บันทกึ ขอ้ ความ สว่ นราชการ ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั อำเภอชนแดน ท่ี ศธ ๐๒๑๐.๕๔๐๓/ วันท่ี ๗ มนี าคม ๒๕๖๕ เรอื่ ง สรปุ ผลการปฏิบตั ิงานโครงการอยากอา่ นต้องได้อ่าน Book Delivery เรยี น ผ้อู ำนวยการศูนย์การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยอำเภอชนแดน ตามท่ี ห้องสมุดประชาชนอำเภอชนแดนได้จัดทำโครงการอยากอ่านต้องได้อ่าน Book Delivery ระหว่าง เดือนมกราคม ๒๕๖๕ - มีนาคม ๒๕๖๕ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนรักการอ่านและการ เรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จัดกิจกรรมการศึกษาตามอัธยาศัยให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมาย และ สนับสนุนการจัดการศึกษาให้กับประชาชนในชุมชน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ส่งเสริมการศึกษาตามอัธยาศยั เปน็ การสร้างสงั คมแห่งการเรียนรู้ในชมุ ชน บดั น้ีโครงการดงั กล่าวไดด้ ำเนนิ การเสรจ็ ส้นิ เรยี บร้อยแล้ว ห้องสมุดประชาชนอำเภอชนแดน จึงขอสรปุ ผลการปฏิบัตงิ านโครงการดังกล่าวรายละเอียด ตามเอกสารที่แนบมาพร้อมน้ี จงึ เรยี นมาเพือ่ โปรดทราบ (นางวารี ชบู วั ) บรรณารักษ์ชำนาญการ
คำนำ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอชนแดน มอบหมายให้ห้องสมุด ประชาชนอำเภอชนแดน ดำเนินการจัดทำโครงการอยากอ่านต้องได้อ่าน Book Delivery ระหว่าง เดือน มกราคม - มีนาคม 2565 เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนรักการอ่านและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จัด กิจกรรมการศึกษาตามอัธยาศยั ให้กบั ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย และสนบั สนุนการจัดการศึกษาให้กับประชาชน ในชมุ ชน เพอ่ื พฒั นาคุณภาพชีวิต สง่ เสรมิ การศึกษาตามอธั ยาศยั เป็นการสรา้ งสังคมแหง่ การเรียนรู้ในชุมชน น้ัน ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอชนแดน หวังเป็นอย่างยิ่งว่า สรุปผลการปฏิบัติงานโครงการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย เล่มนี้คงเป็นประโยชน์ในการใช้เป็นคู่มือในการ ดำเนินงานต่อไป หากมีข้อเสนอแนะประการใดโปรดแจ้งคณะผู้จัดทำเพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงใน ครงั้ ต่อไป ผู้จดั ทำ มนี าคม 2565
สารบัญ หนา้ 1-8 บทท่ี 1 บทนำ 9 - 39 บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเกย่ี วข้อง 40 - 45 บทท่ี 3 วธิ ดี ำเนนิ การตามโครงการ 46 - 50 บทท่ี 4 ผลการดำเนนิ การตามโครงการ 51 - 53 บทท่ี 5 สรุปผลการดำเนนิ งานตามโครงการ ภาคผนวก รูปภาพ แบบประเมินความพึงพอใจ คำสัง่ โครงการ คณะผู้จัดทำ
1 บทท่ี 1 บทนำ 1.ชือ่ โครงการ โครงการจดั การศึกษาตามอัธยาศัย กจิ กรรมท่ี 10 โครงการอยากอ่านต้องไดอ้ า่ น Book Delivery 2. สอดคลอ้ งกับยุทธศาสตร์ชาติ ยุทธศาสตร์ที่ 3 ด้านการพัฒนาและเสรมิ สรา้ งศักยภาพทรพั ยากรมนุษย์ ยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์มีเป้าหมายการพัฒนาที่สำคัญเพื่อ พัฒนาคนในทุกมิติและในทุกช่วงวัยให้เป็นคนดี เก่งและมีคุณภาพ โดยคนไทยมีความพร้อมทั้งกาย ใจ สติปัญญา มี พัฒนาการที่ดีรอบด้านและมีสุขภาวะที่ดีในทุกช่วงวัย มีจิตสาธารณะ รับผิดชอบต่อสังคมและผู้อื่น มัธยัสถ์อดออม โอบอ้อมอารี มีวนิ ัย รกั ษาศลี ธรรม และเป็นพลเมอื งดีของชาติ มีหลกั คิดทถ่ี ูกตอ้ ง มที กั ษะท่ีจ่าเปน็ ในศตวรรษท่ี 21 มี ทักษะสื่อสารภาษาอังกฤษและภาษาที่ 3และอนุรักษ์ภาษาท้องถ่ิน มีนิสัยรักการเรียนรู้และการพัฒนาตนเองอย่าง ตอ่ เน่อื งตลอดชีวิต สกู่ ารเป็นคนไทยที่มีทักษะสูง เป็นนวัตกร นกั คิด ผู้ประกอบการ เกษตรกรยุคใหม่และอื่น ๆ โดยมี สมั มาชพี ตามความถนัดของตนเอง ประเด็นที่ 2 การพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต มุ่งเน้นการพัฒนาคนเชิงคุณภาพในทุกช่วงวัย ประกอบด้วย (1) ชว่ งการตง้ั ครรภ์/ปฐมวัย เนน้ การเตรยี มความพร้อมให้แก่พ่อแม่ก่อนการต้ังครรภ์ (2) ช่วงวัยเรียน/ วัยรุ่น ปลูกฝังความเป็นคนดี มีวินัยพัฒนาทักษะการเรียนรู้ที่สอดรับกับศตวรรษที่ 21 (3) ช่วงวัยแรงงาน ยกระดับ ศักยภาพ ทักษะและสมรรถนะแรงงานสอดคล้องกับความต้องการของตลาด และ (4) ช่วงวัยผู้สูงอายุ ส่งเสริมให้ ผู้สูงอายเุ ปน็ พลังในการขบั เคลือ่ นประเทศ ประเด็นที่ 6 การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ โดย (1) การสร้างความอยู่ดีมีสุขของครอบครัวไทย (2) การส่งเสริมบทบาทการมีส่วนร่วมของภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น ครอบครัวและชุมชนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (3) การปลูกฝังและพัฒนาทักษะนอก ห้องเรียน และ (4) การพัฒนาระบบฐานขอ้ มูลเพ่ือการพฒั นาทรัพยากรมนษุ ย์ สอดคล้องกบั แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 12 ยุทธศาสตรท์ ่ี 1 การเสริมสรา้ งและพัฒนาศกั ยภาพทนุ มนุษย์ 3.1 ปรับเปลยี่ นค่านยิ มคนไทยใหม้ คี ณุ ธรรม จริยธรรม มีวินัย จติ สาธารณะ และพฤติกรรม ท่ีพงึ ประสงค์ 3.1.2 ส่งเสริมให้มีกิจกรรมการเรียนการสอนทั้งในและนอกห้องเรียนที่สอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม ความมีวินัย จิตสาธารณะ รวมทั้งเร่งสร้างสภาพแวดล้อมภายในและโดยรอบสถานศึกษาให้ปลอด จากอบายมุขอย่าง จริงจงั 3.2 พัฒนาศกั ยภาพคนให้มที กั ษะความรู้และความสามารถในการดำรงชีวติ อยา่ งมีคุณคา่ 3.2.2 พัฒนาเด็กวัยเรยี นและวัยรุ่นใหม้ ีทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ มีความคิด สร้างสรรค์ มี ทกั ษะการทำงานและการใช้ชวี ติ ท่ีพร้อมเข้าสตู่ ลาดงาน
2 3.3 ยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชวี ติ 3.3.6 จัดทำส่ือการเรยี นร้ทู เ่ี ป็นสือ่ อิเล็กทรอนิกส์และสามารถใชง้ านผา่ นระบบอุปกรณ์สอื่ สารเคลอ่ื นท่ี ให้คนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้ง่าย สะดวก ทั่วถึง ไม่จากัดเวลาและสถานที่ และใช้มาตรการทางภาษีจูงใจให้ ภาคเอกชนผลติ หนงั สอื สื่อการอ่านและการเรยี นรู้ทม่ี ีคณุ ภาพและราคาถูก 3.3.7 ปรับปรุงแหล่งเรียนรู้ในชุมชนให้เป็นแหล่งเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์และมีชีวิต อาทิพิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด โบราณสถาน อุทยานประวัติศาสตร์ โรงเรียนผู้สงู อายุ รวมทั้งส่งเสริมให้มีระบบการจดั การความรู้ท่ีเป็นภมู ิ ปญั ญาท้องถ่ิน สอดคลอ้ งกบั นโยบาลของรัฐบาล (กระทรวงศึกษาธกิ าร) 1. การพัฒนาและเสริมสรา้ งศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ 1.1 การจดั การศึกษาเพ่ือคุณวฒุ ิ พัฒนาผ้เู รียนใหม้ ีความรอบรแู้ ละทกั ษะชวี ิต เพื่อเป็นเครอื่ งมือในการ ดำรงชีวิตและสรา้ งอาชีพ อาทิ การใช้เทคโนโลยดี ิจทิ ลั สขุ ภาวะและทัศนคติท่ีดตี ่อการดูแลสขุ ภาพ 1.2 การเรยี นรตู้ ลอดชวี ิต - จัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับประชาชนทุกช่วงวัย เน้นส่งเสริมและยกระดับทักษะภาษาอังกฤษ (English for All) สอดคล้องกับนโยบายและจุดเน้นการดำเนนิ งาน กศน. จดุ เน้นการดําเนินงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 2. ด้านการสรา้ งสมรรถนะและทักษะคุณภาพ 2.1 ส่งเสริมการจดั การศึกษาตลอดชีวติ ทีเ่ น้นการพฒั นาทกั ษะทีจ่ าํ เป็นสำหรบั แต่ละช่วงวยั และ การจัดการศกึ ษาและการเรยี นรทู้ เี่ หมาะสมกบั แต่ละกลุ่มเป้าหมายและบริบทพืน้ ท่ี 3. ด้านองคก์ ร สถานศึกษา และแหล่งเรียนรูค้ ุณภาพ 3.3 ปรับรปู แบบกิจกรรมในหอ้ งสมุดประชาชน ท่ีเนน้ Library Delivery เพื่อเพิม่ อัตราการอ่าน และการร้หู นังสือของประชาชน 3.5 ส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างพน้ื ท่ีการเรยี นรู้ ในรปู แบบ Public Learning Space/ Co- Learning Space เพ่อื การสร้างนเิ วศการเรยี นรู้ใหเ้ กดิ ข้นึ สังคม
3 สอดคล้องกบั ตวั ชว้ี ดั การประกันคณุ ภาพภายในสถานศึกษา มาตรฐานการศึกษาตามอธั ยาศยั มาตรฐานท่ี 1 คณุ ภาพของผูร้ บั บรกิ ารการศึกษาตามอธั ยาศัย ตวั บง่ ชท้ี ่ี 1.1 ผูร้ ับบริการมคี วามรู้ หรอื ทักษะ หรือประสบการณ์ สอดคลอ้ งกบั วัตถุประสงคข์ องโครงการ หรือกจิ กรรมการศึกษาตามอัธยาศยั มาตรฐานท่ี 2 คุณภาพการจัดการศึกษาตามอธั ยาศัย ตัวบ่งชท้ี ่ี 2.1 การกำหนดโครงการหรอื กจิ กรรมการศึกษาตามอัธยาศยั ตัวบ่งชท้ี ี่ 2.2 ผู้จดั กิจกรรมมีความรู้ ความสามารถในการจัดการศกึ ษาตามอัธยาศัย ตวั บ่งชท้ี ี่ 2.3 สือ่ หรือนวตั กรรม และสภาพแวดล้อมท่ีเอ้ือตอ่ การจดั การศึกษาตาม อัธยาศยั ตัวบ่งชท้ี ี่ 2.4 ผรู้ ับบริการมีความพึงพอใจต่อการจัดการศกึ ษาตามอัธยาศยั มาตรฐานที่ 3 คุณภาพการบริหารจดั การของสถานศกึ ษา ตัวบง่ ชี้ที่ 3.1 การบรหิ ารจดั การของสถานศึกษาท่เี น้นการมสี ว่ นรว่ ม ตวั บง่ ชที้ ่ี 3.2 ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศกึ ษา ตัวบ่งชท้ี ่ี 3.5 การกำกับ นเิ ทศ ตดิ ตาม ประเมนิ ผลการดำเนนิ งานของสถานศึกษา ตัวบง่ ชี้ท่ี 3.7 การสง่ เสรมิ สนบั สนุนภาคีเครอื ข่ายใหม้ สี ว่ นรว่ มในการจัดการศกึ ษา ตัวบ่งชท้ี ่ี 3.8 การสง่ เสรมิ สนับสนุนการสร้างสงั คมแหง่ การเรียนรู้ ขอ้ เสนอแนะ ของ สมศ. ข้อที่ 1 ในการดำเนินแผนงาน/โครงการ สถานศึกษาควรมีการติดตามตรวจสอบการดำเนินงานทุก ระยะ ขั้นตอนของการดำเนินงาน เพื่อประเมินผลและนำผลการประเมินมาปรับปรุงและพัฒนาให้เป็นระบบครบ วงจร PDCA และในการประเมินความพึงพอใจ ควรเพิ่มข้อเหตุผล ข้อคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะวา่ เพราะเหตุใดขอ้ นน้ั จงึ ใหค้ ะแนนมากหรอื นอ้ ย ข้อที่ 13 ในการบริหารจัดการการดำเนินโครงการ กิจกรรมต่างๆ สถานศึกษาควรดำเนินการให้ ครบถ้วนเป็นระบบครบวงจร PDCA และในโครงการกิจกรรมควรกำหนดวัตถุประสงค์เป็นรูปธรรม มีการออกแบบ ประเมินให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ มีการดำเนินการนิเทศ กำกับ ติดตาม และประเมินผลอย่าง ต่อเนอื่ งและนำผลการประเมินทีไ่ ด้ไปวิเคราะห์ถึงอุปสรรค และนำไปวางแผน ปรับปรงุ พฒั นาในปตี อ่ ไป
4 3. หลักการและเหตุผล ตามที่ รัฐบาลกำหนดยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ มีทักะที่จำเป็นใน ศตวรรษที่ 21 มีนิสัยรักการเรียนรู้และการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต โดยเฉพาะการปฏิรูปกระบวนการ เรียนรู้ที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง ในศตวรรษที่ 21 มุ่งเน้นผู้เรียนให้มีทักษะการเรียนรู้และมีใจใฝ่เรียนรู้ ตลอดเวลา นโยบายจุดเน้นการดำเนินงาน สำนักงาน กศน. ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพให้มี คุณภาพ การเพิ่มอัตราการอ่านของประชาชน โดยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านในรูปแบบต่าง ๆ เช่นอาสาสมัคร ส่งเสริมการอ่าน ห้องสุมดประชาชน บ้านหนังสือชุมชน ห้องสมุดเคล่ือนที่ ผลักดันให้เกิดห้องสมุดสู่การเป็นห้องสมดุ เสมือนจริงต้นแบบ เพื่อพัฒนาให้ประชาชนมีความสามารถในระดับอ่านคล่อง เข้าใจ ความคิดวิเคราะห์พื้นฐาน และ สามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและทันเหตุการณ์ รวมทั้งนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวัน ตลอดจนการมีแหลง่ เรยี นรูท้ ี่มีส่ือ กจิ กรรมในการปลกู ฝังกระบวนการเรยี นรู้ตลอดชวี ิต การอ่านเป็นทักษะทางภาษาที่จำเป็นต้องฝึกฝนอยู่เสมอ และไม่มีวันสิ้นสุดสามารถฝึกได้เรื่อย ๆ ตามวัย และประสบการณ์ของผู้อ่าน เพราะการอ่านนั้นจะเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของมนุษย์ เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะ ช่วยให้มนุษย์ได้รับความรู้ ความคิด และความบันเทิงใจ ช่วยปรับปรุงชีวิตให้สดใสสมบูรณ์ ซึ่งแต่ละคนจะมี จุดประสงค์ของตนเอง เช่นการอ่านเพื่อความรู้ การอ่านเพื่อความคิด แนวความคิดทางปรัชญา วัฒนธรรม จริยธรรม และความคิดเห็นท่ัวไป และการอ่านเพ่ือความบันเทิง เป็นต้น ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั อำเภอชนแดน มอบหมายใหห้ ้องสมุดประชาชนอำเภอ ชนแดน จัดทำโครงการอยากอ่านต้องได้อ่าน Book Delivery เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนรักการอ่านและการเรียนรู้ อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จัดกิจกรรมการศึกษาตามอัธยาศัยให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมาย และสนับสนุนการจัด การศกึ ษาใหก้ ับประชาชนในชมุ ชน เพื่อพฒั นาคุณภาพชวี ิต สง่ เสรมิ การศึกษาตามอัธยาศัย เปน็ การสร้างสังคมแห่ง การเรยี นรู้ในชุมชน 4. วัตถุประสงค์ 4.1 เพ่ือรณรงค์ ส่งเสริม เพม่ิ ทกั ษะการอา่ นของประชาชน 4.2 เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้นักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไป มีนิสัยรักการอ่านนำไปสู่ การเรียนรู้ และพฒั นาคุณภาพชีวิตให้ดขี น้ึ 5. เปา้ หมาย เชงิ ปริมาณ นักเรียน นกั ศกึ ษา และประชาชนทว่ั ไป จำนวน 25 คน เชิงคุณภาพ 1. รณรงค์ สง่ เสริม เพ่มิ ทกั ษะการอา่ นของประชาชน 2. ส่งเสรมิ สนับสนนุ ใหน้ กั เรยี น นักศกึ ษาและประชาชนท่ัวไป มนี สิ ยั รกั การอา่ นนำไปส่กู ารเรยี นรู้ และพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ใหด้ ีข้ึน
6. วธิ ีดำเนินการ กิจกรรมหลกั วัตถปุ ระสงค์ กลุ่มเป้าหมาย ก 1. ขั้นเตรียมการ ช เพื่อจัดประชุมครูและบคุ ลากรทางการ ครูและบุคลากร ว 2. ประชุมกรรมการ ดำเนนิ งาน ศึกษา กศน. อำเภอชนแดน ช 3. จัดเตรยี มเอกสาร ข วัสดุ อุปกรณใ์ นการ - ชแี้ จงทำความเขา้ ใจรายละเอยี ด จำนวน 21 คน จ ดำเนินโครงการ โครงการ - ช้ีแจงแนวทางในการดำเนนิ โครงการ - จัดทำโครงการและแผนการดำเนนิ การ เพ่อื อนมุ ัติ - แตง่ ตั้งกรรมการดำเนินงานตาม โครงการ เพื่อประชมุ ทำความเข้าใจกบั กรรมการ ครูและบุคลากร ดำเนินงานทกุ ฝ่ายในการจดั กิจกรรม กศน. อำเภอชนแดน โครงการและการดำเนนิ งาน จำนวน 21 คน เพ่ือดำเนินการจดั ทำ จดั ซ้อื วัสดุอุปกรณ์ กรรมการฝ่ายที่ได้รบั ทใ่ี ช้ในการดำเนนิ การ มอบหมาย
5 กลุม่ เปา้ หมาย พน้ื ท่ีดำเนนิ การ ระยะเวลา งบประมาณ เป้าหมาย (เชงิ คณุ ภาพ) ธ.ค.64 - กศน. อำเภอ ชี้แจงทำความเขา้ ใจ รายละเอียดและ ชนแดน วตั ถุประสงค์ของการจัดโครงการ ช้ีแจงวัตถปุ ระสงค์ บทบาทหน้าท่ี กศน. อำเภอ ธ.ค.64 - ของกรรมการดำเนนิ งานโครงการ ชนแดน จัดซื้อวสั ดอุ ุปกรณ์ในการจดั โครงการ กศน. อำเภอ ธ.ค.64 - ชนแดน
กจิ กรรมหลัก วตั ถุประสงค์ กลมุ่ เปา้ หมาย ก 4. ดำเนนิ การจดั นักเรียน นักศกึ ษา กิจกรรม 1..สมัครสมาชิกห้องสมดุ ประชาชน และประชาชนทว่ั ไป ส 2.กลุม่ ไลน์ : Book Delivery จำนวน 25 คน แ 5. สรปุ /ประเมินผล 3. หนงั สอื ใหม่ หนงั สือยอดนิยม น และรายงานผล หนงั สือน่าอา่ น ช โครงการ 3.4 หนังสอื ความรทู้ ั่วไป ฯลฯ ตามกระบวนการ ส 4.จดั สง่ หนังสอื ถึงบ้าน ประเมินโครงการ ต 5 บท จำนวน 3 เลม่ 4.1 บรรณารักษ์ 4.2 ครู กศน.ตำบล 4.3 อาสาสมคั รสง่ เสริมการอา่ น 4.4 อ่ืน ๆ 5.มอบเกยี รติบตั รยอดนักอ่าน ยืม-คืน หนงั สือจำนวน 3 ครงั้ ข้ึนไป 6.มอบเกยี รติบตั รผูป้ ฏบิ ัตงิ านดเี ด่น ใหบ้ รกิ ารส่งหนังสือถงึ บ้าน จำนวน 3 ครัง้ ขน้ึ ไป เพอื่ ใหก้ รรมการฝา่ ยประเมินผลเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลและดำเนินการประเมินผล การจดั กจิ กรรม
6 กล่มุ เปา้ หมาย พื้นทด่ี ำเนนิ การ ระยะเวลา งบประมาณ เปา้ หมาย (เชิงคณุ ภาพ) อำเภอชนแดน ม.ค.65 - สง่ เสริมสนับสนุนให้ นกั เรียน นกั ศกึ ษา ถงึ และประชาชนทว่ั ไปมีนสิ ัยรักการอ่าน นำไปสู่ การเรียนรู้ และพฒั นาคุณภาพ มี.ค.65 ชีวิตใหด้ ีข้นึ สรุปรายงานผลการดำเนินงาน กศน. อำเภอ ม.ี ค.65 - ตามระบบ PDCA ชนแดน
7 7. วงเงินงบประมาณ ไมใ่ ช้ 8. แผนการใชจ้ ่ายงบประมาณ แผนการใชจ้ า่ ยรายไตรมาส ไตรมาสที่ 1 ไตรมาสที่ 2 ไตรมาสที่ 3 ไตรมาสท่ี 4 - - - - 9. ผูร้ บั ผิดชอบโครงการ ตำแหน่ง : บรรณารกั ษช์ ำนาญการ ชื่อ - สกลุ : นางวารี ชบู ัว เบอร์โทรศัพท์มือถือ : 056 – 761667 เบอรโ์ ทรศัพทท์ ี่ทำงาน : 056 – 761667 อีเมลล์ : [email protected] ผู้ร่วมดำเนินการ ตำแหน่ง ครอู าสาสมคั รฯ นางสมบตั ิ มาเนตร์ ตำแหน่ง ครอู าสาสมัครฯ นางสาวลาวณั ย์ สทิ ธกิ รวยแกว้ ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางลาวนิ สเี หลือง ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางสาวมุจลนิ ท์ ภูยาธร ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางสาวนภารตั น์ สีสะอาด ตำแหนง่ ครู กศน.ตำบล นางสาวลดาวรรณ์ สทุ ธพิ ันธ์ ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางผกาพรรณ มะหทิ ธิ ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางสาวพชั ราภรณ์ นริศชาติ ตำแหนง่ ครู กศน.ตำบล นางสุรัตน์ จันทะไพร ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นายเกรียงไกร ใหมเ่ ทวินทร์ ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางสาวณฐั ชา ทาแน่น ตำแหนง่ ครูประจำศูนยก์ ารเรียนชมุ ชน นางสาวอุษา ยงิ่ สกุ ตำแหนง่ ครปู ระจำศนู ยก์ ารเรยี นชุมชน นางสาวกญั ญาณัฐ จนั ปัญญา ตำแหน่ง ครปู ระจำศูนยก์ ารเรยี นชมุ ชน นายปณั ณวัฒน์ สุขมา ตำแหนง่ ครูประจำศนู ย์การเรียนชมุ ชน นางสาววรางคณา นอ้ ยจันทร์ ตำแหนง่ ครูประจำศนู ยก์ ารเรียนชมุ ชน นายศวิ ณัชญ์ อศั วสมั ฤทธิ์ ตำแหนง่ นกั จัดการงานท่ัวไป นางสาวเยาวดี โสดา ตำแหนง่ พนักงานบรกิ าร นายอำพล เพชรสขุ
8 10. เครือข่าย 10.1 กศน.ตำบลทัง้ 9 แหง่ 10.2 บา้ นหนังสอื ชมุ ชน 11.โครงการที่เก่ียวขอ้ ง 11.1 โครงการจัดการศึกษาตามอธั ยาศยั 11.2 โครงการพฒั นาคณุ ภาพผู้เรยี น 11.3 โครงการประชาสัมพนั ธง์ าน กศน. 11.4 โครงการส่งเสริมและพฒั นาประสิทธภิ าพการทำงานร่วมกับเครอื ขา่ ย 11.5 โครงการประกันคุณภาพสถานศึกษา 12. ผลลัพธ์ 12.1 รณรงค์ สง่ เสริม เพิ่มทกั ษะการอา่ นของประชาชน 12.2 สง่ เสริมสนับสนนุ ใหน้ กั เรยี น นกั ศึกษาและประชาชนทว่ั ไป มีนสิ ยั รกั การอ่านนำไปสู่ การเรียนรู้ และพัฒนาคุณภาพชีวิตใหด้ ขี น้ึ 13. ดัชนวี ัดผลสำเร็จของโครงการ 13.1 ตัวชี้วัดผลผลิต (output) กลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการฯ 80 % มีความพึงพอใจในการเข้าร่วม กจิ กรรม 13.2 ตัวชีว้ ดั ผลลพั ธ์ ( outcome ) นักเรยี น นักศกึ ษา และประชาชนท่ัวไป มนี ิสัยรกั การอ่าน เพ่อื พฒั นา คุณภาพชีวติ ท่ดี ีข้นึ 14. การติดตามผลและประเมินผลโครงการ 14.1 แบบประเมนิ ความพึงพอใจผู้เข้ารว่ มกจิ กรรม / โครงการ 14.2 สรปุ /รายงานผลการจดั กิจกรรม
9 บทที่ 2 เอกสารที่เกีย่ วขอ้ ง ความรเู้ บอ้ื งตน้ เกย่ี วกับการอา่ น การอา่ น เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนท่ัวไป โดยเฉพาะผทู้ ี่อยู่ในวยั ศึกษาเลา่ เรยี น เพราะปัจจุบนั เปน็ ยุค ของข่าวสาร ซึ่งข้อมูลความรู้ในทุกด้านได้เผยแพร่ในรูปของหนังสือแสะสิ่งตีพิมพ์ต่าง ๆ ผู้อ่านหนังสือมาก จะไดร้ ับคุณคา่ ทางปัญญา เกดิ ความรู้ ความรอบรู้ มีความก้าวหน้าและทันสมัยอยเู่ สมอ ดังบทพระราชนิพนธ์ ในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี หนงั สือน้ีมมี ากมายหลายชนดิ นำดวงจิตเริงรนื่ ชื่นสดใส ใหค้ วามรู้สกเรงิ บนั เทิงใจ ฉันจงึ ใฝ่ใจสมานอ่านทุกวนั มวี ิชาหลายอย่างตา่ งจำพวก ลว้ นสะดวกค้นได้ให้สุขสันต์ วิชาการสรรมาสารพนั ชว่ั ชีวันฉันอ่านได้ไมเ่ บ่ือเลย บทกลอนข้างต้นชื่อ “ฉันชอบหนังสือ” ปรากฏในจดหมายข่าวกรมวิชาการ (1 เมษายน 2526 หน้า 11) เน้อื ความกล่าวถึงคณุ คา่ ของหนังสือ ซ่ึงใหท้ ั้งความบันเทิงใจและความรู้แสดงให้เห็นวา่ ทรงพอพระ ราชหฤทัยที่จะทรงอ่านหนังสือทุกวัน ไม่ทรงเบ่ือหน่ายแต่ประการใด และให้แนวความสำคัญว่า การอ่าน หนงั สือ มคี วามจำเป็นต่อชวี ติ ความสำคญั ของการอา่ น การอ่านเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างหน่ึงของมนุษย์ ทใี่ ช้สายตาและสมองรับรู้ความหมาย รวมทั้ง ความเข้าใจจากสิ่งท่ีอ่าน หากมนุษย์ไม่มีการจดบันทึกเร่ืองราวความเป็นมาของตนเอง อีกทั้งมนุษย์ไม่รู้จัก ความหมายของภาษาท่ีกลุ่มชนน้ัน ๆ ใช้บันทึกโดยเฉพาะไม่รู้จักการอ่าน ย่อมทำให้มนุษย์ขาดการเรียนรู้ และความเข้าใจซ่ึงกนั และกัน ปัจจุบันมีส่ือมวลชน เช่น วิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ เข้ามาแย่งเวลาของเราไป แต่การอ่านก็ยังถือ ว่าเป็นสิ่งท่ีดี ไม่อาจนำเอาสิ่งใดมาทดแทนได้ หนังสือจะเป็นกุญแจไขความรู้และความลี้ลับต่าง ๆ ในโลก ให้แก่เราตามต้องการ และจากการอ่านเราจะได้ความรู้สึกละเอียดอ่อน ความซาบซ้ึงไปกับความไพเราะและ รสของภาษา เกิดภาพพจน์ได้เปน็ อย่างดี ซง่ึ สอื่ อยา่ งอ่ืนจะไม่มีสิง่ เหลา่ น้ี การอ่าน เป็นส่ิงจำเป็นต่อชีวิต ต่อความเจริญด้านต่าง ๆ ของมนุษย์มาก การอ่านหนังสือนอกจาก จะทำให้ผู้อ่านเป็นผู้หูตากว้างแล้ว คนอ่านจะเป็นผู้ทันต่อเหตุการณ์ ความเคลื่อนไหวของโลกปัจจุบัน และ อาจเป็นเครือ่ งกระตุ้นให้เกิดความสงบในใจ ส่งเสริมวจิ ารณญาณและประสบการณ์ให้เพิ่มพูนข้ึน การอ่านยัง ทำให้บุคคลเป็นผู้มีคุณค่าในสังคม มีประสบการณ์ชีวิต และช่วยยกฐานะของสังคม สังคมมีบุคคลที่มี
10 ประสิทธิภาพในการอ่านอยู่มาก สังคมนั้นย่อมจะเจริญพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันความก้าวหน้าอย่าง รวดเร็ว ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้ความรู้ต่าง ๆ ล้าสมัยเร็วข้ึน หนังสือเท่านั้นท่ีสามารถทัน ความกา้ วหนา้ เหลา่ น้ี การอ่าน เป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิต ต่อความเจริญในด้านต่าง ๆ ของมนุษย์มาก การอ่านหนังสือ นอกจากจะทำใหผ้ ู้อา่ นเป็นผู้หตู ากว้างแล้ว คนอา่ นจะเป็นผู้ทันต่อเหตกุ ารณ์ ความเคลื่อนไหวของโลกปัจจุบัน และอาจเป็นเคร่ืองกระตุ้นให้เกิดความสงบในใจ ส่งเสริมวิจารณญาณและประสบการณ์ให้เพิ่มพูนข้ึน การ อ่านยังทำให้บุคคลเป็นผู้มีคุณค่าในสังคม มีประสบการณ์ชีวิต และช่วยยกฐานะของสังคม สังคมมีบุคคลที่มี ประสิทธิภาพในการอ่านอยู่มาก สังคมน้ันย่อมจะเจริญพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันความก้าวหน้าอย่าง รวดเร็วทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้ความรู้ต่าง ๆ ล้าสมัยเร็วข้ึน หนังสือเท่านั้นที่สามารถทัน ความกา้ วหนา้ เหลา่ นี้ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี เม่อื คร้ังเสดจ็ พระราชดำเนนิ เปน็ องคป์ ระธานเปิด การประชุใหญ่สามัญประจำปี 2530 ของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย ได้ทรงบรรยายพิเศษในหัวขอ้ เรอ่ื ง “การสร้างสังคมการอ่านและการใช้สารนิเทศ” ณ โรงแรมบางกอกพาเลส เม่ือ วันท่ี 21 ธันวาคม 2530 ทรงกล่าวถึง เหตุที่พระองค์โปรดการอ่านหนังสือ และความสำคัญของการอ่านหนังสือไว้ 8 ประการ คือ (อ้างถงึ ใน อมั พร ทองใบ, 2540 : 9) 1. การอ่านหนงั สอื ทำใหไ้ ด้เนื้อหาสาระความรู้ มากกวา่ การศกึ ษาหาความรดู้ ้วยวิธอี ืน่ ๆ 2. ผู้อา่ นสามารถอา่ นหนังสือได้โดยไม่จำกดั เวลาและสถานที่ สามารถนำตดิ ตัวไปได้ 3. หนงั สอื เก็บไวไ้ ด้นานกวา่ สอื่ อยา่ งอื่น 4. ผ้อู า่ นสามารถฝึกการคดิ และสรา้ งจนิ ตนาการไดเ้ องขณะทอี่ า่ น 5. การอ่านส่งเสริมให้มีสมองดี มีสมาธินานกว่าและมากกว่าส่ืออย่างอ่ืน เพราะขณะอ่านจิตใจต้อง มงุ่ มนั่ อยู่กับข้อความ พินิจพิเคราะหข์ อ้ ความ 6. ผู้อ่านเป็นผูก้ ำหนดการอ่านได้ด้วยตนเอง จะอ่านครา่ ว ๆ หรอื อ่านอย่างละเอียด อ่านข้าม หรืออา่ นทกุ ตวั อักษรกไ็ ด้ จะเลอื กอ่านเล่มไหก็ได้ 7. หนงั สอื มีหลายรปู แบบ และราคาถกู กวา่ สื่ออย่างอน่ื 8. ผู้อ่านเกิดความคิดเห็นได้ด้วยตนเองในขณะที่อ่าน สามารถวินิจฉัยเนื้อหาสาระได้ หนังสือบาง เลม่ สามารถนำไปปฏิบัตไิ ด้ด้วย และเมื่อปฏิบตั ิแล้วกเ็ กดิ ผลดี ส. ศิวรักษ์ (2512 : นำเร่ือง) ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการอ่านหนังสอื ไว้ว่า “การอ่านหนังสือ เป็นกิจท่ีจำเป็นสำหรับทุก ๆ คน ท่ีอ่านออกเสียงได้ ย่ิงได้อ่านหนังสืออียิ่งมีค่ามาก สมดังคำของ ฟรานซิล เบคอน ที่วา่ “การอา่ นชว่ ยให้คนเป็นคนเตม็ ที่” นายตำรา ณ เมืองใต้ (2515 : 298-299) กล่าวถึงความสำคัญของตัวหนงั สือและหนังสอื วา่ “...บางทีการที่เราได้อ่านหนังสือกันอยู่ทุกเม่ือเช่ือวัน จะทำให้เราลืมนึกถึงความสำคัญของตัวอักษร อนั ปรากฏอยูข่ ้างหน้าเราเสียก็ได้ ตัวอักษรนี้เป็นสิ่งจารกึ และรักษาความคิดเห็นอันลำ้ ค่าของปราชญ์และกวีไว้
11 ให้เรา...การท่ีเราจะหาประโยชน์ในการอ่านให้ได้เต็มท่ี ก็ควรระลึกได้ หรือแลเห็นความสำคัญของตัวหนังสือ ซึง่ เราได้พบอยทู่ กุ วัน จนกลายเปน็ สิ่งธรรมดานน้ั เสียก่อน” รัญจวน อินทรกำแหง และคณะ (2523 : 27-28) กล่าวถึง ความสำคัญของการอ่านหนังสือไว้ว่า “การอ่านหนังสือความจำเป็นต่อชีวิตของคนในยุคปัจจุบันยิ่งกว่ายุคที่ผ่านมา เพราะโลกปัจจุบันเป็นโลกท่ี หมุนเร็ว ท้งั ในด้านวัตถุ วิทยาการ และแปรเปลี่ยนเรว็ ฉะนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องอ่านหนังสือ เพ่ือให้ สามารถตดิ ตามความเคลือ่ นไหว ความกา้ วหน้า และความเปลีย่ นแปรทง้ั หลายไดท้ ันกาล” สมถวิล วิเศษสมบัติ (2528 : 73) ได้กล่าวถึงทักษะการอ่านไว้ สรุปได้ว่า การอ่านเป็นทักษะที่ สำคัญ และใชม้ ากในชีวติ ประจำวัน ผทู้ ีม่ ีนสิ ัยรักการอ่านและมีทักษะในการอา่ นมีอัตราเรว็ ในการอา่ นสงู ยอ่ ม แสวงหาความรู้และการศึกษาเล่าเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถนำความรู้ท่ีได้จากการอ่านไปใช้ในการ พดู และการเขียนไดเ้ ปน็ อย่างดี ยุพร แสงทักษิณ (2531 : 1) กล่าวว่า “การอ่านหนังสือ เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับมนุษย์ การอ่าน ทำให้เราสามารถก้าวตามโลกได้ทัน เพราะโลกปัจจุบันน้ีไม่ได้หยุดน่ิง มีความก้าวหน้าเป ล่ียนแปลงอยู่ ตลอดเวลา ทั้งในด้านวัตถุ วิทยาการ ความคิด ฯลฯ ด้วยเหตุที่เราต้องมีความสัมพันธ์กับสังคมและ สง่ิ แวดลอ้ ม เราจงึ ควรตอ้ งปรับตวั เราให้สอดคล้องไปดว้ ย มิฉะนั้นเราจะกลายเป็นคนโง่ ล้าหลัง อาจประพฤติ ปฏิบตั ิผดิ ๆ พลาด ๆ กไ็ ด้ ด้วยความรเู้ ท่าไมถ่ ึงการณ์” สุจริต เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์ (2538 : 136) กล่าวถงึ ทกั ษะการอ่านไว้วา่ “ทักษะ การอ่านเป็นทักษะท่ีสำคัญ และใช้มากในชีวิตประจำวัน เพราะเป็นทักษะท่ีนักเรียนใช้แสวงหาสรรวิทยาการ ต่าง ๆ เพื่อความบันเทิงและการพักผ่อนหย่อนใจ ผู้ที่มีนิสัยรักการอ่านและ มีทักษะในการอ่าน มี อัตราเร็วในการอ่านสงู ยอ่ มแสวงหาความรู้ และศกึ ษาเล่าเรียนได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ สามารถนำความรู้ทไ่ี ด้ จากการอา่ นไปใช้ในการพดู และการเขยี นไดเ้ ป็นอย่างดี” ซง่ึ สอดคล้องกับแนวคิดของ จนิ ตนา ใบกาซยู ี (2534 : 57) ท่ีกล่าวถึงความสำคัญของ การอ่าน มีใจความโดยสรุปว่า การอ่านเป็นส่ิงจำเป็นสำหับชีวิตปัจจุบัน ท้ังในด้านการดำเนินชีวิตประจำวัน ด้าน การศึกษาหาความรู้เพื่อประกอบอาชีพในอนาคต เป็นการพัฒนาความเจริญงอกงามทางสมองและปัญญา รวมท้งั เปน็ การพกั ผ่อนหยอ่ นใจจากชวี ิตประจำวัน อัมพร สุขเกษม (2542 : 1) ได้กล่าวถึง การอ่านหนังสือว่า มีความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพ ชีวิตมนุษย์ และมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศด้วย เพราะการอ่านหนังสือช่วยให้ผู้อ่านรู้จักวิธี บำรุงรักษาสุขภาพของตน รู้จักวิธีการใหม่ ๆ สำหรับใช้พัฒนาอาชีพ ช่วยผ่อนคลายความเครียด มีความ เพลิดเพลิน เกิดความคิดสร้างสรรค์ เข้าใจความเคลื่อนไหวทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม สามารถรับรู้ และปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั ความก้าวหนา้ ทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซ่ึงล้วนแตเ่ ปน็ ประโยชนท์ ั้งส้นิ ฐะปะนยี ์ นาครทรรพ และคณะ (2546 : 55-56) กลา่ วถงึ ความสำคญั ของการอา่ นสรปุ ได้ ดังนี้ 1. การอ่านเป็นเคร่ืองมือในการแสวงหาความรู้ โดยเฉพาะผู้ท่ีอยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน จำเป็นต้อง อ่านหนังสอื เพื่อการศึกษาหาความรู้ต่าง ๆ
12 2. การอ่านเป็นเครื่องมือชว่ ยให้ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพ เพราะสามารถนำความรู้ท่ี ได้จากการอ่านไปพฒั นางานของตนได้ 3. การอ่านเป็นเครื่องมือสืบทอดมรดกทางวฒั นธรรมของคนรนุ่ หน่ึง ไปสู่คนรุน่ ตอ่ ๆ ไป 4. การอ่านเป็นวิธีการส่งเสริมให้คนมีความคิดอ่านและฉลาดรอบรู้ เพราะประสบการณ์ ท่ีได้ จากการอ่าน เม่อื เกบ็ สะสมเพมิ่ พนู นานวันเข้า กจ็ ะทำใหเ้ กิดความคิด เกดิ สตปิ ญั ญา เปน็ คนฉลาดรอบรู้ได้ 5. การอ่านเป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความเพลิดเพลินบันเทิงใจ เป็นวิธีหน่ึงในการแสวงหาความสุข ให้กบั ตนเองท่งี ่ายทส่ี ดุ และไดป้ ระโยชน์คุ้มคา่ ทส่ี ุด 6. การอ่านเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต ทำให้เป็นคนท่ีสมบูรณ์ท้ังด้านจิตใจและบุคลิกภาพ เพราะ เม่ืออ่านยอ่ มรู้มาก สามารถนำความรไู้ ปใชใ้ นการดำรงชีวิตได้อย่างมคี วามสขุ 7. การอ่านเป็นเครื่องมือในการพัฒนาระบบการเมือง การปกครอง ศาสนา ประวัติศาสตร์ และ สงั คม 8. การอ่านเป็นวิธีการหนึ่งในการพัฒนาระบบการสื่อสารและการใช้เคร่ืองมือทางอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ กล่าวโดยสรุป การอ่านมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในสังคมปัจจุบัน เพราะเราต้องแสวงหา ความรู้ ข้อมูลข่าวสาร การเคลื่อนไหวทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม การอ่านส่งเสริมให้ผู้อ่านมี พัฒนาการในความรู้และความคิด มองโลกท่ีกว้างไกล เข้าใจปัญหาที่เกิดข้ึนในสังคมผ่านสื่อการสอน ซ่ึงสิ่ง เหลา่ นีจ้ ะช่วยใหส้ ามารถตัดสินใจไดอ้ ย่างถูกต้อง มีความเฉลียวฉลาด สามารถประกอบอาชีพและเป็นพลเมือง ท่ดี ีของประเทศชาติได้ ความหมายของการอ่าน มีผู้ให้คำจำกัดความ ให้นยิ าม หรอื ใหค้ วามหมายของการอา่ นไว้ต่าง ๆ กัน ดังนี้ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (2556 : 1405) ให้คำจำกัดความว่า “อ่าน ก. ว่าตามตัวหนังสือ ; ถ้าออกเสียงด้วย เรียกว่า อ่านออกเสียง ถ้าไม่ต้องออกเสียง เรียกว่า อ่านในใจ ; สังเกต หรอื พิจารณาดเู พ่ือให้เข้าใจ” เช่น อ่านสีหนา้ อา่ นริมฝีปาก อา่ นในใจ ; ตีความ เช่น อ่านรหัส อา่ น ลายแทง ; คดิ , นบั (ไทยเดมิ ) ประทีป วาทิกทินกร และ สมพันธุ์ เลขะพันธุ์ (2534 : 2) ให้ความหมายไว้ว่า “การอ่าน คือ การ รับรู้ข้อความในข้อเขียนของตนเอง หรือของผู้อ่ืน รวมทั้งการรับรู้เคร่ืองหมายสื่อสารต่าง ๆ” เช่น เคร่อื งหมายจราจร และเครอ่ื งหมายที่แสดงในแผนภูมิ เปน็ ตน้ กสุ มุ า รักษมณี และ คณะ (2536 : 77) นยิ ามความหมายของการอ่านว่า “การอ่านเป็นพฤติกรรม การสนทนาโต้ตอบระหว่างผู้อ่านกับผู้เขียน โดยการสื่อสารผ่านสาร หรือข้อเขียนที่เรียบเรียงเป็นข้อความ ภาษา ซ่ึงมีรปู แบบและวตั ถุประสงค์แตกต่างกันไป แทนการพดู คุยกันโดยตรง”
13 เปล้ือง ณ นคร (2538 : 14) การอ่าน (หนังสือ) คือ กระบวนการท่ีจะเข้าใจความหมาย ท่ีติด อยูก่ บั ตัวอกั ษรหรอื ตัวหนังสือ พนั ธทุ์ ิพา หลาบเลิศบญุ และ คณะ (2539 : 45) กล่าวว่า การอา่ น คือ การแปลความหมายของ ตัวอักษรออกมาเป็นความคิด และนำความคิดไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ดังน้ันหัวใจของการอ่านอยู่ท่ีการเข้าใจ ความหมายของคำ ศรีสุดา จรยิ ากุล (2545 : 5) ให้ความหมายของการอ่านไว้ใน “ความเขา้ ใจทั่วไปเกี่ยวกบั การอ่าน” วา่ “การอา่ น คือ การรับรคู้ วามหมายของสารจากลายลกั ษณ์อกั ษร ซึ่งอาจจะเป็น การอ่านในลกั ษณะการ อา่ นออกเสียง หรอื การอา่ นในใจกไ็ ด้” ทพิ ยส์ ุเนตร อนัมบตุ ร (2551 : 5) ให้คำจำกัดความว่า การอ่าน คอื การรบั สารในการใช้ภาษาไม่ว่า จะเป็นภาษาใด ยอ่ มประกอบดว้ ย 2 ฝา่ ย คือ ฝ่ายส่ง > สาร > ฝ่ายรับ ฝ่ายสง่ สารย่อมสง่ โดยการพูดหรือการ เขยี น ฝา่ ยรบั สารจงึ รบั ไดโ้ ดยการฟังหรือการอา่ น นอกจากความหมายของการอ่านที่ได้กล่าวมานี้แล้ว ยังมีนักการศึกษาผู้เช่ียวชาญด้านการสอนอ่าน และด้านการอา่ นชาวตา่ งประเทศ ได้ใหค้ วามหมายของการอา่ นไว้ ดังต่อไปนี้ อัลเฟรด สเตปเฟอรุด (Alfred Stefferud, 1953 : 84) ให้คำจำกัดความของการอ่านไว้ว่า เป็น การกระทำทางจติ ใจ ทผ่ี ้อู ่านยอมรับความหมายจากความคดิ เห็นของบุคคลอ่ืน จอรจ์ ดี. สปาช และ พอล ซี. เบิร์ก (George D. Spache and Paul C. Berg, 1955 : 3-4) กล่าว ว่า การอ่าน เป็นการผสมผสานระหว่างทักษะหลายชนิด เพ่ือสร้างความเข้าใจ โดยเป็นไปตามจุดประสงค์ ตามต้องการ และวธิ ีการของผู้อ่าน พอล ดี. ลิดดี (Paul D. Leedy, 1965 : 3) ให้นิยามการอ่านไว้ว่า คือ การรวบรวมความคิดและ ตีความหมาย ตลอดจนประเมินค่าความคิดเหลา่ นั้นทป่ี รากฏอยู่ตามส่ิงพิมพ์แตล่ ะหนา้ เอดการ์ เดล (Edgar Dale, 1956 : 89) ให้ความหมายไว้ว่า การอ่าน หมายถึง กระบวนการ ค้นหาความหมายจากสิ่งพิมพ์ เป็นการเพ่ิมพูนประสบการณ์ของผู้อ่าน การอ่านไม่ได้หมายความเฉพาะการ มองผา่ นาแต่ละประโยค หรอื แตล่ ะย่อหนา้ เทา่ นนั้ แตผ่ ้อู า่ นต้องเขา้ ใจความคิดนนั้ ๆ ดว้ ย มอร์ติเมอร์ เจ. แอดเลอร์ (Mortimer J. Adler, 1959 : 27) กล่าวว่า การอ่าน หมายถึง กระบวนการตีความหมาย หรือสร้างความเข้าใจจากตัวอกั ษร หรือสัญลกั ษณอ์ ่นื ๆ ชว่ ยให้ผ้อู ่านเขา้ ใจมากขึ้น กระบวนการต่าง ๆ ท่กี อ่ ให้เกิดความเข้าใจน้ี เรียกวา่ ศลิ ปะในการอ่าน กูดแมน (Goodman, 1970 : 5-11) ได้ให้คำจำกัดความของการอ่านว่า “การอ่านเป็ น กระบวนการที่สลับซับซ้อนเกี่ยวกับการแสดงปฏิกิริยาร่วมกัน ระหว่างความคิดและภาษา เนื่องจากผู้อ่าน จะตอ้ งพยายามสร้างความหมายข้นึ จากตวั อักษร การอา่ นจงึ เป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลา ผู้อ่านจะต้องอาศัยการพินิจพิจารณาส่ิงที่ปรากฏอยู่ในข้อความท่ีอ่าน เพื่อใช้เป็นเครื่องช่วยในการเลือก ความหมายที่เหมาะสมที่สดุ จากเนือ้ ความทอี่ ่าน
14 จากคำจำกัดความนิยามดงั กลา่ วมาแล้ว อาจสรุปและเพ่ิมเติมความหมายของการอ่านได้ว่า การอา่ น เป็นพฤติกรรมการสนทนาโต้ตอบระหว่างผู้อ่านกับผู้เขียน เป็นกระบวนการของการรับรู้และเข้าใจสาระที่ เขียนข้ึน เป็นการรวบรวมความคิด ตีความ ทำความเข้าใจในส่ิงที่อ่าน เพื่อพัฒนาตนเองทั้งในด้านสติปัญญา อารมณ์ และสังคม ประโยชน์ของการอา่ น หนังสือที่ดี ย่อมให้คุณค่าแก่ผู้อ่านเสมอ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือทางวิชาการ หรือเรื่องอ่านเล่น ทันทีท่ี หยิบหนังสือข้ึนมาอ่าน แม้จะเพียง 2-3 นาที ผอู้ ่านก็จะ “ได้” ประโยชน์ไม่ด้านก็ด้านหนึ่ง เช่น ประโยค ท่ีไพเราะ ประทับใจ มีข้อคิดซึ่งอาจแก้ปัญหาท่ีคิดไม่ตกอยู่นาแล้ว ประโยชน์ของ การอ่านมีหลาย ประการ ดงั ท่ี เทือก กุสมุ า ณ อยุธยา (2511 : 47) กล่าววา่ การอา่ นหนังสือ มีประโยชน์ ดงั น้ี 1. ประโยชน์ในฐานท่ีเป็นวรรณคดี คือ ผู้อ่านได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลิน เกิดอารมณ์ สะเทอื นใจ และความนกึ ฝันไปตามทอ้ งเรอ่ื ง 2. ประโยชน์อันเกิดแก่ผู้เขียนเอง ได้แก่ การระบายอารมณ์ การแสดงความคิด การให้ทัศนะ หลกั เกณฑช์ วี ติ แก่ผ้อู า่ น 3. ประโยชน์ในฐานท่ีเป็นเคร่ืองบันเทิง ทั้งยังมีการประยุกต์เป็นละครวิทยุ ละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ เป็นตน้ 4. ประโยชน์ในด้านความรู้ เช่น สภาพความเป็นอยู่ ภูมิฐานสง่าของบ้านเมือง วัฒนธรรม ฯลฯ หรือเป็นส่งิ สะท้อนให้เห็นสภาพชีวิตในเร่อื งที่แต่งก็ได้ เช่น เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ จะทำให้ผู้อ่านทราบ รายลเอยี ดของชวี ติ ได้ดีกว่าหนังสอื ประวัติศาสตร์ 5. ประโยชน์ในด้านภาษา ผู้อ่านจะได้รับรสไพเราะทางภาษา ท่ีร้อยกรองไว้อย่างประณีตบรรจง แลว้ 6. ประโยชน์ทางด้านคติธรรม เป็นเคร่ืองชำระจิตใจผู้อ่าน ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ถ้าเป็น วรรณคดที ีด่ ี 7. ประโยชน์ทางการเมือง อาจทำให้การเมืองผันแปรได้ โดยผู้แต่งใช้นวนิยายเป็นส่ือคัดค้าน ความอยตุ ิธรรม และทำให้ผู้อา่ นเห็นดว้ ยได้ ฐะปะนยี ์ นาครทรรพ และ คณะ (2546 : 56-57) กล่าวถงึ ประโยชนข์ องการอ่าน สรปุ ได้ดงั น้ี 1. ทำให้มีความรูใ้ นวิชาการด้านตา่ ง ๆ อาจเป็นความรทู้ ัว่ ไป หรือความรู้เฉพาะดา้ นกไ็ ด้ 2. ทำให้รอบรู้ทันโลก ทันเหตุการณ์ ซึ่งนอกจากจะทำให้รู้ทันข่าวสารบ้านเมืองและสภาพการณ์ ต่าง ๆ ในสมัยสังคมทั้งภายในและภายนอกประเทศแล้ว ยังจะได้ทราบข่าวกีฬา ข่าวบันเทิง บทความ วิจารณ์ ตลอดจนการโฆษณาสินค้าต่าง ๆ อีกด้วย ซ่ึงจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ในการปรับความเป็นอยู่ให้ เหมาะสม สอดคล้องกับสภาพสังคมของตนในขณะน้นั
15 3. ทำให้ค้นหาคำตอบท่ีต้องการได้ การอ่านหนังสือจะช่วยตอบคำถามที่เราข้องใจ สงสัยต้องการรู้ ได้ เชน่ อา่ นพจนานุกรม เพ่ือหาความหมายของคำ อ่านหนงั สือกฎหมาย เพอ่ื ต้องการรู้ขอ้ ปฏิบัติ เป็นตน้ 4. ทำให้เราเกิดความเพลิดเพลิน การอ่านหนังสือท่ีมีเน้ือหาดี น่าอ่าน น่าสนใจ ย่อมทำให้ผู้อ่านมี ความสุขความเพลิดเพลิน เกิดอารมณ์คล้องตามอารมณ์ของเร่ืองนั้น ๆ ผ่อนคลายความตึงเครียด ได้ข้อคิด และยงั เป็นการยกระดับจติ ใจผอู้ ่านใหส้ ูงขึ้นไดอ้ ีกดว้ ย 5. ทำให้เกิดทักษะและพัฒนาการในการอ่าน ผู้ที่อ่านหนังสือสม่ำเสมอ ย่อมเกิดความชำนาญใน การอ่าน สามารถอ่านได้เร็ว เข้าใจเรื่องราวที่อ่านได้ง่าย จังใจความได้ถูกต้อง เข้าใจประเด็นสำคัญของเร่ือง และสามารถประเมินคุณคา่ เรอ่ื งทีอ่ ่านได้อยา่ งสมเหตุสมผล 6. ทำให้ชีวิตมีพัฒนาการเป็นชีวิตท่ีสมบูรณ์ ผู้ท่ีอ่านมากย่อมรู้เร่ืองราวต่าง ๆ มาก เกิดความรู้ ความคิดที่หลากหลายกว้างไกล สามารถนำมาเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติตนให้ชีวิต มีคุณค่าและมี ระเบียบแบบแผนทด่ี ีย่งิ ขน้ึ 7. ทำใหเ้ ป็นผู้มมี นุษยสมั พนั ธ์ดีและเสริมสร้างบุคลกิ ภาพ ผูอ้ ่านมากย่อมรอบร้มู าก มขี ้อมูลต่าง ๆ ส่ังสมไว้มาก เม่ือสนทนากับผู้อื่นย่อมมีความม่ันใจไม่ขัดเขิน เพราะมีภูมิรู้ สามารถถ่ายทอดความรู้ ให้ คำแนะนำแกผ่ ู้อ่ืนในทางท่ีก่อให้เกิดประโยชน์ได้ ผูร้ อบรจู้ งึ มกั ไดร้ บั การยอมรับ และเปน็ ทเี่ ชอ่ื ถือจากผอู้ นื่ การอ่านหนังสือจะให้ประโยชนม์ ากน้อยเพียงใดขึน้ อยู่กับการ “อ่านเป็น” ซึ่งจะต้องฝึก การอ่าน อย่างสม่ำเสมอจนเกิดความเข้าใจ ความซาบซ้ึง รู้จักวิเคราะห์ และเกิดความคิดจากการอ่านหนังสือ ซึ่งถือว่า สำคญั มาก ดงั ท่ี รญั จวน อินทรกำแหง (2518 : 36-37) กล่าวไวใ้ นวรรณกรรมวจิ ารณ์ ตอที่ 2 วา่ “...การ อ่านหนังสือที่จะได้รับ “ค่า” ของหนังสือจริง ๆ นั้น ต้องอ่านให้ได้ “ความคิด” ท่ีแฝงอยู่เบื้องหลัง ตวั หนงั สือน้ัน มิฉะนั้นแล้ว การอ่านนั้นก็หาความหมายอันใดไม่ และก็เปน็ ที่น่าเสียดายเวลาอันมีค่าที่จะเสีย ไปในการอ่านนั้น...” การอ่านที่จะให้ผู้เรียนเกิด “ความคิด” จากหนังสือที่อ่านก็โดยการที่ครูหรือผู้ปกครองช่วยช้ีแนะ หรือช่วยเลือกหนังสืออ่านให้เหมาะสมกับวัย เช่น เน้ือเร่ืองเป็นเร่ืองราวที่อยู่ในความสนใจของเด็กตาวัยของ เขา สำนวนภาษาทีเ่ ด็กในวัยนั้น ๆ จะเข้าใจได้ ตัวละครเป็นบคุ คลทอ่ี ยู่ในวัยเดยี วกันหรอื ใกลเ้ คียงกัน ถา้ เป็น เช่นนั้น เด็กจะเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน ยิ่งอ่าน ย่ิงสนุก เปลื้อง ณ นคร (2538 : 16) ได้ยกคำของ จางจ้ือ นักปราชญ์โบราณผู้มีช่ือเสียงของจีน มากล่าวไว้ใน “ศิลปะแห่งการอ่าน” ว่า “ถ้าในโลกน้ีไม่มี หนงั สอื ก็แล้วไปเถดิ แตเ่ มอื่ หนังสอื มอี ยใู่ นโลก เรากค็ วรจะอา่ น”
16 จุดมงุ่ หมายในการอ่าน การอ่าน มีจุดประสงค์ท่ีกำหนดขึ้นตามความต้องการของผู้อ่าน ซึ่งอาจต้องการศึกษาค้นคว้าข้อมูล เพ่ือประโยชน์เชิงวิชาการ หรืออ่านเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ การอ่านของแต่ละคนมีจุดมุ่งหมายแตกต่างกัน ออกไป อาจจำแนกได้กวา้ ง ๆ ดงั น้ี 1. อ่านเพ่ือหาความรู้หรอื เพ่มิ พูนความรู้ เป็นความรู้จากหนังสือประเภทตำราทางวชิ าการ สารคดี ทางวิชาการ การวิจัยประเภทต่าง ๆ หรือการอ่านผ่านส่ืออิเล็กทรอนิกส์ การอ่านจากหนังสือที่มีสาระ เดยี วกัน ควรอ่านจากผู้เขียนหลาย ๆ คน เพื่อเป็นการตรวจสอบความถูกต้อง แม่นยำของเนอ้ื หา ผู้อ่านจะมี ความรอบรู้ ไดแ้ นวคิดที่หลากหลาย การอ่านเพ่อื ศึกษาหาความร้นู ี้ เปน็ การอ่านเพื่อส่งั สมความรู้และประสบ การของผ้อู ่าน 2. อ่านเพ่ือใหท้ ราบข่าวสาร ความคิด เปน็ การอ่านเพอื่ ให้ทราบข่าวสารความคิด เข้าใจแนวคดิ ซ่ึง ได้แก่ การอ่านหนังสือประเภทบทวิจารณ์ข่าว รายงานการประชุม ผู้อ่านไม่เคยเลือกอ่านหนังสือที่สอดคล้อง กบั ความคิดและความชอบของตน ควรเลอื กอา่ นอย่างหลากหลาย จะทำใหม้ ีมุมมอท่ีกว้างข้ึน จะช่วยให้เรามี เหตุผลอ่ืน ๆ มาประกอบการวิจารณ์ วิเคราะห์ ได้ลุ่มลกึ มากขึน้ 3. อ่านเพื่อความเพลิดเพลิน หรือเพื่อความบันเทิง ความชื่นชม การอ่านเป็นอาหารใจ ให้เกิด ความบันเทิงใจ อ่านแล้วเกิดความเพลิดเพลิน สนุกสนาน ที่ได้จากการอ่านหนังสือประเภทบันเทิงคดี เช่น นวนิยาย เร่ืองสั้น เรื่องแปล การ์ตูน หรืออ่านบทละคร อ่านบทกวีนิพนธ์ บทเพลง บทขำขัน เป็นต้น นอกจากจะเพลิดเพลินไปกับภาษาและเร่ืองราวทสี่ นุกสนานแล้ว ยังได้ความรู้ และคติขอ้ คดิ ควบค่ไู ปด้วย 4. อ่านเพื่อพัฒนาวิจารณญาณและค่านิยม การอ่านเพื่อพัฒนาวิจารณญาณและค่านิยม จะ เก่ียวข้องกับการพัฒนาทักษะการอ่านของนักเรียนในระดับที่สูงข้ึน และมีการเพิ่มพูนมวลประสบการณ์ทาง โลกและชีวิตท่ีเจนจัดมากข้ึน นักเรียนจึงจะเข้าใจคติธรรมที่แทรกอยู่ในวรรณกรรมท่ีอ่าน ด้วยกระบวนการ คดิ วเิ คราะหอ์ ยา่ งสมเหตสุ มผล สามารถเลอื กและประยกุ ต์สิ่งท่ีมคี ณุ คา่ มาพัฒนาตนเองให้เปน็ ทรัพยากรบุคคล ทม่ี ีคณุ ภาพ และดำรงชีวิตอย่ใู นสังคมอย่างมคี ุณค่า สามารถ รับใช้สงั คมประเทศชาติให้เจริญก้าวหนา้ ตาม กำลงั สติปัญญาท่ีเพมิ่ พูนขึ้น อันสืบเนื่องมาจากนกั เรยี นเกิดความรู้ ความเข้าใจ สภาพแวดล้อมของชีวิตในดา้ น ที่เปน็ สัจธรรมความจริงสมบรู ณ์ข้นึ (กุสุมา รกั ษมณี และคณะ, 2536 : 79) 5. การอ่านเพ่ือกิจธุระหรอื ประโยชน์อื่น ๆ การอ่านเพื่อกิจธรุ ะอ่ืน ๆ นอกเหนือจากจุดมุ่งหมายที่ กล่าวมาแล้ว เป็นการอ่านเพ่ือประโยชน์เฉพาะกิจ เช่น อ่านแบบฟอร์มชนิดต่าง ๆ อ่านหนังสือสัญญาเงินกู้ จำนอง และซ้ือขาย อ่านใบสมคั รและระเบียบการ อ่านคำส่ังและสัญญาณบ่งบอกท่ีมีความหมายต่าง ๆ เป็น ต้น เราถือว่าสารเหล่านี้จะมีแบบแผนและรายละเอียดเฉพาะกลุ่ม เฉพาะองค์การ หรือเฉพาะสังคม ซึ่งการ ติดต่อส่ือสารในโลกปัจจุบัน เราไม่อาจหลีกเล่ียงการอ่านสิ่งเหล่านี้ได้เลย หากอ่านผิดพลาดหรือไม่เข้าใจ วัตถปุ ระสงคท์ ่แี ทจ้ รงิ อาจกอ่ ใหเ้ กดิ ความเสยี หาย หรือเสียผลประโยชนข์ องเราได้ นอกจากนี้ ยังมีผู้อ่านหลายท่านที่นิยมอ่านหนังสือเพ่ือเสริมโลกทรรศน์ของตนเอง ให้ทันสมัยรู้ทัน เหตุการณ์ความเคลื่อนไหวในสังคม เช่น นักธุรกิจ จำเป็นต้องอ่านบทความห รือข่าวเศรษฐกิจจาก
17 หนังสือพิมพ์ วารสาร แ ละนิตยสาร ที่เกี่ยวข้องกับงานของตนอยู่ตลอดเวลา เพื่อเพ่ิมพูนประสิทธิภาพใน การทำงาน และการตัดสินใจที่สอดคล้องกับสถานการณ์ต่าง ๆ บางท่านสนใจอ่านติดตามข่าวสารการเมือง การปกครอง หรือประวัติบุคคล และบทบาทของเขาที่กำลังดำเนินอยู่ในสงคม เช่น ผู้นำประเทศ ผู้นำ ความคิดทางสังคม เพ่ือประโยชน์ในการสมาคมกับผู้อื่น จะช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพของเขาให้น่านิยมศรัทธา มากยง่ิ ข้นึ เพราะเป็นผ้ทู ม่ี โี ลกทรรศนด์ ีกวา่ ผูท้ ่ีไมส่ นใจอ่าน หรือติดตามเหตุการณ์เหลา่ นีเ้ ลย กล่าวโดยสรุป จุดประสงค์ของการอ่านแต่ละคนจะแตกต่างกันไปตามความต้องการ ผู้อ่านจะ กำหนดจุดประสงค์ของการอ่าน เพื่อตอบสนองความต้องการโดยเฉพาะของตนเอง การอ่าน แต่ละครั้ง ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อ่านทั้งส้ิน ข้อควรคำนึงสำหรับผู้ท่ีอยู่ในวัยเรียน คือ ควรใช้วิจารณญาณในการ เลือกเร่ืองท่ีจะอ่าน และรู้จักแยกแยะ นำส่ิงที่เป็นประโยชน์จากการอ่านไปใช้ในการประอบกิจกรมที่เกี่ยวข้อง กับการดำเนินชีวิตในแต่ละด้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจัดเป็นปัจจัยสำคัญท่ีจะเสริมสร้างผลสัมฤทธิ์ของ การอ่านให้บรรลุจดุ มุ่งหมายแตล่ ะขอ้ ตามที่กลา่ วมา ประเภทของการอา่ น การอ่านสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ท้ังน้ีขึ้นอยู่กับว่า จะใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา ถ้าหากพิจารณาการอ่านโดยดูจากจุดมุ่งหมายของผู้อ่านเป็นหลัก เราอาจจะแบ่งได้ ดังน้ี (อัมพร ทองใบ, 2540 : 18-19) 1. อ่านผ่าน ๆ หรืออ่านเอาเร่ือง ทั้งน้ีข้ึนอยู่กับความสนใจของผู้อ่าน เช่น การพลิกตำราบางเล่ม เพ่ือดูว่าเน้ือหาครอบคลุมเร่ืองท่ีจะค้นคว้าหรือไม่ อาจจะอ่านเพียงหัวเร่ืองหรืออ่านหน้าสารบัญ หรืออ่าน หน้าผนวกทา้ ยเลม่ เปน็ ตน้ 2. การอ่านในใจ เป็นการอ่านเพ่ือเก็บใจความและเพื่อทำความเข้าใจ เป็นการอ่านเพื่อแสวงหา ความรู้ความบันเทิงให้แก่ตนเอง ผู้อ่านจะต้องมีความรู้เก่ียวกับคำศัพท์ และสามารถเข้าใจเรื่องราวที่ได้อ่าน โดยตลอด การอ่านหนังสือเมื่ออ่านไปโดยตลอดก็พอจะเก็บใจความได้ว่า เรื่องที่อ่านมีเน้ือหาเรื่องราวว่า อย่างไร หากมีบางตอนท่ีอาจจะไม่เข้าใจ เพราะเร่ืองทีอ่ ่านนั้นยากเกินความรู้ของผู้อ่านทีจ่ ะทำความเข้าใจได้ ผ้อู ่านควรจะพยายามเอาชนะด้วยการอ่านอย่างมีสมาธิ และรบั รู้ความหมายทุกถ้อยคำจนเกิดความเข้าใจเนื้อ เรอ่ื งได้ตลอด สอางค์ ดำเนนิ สวัสดิ์ และคณะ (2546 : 88) แบง่ ลกั ษณะการอา่ นเปน็ 5 ชนดิ คือ 1. การอ่านอย่างคร่าว ๆ เป็นการอ่านเพื่อสำรวจว่า ควรจะอ่านหนังสือเล่มนี้อย่างละเอียดต่อไป หรอื ไม่ โดยอ่านเพยี งชือ่ เร่อื ง หวั ขอ้ เรือ่ ง ชือ่ ผแู้ ตง่ คำนำ หรือการอา่ นเนื้อหาบางตอนโดยรวดเร็ว 2. การอ่านเพ่ือจับใจความสำคัญ เป็นการอ่านเพื่อเก็บแนวคิดที่ต้องการ และอ่านข้ามตอนท่ีไม่ ตอ้ งการ 3. การอ่านเพื่อสำรวจเน้ือหา เป็นการอ่านเพื่อทำเป็นบันทึกย่อ หรือทบทวนเพ่ือสรุปสาระสำคัญ ของเร่อื งท้ังหมด
18 4. การอ่านเพอื่ ศึกษาอย่างลึกซงึ้ เปน็ การอ่านละเอยี ด เพอื่ ให้เข้าใจเรอื่ งท่ีอา่ นอยา่ งชดั เจน 5. การอ่านเพื่อวิเคราะห์และวิจารณ์ เป็นการอ่านละเอียด เพ่ือวิเคราะห์เนื้อหาว่ามีความหมาย และมีความสำคัญอยา่ งไร รวมทง้ั แสดงความคิดเหน็ อย่างมเี หตุผลเก่ยี วกบั เรือ่ งที่อ่าน การอ่านแต่ละชนิดมีจุดประสงค์ต่างกัน และใช้เนื้อหาต่างกัน ผู้อ่านควรพิจารณาว่า ใช้การอ่านใน ลักษณะใดบ้างในชวี ติ ประจำวนั และพจิ ารณาว่าตนมปี ระสิทธิภาพในการอ่านหรือไม่โดยใชเ้ กณฑ์ข้นั ต้น ดงั นี้ 1. เข้าใจรายละเอียดของเนอื้ เรอ่ื ง 2. จบั ใจความสำคัญของเรื่องได้ 3. สรปุ ความคดิ หลักของเรอ่ื งได้ 4. ลำดบั ความคดิ ในเรอื่ งได้ 5. คาดคะเนเหตุการณท์ ี่ไมป่ รากฏในเรอ่ื ง หรอื เหตุการณ์ท่ีจะเกิดข้ึนต่อไปได้ นอกจากการเบ่งประเภทของการอ่าน ตามเกณฑ์ที่กล่าวมาแล้วน้ัน ยังมีการแบ่งประเภทท่ีแตกต่าง กันไปอกี ดงั เช่น สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์ (2551 : 17 : 20) ได้แบ่งประเภทของการอ่านไว้ 4 ประเภท แต่ละ ประเภทมจี ุดมงุ่ หมายของการใชท้ ่แี ตกต่างกัน ดงั น้ี 1. การอ่านเคร่า ๆ จุดประสงค์ของการอ่านประเภทน้ี เพ่ือค้นหาเอกสารอ้างอิงสำหรับใช้ในการ ค้นคว้า หรือการหาส่อใหม่ ๆ ในห้องสมุด นอกจากนั้นยังเป็นการค้นหาคำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเร่ืองใหม่ ๆ เพ่อื รวบรวมความคดิ ของผู้เขยี น อีกท้ังยังใช้เพ่ือการอ่านสันทนาการ ได้แก่ การอ่านวารสารบันเทิง การอ่าน เรอ่ื งราวต่าง ๆ ทใ่ี หค้ วามสนกุ สนานเพลดิ เพลิน วิธกี ารอ่าน ผู้อ่านจะใช้การเคลื่อนสายตาอย่างรวดเร็ว จากบรรทัดบนสุดสู่บรรทัดล่าง โดยข้ามคำ กลุ่มคำ และประโยคท่ีไม่สำคัญ เพื่อตรวจดูเฉพาะหัวข้อหรือคำสำคัญ หรือคำตอบตามที่ต้องการ โดย สังเกตคำท่ขี ีดเสน้ ใต้ หรอื คำท่ีเป็นตัวหนา 2. การอ่านเร็ว จุดประสงค์ของการอ่านเร็ว เพื่อเป็นการทบทวนสารท่ีอ่าน อีกท้ังยังใช้เพ่ือการ ค้นหาแนวคิดหลักและแนวคิดย่อย เป็นการนำข้อมูลจากสารท่ีอ่านไปใช้ประโยชน์ การอ่านวิธีน้ียังใช้เพื่ออ่าน สารที่ทำให้เกิดความเพลิดเพลิน เช่น การอ่านนิทาน นิยาย นวนิยาย และสื่อการอ่านอื่น ๆ ที่ช่วยให้ผู้อ่าน ไดร้ บั การผ่อนคลายทางจติ ใจ วิธกี ารอ่าน ผอู้ ่านจะเคล่ือนสายตาอย่างรวดเรว็ จากซ้ายไปขวา โดยไมเ่ คลื่อนใบหน้าเป็นการอา่ นท่ี ใช้การเคลื่อนตาอย่างรวดเร็ว โดยการรับรู้เป็นคำ เป็นกลุ่มคำ หรือประโยคเป็นการอ่านที่เร่งรีบ เพื่อความ เข้าใจเรื่องราวโดยใชเ้ วลาท่จี ำกัด 3. การอ่านปกติ จุดประสงค์ของการอ่านปกติ เพ่ือค้นหาข้อมูลและตอบคำถามอาจใช้ในการทำ แบบฝึกหัด หรือการทำรายงาน อ่านแล้วจดบันทึกเพ่ือสรุปเน้ือเรื่องแต่ละตอน เป็นการอ่านเพื่อนำข้อมูลมา ไขปริศนา อ่านเพ่ือคำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดหลักกับแนวคิดย่อย การอ่านปกติมักจะใช้กับ
19 การอ่านสารที่มคี วามยากง่ายอยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งหมายความวา่ ผู้อ่านรู้จักคำที่อยู่ในสารมากกวา่ ร้อยละ 70 และอา่ นได้ 250 คำ/นาที ตอบคำถามได้ถูกต้องร้อยละ 60 ขึ้นไป วธิ ีการอ่าน ผู้อ่านจะเคล่ือนสายตาจากซ้ายไปขวา โดยมิได้เร่งรีบ เพื่อรับรคู้ ำกลุ่มคำ ประโยค และ เรื่องท้ังหมด การอา่ นปกติเปน็ การอ่านโดยมิได้เร่งรัด แต่ตอ้ งการความเขา้ ใจในเรือ่ งราวโดยมิไดพ้ ลาดประเด็น สำคญั และต้องการให้บรรลุผลตามจดุ ประสงค์มากกว่าทีจ่ ะเน้นในเรื่องของเวลา 4. การอ่านละเอียด จุดประสงค์ของการอ่านาเพื่อตรวจรายละเอียดของเร่ืองในทุกประเด็น โดยไม่ พลาดความหมายของคำ กลุ่มคำ และประโยค นอกจากนั้นยังเป็นการประเมินค่าเร่ืองท่ีอ่านเรียงลำดับ เหตุการณ์ แ ละติดตามทิศทางของเรอ่ื ง เพ่ือมใิ หพ้ ลาดประเด็นสำคัญ สรุปเรือ่ งด้วยภาษาของตนเอง รวมท้ัง วิเคราะห์การนำเสนอผลงานของผู้เขียนได้อย่างถูกต้อง การอ่านวิธีนี้ยังใช้ประโยชน์ในการอ่านสารประเภท วรรณกรรมและวรรณคดีอย่างละเอียด เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเกิดความซาบซ้ึงในการใช้ภาษา การ วิเคราะห์รูปแบบ ตลอดจนลักษณะของการใช้ภาษา คุณค่าท่ีได้รับทางภาษาจำเป็นต้องใช้การอ่านอย่าง ละเอยี ดเชน่ กนั วิธีการอ่าน ผู้อ่านจะเคล่ือนสายตา ผ่านทุกตัวอักษรของคำ กลุ่มคำ และประโยคทำความเข้าใจ ความหมายท้ังทางตรงและทางนัย เพื่อให้ได้ข้อมูลตรงตามจุดประสงค์ท่ีต้องการ สารท่ีใช้วิธีอ่านประเภทน้ี มักจะเป็นสารวิชาการ ใช้ภาษาท่ียากและมีเรื่องราวซับซ้อน ซึ่งต้องใช้เวลาในการอ่านมากกว่าการอ่ าน ประเภทอ่ืน ๆ เพราะต้องการความละเอยี ดรอบคอบ กล่าวโดยสรุป การอ่านเป็นการรับรู้ความหมายของสาร การอ่านมีความสำคัญเพราะเป็นเครื่องมือ แสวงหาความรู้และความบันเทิง ผ้อู า่ นแตล่ ะคนจะมีจดุ มุง่ หมายในการอา่ นไม่เหมอื นกนั บางคนชอบอ่านเพ่ือ แสวงหาความรู้ บางคนชอบอา่ นเพ่ือแสวงหาความบันเทิง และบางคนอ่านเพื่อนำความรู้จากการอ่านไปใช้เพื่อ ประโยชน์อื่น ๆ การแบ่งประเภทของการอ่าน สามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ทั้งน้ีขึ้นอยู่กับว่าจะใช้ อะไรเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา อาจแบ่งโดยพิจารณาจุดมุ่งหมายเป็นหลัก หรืออาจแบ่งโดยพิจารณาจาก ลักษณะการอ่านเป็นหลัก คือ การอ่านในใจ แลการอ่านออกเสียง โดยจะมีวิธีการอ่านแตกต่างกันไป แต่ อย่างไรก็ตามการอ่านจะบรรลุจุดประสงค์ได้ ผู้อ่านควรมีจุดหมายในการอ่าน และเข้าวิธีท่ีจะอา่ น เพื่อให้ได้ ประโยชนส์ มตามความมุ่งหมาย
20 กจิ กรรมส่งเสริมการอ่าน กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน หมายถึง การกระทำต่าง ๆ เพื่อให้เด็กเกิดความสนใจท่ีจะอ่าน เห็น ความสำคัญของการอ่าน เกิดความเพลิดเพลินท่ีจะอ่าน เกิดความมุ่งมั่นที่จะอ่าน และอ่านจนเป็นนิสัย ทั้งนี้ การอ่านหนังสือเป็นทักษะสำคัญทักษะหน่งึ ในชีวิตประจำวัน เพราะการอ่านหนังสือจะพัฒนาคุณภาพชีวติ ของ คนเราได้เปน็ อย่างดยี ิ่ง เม่ือคนเราอ่านหนังสือจะเกิดความสามารถสร้างความรู้ อารมณ์ จนิ ตนาการ และ ความ เพลิดเพลิน การท่ีเด็กจะเกิดทักษะการอ่านหนังสือได้นั้นจำเป็นจะต้องอาศัยความร่วมมือจากบุคคลหลายฝ่าย ทัง้ ครอบครวั โรงเรยี นและชมุ ชน ในการจัดกจิ กรรมสง่ เสรมิ การอา่ นให้แกเ่ ด็ก กิจกรรมส่งเสริมการอ่านคือ การกระตุ้นด้วยวธิ ีการต่างๆ เพื่อให้ผู้อ่านสนใจการอ่านจนกระท่ังมีนิสัย รักการอ่าน และได้พัฒนาการอ่านจนกระทั่งมีความสามารถในการอ่าน นำประโยชน์จาการอ่านไปใช้ได้ตรง ตามวตั ถุประสงคข์ องการอ่านทกุ ประเภท (ฉวีวรรณ คูหาภินนั ทน์, 2542 : 93)
21 กรมวิชาการ (อ้างถึงใน ฉวีวรรณ คูหาภินันทน์, 2542 : 93) ให้ความหมายว่า กิจกรรมส่งเสริมการ อ่านคือ การกระทำเพอื่ 1. เร้าใจบุคคลหรือบุคคลท่ีเป็นเป้าหมายให้เกิดความอยากรู้ อยากอ่านหนังสือ โดยเฉพาะหนังสอื ท่ีมี คุณภาพ 2. เพื่อแนะนำชักชวนให้เกิดความพยายามที่จะอ่านให้แตกฉาน สามารถนำความรู้จากหนังสือไปใช้ ประโยชน์ เกดิ ความเข้าใจในเรอ่ื งต่างๆ ดีขน้ึ 3. เพ่ือกระตุ้น แนะนำให้อยากรู้ อยากอ่านหนังสือหลายอย่าง เปิดความคิดให้กว้าง ให้มีการอ่าน ตอ่ เนือ่ งจนเปน็ นสิ ยั พัฒนาการอ่านจนถงึ ขนั้ ทีส่ ามารถวเิ คราะห์เรอื่ งที่อา่ นได้ 4. เพ่ือสรา้ งบรรยากาศที่จงู ใจใหอ้ า่ น ดงั นั้น สามารถกลา่ วได้ว่า กิจกรรมส่งเสรมิ การอ่าน หมายถึงกิจกรรมต่างๆทหี่ ้องสมุดจดั ข้ึนเพือ่ ส่งเสริม ให้เกิดการอา่ นอย่างต่อเนื่องจนกระท่ังเปน็ นิสยั รักการอ่าน เช่น การเลา่ นิทาน การเชดิ หุ่น การแสดงละคร การ แนะนำหนังสือที่นา่ สนใจ เป็นต้น ลกั ษณะของกจิ กรรมสง่ เสริมการอา่ นทดี่ ี 1. เร้าความสนใจ เช่น การจัดนิทรรศการที่ดึงดูความสนใจ การตอบปัญหา มีรางวัลต่างๆ การใช้สื่อ เทคโนโลยีใหมๆ่ เข้ามาชว่ ย 2. จูงใจใหอ้ ยากอ่านและกระต้นุ ใหอ้ ยากอา่ น เช่น ข่าวที่กำลังเปน็ ที่สนใจ หรือหัวขอ้ เรอื่ งทเี่ ป็นท่สี นใจ เชน่ การวจิ ัย การเตรียมตวั สอบ การสมัครงาน เป็นต้น 3. ไม่ใชเ้ วลานาน ความยากง่ายของกิจกรรมเหมาะสมกับเพศ ระดบั อายุ การศกึ ษา 4. เปน็ กจิ กรรมท่ีมุ่งไปส่หู นงั สอื วสั ดกุ ารอ่าน โดยการนำหนังสอื หรือวสั ดกุ ารอ่านมาแสดงทกุ ครั้ง 5. ใหค้ วามสนกุ สนานเพลดิ เพลนิ แฝงการเรียนร้ตู ามอัธยาศัยจากการรว่ มกิจกรรมด้วย ความหมายและความสำคัญของห้องสมดุ หอ้ งสมุดประชาชน หมายถึง ห้องสมดุ ทต่ี ั้งขนึ้ เพอื่ ใหบ้ ริการแกป่ ระชาชน โดยไม่จำกัด เพศ วยั เชื้อชาติ ศาสนา และพื้นความรู้ ให้บริการสารสนเทศครบทุกหมวดวิชา และอาจมีการบริการบางเรื่องเป็น พเิ ศษตามความตอ้ งการของทอ้ งถ่ิน และจะจดั ใหบ้ ริการแก่ประชาชนโดยไมค่ ดิ มลู คา่ บทบาทหนา้ ที่ของห้องสมุดประชาชน มี 3 ประเภท คือ 1. หน้าท่ีทางการศึกษา ห้องสมุดประชาชนเป็นแหล่งให้การศึกษานอกระบบโรงเรียน มีหน้าที่ให้ การศกึ ษาแกป่ ระชาชนทัว่ ไป ทุกระดับการศึกษา 2. หน้าทีท่ างวัฒนธรรม ห้องสมุดปะชาชนเป็นแหล่งสะสมมรดกทางปัญญาของมนุษย์ ท่ีถ่ายทอดเป็น วฒั นธรรมท้องถน่ิ ทห่ี อ้ งสมดุ ตั้งอยู่ 3. หน้าที่ทางสังคม ห้องสมุดประชาชนเป็นสถาบันทางสังคมได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลและท้องถิ่น มาดำเนินกจิ การ จงึ มหี น้าท่ี แสวงหาข่าวสารข้อมลู ที่มปี ระโยชนม์ าบรกิ ารประชาชน หอ้ งสมุดประชาชนในประเทศไทยมีหนว่ ยงานตา่ งๆรับผิดชอบ ดงั นี้
22 1. ห้องสมุดประชาชนสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ สังกัดกรมการศึกษานอกโรงเรียน ได้แก่ ห้องสมุด ประชาชนระดับจังหวัด และระดับอำเภอ นอกจากน้ีกรมการศึกษานอกโรงเรียนยังได้จัดท่ีอ่านหนังสือประจำ หมูบ่ า้ น ท่ีอา่ นหนังสือในวัด และหอ้ งสมุดเคลอ่ื นที่ 2. หอ้ งสมุดประชาชน สังกัดกรงุ เทพมหานคร มีทัง้ หมด 12 แหง่ ได้แก่ ห้องสมุดประชาชนสวนลมุ พินี ห้องสมดุ ประชาชนซอยพระนาง ห้องสมดุ ประชาชนปทุมวัน หอ้ งสมุดประชาชนอนงคาราม หอ้ งสมุดประชาชน วัดสังข์กระจาย ห้องสมุดประชาชนบางเขน ห้องสมุดประชาชนบางขุนเทียน ห้องสมุดประชาชนวัดรัชฎาธิษ ฐานวรวิหารตล่ิงชัน ห้องสมุดประชาชนประเวช ห้องสมุดประชาชนวัดลาดปลาเค้า ห้องสมุดประชาชนภาษี เจรญิ ห้องสมดุ ประชาชนวัดราชโอรส 3. ห้องสมุดประชาชนของธนาคารพาณิชย์ เป็นห้องสมุดท่ีธนาคารพาณิชย์เปิดข้ึนเพ่ือบริการสังคม และเพ่ือประชาสมั พันธ์กิจการของธนาคารใหเ้ ป็นท่รี ูจ้ ักแพรห่ ลาย เช่น หอ้ งสมุดประชาชนของธนาคารกรงุ เทพ จำกดั 4. ห้องสมุดประชาชนของรัฐบาลต่างประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลต่างประเทศ เช่น ห้องสมุดบรติ ิชเคาน์ซิล ของรฐั บาลสหราชอาณาจกั ร ที่ตัง้ อยบู่ ริเวณสยามสแควร์ กรงุ เทพมหานคร 5. ห้องสมุดประชาชนเสียค่าบำรุง ห้องสมุดประชาชนประเภทน้ีใหบ้ ริการเฉพาะสมาชิกเท่านั้น โดยผู้ ท่ีเป็นสมาชิกจะต้องเสียค่าบำรุงตามระเบียบของห้องสมุด ได้แก่ ห้องสมุดนีลสันเฮย์ ตั้งอยู่ที่ ถนนสุริวงศ์ กรุงเทพมหานคร บทบาทและความสำคัญของห้องสมสดุ ต่อสงั คมในดา้ นต่าง ๆ 1. เป็นสถานที่เพ่ือสงวนรักษาและถ่ายทอดวฒั นธรรม ห้องสมุดเปน็ แหลง่ สะสมวิวัฒนาการของมนุษย์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถ้าไม่มีแหล่งค้นคว้าประเภทห้องสมุดเป็นศูนย์กลางแล้ว ความรู้ต่างๆ อาจสูญหาย หรอื กระจดั กระจายไปตามทต่ี า่ งๆ ยากแกค่ นร่นุ หลังจะตดิ ตาม 2. เป็นสถานที่เพ่ือการศึกษา ค้นคว้าวิจัย ห้องสมุดทำหน้าท่ีให้การศึกษาแก่ประชาชนทุกรูปแบบ ท้ัง ในและนอกระบบการศกึ ษา เริ่มจากการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐานถึงระดับสูง 3. เป็นสถานที่สร้างเสริมความคิดสร้างสรรค์และความจรรโลงใจ ห้องสมุดมีหน้าที่รวบรวมและ เลอื กสรรทรัพยากร สารสนเทศ เพอื่ บริการแก่ผ้ใู ช้ ซ่ึงเป็นสงิ่ ทมี่ ีคณุ ค่าผู้ใช้ได้ความคิดสร้างสรรค์ ความจรรโลง ใจนานาประการ เกดิ ประโยชนแ์ กต่ นเองและสงั คมตอ่ ไป 4. เป็นสถานท่ีปลูกฝังนิสัยรกั การอ่านและการเรียนรูต้ ลอดชีวิต ห้องสมุดจะช่วยให้บุคคลสนใจในการ อ่าน และรกั การอา่ นจนเป็นนสิ ยั 5. เป็นสถานที่ส่งเสริมการาใช้เวลาว่างในเป็นประโยชน์ ห้องสมุดเป็นสถานท่ีรวบรวมสารสนเทศทุก ประเภท เพื่อบริการแก่ผู้ใช้ตามความสนใจและอ่านเพ่ือฆ่าเวลา อ่านเพ่ือความเพลิดเพลิน หรืออ่านเพ่ือ สาระบนั เทิงได้ทั้งสนิ้ นับวา่ เปน็ การพักผ่อนอยา่ งมีความหมายและให้ประโยชน์
23 6. เป็นสถานท่ีส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย ห้องสมุดเป็นสาธารณะสมบัติ มีส่วนส่งเสริมให้บุคคล รจู้ ักสิทธแิ ละหนา้ ที่ของพลเมือง กลา่ วคอื เมื่อมีสิทธิในการใชก้ ็ย่อมมสี ิทธใิ นการบำรงุ รักษารว่ มกนั และให้ความ ร่วมมอื กบั ห้องสมดุ ด้วยการปฏิบตั ติ ามระเบียบ แบบแผนของห้องสมดุ ความหมายของสอ่ื สิง่ พิมพ์ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายคาท่ีเกี่ยวกับ“สื่อส่ิงพิมพ์”ไว้ว่า “ส่ิงพิมพ์ หมายถึง สมุด แผ่นกระดาษ หรอื วตั ถุใด ๆ ท่พี มิ พ์ข้นึ รวมตลอดทงั้ บทเพลง แผนที่ แผนผัง แผนภาพ ภาพวาด ภาพระบายสี ใบประกาศ แผ่นเสียง หรือสิง่ อ่ืนใดอนั มีลกั ษณะเช่นเดยี วกัน” “สื่อ หมายถึง ก. ทาการติดต่อให้ ถึงกัน ชักนาให้รู้จักกัน น. ผูห้ รอื สิ่งท่ีทาการตดิ ต่อให้ถึงกัน หรือชักนาใหร้ ู้จักกัน” “พิมพ์ หมายถึง ก. ถ่ายแบบ , ใช้เครื่องจักรกดตัวหนังสือหรือภาพ เป็นต้นให้ติดบนวัตถุ เช่น แผ่นกระดาษ ผ้า ทาให้เป็นตัวหนังสือหรือรูป รอยอย่างใด ๆ โดยการกดหรือการใช้พิมพ์หิน เครื่องกล วิธีเคมี หรือวิธีอ่ืนใด อันอาจให้เกิดเป็นส่ิงพิมพ์ขึ้น หลายสาเนา น. รูป , รูปร่าง, ร่างกาย, แบบ” ดังนั้น “สื่อส่ิงพิมพ์” จงึ มีความหมายวา่ “ส่ิงที่พิมพ์ขึ้น ไม่ว่าจะ เป็นแผ่นกระดาษหรือวัตถุใด ๆ ด้วยวิธีการต่าง ๆ อันเกิดเป็นช้ินงานที่มีลักษณะเหมือน ต้นฉบับข้ึนหลายสา เนาในปรมิ าณมากเพอ่ื เป็นสง่ิ ทท่ี าการตดิ ต่อ หรือชักนาใหบ้ คุ คลอื่นได้เห็นหรอื ทราบ ขอ้ ความตา่ ง ๆ” สิ่งพิมพ์เพื่อการศึกษา หมายถึง สิ่งที่พิมพ์ขึ้นในรูปแบบต่างๆ ทั้งหนังสือ ตารา เอกสาร วารสารต่างๆ ท่ีให้ความรู้ เน้ือหาสาระที่มีประโยชน์ เช่น หนังสือเรียนภาษาไทย ป. 6 หรืออาจเป็นชุดภาพประกอบ การศกึ ษา เช่น ภาพประกอบการศกึ ษาชุดอาหารไทย เป็นตน้ และสามารถนามาใช้ในการศกึ ษาได้
24 ความเป็นมา ส่ิงพิมพ์ถือได้ว่าเป็นส่ิงท่ีความสำคัญย่ิงควบคู่มากับการพัฒนาการของมนุษยชาติ และจัดเป็น สื่อมวลชนประเภทหน่ึงท่ีมีความสำคัญมาตลอดนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันในการถ่ายทอดความรู้วิชาการ และ เพื่อการติดต่อ ส่ือสารสาหรับมนุษยชาติ ดังคำจำกัดความของพจนี พลสิทธิ์ (2536 : 3) สรุปความเป็นมาและ ความสาคัญของ ส่ิงพิมพ์ ว่า “ส่ิงพิมพ์” นับเป็นวัสดุท่ีแสดงถึงพัฒนา การความเจริญก้าวห น้าทางด้าน สติปัญญา ของมนษุ ย์ ความคิด จินตนาการ เจตคติ ความฝนั ชวี ิต วัฒนธรรม สังคม เหตุการณ์ เรื่องราวต่าง ๆ ของมนุษย์แต่ลายุคสมัย สามารถเก็บรักษาสืบทอดจาดชนรุ่นหน่ึงไปสู่ชนรุ่นหลัง ความคิดในเร่ืองการพิมพ์น้ี นอกเหนือจาก เพ่ือเป็นเครื่องมือในการบันทึกความคิด จินตนาการ ความรู้ และเหตุการณ์ต่างๆ แล้วยังเป็น เคร่ืองแสดงให้เห็นว่าชนชาติต่าง ๆ ในโลกน้ีล้วนมีความพยายามท่ีจะพัฒนาความคิดของตนให้เจริญก้าวหน้า ทันสมัยอย่างต่อเน่ือง ความคิดในเรื่องการพิมพท์ ่ีมีจุดประสงค์เริ่มแรกก็คงเพื่อใหม้ ีการแพรห่ ลายเร่ืองความคิด ความรู้ ไปสู่ชนรุ่นหลัง และเพ่ือให้มีหลาย ๆ สาเนาจะได้เก็บรักษาให้คงอยู่ได้นานปีนั้น ในยุคปัจจุบันชนรุ่น หลังได้สานต่อความคิดเรื่องการพิมพ์จนกระท่ังกลายเป็นเทคโนโลยีท่ีทันสมัย และซับซ้อน สามารถผลิต ส่ิงพิมพ์ได้หลากหลายชนิดตอบสนองวัตถุประสงค์ของมนุษยชาติได้กว้างขวางนอกเหนือจากสื่อส่ิงพิมพ์จะเป็น สื่อมวลชนท่ีมีความเกีย่ วกันกับมนษุ ยชาติมานานนับพนั ๆ ปี และมคี วามเก่าแก่กว่าส่อื มวลชนประเภทอื่นไมว่ ่า จะเป็น วทิ ยกุ ระจายเสียง วทิ ยโุ ทรทัศน์ หรอื อนิ เตอรเ์ น็ต ซ่ึงเป็นสอ่ื ประเภทหน่ึงท่มี ีการใช้แพร่หลายไปท่วั โลก เช่นในปัจจบุ ันก็ตาม แต่ส่ือส่ิงพิมพ์ก็ยงั เป็นสื่อที่มีการใช้อยา่ งแพร่หลายเป็นที่นิยมของทุกชนชาติมิได้ยง่ิ หย่อน ไปกว่ากัน ไม่ว่าจะเป็นส่ือส่ิงพิมพ์ประเภทใดก็ตาม เช่น หนังสือพิมพ์รายวัน นิตยสาร วารสาร หรือส่ิงพิมพ์ ประเภทต่าง ๆ สาเหตุสาคัญที่ทาให้ส่ือส่ิงพิมพ์ยังเป็นที่นิยมแพร่หลายมาโดยตลอด ก็เพราะบุคคลสามารถ เลือกอา่ นได้ตามความเหมาะสม อีกทง้ั ยงั ใชเ้ ป็นเอกสารอ้างองิ ไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ ประวัตกิ ารพิมพ์ในประเทศไทย ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กรุงศรีอยุธยา ได้เริ่มแต่งและพิมพ์หนังสือคำสอนทางศาสนา คริสต์ขึน้ และหลังจากน้ันหมอบรัดเลย์เขา้ มาเมืองไทย และไดเ้ ริ่มด้านงานพมิ พ์จนสนใจเปน็ ธรุ กิจดา้ นการพมิ พ์ ในเมืองไทย พ.ศ.2382 ได้พิมพ์เอกสารทางราชการเป็นชิ้นแรก คือ หมายประกาศห้ามสูบฝ่ิน ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้า เจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้จ้างพิมพ์จานวน 9,000 ฉบับ ต่อมาเมื่อวันท่ี 4 ก.ค.2387 ได้ออกหนังสือฉบับแรกขึ้น คือ บางกอกรีคอร์ดเดอร์ (Bangkok Recorder) เป็นจดหมายเหตุอย่างสั้น ออก เดือนละ 2 ฉบับ และใน 15 มิ.ย. พ.ศ.2404 ได้พิมพ์หนังสือเลม่ ออกจำหน่ายโดยซื้อลิขสิทธิ์จาก หนังสือนิราศ ลอนดอนของหม่อมราโชทัยและได้เร่ิมต้นการซ้ือขาย ลิขสิทธิหน่ายในเมืองไทย หมอบรัดเลย์ได้ถึงแก่กรรมใน เมืองไทยกิจการ การพิมพ์ของไทยจึงเร่ิมต้นเป็นของไทย หลังจากน้ันใน พ.ศ.2500 ประเทศไทยจึงนา เคร่ืองพิมพ์แบบโรตารี ออฟเซท (Rotary off Set) มาใช้เป็นครั้งแรก โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิชนาเคร่ืองหล่อ เรียงพิมพ์ Monotype มาใช้กับตัวพิมพ์ภาษาไทย ธนาคาร แห่งประเทศไทยได้จัดโรงพิมพ์ธนบัตรในเมืองไทย ขน้ึ ใชเ้ อง
25 ประเภทของส่อื สิ่งพมิ พ์เพ่ือการศกึ ษา ส่ือส่ิงพมิ พป์ ระเภทหนงั สือ 1. หนังสือตำรา เป็นสื่อที่พิมพ์เป็นเล่ม ประกอบด้วยเน้ือหาการเรียนการสอนโดยอธิบายเน้ือหาวิชาอย่างละเอียด ชัดเจน อาจมีภาพถ่ายหรือภาพเขียนประกอบเพื่อเพิ่มความสนใจของผู้เรียน หนังสือตารานี้อาจใช้เป็นส่ือการ เรียนในวิชานั้นโดยตรงนอกเหนือจากการบรรยายในชั้นเรียน หรืออาจใช้เป็นหนังสืออ่านประกอบหรือหนังสือ อ่านเพิ่มเติมก็ได้ การใช้หนังสือในการเรียนการสอนนับว่ามีประโยชน์แก่ผู้เรียนทั้งในด้านการศึกษารายบุคคล เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถใช้อ่านในเวลาที่ต้องการ และในด้านเศรษฐกิจเน่ืองจากสามารถใช้อ่านได้หลายคนและ เก็บไว้ไดเ้ ป็นเวลานาน 2. แบบฝึกปฏิบัติ เป็นสมุดหรือหนังสือท่ีพิมพ์ข้ึนโดยมีเนื้อหาเป็นแบบฝึกหัดหรือแบบฝึกปฏิบัติเพื่อเป็นการเพ่ิมทักษะ หรือทดสอบผเู้ รยี น อาจมเี นื้อหาในรูปแบบคาถามให้เลือกคาตอบ หรือเป็นต้นแบบเพ่ือใหผ้ ู้เรียนฝึกปฏิบัตติ าม โดยอาจมีรปู ประกอบเพือ่ ใหเ้ ข้าใจได้งา่ ยย่ิงขน้ึ เช่น แบบคดั ตัวอกั ษร ก ไก่ เปน็ ต้น 3. พจนานกุ รม เป็นหนังสอื ทม่ี เี นื้อหาเปน็ คาศัพท์และคาอธบิ ายความหมายของคาศัพท์ แตล่ ะคาน้ัน โดยการเรียงตาม ลาดับจากอักษรตัวแจกถึงตวั สดุ ท้ายของภาษาท่ีตอ้ งการจะอธิบาย คาศพั ท์และคาอธิบายจะเปน็ ภาษาเดียวกัน หรือต่างภาษาก็ได้ เช่น คาศัพท์ภาษาองั กฤษและมีคาอธบิ ายเป็นภาษาไทย หรอื ท้ังคาศัพท์และคาอธิบายตา่ งก็ เป็นภาษาองั กฤษ เปน็ ต้น 4. สารานกุ รม เป็นหนังสือท่ีพิมพ์ขึ้นเพื่ออธิบายหัวข้อหรือข้อความต่างๆ ตามลาดับของตัวอักษร เพ่ือให้ผู้อ่าน สามารถคน้ คว้าเพ่ือความรแู้ ละการอา้ งองิ โดยมีรปู ภาพ แผนภูมิ ฯลฯ ประกอบคาอธบิ ายใหช้ ดั เจนย่ิงขน้ึ 5. หนงั สือภาพและภาพชุดตา่ งๆ เป็นหนังสือท่ีประกอบด้วยภาพต่างๆ ท่ีเป็นเร่ืองเดียวกันตลอดทั้งเล่ม ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือภาพท่ี พิมพ์สอดสีสวยงาม เหมาะแก่การเก็บไว้ศึกษาหรือเป็นท่ีระลึก เช่น หนังสือภาพชุดพระที่น่ังวิมานเมฆ หรือ หนังสือภาพชุดทศั นยี ภาพของประเทศตา่ งๆ เป็นต้น 6. วิทยานพิ นธ์และรายงานการวิจยั เป็นส่ิงพิมพ์ที่พิมพ์ออกมาจานวนไม่มากนักเพ่ือเผยแพร่ไปยังห้องสมุด สถาบันการศึกษาต่างๆ หรือ หนว่ ยงานที่เกีย่ วขอ้ งกับงานวิจัยนน้ั เพื่อใหผ้ ู้สนใจใช้เป็นเอกสารค้นควา้ ขอ้ มลู หรือใช้ในการอา้ งอิง 7. สงิ่ พมิ พย์ อ่ ส่วน (Microforms) หนังสือที่เก่าหรือชารุดหรือหนังสือพิมพ์ท่ีมีอยู่เป็นจานวนมากย่อมไม่เป็นที่สะดวกในการเก็บรักษาไว้ จึงจำเป็นต้องหาวิธีเก็บส่ิงพิมพ์เหล่าน้ีไว้โดยอาศัยลักษณะการย่อส่วนลงให้เหลือเล็กที่สุดเท่าท่ีจะทาได้ เพ่ือ ประหยัดเน้ือท่ีในการเก็บรักษาและสามารถที่จะนำมาใช้ได้สะดวก จงึ มีวิธีการต่างๆ โดยอาศัยเนื้อท่ีในการเก็บ รักษาและสามารถท่ีจะนามาใช้ไดส้ ะดวก จงึ มวี ธิ กี ารตา่ งๆ โดยอาศัยเทคโนโลยีในการทาส่ิงพิมพ์ยอ่ สว่ น ได้แก่
26 ก. ไมโครฟิลม์ (Microfilm) เป็นการถ่ายหนังสือแต่ละหน้าลงบนม้วนฟิล์มที่มีความกว้างขนาด 16 หรือ 35 มิลลิเมตร โดยฟิล์ม 1 เฟรมจะ บรรจุหน้าหนังสือได้ 1-2 หน้าเรยี งติดต่อกันไป หนงั สือเล่มหนึ่งจะสามารถบันทกึ ลงบนไมโครฟิลม์ โดยใช้ความ ยาวของฟิล์มเพียง 2-3 ฟุต ตามปกติจะใช้ฟิล์ม 1 ม้วนต่อหนังสือ 1 เล่ม และบรรจุม้วนฟิล์มลงในกล่องเล็กๆ กลอ่ งละม้วนเมอื่ จะใชอ้ ่านกใ็ ส่ฟลิ ม์ เข้าในเคร่ืองอา่ นท่มี จี อภาพหรือจะอัดสาเนาหนา้ ใดก็ไดเ้ ช่นกนั ข. ไมโครฟชิ (Microfiche) เป็นแผ่นฟิล์มแข็งขนาด 4 x 6 นิ้ว สามารถบันทึกข้อความจากหนังสือโดยย่อเป็นกรอบเล็กๆ หลายๆ กรอบ แผ่นฟลิ ์มน้ีจะมีเนือ้ ที่มากพอที่จะบรรจุหนา้ หนังสือทีย่ อ่ ขนาดแลว้ ได้หลายร้อยหน้า ตวั อักษรท่ยี ่อจะมีสีขาวบน พ้ืนหน้าหนังสือสีดา สามารถอ่านได้โดยวางแผ่นฟิล์มลงบนเคร่ืองฉายที่ขยายภาพให้ไปปรากฏบนจอภาพสา หรบั อา่ นและจะอา่ นหน้าใดกไ็ ดเ้ ลือ่ นภาพไปมา และยังสามารถนาไปพิมพ์บนกระดาษและอดั สาเนาไดด้ ้วย สื่อสิ่งพิมพเ์ พื่อเผยแพร่ข่าวสาร – หนังสือพิมพ์ (Newspapers) เป็นส่ือสิ่งพิมพ์ที่ผลิตขึ้นโดยนาเสนอเร่ืองราว ข่าวสารภาพและความ คดิ เห็น ในลักษณะของแผ่นพิมพ์ แผ่นใหญ่ ท่ีใช้วิธีการพับรวมกัน ซึ่งส่ือส่ิงพิมพ์ชนิดนี้ ได้พิมพ์ออกเผยแพร่ทั้ง ลักษณะ หนังสอื พิมพร์ ายวัน, รายสปั ดาห์ และรายเดอื น – วารสาร, นิตยสาร เป็นส่ือสิ่งพิมพ์ที่ผลิตขึ้นโดยนาเสนอสาระ ข่าว ความบันเทิง ท่ีมีรูปแบบการนา เสนอ ที่โดดเด่น สะดดุ ตา และสร้างความสนใจให้กับผู้อ่าน ทั้งนี้การผลิตน้ัน มีการ กาหนดระยะเวลาการออก เผยแพรท่ ี่แน่นอน ทัง้ ลกั ษณะวารสาร, นติ ยสารรายปักษ์ (15 วัน) และ รายเดอื น – จุลสาร เป็นส่ือสิ่งพิมพ์ที่ผลิตขึ้นแบบไม่มุ่งหวังผลกาไร เป็นแบบให้เปล่าโดยให้ผู้อ่านได้ศึกษาหา ความรู้ มีกาหนดการออกเผยแพร่เป็นคร้ัง ๆ หรอื ลาดับตา่ ง ๆ ในวาระพิเศษ แสดงเนื้อหาเป็นข้อความท่ีผอู้ ่าน อา่ นแล้วเขา้ ใจงา่ ย ส่งิ พิมพอ์ เิ ล็กทรอนกิ ส์ เป็นสื่อส่ิงพิมพ์ท่ีผลิตขึ้นเพื่อใช้งานในคอมพิวเตอร์ หรือระบบเค รือข่ายอินเตอร์เน็ต ได้แก่ Document Formats, E-book for Palm/PDA เป็นตน้ บทบาทของสือ่ สิ่งพิมพเ์ พ่ือการศกึ ษา บทบาทของสื่อสิ่งพิมพ์ในสถานศึกษา ส่ือส่ิงพิมพ์ถูกนาไปใช้ในสถานศึกษาโดยทั่วไป ซึ่งทาให้ผู้เรียน ผู้สอนเข้าใจในเนื้อหามากขึ้น เช่น หนังสือ ตารา แบบเรียน แบบฝึกหัดสามารถพัฒนาได้เป็นเนื้อหาในระบบ เครือข่ายอนิ เตอรเ์ น็ตได้ แนวทางการประยุกต์ใช้สื่อส่ิงพิมพ์เพื่อการเรียนการสอน หรือการศึกษา การใช้ส่ิงพิมพ์เพ่ือการศึกษาในการ เรียนการสอนน้นั จำแนกได้เป็น 3 วิธี คือ 1. ใช้เป็นแหล่งข้อมลู เกยี่ วกับวิชาทเี่ รยี น 2. ใช้เป็นวัสดกุ ารเรยี นรว่ มกบั สอื่ อืน่ ๆ 3. ใชเ้ ป็นสื่อเสริมในการเรียนรูแ้ ละเพิ่มพูนประสบการณ์
27 จากวิธีการใช้ส่ิงพิมพ์ท้ัง 3 วิธีนั้น ผู้สอนสามารถนาส่ิงพิมพ์ทั้งที่เป็นสิ่งพิมพ์ทั่วไป หรือส่ิงพิมพ์เพ่ือการศึกษา โดยเฉพาะมาใช้ในการเรียนการสอนก็ได้ ท้ังนี้โดยพิจารณาตามลักษณะของสิ่งพิมพ์และลักษณะของการใช้ ดังน้ี 1. สิ่งพิมพ์ทเี่ ขยี นข้ึนในลักษณะของหนังสือตารา ใชเ้ พ่ือการศึกษาในระบบโรงเรยี นตามหลกั สตู ร 2. ส่ิงพิมพ์ที่เขียนข้ึนในลักษณะบทเรียนสาเร็จรูปเพื่อง่ายต่อการศึกษาด้วยตนเอง เหมาะสาหรับใช้ใน การศกึ ษาทางไกลรว่ มกับสือ่ อนื่ ๆ เช่น โทรทัศน์ เทปเสยี งสรปุ บทเรยี น และการสอนเสรมิ เป็นตน้ 3. ส่ิงพิมพ์เสริมการเรียนการสอน เช่น แบบฝึกปฏิบัติ คู่มือเรียน ฯลฯ อาจใช้ร่วมกับสื่อบุคคลหรือ สอ่ื มวลชนประเภทอน่ื ๆ ได้ 4. ส่ิงพิมพ์ท่ัวๆ ไป เช่น นิตยสาร หนังสือพิมพ์ ฯลฯ ที่มีคอลัมน์หรือบทความท่ีให้ประโยชน์ ผู้สอนอาจ แนะนาใหผ้ เู้ รียนอ่านเพอ่ื เพิม่ พูนความรู้หรือเพื่อนามาใชอ้ ้างองิ ประกอบการค้นควา้ 5. ส่ิงพิมพ์ประเภทภาพชุด เป็นการให้ความรู้ทางรูปธรรมเพ่ือใช้ในการเสริมสร้างประสบการณ์ ทาให้ ผู้เรียนเขา้ ใจเหตุการณ์เรือ่ งราวหรอื สิง่ ท่ีเป็นนามธรรมได้ชดั เจนขึ้น เชน่ ภาพชุดชีวิตสัตว์ หรอื ภาพชุด พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นต้น (สานกั การศึกษา กรงุ เทพมหานคร, 9 กันยายน 2553) ประโยชน์และคุณค่าของส่อื สง่ิ พิมพเ์ พอื่ การศกึ ษา 1. สื่อสง่ิ พิมพส์ ามารถเกบ็ ไว้ได้นาน สามารถนามาอา่ นซา้ แลว้ ซ้าอกี ได้ 2. สอื่ สิง่ พมิ พ์เปน็ สอื่ ทม่ี ีราคาถกู เมอ่ื เทยี บกับส่ืออืน่ ๆ 3. สื่อสิ่งพมิ พ์เป็นสอื่ ที่ใชง้ า่ ย ไมย่ ุ่งยาก 4. ส่ือสิ่งพิมพ์เป็นสื่อที่จัดทาได้ง่าย โดยครูผู้สอนสามารถทาได้เองได้ มีวิธีทาท่ีไม่ยุ่งยากซับซ้อน เช่น ใบงาน ใบความรู้ เปน็ ตน้
28 ขอ้ ดีและขอ้ จากดั ของสื่อสง่ิ พมิ พเ์ พ่ือการศกึ ษา ขอ้ ดี 1. สามารถอ่านชา้ ทบทวน หรอื อ้างองิ ได้ 2. เปน็ การเรียนรทู้ ่ีดสี าหรับผ้ทู ีส่ นใจ 3. เป็นการกระตุ้นใหค้ นไทยรักการอา่ น ข้อจำกัด 1. ผู้มีปัญหาทางสายตา หรอื ผู้สูงอายอุ ่านไมส่ ะดวกในการใช้ 2. ข้อมลู ไม่สามารถปรบั ปรุงแก้ไขไดท้ นั ทว่ งทไี ด้ 3. ผไู้ ม่ร้หู นังสอื ไมส่ ามารถเข้าถึงได้ ความหมายของสื่อออนไลน์ ความหมายของส่อื สงั คมออนไลน์ ส่ือสังคมออนไลน์ หมายถึง สื่อดิจิทัลท่ีเป็นเครือ่ งมือในการปฏิบัติการทางสังคม(Social Tool) เพื่อใช้ สอ่ื สารระหว่างกันในเครือข่ายทางสังคม (Social Network) ผา่ นทางเว็บไซต์และโปรแกรมประยุกตบ์ นสื่อใดๆ ทม่ี กี ารเชื่อมต่อกับอินเทอร์เนต็ โดยเน้นใหผ้ ู้ใช้ทั้งทเ่ี ป็นผสู้ ่งสารและผู้รับสารมสี ่วนร่วม (Collaborative) อยา่ ง สร้างสรรค์ ในการผลิตเน้ือหาข้นึ เอง (User-GenerateContent:UGC) ในรูปของขอ้ มลู ภาพและเสียง สำหรับในยุคน้ี เราคงจะหลีกเล่ยี งหรือหนีคำว่า Social Media ไปไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะไปทไ่ี หน ก็จะพบ เห็นมันอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหลายๆ คนก็อาจจะยังสงสัยว่า “Social Media” มันคืออะไรกันแน่ วันน้ีเราจะมา รูจ้ กั ความหมายของมนั กนั ครบั คำว่า “Social” หมายถงึ สังคม ซ่ึงในทีน่ จี้ ะหมายถงึ สงั คมออนไลน์ ซ่งึ มีขนาดใหมม่ ากในปัจจุบัน คำว่า “Media” หมายถงึ ส่อื ซง่ึ กค็ ือ เน้ือหา เร่อื งราว บทความ วดี ีโอ เพลง รปู ภาพ เปน็ ตน้ ดังนั้นคำว่า Social Media จึงหมายถึง ส่ือสังคมออนไลน์ที่มีการตอบสนองทางสังคมได้หลายทิศทาง โดยผา่ นเครอื ขา่ ยอินเตอร์เนต็ พูดง่ายๆ กค็ ือเวบ็ ไซตท์ ่ีบคุ คลบนโลกน้สี ามารถมปี ฏสิ ัมพันธโ์ ต้ ต้ อบกันได้น่นั เอง พื้นฐานการเกิด Social Media ก็มาจากความต้องการของมนุษย์หรือคนเราที่ต้องการติดต่อส่ือสาร หรือมีปฏิสัมพันธ์กัน จากเดิมเรามีเว็บในยุค 1.0 ซึ่งก็คือเว็บที่แสดงเนื้อหาอย่างเดียว บุคคลแต่ละคนไม่ สามารถตดิ ต่อหรือโต้ตอบกันได้ แตเ่ ม่อื เทคโนโลยีเวบ็ พัฒนาเขา้ สู่ยุค 2.0 ก็มีการพัฒนาเว็บไซตท์ ี่เรียกว่า web application ซง่ึ ก็คอื เวบ็ ไซต์มีแอพลเิ คชันหรือโปรแกรมต่างๆ ที่มาและความสำคัญ สื่อสังคมออนไลน์กลับส่งอิทธิพลลบต่อชีวิตประจำวันและความสัมพันธ์ของคนในสัง คมอย่างชัดเจน มากย่ิงข้นึ จนกลายเป็นประเด็นทางสังคม ท่ีท้ังส่ือ บทกฎหมาย และประชาชนเองจะต้องให้ความสำคัญในการ ปอ้ งกนั และแกไ้ ขปัญหาเหลา่ นี้
29 สื่อสังคมออนไลน์ใช้สอ่ื สารระหว่างกันในเครอื ข่ายทางสังคม ผ่านทางเว็บไซต์และโปรแกรมประยุกต์ บนสื่อใดๆ ท่ีมีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต โดยเน้นให้ผู้ใช้ท้ังท่ีเป็นผู้ส่งสารและผู้รับสารมีส่วนร่วม อย่าง สรา้ งสรรค์ ในการผลิตเนื้อหาขึ้น ในรูปของข้อมูล ภาพ และเสยี ง ท้ังนี้การใช้สื่อออนไลน์ต่างๆ ก็ต้องอยู่ในขอบเขตในความพอประมาณ เล่นในประมาณที่พอเหมาะ เพ่ือเป็นผลดตี อ่ สายตาและร่างกาย ประเภทส่ือสงั คมออนไลน์ ประเภทของส่ือสังคมออนไลน์ มีด้วยกันหลายชนิด ขึ้นอยู่กับลักษณะของการนำมาใช้โดยสามารถ แบง่ เป็นกลมุ่ หลกั ดงั น้ี 1. Weblogs หรือเรียกส้ันๆ ว่า Blogs คือ สื่อส่วนบุคคลบนอินเทอร์เน็ตที่ใช้เผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ ข้อคิดเห็น บันทึกส่วนตัว โดยสามารถแบ่งปันให้บุคคลอ่ืนๆ โดยผู้รับสารสามารถเข้าไปอ่าน หรือ แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมได้ ซึ่งการแสดงเน้ือหาของบล็อกน้ันจะเรียงลำดับจากเนื้อหาใหม่ไปสู่เน้ือหาเก่า ผ้เู ขียนและผู้อ่านสามารถคน้ หาเนือ้ หายอ้ นหลงั เพ่อื อา่ นและแก้ไขเพมิ่ เติมได้ตลอดเวลา เช่น Exteen,Bloggang,Wordpress,Blogger,Okanation 2. Social Networking หรือเครือข่ายทางสังคมในอินเทอร์เน็ต ซ่ึงเป็นเครือข่ายทางสังคมท่ีใช้สำหรับ เชื่อมต่อระหว่างบุคคล กลุ่มบุคคล เพื่อให้เกิดเป็นกลุ่มสังคม(Social Community) เพื่อรว่ มกันแลกเปลี่ยน แ ล ะ แ บ่ งปั น ข้ อ มู ล ร ะ ห ว่ า งกั น ทั้ ง ด้ า น ธุ ร กิ จ ก า ร เมื อ ง ก า ร ศึ ก ษ า เช่ น Facebook, Hi5, Ning,Linkedin,MySpace,Youmeo,Friendste 3. Micro Blogging และ Micro Sharing หรือท่ีเรียกกันว่า “บล็อกจิ๋ว” ซง่ึ เป็นเวบ็ เซอร์วิสหรือเว็บไซต์ ท่ีให้บริการแก่บุคคลทั่วไปสำหรับให้ผู้ใช้บริการเขียนข้อความสั้นๆ ประมาณ 140 ตัวอักษรท่ี เรียกว่า “Status” หรือ “Notice” เพ่ือแสดงสถานะของตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่หรือแจ้งข่าวสารต่างๆแก่ กลุ่มเพ่ือนในสังคมออนไลน์ (OnlineSocialNetwork) (Wikipedia,2010) ทั้งน้ีการกำหนดให้ใช้ข้อมูลในรูป ข้อความสั้นๆ ก็เพื่อให้ผู้ใช้ที่เป็นท้ังผู้เขียนและผู้อ่านเข้าใจง่าย ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายคือ Twitter 4. Online Video เป็นเว็บไซต์ท่ีให้บริการวิดโี อออนไลน์โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซ่ึงปัจจุบันได้รับความนิยม อย่างแพร่หลายและขยายตัวอย่างรวดเร็วเนื่องจากเน้ือหาท่ีนำเสนอในวิดีโอออนไลน์ไม่ถูกจำกัดโดยผัง รายการท่ีแน่นอนและตายตัวทำให้ผู้ใช้บริการสามารถติดตามชมได้อย่างต่อเน่ืองเพราะไม่มีโฆษณาค่ัน รวมท้ังผู้ใช้สามารถเลือกชมเนื้อหาได้ตามความต้องการและยังสามารถเชื่อมโยงไปยังเว็บวิดีโออ่ืนๆ ที่ เก่ียวขอ้ งไดจ้ ำนวนมากอกี ด้วยเช่น Youtube, MSN, Yahoo 5. Poto Sharing เป็นเว็บไซต์ท่ีเน้นให้บริการฝากรูปภาพโดยผู้ใช้บริการสามารถอัพโหลดและดาวน์ โหลดรปู ภาพเพื่อนำมาใช้งานได้ ที่สำคัญนอกเหนือจากผู้ใช้บริการจะมีโอกาสแบ่งปันรปู ภาพแลว้ ยังสามารถ ใช้ เป็ น พื้ น ที่ เพื่ อ เส น อ ขายภ า พ ที่ ต น เอ งน ำเข้ าไป ฝ ากได้ อี ก ด้ วย เช่ น Flickr, Photobucket, Photoshop,Express, Zooom 6. Wikis เป็นเว็บไซต์ที่มีลักษณะเป็นแหล่งข้อมูลหรือความรู้ (Data/Knowledge)ซึ่งผู้เขียนส่วนใหญ่
30 อาจจะเป็นนักวิชาการ นักวิชาชีพหรือผู้เช่ียวชาญเฉพาะทางด้านต่างๆ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ซึ่งผู้ใช้สามารถเขียนหรือแก้ไขข้อมูลได้อย่างอิสระ เช่น Wikipedia, Google Earth,diggZy Favorites Online 7. Virtual Worlds คือการสร้างโลกจินตนาการโดยจำลองส่วนหน่ึงของชีวิตลงไป จัดเป็นสื่อสังคม อ อ น ไล น์ ที่ บ ร ร ด าผู้ ท่ อ ง โล ก ไซ เบ อ ร์ ใช้ เพื่ อ ส่ื อ ส าร ร ะ ห ว่ า งกั น บ น อิ น เท อ ร์ เน็ ต ใน ลั ก ษ ณ ะ โล ก เส มื อ น จริง (Virtual Reality) ซ่ึงผู้ที่จะเข้าไปใช้บริการอาจจะบริษัทหรือองค์การด้านธุรกิจ ด้านการศึกษา รวมถึง องค์การด้านส่ือ เช่น สำนักข่าวรอยเตอร์ สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ้ือพ้ืนที่เพื่อให้บุคคล ในบริษัทหรือองค์กรได้มีช่องทางในการนำเสนอเรื่องราวต่างๆ ไปยังกลุ่มเครือข่ายผู้ใช้ส่ือออนไลน์ ซึ่งอาจจะ เป็นกลุ่ม ลูกคา้ ท้ังหลัก และรองหรอื ผทู้ ี่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ของบริษัท หรือองค์การกไ็ ด้ ปัจจุบันเว็บไซต์ที่ใช้ หลัก Virtual Worlds ท่ีประสบผลสำเร็จและมชี อ่ื เสยี ง คอื Second life 8. Crowd Sourcing มาจากการรวมของคำสองคำคือ Crowd และ Outsourcing เป็นหลักการขอ ความร่วมมือจากบุคคลในเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยสามารถจัดทำในรูปของเว็บไซต์ที่มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อค้นหาคำตอบและวิธีการแก้ปัญหาต่างๆท้ังทางธุรกิจ การศึกษา รวมท้ังการส่ือสาร โดยอาจจะเป็นการ ดึงความร่วมมือจากเครือข่ายทางสังคมมาช่วยตรวจสอบข้อมูลเสนอความคิดเห็นหรือให้ข้อเสนอแนะ กลุ่ม คนท่ีเข้ามาให้ขอ้ มูลอาจจะเป็นประชาชนท่ัวไปหรือผมู้ ีความเชยี่ วชาญเฉพาะด้านทีอ่ ย่ใู นภาคธุรกิจหรือแม้แต่ ในสังคมนักข่าว ข้อดีของการใช้หลัก Crowd souring คือ ทำให้เกิดความหลากหลายทางความคิดเพ่ือ นำ ไปสู่การแก้ปัญหาท่ีมีประสิทธิภาพ ตลอดจนช่วยตรวจสอบหรือคัดกรองข้อมูลซึ่งเป็นปัญหาสาธารณะ ร่วมกันได้ เช่น Idea storm, Mystarbucks Idea 9. Podcasting ห รื อ Podcast ม า จ า ก ก า ร ร ว ม ตั ว ข อ ง ส อ ง ค ำ คื อ “Pod” กั บ “Broadcasting” ซึ่ง “POD” หรือ PersonalOn - Demand คือ อุปสงค์หรือความต้องการส่วนบุคคล ส่วน “Broadcasting” เป็นการนำส่ือต่างๆ มารวมกันในรูปของภาพและเสียง หรืออาจกล่าวง่ายๆ Podcast คือ การบันทึกภาพและเสียงแล้วนำมาไว้ในเว็บเพจ (Web Page) เพ่ือเผยแพร่ให้บุคคลภายนอก (The public in general) ทสี่ นใจดาวนโ์ หลดเพ่ือนำไปใช้งาน เชน่ Dual Geek Podcast, Wiggly Podcast 10. Discuss / Review/ Opinion เป็นเว็บบอร์ดท่ีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสามารถแสดงความคิดเห็น โดย อาจจะเก่ียวกับ สินค้าหรือบริการ ประเด็นสาธารณะทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม เช่น Epinions, Moutshut, Yahoo!Answer, Pantip,Yelp ประโยชนข์ อง Social networks เครอื ข่ายสังคมออนไลน์ 1. สามารถแลกเปลยี่ นข้อมลู ความร้ใู นสง่ิ ที่สนใจรว่ มกนั ได้ 2. เป็นคลังข้อมูลความรู้ขนาดย่อมเพราะเราสามารถเสนอและแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนความรู้ หรือ ต้งั คาถามในเร่ืองต่างๆ เพือ่ ใหบ้ ุคคลอนื่ ท่สี นใจหรอื มีคาตอบไดช้ ว่ ยกันตอบ 3. ประหยัดค่าใชจ้ ่ายในการตดิ ต่อสอ่ื สารกับคนอืน่ สะดวกและรวดเรว็ 4. เป็นส่ือในการนำเสนอผลงานของตัวเอง เช่น งานเขียน รูปภาพ วีดิโอต่างๆ เพ่ือให้ผู้อ่ืนได้เข้ามารับชม
31 และแสดงความคดิ เห็น 5. ใช้เป็นสื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือบริการลกู ค้าสาหรับบริษทั และองค์กรตา่ งๆ ช่วยสรา้ งความ เช่ือม่ันให้ลูกคา้ 6. ชว่ ยสร้างผลงานและรายได้ใหแ้ ก่ผ้ใู ช้งาน เกดิ การจา้ งงานแบบใหม่ๆ ข้นึ 7. คลายเครียดได้สำหรับผู้ใช้ทตี่ อ้ งการหาเพือ่ นคยุ เล่นสนกุ ๆ 8. สร้างความสมั พนั ธท์ ด่ี จี ากเพื่อนสู่เพื่อนได้ ความหมายของอาชีพ อาชีพ หมายถึง การทำกจิ กรรม การทำงาน การประกอบการท่ีไม่เปน็ โทษแก่สังคม และมีรายได้ตอบ แทน โดยอาศัยแรงงาน ความรู้ ทักษะ อุปกรณ์ เคร่ืองมือ วิธีการ แตกต่างกันไปกลุ่มอาชีพตามลักษณะการ ประกอบอาชพี มี 2 ลกั ษณะ คือ อาชพี อสิ ระ และอาชีพรับจา้ ง 1. อาชีพอิสระ หมายถึง อาชพี ทุกประเภทท่ีผู้ประกอบการดำเนินการด้วยตนเอง แต่เพียงผู้เดียวหรือ เป็นกลุ่ม อาชพี อสิ ระเป็นอาชีพท่ีไม่ต้องใชค้ นจำนวนมาก แต่หากมีความจำเป็นอาจมกี ารจ้างคนอื่นมาช่วยงาน ได้ เจ้าของกิจการเป็นผู้ลงทุน และจำหน่ายเอง คิดและตัดสินใจด้วยตนเองทุกเรื่อง ซ่ึงช่วยให้การพัฒนางาน อาชีพ เป็นไปอย่างรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ การประกอบอาชีพอิสระ เช่น ขายอาหาร ขายของชำ ซ่อม รถจักรยานยนต์ ฯลฯ ในการประกอบอาชีพอิสระ ผู้ประกอบการจะต้องมีความรู้ ความสามารถในเรื่อง การ บริหาร การจัดการ เช่น การตลาด ทำเลท่ตี ง้ั เงินทุน การตรวจสอบ และประเมินผล เป็นต้น นอกจากนยี้ ังตอ้ ง มีความอดทนต่องานหนัก ไม่ถ้อถอยต่อ ปัญหาอปุ สรรคทเ่ี กดิ ขึ้น มคี วามคิดริเร่ิม สร้างสรรค์ และมองเห็นภาพ การดำเนนิ งาน ของตนเองได้ทะลุปรุโปรง่ 2. อาชีพรับจ้าง หมายถึง อาชีพที่มีผู้อ่ืนเป็นเจ้าของกิจการ โดยตัวเองเป็นผู้รับจ้าง ทำงานให้ และ ได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าจ้าง หรือเงินเดือน อาชีพรับจ้างประกอบด้วย บุคคล 2 ฝ่าย ซึ่งได้ตกลงว่าจ้างกัน บคุ คลฝ่ายแรกเรียกว่า \"นายจ้าง\" หรือผู้ว่าจ้าง บคุ คลฝ่ายหลงั เรยี กว่า \"ลกู จ้าง\" หรือผู้รับจา้ ง มคี ่าตอบแทนที่ผู้
32 ว่าจ้างจะตอ้ งจ่ายใหแ้ ก่ ผรู้ บั จ้างเรยี กว่า \"ค่าจ้าง\" การประกอบอาชีพรับจ้าง โดยท่ัวไปมีลักษณะ เป็นการรับจ้างทำงานในสถาน ประกอบการหรือ โรงงาน เป็นการรับจ้างในลักษณะการขายแรงงาน โดยได้รับค่าตอบ แทนเป็นเงินเดือน หรือค่าตอบแทนที่คิด ตามชนิ้ งานที่ทำได้ อตั ราคา่ จา้ งขึ้นอย่กู ับการกำหนด ของเจ้าของสถานประกอบการ หรือนายจ้าง การทำงานผู้รับจ้างจะทำอยู่ภายในโรงงาน ตามเวลาที่ นายจ้างกำหนด การประกอบอาชีพรับจ้างในลักษณะนี้มีข้อดีคือ ไม่ต้องเสี่ยง กับกาลงทุน เพราะลูกจ้างจะใช้ เคร่ืองมือ อุปกรณ์ที่นายจ้างจัดไว้ให้ทำงานตามที่นายจ้าง กำหนด แต่มีข้อเสีย คือ มักจะเป็นงานที่ทำซ้ำ ๆ เหมือนกันทุกวัน และต้องปฏิบัติตามกฎ ระเบียบของนายจ้าง ในการประกอบอาชีพรับจ้างน้ัน มีปัจจัยหลาย อย่างท่ีเอื้ออำนวยให้ผู้ประกอบอาชีพ รับจ้างมีความเจริญก้าวหน้าได้ เช่น ความรู้ ความชำนาญในงาน มีนิสัย การทำงานท่ีดี มีความกระตือรือร้น มานะ อดทน ในการทำงาน ยอมรับกฎเกณฑ์และเชื่อฟังคำสั่ง มีความ ซือ่ สตั ย์ สุจริต ความขยันหมั่นเพียร รับผิดชอบ มีมนษุ ยสัมพันธท์ ี่ดี รวมท้งั สุขภาพอนามัยที่ดี อาชีพต่าง ๆ ใน โลกมีมากมาย หลากหลายอาชีพ ซ่ึงบุคคลสามารถจะเลือกประกอบ อาชีพได้ตามความถนัด ความต้องการ ความชอบ และความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพ ประเภทใด จะเป็นอาชีพอิสระ หรืออาชีพรับจ้าง ถ้าหากเป็น อาชีพที่สุจริตย่อมจะทำให้ เกิดรายได้มาสู่ตนเอง และครอบครัว ถ้าบุคคลผู้น้ันมีความมุ่งมั่น ขยัน อดทน ตลอดจน มีความรู้ ขอ้ มลู เกี่ยวกบั อาชีพต่าง ๆ จะทำให้มองเห็นโอกาสในการเข้าสู่อาชีพ และพัฒนา อาชพี ใหม่ ๆ ให้เกิดข้ึนอยเู่ สมอ ห้องสมดุ เคลือ่ นท่ี ความหมายของหอ้ งสมุดเคลื่อนที่ ห้องสมุดเคล่ือนท่ี (Mobile library) เป็นบริการสารสนเทศเคลื่อนท่ี นับเป็นการจัดบริการในเชิงรุก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการอ่าน และการให้ความรู้และความบันเทิงแก่ผู้ท่ีอยู่ห่างไกลจากแหล่งข้อมูล โดยนำทรัพยากรสารสนเทศประเภทต่างๆ เช่น ส่ือส่ิงพิมพ์ ส่ือโสตทัศน์ เกมส์ ของเล่น ฯลฯ ไปยังชุมชนด้วย พาหนะ ประเภทต่างๆ เช่น รถ รถไฟ เรือ ฯลฯ หรือบางแห่งอาจใช้วิธีการเดินทางด้วยเท้าในกรณีที่สามารถ เขา้ ถึงด้วยพาหนะอืน่ การดำเนินการห้องสมุดเคลื่อนที่ สามารถใช้วัสดุ อุปกรณ์ประเภทต่างๆ บรรจุทรัพยากรสารสนเทศ เคล่ือนย้ายไปยังสถานทตี่ ่างๆ เช่นกลอ่ งหนังสอื ถุงหนังสือ ย่ามหนงั สือ กระเป๋าหนงั สือเป็นต้น ส่วนใหญ่ การดำเนินการห้องสมุดเคลื่อนท่ีของประเทศไทยอยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานด้าน การศึกษาของรัฐ เช่น กระทรวงศึกษาธิการ รวมท้ังเป็นงานบริการประเภทหนึ่งของห้องสมุดประชาชน ย่ิงกว่านั้น ปัจจุบันห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ภาควิชาบรรรารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ รวมท้ังชมรม นกั ศึกษาของสถาบันอุดมศกึ ษาต่างๆ ได้ให้ความสำคัญกับห้องสมุดเคล่ือนท่ี มีการจัดโครงการหลายโครงการที่ เขา้ ข่ายห้องสมดุ เคลอ่ื นที่
33 การดำเนินงานห้องสมุดเคลื่อนที่จะประสบผลสำเร็จได้นั้น หน่วยงานท่ีดำเนินการ ควรประสานขอ ความร่วมมือกับหน่วยงานอ่ืนๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งกลุ่มบุคคลหรือบุคคลท่ีเป็นผู้นำชุมชน เช่น พระ กำนัน ผู้ใหญบ่ ้าน เปน็ ตน้ สำหรับการขอความช่วยเหลอื จากหน่วยงานเอกชน อาจเป็นการขอรับการสนับสนุน พาหนะ วสั ดอุ ุปกรณ์และงบประมาณในการดำเนินงาน การจัดกิจกรรมห้องสมุดเคลื่อนที่ เป็นการจดั บริการโดยใชแ้ นวคิดทั้งงานห้องสมุดและศนู ย์การเรียน ซ่ึงอาจจัดการเรียนการสอนหลักสูตรส้ันๆ ร่วมไปกับงานบริการพื้นฐานของห้องสมุด เช่น บริการการอ่าน บริการยืม-คืน เป็นต้น นอกจากนี้ อาจเป็นการจัดกิจกรรมส่งเสริมการใช้บริการในการออกให้บริการห้องสมุด เคล่ือนท่แี ตล่ ะครั้งด้วย ความสำคัญของหอ้ งสมุดเคลื่อนที่ ห้องสมุดเคลื่อนท่ีนับเป็นรูปแบบหนึ่งของกาารบริการความรู้สู่ชุมชน ท่ีมีความสำคัญในด้านต่างๆ ดงั นี้ 1. เปน็ การขยายโอกาสทางการศึกษาอยา่ งท่วั ถึง และส่งเสริมการศึกษาตลอดชีวิตแกป่ ระชาชน เพ่ือ พัฒนาตนเอง สังคมประเทศชาตติ ่อไป ทั้งนี้เพราะห้องสมดุ เคลอื่ นท่ีมีลักษณะเคลื่อนยา้ ยความรู้ไปสู่พื้นท่ีต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับแนวศึกษาสมัยใหม่ของรัฐ โดยเห็นได้จากพระราชบญั ญัตกิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 หมวด ที่ 4 มาตราท่ี 25 ระบุ ไว้ว่า “ รัฐต้องส่งเสริมการดำเนินงานและการจัดตั้งแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกรูปแบบ ได้แก่ หอ้ งสมุดประชาชน พพิ ิธภัณฑ์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อทุ ยานวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ศูนย์กีฬาและนันทนาการ และแหล่งเรียนรู้อ่ืนอย่างเพียงพอและมีประสิทธิภาพ” (สำนัก คณะกรรมการการศกึ ษาแห่งชาติ 2542 : 14) 2. เป็นการขยายโอกาสในการเข้าถึงแหล่งสารสนเทศ ทำให้ประชาชนท่ีอยู่ห่างไกลความเจริญ การ คมนาคมไม่สะดวก และด้อยโอกาสในการเข้าถึงแหล่งสารสนเทศได้มีโอกาสสามารถรับรู้ข่าวสารในสาขาวิชา การต่างๆ ไดม้ ากข้ึน 3. เป็นการส่งเสริมการอ่านให้ประชาชนได้รับความรู้ความเพลิดเพลินจากการอ่าน เห็นคุณค่าของ การอา่ น และปลูกฝงั นสิ ยั รกั การอ่านรวมทง้ั ปอ้ งกันการไมร่ ูแ้ ละการลืมการรู้หนังสอื 4. เป็นการส่งเสรมิ ใหป้ ระชาชนรู้จกั ใช้เวลาว่างให้เปน็ ประโยชน์ เพื่อพัฒนาตนเอง อันเป็นพ้ืนฐานท่ี จะนำไปสูค่ วามกา้ วหนา้ ของสงั คมและประเทศชาตติ ่อไป ประเภทของห้องสมุดเคล่ือนท่ี ห้องสมุดเคล่ือนท่ีสามารถดำเนินการได้ในหลายลักษณะท้ังทางบกและทางน้ำ ท้ังนี้ขึ้นอยู่กับสภาพ การคมนาคมหรือท้องถ่ินท่ีชุมชนต้ังอยู่ เท่าท่ีผ่านมาหน่วยงานหลายแห่งได้จัดห้องสมุดเคล่ือนท่ีในลักษณะ ต่างๆ ห้องสมุดเคล่ือนที่บางแห่งยุติการดำเนินงานไปแล้ว บางแห่งยังคงดำเนินการอยู่ ซึ่งเป็นจุดด้อยของ ห้องสมุดเคลื่อนท่ี ที่มักดำเนินการไม่ต่อเน่ือง ด้วยเหตุผลจากการขาดการเอาใจใส่ การขาดงบประมาณและ บุคลากรในการดำเนนิ การอยา่ งต่อเน่ืองและจรงิ จงั 1. ห้องสมุดเคล่ือนที่ทางน้ำ
34 เป็นการบริการท่ีมุ่งอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนท่ีอาศัยอยู่ริมน้ำ โดยใช้เรือเป็นพาหนะ หรือท่ี เรียกว่าห้องสมุดเรือหรือห้องสมุดลอยน้ำ เพ่ือบริการแก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตลุ่มน้ำหรือตามริมน้ำ เน่ืองจากประชาชนท่ีอาศัยอยู่ริมน้ำ มีวิถิชีวิตและการเดินทางสัญจร โดยทางน้ำเป็นหลัก ปัจจุบันหน่วยงานท่ี จัดหอ้ งสมดุ เคล่อื นที่ทน่ี า่ สนใจคือ - เรือห้องสมุดเฉลิมพระเกียรติ ดำเนินการโดยกระทรวงศึกษาธิการ โดยได้รับความร่วมมือจาก กองทัพเรือมอบเรือที่ปลดระวางการใช้งานแล้วและดัดแปลงเป็นห้องสมุดเคล่ือนท่ี ทรัพยากรสารสนเทศที่ ให้บริการ ประกอบด้วยหนังสือหลากหลายประเภท วีดิทัศน์และบทเรียนสำเร็จรูป บริการสารสนเทศท่ีจัดคือ บริการการอ่าน บริการยืม-คืน บริการจองหนังสือ สว่ นการจัดกิจกรรมสง่ เสรมิ การใช้บริการน้ันมีหลายลกั ษณะ อาทิ การแขง่ ขนั ตอบปญั หาชงิ รางวลั การวาดภาพ การแข่งขนั การอา่ นและการเขียน เปน็ ตน้ การให้บริการจะแล่นลอยลำไปให้บริการตาามจุดต่างๆ ที่กำหนดไว้ ในแต่ละวันจอด ใหบ้ ริการตาม ทา่ ทกี่ ำหนด ทงั้ นจ้ี ะมีตาราง ประชาสัมพนั ธ์การให้บริการลว่ งหน้า - เรือนางนพมาศ ดำเนินการโดยกระทรวงศึกษาธิการ เป็นเรือขนาด 2 ช้ัน รูปแบบของ กิจกรรมการใหบ้ ริการแบง่ ออกเปน็ 2 ลักษณะได้แกเ่ ป็นหอ้ งสมุดเคล่อื นท่ีและศนู ย์การเรียนเคลือ่ นท่ีทางน้ำ การจัดบริการเรือนางนพมาศน้ัน มีการจัดทรัพยากรสารสนเทศหลายประเภท โดยเน้นหนังสือที่มี เน้ือหาสอดคล้อง กับชีวิตประชาชนริมน้ำท่ีเก่ียวกับด้านสุขภาพอนามยั กฎหมายที่เก่ียวกับชีวิตประจำวัน เช่น กฎหมายแรงงาน กฎหมายครอบครัว กฎหมายที่ดิน เป็นต้น รวมทั้งหนังสือด้านประวัติศาสตร์ ความเป็นมา ของกรงุ เทพมหานคร วฒั นธรรม ประเพณี และอารยธรรมแถบลุ่มน้ำ นอกจากนี้มีสื่อโสตทัศน์ประเภทวีดิทัศน์ และแถบเสียงท่ีมีเน้อื หาส่งเสริมด้านอาชพี สารคดี ธรรมะและบันเทงิ 2. ห้องสมดุ เคลื่อนทที่ างบก เป็นการจัดห้องสมุดเคลื่อนท่ีโดยใช้รถประเภทต่างๆ เป็นพาหนะให้บริการเคล่ือนที่ไปตามชุมชนใน ท้องที่ต่างๆ ท้ังในชนบทและในเขตเมือง เช่น ชุมชนแออัด เขตก่อสร้าง โรงงานเป็นต้น ห้องสมุดเคล่ือนที่ทาง บกทนี่ า่ สนใจคอื - รถห้องสมุดศูนย์การเรียนเคลื่อนท่ี เป็นห้องสมุดเคล่ือนท่ีที่ใช้รถประจำทางขององค์การขนส่ง มวลชนกรุงเทพเป็นพาหนะ และดำเนินการโดยกระทรวงศึกษาธิการ มีรถใช้ดำเนินการอยู่ 3 คัน รถแต่ละคัน จัดบริการแตกต่างกัน รถคันที่ 1 สำหรับบริการเด็กในชุมชนแออัด เขตก้อสร้าง มูลนิธิสงเคราะห์ต่างๆ และ โรงเรียนที่ขาดแคลนหนังสือ โดยจัดบริการเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร รถคันที่ 2 บริการกลุ่มนักศึกษา การศึกษานอกระบบท่ีมีการจัดกิจกรรมการพบกลุ่ม โดยจัดในบริเวณโรงเรียน วัด โรงงาน ส่วนรถคันที่ 3 สำหรับบริการประชาชนท่ัวไป โดยจัดตามสถานที่ต่างๆ เช่นบ้านคนชราบางแค ชุมชนแออัด ฯลฯ ทั้งนี้ ทรัพยากรสารสนเทศ และกิจกรรมท่ีจัดในรถแต่ละคันจะเลือกหนังสือและกิจกรรมที่เหมาะสม กับ กล่มุ เป้าหมายท่มี าใช้บริการ
35 - ห้องสมุดเคล่ือนที่รถพ่วงขนาดเล็ก เป็นห้องสมุดที่ใช้รถพ่วงขนาดเล็กเป็นพาหนะ ดำเนินการโดย ศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียน อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร โดยดัดแปลงภายในเป็นช้ันหนังสือ ด้านข้างของรถท้ัง 2 ด้าน เป็นบอร์ดนิทรรศการ ทรัพยากรสารสนเทศท่ีให้บริการ ประกอบด้วยหนังสือที่เน้น หนังสือเด็ก หนังสือแนะนำอาชีพ วีดิทัศน์ และเกมส์ต่างๆ นอกจากบริการห้องสมุดแล้ว ยังมีการฝึกฝนอาชีพ ง่ายๆ เช่น การตัดผม การซ่อมรถ เป็นต้น การออกให้บริการจะหมุนเวียนไปในชนบทที่ขาดแคลน การรับรู้ ข่าวสารประมาณเดือนละ 2-3 คร้งั นอกจากนี้ การจัดห้องสมุดเคล่ือนท่ียังสามารถดำเนินการได้โดยนำทรัพยากรสารสนเทศ บรรจุใส่ใน อุปกรณ์ประเภทต่างๆ นำเคล่ือนย้ายออกให้บริการในสถานท่ีต่างๆ วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ บรรจุทรัพยากร สารสนเทศเคลื่อนท่ีไปให้บริการในท่ีต่างๆ มีหลายประเภท ตัวอย่างโครงการห้องสมุดเคล่ือนที่ท่ีใช้ วสั ดุ อปุ กรณบ์ รรจทุ รพั ยากรสารสนเทศทนี่ า่ สนใจ คอื - โครงการชุดความรู้สู่ชนบท ของสำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม ใช้กล่องหนังสอื เคลื่อนย้าย ไปสถานทีต่ ่างๆ ภายในกล่องบรรจหุ นงั สอื แผน่ พับ ภาพ ฯลฯ โยแต่ละกล่องมีหวั เรื่องกำกบั ไว้ชดั เจน ภายใต้ ฝาเปิด - ปิด แต่ละกล่องมีการแจ้งรายการวัสดุ ที่อยู่ภายในกล่อง ผู้ประสงค์ใช้บริการสามารถเลือกอ่านตาม ความสนใจ และความตอ้ งการ หนังสือมีหลายประเภท เช่น หนังสือเด็ก การวางแผนครอบครัว สุขภาพอนามัย ยาเสพติด ฯลฯ โดยนำกล่องหนังสือไปไว้ ณ ทีอ่ า่ นประจำหมมู่บ้าน โดยมีผูน้ ำชมุ ชนเช่น กำนัน หรือผใู้ หญ่บา้ น เป็นผู้รับผิดชอบในการให้บริการยืม-คืน ตลอดจนผู้ใช้สามารถ ยืมย่ามความรู้ไปอ่านที่บ้านได้ด้วย โดยกำหนด ชว่ งเวลา การยมื และการหมนุ เวียน ไปในจุดตา่ งๆ ตามกำหนด - โครงการส่งเสริมการอ่านของสำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ใช้ย่ามบรรจุทรัพยากร สารสนเทศเคล่ือนย้านไปในสถานที่ต่างๆ ย่ามความรู้จัดแจกเป็นใบๆ ตามหัวข้อเร่ืองที่กำหนดผุ้ใช้บริการ สามารถเลือกย่ามความรู้ในหัวข้อเรื่องตามความสนใจ จัดให้บริการตามห้องสมุดโรงเรียนในชนบท โดยมีครู บรรณารักษ์รับผิดชอบในบริการ ยมื -คืน ตลอดจนผู้ใช้สามมารถยมื ย่ามความรไู้ ปอ่านท่ีบ้านไดด้ ้วย โดยกำหนด ชว่ งเวลาการยืมและการหมนุ เวียน ทงั้ นี้จะเปลยี่ นทรพั ยากรสารสนเทศในยา่ มความรู้สม่ำเสมอ - ห้องสมุดเคล่ือนที่ของศูนย์วิทยพัฒนา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช ปัจจุบันมีศูนย์วิทพัฒนา จำนวน 10 ศูนย์ กระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆท่ัวประเทศ การให้บริการมีลักษณะเช่น ใช้กระเป๋าหนังสือทำด้วยไม้ บรรจุทรพั ยากรสารสนเทศ เคลื่อนยา้ ยไปสถานทต่ี า่ งๆ ทีก่ ำหนดพร้อมการทำกจิ กรรมอ่ืนๆ ของมหาวิทยาลัย - ห้องสมุดเคล่ือนที่ของห้องสมุดประชาชนเฉลิมราชกุมารี จังหวัดนครราชสีมา ใช้ถุงหนังสือบรรจุ ทรัพยากรสารสนเทศเคล่ือนที่ ให้บรกิ ารรแก่ประชาชนท่ัวไป นักเรียน นักศึกษาท้ังในและนอก ระบบโรงเรียน โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายท่ีเป็นกลุ่มเด็กด้อยโอกาส คนพิการ ผู้ที่อยู่ห่างไกลจากห้องสมุดหรืออาจจะมาใช้ ห้องสมุดไม่สะดวก เพื่อวัตถุประสงค์ เพื่อวัตถุประสงค์ให้ได้รับข่าวสารท่ีทันสมัย รวมทั้งส่งเสริมการเรียนและ การอ่าน ภายในถงุ หนังสือบรรจุ หนงั สอื ประเภทตา่ งๆ โดยมีอาสาสมัครบริการถงุ หนงั สือ เคลื่อนทไี่ ปบริการใน ชมุ ชน มกี ำหนดระยะเวลาการเปลย่ี นทรัพยากรสารสนเทศในถงุ
36 รูปแบบและวธิ ดี ำเนินงานหอ้ งสมดุ เคล่อื นที่ ห้องสมุดเคลื่อนที่ สามาดำเนินการได้ทั้งทางบกและทางน้ำโดยใช้พาหนะแตกต่างกัน ได้แก่ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ เกวียน หรือเรือ ท้ังนี้แล้วแต่สภาพการคมนาคมหรือท้องถ่ินท่ีชุมชนน้ันตั้งอยู่ และเรียกชื่อ แตกตา่ งกนั ออกไป เช่น ตหู้ นงั สอื เคลือ่ นท่ี หีบหนงั สอื สู่ประตูบา้ น หรือหนังสือมีขา เปน็ ตน้ รูปแบบหนังสือเคลื่อนที่ หอ้ งสมดุ เคลื่อนทส่ี ามารถจดั ได้หลายรปู แบบ ทสี่ ำคัญได้แก่ 1. กระเป๋าหนังสือเคลอื่ นท่ี จัดโดยการคัดเลอื กหนังสือใส่กระเป๋า ซึ่งอาจทำโดยผ้าหรือไม้ขนาดต่างๆ กันแล้วแต่ขนาดของสถานท่ีที่จะนำออกไปให้บริการ กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชนท่ีด้อยโอกาสในการ เขา้ ถึงข่าวสารและด้อยโอกาสในการศึกษา เช่น ชาวชนบท ชาวเขา ที่ดำเนินการห้องสมุดเคล่อื นทใี่ นรูปแบบนี้ ได้แก่ โครงการหนังสือสัญจรสำหรับผู้ใช้แรงงาน สโมสรเด็กเคลื่อนที่ โครงการหนังสือสัญจรเพื่อเด็กในชนบท และเด็กในโรงเรียนของมูลนิธิเพ่ือการพัฒนาเด็ก กระเป๋าหนังสือเคล่ือนท่ีของสมาคมพัฒนาการอ่านของเด็ก เปน็ ต้น ภาพท่ี 1.1 บริการในรูปแบบกระเป๋าหนังสือเคล่ือนที่
37 2. หีบหนังสือ จัดโดยการคดั เลือกหนังสอื ประเภทต่างๆ ใส่หีบซงึ่ อาจทำด้วยอบี ุก ไม้ หรอื สงั กะสี แล้ว นำออกไปให้บริการแก่ประชาชนถึงท่ีอยู่อาศัย เช่น โครงการหีบหนังสือสู่ประตูบ้าน โครงการหีบอีบุกบรรจุ หนังสอื หรือโครงการหบี หนงั สือ ซึ่งใหบ้ ริการแกป่ ระชาชนทวั่ ไป ภาพที่ 2.1 บริการในรปู แบบหบี หนังสือ 3. ถุงหนังสือ เป็นบริการห้องสมุดเคลื่อนท่ีของกรมการศึกษานอกโรงเรียน ท่ีจัดข้ึนโดยใช้ถุงบรรจุ หนงั สอื ประมาณ 20 เลม่ หมนุ เวยี นให้ชาวบา้ นในชนบทไดอ้ า่ น โดยมีครูอาสาสมัครเป็นผูเ้ ดินแจก ภาพที่ 3.1 บริการในรูปแบบถุงหนังสือ
38 4. ห้องสมดุ เรอื หรือห้องสมุดลอยนำ้ เป็นบรกิ ารท่ีจดั ให้ประชาชนท่ีต้งั บา้ นเรือนอยู่รมิ แม่น้ำ หรอื ทะเล เช่น หอ้ งสมดุ เรือของโครงการศึกษานอกโรงเรยี น เรอื ควนี อลิซาเบทที่ 2 ซ่ึงเป็นเรือโดยสารข้ามทวปี ทมี่ ี หอ้ งสมุดอยูบ่ นดาดฟา้ ของเรือ ภาพท่ี 4.1 บริการในรูปแบบห้องสมุดเรือหรือห้องสมุดลอยนำ้ 5. รถยนต์เคล่ือนท่ี เป็นห้องสมุดเคลื่อนที่ท่ีจัดโดยใช้รถยนต์บรรทุกหนังสือออกให้บริการแก่ ประชาชนท่ีอยู่ตามท้องถิ่นต่างๆ ท้ังในชนบทและในเมือง เช่น โครงการห้องสมุดเคล่ือนที่เพ่ือชุมชนในชนบท โครงการหอ้ งสมดุ เคลื่อนทส่ี ำหรับชมุ ชนชาวเขา โครงการตหู้ นังสือเคลอ่ื นทสี่ ำหรับเดก็ ภาพที่ 5.1 บริการในรปู แบบรถยนตเ์ คล่ือนที่
39 6. ห้องสมดุ รถไฟ เป็นการจดั บรกิ ารหนังสือใหแ้ ก่ประชาชนที่เดินทางด้วยรถไฟ เช่น โครงการส่งเสริม การอา่ นบนรถไฟ ภาพที่ 6.1 บรกิ ารในรปู แบบหอ้ งสมดุ รถไฟ บริการหอ้ งสมุดเคล่ือนที่นั้นสามารถจัดได้หลายรปู แบบแตกตา่ งกันตามสภาพของท้องถิ่น แต่เปา้ หมายท่ีสำคัญ คือ การให้ขา่ วสารและความรู้ในสาขาวิชาตา่ งๆ เพื่อการสง่ เสริมพัฒนาการทางสตปิ ัญญา เพอ่ื ความเพลิดเพลิน และเพือ่ พัฒนาทักษะทางวิชาชพี ของประชาชนกลุม่ เป้าหมาย หรือบุคคลอ่ืนๆ เพ่ือร่วมจดั กจิ กรรมและเพอ่ื การ ประชาสมั พันธ์
40 บทท่ี 3 วิธกี ารดำเนนิ งานตามโครงการ 1. วิธีการดำเนนิ งาน ขน้ั เตรยี มการ เพ่อื จัดประชุมครูและบคุ ลากรทางการศึกษา - ชแ้ี จงทำความเข้าใจรายละเอียดโครงการ - ชี้แจงแนวทางในการดำเนนิ โครงการ - จัดทำโครงการและแผนการดำเนินการเพอ่ื อนุมตั ิ - แต่งต้ังกรรมการดำเนนิ งานตามโครงการ 1. คณะกรรมการอำนวยการ มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและอำนวยความสะดวกในการดำเนินงานฝ่าย ต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความเรยี บรอ้ ย ประกอบดว้ ย 1.1 นายสมประสงค์ นอ้ ยจนั ทร์ ผู้อำนวยการ กศน.อำเภอชนแดน ประธานกรรมการ 1.2 นายเกรยี งฤทธ์ิ เดตะอุด ครู กรรมการ 1.3 นางสมบตั ิ มาเนตร์ ครอู าสาสมัครฯ กรรมการ 1.4 นางสาวลาวัณย์ สทิ ธิกรวยแกว้ ครอู าสาสมัครฯ กรรมการ 1.5 นางวารี ชบู ัว บรรณารักษ์ชำนาญการ กรรมการและเลขานุการ 2. ฝ่ายตดิ ต่อประสานงาน มีหนา้ ที่ ตดิ ต่อประสานงานสถานที่จดั การจดั กจิ กรรม ประกอบดว้ ย 2.1 นางวารี ชบู วั บรรณารักษ์ชำนาญการ 2.2 นางสาวมจุ ลนิ ท์ ภยู าธร ครู กศน. ตำบล 2.3 นางลาวิน สเี หลอื ง ครู กศน. ตำบล 2.4 นางสาวนภารตั น์ สสี ะอาด ครู กศน. ตำบล 2.5 นางสาวลดาวรรณ์ สุทธิพนั ธ์ ครู กศน. ตำบล 2.6 นางผกาพรรณ มะหิทธิ ครู กศน. ตำบล 2.7 นางสาวพัชราภรณ์ นรศิ ชาติ ครู กศน. ตำบล 2.8 นางสรุ ตั น์ จนั ทะไพร ครู กศน. ตำบล 2.9 นายเกรยี งไกร ใหมเ่ ทวินทร์ ครู กศน. ตำบล 2.10 นางสาวณฐั ชา ทาแนน่ ครู กศน. ตำบล 2.11 นางสาวอุษา ยิง่ สกุ ครู ศรช.
41 3. ฝ่ายการเงินและพัสดุ มีหน้าที่ จัดซื้อพัสดุและยืมเงินสำรองจ่ายตามโครงการ และจัดทำเอกสาร เบกิ จ่ายพสั ดุ และการเงนิ ตามโครงการให้ถกู ตอ้ งเรยี บร้อยและทนั ต่อเวลาประกอบดว้ ย 3.1 นางวารี ชบู วั บรรณารักษช์ ำนาญการ 3.2 นางสมบตั ิ มาเนตร์ ครูอาสาสมัครฯ 3.3 นายศวิ ณัชญ์ อศั วสมั ฤทธ์ิ ครู ศรช. 4. ฝา่ ยประชาสมั พนั ธ์ มหี น้าที่ ส่งข่าวประชาสมั พันธ์ ทางออนไลน์ Facebook Line ประกอบดว้ ย 4.1 นางวารี ชบู วั บรรณารักษ์ชำนาญการ 4.2 นางสาวมจุ ลินท์ ภยู าธร ครู กศน. ตำบล 4.3 นางลาวนิ สเี หลอื ง ครู กศน. ตำบล 4.4 นางสาวนภารัตน์ สสี ะอาด ครู กศน. ตำบล 4.5 นางสาวลดาวรรณ์ สุทธิพันธ์ ครู กศน. ตำบล 4.6 นางผกาพรรณ มะหิทธิ ครู กศน. ตำบล 4.7 นางสาวพัชราภรณ์ นรศิ ชาติ ครู กศน. ตำบล 4.8 นางสุรัตน์ จนั ทะไพร ครู กศน. ตำบล 4.9 นายเกรยี งไกร ใหม่เทวนิ ทร์ ครู กศน. ตำบล 4.10 นางสาวณฐั ชา ทาแน่น ครู กศน. ตำบล 4.11 นางสาวอุษา ย่งิ สุก ครู ศรช. 4.12 นางสาวเยาวดี โสดา นกั จดั การงานท่ัวไป 5. ฝา่ ยจัดกิจกรรม มีหนา้ ที่จัดกจิ กรรมสง่ เสรมิ การอ่านและการเรยี นรู้ วิทยากรการจัดกระบวนการเรียนรู้ จัดเตรียมใบความรู้ ใบงาน กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ ส่งเสริมการอ่านจากหนังสือ และสื่อออนไลน์ สื่อการ เรียนการสอน เกม และกจิ กรรมนันทนาการ ดงั น้ี 5.1.1 นางวารี ชบู วั บรรณารกั ษช์ ำนาญการ 5.1.2 นางสมบตั ิ มาเนตร์ ครูอาสาสมัครฯ 5.1.3 นางสาวลาวัณย์ สทิ ธกิ รวยแก้ว ครอู าสาสมัครฯ 5.1.4 นางสาวมุจลินท์ ภูยาธร ครู กศน. ตำบล 5.1.5 นางลาวิน สีเหลือง ครู กศน. ตำบล 5.1.6 นางสาวนภารตั น์ สสี ะอาด ครู กศน. ตำบล 5.1.7 นางสาวลดาวรรณ์ สทุ ธพิ ันธ์ ครู กศน. ตำบล 5.1.8 นางผกาพรรณ มะหิทธิ ครู กศน. ตำบล
42 5.1.9 นางสาวพัชราภรณ์ นริศชาติ ครู กศน. ตำบล 5.1.10 นางสุรัตน์ จันทะไพร ครู กศน. ตำบล 5.1.11 นายเกรยี งไกร ใหม่เทวินทร์ ครู กศน. ตำบล 5.1.12 นางสาวณัฐชา ทาแนน่ ครู กศน. ตำบล 5.1.13 นายศวิ ณชั ญ์ อัศวสัมฤทธิ์ ครู ศรช. 5.1.14 นางสาวกญั ญาณัฐ จันปัญญา ครู ศรช. 5.1.15 นายปณั ณวฒั น์ สขุ มา ครู ศรช. 5.1.16 นางสาวอษุ า ยง่ิ สกุ ครู ศรช. 5.1.17 นางสาววรางคณา น้อยจันทร์ ครู ศรช. 5.1.18 นางสาวเยาวดี โสดา นักจดั การงานท่ัวไป 6. ฝ่ายรับลงลงทะเบยี น ใหก้ รรมการมหี นา้ ทีจ่ ดั เตรียมเอกสารสำหรบั การลงทะเบยี น และรบั ลงทะเบยี น ผู้เขา้ รว่ มโครงการ ดังนี้ 6.1 นางสาวอุษา ยิง่ สกุ ครู ศรช. 6.2 นางสาวกัญญาณฐั จันปัญญา ครู ศรช. 7. ฝ่ายวัดผลและประเมินผลโครงการ มีหน้าที่แจกแบบสอบถามความพึงพอใจและเก็บรวบรวม แบบสอบถามความพึงพอใจ ประเมินผลการดำเนินงาน ประเมินความพงึ พอใจ ปญั หา อปุ สรรค และขอ้ เสนอแนะ และจดั ทำรายงานผลการดำเนินงานหลังเสร็จสนิ้ โครงการ ดังนี้ 7.1 นางวารี ชบู วั บรรณารกั ษช์ ำนาญการ 7.2 นางสาวอษุ า ย่งิ สกุ ครู ศรช. 7.3 นางสาวกญั ญาณฐั จนั ปัญญา ครู ศรช.
2. ขนั้ ดำเนินการ กจิ กรรมหลกั วัตถปุ ระสงค์ กลุ่มเป้าหมาย ก 1. ขน้ั เตรียมการ ช เพื่อจัดประชุมครูและบคุ ลากรทางการ ครูและบุคลากร ว 2. ประชมุ กรรมการ ดำเนนิ งาน ศกึ ษา กศน. อำเภอชนแดน ช 3. จดั เตรยี มเอกสาร ข วสั ดุ อุปกรณ์ในการ - ชแี้ จงทำความเขา้ ใจรายละเอยี ด จำนวน 21 คน จ ดำเนนิ โครงการ โครงการ - ช้ีแจงแนวทางในการดำเนนิ โครงการ - จัดทำโครงการและแผนการดำเนนิ การ เพ่อื อนมุ ัติ - แตง่ ตั้งกรรมการดำเนินงานตาม โครงการ เพือ่ ประชมุ ทำความเข้าใจกบั กรรมการ ครูและบุคลากร ดำเนินงานทกุ ฝ่ายในการจดั กิจกรรม กศน. อำเภอชนแดน โครงการและการดำเนนิ งาน จำนวน 21 คน เพือ่ ดำเนินการจดั ทำ จดั ซ้อื วัสดุอุปกรณ์ กรรมการฝ่ายที่ได้รบั ที่ใช้ในการดำเนนิ การ มอบหมาย
43 กลุ่มเปา้ หมาย พื้นทดี่ ำเนนิ การ ระยะเวลา งบประมาณ เป้าหมาย (เชิงคณุ ภาพ) ธ.ค.64 - กศน. อำเภอ ชแ้ี จงทำความเข้าใจ รายละเอียดและ ชนแดน วตั ถปุ ระสงค์ของการจัดโครงการ ชี้แจงวตั ถปุ ระสงค์ บทบาทหนา้ ท่ี กศน. อำเภอ ธ.ค.64 - ของกรรมการดำเนินงานโครงการ ชนแดน จัดซ้อื วสั ดอุ ุปกรณใ์ นการจัดโครงการ กศน. อำเภอ ธ.ค.64 - ชนแดน
Search