหรือไมวา วันนี้จะไดเรียนรู เกย่ี วกบั เรอ่ื งอะไร แลว ใหน กั เรยี นชว ยกนั ตอบ àÁÍ×è ÁͧʧèÔ µÒ‹ §æ â´ÂÁÇÕ µÑ ¶µØ Ò‹ §ª¹´Ô ÁÒ¡¹éÑ áʧ คาํ ถาม จากนัน้ ครูแจงชือ่ เรอ่ื งทจี่ ะเรยี นรูแ ละ ¨Ð·Òí ãË¡Œ ÒÃÁͧà˹ç ʧèÔ ¹¹éÑ æ ª´Ñ ਹᵡµÒ‹ §¡¹Ñ ä» ผลการเรียนรใู หน ักเรยี นทราบ ¨§Ö ¨Òí á¹¡ÇµÑ ¶·Ø ¡Õè ¹Ñé áʧÍ͡໹š µÇÑ ¡ÅÒ§â»Ã§‹ ãÊ µÇÑ ¡ÅÒ§â»Ã§‹ áʧ áÅÐÇµÑ ¶·Ø ºÖ áʧ 2. นกั เรยี นทาํ แบบทดสอบกอ นเรยี นเพอ่ื วดั ความรู เดมิ ของนักเรยี นกอนเขาสกู ิจกรรม 3. นักเรียนสังเกตภาพหนาหนวยการเรียนรูท่ี 2 แรงโนมถวงของโลกและตัวกลางของแสง จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ป.4 เลม 1 หนา น้ี 4. ครูใหนักเรียนแสดงความคิดเห็นรวมกันอยาง อสิ ระวา ภาพในหนา นเี้ กย่ี วขอ งกบั แรงโนม ถว ง ของโลกหรอื ไม อยา งไร โดยครคู อยเสรมิ ขอ มลู ในสวนท่บี กพรอง µÑǪÕéÇÑ´ 1. ระบผุ ลของแรงโน้มถ่วงที่มีต่อวตั ถุจากหลักฐานเชิงประจกั ษ์ (มฐ. ว 2.2 ป.4/1) 2. ใชเ้ ครอ่ื งชง่ั สปรงิ ในการวัดน้า� หนักของวัตถุ (มฐ. ว 2.2 ป.4/2) 3. บรรยายมวลของวัตถทุ มี่ ผี ลตอ่ การเปลี่ยนแปลงการเคลอ่ื นท่ีของวตั ถจุ ากหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ (มฐ. ว 2.2 ป.4/3) 4. จา� แนกวตั ถุเปน ตวั กลางโปร่งใส ตวั กลางโปร่งแสง และวัตถทุ ึบแสง โดยใชล้ ักษณะการมองเห็นส่งิ ตา่ ง ๆ ผา่ นวัตถุนั้นเปนเกณฑ์ จากหลักฐานเชงิ ประจักษ์ (มฐ. ว 2.3 ป.4/1) เกร็ดแนะครู ครสู ามารถหยบิ ใชแ บบทดสอบกอ นเรยี นทแ่ี นบมาทา ยแผนการจดั การเรยี นรู ของหนวยการเรยี นรทู ี่ 2 แรงโนมถว งของโลกและตวั กลางของแสง ในการเรียนหนวยการเรียนรูที่ 2 น้ี ครูควรจัดกระบวนการเรียนรูโดยให นักเรียนไดลงมือปฏิบัติกิจกรรมดวยตนเอง จนเกิดเปนความรูความเขาใจที่ ถูกตอง รวมท้ังสามารถนําวิธีการทางวิทยาศาสตรและทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตรม าใชในการคนหาคาํ ตอบเกยี่ วกับประเด็นทส่ี งสยั ได ดังนี้ • สงั เกตและระบุผลของแรงโนมถว งของโลกทม่ี ตี อ วัตถุ •ï ใชเ คร่อื งชั่งสปรงิ เพื่อวัดนํ้าหนกั ของวตั ถุ •ï สังเกตและบรรยายมวลของวัตถุท่ีมีผลตอการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ ของวตั ถุ •ï สังเกตและอธิบายการมองเห็นแสงผานวัตถุตางๆ รวมท้ังจําแนกวัตถุ โปรงใส วตั ถุโปรง แสง และวตั ถทุ ึบแสง T60

นาํ นํา สอน สรปุ ประเมนิ 1º··èÕ áç⹌Á¶Ç‹ §¢Í§âÅ¡ Key words ขน้ั นาํ • gravitational force กระตนุ ความสนใจ • mass • weight 5. นักเรียนเรียนรูคําศัพทที่เกี่ยวของกับการเรียน ในบทที่ 1 เรื่อง แรงโนมถวงของโลก จาก ?áç⹌Á¶‹Ç§¢Í§âÅ¡ หนังสือเรียนหนาน้ี โดยครูสุมเลือกตัวแทน Áռŵ‹ÍÇѵ¶Ø หรือขออาสาสมัครนักเรียน 1 คน ออกมา Í‹ҧäà หนาช้ันเรียนเพ่ือเปนผูอานนําและใหนักเรียน ในหองคนอนื่ ๆ อา นตาม มวล แรงโนม้ ถว่ ง (หมายเหตุ : ครเู ริม่ ประเมนิ นกั เรียน โดยใช แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทาํ งานรายบคุ คล) (mass) (gravitational force) 6. ครูถามคําถามสําคัญประจําบทเพ่ือกระตุน นา้� หนัก กิจกรรม นาํ สกู ารเรียน นักเรียนกอนเขาสูเนื้อหาวา แรงโนมถวงของ โลกมีผลตอวัตถุอยางไร แลวใหนักเรียนรวม (weight) 53 กันแสดงความคิดเห็นอยางอิสระในการตอบ คาํ ถาม (แนวตอบ แรงโนมถว งของโลกทาํ ใหว ตั ถตุ า งๆ มนี าํ้ หนกั และตกลงสูพ้ืนโลกเสมอ) 7. ครูใหนักเรียนแตละคนสืบคนกิจกรรมในชีวิต ประจําวันที่เกี่ยวของกับแรงโนมถวงของโลก จากหนังสือเรียนหรอื ส่อื อื่นๆ ที่ครูเตรียมไว 8. นกั เรยี นวาดภาพหรอื ตดิ ภาพเกย่ี วกบั กจิ กรรม ท่ีเกี่ยวของกับแรงโนมถวงของโลกมา 2-3 กิจกรรม ลงในสมุดหรือใหทํากิจกรรมนําสู การเรยี นในแบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร ป.4 เลม 1 หนา 54 นักเรียนควรรู ครูใหน ักเรยี นฝกเรียนรูและอานคาํ ศพั ทวทิ ยาศาสตร ดงั น้ี Mass (แมส) มวล Weight (เวท) น้าํ หนัก Gravitational force (แกรฟ็ ว’ิ เทชึนึล ฟอซ) แรงโนมถว ง Spring scale (สปริง สเกล) เครือ่ งชงั่ สปรงิ Hang scale (แฮง็ สเกล) เครือ่ งช่ังสปริง แบบแขวน T61

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขนั้ สอน 1. áç⹌Á¶‹Ç§¢Í§âÅ¡ นักเรียนเคยสังเกตหรือไม่ว่า สิ่งของต่าง ๆ สาํ รวจคน หา รอบตัวเรานั้นล้วนวางอยู่บนพ้ืนโดยท่ีไม่ลอยอยู่ ในอากาศ ท่ีเปนเช่นน้ี เพราะโลกของเรา 1. นักเรียนแตละคนศึกษาขอมูลและดูภาพใน มีแรงชนิดหนึ่งมากระท�าต่อสิ่งต่าง ๆ ท่ีอยู่ หนังสือเรียนหนาน้ี จากน้ันครูใหนักเรียน บนโลก เรียกว่า แรงโน้มถ่วงของโลก ตอบคาํ ถามลงในสมดุ ดังน้ี หรอื แรงดึงดดู ของโลก • ภาพตา งๆ ในหนา นเ้ี ปน เหตกุ ารณใดบา ง ภาพท่ี 2.1 น้�าตก (แนวตอบ น้ําตก คนกระโดดรม คนเลนกฬี า แรงโน้มถ่วงของโลกเปนแรงที่โลกกระท�าต่อมวลของวัตถุต่าง ๆ บนโลก กระจกหลนแตก ฝนตก และใบไมร วง) วแัตลถะวนุ ตั ้ันถไทุม่อีไ่ ดย้สใู่ กัมลผ้โัสลกกบั เผชิวน่ โลกโลกแดรงงึ โดนดู ้มดถา่ววงเทขอียมงโลหกรจอื ึงโจลัดกเดปึงน ดแูดรดงวไมงจ่สันัมทผรัส์1โดยท่ี • นักเรยี นคดิ วา วัตถุ ส่งิ ของ หรือคนในภาพ จะตกลงสูพ้นื หรอื ไม เพราะอะไร ภาพที่ 2.2 ตวั อยา่ งผลของแรงโนม้ ถว่ งของโลกทมี่ ตี อ่ วตั ถตุ ่าง ๆ ฝนตก (แนวตอบ ตกลงสพู นื้ เพราะโลกมแี รงโนม ถว ง ท่กี ระทาํ ตอวตั ถตุ า งๆ จึงทาํ ใหว ัตถุ ส่งิ ของ กระโดดรม่ หรือคนตกลงสูพ้นื ได) • นกั เรยี นคิดวา แรงโนมถวงเกยี่ วขอ งกบั การ กระจกหลน่ แตก ใบไม้ร่วง ใชชวี ติ ประจําวันของนักเรียนอยา งไรบาง (แนวตอบ เชน การยกสิ่งของที่มีนํ้าหนัก เลน่ กีฬา áçâ¹ÁŒ ¶Ç‹ §à¡ÕÂè Ç¢ŒÍ§¡ºÑ ¡ÒÃ㪪Œ ÇÕ µÔ มากๆ ไดย าก การทาํ สง่ิ ของหลน พน้ื จะเกดิ »ÃШÒí Ç¹Ñ ¢Í§¹Ñ¡àÃÕ¹ÍÂÒ‹ §äúҌ § ความเสียหาย เปนตน) 54 2. ครสู มุ นกั เรยี นจากลาํ ดบั เลขท่ี 4-5 คน ใหต อบ คําถาม จากน้ันใหนักเรียนชวยกันอภิปราย คําตอบของเพื่อน และสรุปคําตอบท่ีถูกตอง รวมกัน โดยครคู อยตรวจสอบความถกู ตอ ง 3. ครูใหรางวัลกับตัวแทนนักเรียนที่ตอบคําถาม ถูกตอง และชมเชยนักเรียนทุกคนท่ีชวยกัน อภิปรายคาํ ตอบจากคาํ ถามที่ครตู ้ังไว 4. ครูใหนักเรียนสังเกตบัตรภาพใบไมรวงหรือ ดภู าพเคลือ่ นไหว (ใบไมร ว ง) จาก PPT เรอ่ื ง แรงโนม ถว งของโลก โดยครตู ง้ั คาํ ถามวา ใบไม จะหลน ลงสพู น้ื โลกหรอื ไม เพราะอะไร จากนน้ั ใหน ักเรยี นตอบคําถามไดอยา งอสิ ระ ซึ่งครูยัง ไมเฉลยคําตอบ (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคดิ ครอู าจยกตัวอยา งกิจกรรมตา งๆ ใหนักเรียนฟงเพิม่ เตมิ เชน แรงโนมถวงของโลกมีผลตอ วตั ถุตา งๆ ทอ่ี ยบู นโลกอยา งไร ï• ข่จี ักรยานลงทางลาดชัน ก. ทาํ ใหว ัตถุหยดุ นิ่ง ï• กระโดบันจจี้ มั พ ข. ทําใหวัตถุตกลงสพู ืน้ โลก ï• ล่ืนหกลมเพราะเหยยี บนํา้ บนพืน้ ค. ทําใหวตั ถุเคล่อื นทไ่ี ดเรว็ ขน้ึ •ï ปน ขน้ึ ตนไม ง. ทําใหวตั ถลุ อยไปมาในอากาศได (หรอื ตวั อยา งอืน่ ๆ) จากนนั้ ใหน กั เรยี นรว มกนั วเิ คราะหว า กจิ กรรมนน้ั เกยี่ วขอ งกบั แรงโนม ถว ง (วเิ คราะหคาํ ตอบ แรงโนมถว งของโลก เปนแรงท่ีโลกดึงดูดวัตถุ ของโลกหรือไม อยา งไร ตางๆ เขาสูศูนยกลางของโลก ทําใหวัตถุตางๆ มีน้ําหนักและ ตกลงสูพ ืน้ โลกเสมอ ดงั นน้ั ขอ ข. จึงเปน คําตอบท่ีถกู ตอง) นักเรียนควรรู 1 แรงไมส มั ผสั หรอื แรงสนาม (field force) หมายถงึ แรงทไ่ี มต อ งมกี ารสมั ผสั กบั วัตถุ แรงประเภทนี้ ไดแก แรงโนมถว งของโลก แรงแมเ หลก็ และแรงไฟฟา T62

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ¡Ô¨¡ÃÃÁ·èÕ 1 2หนวยการเรียนรูท ี่ ขนั้ สอน ผลของแรงโนมถว งของโลก áç⹌Á¶Ç‹ §¢Í§âÅ¡áÅеÇÑ ¡ÅÒ§¢Í§áʧ สาํ รวจคน หา ทักษะกระบวนกำร จุดประสงค ทำงวทิ ยำศำสตรท์ ่ีใช้ 5. ครูแบงกลุมนักเรียนแบบคละความสามารถ กลมุ ละ 3-4 คน ใหอยกู ลุม เดียวกัน โดยครู สงั เกตและอธิบายผลของแรงโนม้ ถว่ งของโลกที่มีต่อวตั ถุ 1. การสงั เกต เปน ผเู ลอื กนักเรยี นเขา กลุม 2. การลงความเห็นจากข้อมูล 3. การพยากรณ์หรือการคาดคะเน 6. ในช่ัวโมงน้ีครูใชวิธีสอนโดยใชการทดลอง 4. การตีความหมายข้อมลู และการลงขอ้ สรปุ (Experiment) เขามาจัดกิจกรรมการเรียนรู แลวต้ังคําถามเพ่ือกําหนดปญหาใหนักเรียน ตองเตรียมตองใช 2. ถุงพลาสตกิ 1 ใบ กอนทํากิจกรรมวา แรงโนมถวงของโลกมีผล 4. ใบไมแ้ ห้ง 1 ใบ ตอ วตั ถตุ า งๆ บนโลกอยา งไร จากนน้ั ใหแ ตล ะ 1. กระดาษ 1 แผน่ กลุมรวมกันตง้ั สมมติฐาน 3. ยางลบ 1 ก้อน 7. ครูใหความรูกับนักเรียนกอนทํากิจกรรมวา ลองทาํ ดู แรงโนมถวงของโลกน้ันเปนแรงไมสัมผัส เนื่องจากแรงโนมถวงของโลกสามารถดึงดูด 1. สงั เกตวตั ถทุ นี่ า� มาใชท้ า� กจิ กรรม จากนนั้ คาดคะเนวา่ ภาพที่ 2.3 วัตถุตางๆ บนโลกและท่ีอยูใกลโลกใหเขาหา เมอื่ โยนวตั ถตุ า่ ง ๆ ขน้ึ ไปในอากาศ วตั ถจุ ะตกลงสพู่ นื้ จดุ ศนู ยก ลางของโลกไดโ ดยทไ่ี มต อ งสมั ผสั กนั หรือไม่ แลว้ บนั ทกึ ผลลงในสมุด 8. แตละกลุมชวยกันศึกษาการทํากิจกรรมที่ 1 2. ท�ากิจกรรมเพื่อตรวจสอบผลการคาดคะเน โดยขย�า ในหนังสือเรียนหนาน้ี แลว ชว ยกนั ทํากิจกรรม แผ่นกระดาษแล้วโยนข้นึ ไปในอากาศ จากน้นั สงั เกต ใหครบทุกขั้นตอน จากน้ันบันทึกผลลงสมุด การเคล่อื นทีข่ องก้อนกระดาษและบันทกึ ผล หรือแบบฝกหัดวิทยาศาสตร หนา 56 3. ท�าการทดลองซ�้าขอ้ 2. แตเ่ ปลีย่ นวัตถเุ ปน ใบไมแ้ ห้ง 9. ครูคอยสังเกตการทํากิจกรรมของนักเรียน ถุงพลาสติก และยางลบ ตามล�าดับ แตล ะกลมุ อยา งใกลช ดิ พรอ มใหค าํ แนะนาํ กบั นักเรียนทมี่ ขี อ สงสัยระหวางทํากิจกรรม 4. รว่ มกนั อภปิ รายขอ้ มลู จากการสงั เกตและสรปุ ผลการ (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช ท�ากจิ กรรม แล้วน�าเสนอหนา้ ช้ันเรียน แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทํางานกลุม) หนูตอบได แนวตอบ หนูตอบได 1. กจิ กรรมในชวี ติ ประจา� วนั ใดบ้าง เปนผลมาจากแรงโนม้ ถ่วงของโลกท่กี ระท�าต่อวัตถุ ขอ 3. 2. เพราะเหตุใด เม่อื โยนวตั ถขุ ้นึ ไปในอากาศ วตั ถจุ งึ ตกลงสูพ่ น้ื เสมอ • เห็นดวย เพราะส่ิงมีชีวิตทุกชนิดบนโลก 3. “แรงโนม้ ถ่วงของโลกทา� ใหท้ กุ ส่งิ บนโลกไม่ลอยไปในอากาศ จงึ ถือว่าเปน ผลดตี อ่ ส่ิงมีชีวติ จาํ เปน ตอ งใชแ รงโนม ถว งของโลกเพอื่ ทาํ ใหส ามารถ บนโลก” นักเรียนเหน็ ดว้ ยกบั ข้อความนีห้ รอื ไม่ เพราะอะไร อยูบ นพื้นโลกได (คหือมกายารเหคตดิ ุแ: คบําบถใหามเ หขตอ ุผสลดุ ทแาลยะขกอางรหคนิดูตแอบบบไโดตแ เปยงนคซาํงึ่ ถผาเู รมยี ทนอ่ี ออากจแเลบอืบกใหตผอบูเรอยี ยนา ฝงกใดใชอทยักา งษหะนก่งึากรคไ็ ดิด ขใหั้นคสรงู ู 55 • ไมเ หน็ ดว ย เพราะสง่ิ ไมม ชี วี ติ ทกุ ชนดิ บนโลก ตง้ั อยบู นพน้ื โลกได เนอื่ งจากมแี รงโนม ถว งของโลก พจิ ารณาจากเหตผุ ลสนบั สนุน) ดงึ ดูดไวเ ชนเดยี วกนั กบั สง่ิ มชี วี ติ ขอสอบเนน การคดิ เกร็ดแนะครู ส่งิ ใดตอไปนี้เคลอื่ นทไ่ี ดดวยแรงโนมถวงของโลก วิธีสอนโดยใชการทดลอง (Experiment) เปนวิธีสอนท่ีมุงชวยใหผูเรียน ก. กงั หนั ลมหมนุ รายบุคคลหรือรายกลุมเกิดการเรียนรูโดยการเห็นประจักษจากการคิดและ ข. เรอื แลนบนผวิ น้าํ การกระทําของตนเอง โดยเปนกระบวนการสอนที่ชวยใหผูเรียนเกิดการเรียนรู ค. รถยนตแลน บนถนน ตามวัตถุประสงค ซึ่งตองมีการกําหนดปญหาและสมมติฐานในการทดลอง ง. ลกู มะพราวหลน จากตน ตามขน้ั ตอนท่กี าํ หนด โดยใชวสั ดอุ ปุ กรณทีจ่ าํ เปน เกบ็ รวบรวมขอ มลู วเิ คราะห ขอมูล อภิปรายและสรุปผลการทดลอง รวมท้ังสรุปผลการเรียนรูที่ไดรับจาก (วิเคราะหค าํ ตอบ แรงโนมถวงของโลกเปน แรงทด่ี งึ ดูดวตั ถตุ างๆ การทดลอง ซ่ึงมีขนั้ ตอนสําคญั ของการจดั กิจกรรมการเรียนรู ดังนี้ ใหตกลงสูพื้นได จึงดึงดูดลูกมะพราวที่กําลังหลนจากตนใหตก ลงมาสูพืน้ โลกได ดงั นน้ั ขอ ง. จงึ เปนคําตอบทีถ่ กู ตอง) 1. ผสู อน/ผูเรียนกําหนดปญหาและสมมตฐิ านในการทดลอง 2. ผูสอนใหความรูท่ีจําเปนตอการทดลอง เชน ขั้นตอนและรายละเอียด ของการทดลอง 3. ผเู รียนลงมอื ทดลองตามข้ันตอน และบนั ทกึ ผล 4. ผเู รียนวเิ คราะหแ ละสรุปผลการทดลอง 5. ผสู อนและผูเรียนอภปิ รายผลการทดลอง และสรุปผลการเรยี นรู T63

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สอน 1.1 ลกั ษณะของแรงโนม้ ถว่ งของโลก อธบิ ายความรู แรงโน้มถ่วงของโลก คอื แรงทโ่ี ลกกระทา� ตอ่ มวลของวัตถทุ กุ ชนิดบนโลก และวตั ถุทอี่ ย่ใู กลโ้ ลก โดยจะดึงดูดวัตถเุ ข้าส่ศู ูนย์กลางของโลก ท�าให้วัตถุต่าง ๆ 1. ครูใหนักเรียนดูภาพเคล่ือนไหว (ใบไมรวง) มีน�้าหนักและตกลงสู่พ้ืนโลกเสมอ เราและวัตถุต่าง ๆ บนโลกจึงสามารถอยู่บน จาก PowerPoint ตอ แลวใหนักเรียนรวมกัน พ้ืนโลกได้โดยไม่ลอยขน้ึ ไปในอากาศ อภิปรายวา เพราะเหตุใดใบไมจึงรวงลงสู เซอร์ ไอแซก นวิ ตนั นกั วทิ ยาศาสตรช์ าวองั กฤษ พ้ืนโลก คือผู้ค้นพบทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของโลก ซ่ึงค้นพบ โดยบังเอิญจากการสังเกตผลแอปเปลท่ีหลุดจากต้น 2. ครจู บั สลากเลอื กลาํ ดบั ของแตล ะกลมุ ใหม านาํ แลว้ ร่วงลงพนื้ นวิ ตนั เกิดความสงสยั และไดศ้ กึ ษาจน เสนอผลการทาํ กจิ กรรม เพอ่ื ตรวจสอบความรู ได้ข้อสรุปว่า “วัตถุทุกอยางจะออกแรงดึงดูดซ่ึงกัน ของนกั เรียนหลงั การทาํ กจิ กรรมที่ 1 และกัน เหมือนกับแรงโนมถวงของโลกที่กระทําตอ วัตถทุ ุกอยา งในโลก” ภาพที่ 2.4 เซอร์ ไอแซก นวิ ตนั 3. นักเรียนทุกกลุมรวมกันอภิปรายผลการทํา กิจกรรมจนไดขอสรุปวา วัตถุทุกชนิดจะตอง ภาพที่ 2.5 แรงโนม้ ถว่ งของโลกมที ศิ พงุ่ เขา้ หาจดุ ศนู ยก์ ลางของโลก ตกลงสูพ้ืนโลกเสมอ เพราะโลกมีแรงโนมถวง เมื่อลากเส้นสมมุตติ ามทศิ ทางท่ีวัตถทุ ัง้ หลายตกลงสพู่ ื้นโลก ที่กระทําตอวัตถุตางๆ ทําใหวัตถุมีน้ําหนัก เมอื่ เราโยนวตั ถขุ น้ึ ไปในอากาศหรอื ปลอ ยวตั ถุ 56 แรงโนม ถวงของโลก จากทสี่ งู วตั ถจุ ะตกลงสพู น้ื โลกเสมอ โดยใหค รู คอยเสนอแนะเพ่ิมเติมในสวนที่บกพรอง ขนั้ สรปุ ขยายความเขา ใจ 1. นักเรียนศึกษาขอมูลลักษณะของแรงโนมถวง ของโลกจากหนังสอื เรยี น หนา 56-57 2. นักเรียนจับคูกับเพ่ือนแลวชวยกันศึกษาขอมูล เพิ่มเติมจากสื่อดิจิทัล โดยใชโทรศัพทมือถือ สแกน QR Code เรื่อง แรงโนม ถว งของโลก จากหนงั สอื เรยี นหนา นี้ 3. นักเรียนนําความรูท่ีไดจากการศึกษาขอมูล จากหนังสือเรียนและส่ือดิจิทัลมาอภิปรายถึง ลักษณะของแรงโนมถวงของโลก และผลของ แรงโนม ถว งของโลกทมี่ ตี อ วตั ถุ แลว รว มกนั สรปุ ภายในชนั้ เรยี น โดยใหค รคู อยอธบิ ายเพมิ่ เติม สื่อ Digital ขอ สอบเนน การคิด ครูใหนักเรียนเรียนรูเก่ียวกับลักษณะของแรงโนมถวงของโลกเพ่ิมเติมจาก ขอใดไมใ ชประโยชนท ่เี กดิ จากแรงโนม ถว งของโลก ส่อื ดจิ ิทัล โดยใหส แกน QR Code เร่ือง แรงโนม ถวงของโลก จากหนงั สอื เรยี น ก. ทาํ ใหฝ นตกลงสูพ้ืนดนิ หนา 56 ซงึ่ จะปรากฏคลปิ วดิ โี อ ดงั ภาพตัวอยาง ข. ทําใหย กของหนักๆ ไดยาก ค. ทาํ ใหเ กดิ นํา้ ตกตามแหลงนํ้าธรรมชาติ ง. ทําใหวตั ถหุ รือสิ่งตา งๆ ต้งั อยบู นพืน้ ได (วิเคราะหคําตอบ แรงโนม ถว งของโลก คอื แรงของโลกที่ดึงดูด วตั ถหุ รอื ส่งิ ตางๆ เขาสูศนู ยก ลางของโลก จึงมผี ลทาํ ใหวตั ถุหรือ สิ่งตา งๆ ตกลงสพู ้นื โลกเสมอ แตมีขอ จาํ กัด คือ ทําใหเ รายกวตั ถุ หรอื สงิ่ ของท่ีมนี า้ํ หนักมากๆ ไดยาก ดังนั้น ขอ ข. จึงเปน คาํ ตอบ ทถ่ี กู ตอง) T64

นาํ สอน สรุป ประเมิน 2หนว ยการเรยี นรูท่ี ขนั้ สรปุ áçâ¹ÁŒ ¶Ç‹ §¢Í§âÅ¡áÅеÑÇ¡ÅÒ§¢Í§áʧ ขยายความเขา ใจ แรงโน้มถ่วงของโลกอาจท�าให้เกิดประโยชน์และท�าให้เกิดข้อจ�ากัดต่าง ๆ 4. ใหนักเรียนชวยกันตอบคําถามจากกิจกรรม ในการใชช้ วี ติ ประจ�าวนั ของเราได้ เช่น พัฒนาการเรียนรูที่ 1 ในหนังสือเรียนหนานี้ ประโยชน์ โดยครูเปน ผูเ ฉลยและอธิบายเหตผุ ลเพ่มิ เติม (หมายเหตุ : ครูเรม่ิ ประเมนิ นักเรยี น โดยใช • ท�าให้ส่งิ ของตา่ ง ๆ ไม่ลอยไปมาในอากาศ แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) • ทา� ใหเ้ รายืนอยูบ่ นโลกไดโ้ ดยไม่ลอยไปมา • ท�าใหน้ ้�าไหลจากที่สงู ลงสู่ทตี่ �่า 5. ครูแจกใบงานท่ี 2.1 เร่ือง ผลของแรงโนม • ท�าให้น�า้ ฝนตกลงส่พู ้ืนโลก ถวงของโลก ใหนักเรียนทุกคนนํากลับไปทํา เปน การบานแลว นาํ มาสง ในชวั่ โมงเรียนถัดไป ภาพที่ 2.6 6. ครตู ง้ั คาํ ถามวา แรงโนม ถว งของโลกมปี ระโยชน ข้อจ�ำกดั หรอื มขี อ จาํ กดั ในการใชช วี ติ ประจาํ วนั ของเรา อยางไรบาง จากนน้ั ใหนกั เรียนชวยกันตอบ • การท�ากจิ กรรมบางอย่างทส่ี วนทางกบั แรงโนม้ ถว่ ง 7. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก ของโลกจะรู้สึกเหนอื่ ยและทา� ได้ลา� บาก เชน่ หนังสือเรียน หนา 55 ลงในสมุดหรือทําใน เดินข้นึ บนั ได ปนจักรยานขึ้นเขา เปน ต้น แบบฝก หัดวิทยาศาสตร หนา 57 • เม่ือทา� สิง่ ของบางอย่างหล่นพืน้ จะทา� ใหช้ �ารุดเสียหาย ขน้ั ประเมนิ • ทา� ให้ไมส่ ามารถกระโดดให้สงู มาก ๆ ได้ • ทา� ให้ยกสิ่งของทมี่ นี ้�าหนกั มาก ๆ ไม่ได้ ตรวจสอบผล 1¡Ô¨¡ÃÃÁ ¾Ñ²¹Ò¡ÒÃàÃÕ¹ÌٷÕè ภาพท่ี 2.7 1. ครสู มุ นกั เรยี นตามเลขท่ี 5 คน แลว ใหแ ตล ะคน อธิบายผลของแรงโนมถวงของโลกท่ีมีตอวัตถุ ใหด้ ภู ำพแลว้ ตอบวำ่ ภำพหมำยเลขใดเปน ผลกระทบมำจำกแรงโนม้ ถว่ งของโลก จากนั้นใหนักเรยี นท้งั หอ งสรปุ ความรรู วมกัน พรอ้ มใหเ้ หตุผลประกอบ 2. ครตู รวจสอบผลการทําแบบทดสอบกอ นเรียน 123 3. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมท่ี 1 เร่ือง ภาพท่ี 2.8 ดวงอาทติ ยข์ ึน้ ภาพท่ี 2.9 ยกน้า� หนัก ภาพที่ 2.10 ปน จกั รยาน ผลของแรงโนมถวงของโลก ในสมุดหรือใน 57 แบบฝก หัดวทิ ยาศาสตร หนา 56 4. ครูตรวจสอบการวาดภาพหรือการติดภาพที่ เกี่ยวของกับแรงโนมถวงของโลกในสมุดหรือ ตรวจกิจกรรมนําสูการเรียนในแบบฝกหัด วทิ ยาศาสตร หนา 54 5. ครูตรวจสอบผลการทําใบงานที่ 2.1 เรื่อง ผลของแรงโนมถวงของโลก 6. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมหนูตอบได ในสมุดหรือแบบฝกหดั วิทยาศาสตร หนา 57 ขอ สอบเนน การคดิ เกร็ดแนะครู ปรากฏการณทางธรรมชาติในขอใดเก่ียวของกับแรงโนมถวง ใบงานท่ี 2.1 เรอื่ ง ผลของแรงโนมถว งของโลก ครูสามารถหยบิ ใชไ ดจ าก ของโลก แผนการจดั การเรียนรูท่ี 1 เรอ่ื ง ผลของแรงโนมถว งของโลก หนวยการเรยี นรู ท่ี 2 แรงโนมถวงของโลกและตวั กลางของแสง ก. ฟาผา ข. ฝนตก แนวทางการวัดและประเมินผล ค. ฟา รอง ง. ฟา แลบ ครูสามารถสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนจากการตอบคําถาม การทํางาน รายบุคคล การทาํ งานกลุม และการนําเสนอผลการทาํ กจิ กรรมหนาช้นั เรียนได (วเิ คราะหค าํ ตอบ เมอ่ื ฝนตกหยดนาํ้ ฝนจะถกู แรงโนม ถว งของโลก โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลท่ีแนบทายแผนการจัดการเรียนรูของ ดึงดูดใหต กลงสูพ้ืนโลกได เนอ่ื งจากแรงโนมถวงของโลกสามารถ หนวยการเรียนรูท่ี 2 แรงโนม ถว งของโลกและตัวกลางของแสง ดึงดูดวัตถุใหตกลงสูพื้นโลกเสมอ ดังนั้น ขอ ข. จึงเปนคําตอบ ทถ่ี ูกตอ ง) T65

นาํ นํา สอน สรปุ ประเมนิ ขนั้ นาํ ¡¨Ô ¡ÃÃÁ·èÕ 2 ทกั ษะกระบวนกำร ทำงวิทยำศำสตร์ท่ใี ช้ กระตนุ ความสนใจ แรงดงึ ดดู ของโลกกบั นํา้ หนักของวัตถุ 1. การวดั 2. การสังเกต ครูสมุ นักเรยี น 1 คน ใหออกมาหนาชน้ั เรยี น จุดประสงค 3. การลงความเห็นจากขอ้ มลู แลวใหนักเรียนท่ีเหลือรวมกันคาดคะเนวา 4. การพยากรณ์หรือการคาดคะเน เพื่อนท่ีอยูหนาหองกับตนเองมีนํ้าหนักเทากัน สังเกตและอธิบายการวดั นา้� หนักของวัตถโุ ดยใช้เครือ่ งชงั่ สปรงิ 5. การตีความหมายขอ้ มูลและการลงข้อสรุป หรือไม จากน้ันครูใหนักเรียนบอกน้ําหนักของ ตวั เองทีละคน ตองเตรียมตอ งใช 2. ถุงทราย 1 ถงุ 4. ถา่ นไฟฉาย 1 ก้อน ขน้ั สอน 1. หนงั สือ 1 เล่ม 6. เคร่อื งชั่งสปรงิ แบบตั้ง 1 เครอ่ื ง 3. ก้อนหนิ 1 ก้อน 8. เคร่ืองชั่งสปริงแบบแขวน 1 เคร่ือง สาํ รวจคน หา 5. ดินนา้� มัน 1 ก้อน 10. ผลไม้ 1 ชนดิ (ครูเตรียมไว)้ เชน่ ฝรงั่ เปน ต้น 7. ถงุ พลาสติก 1 ใบ 1. ครูถามคําถามกระตุนความคิดนักเรียน ดังน้ี 9. กล่องดินสอ 1 กล่อง • นกั เรยี นสามารถทราบนา้ํ หนกั ของตนเองได อยา งไร ลองทําดู µÍ¹·èÕ 1 (แนวตอบ ชงั่ นาํ้ หนกั โดยใชเ ครอื่ งชง่ั นาํ้ หนกั ) • เคร่ืองมอื ใดทใ่ี ชวัดนา้ํ หนกั ของวตั ถตุ า งๆ 1. สังเกตเคร่อื งชงั่ สปรงิ แบบแขวนและตัวเลขบนเคร่อื งช่ัง จากนน้ั วาดภาพลงในสมดุ (แนวตอบ เคร่ืองชั่ง) 2. ร่วมกนั แสดงความคิดเหน็ เกยี่ วกับวธิ กี ารใช้งานเครอ่ื งช่ังสปรงิ แบบแขวน 3. สังเกตถ่านไฟฉาย ดินน�้ามัน ถุงทราย และก้อนหิน แล้วคาดคะเนว่า วัตถุเหล่านั้น 2. ครชู แ้ี จงวา นกั เรยี นจะไดเ รยี นรกู ารวดั นาํ้ หนกั มีน้�าหนกั เท่าใด แลว้ บันทึกผล ของวตั ถตุ างๆ จากการทาํ กิจกรรมท่ี 2 เร่ือง 4. ทา� กจิ กรรมเพอ่ื ตรวจสอบผลการคาดคะเน แรงดึงดูดของโลกกับน้ําหนักของวัตถุ ตอนที่ โดยนา� ถา่ นไฟฉายใสถ่ งุ พลาสตกิ แลว้ แขวน 1-2 จากหนังสอื เรยี น หนา 58-59 กบั ตะขอของเครอ่ื งชง่ั สปรงิ จากนนั้ สงั เกต ตัวเลขบนเคร่ืองชั่ง แล้วบันทึกน�้าหนัก 3. ครูใชวิธีสอนโดยการลงมือปฏิบัติ (Practice) (ทา� ซ�้าอกี 2 ครงั้ แลว้ หาค่าเฉลี่ย*) เขามาจัดกิจกรรมในชั่วโมงน้ี โดยแบงกลุม 5. ทา� กจิ กรรมซา�้ ขอ้ 4. โดยเปลยี่ นวตั ถเุ ปน นักเรียนเปนกลุมละ 4-5 คน แลวกําหนด ดนิ นา้� มนั ถงุ ทราย และกอ้ นหนิ ตามลา� ดบั จดุ มุงหมายและขอปฏิบัตใิ หแตล ะกลมุ ทราบ จากน้นั รว่ มกนั วเิ คราะหแ์ ละสรปุ ผล ภาพที่ 2.11 4. นักเรียนแตละกลุมรวมกันทํากิจกรรมท่ี 2 ตอนท่ี 1 จากหนงั สอื เรยี นหนา น้ี แลว บนั ทกึ ผล ลงในสมดุ หรอื แบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 60 จากน้ันรว มกันสรปุ ผลการทํากจิ กรรม (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสงั เกตพฤติกรรมการทํางานกลุม ) *หมำยเหตุ : การหาคา่ เฉล่ียท�าไดโ้ ดยนา� คา่ ทห่ี าไดท้ ัง้ หมดบวกกนั แลว้ หารด้วยจา� นวนคร้ัง 58 เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคดิ วธิ ีสอนโดยการลงมอื ปฏิบตั ิ (Practice) เปน วิธสี อนทใี่ หป ระสบการณต รง ขอใดทีม่ ีผลตอ แรงโนม ถวงของโลก กบั ผเู รยี น โดยใหผ เู รยี นลงมอื ปฏบิ ตั จิ รงิ ซงึ่ เปน การสอนทมี่ งุ ผสมผสานระหวา ง ก. มวล ทฤษฎกี ับการปฏิบัติ วิธีสอนนีม้ ขี นั้ ตอนสาํ คัญ ดังนี้ ข. ปรมิ าตร ค. ความยาว 1. ขั้นเตรียม ผูสอนกําหนดจุดมุงหมายของการปฏิบัติและรายละเอียด ง. ความแขง็ ของการทาํ งาน (วิเคราะหคําตอบ มวลของวัตถุมีผลตอแรงโนมถวงของโลก 2. ข้ันดําเนินการ ผูสอนใหความรูและทักษะที่เปนพ้ืนฐานในการปฏิบัติ หากเราเพมิ่ มวลของวตั ถใุ หม ากขน้ึ แรงโนม ถว งของโลกทก่ี ระทาํ ตอ และมอบหมายงานเปน กลมุ หรือรายบคุ คล วัตถจุ ะมากขนึ้ ตามไปดวย ดังนั้น ขอ ก. จึงเปน คําตอบท่ถี ูกตอง) 3. ข้ันสรปุ ผูสอนและผเู รียนชวยกันสรุปกจิ กรรมการปฏิบตั ิงาน 4. ขั้นประเมินผล ผูสอนสังเกตพฤติกรรมการเรียนรูและผลการทํางาน ของผเู รยี น T66

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ 2หนวยการเรยี นรูท่ี ขนั้ สอน áçâ¹ÁŒ ¶Ç‹ §¢Í§âÅ¡áÅеÑÇ¡ÅÒ§¢Í§áʧ สาํ รวจคน หา µÍ¹·Õè 2 àÍЍ ... 5. ครูสนทนากับนักเรียนเพื่อทบทวนเก่ียวกับ ˹ѡ෋ÒäùРการใชเคร่ืองชั่งสปริงแบบแขวนวัดน้ําหนัก 1. สังเกตเครื่องชั่งสปริงแบบต้ังและตัวเลข ภาพท่ี 2.12 ของวตั ถุ บนเคร่อื งช่ัง แล้ววาดภาพลงในสมุด 6. ครใู หน กั เรยี นจบั กลมุ เดมิ แลว ทาํ กจิ กรรมที่ 2 2. ร่วมกันแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับวิธี ตอนท่ี 2 ตอ โดยใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ สงั เกต การใช้งานเคร่ืองชง่ั สปริงแบบตั้ง เครอ่ื งชง่ั สปรงิ แบบตง้ั และตวั เลขบนเครอื่ งชง่ั แลวใหวาดภาพลงในสมุดหรือในแบบฝกหัด 3. สงั เกตกลอ่ งดนิ สอ หนงั สอื ถงุ ทราย และ วิทยาศาสตร หนา 61 ผลไมท้ คี่ รเู ตรยี มไว้ แลว้ คาดคะเนวา่ วตั ถุ เหล่าน้มี ีน�า้ หนักเทา่ ใด และบันทึกผล 7. นกั เรยี นรว มกนั แสดงความคดิ เหน็ เกยี่ วกบั วธิ ี การใชงานเครอื่ งช่ังสปริงภายในกลมุ 4. ช่วยกันท�ากิจกรรมเพื่อตรวจสอบผล (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมนิ นกั เรยี น โดยใช การคาดคะเน โดยวางเคร่ืองชั่งสปริง แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม ) แบบต้ังให้อยู่ในระดับเดียวกับพ้ืนราบ แลว้ นา� กลอ่ งดนิ สอวางบนถาดชงั่ จากนน้ั 8. สมาชิกทุกคนในกลุมชวยกันสังเกตวัตถุที่ สังเกตตัวเลขบนเครื่องช่ังแล้วบันทึกค่า ใชในการทํากิจกรรม ตอนท่ี 2 แลวชวยกัน (ทา� ซา้� อีก 2 คร้งั แล้วหาค่าเฉลย่ี *) คาดคะเนวา วัตถุเหลานั้นมีน้ําหนักเทาใด และบันทึกผลลงในสมุดหรือในแบบฝกหัด 5. ทา� ซ้�าขอ้ 4. โดยเปลี่ยนวตั ถุท่ีใช้ช่งั เปน วทิ ยาศาสตร หนา 61 หนังสือ ถุงทราย และผลไม้ ตามลา� ดับ จากนนั้ รว่ มกนั สรปุ เกยี่ วกบั การวดั นา�้ หนกั 9. นักเรียนแตละกลุมชวยกันทํากิจกรรมเพ่ือ ของวตั ถโุ ดยใช้เคร่อื งชง่ั สปริง ตรวจสอบผลการคาดคะเน แลว บันทกึ ลงใน สมดุ หรือในแบบฝก หัดวทิ ยาศาสตร หนา 61 หนูตอบได ภาพท่ี 2.13 จากนนั้ รวมกนั สรุปผลการทํากจิ กรรม 1. แรงโนม้ ถว่ งของโลกมีความสมั พันธก์ บั มวลของวัตถหุ รอื ไม่ อยา่ งไร แนวตอบ หนตู อบได 2. วตั ถุแต่ละชนดิ บนโลกมมี วลเทา่ กนั หรอื ไม่ เพราะอะไร 3. เพราะเหตุใด วัตถุตา่ ง ๆ บนโลกจึงมนี �้าหนักแตกตา่ งกนั ขอ 4. 4. หากต้องการทราบว่า ฝรัง่ 1 ผล มีน�า้ หนกั เท่าไร เราควรเลอื กใช้เครอ่ื งมอื ชนดิ ใดเพือ่ หา • เครือ่ งช่ังสปริงแบบแขวน เพราะมีขนาดเล็ก นา�้ หนกั ของฝรง่ั ระหวา่ งใชเ้ ครอ่ื งชงั่ สปรงิ แบบแขวนกบั เครอ่ื งชง่ั สปรงิ แบบตงั้ เพราะอะไร พกพาสะดวกและใชงานงาย เหมาะสําหรับใชชั่ง วัตถหุ รือสง่ิ ของที่มขี นาดเลก็ (หมายเหตุ : คําถามขอสุดทา ยของหนูตอบได เปนคําถามท่อี อกแบบใหผ เู รยี นฝก ใชทกั ษะการคดิ ขนั้ สงู 59 คือ การคิดแบบใหเหตผุ ล และการคิดแบบโตแยง ซงึ่ ผูเรียนอาจเลอื กตอบอยา งใดอยางหนงึ่ กไ็ ด ใหค รู • เคร่ืองชั่งสปริงแบบตั้ง เพราะสามารถรับ พจิ ารณาจากเหตุผลสนบั สนุน) น้ําหนักไดมาก ช่ังวัตถุหรือส่ิงของไดหลายขนาด ใชง านงา ย และใหรายละเอยี ดขอ มูลชัดเจน ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู ปจ จัยใดบางที่มผี ลตอนํ้าหนักของวตั ถุ ครูอาจใหความรูเก่ียวกับการใชเคร่ืองช่ังสปริงแบบแขวนกับนักเรียนกอน ก. มวลของวตั ถุ การทาํ กจิ กรรมวา การใชเ ครอื่ งชงั่ สปรงิ แบบแขวนทาํ ไดโ ดยการนาํ วตั ถไุ ปแขวน ข. สถานะของวัตถุ ไวท ตี่ ะขอดานลางของเครอ่ื งชงั่ สปรงิ ซึ่งจะทาํ ใหสปริงของเครอ่ื งช่ังยืดตัวออก ค. สถานทีท่ ่ีนําวัตถุไปชงั่ โดยนา้ํ หนกั ของวตั ถจุ ะสมั พนั ธก บั การยดื ตวั ของสปรงิ ถา สปรงิ ยดื ตวั มากแสดงวา ง. ถกู ท้งั ขอ ก. และ ค. วัตถุมีน้ําหนักมาก เน่ืองจากเคร่ืองชั่งสปริงถูกออกแบบใหตัวเลขแสดงน้ําหนัก สัมพนั ธกบั การยดื ตัวของสปรงิ (วิเคราะหคําตอบ นํ้าหนักของวัตถุ คือ แรงโนมถวงของโลกที่ กระทําตอวัตถุตางๆ ท่ีมีมวลตางกัน ทําใหนํ้าหนักของวัตถุมีคา หองปฏิบัติการ ตางกัน นอกจากน้ี วัตถุชิ้นเดยี วกันเม่ือนําไปช่ังในสถานที่ตา งกัน จะมีน้ําหนักตางกันดวย เน่ืองจากคาแรงโนมถวงของโลกใน  à·¤¹Ô¤ ¤ÇÒÁ»ÅÍ´ÀÑ ตําแหนงตางๆ มีคาไมเทากัน โดยขึ้นอยูกับระยะหางจาก จุดศูนยก ลางของโลก ดงั นน้ั ขอ ง. จงึ เปน คําตอบที่ถกู ตอง) ครูใหความรูกับนักเรียนวา เม่ือแขวนเครื่องชั่งสปริงในแนวต้ังฉากกับพื้น คาทช่ี ่ังไดจ ะตรงกับตัวเลขท่อี านพอดี แตถ า แขวนเครอื่ งชงั่ สปรงิ ใหเ อยี งขางใด ขา งหน่งึ คาทชี่ ั่งไดจ ะเบากวา ตวั เลขทอ่ี านและไมต รงกับความเปน จรงิ T67

นาํ สอน สรุป ประเมนิ ขน้ั สอน 1.2 มวลและน�้ำหนักของวตั ถุ อธบิ ายความรู ทตี่ า� แหนง่ เดยี วกนั บนโลก จะมแี รงโนม้ ถว่ งของโลกหรอื แรงดงึ ดดู ของโลก ทกี่ ระทา� ตอ่ วตั ถตุ า่ ง ๆ ดงั นน้ั วตั ถตุ า่ ง ๆ จงึ มนี า้� หนกั แตส่ งิ่ ทที่ า� ใหว้ ตั ถมุ นี า�้ หนกั 1. ครูจับสลากเลือกลําดับของแตละกลุมใหออก ไมเ่ ทา่ กนั เปน เพราะวตั ถุเหล่านั้นมีมวลตา่ งกนั มานาํ เสนอผลการทาํ กจิ กรรมท่ี 2 ตอนท่ี 1-2 โดยใหนักเรียนกลุมท่ีถูกเลือกกอนสงตัวแทน ภาพที่ 2.14 แรงโนม้ ถว่ งของโลกท�าให้วัตถุตกลงสู่พนื้ โลกเสมอ ออกมานาํ เสนอผลการทาํ กิจกรรม มวล คือ ปริมาณของเน้ือสารท้ังหมดที่ น้�ำหนัก คือ ปริมาณของแรงโน้มถ่วงของ 2. นักเรียนทุกกลุมรวมกันอภิปรายผลการทํา มีอยู่ในวัตถุนั้น ซ่ึงมีค่าคงท่ีไม่ว่าจะอยู่ โลกท่ีกระท�าต่อมวลของวัตถุต่าง ๆ บนโลก กจิ กรรมจนไดข อสรุปวา มวลของวัตถุมีผลตอ ทใี่ ดบนโลก มวลมหี นว่ ยเปน กรมั (g) หรอื โมดีหยนด่วึงยดเดู ปในหน้วิวัตตถันุตก(ลNง)1มาท่พี ้นื โลก น�้าหนกั แรงดึงดูดของโลก สังเกตไดจากการยืดของ กิโลกรมั (kg) สปรงิ ในเครือ่ งช่ังสปรงิ หากวตั ถใุ ดมมี วลนอ ย แรงโนมถวงของโลกที่กระทําตอวัตถุจะนอย น้ํานห้ํานหักนัก9ข.8องนมวิวตลัน1 มกีคิโลาเกทราัมกับ ทาํ ใหว ตั ถมุ นี า้ํ หนกั นอ ย หากวตั ถใุ ดมมี วลมาก แรงโนม ถว งของโลกทก่ี ระทาํ ตอ วตั ถจุ ะมากขนึ้ จงึ ทาํ ใหว ตั ถมุ นี า้ํ หนกั มาก ดงั นน้ั แรงโนม ถว ง ของโลกที่กระทําตอวัตถุแตละชนิดจึงมีคา แตกตางกัน และสามารถวัดนํ้าหนักของวัตถุ ไดโดยใชเครือ่ งชง่ั สปรงิ ขน้ั สรปุ ขยายความเขา ใจ 1. ครูใหนักเรียนศึกษาเน้ือหาจากหนังสือเรียน หนา 60-62 จากนั้นศกึ ษาขอมลู เพ่ิมเตมิ จาก ส่ือดิจิทัลในหนังสือเรียน หนา 61 โดยใช โทรศัพทมอื ถอื สแกน QR Code เรอ่ื ง ปจ จยั ท่มี ีผลตอน้ําหนักของวตั ถุ จากนน้ั รว มกนั สรุป ความรทู ่ีไดจากการศกึ ษา ¤Ó¶ÒÁ·ÒŒ ·Ò¡ÒäԴ¢¹éÑ ÊÙ§ เ“ชกนารเดทียแี่ วรกงโนั นมเพถรว างขะถอางไโลมกม ดแี งึรดงดูโนใหมส ถงิ่ วตงา งตๆวั เตรกาแลลงสะวพู ัตนื้ ถโลตุ กา งทๆาํ ใกหจ็ต ะวั อเรยาใูแนลสะภวตัาถพตุไารงน ๆํ้าหมนนี ัก2า้ํ ”หนกั นกั เรียนคิดว่า คนเราสามารถอย่ใู นสภาพไรน้ ้า� หนกั ได้หรอื ไม่ เพราะอะไร 60 นักเรียนควรรู กิจกรรม 21st Century Skills 1 นิวตัน (Newton) คือ หนวยการวัดขนาดของแรง โดยตง้ั ชอ่ื เพ่ือเปนการ 1. ใหนักเรียนแบงกลมุ ตามความสมคั รใจ กลุมละ 3-4 คน ใหเ กียรติแกเ ซอร ไอแซก นิวตัน ซ่ึงเปน ผคู น พบทฤษฎแี รงโนม ถว งของโลก 2. ใหช ว ยกนั แสดงความคดิ เหน็ และอภปิ รายเพอื่ รวบรวมเหตกุ ารณ 2 สภาพไรน ํา้ หนัก (weightlessness) คือ สภาพท่เี หมือนไมม ีแรงดงึ ดูดของ โลกกระทาํ ตอ วัตถุ ในสภาวะนวี้ ัตถุท่ีอยใู นอวกาศจะไมมแี รงดงึ ตวั เองใหล งบน ในชวี ติ ประจาํ วันทมี่ ผี ลมาจากแรงโนมถว งของโลก พน้ื ทีร่ องรับ จึงลอยเควง ควา งและเคล่ือนไหวไดลาํ บาก 3. นาํ ขอ มลู ทไี่ ดม าจดั ทาํ ในรปู แบบตา งๆ ทหี่ ลากหลายเพอื่ นาํ เสนอ ผลงาน เชน สรางแผนผังความคดิ แผนภาพ ใบความรู แผน พบั โดยแบงหนาท่ีความรบั ผดิ ชอบของสมาชิกแตละคนใหช ัดเจน 4. นําเสนอผลงานหนาชั้นเรียนดวยวิธีการสื่อสารท่ีหลากหลาย เพอื่ ใหผอู น่ื เขา ใจผลงานไดดีขนึ้ T68

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ 2หนว ยการเรียนรูท่ี ขน้ั สรปุ áçâ¹ÁŒ ¶Ç‹ §¢Í§âÅ¡áÅеÑÇ¡ÅÒ§¢Í§áʧ ขยายความเขา ใจ แรงโนม้ ถว่ งของโลกทา� ใหว้ ตั ถมุ นี า�้ หนกั ซงึ่ นา�้ หนกั ของวตั ถตุ า่ ง ๆ จะมาก 2. ครถู ามคาํ ถามทา ทายการคดิ ขน้ั สงู จากหนงั สอื หรือนอ้ ยข้นึ อย่กู บั ปจ จัย ดังน้ี เรยี นหนา 60 และหนา 62 จากน้ันใหน ักเรยี น รวมกันตอบคําถามอยางอิสระ โดยครูคอย 1. มวลของวัตถุ เฉลยและอธบิ ายเพ่มิ เติม ดังน้ี • “การทแ่ี รงโนม ถว งของโลกดงึ ดดู ใหส งิ่ ตา งๆ • ถา้ วตั ถุใดมมี วลน้อย แรงโน้มถ่วง ตกลงสพู นื้ โลก ทาํ ใหต วั เราและวตั ถตุ า งๆ มี ของโลกที่กระท�าต่อวัตถุน้ันจะมี นา้ํ หนกั เชน เดยี วกนั เพราะถา ไมม แี รงโนม ถว ง ค่าน้อย วตั ถจุ ึงมีนา�้ หนักนอ้ ย 65 kg 40 kg ตัวเราและวัตถุตางๆ ก็จะอยูในสภาพ ไรน า้ํ หนกั ” นักเรียนคิดวา คนเราสามารถ • ถ้าวัตถุใดมีมวลมาก แรงโน้มถ่วง อยใู นสภาพไรน าํ้ หนกั ไดห รอื ไม เพราะอะไร ของโลกที่กระท�าต่อวัตถุนั้นจะมี (แนวตอบ คนเราไมสามารถอยูในสภาพไร ค่ามาก วตั ถจุ ึงมีน้�าหนกั มาก นา้ํ หนกั ได เพราะถา ไมม แี รงโนม ถว งของโลก ภาพที่ 2.15 วตั ถุทม่ี มี วลต่างกนั จะมี คนและส่ิงตางๆ บนโลกจะลอยเควงควาง 2. ระยะหำ่ งจำกจุดศูนยก์ ลำงของโลก น�้าหนกั ต่างกนั ไปมาในอากาศ และจะทาํ ใหเ ราเคลอ่ื นทไี่ ป ในบรเิ วณทีต่ อ งการไดย ากลําบาก) วัตถุชิ้นเดียวกันจะมีน้�าหนักไม่เท่ากัน เม่ือน�าไปช่ังในสถานที่ต่างกัน ï• นํ้าหนักของวัตถุ มีความเกี่ยวของกับแรง เพราะคา่ แรงโนม้ ถว่ งของโลกในตา� แหนง่ ตา่ ง ๆ มคี า่ ไมเ่ ทา่ กนั โดยขน้ึ อยกู่ บั ระยะ โนมถวงของโลกอยางไร ห่างจากจุดศูนยก์ ลางของโลก หากวตั ถุอยูห่ า่ งจากจุดศนู ยก์ ลางของโลกมากขึน้ ï (แนวตอบ นาํ้ หนกั ของวตั ถตุ า งๆ เกดิ ขน้ึ จาก เทา่ ใด แรงโนม้ ถว่ งของโลกทกี่ ระท�าตอ่ วตั ถนุ น้ั จะยิง่ ลดนอ้ ยลง แรงโนม ถว งของโลกกระทาํ ตอ มวลของวตั ถุ จึงทําใหว ัตถมุ นี ้ําหนัก) ภาพท่ี 2.16 เปรยี บเทยี บน�้าหนักของวัตถุเมือ่ อยู่หา่ งจากจุดศนู ย์กลางของโลก (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสังเกตพฤติกรรมการทาํ งานรายบคุ คล) 29.4 ¹ÇÔ µÑ¹ 9.8 ¹ÇÔ µ¹Ñ 49 ¹ÇÔ µ¹Ñ ปจจยั ท่มี ผี ลตอ นํา้ หนักของวัตถุ 61 ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET ส่ือ Digital ขอ มลู แสดงมวลของวตั ถุ 4 ชนดิ เปน ดงั น้ี ครูใหนักเรียนเรียนรูเกี่ยวกับปจจัยท่ีมีผลตอน้ําหนักของวัตถุเพิ่มเติมจาก ชนดิ ของวัตถุ มวล (กิโลกรัม) ส่ือดิจิทัล โดยใหสแกน QR Code เรื่อง ปจจัยท่ีมีผลตอนํ้าหนักของวัตถุ ชนดิ ที่ 1 1 จากหนังสอื เรยี น หนา 61 ซึ่งจะปรากฏคลิปวิดโี อ ดงั ภาพตัวอยาง ชนดิ ท่ี 2 2 ชนิดท่ี 3 3 T69 ชนดิ ที่ 4 4 จากขอ มูล ถา ชง่ั วตั ถทุ ต่ี ําแหนง เดยี วกันบนโลก วตั ถชุ นิดใดจะมี น้ําหนักมากที่สดุ ก. ชนิดที่ 1 ข. ชนิดที่ 2 ค. ชนิดที่ 3 ง. ชนดิ ที่ 4 (วิเคราะหค าํ ตอบ ถา วตั ถมุ ีมวลมาก แรงโนม ถว งทมี่ ากระทาํ ตอ วัตถุนั้นจะมคี ามาก วัตถจุ งึ มนี า้ํ หนกั มาก ดงั นน้ั ขอ ง. จึงเปน คาํ ตอบทถี่ ูกตอง)

นาํ สอน สรุป ประเมิน ขนั้ สรปุ 1.3 กำรวัดนำ้� หนกั ของวตั ถุ ขยายความเขา ใจ เราสามารถวัดน้�าหนักของวัตถุท่ีเกิดจากแรงโน้มถ่วงของโลกได้โดยใช้ เคร่ืองชั่งสปริง ซ่ึงค่าที่อ่านได้จะเท่ากับขนาดของแรงท่ีโลกดึงดูดวัตถุและเปน 3. ครใู หน กั เรยี นแบงกลุม กลมุ ละ 5 คน จากน้นั น�า้ หนกั ของวัตถนุ ั่นเอง นา�้ หนักของวัตถุจะมีหน่วยเปน นิวตัน (N) ครูใหแตละกลุมไปวัดหานํ้าหนักของสมาชิก ในกลมุ โดยใชเ คร่อื งชั่งสปรงิ แลว เปรยี บเทียบ เคร่ืองช่ังสปรงิ สา� หรับวดั น้า� หนักจะอาศยั หลักการยดื ของสปรงิ ซง่ึ เปนผล ผลวา น้ําหนักของใครมากที่สุดและน้ําหนัก มาจากการทโ่ี ลกดึงดดู วตั ถใุ นแนวดง่ิ ท�าให้สปรงิ ยืดออกตามแรงทโี่ ลกกระทา� ตอ่ ของใครนอยที่สุด จากน้ันสงตัวแทนนําเสนอ มวลของวตั ถุน้นั เครื่องชัง่ สปริงแบ่งออกเปน 2 แบบ ไดแ้ ก่ ขอ มลู หนาชน้ั เรยี น (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช ภาพที่ 2.17 ภาพท่ี 2.18 แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทาํ งานกลมุ ) เครือ่ งชง่ั สปรงิ แบบแขวน เคร่ืองชงั่ สปริงแบบตั้ง 4. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก หนงั สอื เรียน หนา 59 ลงในสมุดหรือใหทาํ ใน ดวงจนั ทร์มมี วลน้อยกว่าโลกมาก แรงดงึ ดดู ของดวงจนั ทรจ์ ึงน้อยกว่าโลก แบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 62 6 เท่า ดังน้ัน หากช่ังน้�าหนักของวัตถุช้ินเดียวกันบนพ้ืนโลกและบนดวงจันทร์ นา�้ หนักของวตั ถชุ ิ้นน้ันทีช่ งั่ บนดวงจันทร์จะมนี า�้ หนักน้อยกวา่ ท่ชี ่งั บนโลก 6 เท่า ขน้ั ประเมนิ ภาพท่ี 2.19 เปรียบเทียบการชัง่ น้�าหนักของวัตถุบนโลกและบนดวงจันทร์ ตรวจสอบผล โลก ดวงจันทร์ 1. ครูสุมถามนักเรียนเปนรายบุคคลเก่ียวกับ การวัดนํ้าหนักของวัตถุโดยใชเครื่องช่ังสปริง 58.8 ¹ÇÔ µ¹Ñ 9.8 ¹ÇÔ µ¹Ñ และปจจัยที่มีผลตอนํ้าหนักของวัตถุตางๆ เพื่อเปนการสรปุ ความรหู ลังจากทไี่ ดเรียนมา 62 2. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมท่ี 2 เรื่อง แรงดงึ ดดู ของโลกกบั นํ้าหนักของวัตถุ ในสมุด หรือแบบฝก หดั วิทยาศาสตร หนา 60-61 3. ครตู รวจผลการทาํ กจิ กรรม เรอ่ื ง การวดั นาํ้ หนกั ของสมาชกิ ในกลมุ จากสมดุ 4. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมหนูตอบได ในสมุดหรอื แบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 62 ¤Ó¶ÒÁ·ÒŒ ·Ò¡ÒäԴ¢¹éÑ ÊÙ§ นา�้ หนักของวัตถุ มีความเก่ยี วข้องกับ แรงโน้มถว่ งของโลกอยา่ งไร แนวทางการวัดและประเมินผล ขอ สอบเนน การคดิ ครูสามารถสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนจากการตอบคําถาม การทํางาน วัตถุชิ้นหนึ่งเม่ืออยูบนโลกมีน้ําหนัก 15 นิวตัน เม่ือวัตถุช้ินน้ี รายบุคคล การทาํ งานกลุม และการนําเสนอผลการทํากิจกรรมหนาชั้นเรียนได อยูใ นอวกาศ จะมนี ํ้าหนกั เทา ไร โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลที่แนบทายแผนการจัดการเรียนรูของ หนวยการเรียนรทู ่ี 2 แรงโนม ถวงของโลกและตวั กลางของแสง ดงั ภาพตัวอยา ง ก. มากกวา 15 นิวตัน ข. นอยกวา 15 นวิ ตนั ค. 15 นิวตนั ง. ไมม ีนํา้ หนกั (วเิ คราะหค าํ ตอบ ในอวกาศไมม แี รงโนม ถว ง เมอื่ วตั ถอุ ยใู นอวกาศ จงึ อยใู นสภาพไรน าํ้ หนกั วตั ถชุ น้ิ นนั้ จงึ ลอยเควง ควา งอยใู นอวกาศ ดงั น้นั ขอ ง. จงึ เปน คาํ ตอบท่ถี กู ตอง) T70

นาํ นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ¡Ô¨¡ÃÃÁ·Õè 3 2หนว ยการเรียนรทู ี่ ขนั้ นาํ มวลของวัตถกุ ับ áç⹌Á¶‹Ç§¢Í§âÅ¡áÅеÑÇ¡ÅÒ§¢Í§áʧ กระตนุ ความสนใจ การเปล่ียนแปลงการเคลอ่ื นท่ี ทักษะกระบวนกำร 1. ครูสนทนาทักทายกับนักเรียน จากนั้นครูแจง จดุ ประสงค ทำงวทิ ยำศำสตรท์ ่ใี ช้ ชอ่ื เรอื่ งและผลการเรยี นรทู จ่ี ะเรยี นในชวั่ โมงน้ี 1. การวัด ใหน กั เรยี นทราบ สังเกตและอธบิ ายมวลของวัตถทุ ีม่ ีผลต่อการเปลีย่ นแปลง 2. การสงั เกต 3. การทดลอง 2. ครูถามคําถามนักเรียนเพื่อกระตุนความคิด 4. การลงความเหน็ จากขอ้ มลู โดยใหนักเรียนชวยตอบคําถามไดอยางอิสระ 5. การพยากรณห์ รือการคาดคะเน และครูยังไมเฉลยคาํ ตอบ ดังนี้ 6. การตคี วามหมายขอ้ มูลและการลงขอ้ สรปุ • วัตถุในหองเรียน สิ่งใดบางที่มีขนาดใหญ และสิ่งใดบางที่มขี นาดเล็ก การเคลือ่ นที่ของวัตถุ (แนวตอบ สิ่งท่มี ีขนาดใหญ เชน โตะ เกาอี้ กระเปานักเรียน เปนตน สิ่งท่ีมีขนาดเล็ก ตอ งเตรียมตองใช เชน ยางลบ ดินสอ สมดุ หนังสือ เปนตน ) • นักเรียนคิดวา ส่ิงของที่มีขนาดใหญกับ 1. คานไม้ 1 อัน สิ่งของท่ีมีขนาดเล็ก ส่ิงใดเคล่ือนที่ไดยาก 2. นา้� เปลา่ 500 มลิ ลลิ ิตร กวา กนั เพราะอะไร 3. นาฬกาจับเวลา 1 เรอื น (แนวตอบ ส่ิงของท่ีมีขนาดใหญเคลื่อนท่ีได 4. เชือกยาวขนาดเทา่ กนั 2 เส้น ยากกวา เพราะมมี วลและมนี า้ํ หนกั มากกวา ) 5. เคร่ืองชงั่ สปรงิ แบบตัง้ 1 เครื่อง • นักเรียนคิดวา ระหวางโตะเรียนกับสมุด 6. ขวดน�้าพลาสตกิ ใสขนาดเท่ากัน 2 ขวด สง่ิ ใดเคลือ่ นทไ่ี ดง ายกวา กัน เพราะอะไร (แนวตอบ สมุด เพราะสมุดมีขนาดเล็กกวา ลองทาํ ดู โตะเรียน จึงมีมวลนอยกวา และสามารถ เคลอื่ นทไี่ ดงา ยและสะดวกกวา โตะ เรยี น) 1. แบง่ กลมุ่ กลมุ่ ละ 3 - 4 คน จากนัน้ เตมิ น้�าใส่ขวดพลาสติกใบที่ 1 ให้เต็มขวด และเตมิ นา้� (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช ใสข่ วดพลาสตกิ ใบท่ี 2 คร่งึ ขวด แล้วปด ฝาขวดทัง้ 2 ขวด จากน้นั ใช้เชือกขนาดเทา่ กันมัด แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทํางานรายบุคคล) ท่ปี ากขวดท้งั 2 ใบ ภาพที่ 2.20 63 ขอสอบเนน การคดิ เกร็ดแนะครู มวลของวตั ถมุ ผี ลตอการเคล่อื นทขี่ องวตั ถอุ ยางไร ในการทาํ กิจกรรมที่ 3 เร่อื ง มวลของวัตถุกับการเปลย่ี นแปลงการเคลอ่ื นที่ ก. วตั ถุท่มี วลมากจะเปลย่ี นแปลงการเคลือ่ นทีย่ ากกวา วตั ถุ ในการทํากิจกรรมโดยใชนํ้าเติมใสขวดพลาสติกใส ครูอาจเปล่ียนการเติมนํ้า ทีม่ ีมวลนอ ย เปนการเตมิ ทรายหยาบหรือทรายละเอยี ดแทนได ข. วัตถุทมี่ วลนอยจะเปลยี่ นแปลงการเคลอ่ื นท่ียากกวาวตั ถุ ที่มมี วลมาก ค. วตั ถทุ มี่ วลมากจะเปลย่ี นแปลงการเคลอ่ื นทง่ี า ยเหมอื นวตั ถุ ท่มี มี วลนอย ง. ไมสามารถสรปุ ได (วิเคราะหคําตอบ มวลของวัตถุมีผลตอการเปล่ียนแปลงการ เคลอื่ นที่ของวตั ถุ โดยวัตถุทม่ี วลมากจะเปล่ยี นแปลงการเคลอื่ นที่ ยากกวาวัตถทุ ี่มมี วลนอ ย ดังนนั้ ขอ ก. จงึ เปนคาํ ตอบทีถ่ กู ตอ ง) T71

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สอน 2. ช่วยกันคาดคะเนว่า ถ้าน�าปลายเชือกท่ี ภาพท่ี 2.21 มัดปากขวดทั้ง 2 ใบไปผูกกับคานไม้ สาํ รวจคน หา ท่ีพาดระหว่างโตะ 2 ตัว แล้วผลักขวด ท้ัง 2 ใบ ด้วยแรงท่ีเท่ากัน ขวดใบใด 1. ครนู าํ บตั รภาพชงิ ชา ทมี่ ขี นาดเลก็ กบั ขนาดใหญ จะเคล่ือนที่ง่ายกว่ากัน และจะหยุดขวด ติดไวบนกระดาน จากนั้นใหนักเรียนชวยกัน ใบใดงา่ ยกว่ากัน สังเกตความแตกตางของชิงชาท้ัง 2 ภาพ แลวใหนักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็นวา 3. ทดลองเพ่ือตรวจสอบผลการคาดคะเน ชิงชาที่มีมวลมากกวาจะมีการเปลี่ยนแปลง โดยสังเกตการเคลื่อนท่ีและจับเวลาว่า การเคลื่อนที่ไดงายกวาชิงชาที่มีมวลนอยกวา ขวดแต่ละใบเคลื่อนท่ีเปนเวลาเท่าไรจึง หรอื ไม อยางไร หยดุ เคลอ่ื นท่ี แล้วบนั ทึกผลลงในสมดุ 2. นักเรียนแบง กลมุ กลุมละ 4-5 คน โดยคละ 4. ใชเ้ ครอื่ งชง่ั สปรงิ แบบตง้ั ชงั่ มวลของขวด ตามความสามารถ จากน้ันใหสมาชิกในกลุม ทั้ง 2 ใบ จากนัน้ อา่ นค่าและบนั ทกึ ผล ชวยกันศึกษาวิธีการทํากิจกรรมที่ 3 เร่ือง มวลของวัตถกุ บั การเปลี่ยนแปลงการเคลอ่ื นที่ 5. แต่ละกลุ่มช่วยกันเปรียบเทียบมวลและ จากหนงั สอื เรยี น หนา 63-64 แลว ใหแ ตล ะกลมุ เวลาในการเคลอื่ นที่ของขวดทั้ง 2 ใบ ชวยกันทํากิจกรรมตามข้ันตอนใหครบถวน แลวบันทึกผลลงในสมุดหรือในแบบฝกหัด 6. ชว่ ยกนั สรปุ ผลการทดลอง พรอ้ มนา� เสนอ วทิ ยาศาสตร หนา 64 หน้าช้นั เรยี น (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมนิ นักเรยี น โดยใช แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทํางานกลมุ ) ภาพที่ 2.22 อธบิ ายความรู หนูตอบได 1. นักเรียนแตละกลุมชวยกันเปรียบเทียบมวล 1. มวลของวตั ถแุ ละการเคลอื่ นทข่ี องวัตถมุ คี วามสมั พนั ธก์ ันหรอื ไม่ อย่างไร และเวลาในการเคล่ือนที่ของขวดท้ังสองใบ 2. วตั ถทุ ม่ี มี วลนอ้ ยกบั วตั ถทุ มี่ มี วลมาก จะเปลย่ี นแปลงการเคลอื่ นทไ่ี ดเ้ หมอื นกนั หรอื ตา่ งกนั จากนั้นรวบรวมขอมูลและสรุปผลการทดลอง แลวสงตัวแทนมานําเสนอผลการทาํ กจิ กรรม อยา่ งไร 3. มวลและนา้� หนกั มีความสัมพนั ธก์ นั อยา่ งไร 2. นักเรียนรวมกันอภิปรายผลการทํากิจกรรม 4. “รถชนิดต่าง ๆ ท่ีแล่นอยู่บนถนนมีหลายขนาดด้วยกัน ซึ่งรถท่ีมีขนาดใหญ่จะมีมวลมาก จนไดขอสรุปวา ขวดท่ีมีนํ้าเต็มขวดมีมวล มากกวาขวดทม่ี นี ํ้าอยูครง่ึ ขวด จงึ ทาํ ใหมกี าร จงึ เคลอื่ นทีไ่ ด้ยากกว่ารถท่มี ขี นาดเลก็ ” นกั เรยี นเห็นดว้ ยหรือไม่ เพราะอะไร เปล่ียนแปลงการเคล่ือนท่ีไดยากกวา และ เมื่อขวดน้ําน้ันเคลื่อนท่ีไปแลวจะทําใหหยุด 64 (หมายเหตุ : คาํ ถามขอสดุ ทายของหนูตอบได เปน คําถามที่ออกแบบใหผูเรียนฝกใชทกั ษะการคดิ ข้นั สูง การเคล่ือนที่ไดยากกวาขวดท่ีมีน้ําอยูคร่ึงขวด คพือจิ ากราณราคจดิ าแกบเหบตใหผุ เ ลหสตนุผบั ลสแนลนุ ะ)การคิดแบบโตแยง ซง่ึ ผูเรียนอาจเลือกตอบอยางใดอยางหนง่ึ กไ็ ด ใหครู แสดงวา มวลของวตั ถมุ ผี ลตอ การเปลยี่ นแปลง การเคลอ่ื นทข่ี องวตั ถุ โดยวตั ถุทีม่ ีมวลมากจะ เปล่ียนแปลงการเคลื่อนท่ีไดยากกวาวัตถุที่มี มวลนอ ย จงึ เกดิ การตา นการเคลอื่ นทขี่ องวตั ถุ เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคดิ ในการทาํ กจิ กรรมท่ี 3 น้ี ตอ งมกี ารใชวสั ดุและอุปกรณในการทาํ กจิ กรรม นนททดลองเคลือ่ นยายกอนหิน 1 กอ น มีมวล 5 กโิ ลกรัม กับ หลายอยา ง และนกั เรยี นแตล ะกลมุ อาจใชเ วลาในการทาํ กจิ กรรมมากพอสมควร เคลอ่ื นยา ยกลองลงั ท่ีใสหนังสือ มมี วล 15 กโิ ลกรัม นักเรียนคิดวา จึงอาจทําใหเกินเวลาสอนของครูได ดังนั้น ครูอาจจัดกิจกรรมโดยใชเทคนิค ผลการทดลองของนนทจ ะเปน อยางไร การสอนแบบสาธติ โดยครเู ลือกนกั เรยี น 1-2 กลมุ เพือ่ เปน ตวั แทนสาธิตการทาํ กิจกรรมนี้ จากน้ันใหนักเรียนกลุมที่เหลือคอยสังเกตการทํากิจกรรมหรือ (วิเคราะหคําตอบ นนทจะยกหรือเคล่ือนยายกลองลังหนังสือ อาจมีสวนรวมไดบางตามความเหมาะสม แลวใหบันทึกผลและนํามาสรุปผล ไดย ากกกวา การเคลื่อนยายกอนหิน เพราะกลอ งลังหนังสือมีมวล ภายในกลุม ของตนเอง มากกวากอนหิน จึงทําใหเกิดเปนการตานการเคลื่อนที่ของวัตถุ มีผลทําใหกลองลังหนังสือเปล่ียนแปลงการคลื่อนที่ไดยากกวา แนวตอบ หนตู อบได กอนหนิ ) ขอ 4. • เหน็ ดว ย เพราะรถขนาดใหญจ ะมมี วลมากกวา รถขนาดเลก็ จงึ มผี ลทาํ ให เปลี่ยนแปลงการเคล่อื นที่หรอื เคลือ่ นยายไดย ากกวารถทมี่ ขี นาดเล็ก • ไมเห็นดวย เพราะรถขนาดใหญสามารถเปล่ียนแปลงการเคล่ือนท่ีหรือ เคลื่อนยา ยไดรวดเร็วเหมือนรถขนาดเลก็ หากรถว่ิงดว ยความเร็วสูงมาก T72

นาํ สอน สรุป ประเมนิ 2หนว ยการเรยี นรทู ่ี ขนั้ สรปุ áç⹌Á¶‹Ç§¢Í§âÅ¡áÅеÑÇ¡ÅÒ§¢Í§áʧ ขยายความเขา ใจ ม1.ว4ลขมอวงลวแัตลถะุมกีผาลรตเปอกลาี่ยรนเปแลปี่ยลนงแกปารลเงคกลาอื่รเนคทลีข่ื่อนองท1วี่ขัตอถงุวัตถุ โดยวัตถุท่ีมี 1. นักเรียนศึกษาขอมูลจากหนังสือเรียนหนานี้ จากนั้นครูใหแตละกลุมทํากิจกรรมเพื่อขยาย มวลมากจะเคลื่อนท่ีไดยากกวาวัตถุที่มีมวลนอย เนื่องจากเกิดการตาน ความเขา ใจเกย่ี วกบั ความสมั พนั ธร ะหวา งมวล การเปลยี่ นแปลงการเคลอื่ นทีข่ องวตั ถุนนั้ ของวัตถุกับการเปลี่ยนแปลงการเคล่ือนที่ โดยใหท าํ กจิ กรรม ดังน้ี วัตถุท่ีมีมวลมาก หรือมีเน้ือสารมาก • ทดลองเคลื่อนยายเพ่ือนในกลุมที่มีมวล จะเปล่ียนแปลงการเคลื่อนที่หรือเคล่ือนยาย มากทีส่ ดุ (อวน) กบั เพ่อื นที่มีมวลนอยที่สดุ ไดย าก (ผอม) •ï ทดลองเคลื่อนยายโตะเรียนกับเคล่ือนยาย วัตถุที่มีมวลนอย หรือมีเน้อื สารนอย เกาอี้ จะเปลยี่ นแปลงการเคลอื่ นทห่ี รอื เคลอ่ื นยา ย • ทดลองเคลื่อนยายโตะเรียนกับเคล่ือนยาย ไดง า ย กระเปานักเรียน • ทดลองเคลอื่ นยายกระเปานักเรยี นกบั สมุด ภาพที่ 2.23 การเปลยี่ นแปลงการเคลอ่ื นทข่ี องวตั ถุ กิจกรรม สรปุ ความรปู ระจาํ บทท่ี 1 2. หลังจากทํากิจกรรม ครูใหแตละกลุมรวมกัน ตรวจสอบตนเอง อภปิ รายวา วตั ถทุ มี่ มี วลมากกบั วตั ถทุ ม่ี วลนอ ย สง่ิ ใดเคลอื่ นทหี่ รอื เคลอ่ื นยา ยไดง า ยและสะดวก หลงั เรยี นจบหนว ยน้แี ลว ใหนักเรียนบอกสญั ลักษณท ี่ตรงกับระดบั ความสามารถของตนเอง ทสี่ ดุ เพราะอะไร จากนนั้ ใหแ ตล ะกลมุ สง ตวั แทน นําเสนอผลการอภิปรายหนาช้ันเรียนเพื่อสรุป รายการ เกณฑ รว มกันกับเพ่ือนกลุมอืน่ ๆ ดี พอใช ควรปรับปรงุ 3. ครอู ธิบายเพ่มิ เตมิ ใหนกั เรยี นเขาใจวา • วัตถทุ ี่มมี วลมาก จะมนี า้ํ หนักมาก จึงมกี าร 1. เขา ใจเนอ้ื หาเกยี่ วกับเร่ืองแรงโนม ถวงของโลก เปล่ียนแปลงการเคลื่อนที่ไดยากกวาวัตถุ ทม่ี ีมวลนอย 2. สามารถทํากจิ กรรมและอธบิ ายผลการทาํ กิจกรรมได • วตั ถทุ ี่มีมวลนอย จะมนี าํ้ หนกั นอย จึงมีการ เปล่ียนแปลงการเคล่ือนท่ีไดงายกวาวัตถุ 3. สามารถตอบคําถามจากกจิ กรรมหนูตอบไดได ทม่ี มี วลมาก 4. ทํางานกลมุ รว มกบั เพื่อนไดดี 4. ครูสนทนากับนักเรียนทุกคน เพ่ือทบทวน ความรูความเขาใจเกี่ยวกับเน้ือหาท่ีไดเรียน 5. นําความรไู ปใชประโยชนใ นชวี ติ ประจําวันได ผา นมาจากหนว ยการเรยี นรูท่ี 2 บทท่ี 1 เร่อื ง แรงโนมถวงของโลก โดยสุมเรียกชื่อนักเรียน 65 ใหออกมาเลาวา ตนเองไดรับความรูอะไรบา ง (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบคุ คล) ขอ สอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู ขอใดถกู ตองเก่ยี วกบั การเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนทข่ี องวตั ถุ เมอื่ เรยี นจบบทนแี้ ลว ครใู หน กั เรยี นตง้ั คาํ ถามทอี่ ยากรเู พมิ่ เตมิ เกยี่ วกบั เรอื่ ง ก. เกาอ้ีไมเ คลอ่ื นยายไดง ายกวาหนังสือ แรงโนมถว งของโลก คนละ 1 คาํ ถาม จากน้ันครูสุมเรยี กใหนักเรยี นบอกคําถาม ข. ตูพลาสตกิ เคลอ่ื นยา ยไดยากกวา ตเู หล็ก ของตนเอง แลว ใหเพื่อนคนอนื่ ๆ ในชนั้ เรียนชว ยกันแสดงความคิดเหน็ วา จะใช ค. สม 1 ลัง เคล่ือนยา ยไดงา ยกวาสม 10 ลงั วิธีการทางวิทยาศาสตรตอบคําถามน้ีไดอยางไร โดยครูทําหนาที่เปนผูช้ีแนะ ง. กอนหินกอ นเลก็ เคลือ่ นยายไดย ากกวา กอ นหินกอ นใหญ และสังเกตการทํากิจกรรมของนกั เรียนอยา งใกลชิด (วิเคราะหคําตอบ มวลของวัตถุมีผลตอการเปลี่ยนแปลงการ นักเรียนควรรู เคลื่อนท่ีของวตั ถุ โดยวัตถทุ ม่ี วลมากจะเปลยี่ นแปลงการเคลอ่ื นที่ ยากกวา วตั ถทุ ีม่ ีมวลนอ ย ซงึ่ สม 10 ลงั มีมวลมากกวาสม 1 ลงั 1 การเคล่อื นที่ (movement) คือ การทว่ี ัตถุหรอื สิ่งตา งๆ ยายตาํ แหนงจาก จึงทําใหเปลี่ยนแปลงการเคล่ือนท่ีไดงายกวา ดังน้ัน ขอ ค. จึง ท่เี ดมิ ไปอยใู นตาํ แหนงใหม เปนคาํ ตอบท่ถี กู ตอ ง) T73

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สรปุ ฝกิจกกทรรกั มษะ º··Õè 1 ขยายความเขา ใจ 1. ตอบคำ� ถำมตอ่ ไปนี้ 1) เพราะเหตใุ ดเม่ือเราเดินขึน้ บนั ไดจงึ ร้สู ึกเหนือ่ ยง่ายกว่าการเดนิ ลงบันได 5. นักเรียนเขียนสรุปความรูเก่ียวกับเร่ืองท่ีได 2) ลูกกอล์ฟและลกู ปง ปองทีม่ ีขนาดเท่ากนั เม่อื นา� ไปชัง่ น�้าหนกั พบวา่ ลกู กอล์ฟ เรียนมาจากบทท่ี 1 ในรูปแบบตางๆ เชน มนี ้�าหนักมากกวา่ ลกู ปง ปอง นักเรยี นคิดวา่ เปน เพราะเหตุใด แผนผังความคิด แผนภาพ เปนตน ลงในสมดุ 3) นกั เรียนคดิ วา่ หากโลกไม่มีแรงโนม้ ถว่ ง จะส่งผลกระทบตอ่ สิง่ ตา่ ง ๆ บนโลก หรอื อาจทาํ กิจกรรมสรปุ ความรูประจาํ บทที่ 1 หรอื ไม่ เพราะอะไร ในแบบฝก หัดวิทยาศาสตร หนา 66 4) มวลของวัตถุจะมีผลตอ่ การเปลยี่ นแปลงการเคลือ่ นทข่ี องวตั ถอุ ยา่ งไร 5) นกั เรยี นคดิ วา่ ระหวา่ งรถบรรทกุ หินกับรถตู้ รถคันใดสามารถเคล่อื นทไ่ี ดง้ า่ ย 6. นักเรียนทํากิจกรรมฝกทักษะบทท่ี 1 จาก กว่ากัน เพราะอะไร หนงั สอื เรียน หนา 66-67 ขอ 1-4 ลงในสมดุ หรอื ทาํ ในแบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 67-69 2. ขดี ✓ หน้ำขอ้ ท่ีเปนผลมำจำกแรงโนม้ ถว่ งของโลกโดยตรง ………..… 1) วตั ถทุ กุ ชนิดทีอ่ ย่บู นโลกมีนา�้ หนัก 7. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมทาทายการคิด ………..… 2) พืน้ ท่ีเปยกน้�าทา� ใหเ้ กดิ การลื่นไถล ข้ันสงู จากแบบฝก หัดวทิ ยาศาสตร หนา 70 ………..… 3) ลูกฟุตบอลกลง้ิ ไดไ้ กลบนพ้นื ท่เี รยี บ ………..… 4) ผลไม้ท่สี กุ งอมรว่ งจากต้นลงสพู่ ื้นดิน 8. นักเรียนแบงกลุม จากนั้นรวมกันทํากิจกรรม ………..… 5) จกั รยานเคล่ือนที่ได้ เพราะออกแรงปน สรางสรรคผลงานจากหนังสือเรียน หนา 67 พรอ มนําเสนอหนา ช้ันเรยี น 3. สงั เกตภำพและให้เหตุผลวำ่ เกี่ยวขอ้ งกบั แรงโนม้ ถ่วงของโลกอย่ำงไร 1) 2) แนวตอบ กจิ กรรมฝกทักษะ ขอ 1. สมุดับปนรทึะกจ�ผาลัตวลงใน 1) เพราะเปน การเดนิ สวนทางกบั แรงโนม ถว ง ของโลก ทาํ ใหเราตองออกแรงมากข้ึน 2) เพราะลกู กอลฟ มมี วลมากกวา ลกู ปง ปอง เมอื่ นาํ ไปช่งั ลกู กอลฟจึงมีนา้ํ หนกั มากกวา ลกู ปง ปอง 3) สง ผลกระทบ เพราะจะทําใหส ิง่ ตางๆ บน โลกไรน้ําหนักและลอยไปมาในอากาศ จึงมีผลตอ การดําเนินชีวติ ของส่งิ มีชวี ติ ตา งๆ บนโลก 4) มวลของวัตถุมีผลตอการเปลี่ยนแปลงการ เคลอ่ื นทข่ี องวตั ถุ โดยวตั ถทุ มี่ วลมากจะเปลยี่ นแปลง การเคลอื่ นทไ่ี ดย ากกวาวตั ถุทม่ี ีมวลนอย 5) รถตู เพราะเปน รถทมี่ ีขนาดเล็กและมมี วล นอ ยกวา รถบรรทกุ หนิ จงึ ทาํ ใหเ กดิ การเปลยี่ นแปลง การเคล่ือนทไี่ ดงา ยกวา ขอ 2. 1) ✓ 4) ✓ ขอ 3. 1) แรงโนมถวงของโลกดึงดูดใหนํ้าไหลจากท่ี ภาพที่ 2.24 เทนา้� ใส่แกว้ ภาพที่ 2.25 คนกระโดดรม่ 66 สูงลงสูท ่ตี าํ่ 2) แรงโนม ถว งของโลกดงึ ดดู ใหน กั กระโดดรม ตกลงสพู นื้ ดิน เกร็ดแนะครู ขอ สอบเนน การคิด ในการทาํ กจิ กรรมสรา งสรรคผ ลงาน ครอู าจใชร ปู แบบการเรยี นรแู บบรว มมอื นา้ํ หนักของนักเรียนเกิดไดจากขอใด เทคนิค L.T. มาจัดกิจกรรมการเรียนรู เพ่ือกําหนดใหสมาชิกของนักเรียน ก. เครือ่ งช่งั นํา้ หนักมีแรงดึงดูดรา งกายของนักเรยี น แตละกลุมมหี นา ท่ขี องตนเอง และทํางานรวมกัน ข. นกั เรียนชง่ั นํ้าหนักดวยเครอ่ื งชัง่ จึงเกดิ นํ้าหนกั ขึ้น ค. แรงโนมถวงของโลกกระทาํ ตอรา งกายของนกั เรยี น รปู แบบการเรยี นรแู บบรวมมอื เทคนคิ L.T. หรอื Learning Together คอื ง. ปรมิ าตรรางกายของนักเรยี นกระทาํ ตอเครือ่ งชั่งนาํ้ หนกั กระบวนการสอนหนึ่งของรูปแบบการเรียนรูแบบรวมมือ โดยมีขั้นตอนการจัด กจิ กรรมการเรียนรู ดงั น้ี (วิเคราะหคําตอบ เน่ืองจากมีแรงโนมถวงของโลกมากระทําตอ มวลของวตั ถุ (รา งกายของนกั เรยี น) จงึ ทาํ ใหว ตั ถมุ นี า้ํ หนกั เกดิ ขน้ึ 1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละเทาๆ กัน จากน้ันครูและนักเรียนทบทวน ดังนัน้ ขอ ค. จึงเปน คาํ ตอบทถ่ี กู ตอ ง) เนื้อหาเดิมหรือความรูพนื้ ฐานทเี่ กยี่ วของ 2. ครแู จกแบบฝก หดั ใบงาน หรือโจทย ใหนกั เรยี นทกุ กลุม กลมุ ละ 1 ชุด เหมอื นกัน จากน้นั ใหนกั เรียนแบง หนา ที่ในการทาํ งาน 3. นักเรยี นทาํ กิจกรรม แลว นําเสนอผลงาน จากน้นั ใหครูประเมินผลงาน ของกลุม โดยเนนกระบวนการทํางานกลุม T74

นาํ สอน สรปุ ประเมิน 2หนว ยการเรียนรทู ี่ ขนั้ ประเมนิ áçâ¹ÁŒ ¶‹Ç§¢Í§âÅ¡áÅеÇÑ ¡ÅÒ§¢Í§áʧ ตรวจสอบผล 4. อ่ำนข้อมูลท่ีกำ� หนด แลว้ ตอบค�ำถำม 1. ครูใหนักเรียนดูตารางตรวจสอบตนเองจาก หนังสือเรียน หนา 65 จากน้ันถามนักเรียน นกั บนิ อวกาศบนดวงจนั ทร รายบคุ คลตามรายการขอ 1-5 เพ่ือตรวจสอบ มวลของดวงจันทรนอยกวามวลของ ความรคู วามเขาใจของนกั เรยี นหลังเรยี น โลกมาก แรงโนมถวงบนดวงจันทร จึงนอยกวาบนโลกถึง 6 เทา ดังน้ัน 2. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมที่ 3 เร่ือง นักบินอวกาศจะมีน้ําหนักบนดวงจันทร มวลของวัตถกุ บั การเปลยี่ นแปลงการเคลื่อนท่ี ลดลง 6 เทา ทาํ ใหเคล่ือนไหวรางกาย ในสมดุ หรอื ในแบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 64 และเคลื่อนที่ไดสะดวก ในทางกลับกัน บ น ด า ว พ ฤ หั ส บ ดี ซ่ึ ง เ ป  น ด า ว เ ค ร า ะ ห  3. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมหนูตอบไดใน ที่ ใหญที่สุดในระบบสุริยะ มีแรงดึงดูด สมดุ หรือแบบฝก หดั วิทยาศาสตร หนา 65 มากกวาโลกถึง 2.5 เทา หากนักบิน อวกาศยนื อยบู นดาวพฤหสั บดีนาํ้ หนกั จะ 4. ครูตรวจผลการสรุปความรูเรื่อง แรงโนมถวง เพ่ิมมากขน้ึ จึงทาํ ใหแ มแตการเดนิ ก็ทาํ ของโลก จากในสมุดหรือจากในแบบฝกหัด ไดยากลาํ บาก ภาพที่ 2.26 วทิ ยาศาสตร หนา 66 ดัดแปลงจาก : หนังสือจุดประกายความคิด ชดุ รูว ิทย คิดเปน 5. ครตู รวจผลการทาํ กจิ กรรมฝก ฝนทกั ษะในสมดุ หรือในแบบฝกหดั วทิ ยาศาสตร หนา 67-69 1) เมอ่ื ดวงจนั ทร์มแี รงดึงดูดน้อยกว่าโลกถึง 6 เท่า นกั เรยี นคดิ วา่ จะส่งผลดตี ่อ ภารกิจสา� รวจดวงจันทรอ์ ยา่ งไรบ้าง 6. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมทาทายการคิด ขั้นสูงในแบบฝกหดั วทิ ยาศาสตร หนา 70 2) หากนนท์ช่งั น้า� หนักของตนเองบนโลกได้ 60 นิวตนั เม่อื ไปอยบู่ นดวงจนั ทร์ นนทจ์ ะมีน�า้ หนกั เท่าไร 7. ครูตรวจชิ้นงาน/ผลงานกลองกันกระแทก และการนําเสนอช้ินงาน/ผลงานจากการ 3) หากนนทไ์ ปชงั่ นา�้ หนกั บนดาวพฤหสั บดี นนทจ์ ะมนี า้� หนกั เทา่ ไร จงแสดงวธิ คี ดิ ทาํ กิจกรรมสรา งสรรคผลงาน กจิ กรรม ทา ทายการคดิ ขน้ั สงู แนวตอบ กจิ กรรมฝก ทักษะ ÊกิจÃกŒÒร§รÊมÃ伏 ŧҹ ขอ 4. 1) ทําใหนักบินอวกาศสามารถเคลื่อนท่ีได แบงกลุม แลวชวยกันออกแบบและสรางกลองกันกระแทก เพอื่ ปอ งกนั ความเสยี หายของสงิ่ ตา ง ๆ หากตกหรือหลน จากทีส่ งู สะดวกมากข้ึน รวมทั้งยังสามารถห้ิวหรือเคล่ือน โดยกําหนดให ใชวัสดเุ หลือใช 2 - 3 ชนดิ จากน้ันนาํ เสนอแนวคิด ยายอุปกรณตา งๆ ไดงา ยข้นึ และทดสอบผลงาน แลวปรับปรุง เพื่อนําไปจัดแสดง ในวนั วิชาการของโรงเรียน 2) เม่ืออยูบนดวงจันทร นนทจะมีนํ้าหนัก เทา กบั 10 นิวตัน 67 3) นนทอ ยูบนโลก มนี าํ้ หนัก 60 นวิ ตัน ซงึ่ บน ดาวพฤหัสบดีมีแรงโนมถวงมากกวาโลก 2.5 เทา ดังน้ัน น้ําหนักของนนทบนดาวพฤหัสบดี คือ 60 × 2.5 เทา กบั 150 นวิ ตัน ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET แนวทางการวัดและประเมินผล หากช่งั น้ําหนักของวัตถชุ น้ิ หนึ่งบนดวงจันทรไ ด A นิวตัน และเมอื่ ครูสามารถวัดและประเมินผลชิ้นงาน/ผลงานกลองกันกระแทกที่นักเรียน นาํ วัตถชุ ้ินเดียวกนั นไ้ี ปชง่ั บนโลก ผลจะตรงกับขอ ใด สรางขึ้น โดยศึกษาเกณฑประเมินผลงานจากแบบประเมินผลงาน/ช้ินงานที่ แนบมาทายแผนการจัดการเรยี นรูข องหนวยการเรยี นรทู ่ี 2 แรงโนมถว งของโลก ก. วตั ถมุ นี า้ํ หนัก A นวิ ตัน และตวั กลางของแรง ดังภาพตวั อยาง ข. วัตถมุ ีนาํ้ หนกั มากกวา A นิวตนั ค. วตั ถุมนี ํ้าหนักนอ ยกวา A นวิ ตัน ง. มีคา ของนํ้าหนักไมแ นนอน (วิเคราะหคําตอบ แรงดึงดูดของดวงจันทรนอยกวาโลก 6 เทา ดงั นน้ั หากชงั่ นา้ํ หนกั วตั ถชุ นิ้ เดยี วกนั นาํ้ หนกั ของวตั ถทุ ช่ี ง่ั บนโลก จะมนี า้ํ หนกั มากกวา ทชี่ งั่ บนดวงจนั ทร 6 เทา ดงั นนั้ ขอ ข. จงึ เปน คาํ ตอบทถี่ กู ตอ ง) T75

นาํ นํา สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั นาํ 2º··èÕ µÑÇ¡ÅÒ§¢Í§áʧ Key words กระตนุ ความสนใจ • transparent object • translucent object 1. ครูแจง ชือ่ เรื่องที่จะเรยี นรแู ละผลการเรยี นรูให • opaque object นกั เรียนทราบ • shadow 2. นักเรียนสังเกตภาพในหนังสือเรียนหนานี้ วตั ถุทึบแสง จากน้ันใหนักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็น รวมกันวา ภาพน้ีเก่ียวของกับการมองเห็น (opaque object) แสงผานวัตถุอยางไร โดยครูคอยเสริมขอมูล ในสว นทบ่ี กพรอ ง ?àÃÒ㪌»ÃÐ⪹¨Ò¡ 3. นักเรียนเรียนรูคําศัพทที่เก่ียวกับการเรียน µÑÇ¡ÅÒ§¢Í§áʧ บทที่ 2 เรือ่ ง ตัวกลางของแสงจากภาพหนา นี้ Í‹ҧäúŒÒ§ โดยครูสุมเลือกตัวแทนหรือขออาสาสมัคร นักเรียน 1 คน ออกมาหนาช้ันเรียนเพ่ือเปน วัตถุโปรง่ ใส ผูอา นนํา และใหนักเรียนคนอื่นๆ อานตาม (transparent object) 4. ครูถามคําถามสําคัญประจําบทเพื่อกระตุน นักเรียนกอนเขาสูเนื้อหาวา เราใชประโยชน วัตถุโปรง่ แสง จากตัวกลางของแสงอยางไรบาง แลวให นักเรียนแสดงความคิดเห็นไดอยางอิสระ (translucent object) (แนวตอบ เชน ใชทํากระจกหนาตางเพื่อให มองเห็นสง่ิ ตางๆ นอกบา นไดช ัดเจน หรอื ทาํ กาํ แพงบานเพือ่ ปองกันแสงเขามา เปน ตน ) 5. นักเรียนเขียนการใชประโยชนจากตัวกลาง ของแสงในบานของตนเองมา 5 ขอ โดยทํา ลงในสมุดหรือใหทํากิจกรรมนําสูการเรียน ในแบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร ป.4 เลม 1 หนา 72 เงา กิจกรรม นาํ สกู ารเรียน 68 (shadow) นักเรียนควรรู ครูใหนกั เรยี นฝก เรียนรูและอานคาํ ศพั ทว ทิ ยาศาสตร ดงั น้ี Light (ไลท) แสง Shadow (‘แช็ดโดว) เงา Opaque object (โอ’เพค ‘อ็อบเจ็คท) วตั ถทุ ึบแสง Translucent object (แทร็นส’ลูซึนท ‘อ็อบเจค็ ท) วตั ถุโปรง แสง Transparent object (แทรน็ ซ’แพรึนท ‘อ็อบเจค็ ท) วตั ถุโปรง ใส T76

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ 2หนว ยการเรียนรทู ี่ ขนั้ สอน áçâ¹ÁŒ ¶‹Ç§¢Í§âÅ¡áÅеÑÇ¡ÅÒ§¢Í§áʧ สาํ รวจคน หา 1. µÑÇ¡ÅÒ§¢Í§áʧ 1. ครนู าํ ตวั อยา งผา เชด็ หนา มา 1 ผนื จากนน้ั กาง ผาเช็ดหนาใหนักเรียนดูและบอกนักเรียนให แสง1เปนพลังงานรูปหนึ่งท่ีเราสามารถรับรู้ได้ทางตา เม่ือแสงเดินทางมา คาดเดาวา หากครูใชไฟฉายสองผาเช็ดหนา ทบ่ี รเิ วณใดบรเิ วณหนง่ึ จะทา� ใหเ้ กดิ ความสวา่ งและชว่ ยทา� ใหเ้ รามองเหน็ สงิ่ ตา่ ง ๆ ผืนนี้ แสงจะสามารถเคล่ือนที่ทะลุผานผา ไดช้ ัดเจน ไดหรือไม เพราะอะไร แลวใหรวมกันแสดง ความคิดเห็นอยางอสิ ระ เมื่อแสงเดินทางเปนแนวเส้นตรงออกจากแหล่งก�าเนิดแสงแล้ว แสงน้ัน (แนวตอบ คําตอบข้นึ อยูกบั ชนดิ และความหนา จะเคลื่อนที่ผ่านอากาศหรือส่ิงต่าง ๆ ก่อนเข้าสู่ดวงตาของเรา จึงท�าให้มีผลต่อ ของผา เชด็ หนาทค่ี รนู ํามาใช) การมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ของเรา ส่ิงที่ก้ันแสงแล้วแสงสามารถผ่านได้ เรียกว่า ตวั กลำงของแสง สว่ นสิง่ ท่ีแสงไม่สามารถผ่านได้ เรยี กว่า วัตถทุ บึ แสง 2. ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาขอ มลู และสงั เกตภาพจาก หนังสอื เรียนหนา น้ี จากน้นั ครูสุมถามนกั เรยี น กลอ่ งของขวญั ถุงกระดาษ 4-5 คน วา วตั ถใุ นภาพใดบา งเปน ตวั กลางของ แสงและวตั ถุใดเปน วัตถุทบึ แสง แก้วใส กระจกฝา 3. ครูถามคําถามนักเรียนวา ตัวกลางของแสง กระจกใส ภาพท่ี 2.27 ตวั อยา่ งวตั ถทุ เ่ี ปน ตวั กลางของแสง แตกตางจากวัตถุทึบแสงอยางไร จากนั้นครู และวัตถุทบึ แสง จับสลากเลือกนักเรียนใหออกมาตอบคําถาม 2-3 คน µÑÇ¡ÅÒ§¢Í§áʧᵡµ‹Ò§¨Ò¡ (แนวตอบ ตวั กลางของแสง คอื วตั ถทุ ก่ี นั้ ทางเดนิ Çѵ¶·Ø ºÖ áʧÍ‹ҧäà ของแสง แลวแสงสามารถเดินทางผานไปได สวนวัตถุทึบแสง คือ วัตถุที่เมื่อนํามาก้ันแสง แลว มองไมเ หน็ แสง หรอื ไมส ามารถมองเหน็ สงิ่ ที่อยดู า นหลงั วตั ถุท่นี ํามากน้ั แสงนน้ั ) 4. ครใู หค าํ ชมเชยหรอื รางวลั เพอื่ เปน การเสรมิ แรง กบั นักเรยี นที่ตอบคาํ ถามไดถูกตอ ง (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสงั เกตพฤติกรรมการทาํ งานรายบคุ คล) 69 เกร็ดแนะครู ในขัน้ สํารวจคนหา ขอ ท่ี 1. ครูอาจแสดงตัวอยา งตวั กลางของแสงและวตั ถุ ทบึ แสงใหน กั เรยี นเหน็ เพมิ่ เตมิ โดยใชแ หลง กาํ เนดิ แสงชนดิ เดยี วกนั ตวั อยา งเชน แสงจากดวงอาทิตยที่สองผานหนาตางกระจกในเวลาที่มีและไมมีผามานกั้น ซ่ึงสามารถชวยอธิบายความแตกตางของตัวกลางของแสงและวัตถุทึบแสง ไดช ัดเจน นักเรียนควรรู 1 แสง (light) เปนพลังงานรูปแบบหนง่ึ ท่ีมีความสาํ คัญตอการดาํ รงชีวติ ของ ส่ิงมีชีวิตทุกชนิดบนโลก แสงของดวงอาทิตยเคล่ือนท่ีไดเร็วมาก โดยเดินทาง ผานชั้นบรรยากาศมายังผิวโลกดวยความเร็ว 300,000 กิโลเมตรตอวินาที แหลง กําเนดิ แสงทใี่ หญท ี่สดุ ของโลก คอื ดวงอาทิตย T77

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สอน ¡¨Ô ¡ÃÃÁ·Õè 1 ทกั ษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตรทใี่ ช สาํ รวจคน หา ตวั กลางของแสง 1. การสังเกต 2. การทดลอง 5. ครใู หน กั เรยี นเลน เกมหอยแบง ฝาเพอ่ื แบง กลมุ จุดประสงค 3. การตง้ั สมมตฐิ าน นกั เรียนออกเปน กลมุ ละ 4 คน โดยครอู ธิบาย 4. การจําแนกประเภท วิธีการเลนใหนักเรียนฟง จากน้ันใหนักเรียน 1. สังเกตและอธิบายการมองเห็นแสงผา นวตั ถตุ า ง ๆ 5. การจัดกระทาํ และส่อื ความหมายขอ มลู เลน เกม 2-3 คร้ังจนไดก ลมุ ครบทกุ คน 2. จําแนกวัตถทุ ่นี าํ มาใชกน้ั แสง โดยใชการมองเห็นส่ิงตาง ๆ 6. การตคี วามหมายขอมลู และการลงขอสรปุ 6. ครชู แ้ี จงวา ใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ ศกึ ษาขน้ั ตอน ผา นวัตถนุ น้ั เปนเกณฑ และวิธีการทํากิจกรรมที่ 1 เร่อื ง ตวั กลางของ แสง จากหนังสือเรียน หนา 70-71 จากนั้น ตอ งเตรยี มตองใช 2. แผนโฟม 1 แผน ใหแตละกลุมไปเตรียมอุปกรณใหครบถวน 4. กระจกฝา 1 บาน แลวชวยกันปฏิบัติกิจกรรมจนครบทุกขั้นตอน 1. แผนไม 1 แผน 6. แผน กระเบือ้ ง 1 แผน โดยบนั ทกึ ผลการทาํ กจิ กรรมลงในสมดุ หรอื ใน 3. แกวนาํ้ ใส 1 ใบ 8. กระดาษแกว ใส 1 แผน แบบฝก หัดวิทยาศาสตร หนา 75 5. กระดาษไข 1 แผน 10. แผนพลาสตกิ ใส 1 แผน (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช 7. ไฟฉาย 1 กระบอก แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทาํ งานกลมุ ) 9. กระดาษแข็ง 1 แผน 11. แผน พลาสติกขุน 1 แผน ลองทาํ ดู 1. รว มกนั ตง้ั สมมตฐิ านจากขอ สงสยั วา เมอ่ื นาํ วตั ถแุ ตล ะชนดิ มากน้ั แสงของไฟฉาย จะทาํ ให มองเห็นแสงทผี่ า นวตั ถุแตกตา งกนั หรือไม แลว บนั ทึกผลลงในสมดุ 70 ภาพที่ 2.28 เกร็ดแนะครู ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET “เมื่อแสงกระทบกับวัตถุท่ีไมยอมใหแสงผานจะทําใหเกิดเงา” ครอู าจใชเ กมหอยแบง ฝาเขา มาชว ยแบง กลมุ นกั เรยี น เพอ่ื กระตนุ ความสนใจ จากขอ ความดังกลา ว วตั ถุที่ไมย อมใหแสงผา นคือขอใด ในการเรียนรขู องนกั เรยี น โดยมวี ิธกี ารเลน ดังนี้ ก. แผน กระเบ้ือง 1. ครชู แี้ จงใหนกั เรียนคดิ วาตนเองตอ งการเปน ตวั หอยหรอื ฝาหอย ข. แผน กระจกใส 2. จากนนั้ ครอู อกคาํ สงั่ แลว ใหน กั เรยี นวง่ิ ไปรวมกลมุ กนั ซงึ่ กาํ หนดนกั เรยี น ค. แผนกระจกฝา ง. แผน พลาสตกิ ใส ที่ลอ มวง คอื ฝาหอย และนกั เรยี นท่อี ยใู นวง คือ ตวั หอย (วิเคราะหค ําตอบ ขอ ข. และ ง. เปนตัวกลางโปรงใส ขอ ค. 3. หากนักเรียนคนใดไมมีกลุม หรือนักเรียนกลุมใดมีจํานวนฝาหอยหรือ เปน ตวั กลางโปรงแสง ขอ ข. ค. และ ง. เปนวตั ถทุ แ่ี สงสามารถ เดนิ ทางผานไปได สว น ขอ ก. เปน วตั ถุทบึ แสง แสงไมสามารถ ตวั หอยไมค รบตามการออกคาํ สงั่ ของครจู ะถกู ทาํ โทษดว ยวธิ ตี า งๆ เชน ผา นได ดงั น้นั ขอ ก. จงึ เปน คาํ ตอบท่ีถูกตอ ง) การเตนตามเพลง การรองเพลง เปนตน 4. ตวั อยา งการออกคาํ ส่งั ของครู เชน ï มีหอย 2 ตวั อยใู นฝา 4 ฝา ï มีฝา 5 ฝา ลอ มหอย 1 ตวั ï มตี ัวหอยและฝาหอยลอมวงกัน 4 ตัว T78

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ 2หนว ยการเรียนรูที่ ขนั้ สอน áçâ¹ÁŒ ¶Ç‹ §¢Í§âÅ¡áÅеÇÑ ¡ÅÒ§¢Í§áʧ อธบิ ายความรู 2. แตล่ ะกลมุ่ ชว่ ยกนั ทา� กจิ กรรมเพอื่ ตรวจสอบ ภาพที่ 2.29 1. นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนกลุมออกมานํา ผลการต้ังสมมติฐาน ดังนี้ เสนอผลการทํากิจกรรม โดยใหเพื่อนกลุม 1) ปด ประตู หนา้ ตา่ ง และหลอดไฟทกุ ดวง µÇÑ ¡ÅÒ§â»Ã§‹ ãÊ µÑÇ¡ÅÒ§â»Ã‹§áʧ ÇµÑ ¶Ø·Öºáʧ อ่ืนๆ ซักถามขอสงสัย แลวใหครูคอยอธิบาย ในห้อง เพม่ิ เติมในสวนที่บกพรอง 2) เปด ไฟฉาย แลว้ สอ่ งผา่ นวตั ถชุ นดิ ตา่ ง ๆ ภาพที่ 2.30 โดยใช้กระดานด�าหรือผนังห้องเปน 2. นักเรียนรวมกันอภิปรายผลการทํากิจกรรม ฉากรับแสง จนสรปุ ไดวา ตวั กลางของแสง คือ วตั ถชุ นดิ 3) ช่วยกันสังเกตแสงของไฟฉายที่ผ่าน ตางๆ ที่นํามาก้ันทางเดินของแสงแลวแสง วตั ถแุ ตล่ ะชนิด แลว้ บนั ทึกผล สามารถเดนิ ทางผา นไปไดม ากหรอื ไดบ างสว น เชน กระจกฝา กระจกใส เปนตน สวนวัตถุ 3. น�าข้อมูลที่ได้มาจ�าแนกประเภทของวัตถุ ทึบแสง คือ วัตถุชนิดตางๆ ท่ีนํามากั้นแสง โดยใช้การมองเห็นแสงท่ีผ่านวัตถุนั้น แลวมองไมเห็นแสงที่ผานมาได และทําใหไม เปน เกณฑ์ สามารถมองเห็นสิ่งท่ีอยูดานหลังวัตถุที่นํามา กน้ั แสงนนั้ เชน แผน กระเบอื้ ง กลอ งลงั เปน ตน 4. น�าข้อมูลจากการทดลองมาจัดท�าเปน (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมนิ นักเรยี น โดยใช แผนผังความคิด แผนภาพ หรือตาราง แบบสงั เกตพฤติกรรมการทาํ งานกลมุ ) เพื่อน�าเสนอเกี่ยวกับชนิดของวัตถุที่ใช้ กัน้ แสง แนวตอบ หนตู อบได 5. น�าเสนอหน้าช้ันเรียน เพ่ืออภิปรายและ ขอ 3. สรุปผลร่วมกนั • กระจกใส เพราะแสงสามารถสอ งผา นเขา มา หนตู อบได ไดดี ชวยทําใหภายในบานมีความสวางมาก และ ชวงเวลากลางวนั ไมตองเปด ไฟในบา น 1. ตวั กลางของแสงกบั วัตถุทบึ แสงตา่ งกันหรอื ไม่ อย่างไร 2. ยกตัวอย่างวัตถุที่เปนตัวกลางโปร่งใส ตัวกลางโปร่งแสง และวัตถุทึบแสง มาอย่างละ • กระจกฝา เพราะแสงสามารถสอ งผา นเขา มา ไดบาง ทําใหบานสวาง โดยกระจกฝามีสวนชวย 3 ชนิด กรองแสงแดดที่สองผานเขามาในบานไดดี ทําให 3. หากตอ้ งการเลอื กใชว้ สั ดใุ นการทา� หนา้ ตา่ งของบา้ น เพอื่ ชว่ ยใหม้ แี สงสวา่ งในบา้ น นกั เรยี น บา นไมร อ นมาก และทาํ ใหค นภายนอกมองไมเห็น ภายในบาน จะเลือกใช้วัสดุชนดิ ใด ระหวา่ งกระจกใสกบั กระจกฝา เพราะอะไร (คหือมกายารเหคติดุแ: คบําบถใหามเหขตอุผสลุดทแาลยะขกอางรหคนดิ ตูแอบบบไโดตแ เปยงนคซาํึ่งถผาเู รมยี ทน่ีอออากจแเลบอืบกใหตผอบูเรอียยนาฝงกใดใชอทยกัางษหะนกึ่งากรคไ็ ดิด ขให้ันคสรูงู 71 พิจารณาจากเหตุผลสนบั สนนุ ) ขอ สอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู “ในวันที่มีอากาศหนาวจัด ชวงเวลาเชาจะมีหมอกลงหนาทึบ ในการทํากิจกรรมท่ี 1 น้ี ครสู ามารถหาวสั ดอุ ื่นมาใชใ นการทดลองแทนได ทาํ ใหม องเหน็ สง่ิ ทอี่ ยรู อบตวั ไดไ มช ดั เจน” จากขอ ความ หมอกเปน ซง่ึ ควรพจิ ารณาจากวัสดทุ เ่ี ปน ตัวกลางประเภทเดียวกนั และครูอาจใหน กั เรียน ตวั กลางโปรงแสงหรอื ไม เพราะอะไร ชว ยกนั ทาํ การทดลองเปน กลมุ หรอื เปน การสาธติ การทดลอง โดยขออาสาสมคั ร จากนกั เรยี นมาชว ยกนั ดาํ เนนิ การทดลอง และใหน กั เรยี นคนอน่ื ๆ รว มกนั สงั เกต (วิเคราะหคําตอบ จากขอความน้ี หมอกเปนตัวกลางโปรงแสง และบนั ทึกผล เพราะหมอกกัน้ ทางเดินของแสงบางสวนไว ทําใหไมสามารถมอง เห็นส่งิ ท่อี ยูรอบตัวไดชดั เจน) หองปฏิบัติการ à·¤¹Ô¤  ¤ÇÒÁ»ÅÍ´ÀÑ กอ นทาํ กิจกรรมท่ี 1 นี้ ครูควรอธิบายใหนักเรยี นเขาใจวา นกั เรียนไมค วร นําไฟฉายมาสองเขาตากัน เพราะจะทําใหแสบตาหรืออาจทําใหเกิดอันตราย ตอดวงตาได เนอ่ื งจากแสงจากไฟฉายมีความเขมของแสงสูงมาก T79

นาํ สอน สรุป ประเมนิ ขน้ั สรปุ ตัวกลำวงัตถซ1ุท่ึง่ีกวั้นัตถทุทาง่ีเปเดนินตขัวอกงลแาสงงขอแงลแ้วสมงทีผล�ามตา่อจกาากรวมัสอดง2ุชเหน็นิดแตส่างงขๆองจเรึงามีผเลรทียก�าใวห่า้ แสงเคล่อื นทผี่ า่ นวตั ถนุ น้ั ได้แตกตา่ งกนั ขยายความเขา ใจ เมือ่ นา� วัตถุต่าง ๆ มาก้นั แสง จะทา� ให้เรามองเห็นลักษณะของแสงทท่ี ะลุ 1. นักเรียนชวยกันศึกษาเนื้อหาจากหนังสือเรียน ผา่ นวตั ถุได้ต่างกัน เราจึงจา� แนกวตั ถทุ นี่ �ามาก้นั แสงได้ตามลกั ษณะการมองเหน็ หนา 72-73 จากน้ันใหสรุปความรูรวมกัน แสงท่ีทะลผุ า่ นวตั ถุนัน้ ได้ ดงั นี้ เพ่ือเช่อื มโยงกับผลการทํากิจกรรมท่ี 1 วตั ถบุ างชนดิ เมอ่ื นา� มากนั้ แสงแลว้ ทา� ใหม้ องไมเ่ หน็ แสงหรอื ไมส่ ามารถมองเหน็ สง่ิ ทอี่ ยู่ 2. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก ด้านหลงั วัตถุนน้ั ได้ เรียกวตั ถุนน้ั วา่ วตั ถทุ ึบแสง เช่น ผนงั ปนู แผ่นไม้ กล่องลงั หนงั สือเรยี น หนา 71 ลงในสมดุ หรอื ทําลงใน แบบฝกหัดวิทยาศาสตร หนา 76 วตั ถบุ างชนดิ เมอื่ นา� มากน้ั แสงแลว้ มองเหน็ แสงหรือมองเห็นส่ิงที่อยู่ด้านหลังวัตถุน้ัน 3. ครูขยายความเขาใจของนักเรียนเพิ่มเติม เไชมน่ช่ ดั กเจระนจเกรฝยี ากวกตั รถะนุดานั้ ษวาไ่ ขต3วัหกมลอำกงโคปวรง่นั แสง โดยนําน้ําท่ีบรรจุอยูในภาชนะตางๆ ไดแก ขวดพลาสติกใส ขวดพลาสติกขุน และถวย วตั ถบุ างชนดิ เมอ่ื นา� มากนั้ แสงแลว้ มองเหน็ กระเบ้ือง มาใหทุกคนไดสังเกตหนาชั้นเรียน แสงหรือมองเห็นส่ิงที่อยู่ด้านหลังวัตถุน้ัน แลว ตัง้ คาํ ถาม ดังนี้ ไดช้ ัดเจน เรียกวตั ถนุ น้ั วา่ ตัวกลำงโปร่งใส • นักเรียนสามารถมองเห็นนํ้าผานภาชนะใด เชน่ กระจกใส แก้วใส อากาศ น้�า ไดช ัดเจนที่สดุ เพราะอะไร (แนวตอบ ขวดน้ําพลาสติกใส เพราะขวดมี à¡สÃอ´ç งผานไÇป·ÔไมÂไ¹ด  Ò‹จงึÃเŒÙกิดเปเมน อื่ เงนา4าํ ขวึ้นตั บถนุทหึบลแสงั ฉงาเกชทน ี่อยลูดกู าบนอหลลหงั วนตั งั ถสุนือ้นั มโาดกยั้นเงแาสทงเี่ กทิดาํ ขใ้นึหจแะสมงี ความโปรง ใส จงึ สามารถมองเหน็ นาํ้ ทบ่ี รรจุ ในขวดไดช ดั เจน) รูปรางคลา ยกับวัตถสุ ว นทีน่ ํามากน้ั แสง • การมองเหน็ นาํ้ ทบ่ี รรจอุ ยใู นภาชนะเกย่ี วขอ ง กับการเดินทางของแสงผานภาชนะหรือไม 72 ภาพท่ี 2.31 ตัวอยา่ งตวั กลางของแสงและวัตถุทึบแสงทีม่ ีภายในบา้ น อยางไร (แนวตอบ เกยี่ วของ เพราะแสงสามารถเดิน ทางผานภาชนะโปรงใสท่ีบรรจุน้ําได จึง ทําใหเรามองเห็นน้ําที่บรรจุในภาชนะได ชดั เจน) 4. นักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็นและตอบ คาํ ถามทีค่ รูตั้งไว นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET ตารางลกั ษณะของเปลวเทยี นทมี่ องเหน็ เมอื่ มองผา นวตั ถชุ นดิ ตา งๆ 1 วตั ถุ (object) คอื สง่ิ ของตา งๆ ทที่ าํ มาจากวสั ดตุ า งๆ ซง่ึ เรานาํ มาใชง าน หรอื ใชเ ลน เชน โตะ ลกู บอล เปนตน ชนดิ ของวตั ถุ ลักษณะของเปลวเทยี นท่ีมองเห็น 2 วสั ดุ (material) คือ สง่ิ ท่นี าํ มาใชท าํ เปน วตั ถุหรือสงิ่ ของตา งๆ มีดวยกัน A เหน็ ไมช ัด หลายชนดิ เชน ไม ยาง พลาสตกิ ผา โลหะ ดนิ เหนียว เปน ตน B เห็นชดั เจน 3 กระดาษไข ( stencil paper) เปน กระดาษทใี่ ชใ นการทาํ แบบลวดลายหรอื C ไมเหน็ พมิ พอ ดั สาํ เนา นอกจากน้ี ยงั นํามาใชป ระโยชนใ นดา นอ่ืนๆ ดวย เชน ใชรอง ขนมปง ขนมเคก หุมแปรงทาสีชวยรักษาขนแปรงไมใหแข็ง ขัดอุปกรณโลหะ ขอ ใดคอื วตั ถทุ บึ แสง วตั ถโุ ปรง แสง และวตั ถโุ ปรง ใส เรยี งตามลาํ ดบั ใหเงางาม เปน ตน ก. A B C ข. B D A 4 เงา (shadow) คือ บริเวณมืดหลังวัตถุท่ีเกิดข้ึนจากวัตถุทึบแสงขวางกั้น ค. C A B ง. C B F ทางเดนิ ของแสงเอาไว แบง ไดเ ปน 2 ชนิด ไดแ ก เงามืด และเงามัว (วิเคราะหคําตอบ จากขอมูลเม่ือนําวัตถุมากั้นทางเดินแสงของ เปลวเทยี ว ทาํ ใหม องเหน็ แสงของเปลวเทยี นตา งกนั วตั ถทุ น่ี าํ มากนั้ T80 เปลวเทียนแลวมองไมเห็นเปลวเทียน คือ C เปนวัตถุทึบแสง วัตถุที่นาํ มากน้ั เปลวเทยี นแลว มองเห็นเปลวเทยี นแตไมช ัด คอื A เปนวัตถุโปรงแสง วัตถุท่ีนํามาก้ันเปลวเทียนแลวมองเปลวเทียน ชดั เจน คอื B เปน วตั ถุโปรง ใส ดังนน้ั ขอ ค. เปน คาํ ตอบท่ถี ูก)

นาํ สอน สรุป ประเมนิ ตัวอยา ง 2หนว ยการเรียนรูท ่ี ขน้ั สรปุ ตัวกลำงโปร่งใส เชน่ áç⹌Á¶‹Ç§¢Í§âÅ¡áÅеÇÑ ¡ÅÒ§¢Í§áʧ ขยายความเขา ใจ ตวั กลำงโปรง่ แสง เชน่ วตั ถุทบึ แสง เชน่ 5. ครสู มุ เรยี กนกั เรยี นทลี ะคนเพอื่ ใหย กตวั อยา ง วัตถุท่เี ปนตัวกลางโปรงใส ตวั กลางโปรง แสง ภาพที่ 2.32 กระจกใส ภาพที่ 2.33 กระดาษไข ภาพท่ี 2.34 ตุกตา หรอื วตั ถทุ บึ แสง มาคนละ 1 ตวั อยา ง โดยตอ ง ไมซ ้ํากับตวั อยางที่อยูในหนงั สอื เรียนหนานี้ ภาพท่ี 2.35 น้า� ภาพที่ 2.36 หมอก1 ภาพที่ 2.37 นาฬกาปลกุ 6. ครูสนทนากับนักเรียนเพื่อทบทวนความรู ภาพที่ 2.38 อากาศ ภาพที่ 2.39 กระจกฝา ภาพที่ 2.40 หนงั สอื ความเขาใจเก่ียวกับเนื้อหาท่ีไดเรียนผานมา จากหนวยการเรียนรูท่ี 2 บทที่ 2 ตัวกลาง ตรวจสอบตนเอง กจิ กรรม สรปุ ความรปู ระจาํ บทท่ี 2 ของแสง โดยสุมเรียกชื่อนักเรียนใหออกมา เลา วา ตนเองไดรบั ความรอู ะไรบาง หลังเรยี นจบหนว่ ยน้ีแลว้ ให้นกั เรยี นบอกสัญลกั ษณท์ ่ตี รงกับระดบั ความสามารถของตนเอง (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทาํ งานรายบคุ คล) รำยกำร เกณฑ์ 7. นักเรียนเขียนสรุปความรูเก่ียวกับเรื่องท่ีได ดี พอใช้ ควรปรับปรุง เรียนมาจากบทที่ 2 ในรูปแบบตางๆ เชน แผนผงั ความคดิ แผนภาพ เปน ตน ลงในสมดุ 1. เข้าใจเน้อื หาเกี่ยวกับเร่อื งตวั กลางของแสง หรอื อาจทาํ กจิ กรรมสรปุ ความรปู ระจาํ บทที่ 2 2. สามารถทา� กิจกรรมและอธบิ ายผลการทา� กจิ กรรมได้ ในแบบฝก หดั วิทยาศาสตร หนา 77 3. สามารถตอบคา� ถามจากกิจกรรมหนตู อบได้ได้ 8. นักเรียนทํากิจกรรมฝกทักษะบทที่ 2 จาก หนงั สอื เรยี น หนา 74 ขอ 1-3 ลงในสมุดหรือ 4. ทา� งานกลุ่มรว่ มกับเพ่อื นไดด้ ี ทาํ ในแบบฝกหดั วทิ ยาศาสตร หนา 78-79 9. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมทาทายการคิด ขนั้ สงู จากแบบฝก หัดวิทยาศาสตร หนา 80 10. นกั เรียนแบงกลมุ กลุมละ 3-4 คน จากนัน้ รวมกันศึกษากิจกรรมสรางสรรคผลงานจาก หนังสือเรียน หนา 74 แลวปฏิบัติกิจกรรม ตามขน้ั ตอนใหค รบถวน และนาํ เสนอผลงาน หนา ชนั้ เรยี น (หมายเหตุ : ครเู ริม่ ประเมินนักเรยี น โดยใช แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทาํ งานกลุม) 5. น�าความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ในชีวติ ประจา� วนั ได้ 73 กิจกรรม ทา ทาย เกร็ดแนะครู ใหน กั เรยี นสาํ รวจภายในบา นของตนเองวา มกี ารนาํ วตั ถทุ เ่ี ปน เม่ือเรียนจบบทน้ีแลว ครูใหนักเรียนต้ังคําถามท่ีอยากรูเพ่ิมเติมเก่ียวกับ ตัวกลางของแสงหรือวัตถุทึบแสงมาใชประโยชนในชีวิตประจําวัน ตัวกลางของแสงคนละ 1 คําถาม เขียนใสลงในกระดาษแลว นําสง ครู จากนน้ั อยางไรบาง โดยวาดภาพลงในกระดาษ A4 แลวอธิบายวา ครูสุมหยิบคําถามครั้งละ 1 คําถาม แลวใหนักเรียนชวยกันตอบคําถามหรือ ตัวกลางที่นํามาใชเหมาะสมหรือไม อยางไร จากน้ันตกแตง แสดงความคิดเห็นวา จะใชวิธีการทางวิทยาศาสตรหาคําตอบของคําถามนี้ได ใหสวยงาม อยางไร นักเรียนควรรู 1 หมอก (fog) คอื กลุม ละอองน้าํ เล็กๆ ทเ่ี กิดจากการกลั่นตัวของไอน้ําใน บรรยากาศ ซ่งึ หมอกจะลอยตวั อยูใ นระดบั ตา่ํ เหนือพืน้ ดนิ T81

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สรปุ ฝกจิ กกทรรักมษะ º··èÕ 2 ขยายความเขา ใจ 1. ยกตัวอย่ำงกำรน�ำวัตถุท่ีเปนตัวกลำงโปร่งใส ตัวกลำงโปร่งแสง และวัตถุทึบแสง มำใชป้ ระโยชน์ในชวี ิตประจ�ำวนั อยำ่ งละ 1 ข้อ 11. นักเรียนทําทบทวนทายหนวยการเรียนรูที่ 2 เร่อื ง แรงโนม ถว งของโลกและตัวกลางของ 2. น�ำตัวอักษรหน้ำค�ำด้ำนขวำมือ มำเติมหน้ำข้อควำมใหส้ ัมพนั ธ์กนั แสง จากแบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 82-85 ………..… 1) วตั ถุทยี่ อมให้แสงผา่ นได้บางส่วน ก. เงา ………..… 2) เกดิ จากวัตถุทบึ แสงกนั้ ทางเดนิ ของแสง ข. แสง 12. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียนของ สมุดับปนรทึะกจ�ผาลัตวลงใน หนวยการเรียนรูที่ 2 เพื่อตรวจสอบความรู ………..… 3) แสงแดดสอ่ งผา่ นกระจกใสเข้ามาในบ้าน ค. ผนังปูน ความเขาใจหลงั เรยี น ………..… 4) เดินทางเปน เส้นตรงจากแหลง่ กา� เนดิ แสง ง. ตัวกลางโปร่งใส ………..… 5) เมอื่ นา� มาก้ันแสงแลว้ แสงเคลื่อนท่ีผ่านไมไ่ ด้ จ. ตัวกลางโปร่งแสง แนวตอบ กิจกรรมฝกทักษะ 3. สังเกตภำพ แล้วตอบค�ำถำม ขอ 1. 123456 • กระจกใส คือ วตั ถุโปรง ใส ใชใ นการ ภาพท่ี 2.41 ภาพที่ 2.42 ภาพที่ 2.43 ภาพท่ี 2.44 ภาพท่ี 2.45 ภาพท่ี 2.46 ทําบานหนาตางหรอื บานประตู • กระจกฝา คอื วตั ถโุ ปรง แสง ใชท าํ บานเกรด็ 1) วัตถุหมายเลขใดบ้างท่ีแสงผ่านไมไ่ ด้ 2) วตั ถหุ มายเลขใดบ้างท่ีแสงสามารถผ่านได้บางสว่ น หนาตา งหรอื บานประตหู อ งนาํ้ 3) วตั ถหุ มายเลขใดบา้ งเมือ่ ใช้ไฟฉายส่องจะเกดิ เงาขนึ้ ทผ่ี นงั ซง่ึ อยดู่ ้านหลัง • กระเบื้องหลงั คา คือ วตั ถทุ ึบแสง ใช กิจกรรม ทา ทายการคดิ ขนั้ สงู สาํ หรับมงุ หลงั คาบานหรอื อาคารเพื่อปองกัน แสงแดด ÊกิจÃกÒŒ ร§รÊมÃ䏼ŧҹ ขอ 2. แบง กลมุ แลว ชว ยกนั สาํ รวจวตั ถทุ ีอ่ ยภู ายในบริเวณโรงเรียน 1) จ 20 อยาง จากนั้นนําขอมูลที่ ไดมาจัดทําสมุดภาพ เพ่ือจําแนก 2) ก เปนวัตถุโปรงใส วัตถุโปรงแสง และวัตถุทึบแสง โดยติดภาพ 3) ง หรือวาดภาพลงในสมดุ พรอ มตกแตงใหสวยงาม 4) ข แลวนาํ เสนอหนา ชั้นเรียน 5) ค 74 ขอ 3. 1) หมายเลข 3, 5 2) หมายเลข 1, 6 3) หมายเลข 3, 5 เกร็ดแนะครู ขอ สอบเนน การคดิ แนว O-NET วตั ถทุ ก่ี าํ หนดใหตอ ไปนี้ ขอ ใดเปน วตั ถทุ บึ แสง ครสู ามารถหยบิ ใชแ บบทดสอบหลงั เรยี นทแี่ นบมาทา ยแผนการจดั การเรยี นรู 1. แผนผา 2. แผนกระจกฝา 3. แผน กระจกใส ของหนว ยการเรยี นรูที่ 2 แรงโนม ถวงและตัวกลางของแสง ไดดงั ภาพตวั อยาง 4. แผนไม 5. แผนสังกะสี 6. แผนพลาสติกใส ก. 1. 3. 4. ข. 1. 4. 5. ค. 1. 2. 5. ง. 2. 4. 6. (วเิ คราะหค าํ ตอบ หมายเลข 1. 4. 5. เปน วตั ถทุ บึ แสง หมายเลข 2. เปนวัตถุโปรงแสง สวนหมายเลข 3. และ 6. เปนวัตถุโปรงใส ดงั น้นั ขอ ข. จงึ เปน คําตอบทถี่ กู ตอง) T82

นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ÊÃ»Ø ÊÒÃÐÊÒí ¤ÑÞ 2»ÃШÒí ˹‹Ç¡ÒÃàÃÂÕ ¹Ã·ŒÙ Õè ขน้ั ประเมนิ เคร่ืองชั่งสปเรคิงแร่ือบงบชแั่งขสวปนริงแบบตั้ง ตรวจสอบผล ไปมาในอากาศ มวลของวัตถุ 1. ครูใหนักเรียนดูตารางตรวจสอบตนเองจาก ทําใ ้ห ่สิง ่ตาง ๆ ไม่ลอย ปนัจํ้จาหัยนทัก่ีมขีผอลงตว่อัตถุ ระยะห่างจากจุดศูนย์กลางของโลก หนังสือเรียน หนา 73 จากน้ันถามนักเรียน รายบคุ คลตามรายการขอ 1-5 เพอ่ื ตรวจสอบ เค ่รืองมือ ีท่ใช้ ัวด ผคู้ น้ พบ เซอร์ ไอแซก นิวตัน ความรคู วามเขาใจของนกั เรยี นหลงั เรียน ประโยชน์และข้อจํากัด ลกั ษณะ มีทิศทางพุ่งเข้าหาจุดศูนย์กลางของโลก 2. ครูใหนักเรียนรวมกันศึกษาแผนผังความคิด ทาํ ใหย้ กส่งิ ของทม่ี นี ้าํ หนั แรขงอโงนโม้ ลถก่วง ดงึ ดดู ใหว้ ตั ถตุ กลงสพู่ ้นื โลก สรุปสาระสําคัญประจําหนวยการเรียนรูที่ 2 ในหนาน้ี แลวครูสุมเลือกนักเรียนรายบุคคล เปน็ แรงไมส่ มั ผสั ใหออกมาบอกเลาความรูความเขาใจท่ีไดรับ จากการเรยี นในหนว ยการเรยี นรนู ี้ กมากไดย้ าก 3. คคแลราํ ปูถะรกาแะมาเรรมกงนนิ โาาํผรนเลทสม้จาํนางถอกาว่หนกงนารขราาสยอชงับั้นงเกคุโเรตคลยี พลกนฤกตากิ รรทราํมงกาานรกตลอมุบ ใส เดวิันตทถุทางี่ยผอ่ามนใไห้แ 4. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมท่ี 1 เร่ือง สงด้ทั้งหมดตวั กลางของแสง เชน่ กระจกใส ตัวกลางของแสง ในสมุดหรือในแบบฝกหัด วตั วทิ ยาศาสตร หนา 75 5. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมหนูตอบได วตั ถุ ในสมุดหรอื แบบฝกหดั วทิ ยาศาสตร หนา 76 6. ครตู รวจผลการทาํ กจิ กรรมสรปุ ความรเู กย่ี วกบั เชน่ กลอ่ งลงั ตัวกลางของแสงในสมุดหรือในแบบฝกหัด วตั ถทุ ไี่ มเ่ ปน็ ตวั กลางของแสง านไ ้ห ้ด ทเี่ ปน็ ตวั กลางของแสง วิทยาศาสตร หนา 77 ัตวกลางโป ่รง 7. ครตู รวจผลการทาํ กจิ กรรมฝก ฝนทกั ษะในสมดุ วตั ถทุ บึ แสง ตวั กลางโปรง่ แสง น้าํ แกว้ ใส หรอื ในแบบฝก หัดวิทยาศาสตร หนา 78-79 8. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมทาทายการคิด วตั แถสทุ ง่ีไเมดย่ นิ อทมาใงผ่ ถทุ ยี่ อมใหแ้ สงเดนิ ทางผา่ นไดบ้ างสว่ น ขนั้ สงู ในแบบฝกหัดวทิ ยาศาสตร หนา 80 เชน่ หมอก กระดาษไข ควนั 9. ครตู รวจสอบชนิ้ งาน/ผลงานสมดุ ภาพจาํ แนก หนงั สอื แผน่ ไม้ วตั ถแุ ละการนาํ เสนอชน้ิ งาน/ผลงานจากการ ทาํ กจิ กรรมสรา งสรรคผ ลงาน 75 10. ครตู รวจกจิ กรรมทบทวนทา ยหนว ยการเรยี นรู ท่ี 2 เรอื่ ง แรงโนม ถวงของโลกและตวั กลาง ของแสง ในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร หนา 82-85 11. ครตู รวจสอบผลการทาํ แบบทดสอบหลงั เรยี น ของหนว ยการเรยี นรทู ่ี 2 ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET แนวทางการวัดและประเมินผล แผนฟลมกรองแสงที่นิยมนํามาติดกระจกรถยนต จัดเปน ครสู ามารถวดั และประเมนิ ผลชนิ้ งาน/ผลงานสมดุ ภาพจาํ แนกวตั ถทุ น่ี กั เรยี น ตวั กลางของแสงชนดิ ใด สรา งขน้ึ โดยศกึ ษาเกณฑป ระเมนิ ผลงานจากแบบประเมนิ ผลงาน/ชนิ้ งานทแี่ นบ มาทายแผนการจดั การเรยี นรขู องหนวยการเรยี นรทู ี่ 2 แรงโนมถว งของโลกและ ก. ตวั กลางโปรง แสง ตัวกลางของแสง ดังภาพตวั อยา ง ข. ตัวกลางโปรงใส ค. ตวั กลางกนั แสง ง. วัตถุทบึ แสง (วิเคราะหคําตอบ แผนฟลมกรองแสง เปนตัวกลางโปรงแสง เพราะแผน ฟลม ยอมใหแ สงผานไดบ างสวน ดังนัน้ ขอ ก. จงึ เปน คําตอบทถ่ี กู ตอ ง) T83

ST M Project โรงเรือนลดการคายนํา้ ของพชื การคายนํ้าของพืช (Transpiration) คือ การแพรของน้ําออกทางปากใบ ทําใหตนพืช มีการลําเลียงนํ้าและแรธาตุเกิดข้ึนไดอยาง ตอ เนอื่ ง และชว ยลดความรอ นใหพ ชื สถานการณ นทีต้องการปลูกกล้วยไม้เพ่ือตัดดอกจ�าหน่าย นทีจึงทดลองปลูกกล้วยไม้ไว้ท่ีกลางแจ้ง แต่กล้วยไม้ ได้รับแสงแดดในปริมาณมาก จึงท�าให้เกิดการคายน�้ามากข้ึน กล้วยไม้จึงเหี่ยวเฉาและเจริญเติบโตช้า นทีต้องการแก้ปัญหาน้ีเพื่อให้กล้วยไม้ไม่เหี่ยวเฉา มีการเจริญเติบโตตามปกติ และให้กล้วยไม้ออกดอกได้ เรว็ ขน้ึ นกั เรียนคิดว่า จะสามารถชว่ ยนทดี ว้ ยการประดษิ ฐ์ “โรงเรือนลดการคายนา้� ” เพ่อื ลดการคายนา�้ ของ กล้วยไม้จากอปุ กรณท์ ีม่ ีอยู่ไดอ้ ยา่ งไร ขอ จาํ กดั Science เชื่อมโยงสูไอเดีย นกั เรยี นสามารถสรา้ งโรงเรอื นลดการคายนา�้ ของพชื Technology การคายน้�าของพืช คือ การแพร่ รปู ทรงใดก็ได้ ซง่ึ โรงเรอื นทสี่ รา้ งขนึ้ จะตอ้ งมคี วามแขง็ Engineering ของน�้าออกทางปากใบ จึงท�าให้ แรงทนทาน มขี นาดเหมาะสมกบั พชื ทปี่ ลกู ในกระถาง Mathematics ต้นพืชมีการล�าเลียงน้�าและแร่ธาตุ สามารถยกไปต้ังกลางแจ้งได้ อากาศถ่ายเทได้สะดวก เกดิ ข้นึ อยา่ งต่อเนอ่ื ง และยงั ช่วยลด แสงสามารถส่องผ่านโรงเรอื นได้บางสว่ น และกา� หนด ความร้อนให้แก่ตน้ พชื ให้ใช้เวลาในการสรา้ งโรงเรือน 2 ช่ัวโมง โรงเรือนลดการคายนา้� ของพชื ออกแบบโรงเรือนท่ีมีลักษณะตรง วสั ดแุ ละอปุ กรณ ตามวตั ถุประสงค์ รูปเรขาคณิตสามมิติ เปนรูปเรขา- 1. ดินสอ 1 แทง่ 2. สแลน 1 แผ่น คณิตที่มีความกวา้ ง ความยาว และ 3. หนังยาง 1 ถงุ 4. กรรไกร 1 เล่ม ความสงู (ความหนา) 5. คัตเตอร์ 1 อัน 6. ไมบ้ รรทดั 1 อนั 7. เชอื กฟาง 1 ม้วน 8. ถงุ พลาสตกิ 1 ใบ 9. เทปใส/เทปกาว 1 ม้วน 10. กระดาษลงั /ฟวเจอรบ์ อร์ด 4 แผ่น T84

ข้นั ตอนการทาํ กิจกรรม ข้ันตอนท่ี 1 ระบุปญหา วิเคราะหส์ ถานการณ์และระบุแนวทางในการแกป้ ัญหา เพอ่ื เปน แนวทางในการสรา้ งสรรคช์ ิ้นงาน ขน้ั ตอนท่ี 2 รวบรวมขอมูลและแนวคิด ¹Ñ¡àÃÕ¹ÊÒÁÒÃ¶Êº× ¤Œ¹¢ÍŒ ÁÙÅä´¨Œ Ò¡áËÅ‹§¢ÍŒ ÁÅÙ µ‹Ò§ æ ઋ¹ Í¹Ô à·ÍÃà ¹çµ ˌͧÊÁØ´ à»¹š µŒ¹ สืบคน้ ความร้แู ละรวบรวมข้อมลู ทจ่ี ะน�าไปแกป้ ญั หา แล้วสรปุ ขอ้ มลู ความรู้ที่ไดม้ าโดยสังเขป ขน้ั ตอนท่ี 3 ออกแบบวิธีการแกปญหา คิดวิธแี กป้ ญั หาและออกแบบช้นิ งาน ตามแนวทางท่ีเตรยี มไวใ้ นข้ันตน้ ข้นั ตอนที่ 4 วางแผนและดําเนินการแกปญหา ร่วมกันวางแผนการสร้างสรรค์ชิ้นงานอย่างเปนล�าดับขั้นตอน แล้วตรวจสอบการด�าเนินการ หากไม่ตรง ตามแผนให้ระบุวธิ แี กไ้ ข ขน้ั ตอนท่ี 5 ทดสอบ ประเมินผล และปรับปรุงแกไขวิธีการแกปญหา บันทกึ รายละเอียดของชน้ิ งาน แลว้ ทดสอบเพือ่ หาแนวทางในการปรับปรงุ ชน้ิ งาน ขน้ั ตอนท่ี 6 นําเสนอวิธีการแกปญหา ¹Ñ¡àÃÕ¹¤Çú͡¶§Ö ÃÒÂÅÐàÍÂÕ ´¢Í§ªÔ¹é §Ò¹ ÃÇÁ¶§Ö ¨´Ø à´¹‹ áÅШ´Ø ´ŒÍ¢ͧªéÔ¹§Ò¹ รวบรวมแนวคดิ ที่ไดแ้ ละปญั หาทพ่ี บจากการทา� กิจกรรม เพ่อื น�าเสนอวิธีการแกป้ ญั หา เกณฑการประเมิน ระดบั คณุ ภาพ เกณฑ์ประเมนิ ชิน้ งาน 54321 ● มีประสิทธภิ าพสามารถลดการคายน�้าของพืชได้ ● ความคดิ สรา้ งสรรคแ์ ละความสวยงามของชน้ิ งาน T85 ● ความเหมาะสมของวสั ดุทเ่ี ลือกใชส้ รา้ งช้นิ งาน

ภาคผนวก เรียนรวู ทิ ยาศาสตร วทิ ยาศาสตรเ์ ปน การศกึ ษาเกย่ี วกบั สง่ิ ทอ่ี ยรู่ อบตวั เรา ซงึ่ วธิ กี ารและขนั้ ตอนทเ่ี ราใชเ้ พอ่ื หาความรอู้ ยา่ งเปน ระบบ เรยี กว่า กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Process) คือ วธิ กี ารและข้ันตอนที่ใช้ดา� เนินการค้นควา้ หาความรู้ ทางวทิ ยาศาสตร์ แบ่งเปน 3 ประเภท คอื 1) วิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ (Scientific Method) 2) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Science Process Skill) 3) จติ วิทยาศาสตร์ (Scientific Attitudes) วิธีการทางวิทยาศาสตร กรวะิทบยวานศกาาสรตทรา ง จิตวิทยาศาสตร ? ทักษะกระบวนการ เปนลักษณะนิสัยของบุคคลที่เกิด ทางวิทยาศาสตร จากการเรียนรผู า นกระบวนการทาง ? ? ระบุปญ หา วทิ ยาศาสตร เชน เปนคนมีเหตมุ ีผล มีความสนใจใฝรู มีความซื่อสัตย ตั้งสมมตฐิ าน มีความรับผิดชอบ มีความอดทน เปนตน โดยสามารถนําความรู ไปใชประโยชนไดอยางถูกตองและ เหมาะสม ทกั ษะขั้นพนื้ ฐาน ทักษะข้นั ผสม - การต้ังสมมติฐาน รวบรวมขอมลู - การสงั เกต - การกาํ หนดนยิ ามเชงิ - การจาํ แนกประเภท ปฏบิ ัตกิ าร - การวดั - การกาํ หนดและ วเิ คราะหขอ มูล - การใชต ัวเลข ควบคมุ ตัวแปร - การลงความเหน็ จาก - การทดลอง - การตีความหมายขอมลู ขอ มลู และการลงขอ สรปุ - การจดั กระทาํ และสอื่ - การสรา งแบบจําลอง สรปุ ผล ความหมายขอ มลู - การหาความสัมพันธ ระหวา งสเปซกบั สเปซ และสเปซกบั เวลา - การพยากรณห รือการ คาดคะเน T86

1. วธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ ? วิธีการทางวิทยาศาสตร์เปนวิธีที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ในการ ค้นหาค�าตอบของส่ิงท่ีสงสัย ใช้แสวงหาความรู้หรือหาความจริง รวมทั้งแก้ปัญหาด้านตา่ ง ๆ วธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ หมายถงึ ขน้ั ตอนในการคน้ ควา้ หรอื การแสวงหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตรอ์ ยา่ งเปน ระบบ ประกอบดว้ ย 5 ขั้นตอน ดังน้ี 1 ระบุปญหา เปนการต้ังปัญหาหรือต้ังข้อสงสัยที่เกิดข้ึนจากการสังเกตส่ิงต่าง ๆ รอบตวั การสงั เกตควรทา� อยา่ งละเอยี ดรอบคอบ โดยใชป้ ระสาทสมั ผสั ตา่ ง ๆ เข้ามาช่วยในการสังเกต 2 ตงั้ สมมตฐิ าน เปนการคาดคะเนค�าตอบของค�าถามหรือปัญหาที่ต้องการศึกษาไว้ ล่วงหน้า โดยอาศัยข้อมูลหรือความรู้เดิม ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ โดยการสงั เกต การสา� รวจ หรือการทดลอง 3 รวบรวมข้อมลู เปน การรวบรวมขอ้ มลู หรอื คน้ หาคา� ตอบของปญั หาดว้ ยวธิ กี ารตา่ ง ๆ เช่น สงั เกต ส�ารวจ ทดลอง หรอื สรา้ งแบบจา� ลอง เพอื่ ใหไ้ ด้ขอ้ มลู แล้วบันทกึ ผล 4 วิเคราะห์ขอ้ มลู เปนการน�าข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการต่าง ๆ มา แปลความหมายหรืออธิบายความหมายของข้อเท็จจริง เพ่ือน�าไปสู่ การสรุปผล 5 สรปุ ผล เปน การสรุปผลของขอ้ มลู ที่ได้ศึกษาคน้ คว้ามา เพอื่ ตรวจสอบว่าตรง กบั สมมตฐิ านทตี่ ง้ั ไวล้ ว่ งหนา้ หรอื ไม่ จากนนั้ นา� ความรทู้ ไี่ ดไ้ ปประยกุ ต์ ใชใ้ นชวี ติ ประจ�าวัน หรือต้งั เปน กฎเกณฑ์เพื่อใชใ้ นการศกึ ษาต่อไป T87

2. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เปน กระบวนการทนี่ กั วทิ ยาศาสตร์ น�ามาใช้เพื่อการศึกษา การแสวงหาความรู้หรือค้นหาความจริง รวมท้ัง แกป้ ัญหาด้านต่าง ๆ ทางวทิ ยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความชา� นาญและความ สามารถในการคดิ คน้ หรอื การสบื เสาะเพอ่ื คน้ หาคา� ตอบ และการแกไ้ ขปญั หา ต่าง ๆ ได้ถูกต้องและเหมาะสม ซงึ่ แบง่ ออกเปน 2 ข้ัน ดังนี้ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรขน้ั พนื้ ฐาน มี 8 ทักษะ ดงั น้ี 1. การสังเกต เปนการใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่งหรือ 2. การจ�าแนกประเภท เปนการแบ่งพวก การจ�าแนกหมวดหมู่ ใช้หลายอย่างร่วมกัน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวกาย หรอื เรยี งลา� ดบั วตั ถหุ รอื เหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ โดยใชค้ วามเหมอื นกนั เพ่ือค้นหา ระบุ และบอกรายละเอียดของส่ิงต่าง ๆ โดยไม่ใส่ ความแตกต่างกัน หรือความสัมพันธ์อย่างใดอย่างหนึ่งมาเปน ความคดิ เห็นของผสู้ งั เกตลงไป เกณฑ์ในการจ�าแนกวัตถหุ รือสงิ่ ต่าง ๆ ออกจากกนั 3. การวัด เปนการเลือกใช้เครื่องมือและการใช้เครื่องมือต่าง ๆ 4. การใชต้ วั เลข เปน การนา� คา่ ทไ่ี ดจ้ ากการสงั เกตเชงิ ปรมิ าณ การ เพ่ือวัดหาปริมาณของส่ิงต่าง ๆ ออกมาเปนตัวเลขได้ถูกต้อง 12 วัด การทดลอง หรอื การสืบค้นจากแหล่งอ่ืน ๆ มาทา� ใหเ้ กิดคา่ และเหมาะสมกบั สง่ิ ทต่ี อ้ งการวดั รวมทง้ั บอกหรอื ระบหุ นว่ ยของ ใหม่ โดยการนบั จา� นวนหรอื นา� ตวั เลขมาคดิ คา� นวณ เพอ่ื ระบรุ าย ตวั เลขท่ีท�าการวดั ได้ ละเอียดเชิงปรมิ าณของสง่ิ ท่สี งั เกตได้ 5. การลงความเห็นจากข้อมูล เปนการเพ่ิมหรือใส่ความคิดเห็น 6. การจัดกระท�าและการสอ่ื ความหมายขอ้ มูล เปน การนา� ขอ้ มลู ที่ เพ่ืออธิบายข้อมูลที่ได้จากการสังเกตอย่างมีเหตุผล โดยอาศัย ไดม้ าจากการรวบรวมขอ้ มูลดว้ ยวธิ ีการต่าง ๆ มาจดั กระท�าและ ความร้แู ละประสบการณเ์ ดมิ มาช่วย นา� เสนอในรปู แบบใหม่ เพอ่ื ใหผ้ อู้ ่ืนเข้าใจความหมายได้ง่ายขึน้ โดยอาจน�าเสนอในรูปแบบแผนภาพ แผนผัง ตาราง กราฟ สมการ การเขยี นบรรยาย เปน ตน้ 7. การหาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสเปซกบั สเปซ และสเปซกบั เวลา 8. การพยากรณ์ หรือการคาดคะเน เปนการคาดคะเนคา� ตอบหรอื - เปนการหาความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่ที่วัตถุต่าง ๆ ครอบ คาดการณส์ ง่ิ ทจี่ ะเกดิ ขน้ึ ไวล้ ว่ งหนา้ กอ่ นทา� การทดลอง โดยอาศยั ครอง ปรากฏการณ์ที่เกิดซ้�า ๆ หลักการ กฎ หรือทฤษฎีท่ีมีอยู่แล้ว - เปน การหาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งพนื้ ทท่ี วี่ ตั ถตุ า่ ง ๆ ครอบครอง มาชว่ ยในการคาดคะเนสง่ิ ท่ีก�าลงั จะเกดิ ขึน้ เม่ือเวลาผา่ นไป ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรขั้นผสม มี 6 ทกั ษะ ดังนี้ 1. การต้ังสมมติฐาน เปนการคิดหาค�าตอบล่วงหน้าก่อนท�าการ 2. การกา� หนดนยิ ามเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร เปน การกา� หนดความหมายและ ทดลอง โดยอาศัยการสังเกต ความรู้ หรือประสบการณ์เดิม ขอบเขตของค�าต่าง ๆ ท่ีอยู่ในสมมติฐานหรืออยู่ในการทดลอง เปนพื้นฐาน โดยค�าตอบทคี่ ดิ ไว้ลว่ งหนา้ น้ยี งั ไม่ทราบผล ไมม่ ี เพ่ือให้เกิดความเข้าใจตรงกันและสามารถสังเกตหรือวัดผลได้ หลักการ หรอื ไมเ่ ปนทฤษฎีมาก่อน และสมมติฐานที่ตัง้ ขนึ้ อาจ โดยให้ค�าอธิบายเก่ียวกับการทดลองและบอกวิธีการวัดตัวแปร ถูกหรือผิดก็ได้ ซ่งึ จะทราบได้ภายหลงั การทดลองแลว้ ทเี่ ก่ยี วกับการทดลองนัน้ ๆ 3. การก�าหนดและควบคุมตัวแปร เปนการก�าหนดตัวแปรต้น 4. การทดลอง เปนกระบวนการปฏิบัติการเพ่ือหาค�าตอบจาก ตัวแปรตาม และตัวแปรควบคุมท่ีต้องควบคุม โดยต้องให้ สมมตฐิ านท่ีตัง้ ไว้ ในการทดลองประกอบด้วย 3 ข้ันตอน คือ สอดคล้องกบั การตงั้ สมมติฐานหน่งึ ๆ ของการทดลอง การออกแบบการทดลอง การปฏบิ ตั ิการทดลอง และการบนั ทกึ ผลการทดลอง 5. การตีความหมายข้อมูลและการลงข้อสรุป เปนการแปลความ 6. การสร้างแบบจ�าลอง เปนการสร้างหรือใช้ส่ิงที่สร้างขึ้นมา หมายหรือบรรยายลักษณะของข้อมูลที่มีอยู่ และสามารถสรุป เพื่อเลียนแบบหรืออธิบายปรากฏการณ์ที่ศึกษาหรือที่สนใจ ความสัมพันธข์ องขอ้ มูลทงั้ หมดได้ แล้วสามารถน�าเสนอข้อมูล แนวคิด ความคิดรวบยอด เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจในรูปของแบบจ�าลองต่าง ๆ เช่น ชิ้นงาน สิง่ ประดษิ ฐ์ รูปภาพ กราฟ ขอ้ ความ เปนตน้ T88

3. จติ วิทยาศาสตร์ จิตวิทยาศาสตร์ คือ ลักษณะนิสัยของบุคคลท่ีเกิดขึ้นจาก การศึกษาและหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์โดยใช้กระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ จิตวิทยาศาสตร์ประกอบด้วยลักษณะต่าง ๆ เช่น ความมีเหตุ มผี ล ความสนใจใฝร ู้ ความมงุ่ มนั่ ความอดทน ความรบั ผดิ ชอบ ความ ซอื่ สัตย์ ความมวี ินยั ความละเอียดรอบคอบ ช่างสงสยั อยากรอู้ ยาก เห็น ใจกวา้ งและยอมรับฟงั ความคดิ เห็นของผู้อืน่ เปน ตน้ การเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรส์ ามารถฝก ฝนนกั เรยี นใหเ้ ปน ผมู้ จี ติ วทิ ยา ศาสตร์หรือมีลักษณะนิสัยของความเปนนักวิทยาศาสตร์ได้ โดยต้อง มีการเรียนรู้ควบคู่ไปกับการฝกความเปนนักวิทยาศาสตร์ด้านต่าง ๆ เพอ่ื ทา� ให้นกั เรยี นเกิดการเรียนรูแ้ บบนกั วิทยาศาสตร์ได้ ตัวอยา ง ลักษณะของผู้ทีม่ ีจิตวทิ ยาศาสตร์หรอื ผูท้ ่มี ีนิสยั ของความเปน นักวทิ ยาศาสตร์ 㺾תÁÕ¡ÒäÒ¹éíÒ Á´á´§ÊÌҧÃѧ䴌 ·Ò§»Ò¡ãº Í‹ҧäùРมคี วามสนใจใฝเรยี นรู้ ช่างสงสยั อยากรอู้ ยากเห็น ä»Ê‹§§Ò¹¡Ñ¹à¶ÍÐ ¢ÍµÃǨÊͺ¤ÇÒÁ¶Ù¡µŒÍ§ à´ç¡ËÞÔ§¿‡ÒãÊÊ‹§§Ò¹ä´ŒµÃ§ Ê‹§§Ò¹¤‹Ð¤Ø³¤ÃÙ ÍÕ¡Ãͺ¡‹Í¹Ê‹§¹Ð µÒÁàÇÅÒàŹФÃѺ มีความละเอยี ดรอบคอบ มีความรับผดิ ชอบ T89

บรรณานุกรม กุณฑรี  เพ็ชรทวีพรเดช และคณะ. 2550. สุดยอดวิธีสอนวิทยาศาสตร์ น�ำไปสู่การจัดการเรียนรู้ของครูยุคใหม่. กรุงเทพฯ : อกั ษรเจรญิ ทศั น.์ คาน, ซาราห์ และกิลเลสพี, ลิซา เจน. 2558. พจนานุกรมภาพวิทยาศาสตร์ ประถม-มัธยมต้น. แปลโดย กฤติกา ชินพันธ์. กรงุ เทพฯ : บรษิ ทั นานมบี ๊คุ ส์ จ�ำกดั . งานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, ส�ำนัก. 2549. หนังสือชุดกิจกรรมส่งเสริม การเรยี นรู้ “การสืบคน้ ทางวทิ ยาศาสตร์” ระดบั มธั ยมศกึ ษา. ปทมุ ธานี : ส�ำนักงานพฒั นาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี แหง่ ชาต.ิ ชุตมิ า  วัฒนะคีร.ี 2549. กิจกรรมวิทยาศาสตรใ์ นโรงเรยี น. กรุงเทพฯ : สวุ รี ิยาสาสน์ . ทศิ นา  แขมมณ.ี 2556. ศาสตร์การสอน : องคค์ วามรเู้ พ่อื การจดั กระบวนการเรยี นรู้ท่ีมปี ระสิทธภิ าพ. พมิ พ์คร้งั ท่ี 17. กรุงเทพฯ : บรษิ ทั ดา่ นสุทธาการพมิ พ์ จ�ำกดั . พลอยทราย  โอฮา่ มา. 2559. หนงั สอื เรียนรายวชิ าเพ่ิมเติม วิทยาศาสตร์เพือ่ ศตวรรษที่ 21 ป.4. พมิ พ์ครง้ั ที่ 2. นนทบุรี : บรษิ ัท ไทยรม่ เกลา้ จ�ำกัด. พมิ พ์พนั ธ์  เดชะคปุ ต.์ 2544. การจัดการเรียนการสอนดว้ ยวธิ กี ารสอนแบบสืบสวน. กรุงเทพฯ : เดอมาสเตอร์กรุ๊ฟเมเนจเม้นท์. ภพ  เลาหไพบลู ย.์ 2542. แนวการสอนวิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ ). พมิ พ์ครงั้ ท่ี 3. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช. แรมสมร  อยูส่ ถาพร. 2538. เทคนิคและวธิ กี ารสอนในระดับประถมศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : ส�ำนกั พิมพแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. วนั เฉลมิ  กลน่ิ ศรสี ขุ . 2558. การใชก้ จิ กรรมคา่ ยวทิ ยาศาสตรเ์ พอ่ื พฒั นาทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข์ น้ั พน้ื ฐาน. วทิ ยานพิ นธ์ ครุศาสตรมหาบัณฑิต (หลักสตู รและการสอน), มหาวิทยาลยั ราชภฏั สวนสุนันทา. วันเฉลมิ  กล่ินศรสี ุข และคณะ. 2558. ค่มู อื ครวู ิทยาศาสตร์ เพอ่ื ศตวรรษที่ 21 ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 4. นนทบุรี : บรษิ ทั ไทยรม่ เกลา้ จ�ำกัด. วิจารณ์  พานิช. 2555. วิถสี ร้างการเรียนร้เู พื่อศษิ ย์ ในศตวรรษท่ี 21. กรงุ เทพฯ : บรษิ ทั ตถาตาพับลเิ คช่ัน จ�ำกัด. วิชาการและมาตรฐานการศึกษา ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, ส�ำนัก. 2553. แนวทาง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิด ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ระดับประถมศึกษา. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พช์ ุมนุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำ� กดั . ศริ ริ ตั น์  วงศศ์ ริ ิ และคณะ.2560. คมู่ อื ครรู ายวชิ าพน้ื ฐาน วทิ ยาศาสตร์ ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่3. พมิ พค์ รงั้ ท่ี8. นนทบรุ ี: บรษิ ทั ไทยรม่ เกลา้ จำ� กดั . . 2560. ค่มู อื ครรู ายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 4. พมิ พ์คร้งั ท่ี 8. นนทบรุ ี : บริษัท ไทยรม่ เกลา้ จ�ำกัด. . 2560. คู่มอื ครรู ายวชิ าพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 5. พมิ พค์ รัง้ ท่ี 8. นนทบุรี : บรษิ ัท ไทยรม่ เกล้า จ�ำกัด. ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ, สถาบัน. 2558. แบบบนั ทกึ กจิ กรรมรายวชิ าพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 4. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์ สกสค. ลาดพร้าว. . 2560. คูม่ อื ครรู ายวชิ าพ้นื ฐาน วทิ ยาศาสตร์ ชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 4. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์ สกสค. ลาดพรา้ ว. . 2560. ตวั ชวี้ ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พช์ มุ นมุ สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จ�ำกดั . สรศักด์ิ  แพรค�ำ. 2544. ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์. อุบลราชธานี : สถาบันราชภัฏอุบลราชธานี. ส�ำนักบริหารวิชาการ วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์, แผนกบริหารหลักสูตร. 2557. เอกสารเผยแพร่ความรู้วิชาการศึกษา : วธิ กี ารสอน (Teaching Methodology). กรงุ เทพฯ : วิทยาลัยเทคโนโลยีปญั ญาภิวัฒน.์ สวุ ิทย์  มูลค�ำ และอรทยั  มูลคำ� . 2547. 21 วิธจี ดั การเรยี นรู้ : เพื่อพฒั นากระบวนการคดิ . พมิ พค์ รั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : ภาพพมิ พ์. Ho Peck Leng. (2010). I-Science Interactions Primary 5&6. Singapore : Times Printers Pte Ltd. Marshall Cavendish Education. (2011). My Pals are Here! Science (International Edition) Teacher’ s Guide 3A. Singapore : Times Printers Pte Ltd. . (2012). My Pals are Here! Science (International Edition) Teacher’ s Guide 5A. Singapore : Times Printers Pte Ltd. T90


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook