บนั ทกึ ขอ้ ความ ส่วนราชการ ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอำเภอชนแดน ที่ ศธ ๐๒๑๐.๕๔๐๓/ วันท่ี สิงหาคม ๒๕๖๕ เรอื่ ง รายงานผลการดำเนนิ งานโครงการพฒั นาห้องสมดุ ประชาชนให้เปน็ ศนู ยเ์ รยี นรูต้ ลอดชวี ติ Co-Learning Space เรียน ผ้อู ำนวยการศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั อำเภอชนแดน ตามท่ี ห้องสมุดประชาชนอำเภอชนแดนได้จัดทำจัดทำโครงการพัฒนาห้องสมุดประชาชนให้ เปน็ ศนู ย์เรียนรู้ตลอดชีวิต Co-Learning Space เพื่อสร้างนิสัยรักการอ่าน พัฒนา ปรับปรุงให้เป็นแหล่งการ เรียนรู้ตลอดชีวิต ที่เอื้อต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ พัฒนาปรับปรุงห้องสมุด จัดบรรยากาศและดำเนิน กิจกรรมต่าง ๆ ที่อำนวยความสะดวกต่อการใช้บริการของนักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไป มีแหล่ง เรียนรู้สำหรับศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองและเกิดนิสัยรักการอ่านมากขึ้น บัดนี้โครงการดังกล่าวได้ ดำเนินการเสรจ็ สิน้ เรียบรอ้ ยแล้ว ห้องสมุดประชาชนอำเภอชนแดน จึงขอรายงานผลการดำเนินงานโครงการดังกล่าว รายละเอียดตามเอกสารทแี่ นบมาพร้อมน้ี จึงเรยี นมาเพือ่ โปรดทราบ (นางวารี ชูบวั ) บรรณารกั ษช์ ำนาญการ
คำนำ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอชนแดน มอบหมายให้ห้องสมุด ประชาชนอำเภอชนแดน ดำเนินการจัดทำโครงการพัฒนาห้องสมุดประชาชนให้เป็นศูนย์เรียนรู้ตลอดชีวิต Co-Learning Space เพ่ือสร้างนิสัยรักการอ่าน พัฒนา ปรับปรุงให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ที่เอื้อต่อ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ พัฒนาปรับปรุงห้องสมุด จัดบรรยากาศและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ท่ีอำนวยความ สะดวกต่อการใช้บริการของนักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไป มีแหล่งเรียนรู้สำหรับศึกษาค้นคว้าหา ความรู้ด้วยตนเองและเกิดนิสัยรักการอ่านมากขึ้น นนั้ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอชนแดน หวังเป็นอย่างยิ่งว่า รายงานผลการดำเนินงานโครงการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย เล่มนี้คงเป็นประโยชน์ในการใช้เป็นคู่มือในการ ดำเนินงานต่อไป หากมีข้อเสนอแนะประการใดโปรดแจ้งคณะผู้จัดทำเพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงใน คร้ังต่อไป ผู้จดั ทำ สิงหาคม 2565
สารบัญ หนา้ 1-9 บทที่ 1 บทนำ 10 - 36 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยท่เี กย่ี วข้อง 37 - 42 บทท่ี 3 วธิ ดี ำเนินการตามโครงการ 43 - 49 บทที่ 4 ผลการดำเนนิ การตามโครงการ 50 – 52 บทท่ี 5 สรุปผลการดำเนนิ งานตามโครงการ บรรณานุกรม ภาคผนวก รปู ภาพ รายช่อื ผเู้ ขา้ รว่ มกจิ กรรม แบบประเมนิ ความพึงพอใจ คำสง่ั โครงการ คณะผู้จดั ทำ
1 บทท่ี 1 บทนำ 1.ชอื่ โครงการ โครงการจัดการศกึ ษาตามอัธยาศยั กจิ กรรมท่ี 1 โครงการพัฒนาหอ้ งสมดุ ประชาชนให้เปน็ ศูนยเ์ รียนรู้ตลอดชีวติ Co-Learning Space 2. สอดคลอ้ งกับยุทธศาสตรช์ าติ ยุทธศาสตร์ที่ 3 ด้านการพัฒนาและเสรมิ สรา้ งศกั ยภาพทรพั ยากรมนุษย์ ยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์มีเป้าหมายการพัฒนาที่สำคัญเพื่อ พัฒนาคนในทุกมิติและในทุกช่วงวัยให้เป็นคนดี เก่งและมีคุณภาพ โดยคนไทยมีความพร้อมทั้งกาย ใจ สติปัญญา มี พัฒนาการที่ดีรอบด้านและมีสุขภาวะที่ดีในทุกช่วงวัย มีจิตสาธารณะ รับผิดชอบต่อสังคมและผู้อื่น มัธยัสถ์อดออม โอบออ้ มอารี มีวนิ ยั รักษาศลี ธรรม และเป็นพลเมอื งดขี องชาติ มหี ลักคดิ ทถี่ ูกต้อง มีทกั ษะที่จ่าเป็นในศตวรรษที่ 21 มี ทักษะสื่อสารภาษาอังกฤษและภาษาที่ 3และอนุรักษ์ภาษาท้องถิ่น มีนิสัยรักการเรียนรู้และการพัฒนาตนเองอย่าง ตอ่ เนอ่ื งตลอดชวี ติ สกู่ ารเปน็ คนไทยท่ีมีทักษะสูง เป็นนวัตกร นักคิด ผู้ประกอบการ เกษตรกรยุคใหมแ่ ละอ่ืน ๆ โดยมี สมั มาชพี ตามความถนัดของตนเอง ประเด็นที่ 2 การพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต มุ่งเน้นการพัฒนาคนเชิงคุณภาพในทุกช่วงวัย ประกอบดว้ ย (1) ชว่ งการต้งั ครรภ์/ปฐมวัย เน้นการเตรียมความพร้อมให้แก่พ่อแม่ก่อนการตั้งครรภ์ (2) ช่วงวัยเรียน/ วัยรุ่น ปลูกฝังความเป็นคนดี มีวินัยพัฒนาทักษะการเรียนรู้ที่สอดรับกับศตวรรษที่ 21 (3) ช่วงวัยแรงงาน ยกระดับ ศักยภาพ ทักษะและสมรรถนะแรงงานสอดคล้องกับความต้องการของตลาด และ (4) ช่วงวัยผู้สูงอายุ ส่งเสริมให้ ผู้สูงอายเุ ปน็ พลังในการขบั เคลอื่ นประเทศ ประเด็นที่ 6 การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ โดย (1) การสร้างความอยู่ดีมีสุขของครอบครัวไทย (2) การส่งเสริมบทบาทการมีส่วนร่วมของภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น ครอบครัวและชุมชนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (3) การปลูกฝังและพัฒนาทักษะนอก ห้องเรียน และ (4) การพัฒนาระบบฐานข้อมลู เพ่ือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สอดคล้องกบั แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ ฉบับท่ี 12 ยทุ ธศาสตร์ที่ 1 การเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพทนุ มนุษย์ 3.1 ปรับเปลย่ี นค่านยิ มคนไทยให้มีคณุ ธรรม จริยธรรม มวี ินยั จติ สาธารณะ และพฤติกรรม ทพ่ี ึงประสงค์ 3.1.2 ส่งเสริมให้มีกิจกรรมการเรียนการสอนทั้งในและนอกห้องเรียนที่สอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม ความมีวินัย จิตสาธารณะ รวมทั้งเร่งสร้างสภาพแวดล้อมภายในและโดยรอบสถานศึกษาให้ปลอด จากอบายมุขอย่าง จรงิ จัง 3.2 พัฒนาศักยภาพคนให้มที กั ษะความรู้และความสามารถในการดำรงชวี ติ อย่างมคี ุณค่า 3.2.2 พัฒนาเด็กวัยเรียนและวัยรุ่นใหม้ ีทักษะการคิดวิเคราะหอ์ ย่างเป็นระบบ มีความคิด สร้างสรรค์ มี ทักษะการทำงานและการใช้ชีวิตที่พร้อมเข้าสู่ตลาดงาน
2 3.3 ยกระดบั คณุ ภาพการศกึ ษาและการเรยี นรู้ตลอดชีวิต 3.3.6 จัดทำส่ือการเรยี นรู้ท่เี ปน็ ส่ืออเิ ลก็ ทรอนิกส์และสามารถใชง้ านผา่ นระบบอปุ กรณส์ อ่ื สารเคลื่อนท่ี ให้คนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้ง่าย สะดวก ทั่วถึง ไม่จากัดเวลาและสถานที่ และใช้มาตรการทางภาษีจูงใจให้ ภาคเอกชนผลิตหนังสอื สอื่ การอา่ นและการเรยี นร้ทู ่ีมคี ุณภาพและราคาถูก 3.3.7 ปรับปรุงแหล่งเรียนรู้ในชุมชนให้เป็นแหล่งเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์และมีชีวิต อาทิพิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด โบราณสถาน อุทยานประวัติศาสตร์ โรงเรียนผูส้ ูงอายุ รวมทั้งส่งเสริมให้มีระบบการจดั การความรู้ที่เป็นภมู ิ ปัญญาทอ้ งถิน่ สอดคล้องกับนโยบาลของรัฐบาล (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร) 1. การพัฒนาและเสรมิ สรา้ งศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ 1.1 การจัดการศึกษาเพ่ือคณุ วฒุ ิ พฒั นาผ้เู รยี นให้มคี วามรอบรูแ้ ละทักษะชีวติ เพื่อเป็นเคร่ืองมือในการ ดำรงชีวติ และสรา้ งอาชีพ อาทิ การใช้เทคโนโลยีดจิ ทิ ัล สุขภาวะและทัศนคติที่ดตี ่อการดูแลสุขภาพ 1.2 การเรียนรตู้ ลอดชีวิต - จัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับประชาชนทุกช่วงวัย เน้นส่งเสริมและยกระดับทักษะภาษาอังกฤษ (English for All) สอดคล้องกบั นโยบายและจุดเน้นการดำเนนิ งาน กศน. จดุ เนน้ การดาํ เนนิ งานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 2. ด้านการสร้างสมรรถนะและทกั ษะคุณภาพ 2.1 สง่ เสรมิ การจดั การศึกษาตลอดชีวติ ที่เนน้ การพฒั นาทกั ษะที่จาํ เปน็ สำหรับแต่ละช่วงวัย และ การจัดการศึกษาและการเรยี นรู้ทีเ่ หมาะสมกบั แตล่ ะกลุม่ เปา้ หมายและบริบทพ้นื ท่ี 2.4 ส่งเสริมการจัดการศึกษาของผู้สูงอายุเพื่อให้เป็น Active Ageing Workforce และมี Life Skill ในการดํารงชีวิตทเ่ี หมาะกบั ช่วงวัย 3. ด้านองค์กร สถานศึกษา และแหลง่ เรียนรูค้ ุณภาพ 3.3 ปรับรูปแบบกจิ กรรมในหอ้ งสมดุ ประชาชน ทเ่ี น้น Library Delivery เพื่อเพิม่ อัตราการอ่าน และการรู้หนงั สือของประชาชน 3.5 สง่ เสริมและสนับสนนุ การสร้างพ้นื ท่ีการเรียนรู้ ในรปู แบบ Public Learning Space/ Co- Learning Space เพอื่ การสร้างนเิ วศการเรียนรู้ใหเ้ กิดข้นึ สังคม
3 สอดคลอ้ งกบั ตัวชวี้ ัดการประกันคณุ ภาพภายในสถานศึกษา มาตรฐานการศึกษาตามอัธยาศยั มาตรฐานท่ี 1 คุณภาพของผู้รบั บริการการศึกษาตามอัธยาศยั ตวั บง่ ชี้ท่ี 1.1 ผู้รบั บรกิ ารมคี วามรู้ หรือทักษะ หรือประสบการณ์ สอดคล้องกับ วตั ถุประสงค์ของโครงการ หรอื กิจกรรมการศึกษาตามอัธยาศัย มาตรฐานที่ 2 คุณภาพการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย ตัวบง่ ชท้ี ่ี 2.1 การกำหนดโครงการหรือกิจกรรมการศกึ ษาตามอธั ยาศยั ตัวบ่งช้ที ่ี 2.2 ผู้จัดกิจกรรมมคี วามรู้ ความสามารถในการจดั การศึกษาตามอธั ยาศัย ตวั บ่งชท้ี ่ี 2.3 สือ่ หรอื นวัตกรรม และสภาพแวดล้อมทเี่ อ้ือตอ่ การจัดการศึกษาตาม อธั ยาศยั ตวั บ่งชท้ี ่ี 2.4 ผรู้ ับบรกิ ารมคี วามพงึ พอใจต่อการจัดการศึกษาตามอธั ยาศยั มาตรฐานที่ 3 คณุ ภาพการบริหารจัดการของสถานศกึ ษา ตัวบ่งชี้ท่ี 3.1 การบรหิ ารจัดการของสถานศกึ ษาที่เน้นการมีส่วนรว่ ม ตวั บ่งชี้ที่ 3.2 ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศกึ ษา ตวั บ่งชท้ี ่ี 3.5 การกำกับ นเิ ทศ ติดตาม ประเมนิ ผลการดำเนนิ งานของสถานศึกษา ตัวบง่ ชีท้ ่ี 3.7 การสง่ เสรมิ สนบั สนุนภาคีเครือขา่ ยให้มสี ว่ นร่วมในการจัดการศกึ ษา ตวั บง่ ชีท้ ่ี 3.8 การสง่ เสริม สนบั สนุนการสรา้ งสงั คมแหง่ การเรียนรู้ ข้อเสนอแนะ ของ สมศ. ข้อที่ 1 ในการดำเนินแผนงาน/โครงการ สถานศึกษาควรมีการติดตามตรวจสอบการดำเนินงานทุก ระยะ ขั้นตอนของการดำเนินงาน เพื่อประเมินผลและนำผลการประเมินมาปรับปรุงและพัฒนาให้เป็นระบบครบ วงจร PDCA และในการประเมินความพึงพอใจ ควรเพิ่มข้อเหตุผล ข้อคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะวา่ เพราะเหตุใดขอ้ นน้ั จงึ ใหค้ ะแนนมากหรือนอ้ ย ข้อที่ 13 ในการบริหารจัดการการดำเนินโครงการ กิจกรรมต่างๆ สถานศึกษาควรดำเนินการให้ ครบถ้วนเป็นระบบครบวงจร PDCA และในโครงการกิจกรรมควรกำหนดวัตถุประสงค์เป็นรูปธรรม มีการออกแบบ ประเมินให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ มีการดำเนินการนิเทศ กำกับ ติดตาม และประเมินผลอย่าง ต่อเนอื่ งและนำผลการประเมินทไ่ี ด้ไปวเิ คราะห์ถึงอุปสรรค และนำไปวางแผน ปรับปรงุ พัฒนาในปตี อ่ ไป
4 3. หลักการและเหตุผล วิถีชีวิต การเรียนรู้ การทํางานของคนในยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนไป รูปแบบการทํางาน มักจะไปนั่งทํางาน อ่าน หนังสือ ประชุม หรือทํางานกลุ่มตามสถานที่สาธารณะ มากขึ้นไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ ห้องสมุด หรือตาม Co - working Space ต่าง ๆ ด้วยเหตุผลหลากหลายไม่ว่าจะเป็นต้องการพื้นที่ในการสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ที่เอื้อต่อ การเกิดแนวคิดใหม่ ๆ ในการทํางาน หรือบางครั้งจะรู้สึกว่ามีสมาธิมากกว่าที่บ้าน ที่โรงเรียน หรือที่ทํางาน แต่พื้นที่ ลักษณะเช่นน้ีท่ีมีใหบ้ รกิ ารอยู่ในปัจจุบนั ยังเปน็ ข้อจํากัดในการเข้าถึงของหลาย ๆ คน ไม่วา่ จะเป็นเรื่องของระยะเวลา การเปิด – ปิดบริการ ค่าใช้จ่าย หรือถ้าเปิดให้ใช้บริการฟรีสิ่งอํานวยความสะดวกต่าง ๆ หรือบรรยากาศ อาจยังไม่ ตอบโจทย์สําหรับการทํางาน หรือการอ่านหนังสืออย่างมีสมาธิ รวมไปถึงความปลอดภัยต่าง ๆ ในการเดินทางไปใช้ บริการตามสถานทีเ่ หล่านั้น ประกอบกบั สภาพสงั คมท่ีเปลย่ี นแปลงไปทาํ ให้รูปแบบการเรยี นรู้ของผู้รบั บริการห้องสมุด เปลี่ยนไปด้วยคนในปัจจุบันเปลี่ยนไปมีการนําเทคโนโลยีมาใช้ในการค้นคว้าหาความรู้มากขึ้น ด้วยเหตุนี้ห้องสมุด ประชาชนจึงจําเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการ การเรียนรู้ต้องพัฒนาให้มีรูปแบบที่หลากหลายเป็นไปตาม ความต้องการของผู้รับบริการทุกช่วงวัยยิ่งขึ้น จากแนวคิดดังกล่าวสู่การพัฒนาห้องสมุดประชาชนให้เป็นศูนย์การ เรียนรู้ Co - Learning Space ซึ่งสํานักงาน กศน. เป็นหน่วยงานหนึ่งซึ่งมีภารกิจหลักในการจัดการศึกษาตาม อัธยาศัยให้กับประชาชนทุกช่วงวัย และมีแหล่งเรียนรู้ให้บริการหลากหลายรูปแบบ ห้องสมุดประชาชนก็เป็นหนึ่งใน แหล่งเรียนรู้ที่ให้บริการประชาชนควบคู่กับภารกิจอื่น ๆ ของ กศน. จึงถึงเวลาแล้วที่จะพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ สําหรับคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ ได้มีโอกาสเข้าถึงได้ง่ายสามารถตอบทุกโจทย์ปัญหาความต้องการของประชาชน อย่างแท้จริง ศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบ (Co - Learning Space) หรือพื้นที่แห่งการเรียนรู้ร่วมกัน จึงเกิดขึ้นภายใต้ แนวคิดทว่ี ่า การใหท้ ่มี ากกว่าแค่เพียง “พืน้ ท”ี่ แตย่ งั เป็นสถานทใ่ี นการสร้างแรงบันดาลใจ และแสดงถึงการแบ่งปัน ที่ ไม่เพียงแค่แบง่ ปันพื้นที่สําหรับทุกคน ได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันแต่ทุกคนที่มายังได้ความรู้และแรงบันดาลใจดี ๆ กลับไป ด้วยเสมอ การนําแนวคิดในการปรับเปลี่ยนการให้บริการห้องสมุดประชาชนให้เป็นแหล่งเรียนรู้ในลักษณะศูนย์ การ เรียนรู้ต้นแบบ (Co - Learning Space) ภายใต้นโยบายในการขับเคลื่อน กศน. สู่ กศน.WOW ของรัฐมนตรีช่วยว่า การกระทรวงศึกษาธกิ าร (นางกนกวรรณ วลิ าวลั ย์) ในการพั ฒ นา กศน. ตําบล ใหม้ ีบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่ เอื้อต่อการเรียนรู้ : Good Place – Best Check in ข้อหน่ึงโดยการจัดให้มีศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบ กศน. ใน 5 ภมู ิภาค เป็น ศูนย์การเรยี นรตู้ ้นแบบ (Co - Learning Space) และกําหนดให้ศูนยก์ ารเรียนรูต้ ้นแบบ (Co - Learning Space) มีพื้นที่บริการการเรียนรู้ร่วมกันตามความสนใจและความต้องการของผู้รับบริการการศึกษาตามอัธยาศั ยทุก ช่วงวัย ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอชนแดน มอบหมายให้ห้องสมุดประชาชน อำเภอชนแดนดำเนินการพฒั นาห้องสมุดประชาชนให้เปน็ ศนู ย์การเรียนรู้ Co - Learning Space เพื่อสร้างนิสัยรัก การอ่าน เพ่ือเป็นการพัฒนา ปรับปรุงให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ที่เอ้ือต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ พัฒนา ปรับปรุงห้องสมุด จัดบรรยากาศและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่อำนวยความสะดวกต่อการใช้บริการของนักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไป มีแหล่งเรียนรู้สำหรับศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองและเกิดนิสัยรักการอ่านมาก ข้ึน
5 4. วัตถุประสงค์ 1. เพ่อื สง่ เสรมิ ให้หอ้ งสมุดประชาชนอำเภอชนแดนเปน็ แหล่งเรยี นรู้ตน้ แบบ Co – Learning Space 2. เพื่อส่งเสริมนิสยั รักการอ่าน ผ่านกิจกรรมอย่างเปน็ รูปธรรม 3. เพื่อปรับปรุงบรรยากาศและภูมิทัศน์ทั้งภายในและภายนอกห้องสมุดให้น่าใช้บริการ เอื้อต่อการอ่านและ การเรยี นรู้ 5. เป้าหมาย เชงิ ปรมิ าณ ๑. หอ้ งสมดุ ประชาชนอำเภอชนแดน จำนวน 1 แห่ง ๒. นกั เรยี น นกั ศึกษา และประชาชนทั่วไป จำนวน 247 คน เชงิ คุณภาพ ห้องสมุดประชาชนอำเภอชนแดน เป็นแหล่งเรียนรู้ในชุมชน ที่มีระบบการให้บริการและสภาพแวดล้อมที่มี ชีวิตและมีการจัดกระบวนการเรียนรู้ในห้องสมุด โดยให้บริการการศึกษาค้นแก่นกั ศึกษาการศึกษานอกโรงเรยี นและ ผู้รบั บริการหอ้ งสมุด ทำให้เกดิ สงั คมแห่งการเรียนรู้ และนกั ศึกษา กศน. ผ้รู บั บริการหอ้ งสมุด สามารถนำความรู้ท่ี ไดไ้ ปใช้ในการดำเนินชวี ิตไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ
6. วธิ ีดำเนินการ กิจกรรมหลกั วัตถปุ ระสงค์ กลุ่มเป้าหมาย ก 1. ขัน้ เตรียมการ ช เพื่อจัดประชุมครูและบคุ ลากรทางการ ครูและบุคลากร ว 2. ประชุมกรรมการ ดำเนนิ งาน ศึกษา กศน. อำเภอชนแดน ช 3. จดั เตรยี มเอกสาร ข วัสดุ อุปกรณใ์ นการ - ชแี้ จงทำความเขา้ ใจรายละเอยี ด จำนวน 21 คน จ ดำเนินโครงการ โครงการ - ช้ีแจงแนวทางในการดำเนนิ โครงการ - จัดทำโครงการและแผนการดำเนนิ การ เพ่อื อนมุ ัติ - แตง่ ตั้งกรรมการดำเนินงานตาม โครงการ เพื่อประชมุ ทำความเข้าใจกบั กรรมการ ครูและบุคลากร ดำเนินงานทกุ ฝ่ายในการจดั กิจกรรม กศน. อำเภอชนแดน โครงการและการดำเนนิ งาน จำนวน 21 คน เพ่ือดำเนินการจดั ทำ จดั ซ้อื วัสดุอุปกรณ์ กรรมการฝ่ายที่ได้รบั ทใ่ี ช้ในการดำเนนิ การ มอบหมาย
6 กลุ่มเป้าหมาย พน้ื ทีด่ ำเนินการ ระยะเวลา งบประมาณ เปา้ หมาย (เชงิ คณุ ภาพ) กศน. อำเภอ เม.ย.65 - ช้แี จงทำความเข้าใจ รายละเอียดและ ชนแดน วตั ถปุ ระสงค์ของการจัดโครงการ ชแี้ จงวตั ถุประสงค์ บทบาทหน้าที่ กศน. อำเภอ เม.ย.65 - ของกรรมการดำเนินงานโครงการ ชนแดน เม.ย.65 - จดั ซื้อวสั ดุอปุ กรณใ์ นการจัดโครงการ กศน. อำเภอ ชนแดน
กจิ กรรมหลกั วัตถุประสงค์ ก กลุ่มเปา้ หมาย ๔. ดำเนินการจัด กจิ กรรม เพอื่ ดำเนินการปรับปรุงภมู ิทัศนห์ อ้ งสมุด ให้ 1.หอ้ งสมุดประชาชน ห 5. สรปุ /ประเมินผล เป็นCo-Learning Space แหลง่ เรียนรขู้ อง อำเภอชนแดน ได และรายงานผล โครงการ คนในชมุ ชน จำนวน 1 แห่ง เป ๑. กิจกรรมรกั การอ่านผา่ นสื่อออนไลน์ 2. นักเรียน นกั ศกึ ษา ข ๒. กจิ กรรมวนั รักการอ่าน และประชาชนทั่วไป ช ๓. กจิ กรรมวันสำคัญตา่ งๆ จำนวน 247 คน ต ๔. กิจกรรมส่งเสริมการอา่ นและการเรยี นรู้ สำหรบั นักศึกษา กศน. เพ่อื ใหก้ รรมการฝา่ ยประเมนิ ผลเกบ็ ตามกระบวนการ ส รวบรวมขอ้ มลู และดำเนินการประเมินผล ประเมนิ โครงการ ต การจัดกิจกรรม 5 บท จำนวน 3 เล่ม
7 กล่มุ เปา้ หมาย พนื้ ที่ดำเนินการ ระยะเวลา งบประมาณ เปา้ หมาย (เชงิ คณุ ภาพ) หอ้ งสมุดประชาชน เม.ย. ถึง - ห้องสมุดประชาชนอำเภอชนแดน อำเภอชนแดน ก.ย.65 ดร้ ับการปรับปรุงภูมทิ ศั นห์ ้องสมุด ให้ ป็นCo-Learning Space แหล่งเรียนรู้ ของคนในชมุ ชน เป็นแหลง่ เรียนรตู้ ลอด ชีวิต พร้อมใหบ้ ริการแก่กลุม่ เปา้ หมาย ต่างๆ สรุปรายงานผลการดำเนินงาน กศน. อำเภอ ก.ย.65 - ตามระบบ PDCA ชนแดน
8 7. วงเงนิ งบประมาณ ไมใ่ ช้ 8. แผนการใช้จ่ายงบประมาณ แผนการใช้จา่ ยรายไตรมาส ไตรมาสท่ี 1 ไตรมาสท่ี 2 ไตรมาสท่ี 3 ไตรมาสท่ี 4 - - - - 9. ผ้รู บั ผดิ ชอบโครงการ ตำแหน่ง : บรรณารักษ์ชำนาญการ ชอื่ - สกุล : นางวารี ชบู วั เบอร์โทรศัพทม์ ือถือ : 056 – 761667 เบอรโ์ ทรศัพทท์ ่ีทำงาน : 056 – 761667 อีเมลล์ : [email protected] ผู้ร่วมดำเนินการ นางสมบตั ิ มาเนตร์ ตำแหน่ง ครอู าสาสมัครฯ นางสาวลาวัณย์ สทิ ธกิ รววยแกว้ ตำแหน่ง ครอู าสาสมคั รฯ นางลาวิน สีเหลือง ตำแหนง่ ครู กศน.ตำบล นางสาวมจุ ลินท์ ภูยาธร ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางสาวนภารตั น์ สีสะอาด ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางสาวลดาวรรณ์ สุทธิพันธ์ ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางผกาพรรณ มะหิทธิ ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางสาวพชั ราภรณ์ นริศชาติ ตำแหนง่ ครู กศน.ตำบล นางสรุ ัตน์ จนั ทะไพร ตำแหนง่ ครู กศน.ตำบล นายเกรียงไกร ใหมเ่ ทวินทร์ ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางสาวณฐั ชา ทาแนน่ ตำแหนง่ ครู กศน.ตำบล นางสาวอุษา ย่ิงสกุ ตำแหน่ง ครูประจำศูนยก์ ารเรียนชมุ ชน นางสาวกญั ญาณัฐ จนั ปัญญา ตำแหน่ง ครูประจำศูนย์การเรียนชุมชน นายปณั ณวัฒน์ สขุ มา ตำแหน่ง ครปู ระจำศูนย์การเรียนชมุ ชน นางสาววรางคณา น้อยจันทร์ ตำแหน่ง ครูประจำศนู ย์การเรยี นชุมชน นายศวิ ณัชญ์ อัศวสัมฤทธิ์ ตำแหนง่ ครปู ระจำศนู ยก์ ารเรียนชมุ ชน นางสาวเยาวดี โสดา ตำแหน่ง นักจดั การงานทว่ั ไป
9 10. เครอื ข่าย 10.1 นักศึกษา กศน.อำเภอชนแดน 10.2 บ้านหนังสือชมุ ชน 11.โครงการท่เี ก่ยี วข้อง 11.1 โครงการจดั การศกึ ษาตามอธั ยาศัย 11.2 โครงการพฒั นาคณุ ภาพผเู้ รยี น 11.3 โครงการประชาสมั พนั ธง์ าน กศน. 11.4 โครงการส่งเสรมิ และพฒั นาประสทิ ธิภาพการทำงานรว่ มกบั เครอื ข่าย 11.5 โครงการประกันคุณภาพสถานศึกษา 12. ผลลัพธ์ 12.1 เปน็ แหลง่ เรยี นรู้ตน้ แบบ Co – Learning Space 12.2 หอ้ งสมุดประชาชนอำเภอชนแดน สง่ เสริมการจดั กระบวนการเรยี นรู้ภายในห้องสมดุ 12.3 หอ้ งสมดุ ประชาชนอำเภอชนแดน เปน็ แหลง่ เรยี นร้ทู ่ีสำคญั ของชุมชน ปรับปรุงบรรยากาศภูมิทัศน์ทั้ง ภายในและภายนอกห้องสมุดใหน้ ่าใชบ้ รกิ าร เอือ้ ตอ่ การอ่านและการเรยี นรู้ 13. ดัชนีวดั ผลสำเร็จของโครงการ 13.1 ตวั ช้วี ัดผลผลิต (output) หอ้ งสมุดประชาชนอำเภอชนแดน จำนวน 1 แห่ง เป็นแหล่งเรียนรใู้ นชุมชน ที่มีระบบการให้บริการและสภาพแวดล้อมที่มีชีวิตและมีการจัดกระบวนการเรียนรู้ในห้องสมุด โดยให้บริการ การศึกษาค้นแก่นักศึกษาการศึกษานอกโรงเรียนและประชาชนทั่วไป ทำให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้ และนักศึกษา กศน. รวมท้ังประชาชนทว่ั ไป สามารถนำความรทู้ ี่ไดไ้ ปใชใ้ นการดำเนนิ ชวี ิตได้อย่างมีความสขุ 13.2 ตัวชี้วัดผลลัพธ์ (outcome) กลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการฯ 80 % มีความพึงพอใจในการเข้าร่วม กจิ กรรม 14. การตดิ ตามผลและประเมนิ ผลโครงการ 14.1 แบบประเมินความพึงพอใจผ้เู ขา้ ร่วมกิจกรรม / โครงการ 14.2 สรุป/รายงานผลการจดั กจิ กรรม
10 บทท่ี 2 เอกสารที่เกี่ยวขอ้ ง แนวทางการขบั เคลื่อนการดำเนินงานศนู ย์การเรยี นรู้ตน้ แบบ (Co – Learning Space) แนวคดิ วิถีชีวิต การเรียนรู้ การทำงานของคนในยุคปัจจุบันที่เปล่ียนไป รูปแบบการทำงาน มักจะไปนั่งทำงาน อ่านหนังสือ ประชุม หรือทำงานกลุ่มตามสถานที่สาธารณะ มากขึ้นไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ ห้องสมุด หรือตาม Co - working Space ต่าง ๆ ด้วยเหตุผลหลากหลายไม่ว่าจะเป็นต้องการพ้ืนที่ในการสรา้ งแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ที่ เอ้ือต่อการเกิดแนวคิดใหม่ ๆ ในการทำงาน หรือบางคร้ังจะรู้สึกว่ามีสมาธิมากกว่า ท่ีบ้าน ท่ีโรงเรียน หรือ ที่ ทำงาน แต่พ้ืนที่ลักษณะเช่นนี้ท่ีมีให้บรกิ ารอยู่ในปัจจุบันยังเป็นข้อจำกัดในการเข้าถึงของหลาย ๆ คนไม่ว่าจะเป็น เรอื่ งของระยะเวลา การเปิด –ปิดบริการ คา่ ใช้จ่าย หรือถ้าเปิดให้ใชบ้ ริการฟรี ส่งิ อำนวยความสะดวกต่าง ๆ หรือ บรรยากาศ อาจยังไมต่ อบโจทย์สำหรับการทำงาน หรือการอ่านหนังสือ อยา่ งมีสมาธิ รวมไปถึงความปลอดภัย ตา่ ง ๆ ในการเดินทางไปใช้บรกิ ารตามสถานท่เี หลา่ นั้น ประกอบกับสภาพสังคมท่เี ปลย่ี นแปลงไปทำให้รูปแบบการ เรียนรู้ของผู้รับบริการห้องสมุดเปล่ียนไปด้วยคนในปัจจุบันเปล่ียนไปมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการค้นคว้าหา ความรู้มากข้ึน ด้วยเหตุนี้ห้องสมุดประชาชนจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการบรกิ ารให้การเรียนรู้ต้องพัฒนา ให้มีรูปแบบท่ีหลากหลายเป็นไปตามความต้องการของผู้รับบริการทุกช่วงวัยย่ิงข้ึน จากแนวคิดดังกล่าวสู่การ พัฒนาแหล่งเรียนรู้ให้มีในลักษณะเป็นศูนย์การเรียนรู้ Co – Learning Space ซ่ึงสำนักงาน กศน. เป็นหน่วยงาน หนึ่งซึ่งมีภารกิจหลักในการจัดการศึกษา ตามอัธยาศัยให้กับประชาชนทุกช่วงวัย และมีแหล่งเรียนรู้ให้บริการ หลากหลายรูปแบบ ห้องสมุดประชาชน กเ็ ป็นหนง่ึ ในแหล่งเรียนรู้ท่ีให้บริการประชาชนควบคูก่ บั ภารกจิ อ่ืน ๆ ของ กศน. จึงถึงเวลาแล้วที่จะพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ ได้มีโอกาสเข้าถึงได้ง่าย สามารถตอบทุกโจทย์ปัญหาความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง ศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบ (Co - Learning Space) หรือพื้นท่ีแห่งการเรียนรรู้ ่วมกัน จงึ เกิดข้ึนภายใตแ้ นวคิดทวี่ า่ การให้ทม่ี ากกว่าแค่เพียง “พ้ืนท่ี” แตย่ ัง เป็นสถานที่ในการสร้าง แรงบันดาลใจ และแสดงถึงการแบ่งปัน ท่ีไม่เพียงแค่แบ่งปันพ้ืนที่สำหรับทุกคนได้ใช้ ประโยชน์ร่วมกนั แต่ทุกคนทม่ี ายงั ไดค้ วามรู้และแรงบันดาลใจดี ๆ กลับไปดว้ ยเสมอ การนำแนวคดิ ในการปรับเปล่ียนการให้บริการหอ้ งสมดุ ประชาชนให้เป็นแหลง่ เรยี นรู้ ในลกั ษณะศูนย์การ เรียนรู้ต้นแบบ (Co - Learning Space) ภายใต้นโยบายในการขับเคลื่อน กศน. สู่ กศน. WOW ของรัฐมนตรีช่วย ว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นางกนกวรรณ วิลาวัลย์) ในการพัฒนา กศน. ตำบล ให้มีบรรยากาศและ สภาพแวดล้อมท่ีเอื้อต่อการเรียนรู้ : Good Place – Best Check in ข้อหน่ึงโดยการจัดให้มีศูนย์การเรียนรู้ ตน้ แบบ กศน. ใน 5 ภูมิภาค เป็น ศูนยก์ ารเรียนรู้ต้นแบบ (Co - Learning Space) และกำหนดใหศ้ ูนย์การเรียนรู้ ต้นแบบ (Co - Learning Space) มีพื้นที่บริการการเรียนรู้ร่วมกันตามความสนใจและความต้องการของ ผู้รับบรกิ ารการศึกษาตามอัธยาศยั ทุกช่วงวยั
11 แนวทางการขับเคลือ่ นการดำเนนิ งานศนู ย์การเรียนรตู้ น้ แบบ Co –Learning Space 1. พ้นื ที่ดำเนนิ งานศูนย์การเรียนรู้ตน้ แบบ (Co -Learning Space) ไดแ้ ก่ 1.1 จังหวัดที่มีห้องสมุดประชาชนจังหวัด ให้ใช้ห้องสมุดประชาชนจังหวัดเป็นพื้นที่ดำเนินงาน ( 67 จงั หวัด ) 1.2 จังหวัดขอนแก่นให้ใช้ห้องสมุดประชาชนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรม ราชกมุ ารี 1.3 จังหวัดท่ีไม่มีห้องสมุดประชาชนจังหวัด 8 จังหวัด (ตาก ปัตตานี มหาสารคาม ลำพูน หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ และอุดรธานี) ให้สำนักงาน กศน. จังหวัด ดำเนินการที่ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” ทีต่ ง้ั อยู่ ณ อำเภอเมอื ง ฯ ของจงั หวดั นน้ั ๆ 1.4 สำหรับจังหวัดชลบุรีจะมีพ้ืนที่ดำเนินงานท่ีห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” อำเภอบางละมุง ดว้ ยเนอื่ งจากเป็นพน้ื ที่ดำเนินงานนำรอ่ งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 1.5 กรุงเทพมหานคร ดำเนินงานทีศ่ ูนยก์ ารเรียนรูต้ ามอัธยาศัย สถาบันการศึกษาทางไกล อาคาร 4 ชั้น 3 ศูนย์วทิ ยาศาสตรเ์ พ่อื การศกึ ษาเอกมยั เป็นพ้ืนทด่ี ำเนินงาน 2. พน้ื ที่การให้บริการภายในศูนย์การเรยี นร้ตู ้นแบบ (Co -LearningSpace) ศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบ (Co -Learning Space)ควรมีพื้นที่ให้บริการการเรียนรู้ร่วมกันที่ตอบสนองความต้องการ ของผ้รู ับบริการทกุ ชว่ งวัย ดังน้ี 2.1 โซนท่ที ำงาน หรือประชุม (Co – Working Zone) 2.2 โซนท่สี ่งเสริมการอา่ น คน้ ควา้ ขอ้ มูล สือ่ (Learning Zone) 2.3 โซนกิจกรรม (Activities Zone) 2.4 โซนคอมพวิ เตอร์ ศนู ย์ภาษา หอ้ งภาพยนตร์ (Multimedia Zone and Language Center) 2.5 โซนพักผ่อน (Relax Zone) 2.6 โซนกาแฟ (Coffee Zone) การใหบ้ รกิ ารศนู ยก์ ารเรยี นรตู้ น้ แบบ (Co -Learning Space) ศูนย์การเรยี นรู้ต้นแบบ (Co -Learning Space)มีการให้บรกิ ารการเรียนรูต้ ามอธั ยาศัยสำหรับผู้รบั บริการ ทุกช่วงวยั เพอื่ เปดิ โอกาสใหเ้ รยี นร้ไู ด้อย่างเสมอภาคเทา่ เทยี มกันอย่างต่อเนื่องตลอดชวี ติ เชน่ 1. ให้บริการห้องประชุมกลุ่มย่อย ห้องปฏิบัติงานกลุ่ม ห้ องสอนเสริมนอกเวลาเรียน ห้องสอน ภาษาตา่ งประเทศ หรอื กิจกรรมอน่ื ๆ ตามความเหมาะสม 2. ให้บริการ การค้นคว้าหาความรู้ท้ัง on line ด้วยส่ือ/อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ กศน. บริการ ONIE E-Librarye -bookการบริการสืบค้นข้อมูลความรู้ผ่าน Applicationด้วยอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เป็นการ ให้บริการหอ้ งสมดุ ตลอด 24 ชวั่ โมง และบรกิ ารในรปู off lineเปน็ การให้บรกิ ารหอ้ งสมุดดว้ ย รปู แบบปกติ
12 3. ให้บริการห้องหรือพ้ืนที่จัดกิจกรรมสำหรับกลุ่มเป้าหมายทุกช่วงวัย เพื่อบริการบุคคลภายนอก หรือ กิจกรรมท่ีห้องสมุดจัดข้ึน อาจจัดไว้ภายในอาคารหรือบริเวณภายนอกรอบ ๆ อาคาร โดยกิจกรรมต้องไม่รบกวน ผู้ใช้บริการศูนย์การเรียนรู้ในส่วนอื่น ๆ และต้องเป็นกิจกรรมที่ไม่ขัดต่อขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมอันดีงามของ ท้องถนิ่ นน้ั ๆ 4. บริการห้องคอมพิวเตอร์ ห้องเรียนภาษา ห้องภาพยนตร์ เพื่อการเรียนการสอน การทำงาน การเรียนรู้ เพื่อสนับสนนุ การเรยี นการสอนทง้ั ในและนอกระบบโรงเรยี น หรอื เพ่อื ความบันเทงิ อ่ืน ๆ ฯลฯ 5. พื้นที่พักผ่อน (Relax Zone) บริการพ้ืนที่เพ่ือการพักผ่อนนั่งเล่น พบปะพูดคุยอ่านหนังสือ หรือ เพอ่ื พกั คอย มบี ริการ wifi ฟรี อินเทอรเ์ น็ต 6. มุมกาแฟ (Coffee Zone)จัดเป็นพื้นที่สำหรบั น่ังพักผ่อนสบาย ๆ เพ่ืออ่านหนังสอื จิบกาแฟ และมี บริการจำหน่ายอาหารว่างและเคร่ืองดื่ม หรือจำหน่ายผลผลิตจากการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ของศูนย์การเรียนรู้ ต้นแบบ (Co -Learning Space)และแหลง่ เรียนรู้อน่ื ๆ อาจจัดไวภ้ ายในอาคาร หรอื พืน้ ท่ี ภายนอกอาคาร การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ กจิ กรรมการเรยี นรู้ของศนู ย์การเรียนรตู้ ้นแบบ (Co-Learning Space)สามารถจัดได้ ดังนี้ 1. มีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านบริการห้องสมุดประชาชน เช่น กิจกรรมส่งเสริม การอ่าน การสืบ ค้นคว้าหาความรู้ท้ังลักษณะ on line และ off lineโดยการนำเทคโนโลยีมาช่วยใน การสืบค้น เช่น ระบบ เช่ือมโยงแหลง่ การเรียนรู้ ONIE E-Library e –bookและ Application ตา่ ง ๆ 2. มีการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ตามอัธยาศัยสำหรับคนทุกช่วงวยั ดว้ ยรูปแบบและ วิธตี ่าง ๆ เชน่ กิจกรรม ส่งเสริมสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ กิจกรรมหลังเรียนสำหรับเด็กวัยเรียน กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา กศน. กิจกรรมการอบรมระยะส้ันตามความสนใจของผู้รับบริการ กิจกรรมเศรษฐกิจพอเพียง กิจกรรม DIY นิทรรศการส่งเสรมิ การเรียนรู้ ฯลฯ 3. มกี ารจัดกจิ กรรมส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมในโอกาสตา่ งๆ 4. มีการจัดกจิ กรรมอนรุ กั ษค์ วามรู้ และภูมิปัญญาท้องถิน่ บทบาทหน้าทีข่ องหนว่ ยงานทเ่ี ก่ียวข้อง 1. สถาบนั ส่งเสริมและพฒั นานวตั กรรมการเรียนรู้ 1. ประสานงานกลางระดับนโยบาย และสร้างความเข้าใจกับหน่วยงานทุกระดับเพ่ือนำนโยบาย สู่ การปฏิบัติ 2. กำหนดแนวทางการดำเนินงานศูนย์การเรียนร้ตู ้นแบบ (Co-Learning Space)ชี้แจงทำความเข้าใจ ให้ คำปรึกษาแนะนำ 3. จัดทำคำของบประมาณ เพื่อสนบั สนุนการดำเนินงาน 4. ติดตามผลการดำเนินงาน และจัดทำรายงานผลการดำเนนิ งานในภาพรวมของโครงการ
13 2. สถาบันพัฒนาการศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั ภาค 1. สำรวจข้อมูลกอ่ นดำเนนิ งานเพ่อื รับทราบความพร้อมของห้องสมุดประชาชนในการดำเนินงานศูนยก์ าร เรียนรู้ต้นแบบ (Co-Learning Space)ในแต่ละภาค เพื่อวางแผนการดำเนินงานที่เหมาะสมกับสภาพห้องสมุด ประชาชนแต่ละแหง่ 2. ประสานการดำเนินงานกับสถาบันส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ สำนักงานการศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัด และศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอ ในการ พฒั นาห้องสมุดประชาชนใหเ้ ป็นศูนยก์ ารเรียนรตู้ ้นแบบ (Co-Learning Space) 3. ร่วมกับสถาบันส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ ประชุมชี้แจงแนวทางการขับเคลื่อนการ ดำเนินงานศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบ (Co-Learning Space)ของสำนักงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัยจังหวัด และศูนย์การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยอำเภอ และห้องสมุดประชาชน ในแต่ละ ภาค 4. ติดตามผลการดำเนินงาน และจัดทำเอกสารรายงานผลการดำเนินงานศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบ (Co- Learning Space)ในระดบั ภาค 5. จัดทำรายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณสง่ สำนักงาน กศน. ทุกไตรมาส 3. สำนกั งานส่งเสรมิ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัด 1. ประสานการดำเนินงานกับสถาบันส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ สถาบันพัฒนาการศึกษา นอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั ภาค และ ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษา ตามอัธยาศัยอำเภอเมือง ซึ่งเป็นพืน้ ทีเ่ ปา้ หมายในการดำเนินงานศูนย์การเรียนรู้ตน้ แบบ (Co-Learning Space) 2. ให้ความช่วยเหลือสนับสนุนงบประมาณ และทรัพยากรต่าง ๆ แก่ศูนย์การศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอ และห้องสมุดประชาชน ซึ่งเป็นพ้ืนท่ีเป้าหมายในการดำเนินงานศูนย์การเรียนรู้ ต้นแบบ (Co-Learning Space) 3. กำกับติดตามการดำเนินงานขับเคล่ือนการดำเนินงานศูนย์การเรียนรตู้ ้นแบบ (Co –Learning Space) ในจังหวัดให้เป็นไปตามนโยบายท่ีกระทรวงศึกษาธิการกำหนด และรายงานผลการดำเนินใช้จ่ายงบประมาณ ตามท่ีกำหนด ทุกไตรมาส 4. จัดทำเอกสารรายงานผลการดำเนินงานศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบ (Co-Learning Space)(เอกสารเป็น รูปเล่ม) สง่ สำนักงาน กศน. ในไตรมาสท่ี 4 4. ศูนย์การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยอำเภอ 1. บริหารจัดการและสนับสนุนการพัฒนาห้องสมุดประชาชนเป็นศนู ยก์ ารเรียนรู้ตน้ แบบ (Co –Learning Space) 2. กำกับติดตามการดำเนินงาน และจัดทำรายงานผลการดำเนินงานศูนย์การเรียนรู้ต้นแบ บ (Co-Learning Space)
14 3. ประสานการทำงานระหว่างหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องทั้งภายใน และภายนอกพ้ืนท่ีเพ่ือสนับสนุนการ ดำเนินงานของศูนย์การเรยี นรู้ต้นแบบ (Co-Learning Space) 4. จดั ทำรายงานผลการดำเนินงานศูนย์การเรยี นรู้ต้นแบบ (Co-Learning Space) ทกุ ไตรมาส 5. ห้องสมุดประชาชน ทไี่ ด้รับเลือกใหด้ ำเนนิ งานศูนยก์ ารเรียนร้ตู น้ แบบ 1. ดำเนินการพัฒนาปรับปรุงพื้นที่การให้บริการภายในและรอบ ๆ ห้องสมุดประชาชนให้เป็น ศูนย์การ เรียนรู้ตน้ แบบ (Co-Learning Space)โดยมพี ืน้ ทก่ี ารเรียนร้รู ่วมกันของผ้รู ับบริการทุกชว่ งวัย เช่น 1.1 พน้ื ทีท่ ำงาน หรือประชุม (Co – Working Zone) 1.2 พืน้ ทส่ี ่งเสริมการอ่าน ค้นคว้าขอ้ มูล ส่อื (Learning Zone) 1.3 พื้นทที่ ำกจิ กรรม (Activities Zone) 1.4 หอ้ งคอมพวิ เตอร์ ห้องเรียนภาษา หอ้ งภาพยนตร์ (Multimedia Zone and Language Center) 1.5 พ้ืนทพ่ี ักผอ่ น (Relax Zone) 1.6 รา้ นกาแฟ (Coffee Zone) 2. ให้บริการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ในสว่ นท่ีเป็นภาระกิจหลักของหอ้ งสมุดประชาชนโดยจัดให้มีโครงสร้าง พนื้ ฐาน อุปกรณ์อเิ ล็กทรอนิกส์ และเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการให้บริการ เช่น บริการเคร่ืองคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต ฟรี Wifi ฯลฯ 3. การใหบ้ รกิ าร และกจิ กรรมการเรยี นรใู้ ห้สอดคลอ้ งกับความต้องการของผ้รู ับบริการทกุ ช่วงวัย 4. ประเมินผล การดำเนินงาน และจัดทำรายงานผลการดำเนินงานศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบ (Co- Learning Space)รายงานผลผเู้ กี่ยวข้อง ตามลำดับ คณะกรรมการขบั เคล่อื นการดำเนินงานศนู ยก์ ารเรียนรูต้ ้นแบบ (Co -Learning) เพอื่ ให้การดำเนินงานศูนยก์ ารเรยี นรู้ต้นแบบ (Co-Learning Space)บรรลุผลเป็นไปตามวตั ถุประสงค์ จึง ควรมีการแต่งต้ังบุคคลท่ีมีความรู้ ความสามารถ ในการสนับสนุนองค์ความรู้ ทรัพยากรและ ทุนทรัพย์ เป็น คณะกรรมการขับเคล่ือนการดำเนนิ งานศูนยก์ ารเรียนรู้ต้นแบบ (Co-Learning Space)ดังนี้ คณะท่ปี รึกษา 1. ผู้บรหิ ารหน่วยงานภาคีเครอื ข่ายระดบั จงั หวดั 2. ผมู้ ีอุปการะคณุ ในท้องถิ่น 3. ภูมปิ ญั ญาท้องถิ่น 4. ผแู้ ทนองค์กรทางศาสนาในพ้ืนที่ คณะกรรมการ 1. ผู้บริหารสำนกั งาน กศน. จังหวัด 2. ผแู้ ทนองค์กรท้องถนิ่
15 3. ผทู้ รงคุณวุฒดิ า้ นต่างๆ เช่น ดา้ นการศกึ ษา ดา้ นอาชพี ดา้ นศิลปะวฒั นธรรม ด้านเทคโนโลยี สารสนเทศ 4. ผ้บู ริหาร กศน. อำเภอ ทจี่ ัดต้ังศนู ย์การเรียนรตู้ น้ แบบ (Co –Learning Space) 5. เจ้าหนา้ ทสี่ ำนักงาน กศน. จงั หวัด ทเ่ี กี่ยวข้อง 6. บรรณารกั ษแ์ ละเจ้าหนา้ ทรี่ ะดบั อำเภอ ทีเ่ กีย่ วขอ้ ง การบรหิ ารจดั การงบประมาณ 1. สำนกั งานสง่ เสริมและพัฒนาการศึกษานอกระบบและการศึกษา ดำเนนิ การจดั สรรงบประมาณในการดำเนินงานให้สถาบันพัฒนา กศน. ภาค ตามจำนวนจังหวัด ในแตล่ ะ ภาค ( จงั หวดั ละ 5,000 บาท ) เพื่อปฏบิ ตั ิงานตามภารกจิ ตลอดปงี บประมาณ พ.ศ. 2564 ดงั น้ี 1. ประสานการขบั เคลอื่ นการดำเนนิ งานศูนย์การเรียนรู้ตน้ แบบ (Co -Learning Space) 2. ประชมุ ช้ีแจงแนวทางการขบั เคลอ่ื นการดำเนนิ งานศูนย์การเรียนรตู้ ้นแบบ (Co -Learning Space) กับ กศน. อำเภอ และห้องสมดุ ประชาชน 3. นเิ ทศตดิ ตามการดำเนนิ งาน ศนู ยก์ ารเรยี นร้ตู ้นแบบ (Co –Learning Space)เขตภาค 4. จัดทำเอกสารรายงานผลการดำเนนิ งานศนู ย์การเรียนร้ตู น้ แบบ (Co –Learning Space)ระดบั ภาค 2.สำนกั งานสง่ เสริมและพัฒนาการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามจงั หวดั ดำเนินการจัดสรรงบประมาณในการดำเนินงานให้ส่วนสำนักงาน กศน. จังหวัด ทุกจังหวัด ๆ ละ 100,000 บาท โดยแบ่งโอน เป็น 2 ครั้ง ดังนี้ ระหว่างเดือนตุลาคม 2563 -มีนาคม 2564 และเดือนเมษายน 2564 -กันยายน 2564 เพื่อดำเนินการพัฒนาห้องสมุดประชาชนท่ีกำหนดให้เป็นพื้นที่เป้าหมายพัฒนาเป็นศูนย์ การเรียนรตู้ น้ แบบ (Co -Learning Space)ในภารกจิ ต่าง ๆ ดงั น้ี 1. จดั หาอุปกรณอ์ เิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ในการให้บรกิ ารศูนย์การเรยี นรูต้ น้ แบบ (Co –Learning Space)เชน่ เครอื่ งคอมพิวเตอร์ แทบ็ เลต็ Wifi โทรทศั น์ หรอื e-bookเพอ่ื พัฒนา การให้บริการหอ้ งสมดุ เป็น หอ้ งสมดุ อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้สำหรับผรู้ บั บรกิ ารทกุ ช่วงวยั ของศนู ยก์ าร เรียนรู้ (Co –Learning Space) 2. จัดหาวสั ดุ อุปกรณ์ในการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ต่าง ๆ ของศูนยก์ ารเรียนรู้ (Co – Learning Space) 3. ปรบั ปรุงซอ่ มแซมพ้นื ทใ่ี หบ้ ริการต่าง ๆ ใหเ้ ปน็ ระเบียบ สะอาด สวยงามพรอ้ มใหบ้ รกิ ารแก่ กลุ่มเปา้ หมายทกุ ช่วงวยั 4. ค่าตอบแทนบุคลากรผู้ดำเนนิ การจัดกจิ กรรมการเรียนร้หู รอื การให้บรกิ ารของ ศูนย์การเรยี นรู้ ต้นแบบ (Co –Learning Space) 5. จัดทำป้ายศูนย์การเรยี นรตู้ น้ แบบ (Co –Learning Space)6. คา่ ใชจ้ ่ายอื่น ๆ ในการดำเนินงาน ของศนู ยก์ ารเรียนรู้ตน้ แบบ (Co –LearningSpace)
16 ความสำคญั ของการอ่าน การอ่านเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างหน่ึงของมนุษย์ ที่ใช้สายตาและสมองรับรู้ความหมาย รวมทั้ง ความเข้าใจจากส่ิงที่อ่าน หากมนุษย์ไม่มีการจดบันทึกเรื่องราวความเป็นมาของตนเอง อีกท้ังมนุษย์ไม่รู้จัก ความหมายของภาษาท่ีกลุ่มชนนั้น ๆ ใช้บันทึกโดยเฉพาะไม่รู้จักการอ่าน ย่อมทำให้มนุษย์ขาดการเรียนรู้ และ ความเข้าใจซึ่งกันและกัน ปัจจุบันมีส่ือมวลชน เช่น วิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ เข้ามาแย่งเวลาของเราไป แต่การอ่านก็ยังถือว่า เปน็ ส่ิงท่ีดี ไม่อาจนำเอาสิ่งใดมาทดแทนได้ หนังสือจะเป็นกุญแจไขความรู้และความล้ีลับต่าง ๆ ในโลกให้แก่เรา ตามตอ้ งการ และจากการอ่านเราจะไดค้ วามรู้สึกละเอียดอ่อน ความซาบซึ้งไปกับความไพเราะและรสของภาษา เกดิ ภาพพจนไ์ ด้เปน็ อย่างดี ซ่งึ สื่ออยา่ งอน่ื จะไม่มีส่ิงเหล่านี้ การอ่าน เป็นส่ิงจำเป็นต่อชีวิต ต่อความเจริญด้านต่าง ๆ ของมนุษย์มาก การอ่านหนังสือนอกจากจะ ทำให้ผู้อ่านเป็นผู้หูตากว้างแล้ว คนอ่านจะเป็นผู้ทันต่อเหตุการณ์ ความเคลื่อนไหวของโลกปัจจุบัน และอาจเป็น เครอ่ื งกระตุ้นให้เกิดความสงบในใจ ส่งเสริมวิจารณญาณและประสบการณ์ให้เพิ่มพูนขึ้น การอ่านยังทำให้บุคคล เป็นผู้มีคุณค่าในสังคม มีประสบการณ์ชีวิต และช่วยยกฐานะของสังคม สังคมมีบุคคลท่ีมีประสิทธิภาพในการอ่าน อยู่มาก สังคมน้ันย่อมจะเจริญพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีทำให้ความรตู้ ่าง ๆ ล้าสมยั เร็วขึ้น หนงั สือเทา่ นั้นทส่ี ามารถทนั ความก้าวหน้าเหล่านี้ การอา่ น เปน็ สิ่งจำเป็นตอ่ ชีวติ ต่อความเจริญในด้านตา่ ง ๆ ของมนษุ ย์มาก การอ่านหนังสอื นอกจากจะ ทำให้ผู้อ่านเป็นผู้หูตากว้างแล้ว คนอ่านจะเป็นผู้ทันต่อเหตุการณ์ ความเคล่ือนไหวของโลกปัจจุบัน และอาจเป็น เครื่องกระตุ้นให้เกดิ ความสงบในใจ ส่งเสริมวจิ ารณญาณและประสบการณ์ให้เพ่ิมพูนขึ้น การอ่านยังทำให้บุคคล เป็นผู้มีคุณค่าในสังคม มีประสบการณ์ชีวิต และช่วยยกฐานะของสังคม สังคมมีบุคคลท่ีมีประสิทธิภาพในการอ่าน อยู่มาก สังคมนนั้ ย่อมจะเจริญพฒั นาไปไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ ปัจจุบนั ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วทางวทิ ยาศาสตร์และ เทคโนโลยีทำให้ความรูต้ า่ ง ๆ ล้าสมยั เรว็ ขึน้ หนังสือเทา่ น้ันทส่ี ามารถทันความกา้ วหน้าเหล่าน้ี สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เม่ือครั้งเสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานเปิด การประชุใหญ่สามัญประจำปี 2530 ของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย ได้ทรงบรรยายพิเศษในหัวข้อ เรื่อง “การสรา้ งสังคมการอ่านและการใช้สารนเิ ทศ” ณ โรงแรมบางกอกพาเลส เมื่อ วันท่ี 21 ธันวาคม 2530 ทรง กล่าวถึง เหตุที่พระองค์โปรดการอ่านหนังสือ และความสำคัญของการอ่านหนังสือไว้ 8 ประการ คือ (อ้างถึงใน อมั พร ทองใบ, 2540 : 9) 1. การอ่านหนังสือทำให้ได้เนอ้ื หาสาระความรู้ มากกว่าการศึกษาหาความรู้ด้วยวิธีอน่ื ๆ 2. ผอู้ า่ นสามารถอา่ นหนังสือไดโ้ ดยไม่จำกัดเวลาและสถานท่ี สามารถนำตดิ ตัวไปได้ 3. หนังสอื เก็บไวไ้ ด้นานกว่าสื่ออยา่ งอ่ืน 4. ผู้อา่ นสามารถฝึกการคดิ และสร้างจนิ ตนาการได้เองขณะที่อ่าน 5. การอ่านส่งเสริมให้มีสมองดี มสี มาธินานกว่าและมากกว่าสื่ออย่างอน่ื เพราะขณะอา่ นจติ ใจตอ้ งมุง่ มั่น อยู่กับขอ้ ความ พนิ ิจพเิ คราะหข์ ้อความ
17 6. ผอู้ ่านเป็นผู้กำหนดการอา่ นได้ด้วยตนเอง จะอา่ นครา่ ว ๆ หรอื อ่านอยา่ งละเอียด อ่านข้ามหรือ อา่ นทกุ ตัวอักษรกไ็ ด้ จะเลอื กอ่านเล่มไหกไ็ ด้ 7. หนงั สอื มีหลายรูปแบบ และราคาถกู กว่าส่ืออย่างอ่ืน 8. ผู้อ่านเกิดความคิดเห็นได้ด้วยตนเองในขณะท่ีอ่าน สามารถวินิจฉัยเนื้อหาสาระได้ หนังสือบางเล่ม สามารถนำไปปฏิบตั ิไดด้ ว้ ย และเม่ือปฏบิ ตั แิ ลว้ ก็เกดิ ผลดี ส. ศิวรักษ์ (2512 : นำเรื่อง) ได้แสดงความคิดเห็นเก่ียวกับการอ่านหนังสือไว้ว่า “การอ่านหนังสือ เป็นกิจท่ีจำเป็นสำหรับทุก ๆ คน ท่ีอ่านออกเสียงได้ ยิ่งได้อ่านหนังสืออีย่ิงมีค่ามาก สมดังคำของ ฟรานซิล เบคอน ทีว่ ่า “การอา่ นชว่ ยใหค้ นเปน็ คนเตม็ ท่ี” นายตำรา ณ เมืองใต้ (2515 : 298-299) กลา่ วถงึ ความสำคญั ของตวั หนงั สือและหนังสอื ว่า “...บางทกี ารที่เราได้อ่านหนังสือกนั อย่ทู ุกเม่ือเช่ือวัน จะทำให้เราลืมนึกถึงความสำคัญของตัวอักษร อัน ปรากฏอยู่ข้างหน้าเราเสียก็ได้ ตัวอักษรนี้เป็นส่ิงจารึกและรกั ษาความคิดเห็นอันล้ำค่าของปราชญ์และกวีไวใ้ ห้เรา ...การที่เราจะหาประโยชน์ในการอ่านให้ได้เตม็ ที่ ก็ควรระลึกได้ หรือแลเห็นความสำคัญของตัวหนังสือ ซ่ึงเราได้ พบอยู่ทุกวัน จนกลายเป็นสง่ิ ธรรมดานั้นเสียกอ่ น” รัญจวน อินทรกำแหง และคณะ (2523 : 27-28) กล่าวถึง ความสำคัญของการอ่านหนังสือไว้ว่า “การอ่านหนังสือความจำเป็นต่อชีวิตของคนในยุคปัจจุบันยิ่งกว่ายุคท่ีผ่านมา เพราะโลกปัจจุบันเป็นโลกที่หมุน เรว็ ทั้งในด้านวัตถุ วิทยาการ และแปรเปลย่ี นเรว็ ฉะน้นั จึงจำเป็นอยา่ งยิ่งท่ีจะต้องอา่ นหนังสือ เพื่อให้สามารถ ติดตามความเคล่ือนไหว ความกา้ วหนา้ และความเปลี่ยนแปรท้ังหลายได้ทันกาล” สมถวิล วเิ ศษสมบัติ (2528 : 73) ได้กล่าวถึงทักษะการอ่านไว้ สรุปได้ว่า การอ่านเป็นทักษะท่ีสำคัญ และใช้มากในชีวิตประจำวัน ผู้ที่มีนิสัยรักการอ่านและมีทักษะในการอ่านมีอัตราเร็วในการอ่านสูง ย่อมแสวงหา ความรู้และการศึกษาเล่าเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถนำความรู้ที่ได้จากการอ่านไปใช้ในการพูดและการ เขียนได้เปน็ อยา่ งดี ยุพร แสงทักษิณ (2531 : 1) กล่าวว่า “การอ่านหนังสือ เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับมนุษย์ การอ่านทำ ให้เราสามารถก้าวตามโลกได้ทัน เพราะโลกปัจจุบันน้ีไม่ได้หยุดน่ิง มีความก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งในดา้ นวัตถุ วทิ ยาการ ความคิด ฯลฯ ดว้ ยเหตุท่เี ราตอ้ งมคี วามสัมพันธ์กบั สังคมและสงิ่ แวดล้อม เราจึงควรตอ้ ง ปรับตัวเราให้สอดคล้องไปด้วย มิฉะน้ันเราจะกลายเป็นคนโง่ ล้าหลัง อาจประพฤติปฏิบัติผิด ๆ พลาด ๆ ก็ได้ ด้วยความรูเ้ ท่าไม่ถงึ การณ์” สุจรติ เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์ (2538 : 136) กลา่ วถงึ ทกั ษะการอ่านไว้วา่ “ทักษะการ อ่านเป็นทักษะท่ีสำคัญ และใช้มากในชีวิตประจำวัน เพราะเป็นทักษะที่นักเรียนใช้แสวงหาสรรวิทยาการต่าง ๆ เพ่ือความบันเทิงและการพักผ่อนหย่อนใจ ผู้ที่มีนิสัยรักการอ่านและ มีทักษะในการอ่าน มีอัตราเร็วในการ อา่ นสูง ยอ่ มแสวงหาความรู้ และศกึ ษาเล่าเรียนได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ สามารถนำความรู้ที่ได้จากการอ่านไปใช้ ในการพดู และการเขียนไดเ้ ปน็ อยา่ งดี” ซึง่ สอดคล้องกับแนวคิดของ จินตนา ใบกาซูยี (2534 : 57) ทก่ี ล่าวถึงความสำคัญของ การอ่าน มี ใจความโดยสรุปว่า การอ่านเป็นส่ิงจำเป็นสำหับชีวิตปจั จุบัน ทั้งในดา้ นการดำเนนิ ชีวติ ประจำวนั ด้านการศึกษา
18 หาความรู้เพอ่ื ประกอบอาชีพในอนาคต เป็นการพัฒนาความเจริญงอกงามทางสมองและปัญญา รวมท้ังเป็นการ พักผ่อนหยอ่ นใจจากชีวิตประจำวัน อัมพร สุขเกษม (2542 : 1) ได้กล่าวถึง การอ่านหนังสือว่า มีความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต มนุษย์ และมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศด้วย เพราะการอ่านหนังสือช่วยให้ผู้อ่านรู้จักวิธีบำรุงรักษา สุขภาพของตน รู้จักวิธีการใหม่ ๆ สำหรับใช้พัฒนาอาชีพ ช่วยผ่อนคลายความเครียด มีความเพลิดเพลิน เกิด ความคิดสร้างสรรค์ เข้าใจความเคล่ือนไหวทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม สามารถรับรู้และปรับตัวให้เข้ากับ ความก้าวหน้าทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ซ่งึ ล้วนแตเ่ ป็นประโยชน์ทง้ั ส้ิน ฐะปะนยี ์ นาครทรรพ และคณะ (2546 : 55-56) กลา่ วถึง ความสำคญั ของการอา่ นสรปุ ได้ ดังน้ี 1. การอ่านเป็นเคร่ืองมือในการแสวงหาความรู้ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน จำเป็นต้องอ่าน หนงั สือเพื่อการศกึ ษาหาความรู้ต่าง ๆ 2. การอ่านเป็นเคร่ืองมือช่วยให้ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพ เพราะสามารถนำความรู้ท่ีได้ จากการอ่านไปพฒั นางานของตนได้ 3. การอ่านเปน็ เคร่อื งมือสืบทอดมรดกทางวฒั นธรรมของคนรุ่นหนึ่ง ไปสู่คนรุ่นต่อ ๆ ไป 4. การอ่านเป็นวิธีการส่งเสริมให้คนมีความคิดอ่านและฉลาดรอบรู้ เพราะประสบการณ์ ที่ได้จาก การอ่าน เม่ือเกบ็ สะสมเพมิ่ พนู นานวันเข้า กจ็ ะทำใหเ้ กดิ ความคดิ เกดิ สติปญั ญา เป็นคนฉลาดรอบรไู้ ด้ 5. การอ่านเป็นกจิ กรรมที่ก่อให้เกิดความเพลิดเพลินบันเทิงใจ เป็นวิธีหนึ่งในการแสวงหาความสขุ ให้กับ ตนเองทีง่ า่ ยท่ีสดุ และไดป้ ระโยชน์คุ้มค่าทีส่ ุด 6. การอ่านเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต ทำให้เป็นคนที่สมบูรณ์ท้ังด้านจิตใจและบุคลิกภาพ เพราะเม่ือ อา่ นย่อมรู้มาก สามารถนำความรไู้ ปใช้ในการดำรงชวี ิตไดอ้ ย่างมีความสุข 7. การอ่านเป็นเครอ่ื งมือในการพฒั นาระบบการเมือง การปกครอง ศาสนา ประวัติศาสตร์ และสังคม 8. การอา่ นเปน็ วิธีการหน่ึงในการพฒั นาระบบการส่อื สารและการใช้เคร่ืองมือทางอเิ ล็กทรอนิกส์ตา่ ง ๆ กล่าวโดยสรุป การอ่านมีความสำคัญและจำเป็นอย่างย่ิงในสังคมปัจจุบัน เพราะเราต้องแสวงหาความรู้ ข้อมูลข่าวสาร การเคล่ือนไหวทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม การอ่านส่งเสริมให้ผู้อ่านมีพัฒนาการใน ความรู้และความคิด มองโลกท่ีกว้างไกล เข้าใจปัญหาที่เกิดข้ึนในสังคมผ่านสื่อการสอน ซ่ึงสิ่งเหล่าน้ีจะช่วยให้ สามารถตัดสินใจได้อยา่ งถูกต้อง มีความเฉลียวฉลาด สามารถประกอบอาชีพและเป็นพลเมืองที่ดขี องประเทศชาติ ได้ ความหมายของการอ่าน มผี ู้ให้คำจำกดั ความ ให้นิยาม หรอื ให้ความหมายของการอ่านไว้ต่าง ๆ กัน ดังน้ี พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (2556 : 1405) ให้คำจำกัดความว่า “อ่าน ก. ว่า ตามตัวหนังสือ ; ถ้าออกเสียงด้วย เรียกว่า อ่านออกเสียง ถ้าไม่ต้องออกเสียง เรียกว่า อ่านในใจ ; สังเกต
19 หรือพิจารณาดูเพื่อใหเ้ ข้าใจ” เช่น อ่านสีหนา้ อ่านริมฝีปาก อ่านในใจ ; ตีความ เช่น อา่ นรหสั อา่ นลายแทง ; คิด, นบั (ไทยเดิม) ประทีป วาทกิ ทินกร และ สมพนั ธ์ุ เลขะพนั ธุ์ (2534 : 2) ให้ความหมายไว้วา่ “การอ่าน คอื การรบั รู้ ข้อความในข้อเขียนของตนเอง หรือของผู้อ่นื รวมท้งั การรบั รู้เครื่องหมายส่อื สารต่าง ๆ” เชน่ เคร่ืองหมายจราจร และเครอ่ื งหมายท่แี สดงในแผนภมู ิ เปน็ ต้น กุสุมา รักษมณี และ คณะ (2536 : 77) นิยามความหมายของการอ่านว่า “การอ่านเป็นพฤติกรรม การสนทนาโต้ตอบระหว่างผู้อ่านกับผู้เขียน โดยการสื่อสารผ่านสาร หรือข้อเขียนท่ีเรียบเรียงเป็นข้อความภาษา ซ่ึงมรี ปู แบบและวัตถปุ ระสงค์แตกต่างกันไป แทนการพดู คยุ กนั โดยตรง” เปลื้อง ณ นคร (2538 : 14) การอ่าน (หนังสือ) คือ กระบวนการที่จะเข้าใจความหมาย ท่ีติดอยู่ กบั ตวั อักษรหรอื ตัวหนังสอื พันธ์ุทิพา หลาบเลิศบุญ และ คณะ (2539 : 45) กล่าวว่า การอ่าน คือ การแปลความหมายของ ตัวอักษรออกมาเป็นความคิด และนำความคิดไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ดังนั้นหัวใจของการอ่านอยู่ที่การเข้าใจ ความหมายของคำ ศรีสุดา จริยากุล (2545 : 5) ให้ความหมายของการอ่านไว้ใน “ความเข้าใจทั่วไปเกี่ยวกับการอ่าน” ว่า “การอ่าน คือ การรับรู้ความหมายของสารจากลายลักษณ์อักษร ซึ่งอาจจะเป็น การอ่านในลักษณะการ อ่านออกเสียง หรือการอา่ นในใจก็ได”้ ทพิ ย์สุเนตร อนัมบุตร (2551 : 5) ให้คำจำกัดความว่า การอ่าน คือ การรับสารในการใช้ภาษาไม่ว่าจะ เป็นภาษาใด ย่อมประกอบด้วย 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายสง่ > สาร > ฝา่ ยรบั ฝา่ ยส่งสารยอ่ มส่งโดยการพูดหรือการเขียน ฝ่ายรบั สารจึงรับได้โดยการฟังหรอื การอ่าน นอกจากความหมายของการอ่านที่ได้กล่าวมาน้ีแล้ว ยังมีนักการศึกษาผู้เช่ียวชาญด้านการสอนอ่านและ ดา้ นการอา่ นชาวต่างประเทศ ได้ให้ความหมายของการอา่ นไว้ ดังตอ่ ไปนี้ อัลเฟรด สเตปเฟอรุด (Alfred Stefferud, 1953 : 84) ให้คำจำกัดความของการอ่านไว้ว่า เป็นการ กระทำทางจิตใจ ที่ผูอ้ ่านยอมรับความหมายจากความคิดเห็นของบคุ คลอน่ื จอร์จ ดี. สปาช และ พอล ซี. เบิร์ก (George D. Spache and Paul C. Berg, 1955 : 3-4) กล่าวว่า การอ่าน เป็นการผสมผสานระหว่างทักษะหลายชนิด เพื่อสร้างความเข้าใจ โดยเป็นไปตามจุดประสงค์ตาม ต้องการ และวิธีการของผู้อ่าน พอล ดี. ลิดดี (Paul D. Leedy, 1965 : 3) ให้นิยามการอ่านไว้ว่า คือ การรวบรวมความคิดและ ตคี วามหมาย ตลอดจนประเมนิ ค่าความคิดเหล่านัน้ ที่ปรากฏอยตู่ ามส่ิงพมิ พแ์ ต่ละหนา้ เอดการ์ เดล (Edgar Dale, 1956 : 89) ให้ความหมายไว้ว่า การอ่าน หมายถึง กระบวนการค้นหา ความหมายจากสิ่งพิมพ์ เป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์ของผู้อ่าน การอ่านไม่ได้หมายความเฉพาะการมองผ่านา แตล่ ะประโยค หรือแตล่ ะย่อหน้าเทา่ นั้น แต่ผอู้ า่ นตอ้ งเข้าใจความคดิ นัน้ ๆ ด้วย
20 มอร์ติเมอร์ เจ. แอดเลอร์ (Mortimer J. Adler, 1959 : 27) กล่าวว่า การอ่าน ห มายถึง กระบวนการตีความหมาย หรือสร้างความเข้าใจจากตัวอักษร หรือสัญลักษณ์อ่ืน ๆ ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจมากขึ้น กระบวนการต่าง ๆ ท่ีก่อให้เกดิ ความเข้าใจน้ี เรียกว่า ศลิ ปะในการอา่ น กูดแมน (Goodman, 1970 : 5-11) ได้ให้คำจำกัดความของการอ่านว่า “การอ่านเป็นกระบวนการท่ี สลับซับซ้อนเก่ียวกับการแสดงปฏิกิริยาร่วมกัน ระหว่างความคิดและภาษา เน่ืองจากผู้อา่ นจะต้องพยายามสร้าง ความหมายข้ึนจากตัวอักษร การอ่านจึงเปน็ กระบวนการที่ต้องใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลา ผู้อ่านจะต้องอาศยั การ พินิจพิจารณาส่ิงท่ีปรากฏอยู่ในข้อความที่อ่าน เพื่อใช้เป็นเครื่องช่วยในการเลือกความหมายท่ีเหมาะสมท่ีสุดจาก เนือ้ ความท่ีอา่ น จากคำจำกัดความนิยามดังกล่าวมาแล้ว อาจสรุปและเพิ่มเติมความหมายของการอ่านได้ว่า การอ่าน เป็นพฤติกรรมการสนทนาโต้ตอบระหว่างผ้อู ่านกบั ผูเ้ ขยี น เปน็ กระบวนการของการรับรแู้ ละเข้าใจสาระท่ีเขยี นขึ้น เป็นการรวบรวมความคิด ตีความ ทำความเข้าใจในส่ิงท่ีอ่าน เพ่ือพัฒนาตนเองทั้งในด้านสติปัญญา อารมณ์ และ สังคม ประโยชน์ของการอา่ น หนังสือท่ีดี ย่อมใหค้ ุณค่าแก่ผู้อา่ นเสมอ ไมว่ ่าจะเป็นหนังสือทางวิชาการ หรือเร่ืองอ่านเล่น ทันทีท่ีหยิบ หนังสือข้นึ มาอ่าน แม้จะเพียง 2-3 นาที ผู้อ่านกจ็ ะ “ได้” ประโยชน์ไม่ด้านก็ด้านหนึ่ง เช่น ประโยคท่ีไพเราะ ประทับใจ มีข้อคิดซ่ึงอาจแก้ปัญหาที่คิดไม่ตกอยู่นาแล้ว ประโยชน์ของ การอ่านมีหลายประการ ดังท่ี เทือก กุสุมา ณ อยธุ ยา (2511 : 47) กลา่ ววา่ การอา่ นหนังสือมปี ระโยชน์ ดังนี้ 1. ประโยชน์ในฐานท่ีเป็นวรรณคดี คือ ผู้อ่านได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลิน เกิดอารมณ์สะเทือน ใจ และความนกึ ฝนั ไปตามท้องเร่อื ง 2. ประโยชน์อันเกิดแก่ผู้เขียนเอง ได้แก่ การระบายอารมณ์ การแสดงความคิด การให้ทัศนะ หลักเกณฑช์ ีวิตแก่ผูอ้ า่ น 3. ประโยชน์ในฐานที่เป็นเคร่ืองบันเทิง ท้ังยังมีการประยุกต์เป็นละครวิทยุ ละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ เปน็ ต้น 4. ประโยชน์ในดา้ นความรู้ เช่น สภาพความเป็นอยู่ ภูมิฐานสงา่ ของบา้ นเมือง วัฒนธรรม ฯลฯ หรือ เป็นส่ิงสะท้อนให้เห็นสภาพชีวิตในเรื่องที่แต่งก็ได้ เช่น เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ จะทำให้ผู้อ่านทราบรายล เอียดของชวี ิตได้ดีกวา่ หนังสือประวตั ิศาสตร์ 5. ประโยชนใ์ นด้านภาษา ผู้อ่านจะไดร้ บั รสไพเราะทางภาษา ท่ีรอ้ ยกรองไว้อย่างประณีตบรรจงแล้ว 6. ประโยชน์ทางด้านคติธรรม เป็นเคร่ืองชำระจิตใจผู้อ่าน ยกระดับจิตใจให้สูงขน้ึ ถ้าเป็นวรรณคดีท่ี ดี 7. ประโยชน์ทางการเมือง อาจทำให้การเมืองผันแปรได้ โดยผู้แต่งใช้นวนิยายเป็นส่ือคัดค้านความอ ยตุ ธิ รรม และทำใหผ้ ู้อา่ นเห็นดว้ ยได้ ฐะปะนีย์ นาครทรรพ และ คณะ (2546 : 56-57) กล่าวถึงประโยชนข์ องการอา่ น สรปุ ได้ดังนี้
21 1. ทำให้มีความรใู้ นวชิ าการดา้ นตา่ ง ๆ อาจเปน็ ความรู้ทัว่ ไป หรอื ความรู้เฉพาะดา้ นกไ็ ด้ 2. ทำให้รอบรู้ทันโลก ทันเหตกุ ารณ์ ซ่งึ นอกจากจะทำให้รูท้ ันข่าวสารบ้านเมืองและสภาพการณ์ต่าง ๆ ในสมัยสังคมทั้งภายในและภายนอกประเทศแล้ว ยังจะได้ทราบข่าวกีฬา ข่าวบันเทิง บทความวิจารณ์ ตลอดจนการโฆษณาสินค้าต่าง ๆ อีกด้วย ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ในการปรับความเป็นอยู่ให้เหมาะสม สอดคล้องกบั สภาพสังคมของตนในขณะน้นั 3. ทำให้ค้นหาคำตอบที่ต้องการได้ การอ่านหนังสือจะช่วยตอบคำถามท่ีเราข้องใจ สงสัยต้องการรู้ได้ เช่น อา่ นพจนานุกรม เพ่อื หาความหมายของคำ อ่านหนงั สือกฎหมาย เพื่อตอ้ งการรูข้ ้อปฏิบัติ เป็นต้น 4. ทำให้เราเกิดความเพลิดเพลิน การอ่านหนังสือท่ีมีเน้ือหาดี น่าอ่าน น่าสนใจ ย่อมทำให้ผู้อ่านมี ความสุขความเพลิดเพลิน เกิดอารมณ์คลอ้ งตามอารมณ์ของเร่ืองนั้น ๆ ผ่อนคลายความตึงเครียด ได้ข้อคิด และ ยงั เป็นการยกระดบั จิตใจผ้อู า่ นใหส้ งู ข้นึ ไดอ้ ีกดว้ ย 5. ทำให้เกิดทักษะและพัฒนาการในการอ่าน ผู้ที่อ่านหนังสือสม่ำเสมอ ย่อมเกิดความชำนาญในการ อ่าน สามารถอ่านได้เร็ว เข้าใจเร่ืองราวท่ีอ่านได้ง่าย จังใจความได้ถูกต้อง เข้าใจประเด็นสำคัญของเรื่อง และ สามารถประเมินคุณคา่ เรอ่ื งท่อี ่านไดอ้ ย่างสมเหตุสมผล 6. ทำให้ชีวิตมีพัฒนาการเป็นชีวิตที่สมบูรณ์ ผู้ท่ีอ่านมากย่อมรู้เร่ืองราวต่าง ๆ มาก เกิดความรู้ ความคิดที่หลากหลายกว้างไกล สามารถนำมาเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติตนให้ชีวิต มีคุณค่าและมี ระเบียบแบบแผนทด่ี ยี ่ิงขนึ้ 7. ทำให้เป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีและเสริมสร้างบุคลิกภาพ ผู้อ่านมากย่อมรอบรู้มาก มีข้อมูลต่าง ๆ สั่งสมไว้มาก เมื่อสนทนากับผู้อื่นย่อมมีความม่ันใจไม่ขัดเขิน เพราะมีภูมิรู้ สามารถถ่ายทอดความรู้ ให้คำแนะนำ แก่ผ้อู ่ืนในทางท่กี อ่ ใหเ้ กิดประโยชนไ์ ด้ ผูร้ อบร้จู งึ มกั ไดร้ บั การยอมรับ และเปน็ ทเ่ี ชอื่ ถือจากผอู้ ่นื การอ่านหนังสือจะให้ประโยชน์มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับการ “อ่านเป็น” ซึ่งจะต้องฝึก การอ่าน อย่างสม่ำเสมอจนเกิดความเข้าใจ ความซาบซ้ึง รู้จักวิเคราะห์ และเกิดความคิดจากการอ่านหนังสือ ซึ่งถือว่า สำคัญมาก ดังที่ รัญจวน อินทรกำแหง (2518 : 36-37) กล่าวไว้ในวรรณกรรมวิจารณ์ ตอท่ี 2 ว่า “...การ อ่านหนังสือที่จะได้รับ “ค่า” ของหนังสือจริง ๆ น้ัน ต้องอ่านให้ได้ “ความคิด” ท่ีแฝงอยู่เบ้ืองหลังตัวหนังสือ นั้น มิฉะนน้ั แล้ว การอ่านนัน้ ก็หาความหมายอันใดไม่ และก็เปน็ ท่ีน่าเสียดายเวลาอันมีค่าที่จะเสยี ไปในการอ่าน นัน้ ...” การอ่านท่ีจะให้ผู้เรียนเกิด “ความคิด” จากหนังสือที่อ่านก็โดยการที่ครูหรือผู้ปกครองช่วยช้ีแนะ หรือ ช่วยเลือกหนังสืออ่านให้เหมาะสมกับวัย เช่น เนื้อเรื่องเป็นเร่ืองราวที่อยู่ในความสนใจของเด็กตาวัยของเขา สำนวนภาษาที่เด็กในวยั นั้น ๆ จะเข้าใจได้ ตวั ละครเป็นบุคคลท่ีอยู่ในวัยเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน ถ้าเปน็ เช่นนั้น เด็กจะเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน ย่ิงอ่าน ย่ิงสนุก เปลื้อง ณ นคร (2538 : 16) ได้ยกคำของ จางจ้ือ นักปราชญ์โบราณผู้มีช่ือเสียงของจีน มากล่าวไว้ใน “ศิลปะแห่งการอา่ น” ว่า “ถ้าในโลกนไี้ ม่มีหนังสือก็แล้วไป เถดิ แต่เมอ่ื หนังสือมีอยูใ่ นโลก เรากค็ วรจะอา่ น” จดุ มุ่งหมายในการอา่ น
22 การอ่าน มีจุดประสงค์ที่กำหนดขึ้นตามความต้องการของผู้อ่าน ซ่ึงอาจต้องการศึกษาค้นคว้าข้อมูลเพ่ือ ประโยชน์เชิงวิชาการ หรืออ่านเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ การอ่านของแต่ละคนมีจุดมุ่งหมายแตกต่างกันออกไป อาจจำแนกไดก้ วา้ ง ๆ ดังน้ี 1. อ่านเพือ่ หาความรู้หรอื เพม่ิ พูนความรู้ เปน็ ความรู้จากหนงั สือประเภทตำราทางวชิ าการ สารคดที าง วิชาการ การวิจัยประเภทต่าง ๆ หรือการอ่านผ่านสื่ออเิ ล็กทรอนกิ ส์ การอ่านจากหนังสือท่ีมีสาระเดียวกัน ควร อ่านจากผู้เขียนหลาย ๆ คน เพ่ือเป็นการตรวจสอบความถูกต้อง แม่นยำของเนื้อหา ผู้อ่านจะมีความรอบรู้ ได้ แนวคิดที่หลากหลาย การอา่ นเพือ่ ศึกษาหาความรูน้ ี้ เปน็ การอา่ นเพือ่ ส่ังสมความรู้และประสบการของผอู้ ่าน 2. อ่านเพื่อให้ทราบข่าวสาร ความคิด เป็นการอ่านเพ่ือให้ทราบข่าวสารความคิด เข้าใจแนวคิด ซ่ึง ได้แก่ การอ่านหนังสือประเภทบทวิจารณ์ข่าว รายงานการประชุม ผู้อ่านไม่เคยเลือกอ่านหนังสือที่สอดคล้องกับ ความคดิ และความชอบของตน ควรเลือกอา่ นอย่างหลากหลาย จะทำให้มมี มุ มอทกี่ ว้างขึ้น จะช่วยให้เรามเี หตุผล อ่นื ๆ มาประกอบการวิจารณ์ วเิ คราะห์ ได้ลุม่ ลึกมากขนึ้ 3. อ่านเพ่ือความเพลิดเพลนิ หรือเพือ่ ความบันเทิง ความช่นื ชม การอ่านเป็นอาหารใจ ใหเ้ กดิ ความ บันเทิงใจ อ่านแล้วเกิดความเพลิดเพลิน สนุกสนาน ที่ได้จากการอ่านหนังสือประเภทบันเทิงคดี เช่น นวนิยาย เร่ืองส้ัน เร่ืองแปล การ์ตูน หรืออ่านบทละคร อ่านบทกวีนิพนธ์ บทเพลง บทขำขัน เป็นต้น นอกจากจะ เพลดิ เพลินไปกบั ภาษาและเรอื่ งราวทสี่ นุกสนานแล้ว ยังได้ความรู้ และคตขิ อ้ คดิ ควบคู่ไปด้วย 4. อ่านเพ่ือพัฒนาวิจารณญาณและค่านิยม การอ่านเพอ่ื พัฒนาวิจารณญาณและคา่ นิยม จะเก่ียวข้อง กับการพัฒนาทักษะการอ่านของนักเรียนในระดับที่สูงข้ึน และมีการเพ่ิมพูนมวลประสบการณ์ทางโลกและชีวิตท่ี เจนจัดมากขึ้น นักเรียนจึงจะเข้าใจคติธรรมท่ีแทรกอยู่ในวรรณกรรมท่ีอ่าน ด้วยกระบวนการคิดวิเคราะห์อย่าง สมเหตุสมผล สามารถเลือกและประยุกต์สิ่งท่ีมีคุณค่ามาพัฒนาตนเองให้เป็นทรัพยากรบุคคลท่ีมีคุณภาพ และ ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีคุณค่า สามารถ รับใช้สังคมประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า ตามกำลังสติปัญญาท่ี เพิ่มพูนข้ึน อนั สืบเนื่องมาจากนักเรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจ สภาพแวดล้อมของชีวติ ในด้านท่ีเป็นสัจธรรมความ จริงสมบูรณข์ ึ้น (กสุ มุ า รักษมณี และคณะ, 2536 : 79) 5. การอ่านเพื่อกิจธุระหรือประโยชน์อื่น ๆ การอ่านเพ่ือกิจธุระอ่ืน ๆ นอกเหนือจากจุดมุ่งหมายท่ี กล่าวมาแล้ว เป็นการอ่านเพื่อประโยชน์เฉพาะกิจ เช่น อ่านแบบฟอร์มชนิดต่าง ๆ อ่านหนังสือสัญญาเงินกู้ จำนอง และซื้อขาย อา่ นใบสมัครและระเบียบการ อ่านคำส่งั และสญั ญาณบง่ บอกท่ีมีความหมายต่าง ๆ เป็นต้น เราถือว่าสารเหล่านี้จะมีแบบแผนและรายละเอียดเฉพาะกลุ่ม เฉพาะองค์การ หรือเฉพาะสังคม ซ่ึงการ ติดต่อสื่อสารในโลกปัจจุบัน เราไม่อาจหลีกเล่ียงการอ่านส่ิงเหล่าน้ีได้เลย หากอ่านผิดพลาดหรือไม่เข้าใจ วัตถุประสงคท์ แ่ี ทจ้ รงิ อาจกอ่ ใหเ้ กดิ ความเสยี หาย หรือเสยี ผลประโยชน์ของเราได้ นอกจากน้ี ยังมีผู้อ่านหลายท่านท่ีนิยมอ่านหนังสือเพ่ือเสริมโลกทรรศน์ของตนเอง ให้ทันสมัยรู้ทัน เหตุการณ์ความเคล่ือนไหวในสังคม เช่น นักธุรกิจ จำเป็นต้องอ่านบทความหรือข่าวเศรษฐกิจจากหนังสือพิมพ์ วารสาร แ ละนิตยสาร ทเ่ี ก่ียวข้องกบั งานของตนอยตู่ ลอดเวลา เพ่อื เพิม่ พูนประสทิ ธิภาพในการทำงาน และการ ตดั สินใจที่สอดคลอ้ งกับสถานการณ์ต่าง ๆ บางท่านสนใจอ่านติดตามข่าวสารการเมอื ง การปกครอง หรือประวัติ บุคคล และบทบาทของเขาท่ีกำลังดำเนินอยู่ในสงคม เช่น ผู้นำประเทศ ผู้นำความคิดทางสังคม เพ่ือประโยชน์
23 ในการสมาคมกับผู้อ่ืน จะช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพของเขาให้น่านิยมศรัทธามากยิ่งขึ้น เพราะเป็นผู้ท่ีมีโลกทรรศน์ ดกี ว่าผทู้ ไี่ ม่สนใจอา่ น หรอื ติดตามเหตุการณ์เหลา่ นี้เลย กล่าวโดยสรุป จุดประสงค์ของการอ่านแต่ละคนจะแตกต่างกันไปตามความต้องการ ผู้อ่านจะกำหนด จุดประสงค์ของการอ่าน เพื่อตอบสนองความต้องการโดยเฉพาะของตนเอง การอ่าน แต่ละครั้งย่อม ก่อให้เกิดประโยชนแ์ กผ่ ู้อ่านทงั้ สนิ้ ข้อควรคำนึงสำหรับผู้ท่ีอยู่ในวยั เรยี น คอื ควรใช้วิจารณญาณในการเลือกเร่ือง ทจี่ ะอ่าน และรู้จักแยกแยะ นำส่ิงท่ีเปน็ ประโยชน์จากการอา่ นไปใช้ในการประอบกจิ กรมที่เกย่ี วขอ้ งกับการดำเนิน ชีวิตในแต่ละด้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจัดเป็นปัจจัยสำคัญท่ีจะเสริมสร้างผลสัมฤทธิ์ของการอ่านให้บรรลุ จุดมุ่งหมายแตล่ ะขอ้ ตามที่กลา่ วมา ประเภทของการอา่ น การอ่านสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ทั้งน้ีข้ึนอยู่กับวา่ จะใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา ถ้า หากพิจารณาการอ่านโดยดจู ากจดุ ม่งุ หมายของผู้อ่านเป็นหลัก เราอาจจะแบ่งได้ ดังน้ี (อัมพร ทองใบ, 2540 : 18-19) 1. อ่านผ่าน ๆ หรืออ่านเอาเรื่อง ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับความสนใจของผู้อ่าน เช่น การพลิกตำราบางเล่ม เพ่ือดูว่าเน้ือหาครอบคลุมเร่ืองท่ีจะค้นคว้าหรือไม่ อาจจะอ่านเพียงหัวเรื่องหรืออ่านหน้าสารบัญ หรืออ่านหน้า ผนวกท้ายเล่ม เป็นตน้ 2. การอ่านในใจ เป็นการอ่านเพ่อื เก็บใจความและเพื่อทำความเข้าใจ เป็นการอา่ นเพื่อแสวงหาความรู้ ความบันเทิงให้แก่ตนเอง ผู้อ่านจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ และสามารถเข้าใจเรื่องราวที่ได้อ่านโดยตลอด การอ่านหนังสอื เมื่ออ่านไปโดยตลอดก็พอจะเกบ็ ใจความได้ว่า เรื่องท่ีอ่านมีเน้ือหาเร่อื งราวว่าอย่างไร หากมีบาง ตอนทอี่ าจจะไม่เข้าใจ เพราะเรอ่ื งทีอ่ า่ นนั้นยากเกินความร้ขู องผู้อ่านทจ่ี ะทำความเขา้ ใจได้ ผู้อ่านควรจะพยายาม เอาชนะดว้ ยการอา่ นอยา่ งมสี มาธิ และรับรูค้ วามหมายทกุ ถอ้ ยคำจนเกดิ ความเขา้ ใจเน้ือเรื่องไดต้ ลอด สอางค์ ดำเนินสวัสด์ิ และคณะ (2546 : 88) แบง่ ลกั ษณะการอ่านเป็น 5 ชนดิ คือ 1. การอ่านอย่างคร่าว ๆ เป็นการอ่านเพื่อสำรวจว่า ควรจะอ่านหนังสือเล่มน้ีอย่างละเอียดต่อไป หรือไม่ โดยอา่ นเพยี งชอ่ื เร่อื ง หัวข้อเร่อื ง ชอ่ื ผ้แู ต่ง คำนำ หรอื การอา่ นเนอื้ หาบางตอนโดยรวดเรว็ 2. การอ่านเพื่อจับใจความสำคัญ เป็นการอ่านเพ่ือเก็บแนวคิดท่ีต้องการ และอ่านข้ามตอนที่ไม่ ต้องการ 3. การอ่านเพ่ือสำรวจเนื้อหา เป็นการอ่านเพ่ือทำเป็นบันทึกย่อ หรือทบทวนเพื่อสรุปสาระสำคัญของ เรอ่ื งทงั้ หมด 4. การอา่ นเพื่อศึกษาอย่างลกึ ซึ้ง เป็นการอา่ นละเอียด เพ่อื ให้เขา้ ใจเร่ืองทอ่ี ่านอยา่ งชัดเจน 5. การอ่านเพ่ือวิเคราะห์และวิจารณ์ เป็นการอ่านละเอียด เพ่ือวิเคราะห์เน้ือหาว่ามีความหมายและมี ความสำคัญอยา่ งไร รวมทั้งแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตผุ ลเกี่ยวกบั เรือ่ งทีอ่ ่าน การอ่านแต่ละชนิดมีจุดประสงค์ต่างกัน และใช้เน้ือหาต่างกัน ผู้อ่านควรพิจารณาว่า ใช้การอ่านใน ลักษณะใดบ้างในชีวิตประจำวัน และพจิ ารณาว่าตนมปี ระสทิ ธภิ าพในการอา่ นหรอื ไมโ่ ดยใชเ้ กณฑข์ ้ันต้น ดงั นี้
24 1. เขา้ ใจรายละเอยี ดของเน้ือเรอื่ ง 2. จับใจความสำคญั ของเรือ่ งได้ 3. สรปุ ความคิดหลกั ของเรอื่ งได้ 4. ลำดับความคดิ ในเรื่องได้ 5. คาดคะเนเหตกุ ารณ์ท่ีไม่ปรากฏในเร่อื ง หรอื เหตุการณ์ท่จี ะเกดิ ข้ึนต่อไปได้ นอกจากการเบ่งประเภทของการอ่าน ตามเกณฑ์ท่ีกล่าวมาแล้วน้ัน ยังมีการแบ่งประเภทท่ีแตกต่างกัน ไปอกี ดงั เชน่ สนุ ันทา ม่ันเศรษฐวิทย์ (2551 : 17 : 20) ไดแ้ บ่งประเภทของการอา่ นไว้ 4 ประเภท แต่ละประเภทมี จดุ มุ่งหมายของการใช้ที่แตกตา่ งกัน ดังนี้ 1. การอ่านเคร่า ๆ จุดประสงค์ของการอ่านประเภทนี้ เพ่ือค้นหาเอกสารอ้างอิงสำหรับใช้ในการ คน้ คว้า หรือการหาส่อใหม่ ๆ ในห้องสมุด นอกจากนน้ั ยังเปน็ การค้นหาคำสำคัญท่เี กี่ยวข้องกับเร่อื งใหม่ ๆ เพ่ือ รวบรวมความคิดของผู้เขียน อีกทั้งยังใช้เพ่ือการอ่านสันทนาการ ได้แก่ การอ่านวารสารบันเทิง การอ่าน เรือ่ งราวต่าง ๆ ที่ให้ความสนุกสนานเพลิดเพลนิ วิธีการอ่าน ผู้อ่านจะใช้การเคล่ือนสายตาอย่างรวดเร็ว จากบรรทัดบนสุดสู่บรรทัดล่าง โดยข้ามคำ กล่มุ คำ และประโยคทไ่ี ม่สำคัญ เพ่ือตรวจดูเฉพาะหวั ข้อหรอื คำสำคัญ หรอื คำตอบตามท่ตี อ้ งการ โดยสังเกตคำ ท่ีขดี เสน้ ใต้ หรือคำท่ีเปน็ ตัวหนา 2. การอ่านเร็ว จุดประสงค์ของการอา่ นเร็ว เพ่ือเป็นการทบทวนสารที่อ่าน อีกทั้งยังใช้เพื่อการค้นหา แนวคิดหลักและแนวคิดย่อย เป็นการนำข้อมูลจากสารที่อ่านไปใช้ประโยชน์ การอ่านวิธีนี้ยังใช้เพื่ออ่านสารท่ีทำ ใหเ้ กดิ ความเพลิดเพลิน เช่น การอา่ นนิทาน นิยาย นวนิยาย และสื่อการอ่านอนื่ ๆ ท่ชี ่วยให้ผู้อ่านไดร้ บั การผอ่ น คลายทางจติ ใจ วิธีการอ่าน ผู้อ่านจะเคล่ือนสายตาอย่างรวดเร็ว จากซ้ายไปขวา โดยไม่เคล่ือนใบหน้าเปน็ การอ่านท่ีใช้ การเคลื่อนตาอย่างรวดเร็ว โดยการรับรู้เป็นคำ เป็นกลุ่มคำ หรือประโยคเป็นการอ่านที่เร่งรีบ เพื่อความเข้าใจ เรอ่ื งราวโดยใช้เวลาท่ีจำกดั 3. การอ่านปกติ จุดประสงค์ของการอ่านปกติ เพื่อค้นหาข้อมูลและตอบคำถามอาจใช้ในการทำ แบบฝึกหัด หรือการทำรายงาน อ่านแล้วจดบันทึกเพ่ือสรุปเน้ือเรื่องแต่ละตอน เป็นการอ่านเพ่ือนำข้อมูลมาไข ปริศนา อ่านเพื่อคำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดหลักกับแนวคิดย่อย การอ่านปกติมักจะใช้กับการ อ่านสารที่มีความยากง่ายอยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งหมายความว่า ผู้อ่านรู้จักคำที่อยู่ในสารมากกว่าร้อยละ 70 และอา่ นได้ 250 คำ/นาที ตอบคำถามได้ถูกตอ้ งรอ้ ยละ 60 ข้ึนไป วิธีการอ่าน ผู้อ่านจะเคล่ือนสายตาจากซ้ายไปขวา โดยมิได้เร่งรีบ เพ่ือรับรู้คำกลุ่มคำ ประโยค และ เรื่องทั้งหมด การอ่านปกติเป็นการอ่านโดยมิได้เร่งรัด แต่ต้องการความเข้าใจในเรื่องราวโดยมิได้พลาดประเด็น สำคัญ และต้องการใหบ้ รรลผุ ลตามจุดประสงค์มากกวา่ ทีจ่ ะเน้นในเรือ่ งของเวลา
25 4. การอ่านละเอียด จุดประสงค์ของการอ่านาเพื่อตรวจรายละเอียดของเร่ืองในทุกประเด็น โดยไม่ พลาดความหมายของคำ กลุ่มคำ และประโยค นอกจากนน้ั ยังเปน็ การประเมินค่าเร่ืองทอ่ี ่านเรยี งลำดับเหตกุ ารณ์ แ ละติดตามทิศทางของเรื่อง เพ่ือมิให้พลาดประเด็นสำคัญ สรุปเรื่องด้วยภาษาของตนเอง รวมทั้งวิเคราะห์การ นำเสนอผลงานของผู้เขียนได้อย่างถูกต้อง การอ่านวิธีน้ียังใช้ประโยชน์ในการอ่านสารประเภทวรรณกรรมและ วรรณคดีอย่างละเอียด เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเกิดความซาบซ้ึงในการใช้ภาษา การวิเคราะห์รูปแบบ ตลอดจนลักษณะของการใชภ้ าษา คุณค่าท่ไี ด้รบั ทางภาษาจำเป็นตอ้ งใชก้ ารอา่ นอย่างละเอียดเชน่ กนั วิธีการอ่าน ผู้อ่านจะเคล่ือนสายตา ผ่านทุกตัวอักษรของคำ กลุ่มคำ และประโยคทำความเข้าใจ ความหมายท้ังทางตรงและทางนัย เพื่อให้ได้ข้อมูลตรงตามจุดประสงค์ที่ต้องการ สารที่ใช้วิธีอ่านประเภทน้ี มักจะเป็นสารวิชาการ ใช้ภาษาที่ยากและมีเรื่องราวซับซ้อน ซึ่งต้องใช้เวลาในการอ่านมากกว่าการอ่านประเภท อน่ื ๆ เพราะต้องการความละเอียดรอบคอบ กล่าวโดยสรุป การอ่านเป็นการรับรู้ความหมายของสาร การอ่านมีความสำคัญเพราะเป็นเคร่ืองมือ แสวงหาความรู้และความบันเทิง ผู้อ่านแต่ละคนจะมีจุดมุ่งหมายในการอ่านไม่เหมือนกัน บางคนชอบอ่านเพื่อ แสวงหาความรู้ บางคนชอบอ่านเพ่ือแสวงหาความบันเทิง และบางคนอ่านเพ่ือนำความรู้จากการอ่านไปใช้เพ่ือ ประโยชน์อื่น ๆ การแบ่งประเภทของการอ่าน สามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ท้ังนี้ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้อะไร เป็นเกณฑใ์ นการพิจารณา อาจแบ่งโดยพจิ ารณาจุดมุ่งหมายเป็นหลกั หรอื อาจแบง่ โดยพจิ ารณาจากลักษณะการ อา่ นเป็นหลกั คือ การอ่านในใจ แลการอ่านออกเสียง โดยจะมีวิธีการอ่านแตกต่างกันไป แต่อย่างไรก็ตามการ อ่านจะบรรลุจุดประสงค์ได้ ผู้อ่านควรมีจุดหมายในการอ่าน และเข้าวิธีที่จะอ่าน เพื่อให้ได้ประโยชน์สมตาม ความมุ่งหมาย กิจกรรมสง่ เสริมการอ่าน กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน หมายถึง การกระทำต่าง ๆ เพ่ือให้เด็กเกิดความสนใจที่จะอ่าน เห็น ความสำคัญของการอ่าน เกิดความเพลิดเพลินท่ีจะอ่าน เกิดความมุ่งม่ันท่ีจะอ่าน และอ่านจนเป็นนิสัย ท้ังน้ี การ อ่านหนังสือเป็นทักษะสำคัญทักษะหนึ่งในชีวิตประจำวัน เพราะการอ่านหนังสือจะพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนเรา ได้เป็นอย่างดีย่ิง เมื่อคนเราอ่านหนังสือจะเกิดความสามารถสร้างความรู้ อารมณ์ จินตนาการ และ ความ
26 เพลิดเพลิน การที่เด็กจะเกดิ ทักษะการอา่ นหนังสือได้นั้นจำเป็นจะตอ้ งอาศัยความร่วมมือจากบุคคลหลายฝ่าย ท้ัง ครอบครัว โรงเรียนและชุมชน ในการจดั กจิ กรรมส่งเสริมการอา่ นใหแ้ ก่เด็ก กิจกรรมสง่ เสรมิ การอา่ นคอื การกระตุ้นด้วยวธิ ีการต่างๆ เพื่อใหผ้ ู้อ่านสนใจการอา่ นจนกระทั่งมนี สิ ัยรกั การอา่ น และได้พฒั นาการอา่ นจนกระทัง่ มคี วามสามารถในการอ่าน นำประโยชน์จาการอา่ นไปใชไ้ ดต้ รงตาม วัตถุประสงค์ของการอา่ นทุกประเภท (ฉววี รรณ คูหาภนิ ันทน์, 2542 : 93) กรมวิชาการ (อ้างถงึ ใน ฉววี รรณ คหู าภินันทน์, 2542 : 93) ให้ความหมายว่า กิจกรรมสง่ เสรมิ การอ่าน คอื การกระทำเพ่ือ 1. เรา้ ใจบุคคลหรอื บุคคลทีเ่ ป็นเปา้ หมายใหเ้ กิดความอยากรู้ อยากอ่านหนังสือ โดยเฉพาะหนงั สือที่มี คุณภาพ 2. เพ่ือแนะนำชกั ชวนให้เกิดความพยายามทจ่ี ะอา่ นใหแ้ ตกฉาน สามารถนำความรูจ้ ากหนงั สือไปใช้ ประโยชน์ เกดิ ความเข้าใจในเร่ืองตา่ งๆ ดีขนึ้ 3. เพอ่ื กระตนุ้ แนะนำให้อยากรู้ อยากอา่ นหนงั สือหลายอย่าง เปดิ ความคิดให้กวา้ ง ให้มีการอ่านตอ่ เน่ือง จนเป็นนสิ ัย พัฒนาการอา่ นจนถึงขั้นที่สามารถวิเคราะห์เรื่องที่อ่านได้ 4. เพอื่ สร้างบรรยากาศทจ่ี ูงใจให้อ่าน ดังนนั้ สามารถกลา่ วได้ว่า กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน หมายถงึ กิจกรรมต่างๆทีห่ ้องสมุดจัด ข้นึ เพื่อสง่ เสรมิ ให้ เกดิ การอา่ นอย่างต่อเน่อื งจนกระท่ังเป็นนิสัยรักการอา่ น เช่น การเลา่ นทิ าน การเชดิ หุ่น การแสดงละคร การ แนะนำหนังสือทนี่ า่ สนใจ เป็นตน้
27 ลกั ษณะของกจิ กรรมส่งเสริมการอา่ นที่ดี 1. เร้าความสนใจ เชน่ การจดั นทิ รรศการที่ดึงดูความสนใจ การตอบปัญหา มรี างวลั ตา่ งๆ การใช้สือ่ เทคโนโลยีใหมๆ่ เขา้ มาชว่ ย 2. จูงใจใหอ้ ยากอา่ นและกระตุ้นให้อยากอ่าน เช่น ขา่ วที่กำลังเปน็ ทสี่ นใจ หรือหวั ขอ้ เร่ืองทเ่ี ป็นท่ีสนใจ เชน่ การวจิ ัย การเตรยี มตวั สอบ การสมัครงาน เป็นต้น 3. ไมใ่ ชเ้ วลานาน ความยากง่ายของกิจกรรมเหมาะสมกับเพศ ระดับอายุ การศึกษา 4. เปน็ กิจกรรมท่ีมงุ่ ไปสู่หนงั สือ วสั ดกุ ารอา่ น โดยการนำหนังสือหรือวัสดุการอ่านมาแสดงทุกครัง้ 5. ใหค้ วามสนุกสนานเพลิดเพลิน แฝงการเรียนรู้ตามอธั ยาศัยจากการรว่ มกจิ กรรมด้วย ความหมายและความสำคญั ของห้องสมุด ห้องสมดุ ประชาชน หมายถึง ห้องสมดุ ท่ีตัง้ ขนึ้ เพ่อื ให้บริการแกป่ ระชาชน โดยไม่จำกดั เพศ วยั เช้อื ชาติ ศาสนา และพืน้ ความรู้ ให้บรกิ ารสารสนเทศครบทุกหมวดวิชา และอาจมีการบรกิ ารบางเร่ืองเป็นพิเศษ ตามความต้องการของท้องถ่นิ และจะจัดให้บริการแกป่ ระชาชนโดยไมค่ ิดมูลคา่ บทบาทหนา้ ทขี่ องห้องสมดุ ประชาชน มี 3 ประเภท คอื 1. หน้าทท่ี างการศกึ ษา ห้องสมุดประชาชนเปน็ แหลง่ ให้การศกึ ษานอกระบบโรงเรยี น มหี น้าท่ีให้ การศึกษาแก่ประชาชนท่ัวไป ทกุ ระดับการศึกษา 2. หน้าท่ีทางวฒั นธรรม หอ้ งสมดุ ปะชาชนเปน็ แหลง่ สะสมมรดกทางปญั ญาของมนษุ ย์ ท่ีถา่ ยทอดเปน็ วัฒนธรรมท้องถิน่ ทห่ี ้องสมุดตงั้ อยู่ 3. หนา้ ทีท่ างสงั คม หอ้ งสมุดประชาชนเป็นสถาบันทางสงั คมได้รบั เงินอุดหนนุ จากรัฐบาลและท้องถน่ิ มา ดำเนินกิจการ จงึ มหี น้าท่ี แสวงหาข่าวสารขอ้ มูลทม่ี ีประโยชน์มาบริการประชาชน ห้องสมุดประชาชนในประเทศไทยมหี นว่ ยงานต่างๆรับผิดชอบ ดังน้ี 1. หอ้ งสมดุ ประชาชนสังกดั กระทรวงศึกษาธกิ าร สังกัดกรมการศึกษานอกโรงเรยี น ไดแ้ ก่ หอ้ งสมดุ ประชาชนระดับจงั หวัด และระดับอำเภอ นอกจากนี้กรมการศึกษานอกโรงเรียนยงั ได้จดั ทีอ่ า่ นหนงั สือประจำ หมบู่ ้าน ทอี่ า่ นหนังสือในวดั และห้องสมดุ เคลื่อนท่ี 2. ห้องสมุดประชาชน สงั กัดกรงุ เทพมหานคร มที ้ังหมด 12 แห่ง ไดแ้ ก่ หอ้ งสมุดประชาชนสวนลมุ พินี หอ้ งสมดุ ประชาชนซอยพระนาง หอ้ งสมุดประชาชนปทมุ วัน หอ้ งสมดุ ประชาชนอนงคาราม หอ้ งสมดุ ประชาชนวัด สงั ขก์ ระจาย ห้องสมุดประชาชนบางเขน หอ้ งสมุดประชาชนบางขนุ เทยี น ห้องสมุดประชาชนวดั รชั ฎาธิษฐาน วรวิหารตล่ิงชัน ห้องสมุดประชาชนประเวช ห้องสมุดประชาชนวัดลาดปลาเคา้ หอ้ งสมุดประชาชนภาษเี จรญิ ห้องสมดุ ประชาชนวดั ราชโอรส 3. ห้องสมดุ ประชาชนของธนาคารพาณชิ ย์ เปน็ หอ้ งสมุดที่ธนาคารพาณชิ ยเ์ ปดิ ขึน้ เพ่ือบริการสงั คม และ เพอ่ื ประชาสัมพนั ธ์กิจการของธนาคารให้เปน็ ท่ีรู้จักแพร่หลาย เช่น ห้องสมดุ ประชาชนของธนาคารกรุงเทพจำกัด
28 4. ห้องสมดุ ประชาชนของรฐั บาลตา่ งประเทศ โดยได้รบั การสนับสนุนจากรัฐบาลต่างประเทศ เช่น ห้องสมดุ บริติชเคาน์ซิล ของรัฐบาลสหราชอาณาจักร ทีต่ งั้ อยู่บรเิ วณสยามสแควร์ กรงุ เทพมหานคร 5. หอ้ งสมดุ ประชาชนเสยี ค่าบำรงุ ห้องสมดุ ประชาชนประเภทน้ใี หบ้ รกิ ารเฉพาะสมาชกิ เทา่ นัน้ โดยผ้ทู ่ี เป็นสมาชกิ จะต้องเสยี ค่าบำรุงตามระเบียบของห้องสมดุ ได้แก่ ห้องสมุดนลี สันเฮย์ ตง้ั อยูท่ ่ถี นนสุริวงศ์ กรุงเทพมหานคร บทบาทและความสำคญั ของห้องสมสดุ ต่อสังคมในดา้ นตา่ ง ๆ 1. เปน็ สถานท่เี พ่ือสงวนรกั ษาและถา่ ยทอดวัฒนธรรม ห้องสมุดเป็นแหลง่ สะสมววิ ัฒนาการของมนุษย์ ตง้ั แต่อดีตจนถึงปัจจุบนั ถ้าไม่มแี หลง่ ค้นคว้าประเภทหอ้ งสมุดเปน็ ศนู ย์กลางแลว้ ความรู้ตา่ งๆ อาจสูญหายหรือ กระจดั กระจายไปตามท่ตี ่างๆ ยากแก่คนรุ่นหลงั จะตดิ ตาม 2. เปน็ สถานทเี่ พ่ือการศึกษา ค้นควา้ วจิ ยั หอ้ งสมุดทำหนา้ ท่ีใหก้ ารศึกษาแก่ประชาชนทุกรปู แบบ ท้ังใน และนอกระบบการศึกษา เร่ิมจากการศึกษาขัน้ พนื้ ฐานถงึ ระดับสูง 3. เป็นสถานทสี่ ร้างเสรมิ ความคดิ สรา้ งสรรค์และความจรรโลงใจ ห้องสมุดมหี น้าทร่ี วบรวมและเลอื กสรร ทรพั ยากร สารสนเทศ เพื่อบริการแก่ผูใ้ ช้ ซึ่งเป็นสิง่ ทมี่ ีคุณค่าผใู้ ช้ไดค้ วามคิดสร้างสรรค์ ความจรรโลงใจ นานาประการ เกดิ ประโยชน์แกต่ นเองและสังคมต่อไป 4. เปน็ สถานท่ีปลกู ฝังนสิ ัยรักการอ่านและการเรยี นรู้ตลอดชวี ติ ห้องสมุดจะช่วยให้บคุ คลสนใจในการอ่าน และรกั การอ่านจนเปน็ นสิ ัย 5. เป็นสถานท่ีส่งเสริมการาใชเ้ วลาว่างในเป็นประโยชน์ หอ้ งสมดุ เปน็ สถานทรี่ วบรวมสารสนเทศทกุ ประเภท เพื่อบรกิ ารแกผ่ ใู้ ชต้ ามความสนใจและอา่ นเพื่อฆ่าเวลา อา่ นเพอื่ ความเพลิดเพลิน หรืออา่ นเพ่ือ สาระบันเทงิ ได้ทั้งสน้ิ นบั ว่าเป็นการพักผอ่ นอยา่ งมีความหมายและให้ประโยชน์ 6. เปน็ สถานทีส่ ง่ เสริมความเป็นประชาธปิ ไตย หอ้ งสมุดเป็นสาธารณะสมบตั ิ มสี ว่ นส่งเสรมิ ให้บคุ คลรู้จกั สิทธแิ ละหน้าที่ของพลเมือง กลา่ วคือ เมื่อมสี ิทธใิ นการใช้กย็ ่อมมีสิทธใิ นการบำรุงรักษาร่วมกนั และใหค้ วามรว่ มมอื กบั หอ้ งสมุดด้วยการปฏิบตั ิตามระเบยี บ แบบแผนของห้องสมดุ ความหมายของส่ือส่ิงพมิ พ์ พจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑิตยสถานไดใ้ ห้ความหมายคาท่ีเก่ียวกบั “ส่ือสงิ่ พิมพ์”ไวว้ ่า “สง่ิ พมิ พ์ หมายถึง สมุด แผ่นกระดาษ หรือวตั ถุใด ๆ ทพี่ ิมพข์ ึ้น รวมตลอดทัง้ บทเพลง แผนท่ี แผนผัง แผนภาพ ภาพวาด ภาพระบาย สี ใบประกาศ แผ่นเสยี ง หรือส่ิงอนื่ ใดอันมีลกั ษณะเช่นเดียวกัน” “ส่อื หมายถงึ ก. ทาการติดต่อให้ถึงกนั ชกั นาให้ ร้จู กั กัน น. ผู้หรอื สิ่งทท่ี าการตดิ ต่อให้ถึงกนั หรือชักนาให้รู้จกั กัน” “พิมพ์ หมายถึง ก. ถ่ายแบบ, ใชเ้ ครอ่ื งจักรกด ตัวหนังสือหรอื ภาพ เป็นตน้ ให้ติดบนวัตถุ เช่น แผน่ กระดาษ ผ้า ทาให้เปน็ ตัวหนงั สอื หรือรปู รอยอยา่ งใด ๆ โดย การกดหรือการใช้พมิ พ์หิน เครื่องกล วิธเี คมี หรอื วิธอี ื่นใด อนั อาจใหเ้ กดิ เปน็ สงิ่ พมิ พ์ขน้ึ หลายสาเนา น. รูป , รปู ร่าง, รา่ งกาย, แบบ” ดงั น้ัน “ส่อื สง่ิ พิมพ”์ จึงมีความหมายว่า “สิง่ ทพ่ี ิมพ์ข้นึ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นกระดาษหรือวตั ถุ
29 ใด ๆ ด้วยวธิ กี ารต่าง ๆ อันเกิดเปน็ ชนิ้ งานทม่ี ีลกั ษณะเหมือน ตน้ ฉบับขน้ึ หลายสาเนาในปรมิ าณมากเพื่อเป็นสิง่ ท่ี ทาการตดิ ต่อ หรือชักนาใหบ้ คุ คลอืน่ ได้เหน็ หรือทราบ ขอ้ ความต่าง ๆ” สิ่งพมิ พเ์ พ่ือการศกึ ษา หมายถึง สิ่งท่ีพิมพข์ ้ึนในรูปแบบตา่ งๆ ทั้งหนังสือ ตารา เอกสาร วารสารต่างๆ ที่ ให้ความรู้ เนื้อหาสาระท่มี ปี ระโยชน์ เชน่ หนังสือเรยี นภาษาไทย ป. 6 หรอื อาจเปน็ ชุดภาพประกอบการศึกษา เช่น ภาพประกอบการศกึ ษาชุดอาหารไทย เป็นตน้ และสามารถนามาใช้ในการศึกษาได้ ความเปน็ มา ส่ิงพิมพ์ถือได้ว่าเป็นส่ิงท่ีความสำคัญยิ่งควบคู่มากับการพัฒนาการของมนุษยชาติ และจัดเป็นส่ือมวลชน ประเภทหนึ่งท่ีมีความสำคัญมาตลอดนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันในการถ่ายทอดความรู้วิชาการ และเพ่ือการติดต่อ สื่อสารสาหรับมนุษยชาติ ดังคำจำกัดความของพจนี พลสิทธ์ิ (2536 : 3) สรุปความเป็นมาและความสาคัญของ สิ่งพิมพ์ ว่า “ส่ิงพิมพ์” นับเป็นวัสดุที่แสดงถึงพัฒนา การความเจริญก้าวหน้าทางด้านสติปัญญา ของมนุษย์ ความคิด จินตนาการ เจตคติ ความฝนั ชีวิต วัฒนธรรม สงั คม เหตุการณ์ เรื่องราวต่าง ๆ ของมนุษย์แต่ลายคุ สมัย สามารถเก็บรักษาสืบทอดจาดชนรุ่นหน่ึงไปสู่ชนรุ่นหลัง ความคิดในเร่ืองการพิมพ์นี้นอกเหนือจาก เพ่ือเป็น เครื่องมือในการบันทึกความคิด จินตนาการ ความรู้ และเหตุการณ์ต่างๆ แล้วยังเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่าชนชาติ ตา่ ง ๆ ในโลกนลี้ ้วนมคี วามพยายามท่ีจะพัฒนาความคดิ ของตนให้เจริญกา้ วหน้าทนั สมัยอย่างต่อเนื่อง ความคิดใน เรือ่ งการพิมพ์ที่มีจดุ ประสงค์เรม่ิ แรกก็คงเพื่อให้มีการแพร่หลายเรือ่ งความคดิ ความรู้ ไปสู่ชนรนุ่ หลัง และเพื่อให้มี หลาย ๆ สาเนาจะได้เก็บรักษาให้คงอยู่ได้นานปีน้ัน ในยุคปัจจุบันชนรุ่นหลังได้สานต่อความคิดเร่ืองการพิมพ์ จนกระท่ังกลายเป็นเทคโนโลยีท่ีทันสมัย และซับซ้อน สามารถผลิตส่ิงพิมพ์ได้หลากหลายชนิดตอบสนอง วตั ถุประสงคข์ องมนุษยชาติไดก้ ว้างขวางนอกเหนือจากส่ือส่ิงพิมพ์จะเป็นสื่อมวลชนทมี่ คี วามเก่ียวกันกบั มนุษยชาติ มานานนับพัน ๆ ปี และมีความเก่าแก่กว่าส่อื มวลชนประเภทอืน่ ไม่ว่าจะเปน็ วิทยุกระจายเสยี ง วิทยโุ ทรทัศน์ หรือ อินเตอร์เน็ต ซ่งึ เป็นสอื่ ประเภทหนึ่งท่ีมีการใช้แพร่หลายไปท่ัวโลกเช่นในปัจจุบันก็ตาม แต่ส่ือสิ่งพิมพก์ ็ยงั เป็นส่ือท่ี มีการใช้อย่างแพร่หลายเป็นที่นิยมของทุกชนชาติมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ประเภทใดก็ตาม เช่น หนังสือพิมพ์รายวัน นิตยสาร วารสาร หรือสิ่งพิมพ์ประเภทต่าง ๆ สาเหตุสาคัญท่ีทาให้สื่อสิ่งพิมพ์ยังเป็นที่
30 นิยมแพร่หลายมาโดยตลอด ก็เพราะบุคคลสามารถเลอื กอ่านไดต้ ามความเหมาะสม อีกทั้งยังใช้เป็นเอกสารอ้างอิง ได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ ประวตั กิ ารพิมพใ์ นประเทศไทย ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กรุงศรีอยุธยา ได้เริ่มแต่งและพิมพ์หนังสือคำสอนทางศาสนา คริสต์ ข้ึน และหลังจากน้ันหมอบรัดเลย์เข้ามาเมืองไทย และได้เร่ิมด้านงานพิมพ์จนสนใจเป็นธุรกิจด้านการพิมพ์ ใน เมอื งไทย พ.ศ.2382 ไดพ้ มิ พเ์ อกสารทางราชการเปน็ ชิ้นแรก คือ หมายประกาศห้ามสูบฝนิ่ ซึง่ พระบาทสมเดจ็ พระ นั่งเกล้า เจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้จ้างพิมพ์จานวน 9,000 ฉบับ ต่อมาเม่ือวันที่ 4 ก.ค.2387 ได้ออกหนังสือฉบับแรก ขึ้น คือ บางกอกรีคอร์ดเดอร์ (Bangkok Recorder) เป็นจดหมายเหตุอย่างสั้น ออกเดือนละ 2 ฉบับ และใน 15 ม.ิ ย. พ.ศ.2404 ได้พิมพ์หนังสือเล่มออกจำหน่ายโดยซ้ือลิขสิทธจ์ิ าก หนังสือนริ าศลอนดอนของหมอ่ มราโชทัยและ ได้เริม่ ตน้ การซื้อขาย ลขิ สิทธิหน่ายในเมอื งไทย หมอบรัดเลยไ์ ดถ้ ึงแกก่ รรมในเมืองไทยกิจการ การพิมพข์ องไทยจึง เร่ิมต้นเป็นของไทย หลังจากน้ันใน พ.ศ.2500 ประเทศไทยจึงนา เคร่ืองพิมพ์แบบโรตารี ออฟเซท (Rotary off Set) มาใช้เป็นคร้ังแรก โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิชนาเครื่องหล่อเรียงพิมพ์ Monotype มาใช้กับตัวพิมพ์ภาษาไทย ธนาคาร แห่งประเทศไทยได้จดั โรงพมิ พ์ธนบตั รในเมืองไทยข้ึนใชเ้ อง ประเภทของสอ่ื ส่งิ พิมพ์เพื่อการศึกษา ส่อื สง่ิ พิมพป์ ระเภทหนังสือ 1. หนังสือตำรา เป็นสื่อที่พิมพ์เป็นเล่ม ประกอบด้วยเน้ือหาการเรียนการสอนโดยอธิบายเน้ือหาวิชาอย่างละเอียดชัดเจน อาจมีภาพถ่ายหรือภาพเขียนประกอบเพ่ือเพมิ่ ความสนใจของผู้เรียน หนังสือตาราน้ีอาจใช้เป็นสอ่ื การเรียนในวิชา นน้ั โดยตรงนอกเหนือจากการบรรยายในชั้นเรยี น หรืออาจใชเ้ ป็นหนังสอื อ่านประกอบหรือหนังสืออา่ นเพิ่มเติมก็ได้ การใชห้ นังสือในการเรียนการสอนนับว่ามีประโยชน์แก่ผเู้ รียนทงั้ ในด้านการศึกษารายบุคคลเพอื่ ให้ผู้เรียนสามารถ ใชอ้ ่านในเวลาทต่ี ้องการ และในด้านเศรษฐกจิ เน่ืองจากสามารถใชอ้ า่ นไดห้ ลายคนและเก็บไว้ได้เปน็ เวลานาน 2. แบบฝึกปฏิบตั ิ เป็นสมุดหรือหนังสือท่ีพิมพ์ขึ้นโดยมีเน้ือหาเป็นแบบฝึกหัดหรือแบบฝึกปฏิบัติเพ่ือเป็นการเพ่ิมทักษะหรือ ทดสอบผู้เรียน อาจมเี น้ือหาในรูปแบบคาถามให้เลอื กคาตอบ หรือเป็นต้นแบบเพ่ือใหผ้ ู้เรยี นฝึกปฏิบัติตามโดยอาจ มรี ปู ประกอบเพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจไดง้ า่ ยย่ิงข้ึน เช่น แบบคดั ตัวอกั ษร ก ไก่ เปน็ ตน้ 3. พจนานกุ รม เป็นหนังสือที่มีเนื้อหาเป็นคาศพั ท์และคาอธิบายความหมายของคาศัพท์ แต่ละคาน้ัน โดยการเรียงตามลา ดับจากอักษรตัวแจกถึงตัวสุดท้ายของภาษาที่ต้องการจะอธิบาย คาศัพท์และคาอธิบายจะเป็นภาษาเดียวกันหรือ ต่างภาษาก็ได้ เช่น คาศัพท์ภาษาอังกฤษและมีคาอธิบายเป็นภาษาไทย หรือท้ังคาศัพท์และคาอธิบายต่างก็เป็น ภาษาอังกฤษ เปน็ ตน้ 4. สารานุกรม
31 เปน็ หนังสือท่ีพมิ พ์ขนึ้ เพือ่ อธิบายหัวขอ้ หรอื ขอ้ ความต่างๆ ตามลาดบั ของตวั อักษร เพ่ือให้ผู้อ่านสามารถ ค้นควา้ เพ่ือความรู้และการอ้างองิ โดยมรี ปู ภาพ แผนภูมิ ฯลฯ ประกอบคาอธิบายให้ชัดเจนยิ่งขนึ้ 5. หนังสอื ภาพและภาพชุดต่างๆ เปน็ หนังสอื ท่ีประกอบด้วยภาพต่างๆ ทีเ่ ปน็ เรือ่ งเดียวกันตลอดท้ังเล่ม สว่ นใหญ่จะเปน็ หนังสอื ภาพที่พิมพ์ สอดสสี วยงาม เหมาะแก่การเก็บไวศ้ ึกษาหรือเป็นทร่ี ะลกึ เชน่ หนงั สือภาพชดุ พระทนี่ ่ังวิมานเมฆ หรือหนังสือภาพ ชุดทศั นียภาพของประเทศตา่ งๆ เปน็ ตน้ 6. วิทยานิพนธ์และรายงานการวิจัย เปน็ สงิ่ พิมพท์ ี่พิมพอ์ อกมาจานวนไมม่ ากนักเพอื่ เผยแพรไ่ ปยงั ห้องสมดุ สถาบนั การศึกษาต่างๆ หรือ หนว่ ยงานท่ีเกยี่ วข้องกบั งานวจิ ัยน้ัน เพอื่ ให้ผสู้ นใจใชเ้ ป็นเอกสารค้นคว้าข้อมูลหรือใชใ้ นการอา้ งอิง 7. สง่ิ พิมพย์ อ่ ส่วน (Microforms) หนงั สือทเี่ ก่าหรือชารดุ หรือหนังสือพิมพท์ ่ีมอี ยู่เป็นจานวนมากย่อมไมเ่ ป็นทสี่ ะดวกในการเกบ็ รักษาไว้ จึง จำเป็นต้องหาวธิ ีเก็บส่งิ พมิ พ์เหลา่ น้ีไวโ้ ดยอาศยั ลักษณะการย่อส่วนลงให้เหลือเล็กที่สุดเทา่ ทจี่ ะทาได้ เพื่อประหยดั เนอ้ื ท่ีในการเกบ็ รักษาและสามารถที่จะนำมาใช้ไดส้ ะดวก จงึ มีวธิ ีการต่างๆ โดยอาศยั เน้ือที่ในการเก็บรักษาและ สามารถท่จี ะนามาใช้ไดส้ ะดวก จงึ มีวิธีการตา่ งๆ โดยอาศยั เทคโนโลยใี นการทาส่ิงพมิ พย์ อ่ สว่ น ได้แก่ ก. ไมโครฟลิ ม์ (Microfilm) เป็นการถา่ ยหนังสือแต่ละหน้าลงบนมว้ นฟิล์มท่ีมีความกว้างขนาด 16 หรอื 35 มิลลิเมตร โดยฟิล์ม 1 เฟรมจะ บรรจหุ น้าหนงั สอื ได้ 1-2 หน้าเรียงตดิ ตอ่ กันไป หนงั สือเล่มหนงึ่ จะสามารถบันทึกลงบนไมโครฟิลม์ โดยใช้ความยาว ของฟลิ ์มเพียง 2-3 ฟุต ตามปกติจะใช้ฟิล์ม 1 ม้วนต่อหนังสือ 1 เลม่ และบรรจุม้วนฟลิ ม์ ลงในกล่องเล็กๆ กล่องละ มว้ นเม่อื จะใช้อา่ นก็ใส่ฟิล์มเข้าในเครื่องอ่านทีม่ จี อภาพหรือจะอดั สาเนาหน้าใดก็ได้เช่นกัน ข. ไมโครฟชิ (Microfiche) เป็นแผน่ ฟลิ ์มแข็งขนาด 4 x 6 น้ิว สามารถบนั ทกึ ข้อความจากหนังสอื โดยยอ่ เป็นกรอบเลก็ ๆ หลายๆ กรอบ แผ่นฟิลม์ นจี้ ะมเี นอื้ ท่มี ากพอที่จะบรรจุหนา้ หนงั สอื ท่ยี ่อขนาดแล้วไดห้ ลายรอ้ ยหน้า ตัวอักษรทยี่ ่อจะมีสีขาวบนพ้นื หน้าหนังสอื สดี า สามารถอ่านไดโ้ ดยวางแผ่นฟลิ ์มลงบนเคร่ืองฉายท่ีขยายภาพใหไ้ ปปรากฏบนจอภาพสาหรับอา่ น และจะอ่านหน้าใดกไ็ ดเ้ ลือ่ นภาพไปมา และยังสามารถนาไปพิมพบ์ นกระดาษและอัดสาเนาไดด้ ว้ ย ส่ือสิ่งพิมพเ์ พื่อเผยแพร่ข่าวสาร – หนังสือพมิ พ์ (Newspapers) เปน็ สือ่ สงิ่ พมิ พ์ท่ีผลติ ขึน้ โดยนาเสนอเรื่องราว ขา่ วสารภาพและความ คดิ เหน็ ในลกั ษณะของแผ่นพิมพ์ แผน่ ใหญ่ ท่ีใชว้ ธิ ีการพับรวมกนั ซ่ึงสือ่ สิ่งพิมพ์ชนิดน้ี ได้พมิ พอ์ อกเผยแพร่ท้ัง ลกั ษณะ หนงั สือพมิ พร์ ายวัน, รายสัปดาห์ และรายเดือน
32 – วารสาร, นติ ยสาร เป็นส่ือสงิ่ พิมพท์ ี่ผลติ ข้นึ โดยนาเสนอสาระ ข่าว ความบันเทิง ทีม่ รี ูปแบบการนาเสนอ ทโ่ี ดดเดน่ สะดดุ ตา และสร้างความสนใจใหก้ บั ผู้อ่าน ทั้งน้ีการผลิตนั้น มกี าร กาหนดระยะเวลาการออกเผยแพร่ที่ แน่นอน ทั้งลักษณะวารสาร, นิตยสารรายปกั ษ์ (15 วัน) และ รายเดือน – จลุ สาร เปน็ สื่อสิง่ พมิ พ์ทผ่ี ลติ ขนึ้ แบบไมม่ ุง่ หวังผลกาไร เป็นแบบใหเ้ ปลา่ โดยใหผ้ ้อู า่ นได้ศกึ ษาหาความรู้ มกี าหนดการออกเผยแพร่เป็นครง้ั ๆ หรอื ลาดบั ตา่ ง ๆ ในวาระพเิ ศษ แสดงเน้ือหาเปน็ ข้อความท่ผี ู้อ่าน อ่านแลว้ เข้าใจง่าย สิง่ พมิ พ์อเิ ลก็ ทรอนิกส์ เปน็ สื่อส่ิงพิมพ์ท่ผี ลิตข้ึนเพ่ือใช้งานในคอมพิวเตอร์ หรอื ระบบเครือขา่ ยอินเตอร์เน็ต ไดแ้ ก่ Document Formats, E-book for Palm/PDA เป็นต้น บทบาทของสอ่ื ส่งิ พิมพ์เพ่ือการศกึ ษา บทบาทของส่ือสงิ่ พิมพ์ในสถานศึกษา สื่อส่ิงพิมพ์ถกู นาไปใช้ในสถานศกึ ษาโดยทวั่ ไป ซง่ึ ทาใหผ้ ู้เรยี น ผู้สอนเขา้ ใจในเน้ือหามากขึ้น เชน่ หนังสอื ตารา แบบเรยี น แบบฝกึ หดั สามารถพฒั นาไดเ้ ป็นเนอ้ื หาในระบบ เครอื ข่ายอินเตอรเ์ น็ตได้ แนวทางการประยกุ ต์ใชส้ อ่ื สิ่งพมิ พเ์ พ่ือการเรียนการสอน หรอื การศึกษา การใชส้ งิ่ พิมพเ์ พ่อื การศึกษาในการเรียน การสอนนั้นจำแนกได้เป็น 3 วิธี คอื 1. ใช้เป็นแหล่งขอ้ มลู เกีย่ วกบั วชิ าที่เรยี น 2. ใชเ้ ป็นวัสดุการเรียนร่วมกบั ส่ืออน่ื ๆ 3. ใช้เปน็ ส่ือเสริมในการเรยี นรแู้ ละเพิ่มพนู ประสบการณ์ .จากวธิ กี ารใช้ส่ิงพิมพ์ทัง้ 3 วิธีนน้ั ผ้สู อนสามารถนาส่ิงพิมพท์ ง้ั ที่เปน็ สง่ิ พิมพ์ทว่ั ไป หรอื ส่ิงพิมพ์เพ่ือการศกึ ษา โดยเฉพาะมาใช้ในการเรียนการสอนกไ็ ด้ ทง้ั นี้โดยพจิ ารณาตามลกั ษณะของสิง่ พิมพแ์ ละลกั ษณะของการใช้ ดงั น้ี 1. ส่ิงพมิ พ์ท่เี ขยี นขนึ้ ในลกั ษณะของหนงั สือตารา ใชเ้ พือ่ การศึกษาในระบบโรงเรยี นตามหลักสตู ร 2. สิ่งพมิ พท์ ่เี ขียนขนึ้ ในลักษณะบทเรียนสาเร็จรูปเพื่องา่ ยต่อการศึกษาดว้ ยตนเอง เหมาะสาหรับใช้ใน การศกึ ษาทางไกลรว่ มกับสอ่ื อ่ืนๆ เชน่ โทรทศั น์ เทปเสียงสรปุ บทเรยี น และการสอนเสริม เป็นต้น 3. สง่ิ พิมพ์เสริมการเรียนการสอน เชน่ แบบฝึกปฏบิ ัติ คู่มือเรียน ฯลฯ อาจใช้ร่วมกบั สอื่ บุคคลหรือ ส่ือมวลชนประเภทอื่นๆ ได้ 4. สิง่ พิมพ์ทว่ั ๆ ไป เช่น นิตยสาร หนงั สือพมิ พ์ ฯลฯ ท่มี ีคอลัมน์หรอื บทความท่ใี หป้ ระโยชน์ ผู้สอนอาจแนะ นาใหผ้ ู้เรียนอ่านเพ่ือเพมิ่ พูนความรู้หรอื เพ่ือนามาใชอ้ า้ งอิงประกอบการค้นคว้า • ส่ิงพิมพ์ประเภทภาพชุด เป็นการใหค้ วามรู้ทางรูปธรรมเพ่ือใชใ้ นการเสริมสรา้ งประสบการณ์ ทาใหผ้ ู้เรียน เขา้ ใจเหตกุ ารณเ์ รื่องราวหรอื สิ่งทเี่ ป็นนามธรรมไดช้ ัดเจนข้ึน เช่น ภาพชุดชวี ติ สัตว์ หรือภาพชุดพระราช พิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นต้น (สานกั การศกึ ษา กรุงเทพมหานคร, 9 กันยายน 2553)
33 ประโยชนแ์ ละคณุ คา่ ของสื่อส่งิ พิมพ์เพอ่ื การศึกษา 1. สอ่ื ส่ิงพมิ พส์ ามารถเก็บไว้ไดน้ าน สามารถนามาอา่ นซ้าแล้วซ้าอีกได้ 2. สื่อสง่ิ พมิ พเ์ ปน็ สอ่ื ที่มีราคาถูกเม่ือเทียบกบั สอ่ื อ่นื ๆ 3. สอ่ื ส่ิงพมิ พเ์ ปน็ ส่ือทใี่ ชง้ ่าย ไมย่ ่งุ ยาก 4. สื่อสิง่ พมิ พเ์ ป็นสื่อท่ีจัดทาไดง้ า่ ย โดยครูผูส้ อนสามารถทาไดเ้ องได้ มีวิธีทาทไ่ี มย่ ุ่งยากซับซอ้ น เช่น ใบ งาน ใบความรู้ เปน็ ต้น ข้อดีและข้อจากดั ของสื่อส่ิงพิมพเ์ พ่ือการศกึ ษา ข้อดี 1. สามารถอ่านซ้า ทบทวน หรืออ้างอิงได้ 2. เป็นการเรียนรู้ที่ดสี าหรบั ผู้ที่สนใจ 3. เปน็ การกระตุ้นใหค้ นไทยรักการอ่าน ข้อจำกัด 1. ผ้มู ีปญั หาทางสายตา หรอื ผสู้ ูงอายอุ ่านไม่สะดวกในการใช้ 2. ข้อมลู ไม่สามารถปรับปรงุ แก้ไขไดท้ นั ท่วงทีได้ 3. ผู้ไมร่ ูห้ นังสือ ไม่สามารถเข้าถงึ ได้ ความหมายของสื่อออนไลน์ ความหมายของสื่อสังคมออนไลน์ ส่ือสงั คมออนไลน์ หมายถึง สอื่ ดิจิทัลท่ีเปน็ เคร่ืองมือในการปฏิบัติการทางสังคม(Social Tool) เพื่อใช้ สอ่ื สารระหวา่ งกนั ในเครือขา่ ยทางสงั คม (Social Network) ผ่านทางเว็บไซต์และโปรแกรมประยุกต์บนสื่อใดๆ ที่มี การเช่อื มต่อกับอินเทอร์เน็ต โดยเนน้ ใหผ้ ู้ใช้ทง้ั ที่เปน็ ผู้สง่ สารและผรู้ บั สารมีสว่ นรว่ ม (Collaborative) อย่าง สร้างสรรค์ ในการผลติ เน้อื หาขึ้นเอง (User-GenerateContent:UGC) ในรปู ของข้อมูลภาพและเสียง
34 สำหรับในยุคนี้ เราคงจะหลกี เล่ียงหรอื หนีคำว่า Social Media ไปไม่ได้ เพราะไมว่ า่ จะไปท่ไี หน ก็จะพบ เห็นมันอยูต่ ลอดเวลา ซึ่งหลายๆ คนก็อาจจะยงั สงสยั ว่า “Social Media” มันคืออะไรกันแน่ วันน้ีเราจะมารู้จกั ความหมายของมนั กนั ครบั คำวา่ “Social” หมายถงึ สงั คม ซง่ึ ในท่ีนี้จะหมายถึงสังคมออนไลน์ ซึง่ มขี นาดใหม่มากในปัจจุบัน คำวา่ “Media” หมายถึง สื่อ ซึง่ ก็คอื เนื้อหา เร่อื งราว บทความ วดี โี อ เพลง รูปภาพ เป็นต้น ดังน้นั คำวา่ Social Media จงึ หมายถงึ ส่ือสังคมออนไลนท์ ่มี ีการตอบสนองทางสงั คมไดห้ ลายทิศทาง โดยผ่านเครอื ขา่ ยอนิ เตอร์เนต็ พดู ง่ายๆ ก็คอื เว็บไซตท์ ่ีบุคคลบนโลกนสี้ ามารถมปี ฏสิ มั พนั ธโ์ ้ต้ตอบกนั ไดน้ ั่นเอง พน้ื ฐานการเกดิ Social Media กม็ าจากความต้องการของมนุษย์หรือคนเราทต่ี ้องการติดตอ่ สื่อสารหรือมี ปฏิสัมพันธ์กัน จากเดิมเรามีเวบ็ ในยคุ 1.0 ซ่งึ ก็คือเวบ็ ทแ่ี สดงเนอื้ หาอยา่ งเดยี ว บุคคลแตล่ ะคนไม่สามารถติดต่อ หรือโตต้ อบกนั ได้ แต่เมอื่ เทคโนโลยีเว็บพฒั นาเข้าสู่ยุค 2.0 ก็มีการพัฒนาเวบ็ ไซตท์ ่ีเรยี กว่า web application ซง่ึ ก็คือเว็บไซตม์ ีแอพลเิ คชนั หรอื โปรแกรมตา่ งๆ ที่มาและความสำคญั สอ่ื สังคมออนไลนก์ ลบั ส่งอทิ ธิพลลบต่อชีวิตประจำวนั และความสัมพนั ธข์ องคนในสังคมอย่างชดั เจนมาก ยิง่ ข้นึ จนกลายเปน็ ประเด็นทางสงั คม ทท่ี ้ังสื่อ บทกฎหมาย และประชาชนเองจะต้องให้ความสำคญั ในการป้องกัน และแก้ไขปัญหาเหลา่ น้ี ส่อื สงั คมออนไลน์ใชส้ อ่ื สารระหว่างกนั ในเครือข่ายทางสังคม ผ่านทางเว็บไซต์และโปรแกรมประยุกตบ์ น สอื่ ใดๆ ท่มี ีการเชอ่ื มต่อกับอินเทอร์เน็ต โดยเน้นให้ผ้ใู ช้ท้งั ท่ีเปน็ ผสู้ ง่ สารและผ้รู ับสารมสี ว่ นร่วม อย่างสร้างสรรค์ ในการผลิตเนอ้ื หาข้ึน ในรูปของข้อมูล ภาพ และเสียง ทง้ั น้ีการใชส้ ่ือออนไลนต์ ่างๆ กต็ อ้ งอยู่ในขอบเขตในความพอประมาณ เล่นในประมาณที่พอเหมาะเพื่อ เป็นผลดตี อ่ สายตาและร่างกาย ประเภทส่ือสังคมออนไลน์ ประเภทของสือ่ สงั คมออนไลน์ มีด้วยกนั หลายชนิด ขึ้นอยู่กับลักษณะของการนำมาใชโ้ ดยสามารถแบ่งเปน็ กลุ่ม หลกั ดังนี้ 1. Weblogs หรือเรียกสั้นๆ วา่ Blogs คอื ส่อื สว่ นบคุ คลบนอนิ เทอร์เน็ตท่ีใช้เผยแพรข่ ้อมูล ขา่ วสาร ความรู้ ขอ้ คิดเห็น บันทกึ ส่วนตวั โดยสามารถแบ่งปนั ให้บุคคลอืน่ ๆ โดยผู้รบั สารสามารถเข้าไปอ่าน หรอื แสดงความ คิดเห็นเพ่ิมเตมิ ได้ ซงึ่ การแสดงเนอื้ หาของบล็อกน้นั จะเรยี งลำดบั จากเน้อื หาใหม่ไปสูเ่ นื้อหาเก่า ผู้เขียนและผู้อา่ น สามารถค้นหาเน้ือหาย้อนหลังเพอ่ื อ่านและแกไ้ ขเพิ่มเติมได้ตลอดเวลา เชน่ Exteen,Bloggang,Wordpress,Blogger,Okanation 2. Social Networking หรือเครือขา่ ยทางสังคมในอินเทอร์เน็ต ซง่ึ เปน็ เครือข่ายทางสังคมท่ีใชส้ ำหรับเชื่อมต่อ ระหวา่ งบุคคล กลุ่มบุคคล เพ่ือใหเ้ กดิ เปน็ กลุ่มสังคม(Social Community) เพ่อื รว่ มกันแลกเปล่ียนและแบ่งปัน ข้อมลู ระหว่างกันทั้งด้านธุรกจิ การเมอื ง การศึกษา เชน่ Facebook, Hi5,
35 Ning,Linkedin,MySpace,Youmeo,Friendste 3. Micro Blogging และ Micro Sharing หรอื ทเี่ รยี กกันวา่ “บลอ็ กจวิ๋ ” ซ่งึ เปน็ เวบ็ เซอร์วิสหรอื เว็บไซต์ท่ี ใหบ้ ริการแก่บคุ คลทว่ั ไปสำหรบั ให้ผู้ใช้บริการเขียนข้อความสนั้ ๆ ประมาณ 140 ตวั อักษรที่ เรยี กว่า “Status” หรือ “Notice” เพือ่ แสดงสถานะของตัวเองว่ากำลงั ทำอะไรอยหู่ รือแจง้ ข่าวสารต่างๆแก่กลุ่ม เพอ่ื นในสังคมออนไลน์ (OnlineSocialNetwork) (Wikipedia,2010) ท้ังนีก้ ารกำหนดให้ใช้ขอ้ มูลในรปู ข้อความ สน้ั ๆ ก็เพ่ือใหผ้ ใู้ ช้ที่เป็นท้ังผ้เู ขียนและผอู้ ่านเขา้ ใจง่าย ทน่ี ิยมใช้กันอยา่ งแพร่หลายคือ Twitter 4. Online Video เป็นเวบ็ ไซตท์ ี่ให้บรกิ ารวิดีโอออนไลนโ์ ดยไม่เสียค่าใชจ้ า่ ย ซ่งึ ปจั จบุ ันได้รับความนยิ มอย่าง แพร่หลายและขยายตัวอย่างรวดเร็วเนื่องจากเน้ือหาทน่ี ำเสนอในวดิ โี อออนไลน์ไม่ถูกจำกัดโดยผงั รายการที่ แนน่ อนและตายตัวทำใหผ้ ู้ใช้บริการสามารถติดตามชมได้อยา่ งตอ่ เน่ืองเพราะไม่มโี ฆษณาคั่น รวมท้งั ผู้ใชส้ ามารถ เลอื กชมเนื้อหาได้ตามความต้องการและยงั สามารถเชือ่ มโยงไปยงั เว็บวิดีโออน่ื ๆ ที่เก่ียวข้องไดจ้ ำนวนมากอกี ด้วย เช่น Youtube, MSN, Yahoo 5. Poto Sharing เป็นเวบ็ ไซตท์ ี่เน้นให้บริการฝากรปู ภาพโดยผู้ใช้บรกิ ารสามารถอัพโหลดและดาวนโ์ หลด รูปภาพเพื่อนำมาใชง้ านได้ ที่สำคญั นอกเหนือจากผ้ใู ชบ้ ริการจะมโี อกาสแบ่งปนั รปู ภาพแล้ว ยงั สามารถใช้เป็น พ้นื ทีเ่ พอ่ื เสนอขายภาพทตี่ นเองนำเข้าไปฝากได้อกี ดว้ ย เช่น Flickr, Photobucket, Photoshop,Express, Zooom 6. Wikis เป็นเวบ็ ไซต์ทมี่ ีลักษณะเปน็ แหลง่ ข้อมูลหรือความรู้ (Data/Knowledge)ซึง่ ผูเ้ ขยี นสว่ นใหญอ่ าจจะ เปน็ นกั วชิ าการ นักวชิ าชีพหรือผู้เชีย่ วชาญเฉพาะทางดา้ นต่างๆ ทงั้ การเมือง เศรษฐกจิ สังคม วัฒนธรรม ซ่งึ ผู้ใช้ สามารถเขียนหรือแก้ไขข้อมลู ไดอ้ ย่างอิสระ เช่น Wikipedia, Google Earth,diggZy Favorites Online 7. Virtual Worlds คือการสรา้ งโลกจนิ ตนาการโดยจำลองสว่ นหนึ่งของชวี ิตลงไป จดั เป็นสื่อสงั คมออนไลน์ท่ี บรรดาผทู้ อ่ งโลกไซเบอรใ์ ชเ้ พ่ือสอื่ สารระหว่างกนั บนอินเทอรเ์ นต็ ในลักษณะโลกเสมอื นจริง (Virtual Reality) ซ่งึ ผู้ ท่ีจะเขา้ ไปใชบ้ ริการอาจจะบริษทั หรือองค์การด้านธุรกจิ ด้านการศึกษา รวมถงึ องคก์ ารด้านสื่อ เช่น สำนักข่าว รอยเตอร์ สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ต้องเสยี คา่ ใช้จ่ายในการซื้อพน้ื ที่เพ่อื ใหบ้ ุคคลในบริษทั หรือองค์กรไดม้ ีช่องทางใน การนำเสนอเร่ืองราวตา่ งๆ ไปยงั กลุ่มเครือข่ายผใู้ ช้สื่อออนไลน์ ซง่ึ อาจจะเป็นกลมุ่ ลูกค้าท้งั หลกั และรองหรือ ผู้ท่ี เก่ียวขอ้ งกบั ธุรกจิ ของบริษัท หรอื องค์การก็ได้ ปจั จุบันเวบ็ ไซต์ทใี่ ชห้ ลัก Virtual Worlds ท่ีประสบผลสำเร็จและ มีชอื่ เสยี ง คือSecond life 8. Crowd Sourcing มาจากการรวมของคำสองคำคือ Crowd และ Outsourcing เปน็ หลักการขอความ ร่วมมือจากบุคคลในเครือขา่ ยสังคมออนไลน์ โดยสามารถจัดทำในรูปของเว็บไซต์ทม่ี วี ตั ถุประสงคห์ ลักเพ่อื คน้ หา คำตอบและวิธกี ารแก้ปัญหาต่างๆทง้ั ทางธุรกจิ การศึกษา รวมทง้ั การสื่อสาร โดยอาจจะเป็นการดึงความรว่ มมือ จากเครือข่ายทางสังคมมาช่วยตรวจสอบข้อมูลเสนอความคดิ เห็นหรอื ให้ขอ้ เสนอแนะ กลมุ่ คนทเ่ี ขา้ มาใหข้ ้อมูล อาจจะเปน็ ประชาชนทัว่ ไปหรือผู้มคี วามเช่ียวชาญเฉพาะด้านทอ่ี ยูใ่ นภาคธุรกิจหรือแมแ้ ต่ในสังคมนักขา่ ว ข้อดขี อง การใช้หลัก Crowd souring คอื ทำใหเ้ กิดความหลากหลายทางความคิดเพ่ือนำ ไปสู่การแกป้ ัญหาทมี่ ี
36 ประสิทธภิ าพ ตลอดจนช่วยตรวจสอบหรือคัดกรองข้อมูลซึ่งเป็นปญั หาสาธารณะร่วมกันได้ เช่น Idea storm, Mystarbucks Idea 9. Podcasting หรอื Podcast มาจากการรวมตวั ของสองคำ คือ “Pod” กบั “Broadcasting” ซ่ึง “POD” หรอื PersonalOn - Demand คือ อุปสงค์หรือความต้องการสว่ นบุคคล ส่วน “Broadcasting” เป็นการนำส่อื ตา่ งๆ มารวมกันในรปู ของภาพและเสยี ง หรอื อาจกล่าวงา่ ยๆ Podcast คือ การ บนั ทกึ ภาพและเสยี งแล้วนำมาไว้ในเว็บเพจ (Web Page) เพ่อื เผยแพรใ่ หบ้ ุคคลภายนอก (The public in general) ท่สี นใจดาวน์โหลดเพ่ือนำไปใชง้ าน เช่น Dual Geek Podcast, Wiggly Podcast 10. Discuss / Review/ Opinion เป็นเว็บบอรด์ ที่ผใู้ ช้อนิ เทอร์เน็ตสามารถแสดงความคิดเห็น โดยอาจจะ เกย่ี วกับ สินค้าหรอื บริการ ประเดน็ สาธารณะทางการเมือง เศรษฐกจิ สังคม เช่น Epinions, Moutshut, Yahoo!Answer, Pantip,Yelp ประโยชนข์ อง Social networks เครอื ข่ายสังคมออนไลน์ 1. สามารถแลกเปลย่ี นขอ้ มลู ความรู้ในสิ่งท่สี นใจรว่ มกนั ได้ 2. เปน็ คลงั ขอ้ มลู ความร้ขู นาดยอ่ มเพราะเราสามารถเสนอและแสดงความคิดเหน็ แลกเปล่ียนความรู้ หรือตั้ง คาถามในเร่ืองต่างๆ เพ่อื ให้บุคคลอ่ืนทสี่ นใจหรือมีคาตอบได้ชว่ ยกันตอบ 3. ประหยัดคา่ ใชจ้ า่ ยในการตดิ ต่อสอ่ื สารกับคนอืน่ สะดวกและรวดเรว็ 4. เปน็ สอ่ื ในการนำเสนอผลงานของตวั เอง เช่น งานเขียน รปู ภาพ วีดโิ อต่างๆ เพื่อให้ผู้อื่นไดเ้ ขา้ มารบั ชมและ แสดงความคิดเหน็ 5. ใชเ้ ปน็ สื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรอื บรกิ ารลกู ค้าสาหรับบริษัทและองค์กรต่างๆ ช่วยสรา้ งความ เชือ่ มั่นให้ลกู ค้า 6. ชว่ ยสร้างผลงานและรายไดใ้ หแ้ ก่ผใู้ ช้งาน เกิดการจ้างงานแบบใหม่ๆ ขึ้น 7. คลายเครยี ดได้สำหรบั ผูใ้ ช้ที่ตอ้ งการหาเพ่ือนคยุ เล่นสนุกๆ 8. สรา้ งความสัมพันธ์ทดี่ จี ากเพ่ือนสเู่ พ่ือนได้
37 บทท่ี 3 วธิ กี ารดำเนนิ งานตามโครงการ 1. วิธีการดำเนนิ งาน ขั้นเตรียมการ เพื่อจัดประชมุ ครูและบุคลากรทางการศึกษา - ชีแ้ จงทำความเขา้ ใจรายละเอียดโครงการ - ชี้แจงแนวทางในการดำเนินโครงการ - จัดทำโครงการและแผนการดำเนินการเพอ่ื อนุมตั ิ - แตง่ ต้งั กรรมการดำเนนิ งานตามโครงการ 1. คณะกรรมการอำนวยการ มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและอำนวยความสะดวกในการดำเนินงานฝ่าย ต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความเรยี บร้อย ประกอบด้วย 1.1 นายสมประสงค์ นอ้ ยจนั ทร์ ผู้อำนวยการ กศน.อำเภอชนแดน ประธานกรรมการ 1.2 นายเกรียงฤทธิ์ เดตะอุด ครู กรรมการ 1.3 นางสมบัติ มาเนตร์ ครอู าสาสมัครฯ กรรมการ 1.4 นางสาวลาวณั ย์ สทิ ธกิ รวยแกว้ ครอู าสาสมัครฯ กรรมการ 1.5 นางวารี ชบู ัว บรรณารักษ์ชำนาญการ กรรมการและเลขานุการ 2. ฝา่ ยติดต่อประสานงาน มีหนา้ ที่ ตดิ ต่อประสานงานสถานท่ีจัดการจัดกิจกรรม ประกอบดว้ ย 2.1 นางวารี ชบู วั บรรณารักษ์ชำนาญการ 2.2 นางสาวมุจลนิ ท์ ภูยาธร ครู กศน. ตำบล 2.3 นางลาวิน สเี หลือง ครู กศน. ตำบล 2.4 นางสาวนภารตั น์ สีสะอาด ครู กศน. ตำบล 2.5 นางสาวลดาวรรณ์ สุทธิพนั ธ์ ครู กศน. ตำบล 2.6 นางผกาพรรณ มะหทิ ธิ ครู กศน. ตำบล 2.7 นางสาวพัชราภรณ์ นรศิ ชาติ ครู กศน. ตำบล 2.8 นางสุรตั น์ จนั ทะไพร ครู กศน. ตำบล 2.9 นายเกรียงไกร ใหม่เทวนิ ทร์ ครู กศน. ตำบล 2.10 นางสาวณฐั ชา ทาแนน่ ครู กศน. ตำบล 2.11 นางสาวอษุ า ย่ิงสกุ ครู ศรช.
38 3. ฝ่ายการเงินและพัสดุ มีหน้าที่ จัดซื้อพัสดุและยืมเงินสำรองจ่ายตามโครงการ และจัดทำเอกสาร เบิกจา่ ยพสั ดุ และการเงินตามโครงการใหถ้ กู ตอ้ งเรยี บร้อยและทันต่อเวลาประกอบดว้ ย 3.1 นางวารี ชบู วั บรรณารกั ษ์ชำนาญการ 3.2 นางสมบัติ มาเนตร์ ครอู าสาสมัครฯ 3.3 นายศวิ ณัชญ์ อัศวสัมฤทธ์ิ ครู ศรช. 4. ฝ่ายประชาสัมพนั ธ์ มหี นา้ ที่ ส่งข่าวประชาสัมพนั ธ์ ทางออนไลน์ Facebook Line ประกอบด้วย 4.1 นางวารี ชบู ัว บรรณารกั ษ์ชำนาญการ 4.2 นางสาวมจุ ลนิ ท์ ภยู าธร ครู กศน. ตำบล 4.3 นางลาวนิ สีเหลือง ครู กศน. ตำบล 4.4 นางสาวนภารัตน์ สสี ะอาด ครู กศน. ตำบล 4.5 นางสาวลดาวรรณ์ สทุ ธิพนั ธ์ ครู กศน. ตำบล 4.6 นางผกาพรรณ มะหทิ ธิ ครู กศน. ตำบล 4.7 นางสาวพชั ราภรณ์ นริศชาติ ครู กศน. ตำบล 4.8 นางสุรัตน์ จนั ทะไพร ครู กศน. ตำบล 4.9 นายเกรียงไกร ใหม่เทวินทร์ ครู กศน. ตำบล 4.10 นางสาวณัฐชา ทาแน่น ครู กศน. ตำบล 4.11 นางสาวอษุ า ยิ่งสุก ครู ศรช. 4.12 นางสาวเยาวดี โสดา นกั จดั การงานท่ัวไป 5. ฝา่ ยจดั กจิ กรรม มหี นา้ ที่จดั กจิ กรรมสง่ เสริมการอ่านและการเรียนรู้ วทิ ยากรการจดั กระบวนการเรียนรู้ จัดเตรียมใบความรู้ ใบงาน กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ ส่งเสริมการอ่านจากหนังสือ และสื่อออนไลน์ สื่อการ เรียนการสอน เกม และกจิ กรรมนนั ทนาการ ดังน้ี 5.1 นางวารี ชูบัว บรรณารกั ษช์ ำนาญการ 5.2 นางสมบัติ มาเนตร์ ครูอาสาสมัครฯ 5.3 นางสาวลาวณั ย์ สิทธกิ รวยแกว้ ครอู าสาสมัครฯ 5.4 นางสาวมจุ ลินท์ ภูยาธร ครู กศน. ตำบล 5.5 นางลาวนิ สีเหลอื ง ครู กศน. ตำบล 5.6 นางสาวนภารตั น์ สีสะอาด ครู กศน. ตำบล 5.7 นางสาวลดาวรรณ์ สทุ ธพิ ันธ์ ครู กศน. ตำบล 5.8 นางผกาพรรณ มะหิทธิ ครู กศน. ตำบล 5.9 นางสาวพัชราภรณ์ นริศชาติ ครู กศน. ตำบล
39 5.10 นางสุรัตน์ จนั ทะไพร ครู กศน. ตำบล 5.11 นายเกรียงไกร ใหม่เทวนิ ทร์ ครู กศน. ตำบล 5.12 นางสาวณฐั ชา ทาแน่น ครู กศน. ตำบล 5.13 นายศวิ ณัชญ์ อัศวสัมฤทธ์ิ ครู ศรช. 5.14 นางสาวกญั ญาณัฐ จนั ปญั ญา ครู ศรช. 5.15 นายปัณณวัฒน์ สุขมา ครู ศรช. 5.16 นางสาวอุษา ย่ิงสุก ครู ศรช. 5.17 นางสาววรางคณา นอ้ ยจันทร์ ครู ศรช. 5.18 นางสาวเยาวดี โสดา นักจัดการงานทว่ั ไป 6. ฝ่ายรบั ลงลงทะเบยี น ใหก้ รรมการมหี นา้ ทจี่ ัดเตรยี มเอกสารสำหรบั การลงทะเบยี น และรบั ลงทะเบยี น ผ้เู ข้ารว่ มโครงการ ดังนี้ 6.1 นางสาวอษุ า ยิ่งสุก ครู ศรช. 6.2 นางสาวกัญญาณัฐ จนั ปญั ญา ครู ศรช. 7. ฝ่ายวัดผลและประเมินผลโครงการ มีหน้าที่แจกแบบสอบถามความพึงพอใจและเก็บรวบรวม แบบสอบถามความพงึ พอใจ ประเมนิ ผลการดำเนินงาน ประเมินความพึงพอใจ ปญั หา อุปสรรค และขอ้ เสนอแนะ และจดั ทำรายงานผลการดำเนินงานหลังเสรจ็ สิน้ โครงการ ดังน้ี 7.1 นางวารี ชูบัว บรรณารักษ์ชำนาญการ 7.2 นางสาวอุษา ยง่ิ สุก ครู ศรช. 7.3 นางสาวกัญญาณัฐ จนั ปัญญา ครู ศรช.
2. ข้ันดำเนนิ การ กจิ กรรมหลกั วตั ถปุ ระสงค์ ก 1. ข้ันเตรียมการ กลมุ่ เปา้ หมาย 2. ประชมุ กรรมการ เพอื่ จัดประชมุ ครูและบคุ ลากรทางการ ครูและบคุ ลากร ช ดำเนินงาน 3. จัดเตรียมเอกสาร ศึกษา กศน. อำเภอชนแดน ว วัสดุ อปุ กรณ์ในการ ดำเนนิ โครงการ - ชแ้ี จงทำความเข้าใจรายละเอียด จำนวน 21 คน โครงการ - ชแี้ จงแนวทางในการดำเนินโครงการ - จดั ทำโครงการและแผนการดำเนินการ เพ่ืออนมุ ัติ - แต่งตัง้ กรรมการดำเนินงานตาม โครงการ เพื่อประชมุ ทำความเข้าใจกบั กรรมการ ครแู ละบคุ ลากร ช ดำเนนิ งานทุกฝ่ายในการจดั กิจกรรม กศน. อำเภอชนแดน โครงการและการดำเนนิ งาน จำนวน 21 คน เพือ่ ดำเนนิ การจัดทำ จดั ซอื้ วัสดอุ ปุ กรณ์ กรรมการฝ่ายท่ีได้รบั ทใ่ี ช้ในการดำเนินการ มอบหมาย
40 กลุ่มเป้าหมาย พืน้ ทดี่ ำเนินการ ระยะเวลา งบประมาณ เป้าหมาย (เชงิ คณุ ภาพ) กศน. อำเภอ เม.ย.65 - ชแี้ จงทำความเข้าใจ รายละเอียดและ ชนแดน วัตถปุ ระสงค์ของการจัดโครงการ ชแ้ี จงวตั ถปุ ระสงค์ บทบาทหนา้ ท่ี กศน. อำเภอ เม.ย.65 - ของกรรมการดำเนนิ งานโครงการ ชนแดน เม.ย.65 - จดั ซ้ือวัสดอุ ปุ กรณ์ในการจดั โครงการ กศน. อำเภอ ชนแดน
กิจกรรมหลัก วัตถุประสงค์ ก ๔. ดำเนินการจัด กลมุ่ เป้าหมาย กจิ กรรม เพอื่ ดำเนนิ การปรบั ปรงุ ภูมิทัศนห์ อ้ งสมุด ให้ 1.หอ้ งสมุดประชาชน ห 5. สรปุ /ประเมนิ ผล และรายงานผล เป็นCo-Learning Space แหล่งเรยี นร้ขู อง อำเภอชนแดน ไ โครงการ คนในชุมชน จำนวน 1 แห่ง เ ๑. กจิ กรรมรักการอ่านผ่านสื่อออนไลน์ 2. นักเรียน นกั ศกึ ษา ข ๒. กจิ กรรมวนั รักการอ่าน และประชาชนทว่ั ไป ช ๓. กจิ กรรมวันสำคัญตา่ งๆ จำนวน 247 คน ต ๔. กจิ กรรมส่งเสรมิ การอ่านและการเรยี นรู้ สำหรบั นักศกึ ษา กศน. เพอ่ื ให้กรรมการฝ่ายประเมินผลเก็บ ตามกระบวนการ ส รวบรวมขอ้ มูลและดำเนนิ การประเมินผล ประเมินโครงการ การจัดกิจกรรม 5 บท จำนวน 3 เลม่
41 กลุ่มเปา้ หมาย พืน้ ทด่ี ำเนนิ การ ระยะเวลา งบประมาณ เปา้ หมาย (เชิงคณุ ภาพ) ห้องสมุดประชาชน เม.ย. ถงึ - ห้องสมุดประชาชนอำเภอชนแดน อำเภอชนแดน ก.ย.65 ได้รับการปรับปรุงภูมิทัศน์ห้องสมุด ให้ เป็นCo-Learning Space แหล่งเรียนรู้ ของคนในชมุ ชน เปน็ แหลง่ เรยี นร้ตู ลอด ชีวิต พร้อมให้บริการแก่กลุ่มเป้าหมาย ตา่ งๆ สรุปรายงานผลการดำเนนิ งาน กศน. อำเภอ ก.ย.65 - ตามระบบ PDCA ชนแดน
42 3. ข้ันสรปุ การจัดกจิ กรรม 1. ดัชนีวัดผลสำเร็จของโครงการ 1.1 ตัวชี้วัดผลผลิต (output) กลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการฯ 80 % มีความพึงพอใจในการเข้าร่วม กจิ กรรม 1.2 ตัวชี้วัดผลลัพธ์ ( outcome ) นักเรียน มีนิสัยรักการอ่านนำไปสู่การเรียนรู้ และพัฒนาคุณภาพชีวิต ให้ดขี น้ึ 2. การติดตามผลประเมนิ ผลโครงการ 2.1 แบบประเมนิ ความพึงพอใจผ้เู ข้ารว่ มกิจกรรม / โครงการ 2.2 สรปุ /รายงานผลการจัดกิจกรรม
Search