Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 17เสริมการอ่าน

17เสริมการอ่าน

Published by waryu06, 2021-08-26 07:52:42

Description: 17เสริมการอ่าน

Search

Read the Text Version

บันทึกขอ้ ความ ส่วนราชการ ศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อำเภอชนแดน ท่ี ศธ ๐๒๑๐.๕๔๐๓/ วนั ท่ี ๒๐ สงิ หาคม ๒๕๖๔ เรือ่ ง สรุปผลการปฏิบัตงิ านโครงการส่งเสริมการเรยี นรู้สำหรบั นักเรยี น นักศกึ ษาและประชาชน กิจกรรม เสริมการอ่าน สร้างการเรียนรู้ กบั หอ้ งสมดุ ประชาชน เรยี น ผอู้ ำนวยการศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั อำเภอชนแดน ตามที่ หอ้ งสมุดประชาชนอำเภอชนแดนได้จัดทำโครงการส่งเสรมิ การเรียนร้สู ำหรบั นกั เรยี นนกั ศกึ ษาและ ประชาชน กิจกรรมเสริมการอ่าน สร้างการเรียนรู้ กับห้องสมุดประชาชน ประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๖๔ เพ่ือ ส่งเสริมให้นกั เรยี น นกั ศึกษา และประชาชนท่วั ไป ไดศ้ กึ ษาค้นคว้าเพิม่ เติมด้วยตนเอง และรู้จกั แหล่งข้อมูล วิธีการ เข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและรวดเร็ว การประชาสัมพันธ์กิจกรรม และสามารถรับบริการต่างๆ ของห้องสมุดประชาชน อำเภอชนแดนได้ ส่งเสริมให้มีนิสัยรักการอ่านนำไปสู่การเรียนรู้ และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น บัดนี้โครงการ ดงั กล่าวได้ดำเนินการเสรจ็ สิ้นเรยี บร้อยแลว้ หอ้ งสมดุ ประชาชนอำเภอชนแดน จงึ ขอสรปุ ผลการปฏบิ ัติงานโครงการดงั กล่าวรายละเอียดตาม เอกสารทแี่ นบมาพร้อมนี้ จงึ เรียนมาเพื่อโปรดทราบ นางวารี ชูบวั บรรณารกั ษ์ชำนาญการ

คำนำ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอชนแดน มอบหมายให้ห้องสมุด ประชาชนอำเภอชนแดน ดำเนินการจดั ทำโครงการสง่ เสริมการเรียนรู้สำหรับนักเรียนนักศกึ ษาและประชาชน กิจกรรมเสริมการอ่าน สร้างการเรียนรู้ กับห้องสมุดประชาชน ประจำเดือนสิงหาคม 2564 เพื่อส่งเสริมให้ นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ได้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมด้วยตนเอง และรู้จักแหล่งข้อมูล วิธีการ เข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและรวดเร็ว การประชาสัมพันธ์กิจกรรม และสามารถรับบริการต่างๆ ของห้องสมุด ประชาชนอำเภอชนแดนได้ ส่งเสริมให้มีนสิ ยั รกั การอา่ นนำไปส่กู ารเรยี นรู้ และพฒั นาคณุ ภาพชีวิตให้ดีข้นึ น้นั ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอชนแดน หวังเป็นอย่างยิ่งว่า สรุปผลการปฏิบัติงานโครงการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย เล่มนี้คงเป็นประโยชน์ในการใช้เป็นคู่มือในการ ดำเนินงานต่อไป หากมีข้อเสนอแนะประการใดโปรดแจ้งคณะผู้จัดทำเพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงใน คร้ังต่อไป ผจู้ ัดทำ สงิ หาคม 2564

สารบญั หนา้ 1-9 บทท่ี 1 บทนำ 10 - 44 บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ัยที่เกย่ี วข้อง 45 - 53 บทที่ 3 วิธดี ำเนินการตามโครงการ 54 - 58 บทที่ 4 ผลการดำเนินการตามโครงการ 59 - 60 บทที่ 5 สรปุ ผลการดำเนินงานตามโครงการ ภาคผนวก รูปภาพ รายช่ือผูเ้ ขา้ รว่ มกจิ กรรม คำสั่ง โครงการ คณะผู้จดั ทำ

1 บทที่ 1 บทนำ 1.ชือ่ โครงการ โครงการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย กจิ กรรมท่ี 2 โครงการสง่ เสริมการเรยี นรสู้ ำหรับนักศกึ ษาและประชาชน กจิ กรรมเสรมิ การอา่ น สรา้ งการเรียนรู้ กบั หอ้ งสมุดประชาชน 2.  สอดคล้องกบั ยทุ ธศาสตร์ชาติ ยทุ ธศาสตรท์ ี่ 3 ดา้ นการพัฒนาและเสริมสรา้ งศักยภาพทรพั ยากรมนุษย์ ยุทธศาสตร์ชาตดิ ้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์มีเปา้ หมายการพัฒนาที่สำคัญเพ่อื พฒั นาคนในทุกมติ ิและในทุกช่วงวัยให้เป็นคนดี เกง่ และมคี ุณภาพ โดยคนไทยมีความพร้อมท้ังกาย ใจ สติปัญญา มี พัฒนาการที่ดีรอบด้านและมีสุขภาวะที่ดีในทุกช่วงวัย มีจิตสาธารณะ รับผิดชอบต่อสังคมและผู้อื่น มัธยัสถ์อดออม โอบอ้อมอารี มวี ินัย รกั ษาศีลธรรม และเปน็ พลเมืองดีของชาติ มหี ลกั คิดท่ีถกู ต้อง มที กั ษะทีจ่ า่ เป็นในศตวรรษที่ 21 มที ักษะส่อื สารภาษาอังกฤษและภาษาที่ 3และอนุรกั ษ์ภาษาท้องถิ่น มนี ิสยั รักการเรยี นรูแ้ ละการพัฒนาตนเองอย่าง ตอ่ เนื่องตลอดชวี ิต สู่การเป็นคนไทยทีม่ ีทกั ษะสูง เป็นนวัตกร นักคดิ ผปู้ ระกอบการ เกษตรกรยุคใหมแ่ ละอ่ืน ๆ โดย มีสมั มาชพี ตามความถนัดของตนเอง ประเด็นที่ 2 การพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต มุ่งเน้นการพัฒนาคนเชิงคุณภาพในทุกช่วงวัย ประกอบด้วย (1) ช่วงการตั้งครรภ์/ปฐมวัย เน้นการเตรียมความพร้อมให้แก่พ่อแม่ก่อนการตั้งครรภ์ (2) ช่วงวัย เรียน/วัยรุ่น ปลูกฝังความเป็นคนดี มีวินัยพัฒนาทักษะการเรียนรู้ที่สอดรับกับศตวรรษที่ 21 (3) ช่วงวัยแรงงาน ยกระดับศักยภาพ ทักษะและสมรรถนะแรงงานสอดคล้องกับความต้องการของตลาด และ (4) ช่วงวัยผู้สูงอายุ สง่ เสรมิ ใหผ้ ู้สงู อายุเปน็ พลงั ในการขบั เคลอ่ื นประเทศ ประเดน็ ที่ 6 การสร้างสภาพแวดล้อมทีเ่ อื้อต่อการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ โดย (1) การสร้างความอยู่ดีมีสุขของครอบครัวไทย (2) การส่งเสริมบทบาทการมีส่วนร่วมของภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น ครอบครัวและชุมชนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (3) การปลูกฝังและพัฒนาทักษะนอก หอ้ งเรียน และ (4) การพัฒนาระบบฐานขอ้ มูลเพอื่ การพฒั นาทรัพยากรมนษุ ย์  สอดคลอ้ งกับแผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ยุทธศาสตร์ที่ 1 การเสริมสรา้ งและพฒั นาศกั ยภาพทนุ มนษุ ย์ 3.1 ปรบั เปลยี่ นคา่ นยิ มคนไทยให้มคี ณุ ธรรม จริยธรรม มีวนิ ัย จติ สาธารณะ และพฤตกิ รรม ทีพ่ ึงประสงค์ 3.1.2 ส่งเสริมให้มีกิจกรรมการเรียนการสอนทั้งในและนอกห้องเรียนที่สอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม ความมีวินัย จิตสาธารณะ รวมทั้งเร่งสร้างสภาพแวดล้อมภายในและโดยรอบสถานศึกษาให้ปลอด จากอบายมุข อยา่ งจริงจัง 3.2 พัฒนาศักยภาพคนให้มที กั ษะความรูแ้ ละความสามารถในการดำรงชีวติ อย่างมีคุณค่า

2 3.2.2 พัฒนาเด็กวัยเรียนและวัยรุ่นให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ มีความคิด สร้างสรรค์ มที ักษะการทำงานและการใชช้ ีวติ ทพี่ ร้อมเข้าสูต่ ลาดงาน 3.3 ยกระดับคณุ ภาพการศึกษาและการเรยี นรู้ตลอดชวี ติ 3.3.6 จัดทำสื่อการเรียนรู้ที่เป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์และสามารถใช้งานผ่านระบบอุปกรณ์สื่อสาร เคลอื่ นที่ ให้คนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้ง่าย สะดวก ทั่วถึง ไม่จากัดเวลาและสถานที่ และใช้มาตรการทางภาษีจูงใจให้ ภาคเอกชนผลิตหนงั สอื ส่อื การอา่ นและการเรยี นรทู้ มี่ ีคุณภาพและราคาถูก 3.3.7 ปรับปรุงแหล่งเรียนรู้ในชุมชนให้เป็นแหล่งเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์และมีชีวิต อาทิพิพิธภัณฑ์ ห้องสมดุ โบราณสถาน อุทยานประวตั ิศาสตร์ โรงเรียนผู้สงู อายุ รวมท้งั สง่ เสริมใหม้ รี ะบบการจัดการความรู้ท่ีเป็นภูมิ ปัญญาทอ้ งถ่นิ  สอดคล้องกับนโยบาลของรัฐบาล (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร) 1. การพฒั นาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ 1.1 การจดั การศึกษาเพื่อคุณวฒุ ิ พัฒนาผ้เู รียนให้มีความรอบรู้และทักษะชวี ติ เพื่อเป็นเครือ่ งมือใน การดำรงชวี ติ และสร้างอาชีพ อาทิ การใช้เทคโนโลยีดิจทิ ลั สขุ ภาวะและทัศนคติทีด่ ีตอ่ การดูแลสขุ ภาพ 1.2 การเรยี นร้ตู ลอดชีวติ - จัดการเรียนร้ตู ลอดชวี ิตสำหรับประชาชนทุกช่วงวัย เนน้ ส่งเสรมิ และยกระดับทักษะภาษาอังกฤษ (English for All)  สอดคล้องกบั นโยบายและจุดเนน้ การดำเนินงาน กศน. จดุ เนน้ การดาํ เนินงานประจำปงี บประมาณ พ.ศ. 2564 ภารกจิ ต่อเน่อื ง 1.4 การศึกษาตามอธั ยาศยั 1) พัฒนาแหล่งการเรียนรู้ที่มีบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการอ่านและพัฒนาศักยภาพ การเรียนรู้ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ให้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและทั่วถึง เช่น การพัฒนา กศน . ตําบล ห้องสมุด ประชาชนทุกแห่งให้มีการบริการที่ทันสมัย ส่งเสริมและสนับสนุนอาสาสมัครส่งเสริมการอ่าน การสร้างเครือข่าย ส่งเสริมการอ่าน จัดหน่วยบริการห้องสมุดเคลื่อนที่ ห้องสมุดชาวตลาด พร้อมหนังสือและอุปกรณ์เพื่อจัดกิจกรรม ส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้ที่หลากหลายให้บริการกับประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างทั่วถึง สม่ำเสมอ รวมทั้ง เสริมสร้างความพร้อมในด้านบุคลากร สื่ออุปกรณ์เพื่อสนับสนุนการอ่าน และการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการอ่าน อยา่ งหลากหลายรปู แบบ 3) ประสานความร่วมมือหน่วยงาน องค์กร หรอื ภาคส่วนต่าง ๆ ท่ีมีแหล่งเรียนรู้อืน่ ๆ เพื่อส่งเสริม การจดั การศกึ ษาตามอัธยาศยั ให้มรี ูปแบบท่หี ลากหลาย และตอบสนองความต้องการของประชาชน เช่น พพิ ธิ ภณั ฑ์ ศนู ยเ์ รยี นรู้ แหล่งโบราณคดี วดั ศาสนาสถาน หอ้ งสมุด รวมถึงภูมิปญั ญาท้องถ่นิ เปน็ ต้น

3  สอดคล้องกับตวั ชี้วดั การประกนั คณุ ภาพภายในสถานศึกษา มาตรฐานการศึกษาตามอัธยาศัย มาตรฐานท่ี 1 คณุ ภาพของผูร้ บั บรกิ ารการศึกษาตามอัธยาศัย ตัวบง่ ชท้ี ่ี 1.1 ผู้รับบริการมีความรู้ หรอื ทักษะ หรอื ประสบการณ์ สอดคลอ้ งกับ วัตถุประสงค์ของโครงการ หรือกิจกรรมการศึกษาตามอัธยาศยั มาตรฐานท่ี 2 คุณภาพการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย ตัวบ่งช้ีที่ 2.1 การกำหนดโครงการหรือกิจกรรมการศกึ ษาตามอัธยาศัย ตัวบ่งชท้ี ี่ 2.2 ผ้จู ัดกจิ กรรมมคี วามรู้ ความสามารถในการจัดการศกึ ษาตามอธั ยาศัย ตัวบง่ ชีท้ ่ี 2.3 ส่ือหรอื นวัตกรรม และสภาพแวดล้อมที่เอ้ือต่อการจดั การศึกษาตาม อัธยาศัย ตวั บ่งช้ีท่ี 2.4 ผ้รู บั บริการมีความพงึ พอใจต่อการจัดการศกึ ษาตามอธั ยาศัย มาตรฐานที่ 3 คณุ ภาพการบรหิ ารจดั การของสถานศกึ ษา ตวั บง่ ช้ที ี่ 3.1 การบริหารจัดการของสถานศึกษาทีเ่ น้นการมสี ่วนร่วม ตัวบ่งชี้ที่ 3.2 ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา ตัวบง่ ชท้ี ี่ 3.5 การกำกับ นิเทศ ตดิ ตาม ประเมนิ ผลการดำเนนิ งานของสถานศึกษา ตัวบง่ ชท้ี ่ี 3.7 การสง่ เสรมิ สนับสนนุ ภาคีเครอื ขา่ ยใหม้ สี ่วนร่วมในการจดั การศกึ ษา ตัวบง่ ชท้ี ่ี 3.8 การสง่ เสริม สนบั สนนุ การสรา้ งสงั คมแห่งการเรียนรู้ ข้อเสนอแนะ ของ สมศ. ข้อที่ 1 ในการดำเนินแผนงาน/โครงการ สถานศึกษาควรมีการติดตามตรวจสอบการดำเนินงานทุก ระยะ ขั้นตอนของการดำเนินงาน เพื่อประเมินผลและนำผลการประเมินมาปรับปรุงและพัฒนาให้เป็นระบบครบ วงจร PDCA และในการประเมินความพึงพอใจ ควรเพมิ่ ข้อเหตุผล ขอ้ คิดเหน็ หรอื ขอ้ เสนอแนะว่าเพราะเหตุใดข้อ นั้นจงึ ใหค้ ะแนนมากหรือน้อย ข้อที่ 13 ในการบริหารจัดการการดำเนินโครงการ กิจกรรมต่างๆ สถานศึกษาควรดำเนินการให้ ครบถว้ นเปน็ ระบบครบวงจร PDCA และในโครงการกิจกรรมควรกำหนดวัตถุประสงคเ์ ป็นรปู ธรรม มีการออกแบบ ประเมินให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ มีการดำเนินการนิเทศ กำกับ ติดตาม และประเมินผลอย่าง ตอ่ เนื่องและนำผลการประเมนิ ที่ได้ไปวเิ คราะหถ์ ึงอปุ สรรค และนำไปวางแผน ปรบั ปรงุ พัฒนาในปีต่อไป 3. หลักการและเหตุผล ห้องสมุดประชาชน เป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญของชุมชน มีบทบาทหน้าที่ในการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย และการศึกษานอกโรงเรียน โดยมีสื่อความรู้ ในการให้บริการและจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้กลุ่มเป้าหมายได้รับ การศึกษา สร้างนิสัยรักการอ่าน ศึกษาค้นคว้า สนองความสนใจใฝ่รู้ รู้จักวิธีการค้นคว้าด้วยตนเองอยู่ตลอดเวลา ตลอดชีวิต การรับรู้ข้อมูลข่าวสารจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับคนในชุมชน การจัดกิจกรรมในเชิงรุก เพื่อให้เกิดการ

4 เรยี นรู้ของคนในชุมชน ปัจจบุ นั หอ้ งสมดุ ประชาชนไดจ้ ดั หาทรัพยากรสารสนเทศหลากหลายรูปแบบสำหรบั ให้บริการ ได้แก่ สื่อส่ิงพิมพ์ สื่อโสตทัศน์ และสื่อมัลติมีเดีย เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใชแ้ ละผู้รบั บริการ และเพื่อให้เกิด ประโยชน์สูงสุดต่อการใช้ทรัพยากรสารสนเทศที่มีอยู่ในห้องสมุด ซึ่งผู้ใช้และผู้รับบริการต้องรู้แนวทางในการเข้าถึง ทรพั ยากรสารสนเทศแตล่ ะรูปแบบ เพ่ือใหเ้ กดิ ประสทิ ธภิ าพและไดร้ ับประโยชนจ์ ากทรพั ยากรสารสนเทศนนั้ ๆ ห้องสมุดประชาชนอำเภอชนแดนเล็งเห็นความสำคัญในการส่งเสริมผู้ใช้และผู้รับบริการได้ศึกษาค้นคว้า เพิ่มเติมด้วยตนเอง และรู้จักแหล่งข้อมูล วิธีการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและรวดเร็ว การส่งเสริมประชาสัมพันธ์ กิจกรรมต่างๆ เพื่อให้สามารถรับบริการต่างๆของห้องสมุดได้ ห้องสมุดประชาชนอำเภอชนแดนจึงได้จัดโครงการ ส่งเสริมการเรยี นรสู้ ำหรบั นกั เรยี น นกั ศกึ ษาและประชาชน 4. วัตถปุ ระสงค์ 4.1 เพอ่ื ให้นักเรยี น นกั ศกึ ษาและประชาชนทวั่ ไปเขา้ ถงึ และมโี อกาสได้อา่ นหนังสือ 4.1 เพื่อกระตุ้นใหน้ ักเรียน นกั ศกึ ษาและประชาชนทั่วไปเขา้ มารับบริการในห้องสมุดประชาชนอำเภอ ชนแดนมากขนึ้ 4.2 เพอื่ สง่ เสรมิ ให้นักเรียน นักศกึ ษาและประชาชนท่วั ไปมีความรคู้ วามเขา้ ใจการเข้าถงึ แหล่งสาร สารสนเทศไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและตรงตามความตอ้ งการ 4.4 เพอ่ื เป็นการส่งเสรมิ สนบั สนุนใหน้ กั เรียน นักศกึ ษา และประชาชนทวั่ ไปมีนสิ ยั รกั การอ่านนำไปสู่ การเรียนรู้ และพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ให้ดขี ึ้น 5. เป้าหมาย จำนวน 100 คน เชงิ ปริมาณ นักเรยี น นักศกึ ษา และประชาชนท่วั ไป เชงิ คุณภาพ 1. นักเรยี น นกั ศกึ ษาและประชาชนท่วั ไปเข้าถึง และมีโอกาสได้อา่ นหนงั สอื 2. นักเรยี น นักศึกษาและประชาชนท่วั ไปเขา้ มารบั บรกิ ารในห้องสมุดประชาชนอำเภอ ชนแดนมากขน้ึ 3. นักเรยี น นักศกึ ษาและประชาชนทว่ั ไปมคี วามรู้ความเขา้ ใจการเข้าถึงแหลง่ สารสารสนเทศไดอ้ ย่าง ประสิทธภิ าพและตรงตามความต้องการ 4. นักเรียน นกั ศึกษา และประชาชนท่ัวไปมนี สิ ัยรักการอา่ นนำไปสู่ การเรยี นรู้ และพฒั นาคุณภาพ ชวี ิตให้ดขี น้ึ

6. วธิ ีดำเนินการ กิจกรรมหลกั วัตถปุ ระสงค์ กลุ่มเป้าหมาย ก 1. ขั้นเตรียมการ ครูและบุคลากร เพื่อจัดประชุมครูและบคุ ลากรทางการ กศน. อำเภอชนแดน ช ศึกษา จำนวน 20 คน ว - ชแี้ จงทำความเขา้ ใจรายละเอยี ด โครงการ - ช้ีแจงแนวทางในการดำเนนิ โครงการ - จัดทำโครงการและแผนการดำเนนิ การ เพ่อื อนมุ ัติ - แตง่ ตั้งกรรมการดำเนินงานตาม โครงการ 2. ประชุมกรรมการ เพื่อประชมุ ทำความเข้าใจกบั กรรมการ ครูและบุคลากร ช กศน. อำเภอชนแดน ข ดำเนนิ งาน ดำเนินงานทกุ ฝ่ายในการจดั กิจกรรม จำนวน 20 คน โครงการและการดำเนนิ งาน 3. จัดเตรยี มเอกสาร เพ่ือดำเนินการจดั ทำ จดั ซ้อื วัสดุอุปกรณ์ กรรมการฝ่ายที่ได้รบั จ วัสดุ อุปกรณใ์ นการ ทใ่ี ช้ในการดำเนนิ การ มอบหมาย ดำเนินโครงการ

5 กลมุ่ เปา้ หมาย พื้นทด่ี ำเนนิ การ ระยะเวลา งบประมาณ เปา้ หมาย (เชงิ คณุ ภาพ) เม.ย.64 - กศน. อำเภอ ชแ้ี จงทำความเขา้ ใจ รายละเอียดและ ชนแดน วัตถุประสงค์ของการจัดโครงการ ช้แี จงวตั ถปุ ระสงค์ บทบาทหนา้ ท่ี กศน. อำเภอ เม.ย.64 - ของกรรมการดำเนินงานโครงการ ชนแดน จดั ซ้ือวสั ดุอุปกรณ์ในการจัดโครงการ กศน. อำเภอ มิ.ย.64 2,496 ชนแดน บาท

กจิ กรรมหลัก วัตถุประสงค์ กลมุ่ เปา้ หมาย ก นกั เรียน นกั ศึกษา 4. ดำเนินการจัด 1. รักการอ่านผา่ นส่ือออนไลน์ และประชาชนทัว่ ไป ส กจิ กรรม 2. วนั รักการอา่ น จำนวน 2,370 คน แ 3. หอ้ งสมดุ เคล่ือนทส่ี ่บู ้านหนังสือชุมชน น ปลูกฝงั คนรกั การอ่าน ช 4. เสรมิ การอ่าน สร้างการเรียนรู้ กบั หอ้ งสมุดประชาชน 5. ส่งเสรมิ การอ่าน สรา้ งสรรค์ปญั ญา นำพาส่อู าชีพ 6. บนั ทกึ รักการอ่าน 5. สรุป/ประเมนิ ผล เพอื่ ให้กรรมการฝ่ายประเมนิ ผลเก็บ ตามกระบวนการ ส และรายงานผล รวบรวมขอ้ มลู และดำเนนิ การประเมินผล ประเมินโครงการ ต โครงการ การจัดกิจกรรม 5 บท จำนวน 3 เล่ม

6 กล่มุ เปา้ หมาย พืน้ ที่ดำเนนิ การ ระยะเวลา งบประมาณ เปา้ หมาย (เชิงคณุ ภาพ) พ้นื ที่อำเภอ เม.ย. 64 - ส่งเสริมสนับสนนุ ให้นกั เรียน นกั ศึกษา ชนแดน ถงึ และประชาชนท่วั ไปมีนิสัยรักการอา่ น นำไปสู่ การเรยี นรู้ และพัฒนาคณุ ภาพ ก.ย.64 ชวี ติ ใหด้ ีข้นึ สรปุ รายงานผลการดำเนินงาน กศน. อำเภอ ก.ย.64 - ตามระบบ PDCA ชนแดน

7 7. วงเงินงบประมาณ จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ไตรมาส 3 แผนงาน : พ้นื ฐานดา้ นการพัฒนาและ เสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ผลผลิตที่ 5 ผู้รับบริการการศึกษาตามอัธยาศัย กิจกรรมการจัดการศึกษา ตามอัธยาศัย งบดำเนินงาน ห้องสมุดประชาชนอำเภอชนแดน (ตั้งแต่เดือนเมษายน ถึง เดือนมิถุนายน 2564) รหสั งบประมาณ 36005 เป็นเงนิ 2,496.- บาท (สองพันสี่ร้อยเก้าสิบหกบาทถ้วน) รายละเอยี ดดงั น้คี อื ค่าวัสดุ เป็นเงิน 2,496 บาท รวมเป็นเงิน 2,496 บาท 8. แผนการใชจ้ ่ายงบประมาณ แผนการใช้จ่ายรายไตรมาส ไตรมาสที่ 1 ไตรมาสที่ 2 ไตรมาสที่ 3 ไตรมาสท่ี 4 - - 2,496 - 9. ผรู้ ับผดิ ชอบโครงการ ตำแหน่ง : บรรณารักษ์ชำนาญการ ชื่อ - สกุล : นางวารี ชบู วั เบอรโ์ ทรศัพทม์ ือถือ : 056 – 761667 เบอร์โทรศัพท์ที่ทำงาน : 056 – 761667 อีเมลล์ : [email protected] ผรู้ ่วมดำเนินการ นางสมบตั ิ มาเนตร์ ตำแหนง่ ครูอาสาสมคั รฯ นางสาวลาวณั ย์ สทิ ธิกรววยแกว้ ตำแหน่ง ครอู าสาสมัครฯ นางลาวิน สเี หลอื ง ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางสาวมุจลินท์ ภูยาธร ตำแหนง่ ครู กศน.ตำบล นางสาวนภารตั น์ สสี ะอาด ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางสาวลดาวรรณ์ สุทธิพันธ์ ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางผกาพรรณ มะหิทธิ ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางสาวพัชราภรณ์ นรศิ ชาติ ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางสรุ ัตน์ จันทะไพร ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นายเกรยี งไกร ใหมเ่ ทวนิ ทร์ ตำแหนง่ ครู กศน.ตำบล นางสาวณฐั ชา ทาแน่น ตำแหนง่ ครู กศน.ตำบล นางสาวอษุ า ย่งิ สกุ ตำแหน่ง ครูประจำศูนยก์ ารเรยี นชมุ ชน นางสาวกัญญาณฐั จันปัญญา ตำแหนง่ ครูประจำศูนย์การเรยี นชุมชน นายปัณณวัฒน์ สขุ มา ตำแหนง่ ครูประจำศูนย์การเรยี นชุมชน

8 นางสาววรางคณา นอ้ ยจนั ทร์ ตำแหนง่ ครปู ระจำศนู ย์การเรียนชมุ ชน นายศิวณชั ญ์ อศั วสมั ฤทธิ์ ตำแหน่ง ครปู ระจำศนู ยก์ ารเรียนชมุ ชน นางสาวเยาวดี โสดา ตำแหนง่ นักจดั การงานท่ัวไป 10. เครอื ขา่ ย 10.1 บา้ นหนงั สือชุมชน 10.2 โรงพยาบาลชนแดน 10.3 โรงพยาบาลส่งเสริมสขุ ภาพตำบล 10.4 กศน.ตำบลทั้ง 9 แห่ง 10.5 หน่วยงานของรฐั และเอกชน 11.โครงการทเี่ กีย่ วข้อง 11.1 โครงการจัดการศกึ ษาตามอัธยาศยั 11.2 โครงการพฒั นาคุณภาพผูเ้ รียน 11.3 โครงการประชาสมั พนั ธ์งาน กศน. 11.4 โครงการส่งเสริมและพัฒนาประสิทธภิ าพการทำงานรว่ มกบั เครือขา่ ย 11.5 โครงการประกันคุณภาพสถานศึกษา 12. ผลลัพธ์ 12.1 นกั เรยี น นักศึกษาและประชาชนทวั่ ไปเข้าถึง และมีโอกาสไดอ้ ่านหนงั สอื 12.2 นักเรยี น นกั ศึกษาและประชาชนทั่วไปเขา้ มารับบริการในห้องสมดุ ประชาชนอำเภอ ชนแดนมากขึ้น 12.3 นักเรยี น นกั ศกึ ษาและประชาชนท่วั ไปมคี วามรู้ความเข้าใจการเข้าถงึ แหล่งสารสารสนเทศได้อย่าง ประสิทธภิ าพและตรงตามความต้องการ 12.4 นกั เรียน นกั ศึกษา และประชาชนทวั่ ไปมนี ิสยั รกั การอา่ นนำไปสู่ การเรยี นรู้ และพฒั นาคณุ ภาพ ชวี ิตให้ดีข้ึน 13. ดชั นีวัดผลสำเรจ็ ของโครงการ 13.1 ตัวชี้วัดผลผลิต (output) กลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการฯ 80 % มีความพึงพอใจในการเข้าร่วม กิจกรรม 13.2 ตวั ชว้ี ดั ผลลพั ธ์ ( outcome ) นกั เรียน นักศึกษา และประชาชนทัว่ ไปรักการอา่ น เพอ่ื พัฒนาคุณภาพ ชวี ติ ทด่ี ีข้ึน

9 14. การติดตามผลประเมนิ ผลโครงการ 14.1 แบบประเมนิ ความพงึ พอใจผเู้ ขา้ ร่วมกจิ กรรม / โครงการ 14.2 สรุป/รายงานผลการจัดกจิ กรรม

10 บทท่ี 2 เอกสารที่เกยี่ วขอ้ ง กำเนดิ อาเซยี น สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ “อาเซียน” ถือกำเนิดข้ึนในเช้าวันอังคารท่ี 8 สิงหาคม 2510 เวลา 10.50 ภายในห้องโถงใหญ่ของพระราชวงั สราญรมย์ ทีท่ ำการของกระทรวงการต่างประเทศ ถูกบันทึก ไว้ผ่านภาพการลงนามของผูน้ ำ 5 ประเทศผู้ก่อตงั้ อาเซียน ได้แก่ ประเทศอนิ โดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สงิ คโปร์ และประเทศไทย หลังจากนั้นมาเกือบครึ่งศตวรรษ อาเซียนได้กลายเป็นสมาคมระหว่างประเทศที่ผ่าน ประสบการณ์ในรูปแบบต่าง ๆ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ผันผวนในเวทีระหว่างประเทศ อาเซียนได้พลิกผันตัวเอง อย่างต่อเน่ือง มีการเติบโต การเรียนรู้ และได้แสดงบทบาทในด้านต่าง ๆ ในทุกยุค ทุกสมัย จนเป็นองค์กรระดับ ภูมภิ าคทป่ี ระสบความสำเร็จ และเป็นท่ีรูจ้ กั อยา่ งกว้างขวาง ในระดบั สากล ทุกวนั น้ีอาเซียนเป็นท่ีร้จู ักเป็นอย่างดใี นเวทีโลก แตน่ ้อยคนท่ที ราบว่ากว่าจะมีวันน้ีได้นนั้ ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ในการผลักดันให้เกิดอาเซียนจนเป็นผลสำเร็จนั้น คือประเทศไทย โดยเฉพาะนักการทูตไทย สองท่าน ซ่ึงเป็นผู้ ได้รบั การยอมรับนับถือจาก นักการทูตและผู้นำประเทศต่าง ๆ ท่วั โลก คือ ฯพณฯ รฐั มนตรีฯ ถนัด คอมันตร์ และ ดร.สมปอง สุจริตกุล ท่าน ดร. ถนัดฯ เป็นนักการทูตและการต่างประเทศ ผู้ได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดอาเซียน ด้วยคิดริเร่ิมของท่าน ท่ีจะสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ โดยเป็นความร่วมมือที่ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคสามารถควบคุมทิศทางการดำเนินนโยบาย และอนาคต ของตนเองได้อย่างแท้จริง เพ่ือนำตนเองให้รอดพ้นจากภัยสงครามเย็นระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียต การ แข่งขันเพื่อช่วงชิงความเป็นหนึ่งในเอเชียระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียต และการที่จีนเร่งขยายอิทธิพลด้าน

11 การเมืองและการทหารของตนเข้าไปในประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคจนทำให้เกิดการสู้รบในรูปแบบของสงคราม กองโจร และการก่อการรา้ ยในหลายประเทศ รวมทง้ั ในประเทศไทย ในวนั แหง่ ประวัตศิ าสตร์ดังกล่าว โลกได้เป็นสักขีพยานความเห็นร่วมกนั ของรัฐมนตรีวา่ การกระทรวงการ ต่างประเทศจาก 5 ชาติ ได้แก่ ฯพณฯ อาดัม มาลิก (Adam Malik Batubara) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ ต่างประเทศของอินโดนีเซีย ฯพณฯ ตุน อับดุล ราซัก (Tun Abdul Razak Hussein) รองนายกรัฐมนตรี และ รฐั มนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาแห่งชาติของมาเลเซีย ฯพณฯ นาร์ซิโซ รามอส (Narciso R. Ramos) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของฟิลิปปินส์, ฯพณฯ เอส ราชารัตนมั (S. Rajaratnam) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสิงคโปร์ และ ฯพณฯ ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศ ของไทย เพ่ือร่วมลงนามในเอกสารสำคัญฉบับหน่ึง ซ่ึงเป็นต้นกำเนิดของอาเซียน และ ก่อนหน้าท่ีจะเข้าสู่การลงนามเอกสารสำคัญ ที่มีช่ือว่าปฏิญญาอาเซียน (ASEAN Declaration) หรือ ปฏิญญา กรุงเทพ (Bangkok Declaration) ฉบับน้ี หลังจากท่ีผู้นำผู้เป็นรัฐมนตรกี ำกับดแู ลนโยบายด้านการต่างประเทศจากมิตรประเทศทง้ั สี่ชาตไิ ด้เดินทาง มาถึงประเทศไทย พวกท่านเหล่าน้ันได้รับการต้อนรับจากพันเอก (พิเศษ) ดร. ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศ โดยการเรียนเชิญผู้นำทั้ง 3 ท่าน ยกเว้นรัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย เดินทางไปที่ บ้านพักรับรองของรัฐบาล ซึ่งต้ังอยู่ที่เขาสามมุข บางแสน ในวันศุกร์ท่ี 4 สิงหาคม 2510 โดยการประชุมได้ถูก จดั เตรียมขึ้น 4 วัน โดยแบง่ เปน็ การประชุมอยา่ งไม่เป็นทางการ 2 วันทีบ่ างแสน และการประชุมอยา่ งเป็นทางการ อีก 2 วันท่ีกรุงเทพ การประชุมที่บางแสนน้ัน ได้จัดข้ึนในบ้านพักรับรองที่ไม่ไกลจากท่ีพักของรัฐมนตรีเหล่าน้ัน โดยที่ประชุมแห่งนั้นมีชื่อว่า “บ้านแหลมแท่น” ซ่ึงเป็นบ้านพักรับรองของสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ติดทะเล ชายหาดบางแสนอันเงยี บสงบ การประชุมในคร้ังน้ีเป็นการประชุมภายใต้บรรยากาศของ “Spirit of Bangsaen” หรือ “จิตวิญญาณ แห่งบางแสน” ซ่ึงอีกไม่กี่วันต่อมา ความเข้าใจร่วมกันที่บ้านแหลมแท่น ได้ถูกนำมาเป็นหลักการ และกรอบการ เจรจา เพ่ือจัดต้ังสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน และเป็นสาระสำคัญที่นำไปสู่การ จัดทำเอกสารปฏิญญากรุงเทพ (Bangkok Declaration) ในเวลาเดียวกัน ในวันเสาร์ที่ 5 และวันอาทิตย์ที่ 6 สงิ หาคม 2510 ผู้นำด้านการตา่ งประเทศจากท้ัง 5 ชาติในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ ได้ร่วมหารือกัน ในบรรยากาศ ท่ีเป็นมิตรและสนิทสนม เพ่ือสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของความร่วมมือสำหรับภูมิภาค ด้วยการหาขอ้ ตกลงใน การสร้างหลกั การความรว่ มมือระหว่างกนั สาเหตุหลักที่ทำให้ที่ผ่านมาประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคไม่ประสบความสำเร็จในการสร้างความร่วมมือ ระหว่างกันในระดบั ภูมิภาค น่าจะเป็นเพราะการที่ก่อนหน้าน้ีแต่ละประเทศในภูมิภาคโดยเฉพาะประเทศต่าง ๆ ท่ี เพ่ิงผ่านพ้นจากการเป็นอาณานิคม ยังคงยึดถือหลักการของเอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดน ภายใต้ ความรู้สึกชาตินิยม ทำให้แต่ละประเทศมองถึงผลประโยชน์ของตนในกรอบท่ีแคบ และไม่สามารถมองเห็น ผลประโยชน์ของชาตใิ นกรอบทใ่ี หญ่กวา่ ได้ ดงั นัน้ ความรว่ มมือในระดบั ภูมิภาคจึงยังไมส่ ามารถเกดิ ขึน้ ได้

12 การที่ประเทศไทย โดย ดร.ถนัด คอมันตร์ ใช้ความพยายามในการชี้ให้ผู้นำประเทศเหล่านี้ตระหนักถึง สภาพแวดล้อม และสถานการณ์ที่แท้จริงภายในภูมิภาค ทำให้ผู้นำของประเทศต่าง ๆ เหล่านี้เห็นถึงความสำคัญ ของความร่วมมือภายในภูมิภาค เพ่ือผลประโยชน์ของทุกประเทศร่วมกัน ซ่ึงการใช้ความพยายามในการโน้มน้าว ความคิดของผู้นำประเทศต่าง ๆ เหล่าน้ี ประเทศไทยได้ใช้การทูตแบบไม่เป็นทางการ (informal diplomacy) เป็นหลัก โดยตอกย้ำถึง ความผูกพันที่ประเทศต่าง ๆ รวมท้ังตัวผู้นำประเทศ มีต่อกันมาเป็นเวลายาวนาน ท้ังใน ด้านภาษา ศาสนา วัฒนธรรม จารีตประเพณี ประวัติศาสตร์ และความเป็นอยู่ของประชาชน จนความไว้เนื้อเช่ือ ใจบังเกิดขน้ึ และผู้นำประเทศต่าง ๆ เร่ิมท่ีจะมีท่าทที ี่ผ่อนคลาย และเปน็ กันเองต่อกนั ซึง่ ต่อมาการทูตแบบไม่เป็น ทางการ การทูตแบบ sports shirt diplomacy และการทูตบนสนามกอล์ฟ ในลักษณะนี้ได้กลายเป็นจารีต และ จดุ เด่นทางการทูตของผนู้ ำและเจ้าหน้าทร่ี ะดบั สูงของประเทศสมาชกิ อาเซยี น เรือ่ ยมาจนถึงปัจจุบัน เร่อื งหนง่ึ ที่สะท้อนให้เห็นถึงบรรยากาศที่อบอนุ่ และเป็นกันเอง ในการประชุมผู้นำจากท้ัง 5 ประเทศ คือ การหารือในขั้นสุดท้ายเร่ืองช่ือขององค์กรใหม่ ที่ได้ตกลงร่วมกันจะให้จัดตั้งขึ้น ก่อนที่จะมีการลงนามในปฏิญญา กรุงเทพ ในการหารอื ดังกลา่ ว ท่ีประชุมเห็นพ้องกันวา่ นายอาดัม มาลิก รัฐมนตรวี ่าการกระทรวงการต่างประเทศ อินโดนีเซีย ในฐานะผู้ที่มคี วามรู้ และประสบการณท์ างการเมือง และการทตู มาอยา่ งโชกโชน และในฐานะท่เี ปน็ ท่ี เป็นผู้มีความเป็นเจ้าบทเจ้ากลอน ควรจะไดร้ ับเกียรติ ให้เป็นผู้ต้ังชื่อสมาคมใหม่ ท่ีจะเกดิ ขึ้น ภายหลงั จากประชุม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของท้ัง 5 ชาติ ก็เข้าสู่พิธีการลงนามในปฏิญญาของประเทศทั้ง 5 ณ วัง สราญรมย์ กระทรวงการต่างประเทศ เม่ือเวลา 10.50 น. ของวันอังคารที่ 8 สิงหาคม 2510 เพ่ือก่อตั้งสมาคม ประชาชาติแห่งเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ (Association of Southeast Asian Nation) โดย ปฏิญญากรุงเทพฯ ประเทศสมาชิกผู้ก่อตั้งสมาคมอาเซียน และประเทศสมาชิกผู้เข้ามาร่วมในภายหลัง ได้พยายามสรรสร้างจิต วิญญาณของปฏิญญากรุงเทพให้แข็งแกร่งขึ้น อย่างต่อเนื่อง ซ่ึงในระยะเวลาที่ผ่านมา สมาคมอาเซียนได้ผ่าน กระบวนการต่าง ๆ ท้ังทเี่ ป็นทางการ และไม่เป็นทางการ ผ่านความสัมพันธ์ส่วนตวั ของผู้นำแต่ละประเทศ ในการ สานต่อเจตนารมณ์ในการร่วมกันเป็นประชาคมอาเซียน และมีหลักการทางกฎหมายรองรับ อาทิ สนธิสัญญา มิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation) ในปี 2519 และ ต่อมา สนธิสัญญาปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty on the Southeast Asia Nuclear Weapon-Free Zone – SEANWFZ) หรือสนธสิ ัญญากรุงเทพฯ ในปี 2538 และแม้วา่ ในระยะแรก ความร่วมมือ ในด้านเศรษฐกิจ ซ่ึงถือเป็นวัตถุประสงค์หลักประการต้นๆ ในการก่อต้ังสมาคมอาเซียน จะไม่ประสบความสำเร็จ เท่าไรนัก แต่ความพยายามในการเสริมสร้างความร่วมมือดังกล่าว ก็ถือเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาสมาคม อาเซียนในระยะตอ่ มา จนเกิดเปน็ ประชาคมเศรษฐกจิ อาเซยี น (ASEAN Economic Community – AEC)

13 กวา่ จะมาเป็นอาเซียน ในวันท่ี 8 สิงหาคม 2510 อาเซียน ได้ถือกำเนิดมาในฐานะองค์กรความร่วมมือภายในภูมิภาค โดยมี ประเทศผู้ก่อต้ังห้าประเทศ ที่มุ่งหวังท่ีจะใช้อาเซียนเป็นเครื่องมือกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เพื่อสวัสดิภาพและความเป็นอยทู่ ี่ดีของประชาชนในภูมิภาคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ ซ่ึงในขณะนั้น มีประมาณ 260 ล้านคน ความพยายามในระดบั ภมู ภิ าคกอ่ นอาเซยี น อย่างไรก็ตามดังท่ีกล่าวมาแล้วข้างต้น สมาคมอาเซียนไม่ได้เป็นองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศ องค์กรแรกท่ีมีขึ้นในภูมิภาคน้ี แต่องค์กรระหว่างประเทศท่ีเกิดข้ึนมาก่อนหน้าสมาคมอาเซียนมีปัญหามากมาย หลายประการจนต้องปิดตัวลงในระยะเวลาอนั สั้น โดยมีสาเหตุมาจากทั้งเร่อื งการกระทบกระทง่ั ระหว่างกันในเรื่อง ดินแดน ตลอดจนปัญหาการแทรกแซงของประเทศมหาอำนาจ ประการหน่ึง คือ การที่อาเซียนสามารถทำให้ความขัดแย้งระหว่างประเทศต่าง ๆ อันเป็นปัญหาสืบ เน่ืองมาจากยคุ อาณานิคม และการสู้รบภายในภูมิภาคสิ้นสุดลง และนอกจากการลดความขัดแย้งแล้ว อาเซียนยัง สามารถพัฒนาความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ระหว่างประเทศสมาชิกให้ก้าวไกล ลึกซึ้ง และขยายวงกว้างขึ้นเร่ือย ๆ และในเวลาเดียวกัน สมาชิกภาพของอาเซียนก็ครอบคลุมมากข้ึน ประเทศสมาชิกมีความใกล้ชิดกันมากขึ้น จนใน ปัจจุบันอาเซียนมีสมาชิกครบทุกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสามารถเข้าสู่การเป็น “ประชาคม อาเซยี น” ได้ ในระยะเวลาไม่ถงึ 50 ปี มรดกแห่งยคุ อาณานิคม ตามท่ีทราบกันดีว่ายกเว้นประเทศไทยแล้ว บรรดาประเทศสมาชิกผู้ก่อตั้งสมาคมอาเซียนอื่น ๆ ล้วน แล้วแต่เคยตกเป็นดินแดนอาณานิคมของกลุ่มประเทศตะวันตก และต่อมานับตั้งแต่ปลายสงครามโลกคร้ังที่ 2 ได้ เข้าร่วมกระบวนการเรยี กร้องเอกราช (Decolonization Process) ให้แก่ตนเอง ในช่วงสงครามโลกคร้ังที่ 2 ประเทศส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถูกยึดครองโดยญี่ปุ่น แต่ในท่ีสุด แล้วเมื่อสงครามโลกคร้ังท่ี 2 ส้ินสุดลง และขับไลญ่ ่ีปุ่นออกไปแลว้ ประเทศเจ้าอาณานิคมตะวันตก ก็พยายามกลับ เข้ามามีอิทธิพลในภูมิภาคอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการเรียกร้องสิทธิเหนือดินแดนท่ีตนเคยยึดครอง และเรียกร้อง คา่ ชดเชยตา่ ง ๆ มากมาย จากความเสยี หายทอี่ า้ งว่าฝา่ ยตนได้รบั ในชว่ งสงครามโลก ในการยึดครองของญ่ีปุ่นนั้น มีวัตถุประสงค์หลักสองประการ คือ ประการแรก ขับไล่ประเทศตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษ และฝร่ังเศสออกไปจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้หมดสิ้น และประการที่สอง คือ เพ่ือสร้าง แนวปอ้ งกันญี่ปนุ่ จากการโจมตีโดยกองเรือของฝ่ายพันธมติ ร โดยเฉพาะจากกองทัพเรือสหรัฐฯ และนี่คือเหตผุ ลว่า เหตุใดญี่ปุ่น จึงยึดครองพม่า ฟิลิปปินส์ มาลายา และสิงคโปร์ อย่างเต็มรูปแบบ แต่ผ่อนปรนมากกว่าในอินโดจีน และไทย และหากจะมีประการที่สามก็ คือ ญี่ปุ่นต้องการทรัพยากรและเงินทุนจากประเทศต่าง ๆ ท่ีตนยึดครอง เพ่ือใช้เป็นเงินทุนในการทำสงคราม การขับไล่ประเทศอาณานิคมตะวันตกออกไปนั้นเป็นส่วนหน่ึงของนโยบาย

14 ทวีปเอเชีย เพ่ือคนเอเชีย (Asia for Asians) และนโยบาย เขตความมั่งค่ังร่วมกันในส่วนใหญ่ของภูมิภาคเอเชีย ตะวันออก (Greater East Asia Co-Prosperity Sphere) ของญี่ปุ่น โดยในการยึดครองนั้น ญ่ีปุ่นมีหลักการ สำคัญ 5 ประการ คือ 1. การได้มาซึ่งยุทธบรภิ ัณฑ์ที่จำเป็นตอ่ การป้องกนั ประเทศญ่ีปุ่น 2. การรอ้ื ฟนื้ กฎหมาย และความเป็นระเบยี บภายในสงั คม 3. การให้กองกำลงั ญ่ปี นุ่ ท่ียึดครองในแต่ละพ้นื ท่ี สามารถเล้ยี งตนเองได้ 4. ให้ความเคารพตอ่ วฒั นธรรมประเพณตี ลอดจนองค์กรต่าง ๆ ของดนิ แดนนัน้ ๆ 5. จะไม่เรง่ ตดั สนิ ใจเรอ่ื งการใหอ้ ำนาจอธิปไตย แกด่ นิ แดนต่าง ๆ ดงั กล่าว จากหลักการ ท้ัง 5 ประการข้างต้น ทำให้วิธีการยึดครองของญ่ีปุ่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในช่วงสงครามโลก น้ัน ส่วนใหญ่แล้วญ่ีปุ่นจะไม่ยึดครองอย่างเต็มรูปแบบ เพราะต้องใช้กองกำลังมากเกินไป แต่ จะให้สิทธิแก่เจ้าของประเทศในระดับหน่ึงในการปกครองตนเอง โดยเฉพาะในการบริหารราชการวันต่อวัน ภายหลังจากท่กี องทัพญ่ีปนุ่ ได้ขบั ไล่กองกำลงั ของประเทศอาณานิคมตะวนั ตกออกไปแล้ว การที่ประเทศอาณานคิ มตะวนั ตกพา่ ยแพแ้ กก่ องกำลังของญี่ป่นุ อย่างราบคาบและในหลายโอกาสที่เหน็ ได้ อย่างชัดเจนว่า กองกำลังของประเทศเหล่าน้ัน มีเจตนาท่ีจะหนีเอาตัวรอดมากกว่า ช่วยเหลือคนท้องถ่ินในการ ปกป้องดินแดนของตนจากการรุกรานของญี่ปุ่น ทำให้ความรู้สึกชาตินิยม และความต้องการที่จะต่อสู้เพ่ือเอกราช ของคนในประเทศต่าง ๆ เหล่านั้น เข้มแข็งมากข้ึนทุกขณะ ซึ่งเป็นสาเหตุหลัก ที่ทำให้ภายหลังสงครามโลกครั้งท่ี 2 เกิดกระบวนการเรียกรอ้ งเอกราช ข้นึ อย่างรวดเร็วในหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งต่อมา สง่ ผลใหม้ ีประเทศเกิดใหม่ข้ึนหลายประเทศ สงครามเยน็ กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในระดับโลกสงครามเย็นเกิดข้ึนเกือบจะทันที ภายหลังสงครามโลกครง้ั ที่ 2 ได้ส้นิ สุดลง โดยเฉพาะในการ แย่งชิงเขตอิทธิพลในยุโรประหว่างสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียต โดยสหรัฐฯ ได้ประกาศนโยบายที่ชัดเจน ในการ ตอ่ ต้านการขยายอิทธพิ ลของสหภาพโซเวียต โดยผ่านคำประกาศทีเ่ รียกว่า ลทั ธทิ รแู มน (Truman Doctrine) เม่ือ เดือนมีนาคม ปี 2490 แต่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สงครามเย็นเริ่มเข้มข้นขึ้นประมาณปี 2492 เมื่อ พรรคคอมมิวนิสต์จีน สามารถยึดครองประเทศจีนได้ท้งั หมด ดว้ ยความชว่ ยเหลอื ของสหภาพโซเวียต การท่ีสหภาพโซเวียตและจีนเป็นพันธมิตรกันในเอเชียและในคาบสมุทรแปซิฟิก ทำให้สหรัฐฯ มีความคิด ว่าตนต้องหาแนวร่วมในการสกัดกั้นอิทธิพลของจีนและสหภาพโซเวียตในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะในปี 2497 เมื่อ กองกำลังฝรัง่ เศส พ่ายแพ้กองกำลงั ของเวียดมินห์ (Viet Minh) อยา่ งราบคาบ ในการสู้รบทสี่ มรภูมิเดียน เบียน ฟู (Dien Bien Phu) และถอนตัวออกไปจากคาบสมุทรอินโดจีนในท่ีสุด ในเวลาเดียวกัน อิทธิพลของคอมมิวนิสต์จีน ก็เริ่มทจ่ี ะแพร่ขยายไปในลาว และกมั พชู า และกลายเป็นหอกขา้ งแครข่ องรฐั บาลลาว และกมั พูชา ในขณะน้ัน

15 ด้วยเหตุนี้ สหรัฐฯ จึงไม่ลังเลท่ีจะเข้ามามีบทบาทในเอเชียตะวันออกมากข้ึน โดยเร่ิมจากการลงนามใน สนธสิ ัญญาการป้องกันร่วมเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ (Southeast Asia Collective Defense Treaty) หรือที่เรียก ส้ันๆ ว่ากติกามะนิลา (Manila Pact) เม่ือเดือนกันยายน 2497 หรือเพียงประมาณ 4 เดือน ภายหลังการพ่ายแพ้ ของกองกำลังฝร่ังเศสท่ีสมรภูมิ เดียน เบียน ฟู ซึ่งต่อมาสนธิสัญญาดังกล่าวได้กลายมาเป็นรากฐานสำหรับการ จัดตั้งองค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สปอ. หรือ SEATO) ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2498 ร่วมกับพันธมิตรท้ังภายในและภายนอกภูมิภาครวบ 8 ประเทศ คือ สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย นวิ ซแี ลนด์ ปากีสถาน ฟลิ ิปปินส์ และไทย สงครามอินโดจนี ครั้งท่ี 2 (2504-2518) ในช่วงก่อนที่ห้าประเทศสมาชิกของสมาคมอาเซียนจะมารวมตัวกัน เพื่อประกาศปฏิญญาอาเซียน อัน เป็นเอกสารต้นกำเนิดของอาเซียน นั้น ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้เป็นสมรภูมิของสงครามเย็นมาก่อน โดยมี ศูนยก์ ลางของความขัดแย้งอย่ทู สี่ งครามอนิ โดจีนครงั้ ท่ี 2 (2504-2518) ในช่วงระยะเวลาภายหลังสงครามโลกคร้ังท่ี 2 เป็นช่วงระยะเวลาท่ีสหรฐั ฯ ดำเนินนโยบายความมั่นคงที่ เรียกว่า “นโยบายการปิดล้อม” (Containment Policy) คือการปิดล้อมไม่ให้ลัทธิคอมมิวนิสต์แพร่ขยายลุกลาม ออกไปสู่สว่ นตา่ ง ๆ ของโลกได้ ยทุ ธศาสตรข์ องนโยบายน้ีคือ การใช้กำลังตอบโต้กดดนั สหภาพโซเวียต และจีน ใน ทุก ๆ ด้าน เสมอื นการปดิ ลอ้ ม ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แรงผลักดันสำคัญท่ีทำให้สหรัฐฯ มีความมุ่งม่ันที่จะปิดล้อมการแพร่ ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในทุกด้านคือ ทฤษฎีโดมิโน (Domino Theory) ซึ่งนักวิชาการและนักการทูต นักการ ทหารของสหรัฐฯ ในยุคนั้นเช่ือว่าโอกาสที่จะเกิดขึ้นมีสูงมาก ซึ่งดังที่กล่าวมาแล้วแนวความคิดหลักของทฤษฎีน้ีก็ คือ หากไม่ปิดล้อมการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างแข็งขัน รวดเร็ว และเบ็ดเสร็จ ประเทศต่าง ๆ ใน ภมู ภิ าคจะทยอยถูกโคน่ ลม้ หรอื ถูกกลืนโดยลัทธิคอมมวิ นสิ ต์ในท่ีสุด ด้วยเหตุน้ี สหรัฐฯ จึงรบี เข้ามาแทนท่ีฝร่ังเศสในการสู้รบในอินโดจีนอย่างรวดเร็ว กล่าวคือ จากเดิมที่เร่ิม การส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ เข้าไปช่วยเหลือกองกำลังของฝร่ังเศส ต้ังแต่ปี 2493 เม่ือฝร่ังเศสถอนตัวออกไป ในปี 2497 สหรัฐฯ รีบส่ง “คณะที่ปรึกษาทางทหาร” (Military Advisors) ในจำนวนที่เพ่ิมข้ึนอยา่ งต่อเนอ่ื ง เข้าไปช่วย ฝึกอบรมใหก้ บั กองทพั เวียดนามใต้ ในทันที่ ในปี 2498 และเม่ือการถอนตัวของกองกำลังฝร่ังเศสเสร็จสมบูรณ์ ในปีต่อมา สหรัฐฯ ก็ได้เข้าให้การ สนับสนุนกองทัพเวียดนามใต้ อย่างเต็มที่ นับตั้งแต่น้ันมา และภายในปี 2506 สหรัฐฯ มี “คณะท่ีปรึกษาทาง ทหาร” ในเวียดนาม มากถงึ 21,000 คน และในปี 2511 ซง่ึ เป็นจดุ พลกิ ผนั สชู่ ัยชนะของเวียดนามเหนอื สหรัฐฯ มี คณะท่ปี รึกษาทางทหาร และกองกำลังรบในเวียดนามมากถึง 537,000 คน แม้การเจรจาสันติภาพท่ีกรุงปารีสเพ่ือยุติสงครามระหวา่ ง สหรัฐฯ และเวียดนามใต้ฝา่ ยหนึ่งกับเวียดนาม เหนือ และรัฐบาลปฏิวัติชั่วคราว (Provisional Revolutionary Government) อีกฝ่ายหน่ึง จะเริ่มข้ึนตั้งแต่ปี 2511 แต่การเจรจาดังกล่าว ก็ได้ยืดเย้ือเร่ือยมา สลับกับการสู้รบอย่างรุนแรง จนในที่สุด ทุกฝ่ายที่เก่ียวข้อง

16 สามารถบรรลุข้อตกลงได้ ในปี 2516 ซ่ึงเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับการท่ีกระแสต่อต้านสงครามเวียดนาม โดย ประชาชนสหรัฐฯ สูงถึงขีดสดุ รฐั บาลสหรฐั ฯ ถอนกองกำลังออกจากเวียดนามเกือบทัง้ หมด ขณะเดียวกัน รัฐสภา สหรัฐฯ ก็ได้แก้ไขกฎหมายจำกัดอำนาจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ให้ส่ังการปฏิบัติการทางทหารใด ๆ ใน เวียดนาม ลาว และกัมพูชา จนกว่าจะได้รับการยินยอมจากรัฐสภาเป็นการล่วงหน้า ทำให้ในท่ีสุดสหรัฐฯ ต้องลด บทบาทของตนในเวียดนามลงไปเรื่อย ๆ และถอนตัวออกไปจากเวียดนามโดยสมบูรณ์ ในเดือนเมษายน 2518 เมือ่ กองกำลังเวียดนามเหนือ ได้เข้ายดึ ครองนครไซง่อน ในขณะน้ัน ได้เปน็ ผลสำเรจ็ องคก์ ารสนธิสัญญาเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ (Southeast Asia Treaty Organization-SEATO) ภายหลงั จากการพ่ายแพอ้ ยา่ งราบคาบของกองกำลังฝรง่ั เศสในเวียดนามในปี 2497 และฝรง่ั เศสตอ้ งถอน ตัวออกจากเวยี ดนามในที่สุด นักวิชาการ และนกั ยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ เหน็ พอ้ งกันวา่ สภาวะสญู ญากาศดงั กล่าว จะเป็นการเปิดโอกาสให้ลัทธิคอมมิวนิสต์แพร่ขยายเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้อย่างง่ายดาย ดังน้ัน ในปี เดียวกัน สหรัฐฯ จึงได้ริเริ่มชักชวนให้มิตรประเทศ ร่วมลงนามในกติกามะนิลา (Manila Pact) และจัดตั้งองค์การ สนธสิ ัญญาเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ (Southeast-Asia Treaty Organization-SEATO) ขนึ้ มา ดงั ทก่ี ล่าวมาแลว้ หลักการของกติกามะนิลา (Manila Pact) ซ่ึงต่อมาเป็นพ้ืนฐานขององค์การสนธิสัญญาเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ (SEATO) คือ ประเทศท่ีร่วมลงนามจะถือว่า การคุกคามใด ๆ ด้วยการใช้กำลังอาวุธต่ออาณาบริเวณของ ความตกลงนี้ เป็นการรุกรานต่อทกุ ประเทศในความตกลง หรอื ตอ่ รฐั ใด ๆ หรือต่อเขตแดนใดของแต่ละประเทศที่ ประเทศที่เป็นภาคีในความตกลงเห็นเป็นฉันทามติว่า เป็นภัยอันตรายต่อสันติภาพและความปลอดภัยของตนเอง และของประเทศนั้น ๆ ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวน้ีขึ้น ประเทศในความตกลงนี้จะทำการปรึกษาหารือกันใน การเผชิญกับอนั ตรายรว่ มกนั โดยหลักการเบื้องต้นแล้ว ดูเหมือนว่า SEATO จะเป็นสนธิสัญญาพันธมิตรด้านความมั่นคง ที่เหมือนกับ องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO ของยุโรป แต่ในเน้ือแท้แล้ว SEATO มีความแตกต่างจาก NATO ค่อนข้างมาก เพราะในขณะที่ NATO มีกองกำลังทหารประจำ แต่ SEATO ไม่มี พันธกิจของ SEATO ภายหลังจากากรถูกคุกคามก็คือ การปรึกษาหารือกัน ด้วยเหตุนี้ผลที่เกิดข้ึนจริง ๆ ของ SEATO จึงเป็นผลด้าน การเมอื ง ไมใ่ ช่ผลทางด้านการทหาร เปน็ องคก์ รที่อำนวยการใหเ้ กดิ ความสมั พันธร์ ะหว่างประเทศในกรอบพหภุ าคี ในปี ค.ศ. 1961-1962 ไดเ้ กดิ สงครามกลางเมืองขึ้นในประเทศลาว โดยคอมมิวนิสต์ประเทศลาวใช้กองกำลังโจมตี รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรลาว (ซึ่งในขณะน้ันถือว่าวางตัวเป็นกลาง) เหตุการณ์ครั้งน้ีเป็นเคร่ืองพิสูจน์ว่า SEATO ไม่อาจมีประสิทธิภาพ ได้เนื่องจากการปฏิบัติการใด ๆ ของ SEATO ตามสนธิสัญญาได้ระบุไว้ว่า จะต้องได้รับ เสยี งเอกฉนั ทจ์ ากสมาชกิ ทัง้ 8 ประเทศเทา่ น้นั จากเหตุการณ์ดังกล่าว ประเทศไทย และสหรัฐอเมริกาจึงไดท้ ำข้อตกลงความมั่นคงรว่ มทีช่ ื่อ แถลงการณ์ ถนัดรัสก์ (Thanat Rusk Communique) ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างสหรัฐอเมริกาและไทย ช่วยให้สหรัฐอเมริกา สามารถส่งกองกำลังทหารเข้ามาช่วยไทยได้ หากถูกรุกรานจากคอมมิวนิสต์ โดยไม่ต้องรอมติเอกฉันท์จากสมาชิก ใน SEATO

17 การประชมุ สดุ ยอดคร้ังแรก หลังจากการถอนกำลังของสหรัฐอเมริกาออกจากเวียดนามในปี 2516 จวบจนชยั ชนะของเวียดนามเหนือ อันนำไปสู่การรวมตัวของเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ในปี 2518 น้ัน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มี ความรู้สึกเป็นกังวลต่อบทบาทของเวียดนาม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความกลัวในทฤษฎีโดมิโน และอีกส่วนหน่ึงมา จากข้อเท็จจริงท่ีว่า เวียดนามให้การสนับสนุนบทบาทของขบวนการคอมมิวนิสต์ในประเทศต่าง ๆ ท่ัวเอเชีย ตะวนั ออกเฉียงใต้ บทบาทของเวียดนามหลังปี 2518 จึงดูเป็นภัยคุกคามต่อประเทศประชาธิปไตย และเป็นตัวเร่งทำให้ ประเทศสมาชดิ สมาชิกของอาเซียนพยายามท่ีจะยกระดบั ความรว่ มมือระหว่างกนั และกนั ให้มากขึน้ ในวันท่ี 24 กุมภาพันธ์ 2519 ได้มีการประชุมผู้นำประเทศอาเซียน ซึ่งเป็นการประชุมสุดยอด (ASEAN Summit) ครั้งแรกที่เมืองบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ผลกค็ ือ การสรา้ งหลักการพ้ืนฐานที่เข้มแข็งมากขึ้นของประเทศสมาชิก อาเซียน ในลกั ษณะทไี่ ม่ไดส้ ร้างศตั รูกบั รฐั ในอินโดจีนแตป่ ระการใด ผลของการประชุมที่บาหลี คือ อาเซียนได้มีความก้าวหน้าในความร่วมมือระหว่างกัน ผ่านทางเอกสาร สำคัญ 2 ฉบับ ฉบับแรกได้แก่ สนธิสัญญาแถลงการณ์ร่วมกันของอาเซียน (Bali Concord) ซ่ึงในเอกสารฉบับน้ีมี แถลงการณ์ทางการเมอื งเป็นครั้งแรก ซ่งึ ได้ระบไุ วว้ า่ 1. การพบปะกันระหว่างหัวหน้ารฐั บาลจะเกดิ ข้ึนเม่อื มคี วามจำเป็น 2. ลงนามในสนธิสัญญามิตรไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia) 3. แก้ไขปญั หาความขดั แยง้ ภายในภูมภิ าคดว้ ยสันตวิ ธิ อี ยา่ งรวดเรว็ ที่สุด 4. ปฏิบัติตามและเคารพเขตแห่งสันติภาพ, เสรีภาพ และความเป็นกลาง (Zone of Peace, Freedom and Neutrality) อย่างเร่งด่วน และให้ได้มากทีส่ ดุ 5. ปรบั ปรุงกลไกในอาเซยี น เพ่ือเพิ่มความร่วมมือทางการเมือง 6. ศึกษาวิธีการพัฒนาความร่วมมือด้านกระบวนการยุติธรรม รวมไปถึงความเป็นไปได้ในการร่าง สนธิสญั ญาการสง่ ผูร้ ้ายขา้ มแดนในอาเซยี น 7. สร้างความเข้มแข็งของเอกภาพด้านการเมือง โดยการส่งเสริมให้ให้ทัศนะต่าง ๆ มีความผสมผสาน กลมกลนื กัน มคี วามรว่ มมอื กัน และแสดงออกอย่างเปน็ อันหน่ึงอันเดยี วกนั มากทส่ี ดุ เทา่ ท่จี ะทำได้ เอกสารสำคัญฉบับที่สองในการประชุมท่ีบาหลีคือ สนธิสัญญามิตรไมตรีและความร่วมมือในเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia) หลักการท่ีสำคัญในสนธิสัญญาน้ี คือ การระบุการไม่แทรกแซงกิจการภายในซ่ึงกันและกัน การตกลงความขัดแย้งในภูมิภาคด้วยสันติวิธี การไม่ใช้ กำลัง การข่มขู่ หรือคุกคามต่อกัน และเปิดโอกาสให้ชาติอ่ืนในภูมิภาคเข้ามาร่วมได้ ซึ่งต่อมาประเทศที่จะเข้าร่วม อาเซียนจะตอ้ งเป็นสมาชิกท่ีตกลงตามสนธสิ ญั ญาน้กี อ่ น แต่ไมร่ ับรองว่าผู้ท่ีอยูใ่ นสนธิสญั ญานจี้ ะไดเ้ ป็นสมาชิกของ อาเซียน เท่ากับว่า สนธิสัญญาฉบับนี้เป็นการเปิดโอกาสให้เป็นการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างสมาชิกอาเซียน และประเทศคอมมิวนิสตใ์ นเอเชียตะวันออกเฉียงใตน้ ่ันเอง

18 ทศวรรษแหง่ ความขัดแยง้ และการร่วมตวั ความขดั แย้งระหว่างสหภาพโซเวียตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ในทางภูมิรัฐศาสตร์ ประเทศไทยถือว่าเป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นจุด ศูนย์กลางของการเชื่อมต่อภายในภูมิภาค และส่วนต่าง ๆ ของทวีปเอเชีย ท้ังทางบกและทางอากาศ ดังนั้น ไม่ว่า จะมีอะไรเกิดข้ึน ในส่วนต่าง ๆ ของโลก โดยเฉพาะในด้านการเมืองและความมั่นคง ก็ย่อมจะมีผลกระทบต่อ ภมู ิภาคเอเชยี ตะวันออกเฉียงใตแ้ ละประเทศไทยอย่างหลีกเลยี่ งไมไ่ ด้ เม่ือสงครามโลกคร้ังท่ี 2 สิ้นสุดลง และประเทศอาณานิคมจำใจต้องละท้ิงดินแดนอาณานิคมของตนใน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภูมิภาคฯ ก็เร่ิมก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ซ่ึงเป็นยุคของการก่อร่างสร้างตัว และยุคของ ความไม่แน่นอน และสถานการณ์ได้เพ่ิมความละเอียดอ่อน และซับซ้อนมากข้ึน เม่ือเกิดสภาวะสงครามเย็น และ การแขง่ ขันเพ่อื ขยายเขตอทิ ธพิ ลระหว่างฝา่ ยเสรปี ระชาธิปไตย นำโดยสหรฐั ฯ และประเทศพนั ธมิตรท้งั ภายในและ ภายนอกภูมิภาคฯ และฝ่ายลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งนำโดยสหภาพโซเวียต จีน และมีพันธมิตรคือกลุ่มประเทศอินโด จนี และประเทศยโุ รปตะวันออก แต่ส่ิงที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น และยิ่งเพ่ิมความสลับซับซ้อน และความละเอียดอ่อน ให้กับภูมิภาค ก็คือ ความขัดแย้งระหว่างประเทศผู้นำคอมมิวนิสต์ด้วยกันเอง กล่าวคือ แม้ว่าสหภาพโซเวียต และสาธารณรัฐ ประชาชนจนี ต่างก็เป็นประเทศคอมมิวนิสต์ด้วยกัน และสหภาพโซเวียด ไดใ้ ห้การสนับสนุนแก่พรรคคอมมิวนิสต์ จนี มาโดยตลอดในการตอ่ สู้กบั รัฐบาลสาธารณรฐั จีน จนสามารถเข้ายึดอำนาจในจีนท้ังประเทศในทสี่ ุด นอกจากน้ี สหภาพโซเวียตยังได้ให้ความช่วยเหลือจีนในการพัฒนากองทัพและกำลังอาวุธ รวมทั้งอาวุธนิวเคลียร์ และการ ขยายเขตอิทธิพลของจีน และพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในคาบสมุทรเกาหลี และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ย่ิง พรรคคอมมิวนิสต์จีน เติบโตข้ึน การคิดต่างกับพรรคคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียต ในเร่ืองของนโยบาย และ อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ ก็เร่ิมท่ีจะมีความเด่นชัดขึ้นเร่ือย ๆ อาทิ ภายหลังสงครามโลกคร้ังท่ี 2 พรรคคอมมิวนิสต์ สหภาพโซเวียต มองว่า การอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างโลกทุนนิยม กับโลกคอมมิวนิสต์ เป็นส่ิงท่ีเป็นไปได้ ในขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์จีน นำโดย เหมา เจอ ตุง (Mao Zedong) ยึดถือคำสอนของคาร์ล มาร์กซ์ อย่าง เคร่งครัดว่า โลกทุนนิยม และโลกคอมมิวนิสต์ ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ และโลกทุนนิยมจะต้องถูกทำลายให้ส้ิน ซาก ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ในลักษณะนี้ ทวีความรุนแรงข้ึนเร่ือย ๆ จนกระทั่งถึงจุดแตกหักในปี 2504 เม่ือพรรคคอมมิวนิสต์จีนประณามว่า พรรคคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียต คือพวกท่ีทรยศต่อลัทธิคอมมิวนิสต์ และ พยายามบิดเบือนลัทธิคอมมิวนิสต์ (Revisionist Traitors) และประณ ามว่า นายกรัฐมนตรี นิกิตา ครุสชอฟ (Nikita Khrushchev) ของสหภาพโซเวียต เป็นทรราช ซ่ึงในปีต่อมาสหภาพโซเวียต กไ็ ด้ประณามตอบ โต้ เหมา เจอ ตุง ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน ว่าเป็นพวกกระหายสงคราม (Adventurist) และเบ่ียงเบน (Deviationist) จากลทั ธิคอมมวิ นสิ ต์ เช่นเดียวกนั ความแตกแยกระหว่างสหภาพโซเวียตและจีน ส่งผลกระทบท้ังในระดับโลก และระดับภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ ในระดับโลกนั้น สหภาพโซเวียตและจีน แข่งขันกันสร้างอิทธิพล ในแอฟริกา ตะวันออกกลาง

19 และแม้แต่ในยุโรปตะวันออก ด้วยการให้การสนับสนุนฝ่ายตรงข้ามท่ีสู้รบกันใน ในประเทศต่าง ๆ อาทิ โรดิเซีย ซมิ บับเว แองโกลา และโมซัมบกิ รวมทั้งในการสรู้ บกนั ระหว่าง เอธิโอเปยี และโซมาเลยี เมื่อเป็นที่ชัดเจนว่า จีนต้องการที่จะขยายเขตอิทธิพลของตนออกไป เพ่ือแข่งขันกับ ท้ังสหรัฐฯ และ สหภาพโซเวียต โดยไม่มีความประสงค์ใด ๆ ท่ีจะประนีประนอม หรือปรับความเข้าใจระหว่างกัน สหภาพโซเวียต จึงได้หันไปให้ความสำคัญต่อการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ และกลุ่มประเทศตะวันตกอย่างจริงจัง ตั้งแต่ต้น ทศวรรษท่ี 1960 (2503-2513) ซ่ึงเรียกว่าเป็นยุคของการผ่อนคลายความตึงเครียด (détente) และแม้ว่า ในช่วง เวลาดังกลา่ ว สหรัฐฯ และสหภาพโซเวยี ตจะมีการเผชิญหน้ากันอยมู่ าก ในส่วนตา่ ง ๆ ของโลก แต่ผู้นำสหรัฐฯและ สหภาพโซเวยี ต ก็ได้ใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องในการลดความตงึ เครียดระหวา่ งกัน ซ่ึงจุดสูงสุด ในยุคของการ ลดความตึงเครียดคือในเดือนพฤษภาคม 2515 เมื่อประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน (Richard M. Nixon) ของ สหรัฐฯ เดินทางไปเยือนสหภาพโซเวียตอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ดี ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพโซ เวียตก็กลับคืนมาอย่างเต็มรูปแบบอีกคร้ังหน่ึง เมื่อสหภาพโซเวียตตัดสินใจส่งกองกำลังเข้ายึดครองอัฟกานิสถาน ในเดือนธนั วาคม 2522 ในสว่ นของจีนนน้ั เมอ่ื ความสัมพนั ธก์ ับสหภาพโซเวียตเสื่อมทรามลงอยา่ งต่อเน่ือง ประกอบกับการเห็นได้ อย่างชดั เจนว่า สหรัฐฯ กับสหภาพโซเวียต เรม่ิ ใกล้ชดิ กันมากขน้ึ จีนจึงตระหนักว่า ตนเองเรมิ่ ถูกโดดเด่ยี ว และจีน คงไม่มีขีดความสามารถที่จะต่อสู้กับทั้งสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียตได้ พร้อม ๆ กัน ด้วยเหตุน้ี ในเดือนเมษายน 2514 จีนจึงเริม่ เปล่ียนท่าทีของตนต่อสหรัฐฯ อย่างชัดเจน เมื่อรัฐบาลจีนได้เชื้อเชิญให้นักกีฬาปิงปองทีมชาติของ สหรัฐฯ เยือนจีน เพ่ือแข่งขันปิงปองมิตรภาพ โดยรัฐบาลจีนเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ซึ่งถือเป็นชาวอเมริกัน กลุ่มแรก ที่ได้รับการเช้ือเชิญจากรัฐบาลจีนให้ไปเยือน ภายหลังจากที่จีนได้ประกาศตนเองเป็นประเท ศ คอมมิวนิสตเ์ มือ่ ปี 2492 การเยือนในคร้งั น้เี อง ท่ีทำให้ความสัมพันธท์ างการทูตระหว่างสหรัฐฯ และจีน ในช่วงนั้น ถูกขนานนามว่า “การทูตปิงปอง” (Ping Pong Diplomacy) ท้ังนี้ การฟ้ืนฟูความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ถึงจุดสูงสุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2515 เม่ือนาย ริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เดินทางไปเยือนจีนอย่างเป็น ทางการ และอีกเจ็ดปีหลังจากน้ัน คือปี 2522 นายเติ้ง เสี่ยว ผิง นายกรัฐมนตรีจีน ในขณะนั้น ก็ได้เดินทางเยือน สหรัฐฯ ซึง่ ถอื เปน็ ครั้งแรก นับตงั้ แตภ่ ายหลงั สงครามโลกครั้งท่สี อง ทีผ่ นู้ ำรนุ่ ใหม่ของจีนเดนิ ทางไปเยอื นสหรฐั ฯ ในส่วนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ น้ัน การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลก และท่าทีของ ประเทศมหาอำนาจในระดับโลก และในระดับภูมิภาค มีส่วนอย่างมากในการกำหนดแนวคิด และนโยบายของ ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถานการณ์การสู้รบในเวียดนาม และท่าทีของสหรัฐฯ ต่อเอเชีย ตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ น้ัน เริ่มส่งสัญญาณมาอย่างต่อเน่ือง นับต้ังแต่การท่ีประธานาธิบดี ลิ นดอน จอห์นสัน (Lyndon B. Johnson) ของสหรัฐฯ ซึ่งทุ่มเทกำลังพลและทรัพยากรต่าง ๆ เข้าไปในเวียดนาม อย่างต่อเนื่อง จนในต้นปี 2511 สหรัฐฯ มีกองกำลังอยู่ในเวียดนามมากถึง 550,000 คน แต่ขณะเดียวกัน กอง กำลังเวียดกง ก็มีความแข็งแกร่งมากข้ึนทุกขณะ และกระแสการต่อต้านสงครามเวียดนามในสหรัฐฯ ก็รุนแรงข้ึน ตามไปดว้ ย จนในท่ีสุดประธานาธิบดจี อห์นสัน สูญเสยี คะแนนนิยมทางการเมืองไปท้งั หมด จนสิ้นสุดวาระของการ เป็นประธานาธบิ ดี

20 เมื่อประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน (Richard M. Nixon) ข้ึนดำรงตำแหน่งในเดือนมกราคม 2512 ส่ิง แรกๆ ที่ดำเนินการคือการทยอยถอนกองกำลังของสหรฐั ฯ ออกจากเอเชียตะวันออก และเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะเวียดนาม ตามนโยบาย “สันติภาพอย่างมีเกียรติ” (Peace with Honor) ตามท่ีได้หาเสียงเลือกต้ังไว้ ซึ่งขณะน้ัน ภารกิจหลักของประธานาธิบดี นิกสัน คือการยุติสงครามเวียดนามให้จงได้ ด้วยเหตุนี้ ในเดือน กรกฎาคม 2512 ประธานาธิบดี นิกสัน จึงได้มีถ้อยแถลงสำคัญท่ีเกาะกวม (Guam) โดยมีใจความหลักว่า แม้ว่า สหรัฐฯ จะยังคงเคารพในข้อผูกพันด้านความม่ันคงที่สหรัฐฯ มีกับมิตรประเทศต่างๆ ในเอเชีย แต่ประเทศต่างๆ ดังกล่าว ควรจะต้องพ่ึงพากองกำลังของตนเองเป็นหลัก ในการดูแลความม่ันคงของตน ในกรณีที่เกิดการรุกราน จากภายนอก ผลของคำประกาศดังกล่าว ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักและมีชื่อเรียกกันอย่างแพร่หลายว่า ประกาศหลักการนิก สัน (Nixon Doctrine) นั้น คือการประกาศการถอนตวั ของสหรฐั ฯ ออกจากเอเชยี ตะวันออก และเอเชยี ตะวนั ออก เฉียงใต้ น่ันเอง ซึ่งก็หมายความว่า ต่อจากน้ันมา สมาคมสนธิสัญญาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEATO) หมด ความหมาย และประเทศต่าง ๆ ในภมู ิภาคตอ้ งพ่ึงพาตนเอง การขยายอิทธิพลของเวยี ดนาม ในขณะที่สถานการณ์การสู้รบในอินโดจนี มีความรุนแรงถึงขีดสุด คือประมาณปี 2511 ซึ่งสหรัฐฯ ได้เพิ่ม กองกำลังในเวียดนามขึ้นเป็น 550,000 คน นั้น อาเซียนได้ก่อตั้งขึ้นมาเกือบหนึ่งปี แล้ว และหลังจากนั้น สถานการณ์การสู้รบท่ีรุนแรงขึ้น การสูญเสียเพิ่มข้ึน รวมทั้งกระแสการคัดค้านสงครามในสหรัฐฯ ทำให้รัฐบาล สหรัฐฯ ในยคุ ของประธานาธบิ ดีจอห์นสนั และต่อมาประธานาธิบดี นกิ สัน ต้องถอยหา่ งออกมาจากเวียดนามเรือ่ ย ๆ รวมทั้งถอยห่างจากพันธสัญญาความม่ันคงร่วม ที่มีกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค โดยเฉพาะในกรอบของ องค์การสนธิสัญญาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEATO) ทำให้ช่วงเวลาดังกล่าว เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนสำหรับ ประเทศสมาชกิ สมาคมอาเซยี น และทกุ ประเทศในภูมิภาคเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ ความไม่แน่นอน และความวิตกกังวลของประเทศสมาชิกอาเซียน ซ่ึงเร่ิมมีความชัดเจนตั้งแต่ สหรัฐฯ เวยี ดนามใต้ และเวียดนามเหนือ ได้รว่ มลงนามในสญั ญาสนั ตภิ าพ ทีก่ รุงปารสี ในปี 2516 กลายเปน็ สถานการณ์ท่ี น่าวิตกกงั วลย่ิงข้ึนในเดือนเมษายน 2518 เมื่อเมืองไซงอ่ น เมืองหลวงและท่ีม่ันสุดท้ายของรัฐบาลเวียดนามใต้ ถูก ยึดครองโดยสมบรู ณ์ โดยกองกำลงั เวียดนามเหนือ ผลของสงครามการรวมชาติเวียดนามน้ี ทำให้เวียดนามเหนือมีความภาคภูมิใจว่า ตนสามารถเอาชนะ ฝรั่งเศสและสหรัฐฯ ได้ ซ่ึงเป็นประเทศมหาอำนาจท้ังในโลกเก่าและโลกใหม่ และในขณะเดียวกันเวียดนามก็มี ความม่นั ใจว่า ด้วยการสนบั สนนุ ของสหภาพโซเวียต ตนอยู่ในฐานะที่จะสามารถขยายเขตอทิ ธิพลในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ได้ ด้วยเหตุน้ี เวียดนามจึงได้นำกองกำลังบุกเข้าประเทศลาวและกัมพูชา จนประชิดชายแดน ไทย ด้วยความฝันท่ีจะสร้างสหพันธรัฐอินโดจีน (Indochina Federation) นอกจากน้ียังได้ส่งกองกำลังทหารเข้า ไปโจมตกี องกำลงั ของจีนและหมูบ่ า้ นคนจีน ในบรเิ วณชายแดนเวียดนามและจีนอีกดว้ ย

21 จีนมองการกระทำของเวียดนามว่า เป็นส่วนหน่ึงของความพยายามของสหภาพโซเวียต ในการแผ่ขยาย อิทธิพลเข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพ่ือปิดล้อมจีน ซึ่งจีนไม่อาจจะน่ิงเฉยได้ โดยเฉพาะเม่ือเดือน พฤศจิกายน 2521 สหภาพโซเวียตและเวียดนาม ได้ร่วมลงนามในสนธิสัญญาป้องกันร่วม (mutual defense treaty) มีอายุ 25 ปี ระหว่างกัน และในเดือนมกราคม 2522 กองกำลังเวยี ดนามกว่า 150,000 นาย ได้บุกเข้ายึด ครองกัมพูชา และขับไล่รัฐบาลประชาธิปไตยกัมพูชา (Democratic Kampuchea) หรือรัฐบาลเขมรแดงภายใต้ นายพอล พต ซึ่งจีนช่วยจัดต้ังขึ้นตั้งแต่เดือนมกราคม 2519 ได้เป็นผลสำเร็จ และได้จัดต้ังรัฐบาลใหม่ซึ่งเป็นมิตร กับเวียดนามขึ้นแทน (People’s Republic of Kampuchea) ดังนั้น ในท่ีสุด ในเดือนกุมภาพันธ์ 2522 จีนจึง ตัดสินใจส่ังสอนให้บทเรียนแก่เวียดนาม (teach Vietnam a lesson) ด้วยการเคลื่อนกองกำลังทหารกว่า 250,000 แสนนาย และรถถังอีก 400 คัน ข้ามชายแดนทางภาคเหนือของเวียดนาม และได้ยึดครองจังหวัดลาโซ (Lang Son) ทางใต้ของมณฑลกวางสี (Guangxi) ของจีน รวมระยะเวลา 17 วัน ก่อนที่จะถอนกองกำลังกลับ ประเทศจีนในที่สุด สงครามกลางเมอื งในกมั พูชา ภายหลังสงครามโลกคร้ังที่สองสิ้นสุดลง กัมพูชาได้ประกาศเอกราชด้วยความยินยอมของฝร่ังเศสเม่ือ เดือนพฤศจิกายน 2496 และความยินยอมดังกล่าว ได้รับการตอกย้ำโดยสนธิสัญญาเจนีวา (Geneva Accords) ในปี 2497 ซ่ึงเป็นส่วนหน่ึงของการประชุมที่นครเจนีวา (Geneva Conference) เก่ียวกับคาบสมุทรเกาหลี และ อนิ โดจีน ซง่ึ เป็นการประชมุ ต่อเน่ืองกัน ความตกลงกับฝรั่งเศส และสนธิสัญญาเจนีวา ทำให้กัมพูชาได้รับเอกราชจากฝร่ังเศสอย่างเต็ม รูปแบบ กษัตริย์ของกัมพูชาในขณะนั้นคือ เจ้านโรดม สีหนุ ผู้ซึ่งทำงานอย่างแข็งขันนับต้ังแต่สงครามโลกคร้ังท่ี สองได้ส้ินสุดลง เพ่ือนำอิสรภาพและเอกราชมาสู่กัมพูชา เพื่อให้กัมพูชาหลุดพ้นจากภัยคุกคามจากญ่ีปุ่น ฝรั่งเศส และเวียดนาม หรือทีเ่ รยี กว่า การรณรงคต์ ่อสู้ของพระองค์เพ่อื เอกราช (royal crusade for independence) การต่อสู้เพื่อเอกราชของกัมพูชา โดยกษัตริย์สีหนุ นั้น เป็นที่ชื่นชมของนกั ประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ เพราะนอกจาก จะดำเนินการด้วยความมุ่งม่ันกล้าหาญแล้ว ยังแฝงไปด้วยความชาญฉลาดในการโน้มน้าวแรงสนับสนุนจาก ประเทศมหาอำนาจ และมิตรประเทศอื่น ๆ จน ญ่ีปุ่น เวียดนาม และฝรั่งเศส ต้องยอมจำนนต่อแรงกดดันของ นานาชาติ ในทส่ี ุด ภายหลังได้รบั เอกราช กัมพูชากก็ ลับเข้าสู่สภาวะการแข่งขันช่วงชงิ อำนาจทางการเมือง ซง่ึ เร่ิมขึน้ ตั้งแต่ปี 2489 เม่ือกัมพูชามีการเลือกต้ังทั่วไปครั้งแรก ภายใต้การควบคุมของฝรั่งเศส ทั้งนี้ นับต้ังแต่ การเลือกตั้งคร้ังแรก ในปี 2489 จนมาถึง การประกาศเอกราชในปี 2496 กัมพูชาปกครองด้วยระบบประชาธิปไตย โดยมี พระมหากษัตริย์เป็นประมุข และภายในช่วงระยะเวลาส้ันๆ ดังกล่าว ได้มีนายกรัฐมนตรีมาแล้วถึง 9 คน โดยมี นายกรัฐมนตรีเสียชีวิตในตำแหน่งถึงสองคน คือเจ้าสีสุวัตถ์ิ ยุทธวงศ์ (Prince Sisowath Yutevong) หัวหน้า พรรคประชาธิปไตย (Democratic Party) ซ่ึงเสียชีวิตอย่างลึกลับ ภายหลังอยู่ในตำแหน่งได้เพียงประมาณสอง เดือน และนายเอียว โกเอียส (Ieu Koeus) อดีตประธานรัฐสภา ถูกลอบสังหาร หลังจากทำหน้าที่รักษาการณ์

22 นายกรัฐมนตรี ได้เพียงเก้าวัน ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว กษัตริย์สีหนุ จำเป็นต้องประกาศยุบสภาถึงสองคร้ัง (กันยายน 2492 และ มกราคม 2496) เม่ือเป็นท่ีชัดเจนว่า นักการเมืองพรรคต่าง ๆ และกลุ่มต่าง ๆ ในแต่ละ พรรค ไมม่ ีท่าทีผอ่ นปรนตอ่ กัน และจอ้ งที่จะทำลายลา้ งกัน สถานการณ์ทางการเมืองภายหลังการประกาศเอกราช ไม่ได้ดีขึ้นเท่าไรนัก สนธิสัญญาเจนีวา กำหนดให้ กัมพูชามีการเลือกตั้งท่ัวไปในปี 2498 กษัตริย์สีหนุ ซึ่งอึดอัดกับสถานการณ์ทางการเมืองในกัมพูชามาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างย่ิงกับการท่ีพรรคประชาธิปไตย ซึ่งเริ่มที่จะเอนเอียงเข้าหาลัทธิสังคมนิยม และคอมมิวนิสต์ มาก ขึ้นทุกขณะ ได้รับคะแนนนิยมเหนือพรรคการเมืองอื่นอย่างต่อเน่ือง และรัฐธรรมนูญ ที่ได้จัดทำข้ึนในปี 2490 จำกัดอำนาจการบริหารงานของรัฐบาล จนรัฐบาลท่ีมาจากการเลอื กตั้ง ไมส่ ามารถบริหารประเทศได้ กษัตริยส์ ีหนุ จึงได้ตัดสินใจคร้ังสำคัญอีกครั้งหน่ึงด้วยการสละราชบัลลังก์ ให้กับ พระบาทสมเด็จพระนโรดม สุ รามฤต (Norodom Suramarit) บิดาของตนเอง ในเดือนมีนาคม 2498 และจดั ต้ังกลมุ่ ทางการเมืองขึ้นมา ชื่อว่า สังคมรัฐ นิยม (Sangkum Reastr Niyum) ซ่ึงทำหน้าที่เป็นพรรคการเมืองในเวลาเดียวกัน เพ่ือเตรียมการสำหรับการ เลอื กต้ัง ในเดือนกนั ยายน 2498 ซึ่งต่อมาผลของการเลือกตง้ั คือ สังคมรัฐนิยม ชนะการเลือกตั้ง ด้วยคะแนน 82.7 ได้ทน่ี ง่ั ท้ังหมดคือ ทัง้ 91 ที่นั่งในสภานิติบัญญัตกิ มั พชู า ทำให้เจ้าสีหนุ ไดร้ ับการแต่งตง้ั เป็นนายกรัฐมนตรี อยา่ งไร ก็ดี เป็นที่ชัดเจนว่า มีการทุจริตการเลือกต้ังในเกือบทุกขั้นตอน เพ่ือเอื้อประโยชน์ให้กับ สังคมรัฐนิยม รวมทั้งมี การเปล่ียนบัตรลงคะแนนเสียงในหลายเขตเลือกตั้ง ซึ่งทำให้แม้แต่พ้ืนท่ีของพรรคประชาธิปไตยเอง ผู้สมัครของ พรรค กแ็ ทบจะไมไ่ ด้รบั คะแนนเสียง อย่างไรก็ดี ต่อมารัฐบาลของเจ้าสีหนุ เริ่มปราบปรามฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ทั้งที่เป็นฝ่ายคอมมิวนิสต์ และท่ี ไมใ่ ชค่ อมมวิ นิสต์ อย่างหนกั หน่วง รวมท้งั ลอบสังหารนกั การเมอื งฝ่ายค้าน ทำให้แนวร่วมของผูต้ ่อตา้ นรฐั บาลเจา้ สี หนุ มีจำนวนสมาชิกเพ่ิมข้ึนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเม่ือ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2502 เจ้าสีหนุได้รับรายงานว่า สหรัฐฯ ได้ร่วมมือกับกลุ่มนักการเมืองท่ีล้ีภัยอยู่ในจังหวัดเสียมราฐ กลุ่มเขมรเสรี รวมท้ังรัฐบาลไทย ในการ วางแผนโค่นอำนาจของเจ้าสีหนุ โดยมีแผนการ ซ่ึงมาเป็นที่รู้จักกันในนามว่า “แผนการท่ีกรุงเทพฯ” หรือ Bangkok Plot แต่ในท่ีสุดแล้วเจ้าสีหนุ ก็สามารถใช้กองกำลังกวาดล้างคณะผู้ก่อการกลุ่มนี้ได้สำเร็จ เหตุการณ์ท่ี เกิดข้ึนหลังสุดน้ี ทำให้เจ้าสีหนุ หมดความเชื่อถือสหรัฐฯ และเปล่ียนมาเชื่อว่า ในท่ีสุดแล้ว ประเทศท่ีน่าจะพ่ึงพิง ได้มากทีส่ ุด ก็ควรจะเป็นจนี และภายในปี 2506 กมั พชู าก็เร่มิ รบั ความช่วยเหลอื ทางทหารจากจนี การสรู้ บในอินโดจีน และในกัมพูชาตลอดช่วงเวลาหลังสงครามโลกคร้งั ที่สอง เปน็ ต้นมา โดยเฉพาะในช่วง สงครามเวยี ดนาม ได้สรา้ งภาระด้านสิทธมิ นุษยชนให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก เนอื่ งจากมปี ระชาชนผ้หู ลบภัย สงคราม จำนวนหลายแสนคน หนีเข้ามาสู่ชายแดนไทย เป็นจำนวนมากอย่างต่อเน่ือง และในเวลาเดียวกัน กอง กำลังของกมั พชู าฝ่ายต่าง ๆ ทพี่ ่ายแพจ้ ากการสู้รบกบั กองกำลังเวยี ดนาม กห็ นีมาหาท่พี ึ่งพิงตามแนวชายแดนไทย- กมั พชู า เช่นเดียวกนั

23 อาเซยี นกบั ปัญหากมั พูชา การเข้ายึดครองกัมพูชาโดยกองกำลังเวียดนาม ถือเป็นปรากฏการณ์ การใช้กำลังทหารเข้ายึดครอง ประเทศอธิปไตยอีกประเทศหน่ึง ท่ีเกิดข้ึนเป็นคร้ังแรกในภูมิภาค นับต้ังแต่สิ้นสุดสงครามโลกคร้ังที่สอง ซ่ึงเป็น การกระทำที่ขัดกับหลักการของสหประชาชาติ และหลักกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดแจ้ง ที่สำคัญคือ กัมพูชามีชายแดนร่วมกันไทย เป็นระยะทาง 798 กิโลเมตร ซ่ึงนอกจากเป็นการสร้างภาระด้านมนุษยธรรมให้ ประเทศไทยต้องแบกรับแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังมีความล่อแหลมต่อความม่ันคงของประเทศไทยอีกด้วย ในเม่ือ มีกองกำลังเวยี ดนามเปน็ จำนวนมากมาประชดิ ชายแดนไทย ด้วยเหตนุ ้ีประเทศไทย และประเทศสมาชกิ อาเซยี น จงึ ไม่อาจยอมรับสถานการณ์ทีเ่ กิดข้นึ ได้ ไมว่ ่ารัฐบาล เขมรแดงที่ถกู โคน่ ล้มไป จะเลวร้ายเพียงใด และจะตอ้ งทำทุกวิถที างเพ่อื ให้เวียดนามยอมถอนกองกำลังออกไปจาก กัมพูชาโดยเร็วท่ีสุด ดังนั้น ในวันท่ี 12 มกราคม 2522 พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกรัฐมนตรีไทย ในขณะ น้ัน จึงได้เรียกประชุมพิเศษของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอาเซียน ที่โรงแรมโอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ เพื่อปรึกษาหารือระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมอาเซียน และร่วมกันออกแถลงการณ์ “ประณามการ ใช้กำลังอาวุธรุกรานเอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชา” เรียกร้องให้กองกำลัง “ต่างชาติ” ท้ังหมดถอนตัวออกไปจากกัมพูชาในทันที และ “เรียกร้องอย่างแข็งขันให้คณะมนตรีความม่ันคงแห่ง สหประชาชาติ พิจารณาใช้มาตรการที่เหมาะสมในการฟ้ืนฟู สันติภาพ ความมั่นคง และเสถียรภาพในภูมิภาคให้ กลับคืนมา” การออกแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอาเซียน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ หลายๆ อย่าง ประการแรกคอื เป็นการประกาศท่าทีทางการเมืองและความมั่นคง ต่อต้านและประณามการกระทำ ของประเทศเพ่ือนบ้าน ในภูมิภาคเดียวกัน อันเป็นท่าทีซึ่งประเทศสมาชิกอาเซียนบางประเทศไม่สะดวกใจนัก เพราะมองว่า เป็นท่าทีที่แข็งกร้าวมากจนเกินไป และไม่เปิดช่องให้เวียดนามได้ถอย ประการท่ีสองคือ การ ยกระดับปัญหาความขัดแย้งภายในภูมิภาค ข้ึนสู่ระดับโลก โดยเฉพาะในเวทีของคณะมนตรีความมั่นคงแห่ง สหประชาชาติ ซ่ึงทำให้เด่นชัดยิ่งข้ึนว่า ผู้ท่ีเก่ยี วข้องในปัญหามีผู้ใดบ้าง และเบื้องหลังของผู้ทเ่ี กยี่ วข้อง แต่ละฝ่าย มีประเทศใดอยู่เบื้องหลังบ้าง และประการที่สาม คือ แถลงการณ์ร่วมดังกล่าว เป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดการรวมตัว กันของเขมรฝ่ายต่าง ๆ เพ่ือต่อต้านการรุกรานของเวียดนาม และในช่วงต่อมาเพ่ือร่วมกันเจรจาหาทางออกและ กำหนดอนาคตให้กับกมั พชู า ยุทธศาสตรข์ องประเทศสมาชิกอาเซยี นในขณะนั้น เป็นการดำเนินการ ในสองดา้ นพร้อม ๆ กัน คือกดดัน เวียดนามในระดับเวทีโลก เพ่ือให้เวียดนามยอมถอนกองกำลังทง้ั หมดออกจากกมั พชู าโดยเร็ว (และไมร่ ุกรานตอ่ มา ยังประเทศไทย) และอีกแนวทางหนึง่ คือ จัดให้มีการเจรจาในสองกรอบคือ กรอบที่หนึ่ง ระหว่างเวียดนามกับกอง กำลังกัมพูชาฝ่ายต่าง ๆ และกรอบท่ีสอง คือการเจรจาระหว่างกองกำลังกัมพูชา ฝ่ายต่าง ๆ ด้วยกันเอง เพื่อ ร่วมกันกำหนดอนาคตของกมั พชู า ในเร่ืองแรกน้ัน ประเทศสมาชิกสมาคมอาเซียน ต้องทำงานหนักตั้งแต่เร่ิมแรก เม่ือในเดือนกันยายน 2522 ในการเร่ิมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ คร้ังที่ 34 ทั้งรัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตย (DK) และรัฐบาล

24 สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา (PRK) ต่างย่ืนสารตราตั้งต่อสหประชาชาติ เพื่อเป็นผู้แทนท่ีถูกต้องของกัมพูชา ใน การเข้าร่วมการประชุมใหญ่ของสมัชชาสหประชาชาติ ซ่ึงต่างฝ่าย ต่างก็กล่าวหาซ่ึงกันและกันว่า ไม่ได้เป็นตัว แทนที่แทจ้ ริงของประชาชนกมั พชู า เมื่อเวลาผ่านไป ประเทศสมาชิกอาเซียน เห็นว่า การโน้มน้าวให้ประชาคมโลก ให้การรับรองรัฐบาล กัมพูชาประชาธิปไตย อย่างต่อเนื่องนั้น น่าจะเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะเม่ือรัฐบาลดังกล่าว มีประวัติในการเข่นฆ่า ประชาชนของตนเอง แม้ว่าจะเป็นรัฐบาลท่ีมีความชอบธรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศก็ตาม ดังนั้น ในเดือน มิถุนายน 2525 จึงมีการจัดต้ังรัฐบาลผสมสามฝ่าย ภายใต้ช่ือรัฐบาลผสมประชาธิปไตยกัมพูชา (Coalition Government of Democratic Kampuchea – CGDK) ข้ึน อันประกอบด้วยรัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตย ของ ฝ่ายเขมรแดง รัฐบาล FUNCINPEC ของฝ่ายเจ้าสีหนุ และรัฐบาล แนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติประชาชนเขมร (Khmer People’s National Liberation Front – KPNLF) ของนายซอนซาน รัฐบาลผสมดังกล่าว เป็นผลจาก การหารือกันระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน กลุ่มประเทศตะวันตก ที่คัดค้านการกระทำของเวียดนาม และกอง กำลังกัมพูชาฝ่ายต่าง ๆ ท่ตี ่อต้านเวียดนามและรัฐบาลเฮง สมั ริน โดยรัฐบาลผสมท่ีตั้งขึ้นใหม่นี้ มีเจ้านโรดม สีหนุ เป็นประมุขแห่งรัฐ ในส่วนของการเจรจาระหว่างเวียดนาม กับฝ่ายต่าง ๆ ของกัมพูชา และประเทศอื่น ๆ ท่ีเกี่ยวข้องนั้น อินโดนีเซีย และมาเลเซีย เริ่มต้นด้วยการประกาศ “หลักการกวนตัน” (Kuantan Principle) ในปลายเดือน มีนาคม ) ซยี เร่ิมต้นด้วยการประกาศ หลักการบาล ดังน้นั 2523 เพื่อโนม้ น้าวให้เวียดนาม ถอนตวั ออกมาจากการ ต้องพ่ึงพิงสหภาพโซเวียต แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จนัก ในเดือนกรกฎาคม 2524 มีการประชุมระหว่างประเทศ ว่าด้วยกัมพูชา (International Conference on Kampuchea – ICK) ข้ึนที่นครนิวยอร์ก ซ่ึงริเร่ิมโดยประเทศ สมาชิกอาเซียน โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมรวม 92 ประเทศ แต่สหภาพโซเวียต เวียดนาม และรัฐบาลเฮง สัมริน ปฏเิ สธทจ่ี ะเขา้ รว่ มการประชมุ ดงั กลา่ ว กล่าวได้ว่า บทบาทของประเทศไทยและสมาคมอาเซียน ในการแก้ไขปัญหากัมพูชาน้ัน ถือเป็น ความสำเร็จสูงสุดของสมาคมอาเซียน ในด้านการเมืองความม่ันคง เพราะนอกจากจะสามารถป้องกันความขัดแย้ง ระหวา่ งประเทศมหาอำนาจ ไม่ให้ลุกลามจนเป็นภัยต่ออธปิ ไตยของประเทศไทย สามารถที่จะร่วมมือกับทุกฝา่ ยใน การแก้ไขปัญหาด้านมนุษยธรรม และสิทธิมนุษยชนแล้ว ประเทศไทยและประเทศสมาชิกอาเซียน ยังมีบทบาท สำคัญในการทำงานร่วมกับทุกฝ่าย โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจ และองค์การสหประชาชาติ ในการนำสันติภาพ และประชาธิปไตยกลับคืนมาสู่กัมพูชา รวมท้ังร่วมฟื้นฟู การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของกัมพูชา ให้กลับคืนมา ด้วย ซึ่งบทบาทของประเทศไทย และสมาคมอาเซียน ในด้านการเมืองความมั่นคง เป็นท่ียอมรับของทุกฝ่าย และ ส่งผลให้อาเซียน สามารถมีบทบาทที่สูงขึ้นในด้านการการเมืองความมั่นคง ในเวทีภูมิภาค และเวทีโลก ได้อย่าง เต็มภาคภูมใิ นเวลาต่อมา

25 การประชมุ อาเซียนวา่ ด้วยความมนั่ คงของเอเชียและแปซฟิ ิก ภายหลังจากการส้ินสุดปัญหากัมพูชา ประเทศสมาชิกของอาเซียน ได้หันกลับมาทบทวนบทบาทของ อาเซียนในภาพใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เน่ืองจากในยุคของปัญหากัมพูชาน้ัน เวลา ทรัพยากร และความสนใจของ อาเซียน ล้วนมุ่งไปท่ีปัญหากัมพูชา และความเก่ียวข้องของประเทศมหาอำนาจในภูมิภาค ส่วนความร่วมมือทาง เศรษฐกิจ สงั คม และวัฒนธรรม นน้ั แม้จะดำเนินไปอย่างต่อเน่ือง แต่ก็ดำเนินไปในกรอบที่ค่อนขา้ งจำกัด ไม่ค่อย มีผลงานเป็นรูปธรรม และไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าใดนัก ทั้งจากภายในภูมิภาคและภายนอกภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉยี งใต้ ใน เวลาเดียวกัน อีกเร่ืองหนึ่งท่ีมีความสำคัญไม่ด้อยกว่ากัน และประเทศสม าชิกอาเซียน ต้องการเร่ง ดำเนินการ คือ การวางระเบียบให้กับสถาปัตยกรรมด้านความมนั่ คง (Security Architecture) ของภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ สาเหตุท่ตี ้องจัดวางระเบียบด้านความมั่นคงภายในภูมิภาคก็เพราะ นับต้ังแตส่ ิ้นสุดสงครามโลก ครั้งท่ีสองเป็นต้นมา ภูมิภาคฯ ก็ตกอยู่ในสภาวะของความไม่แน่นอน และความแปรปรวนในสถานการณ์ความ ม่ันคง มาโดยตลอด เมื่อเกิดสถานการณ์ในกัมพูชา ความไม่แน่นอน และสภาวะขาดความม่ันคง และขาด เสถยี รภาพ กย็ งิ่ ทวีความรุนแรงขน้ึ อีก และในที่สุด เม่ือสถานการณ์ในกัมพูชาส้ินสุดลง ซง่ึ สว่ นหน่ึงเป็นผลจากการ ลม่ สลายของสหภาพโซเวียต และการสิ้นสุดสงครามเย็น คำถามก็คือ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ควรจะก้าว ไปในทิศทางใด ควรจะมีบทบาทอย่างไรในเวทีโลก และที่สำคัญที่สุดคือ จะทำอย่างไรกับช่องว่างด้านความมั่นคง (Security Vacuum) ทเ่ี กิดข้ึน เม่อื สหรัฐฯ ถอนตวั ออกจากภมู ิภาคไปตัง้ แตป่ ี 2518 สหภาพโซเวียตถกู ลดบทบาท ลงจนเกอื บไมม่ เี หลือ และจีนกลายเปน็ ประเทศมหาอำนาจเดยี วทีห่ ลงเหลืออยู่ในภูมภิ าค จากโจทย์ข้างต้นน้ีประเทศสมาชิกอาเซียน จึงมองเห็นถึงความสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับ ความร่วมมือภายในภูมิภาค ทั้งในทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และการจัดระเบียบความสัมพันธ์ในด้าน ความมนั่ คงภายในภมู ิภาคฯ และความสมั พนั ธ์ทีม่ ตี อ่ ประเทศต่าง ๆ ภายนอกภมู ภิ าค ไปพร้อม ๆ กัน จากความจำเป็นข้างต้นก้าวสำคัญของอาเซียนในการกำหนดทิศทางในอนาคต ด้านการเมืองความมั่นคง ของภูมิภาค และขณะเดยี วกนั การสง่ เสรมิ ความร่วมมอื ทางเศรษฐกิจ สงั คม และวฒั นธรรม อย่างจรงิ จัง ทง้ั ภายใน ภูมิภาคฯ และกับประเทศต่างๆ ภายนอกภูมิภาค จึงเกิดขึ้นที่การประชุมสุดยอด ครั้งที่ 4 ของสมาคมอาเซียนที่ สิงคโปร์ เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2535 ในการประชุมดังกล่าวผู้นำของประเทศสมาชิกอาเซียนท้ังหกประเทศใน ขณะนนั้ ได้แถลงเจตจำนง (ก) ท่ีจะยกระดับความร่วมมือทางการเมือง และเศรษฐกิจ เพ่ือให้มีสันติภาพ และความม่ังค่ัง ในภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ (ข) ส่งเสริมระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศ แบบเปิด ด้วยการกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ภายในภูมิภาคฯ (ค) แสวงหาลู่ทางใหม่ ๆ ในการสง่ เสรมิ ความร่วมมอื ด้านความม่นั คง (ง) ดำเนินความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับ ประเทศต่างๆ ในอินโดจีน ภายหลังการส้ินสุดความขัดแย้งใน กมั พูชา

26 ในด้านความมั่นคง นั้น นอกเหนือจากการแสดงเจตนาที่จะทำให้เกิด เขตสันติภาพ อิสรภาพ และความเป็นกลาง (Zone of Peace, Freedom and Neutrality – ZOPFAN) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี 2514 แล้ว ประเทศสมาชิกสมาคมอาเซยี น ยงั ได้เชิญชวนให้ประเทศต่างๆ ภาคยานุวัติ สนธสิ ัญญามิตรภาพและความร่วมมือ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia-1976) ปี 2519 อีกด้วย นอกจากน้ี ผู้นำประเทศสมาชิกสมาคมอาเซียน ยังได้แสดงเจตนา ประกาศให้ภูมิภาคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ เป็น เขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ (ซ่ึงอีกสามปีต่อมา ประเทศสมาชิกสมาคมอาเซียนก็ได้ร่วมลงนามในสนธิสัญญาเขต ปลอดอาวุธนิวเคลียร์ ในเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ หรอื Southeast Asia Nuclear Weapon Free Zone Treaty – SEANWFZ) ปี 2538 ในส่วนของเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม การประชุมสุดยอดในคร้ังนี้ เป็นครั้งแรกท่ีประเทศสมาชิก สมาคมอาเซียน ประกาศเจตนาอย่างแน่วแน่ท่ีจะกอ่ ตัง้ เขตการค้าเสรีอาเซียน หรือ ASEAN Free Trade Area – AFTA) เพ่ือส่งเสรมิ การค้า การลงทุน และการพฒั นาอุตสาหกรรม ท่ีเชื่อมต่อกันภายในภูมิภาค รวมท้ังส่งเสริมให้ มกี ารไหลเวียนของเงนิ ทุนระหว่างประเทศต่าง ๆ อย่างเป็นอิสระมากขึน้ และมีโครงสร้างพ้ืนฐานที่สอดรบั กันมาก ขึน้ ซึง่ จะไดก้ ลา่ วถงึ เปน็ ลำดับต่อไป ความร่วมมือในกรอบ “การประชุมอาเซียนว่าด้วยความรว่ มมือด้านการเมืองและความม่ันคง ในภูมิภาค เอเชยี -แปซฟิ ิก (ASEAN Regional Forum-ARF) สถาปัตยกรรมด้านความม่นั คงภายในภมู ิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ท่ีเปลีย่ นแปลงไป ภายหลังการถอน ตัวของกองทัพสหรัฐฯ การล่มสลายของสหภาพโซเวียต และการที่จีนและเวียดนามยุติความขัดแย้งในกมั พูชา ทำ ให้ผู้นำประเทศสมาชิกสมาคมอาเซียน เห็นพ้องกันถึงความจำเป็นท่ีจะต้องแสวงหารูปแบบ และกฎระเบียบใหม่ ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในการประชุมสุดยอดอาเซียน ในเดือน มกราคม 2535 ได้ร่วมกันแถลงเจตจำนงท่ีจะยกระดับความสัมพันธ์และความร่วมมือ ด้านการเมือง ความมั่นคง กบั ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้มากขึ้น รวมทั้งแสวงหาลู่ทางใหม่ ๆ ในการร่วมมือระหว่างประเทศ สมาชิกอาเซียน ในด้านความมั่นคง เพื่อสันติภาพและความม่ันคงร่วมกันทุกฝ่าย ซ่งึ การออกคำแถลงการณ์ในคร้ัง น้ี ถือเปน็ ถอ้ ยแถลงดา้ นการเมืองความมน่ั คงในกรอบใหญ่ เป็นครัง้ แรกในระดบั สูงสดุ ของสมาคมอาเซียน ถ้อยแถลงข้างต้น ได้นำไปสู่แนวคิดท่ีจะสร้างเวทีการหารือทางการเมืองและความมั่นคง ของภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยรวมท้ังประเทศสมาชิกอาเซียน ประเทศมหาอำนาจในระดับโลก และประเทศอ่ืนๆ ท้ังในยุโรปและเอเชีย ที่มีผลประโยชน์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ในเวลาเดียวกัน การประชุมหารือ ดังกลา่ ว จะต้องมีผลประโยชน์ของภูมิภาคเป็นที่ตั้ง และสมาคมอาเซียนจะต้องเป็นแกนหลัก (ASEAN Centrality) ในการกำหนดทศิ ทางของประชุมหารอื ดังกล่าว ประเทศสมาชิกสมาคมอาเซียนได้หารือเร่ืองนี้กันอย่างจริงจัง ทั้งในระดับรัฐมนตรี และระดับเจ้าหน้าท่ี อาวุโส เพ่ือให้แน่ใจว่า วิสัยทัศน์ของผู้นำอาเซียน จะสามารถนำมาปฏิบัติได้จริง โดยเริ่มจากการหารือในระดับ เจ้าหน้าที่อาวุโสของสมาคมอาเซียน คือในระดับปลัดกระทรวงการต่างประเทศ หลายรอบ เพื่อขัดเกลา แนวความคิด และในที่สุดประเทศสมาชิกสมาคมอาเซียน ได้เห็นพ้องกัน ให้จัดทำแผนการจัดต้ัง และแผนการ

27 ดำเนินงานของ การประชุมท่ีเรียกว่า การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคง ใน ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือ ASEAN Regional Forum (ARF) ซ่ึงภารกิจหลักในเรื่องน้ี มาตกอยู่กับประเทศไทย เพราะในเดือนกรกฎาคม 2536 ประเทศไทย เข้ารับตำแหน่งประธานอาเซียนแทนสิงคโปร์ ซึ่งพ้นหน้าที่ และปี 2535 และ 2536 ก็เต็มไปด้วยการเปลี่ยนของการเมืองและความม่ันคง ท้ังในระดับโลกและในภูมิภาคเอเชีย ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ในช่วงเวลาเดียวกัน ในระดับโลกก็มีการเปล่ียนแปลงท่ีสำคัญ อาทิ ในสหรัฐฯ มีการแต่งตั้งนายบิล คลินตัน เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ชองสหรัฐฯ รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำในหลายๆ ประเทศ อาทิ จีน นาย เจียง เจ๋อหมิน (Jiang Zemin) ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของจีน ควบคู่ไปกับการดำรงตำแหน่งเลขาธิการ พรรคคอมมิวนิสต์ และประธานคณะกรรมาธิการกลางการทหารของจีน มาต้ังแต่ปี 2532 อันเป็นการคุมอำนาจ เบ็ดเสร็จไว้ในมือของผู้นำเพียงคนเดียว สิงคโปร์มีประธานาธิบดีคนแรก ที่มาจากการเลือกตั้ง คือ นาย ออง เท็ง เชิง (Ong Teng Cheong) สถานบันกษัตริย์ในกัมพูชาได้รับการร้ือฟ้ืน โดยมีสมเด็จ นโรดม สีหนุ ได้รับการ สถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์ สหรัฐฯ ยกเลิกการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อเวียดนาม และเร่ิมปูทางสู่การเปิด ความสัมพันธ์ทางการทูต ส่วนในยโุ รป สนธิสัญญามาสตริช (Maastricht Treaty) เริ่มมีผลใชบ้ ังคับ ทำใหป้ ระเทศ สมาชิกสหภาพยุโรป (European Union – EU) รวมกันเป็นตลาดการค้าเพียงตลาดเดียว ส่วนในสหรัฐฯ เอง ความตกลงเขตการค้าเสรีในอเมริกาเหนือ (North American Free Trade Agreement – NAFTA) ก็มีผลใช้ บังคับ นอกจากนี้ ในยุโรปก็เกิดการเปล่ียนแปลงของเขตแดนอย่างกว้างขวาง อันเป็นผลจากการล่มสลายของ สหภาพโซเวียต ซึ่งเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่าน้ี นอกจากจะบ่งช้ีให้เห็นถึงสภาวะแวดล้อมทางการเมืองและความ มั่นคงของโลก ท่ีเปล่ียนแปลงไปอย่างรวดเร็วแล้ว ยังบ่งช้ีให้เห็นถึงความอ่อนไหว และความไม่แน่นอนต่าง ๆ อัน อาจเกิดขึน้ และมีผลกระทบตอ่ ภมู ิภาคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ ในเวลาเดียวกัน อีกด้วย กล่าวได้วา่ ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญโดยตรง ในการจดั ต้งั การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้าน การเมืองและความมั่นคง ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือ ASEAN Regional Forum (ARF) ตั้งแต่ก้าวที่หนึ่ง เพราะภายหลังจากท่ีผู้นำประเทศสมาชิกสมาคมอาเซียน ทั้ง 6 ประเทศ ประกาศเจตนารมณ์ เม่ือเดือนมกราคม 2535 ในการที่จะยกระดับความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงกับทุกประเทศในภูมิภาคแล้ว สิงคโปร์ ก็เข้า รบั ตำแหน่งประธานสมาคมอาเซียน ในเดือนกรกฎาคม 2535 ถึงเดอื นกรกฎาคม 2536 ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ท่ีประชุมเจ้าหน้าท่ีอาวุโสของสมาคมอาเซียน ได้หารือกันมาโดยตลอดว่า การยกระดับความสัมพันธ์ดังกล่าวควร จะทำในลักษณะใด ซึ่งข้อตัดสินใจที่เห็นพ้องกันก็คือ การจัดตั้งเวทีการประชุมระดับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก เพอื่ หารอื และแลกเปลี่ยนความคดิ เหน็ ดา้ นการเมือง ความม่ันคงอย่างกว้างขวางท่ีสดุ โดยที่ประชุมดังกลา่ ว น่าจะ ใช้ช่ือว่า “การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความม่ันคง ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก” หรือ “ASEAN Regional Forum” การที่ใช้ชื่ออาเซียน นำหนา้ น้ัน ก็เพ่ือแสดงให้เห็นถึง การท่ีอาเซียน เป็นเจ้าของความคดิ ริเร่ิม และการท่ี อาเซียนต้องการเป็นศูนย์กลาง (ASEAN Centrality) ของการประชุมหารือดังกล่าว อย่างไรก็ดี การหารือของ

28 ประเทศสมาชิกอาเซียน ในเรื่องน้ี ยังไม่ทันจะก้าวหน้าไปมากนัก วาระการดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนของ สงิ คโปร์ กส็ นิ้ สุดลงเสียกอ่ น และประเทศไทยเข้าดำรงตำแหนง่ ประธานอาเซยี นแทน ในเดือนกรกฎาคม 2536 ดงั น้นั ในชว่ งท่ปี ระเทศไทยเขา้ รบั ตำแหน่งประธานสมาคมอาเซียน น้ัน สิ่งทตี่ กลงกันได้แล้ว ก็คือ 1. ควรมีการจดั ตง้ั การประชุมหารอื แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในภมู ิภาคเอเชยี และแปซฟิ ิกขึน้ 2. ที่ประชุมดังกล่าวควรมีชื่อว่า ASEAN Regional Forum เพ่ือสะท้อนให้เห็นถึงความคิดริเริ่ม และ ความเป็นศูนย์กลางของประเทศสมาชิกอาเซียน สิ่งที่ยังคงขาดอยู่ก็คือรายละเอียดท่ีเหลือทั้งหมด อาทิ เนื้อหา และท่าทีรวมท้ังข้อเสนอต่าง ๆ ของอาเซียน ในการประชุมฯ ควรจะมีอะไรบ้าง ควรใช้ถ้อยคำท่ีก้าวหน้า หรือ ระมัดระวังเพียงใด การประชุมควรจะเป็นในระดับใด ประเทศใดควรจะได้รับเชิญบ้าง รปู แบบการประชุมควรเป็น ทางการ หรือไม่เป็นทางการ มากน้อยเพียงใด ผู้แทนแต่ละประเทศในที่ประชุมควรจะมีกี่คน ระเบียบวาระการ ประชุมควรจะมีเร่ืองใดบ้าง การประชุมควรจะใช้เวลานานเท่าใด รายงานผลการประชุมควรจะมีลักษณะอย่างใด การประชุมควรจะมีข้นึ ในชว่ งใด ของการประชมุ ระหว่างประเทศสมาชกิ อาเซียน ฯลฯ รายละเอยี ดทั้งหมดนี้ เป็นหนา้ ทข่ี องประเทศไทยที่จะตอ้ งนำเสนอเปน็ concept papers ในแต่ละหัวข้อ เพ่ือให้ที่ประชุมเจ้าหน้าท่ีอาวุโสอาเซยี น และรฐั มนตรวี ่าการกระทรวงการต่างประเทศอาเซยี น ได้พิจารณาและให้ การรับรอง ซึ่งในที่สุดแล้ว ประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหมดได้ให้การรับรองข้อเสนอของประเทศไทย คือ ให้การ ประชุมครั้งแรก หรอื การประชมุ คร้งั ก่อตงั้ ของ ASEAN Regional Forum มีขน้ึ ที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2537 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย คือ นาวาตรีประสงค์ สุ่นศิริ เป็นประธานในการ ประชุม ประเทศที่ได้รับเชิญเข้าร่วมการประชุม ประกอบด้วยประเทศสมาชิกสมาคมอาเซียนทั้ง 6 ประเทศ ในขณะนั้น ประเทศคู่เจรจาของอาเซียน (ASEAN’s Dialogue Partners) รวม 6 ประเทศ ประเทศคู่หารือของ อาเซียน (ASEAN’s Consultative Partners) รวม 4 ประเทศ และประเทศผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN’s Observers) รวม 2 ประเทศ รวมท้ังส้ิน 18 ประเทศ ส่วนการประชุมในคร้ังแรกนี้ ระเบียบวาระจะเปิดกว้าง เพื่อให้ประเทศต่างๆ ได้หารือเกี่ยวกับบริบทความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ที่ เปล่ียนแปลงไปอย่างมาก ได้อย่างอิสระ โดยการประชุมจะดำเนินไปอย่างไม่เป็นทางการ เพอ่ื ส่งเสริมให้การหารือ เป็นไปอย่างเปิดกว้าง และมีการจำกัดเวลาอภิปรายของรัฐมนตรีของแต่ละประเทศ คนละไม่เกินสามนาที ต่อคร้ัง เพ่ือเปิดโอกาสให้ทุกประเทศได้แสดงความคิดเห็นกันได้อย่างท่ัวถึง โดยแต่ละประเทศจะมีเพียงรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศ และผู้ช่วยอีกหน่ึงท่านเท่าน้ัน (1+1) เข้ารว่ มการประชุม ทั้งน้ี การประชุมหารือจะไม่มี การจัดทำรายงานแต่อย่างใด จะมีเพียงถ้อยแถลงของประธานการประชุม (chairman’s statement) ภายหลัง จากการประชุมเท่านั้น โดยประเทศผู้เข้าร่วมต่างๆ จะรกั ษามารยาท และจะไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ กับสอ่ื มวลชน ใน เน้ือหาสาระของการประชุม โดยจะมอบใหเ้ ปน็ หน้าท่ขี องประธานการประชุมแต่เพยี งผเู้ ดยี ว ซง่ึ เป็นท่ีน่ายินดวี ่าการประชุมครั้งแรก และคร้งั ประวัติศาสตร์ของ ASEAN Regional Forum เสร็จส้ินลง ดว้ ยดี และประสบความสำเร็จเกนิ ความคาดหมาย เมื่อท่ีประชุมได้เห็นพ้องกันในประเด็นท่ีมีความสำคญั หลาย ๆ ประเด็น อาทิ ที่ประชุมฯ ยอมรับว่า ASEAN Regional Forum เป็นเวทีสำคัญที่จะสามารถช่วยสนับสนุนความ

29 พยายามด้านการสร้างความไว้วางใจ (confidence-building) และด้านการทูตเชิงป้องกัน (preventive diplomacy) ในภูมิภาคเอเชยี และแปซฟิ ิก นอกจากนี้ ทป่ี ระชุมยังเห็นพ้องกัน ให้มีการประชุม ASEAN Regional Forum เป็นประจำทุกปี โดยให้มีการประชุมครั้งท่ีสอง ที่ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ในปี 2538 พร้อมท้ังให้การ สนับสนุนวัตถุประสงค์และหลักการของสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia) ว่าเป็นเครื่องมือทางการทูต ท่ีสำคัญและมีลักษณะพิเศษใน การส่งเสริมความร่วมมือด้านการเมืองความม่ันคง ความไว้เน้ือเชื่อใจ และการทูตเชิงป้องกัน ในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉยี งใต้ และเพื่อให้ ASEAN Regional Forum สามารถพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่อง ท่ีประชุมฯ ยังได้มอบหมายให้ ประธานประเทศต่อไปของ ASEAN Regional Forum คือ บรูไน ดารุสซาลาม รวมรวมข้อเสนอแนะด้านความ มั่นคง ในด้านต่าง ๆ อาทิ การสร้างความม่ันใจระหว่างประเทศ การควบคุมการแพร่ขยายของอาวุธนิวเคลียร์ ความร่วมมือด้านกองกำลังรักษาสันติภาพ ความมั่นคงทางทะเล และการทูตเชิงป้องกัน และให้จัดทำการศึกษา แนวความคิดดา้ นความมนั่ คงอย่างสมบูรณแ์ บบ รวมทง้ั ด้านเศรษฐกิจและสงั คม ในภมู ิภาคเอเชีย-แปซิฟิก อกี ด้วย ปัจจุบันถือได้ว่า ASEAN Regional Forum เป็นเวทีประชุมหารือ แลกเปล่ียนความคิดเห็น ในระดับสูง ด้าน การเมืองความมั่นคง ที่ใหญ่ท่ีสุดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และครอบคลุมประเทศต่าง ๆ มากที่สุด ซ่ึงในปัจจุบัน ASEAN Regional Forum มีประเทศสมาชิกรวมท้ังสิ้น 27 ประเทศ คือ ประเทศสมาชิกสมาคมอาเซียน 10 ประเทศ ประเทศคู่เจรจา (dialogue partners) อีก 10 ประเทศ (ได้แก่ สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา แคนาดา จีน เกาหลี ญ่ีปุ่น เกาหลีใต้ อนิ เดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และรัสเซีย) และประเทศอ่ืน ๆ ในภูมิภาค อีก 6 ประเทศ (ได้แก่ มองโกเลีย เกาหลีเหนือ ปากีสถาน ติมอร์-เลสเต้ บังกลาเทศ และศรีลังกา) และมีผู้สังเกตการณ์พิเศษของ อาเซยี นอีก 1 ประเทศ (ไดแ้ ก่ ปาปวั นวิ กนิ )ี ท้ังนี้ ในการประชุม ASEAN Regional Forum ได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับการหารือเร่ืองการเมือง ความมั่นคง ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก กฎเกณฑ์ของการแลกเปล่ียนความคิดเห็นอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา อย่างเป็นกันเอง โดยไม่มีการนำไปอ้างอิงในภายนอก ยังคงได้รับการยอมรับและยึดถืออย่างเคร่งครัด ในเวลา เดียวกัน ประเทศสมาชิก ASEAN Regional Forum ก็ยังเห็นพ้องร่วมกันในการสร้างกลไกย่อย ๆ ข้ึนมา ทั้งใน ช่องทางแบบเป็นทางการ (Track 1) และช่องทางวิชาการและสาธารณะ (Track 2) เพ่ือดำเนินกิจกรรมของที่ ประชุมฯ อย่างต่อเนื่องตลอดท้ังปี (inter-sessional activities) พร้อมทั้งส่งเสริมให้มีการศึกษาวิจัย และจัดทำ ข้อเสนอแนะตา่ ง ๆ เพื่อให้ภูมิภาคฯ มีความมั่นคง และมีเสถียรภาพอย่างแท้จริง เพ่ือที่จะสามารถแสดงบทบาทที่ สำคัญในการสง่ เสรมิ ความมน่ั คง และเสถยี รภาพในเวทีโลกได้ ในปัจจุบัน บทบาท ความสำคัญ และความน่าเช่ือถือของ ASEAN Regional Forum ได้เพิ่มมากขึ้นตาม กาลเวลาท่ีผ่านไป นอกเหนือจากเปน็ เวทีการหารือเรื่องการเมืองและความม่ันคงระหวา่ งประเทศ ท่ีใหญ่ที่สุดและ ครอบคลุมที่สุดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกแล้ว ในช่วงระยะเวลาหลายปีท่ีผ่านมา ท่ีประชุม ASEAN Regional Forum ยังได้ขยายหัวข้อการหารือให้ครอบคลุม ทั้งเรื่องความม่ันคงแบบด้ังเดิม (Traditional Security Issues) ความมั่นคงแบบไม่ด้ังเดิม (Non-Traditional Security Issues) และปัญหาความมั่นคงในรูปแบบใหม่ (New

30 Security Threats) ซ่ึงทำให้การหารือแลกเปล่ียนความคดิ เห็นในที่ประชมุ ASEAN Regional Forum ครอบคลุม หัวข้อต่างๆ อาทิ สถานการณ์ในทะเลจีนใต้ สถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี สถานการณ์ในตะวันออกกลาง การ ย้ายถิ่นฐานของประชากรอย่างผิดปกติ การต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ การแก้ปัญหาอาชญากรข้ามแดน การ ป้องกันภัยพิบัติ และการกู้ภัย การต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์ การต่อต้านการก่อการร้าย การแก้ปัญหาการประมงผิด กฎหมาย การค้ามนุษย์ ความร่วมมือในการลดสภาวะโลกร้อน การเปล่ียนแปลงสภาพอากาศของโลก และความ มน่ั คงดา้ นไซเบอร์ (Cyber Security) AEC ประชาคมเศรษฐกจิ อาเซยี น ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาเป็นเป้าหมายของการก่อตั้งสมาคมอาเซียน ความร่วมมือ ดังกล่าวดูจะเป็นวัตถุประสงค์หลักของปฏิญญากรุงเทพ เม่ือปี 2510 เสียด้วยซ้ำไป ดังนั้น นับตั้งแต่การก่อตั้ง สมาคมอาเซียน ประเทศสมาชิกต่าง ๆ จึงใช้ความพยายามเรื่อยมา ในการผลักดันให้สมาคมอาเซียนบรรลุถึง เป้าประสงคด์ ัง้ เดิมของตนในเรื่องนี้ กำเนิดเขตการคา้ เสีรอี าเซยี น ในช่วงต้น ๆ ของอาเซียนนั้น ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาก้าวหน้าไปด้วยความยากลำบาก และเชื่องช้า เหตุผลสำคัญประการหน่ึงคือ ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศในภูมิภาค ในยุคทศวรรษที่ 1970 ถงึ 1990 (2513-2533) ซึ่งมีความรุนแรงและเป็นอุปสรรคเป็นอย่างมากต่อการอุทศิ ทรัพยากร งบประมาณ และเวลาของอาเซยี นเพ่อื การดังกลา่ ว อย่างไรก็ดี ในปี 2512 หรือเพียง 2 ปี ภายหลังการก่อตั้งอาเซียนที่ประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ ต่างประเทศของอาเซียนได้ขอให้สหประชาชาติจัดทำรายงาน เสนอแนะแนวทางในการส่งเสริมความร่วมมือทาง เศรษฐกิจ สังคม และการพัฒนาระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ซ่ึงรายงานดังกล่าว ภายใต้การนำของ ศาสตราจารย์ G. Kansu แห่งตุรกี และศาสตราจารย์ EAG Robinson แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (Cambridge University) ได้เสร็จส้ินในปี 2515 และต่อมาได้กลายมาเป็นพื้นฐาน สำหรับต้นแบบความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ของอาเซียน ดังปรากฏในเอกสารปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมือในอาเซียน ปี 2519 (1976 Declaration of ASEAN Concord) อันเป็นผลจากการประชมุ สดุ ยอดครงั้ ท่ี 1 ของอาเซียน ทบี่ าหลี ในเดือนกมุ ภาพนั ธ์ 2519 รายงานของศาสตราจารย์ G. Kansu และศาสตราจารย์ EAG Robinson ได้เสนอแนะให้ประเทศสมาชิก อาเซียน เร่ิมการร่วมมือกันในระบบการค้าเสรี (trade liberalization) ด้วยการเจรจาลดหย่อนอัตราศุลกากร ระหว่างกัน ในสินค้าประเภทตา่ งๆ ตามทจี่ ะตกลงกัน รวมทั้งให้มีความร่วมมือในโครงการอุตสาหกรรมในลกั ษณะ ทีเ่ ก้อื หนุนการพัฒนาทางเศรษฐกิจระหวา่ งประเทศสมาชกิ และใหม้ คี วามร่วมมือดา้ นการเงินระหว่างกนั ซึ่งตอ่ มาที่ ประชุมสุดยอดคร้ังที่ 1 ของอาเซียน ได้ขยายความข้อเสนอแนะดังกล่าวน้ี เป็นการส่งเสริมความร่วมมือในด้าน สินค้าเกษตร อาหาร และพลงั งาน ความรว่ มมอื ทางอุตสาหกรรม ความรว่ มมือดา้ นการค้า และการจัดทำความตก ลงพิเศษทางการค้า (Preferential Trading Arrangements – PTAs) โดยเฉพาะในด้านสินค้าโภคภัณฑ์ข้ัน

31 พื้นฐาน และพลังงาน และที่สำคัญคือ ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียน ได้ตกลงใจให้มีการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ของประเทศสมาชิกอาเซยี น อย่างสมำ่ เสมอ ซง่ึ ตอ่ มาได้กลายเป็นการประชมุ เป็นประจำทุกปี ผลจากการประชุมสุดยอดสมาคมอาเซียน คร้ังท่ี 1 นี้ ทำให้เกิดกลไกความร่วมมือทางเศรษฐกิจภายใน ภูมิภาคขึ้น 5 กลไกหลัก ในปีต่อมา คือ ความตกลงว่าด้วยสิทธิพิเศษทางการค้าอาเซียน (ASEAN Preferential Trading Agreement – APTA) ปี 2520 โครงการอุตสาหกรรมอาเซียน (ASEAN Industrial Projects – AIPs) ปี 2523 โครงการแบ่งผลิตทางอุตสาหกรรมอาเซียน (ASEAN Industrial Complementation – AIC) ปี 2524 โครงการร่วมลงทุนดา้ นอุตสาหกรรมของอาเซยี น (ASEAN Industrial Joint Ventures – AIJVs) ในปี 2526 และ โครงการแบง่ การผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ (Brand-to-Brand Complementation – BBC) ในปี 2532 ซ่งึ กลไกทั้ง 5 นี้ ในช่วงเวลาดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ด้วยขาดความต้ังใจจริงจากประเทศสมาชกิ เน่ืองจากแต่ละ ประเทศสมาชกิ มองว่า ประโยชน์ท่ตี นได้รับน้ัน ค่อนข้างจำกดั อย่างไรก็ดี ท้ัง 5 กลไก ล้วนมีความสำคัญในการใหบ้ ทเรียน และประสบการณ์แก่ประเทศสมาชิกสมาคม อาเซียน โดยเฉพาะในด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมระหว่างกัน โดยเฉพาะอย่างย่ิง ความตกลงว่าด้วยสิทธิพิเศษทางการค้าอาเซียน (ASEAN Preferential Trading Agreement – APTA) นั้น นับเป็นก้าวแรกที่สำคัญของประเทศสมาชิกอาเซียน ในการนำไปสู่การเจรจาลดหย่อนศุลกากรนำเข้า ระหว่าง ประเทศสมาชิก ซึ่งปรากฏผลในรูปของ เขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area – AFTA) และการ เจรจาจัดตง้ั เขตการค้าเสรีระหวา่ งสมาคมอาเซยี น กบั ประเทศ และกลมุ่ ประเทศตา่ ง ๆ ในเวลาตอ่ มา ส่ิงที่ประเทศสมาชิกสมาคมอาเซียนเรียนรู้จากความผิดพลาดของ APTA ในขณะน้ัน คือ การลดอัตรา ศุลกากรน้ัน เป็นการลดตามรายการสินค้า (list of products) แทนท่ีจะเป็นการลดอัตราศุลกากร สำหรับสินค้า ประเภทเดียวกัน (types of products) ทุกรายการ ทำใหส้ ินค้าหลายประเภทไม่ไดร้ ับประโยชน์จากการลดอัตรา ศุลกากร นอกจากนี้ การลดอัตราศุลกากรให้กับสินค้าส่วนใหญ่ เป็นการลดระหว่างกันเพียงร้อยละ 10 ซึ่งถือว่า น้อยมาก แทนที่จะเป็นร้อยละ 30-50 ตามท่ีประเทศต่าง ๆ ต้องการ และท่ีสำคัญคือ แต่ละประเทศละเลยที่จะ ขจัดมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (non-tariff barriers) ซ่ีงแสดงให้เห็นถึงความไม่จริงจังที่จะเปิดตลาด ใหก้ ัน และร่วมมอื ระหว่างกันอย่างจรงิ จงั ความร่วมมืออย่างเชื่องช้านี้ ดำเนินมาเร่ือยๆ จนกระทั่งเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจภายในหลาย ประเทศในภูมิภาค ในช่วงทศวรรษที่ 1980 เม่ือฟิลิปปินส์มีปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ ระหว่างปี 2527- 2530 มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ประสบปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำอย่างรุนแรง ในราวปี 2528-2529 ซ่ึง พลอยกระทบประเทศอน่ื ๆ ภายในภูมิภาคไปด้วย จนทำให้ความร่วมมือทางเศรษฐกจิ และการค้าภายในกรอบของ สมาคมอาเซยี น ต้องหยดุ ชะงักลงเปน็ การชัว่ คราว

32 สภาหอการค้าและอุตสาหกรรมของอาเซยี น ย้อนกลับไปในชว่ งต้นนั้น คขู่ นานไปกบั การจดั ทำรายงานของศาสตราจารย์ G. Kansu และศาสตราจารย์ EAG Robinson คือการจัดตั้ง สภาหอการค้าและอุตสาหกรรมของอาเซียน ASEAN Chamber of Commerce and Industry – ASEAN-CCI) ในปี 2515 โดยเป็นการร่วมมือกันระหว่างหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมใน ประเทศสมาชิก ท้ัง 5 ประเทศของสมาคมอาเซียน ในขณะน้ัน เพื่อร่วมให้การสนับสนุนวัตถุของอาเซียนในการ ส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างกัน จนนำไปสู่การเป็นประชาคมทางเศรษฐกจิ และการค้าใน ทส่ี ุด ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า และอตุ สาหกรรม ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน กลับฟ้ืนคืนชีพ อีก คร้ังหนึ่ง ในปี 2535 เม่อื ผ้นู ำรัฐบาลของประเทศสมาชกิ อาเซยี น ไดป้ ระกาศจัดต้ังเขตการคา้ เสรอี าเซยี น (ASEAN Free Trade Area – AFTA) เพื่อส่งความร่วมมือทางการค้าระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมอาเซียน และให้เกิด การค้าเสรี (free trade) ภายในภูมภิ าค อย่างแท้จรงิ เพอ่ื นำไปส่คู วามรว่ มมือทางเศรษฐกิจและอตุ สาหกรรม และ การเพิม่ ขีดความสามารถในการแข่งขนั ของภูมภิ าคในทส่ี ุด ความสำคญั ของ AFTA น้ัน มีด้วยกันหลายประการ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เป็นคร้ังแรกท่ีเน้นถึงความสำคัญ ของความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหวา่ งประเทศต่างๆ ในภูมิภาค โดยมีตารางเวลาที่ชดั เจน ในการดำเนินงานตาม แผนความรว่ มมอื และการใช้แนวความคิด จำกัดประเภทของสินค้าทยี่ ังไมต่ อ้ งการเปดิ เสรี (negative list) ในการ กำหนดสินค้าที่เข้าร่วมในแผนงาน กล่าวคือ ประเทศสมาชิกอาเซียน มีมติร่วมกันว่า สินค้าประเภทใดก็ตาม ท่ีไม่ อยู่ใน negative list ให้ถือว่า สินค้าประเภทนั้น ๆ ในทุกประเทศสมาชิก อยู่ในข่ายท่ีจะต้องลดหย่อนอัตรา ศลุ กากร ตามตารางเวลาท่แี ผนงานของ AFTA กำหนด การตัดสินใจอย่างมุ่งม่ันในการจัดต้ังเขตการค้าเสรีอาเซียน ในครั้งนี้ ปัจจัยภายนอกมีอิทธิพลอย่างมาก อย่างน้อยท่ีสุดก็ในแง่ของการผลักดันให้ AFTA เป็นจริงอย่างรวดเร็ว อย่างท่ีทราบกัน ในเดือนพฤศจิกายน 2532 กำแพงเบอร์ลิน ถูกโค่นลง และในเดือนเดียวกนั ปีเดียวกัน ประเทศต่าง ๆ รวม 12 ประเทศ ริมมหาสมุทรแปซฟิ ิก ในขณะนั้น ได้ประกาศจัดตั้ง ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific Economic Cooperation – APEC) ข้ึน เพ่ือส่งเสริมความความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างกัน และเพ่ือทดแทนการเจรจารอบ อุรุกวยั (Uruguay Round) ขององค์การ การค้าโลก (World Trade Organization – WTO) ซ่ึงก้าวหน้าไปอย่าง เช่ืองชา้ แม้ว่าจะเริ่มต้นการเจรจามาต้ังแต่ปี 2538 ก็ตาม นอกจากน้ัน ในปี 2534 ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปได้ รว่ มลงนามในสนธิสัญญา Maastricht ซ่ึงนำไปสู่การจัดตัง้ เงินสกุลยูโร ในอีกสองปีต่อมา และในปี 2535 สหภาพ โซเวียตล่มสลาย ซึ่งทำใหป้ ระเทศต่างๆ ในยุโรปตะวนั นออก หรือประเทศตา่ งๆ ท่เี คยอย่ใู นอาณัตขิ องอดีตสหภาพ โซเวียต ท้ังหมด กลายเปน็ ประเทศในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมในทันที และในปี 2535 เช่นเดียวกนั บังเอิญเป็นปีที่ สหรัฐฯ และแคนาดา รวมทั้งเม็กซิโก ตกลงร่วมกันที่จะขยายอาณาเขตของความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (North American Free Trade Agreement – NAFTA) ให้ครอบคลุมถึงประเทศเม็กซิโกด้วย จนมีผลทำให้ใน ขณะนั้น ประเทศสมาชิก NAFTA มีมูลค่าผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (GDP) ร่วมกัน เป็นอันดับหน่ึงของโลก ท่ปี ระมาณ 20 ลา้ น ลา้ น เหรยี ญสหรัฐ หรอื ประมาณ 700 ล้าน ล้านบาท

33 ไม่นานนักหลังจากการจัดตั้ง AFTA อาเซียนก็เปิดรับสมาชิกเพ่ิมเติมภายในภูมิภาค จากเดิมเพียง 6 ประเทศในขณะน้ัน คือ บรไู น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย อาเซยี นได้เปิดรับเวียดนาม ในปี 2538 ลาวและเมียนมาร์ ในปี 2540 และกัมพูชา ในปี 2542 ในเวลาเดียวกัน ประเทศสมาชิกอาเซียน ก็ได้ พยายามเรง่ รัดการมผี ลบังคบั ใช้ของ AFTA อย่างต่อเนอ่ื ง อาทิ การเรง่ รัดให้ ทุกประเทศนำสินค้าอย่างน้อยรอ้ ยละ 85 มารวมไว้ในบัญชีลดภาษี (Inclusion List) ภายในปี 2543 และร้อยละ 90 ภายในปี 2544 และลดอัตราภาษี ศุ ล ก าก รพิ เศ ษ ที่ เท่ ากั น ภ าย ใต้ เขต ก ารค้ าเส รีอ าเซี ยน (Common Effective Preferential Tariff – CEPT) ระหว่างกันให้เหลือเพียง ร้อยละ 0 ถึง 5 ภายในปี 2551 จนในท่ีสุด สามารถลดอัตราภาษีศุลกากร ระหว่างกัน สำหรับสินค้าทุกประเภทให้ได้ภายในปี 2553 โดยเร่ิมจากประเทศสมาชิก เริ่มแรกของ AFTA ทั้ง 6 ประเทศก่อน และผอ่ นกันไปสำหรับประเทศสมาชิกใหม่ ผลท่ีเกิดขึ้นจาก AFTA ก็คือ การค้าระหว่างประเทศของประเทศสมาชิกสมาคมอาเซียน สามารถเติบโต อย่างก้าวกระโดด ทั้งนี้ จากการรวบรวมสถิติโดยสำนักเลขาธิการอาเซียน พบว่าการค้าระหว่างประเทศสมาชิก สมาคมอาเซียน เติบโตโดยเฉลี่ยปีละ ร้อยละ 10.5 ระหว่างสิบปีแรก (2536-2556) ของการสถาปนา AFTA โดย มลู คา่ การค้า ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว เพิ่มขึ้น 7 เท่า จาก 82,000 ล้าน เหรยี ญสหรฐั (2.87 ล้าน ล้านบาท) เป็น 609,000 ล้าน เหรียญสหรัฐ (21.32 ล้าน ล้านบาท) และขณะเดียวกัน อัตราส่วนของการค้าระหว่างประเทศ สมาชิก ในมูลค่าผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (GDP) ก็เพิ่มจากร้อยละ 17 ในปี 2536 เป็นร้อยละ 25 ในปี 2556 นอกเหนือจากการค้าภายในภมู ิภาคแล้ว ประเทศสมาชกิ สมาคมอาเซียนตระหนักดีว่า ตัวแปรสำคัญที่จะ ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของพวกตนก็คือ การลงทุนจากต่างประเทศ หรือจากภายนอกภูมิภาค (Foreign Direct Investment – FDI) ด้วยเหตุนี้ ในปี 2530 ประเทศสมาชิกสมาคมอาเซียน จึงได้ร่วมลงนามใน ความตกลงรับประกันการลงทนุ ในอาเซียน (ASEAN Investment Guarantee Agreement – IGA) และต่อมาใน ปี 2541 ได้ร่วมลงนามในกรอบความตกลงว่าด้วยเขตการลงทุนอาเซียน (Framework Agreement on the ASEAN Investment Area – AIA) ซึ่งต่อมา AIA ได้พัฒนาไปสู่ ความตกลงด้านการลงทุนของอาเซียน (ASEAN Comprehensive Investment Agreement – ACIA) ซง่ึ มผี ลบังคับใชใ้ นปี 2555 ความฝันของประเทศสมาชิกสมาคมอาเซียน ในการเป็น “หนึ่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” หรือ One Southeast Asia ต้องหยุดชะงักลงชั่วคราว เม่ือเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในเอเชีย โดยเร่ิมจากประเทศไทย ในกลางปี 2540 และอีกครั้งหน่ึงในช่วงปี 2551-2552 เม่ือเกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลก อันมีสาเหตุจากสภาวะหนี้เสียในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในวิกฤติเศรษฐกิจเอเชีย ในปี 2540 น้ัน สมาคมอาเซียนถูกมองว่า เป็นสถาบันที่อ่อนแอ ไร้ ประสิทธภิ าพ และไม่สามารถตา้ นทานวกิ ฤตกิ ารณ์ใดๆ ได้ ด้วยเหตุน้ี ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งท่ี 6 ท่ีกรุงฮานอย ในปี 2541 ประเทศสมาชิกสมาคม อาเซียนจึงได้ตัดสินใจ ท่ีจะร่นระยะเวลาการดำเนินงานของ AFTA เพื่อให้ AFTA มีผลบังคับใช้ อย่างเต็มรูปแบบ เร็วช้ึน และในเวลาเดียวกัน ได้ขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจให้ครอบคลุม จีน ญ่ีปุ่น และเกาหลีใต้ หรือที่ ปัจจุบันเป็นท่ีรู้จักกันดีในนาม อาเซียนบวกสาม (ASEAN + 3) ซ่งึ ตอ่ มาในปี 2552 ความร่วมมือ อาเซียนบวกสาม

34 ก็ได้ขยายวงไปสู่ อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ กลายเป็นอาเซียนบวกหก (ASEAN+6) ตามแนวความคิด ความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจอย่างสมบูรณ์แบบในเอเชียตะวันออก (Comprehensive Economic Partnership for East Asia – CEPEA) ซง่ึ ญป่ี นุ่ พยายามผลกั ดนั นอกจากน้ี วิกฤติทางเศรษฐกิจ ในช่วงเวลาดังกล่าว ยังทำให้ประเทศสมาชิกอาเซียน ตระหนักว่า การที่ ภูมิภาคจะสามารถรอดพ้นจากวิกฤติทางเศรษฐกิจในอนาคตได้นั้น จำเป็นที่ประเทศต่างๆ ในภูมิภาค จะต้อง ประสานงานกันในด้านเศรษฐศาสตร์มหภาคและนโยบายการเงินการคลัง ในระดับหน่ึง ทำให้บทบาทของ กระทรวงการคลงั ของประเทศสมาชกิ เพ่มิ ขนึ้ เป็นอย่างมากตง้ั แต่ชว่ งเวลานั้น เป็นต้นมา สงิ่ สำคัญทรี่ ฐั มนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ASEAN+3 ริเรมิ่ ขนึ้ มา มี 3 ประการหลกั ดว้ ยกัน คอื (1) การสร้างเวทีสำหรับการประชุมหารือเพ่ือแลกเปล่ียนข้อมูล ความคิดเห็น และทบทวนนโยบาย เศรษฐศาสตร์มหภาค และนโยบายทางเงินการคลัง ระหว่างกัน (Economic Review and Policy Dialogue – ASEAN+3 ERPD) (2) การจดั ตง้ั กองทนุ สำรองเงนิ ตรารว่ มกันภายในกลุ่ม ASEAN+3 (Chiangmai Initiative – CMI) (3) การพัฒนาตลาดตราสารหนี้สกลุ เงินเอเชยี (Asia Bond Market Initiative – ABMI) โดยเฉพาะอย่าง ย่ิง CMI น้ัน ได้รวมข้อตกลงการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมอาเซียน (ASEAN Swap Arrangement – ASA) และข้อตกลงแลกเปลี่ยนเงินตราสองฝ่าย (bilateral swap arrangements – BSA) เอาไว้ด้วย ซ่ึงเมื่อถึงปี 2552 ท่ีประชุมรัฐมนตรีคลังอาเซียน ได้ตกลงร่วมกัน ท่ีจะให้ CMI เปิดรับประเทศจาก ภายนอกภูมิภาค หรือท่ีเรียกว่า CMI Multilateralization – CMIM ทำให้ญ่ีปุ่น จีน (และฮ่องกง) เกาหลี และ ประเทศสมาชิกอาเซียน ร่วมกันส่งเงินเข้าร่วมในกองทุน จนในท่ีสุดทำให้ กองทุนสำรอง CMI มีเงินมากถึง 120,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และในปี 2555 ท่ีประชุมรัฐมนตรีกระทรวงการคลังสมาคมอาเซียน ได้ตกลงรว่ มกันท่ี จะเพ่ิมจำนวนเงินนกองทุนเป็นสองเท่า จนในที่สุด กองทุนสำรอง CMI มีเงินท้ังส้ิน 240,000 ล้าน เหรียญสหรัฐ หรอื ประมาณ 7.68 ล้าน ล้านบาท ซึ่งการบริหารจัดการกองทุนดังกล่าว จะมีสำนักงานการวิจัยเศรษฐกิจมหภาค อาเซียน + 3 หรือ ASEAN+3 Macroeconomic Research Office (AMRO) ซ่ึงเป็นหน่วยงานอิสระภายใต้ สมาคมอาเซยี น และปัจจบุ นั มีสถานะเทยี บเท่าองค์การระหว่างประเทศ คอยใหค้ ำแนะนำอย่างใกลช้ ดิ สู่การเปน็ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน พัฒนาการของความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหวา่ งประเทศสมาชิกสมาคมอาเซียน และประเทศ ต่างๆ ในเอเชีย ทำให้ในปี 2546 ที่ประชุมผู้นำอาเซียน คร้ังที่ 9 ที่เมืองบาหลี ประกาศเจตนาท่ีจะจัดต้ัง ประชาคมเศรษฐกจิ อาเซียน (ASEAN Economic Community – AEC) โดยมจี ุดม่งุ หมายทจี่ ะให้เกิดการรวมกลุ่ม ทางเศรษฐกิจ อย่างกลมกลืน ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (regional economic integration) ภายในปี 2558 (จากเดิมปี 2563) โดยคำประกาศน้ีเปน็ ส่วนหน่ึงของ ปฏญิ ญาบาหลี ฉบับท่ี 2 (Bali Accord II) ซึง่ ประกาศ จัดต้ัง ประชาคมความม่ันคงอาเซียน (ASEAN Security Community) ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN

35 Economic Community) และประชาคม สังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community) ขึ้นมาพร้อมๆ กัน ต่อมาในปี2550 ท่ีประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งท่ี 13 ที่สิงคโปร์ได้ให้การรับรองต่อเอกสารต้นแบบ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ ASEAN Economic Community (AEC) Blueprint ซึ่งก็คือแผนแม่บทที่ กำหนดเสน้ ทางของอาเซียน ส่กู ารเปน็ ประชาคมทางเศรษฐกิจอย่างสมบรู ณใ์ นปี 2558 ประชาคมเศรษฐกิจอาเซยี น น้ัน มีเสาหลกั 4 ดา้ น ด้วยกนั คอื (1) การมแี หลง่ การผลติ และตลาดเดยี วกนั (2) การเป็นภมู ภิ าคทางเศรษฐกจิ ที่มขี ดี ความสามารถในการแข่งขันสงู (3) การเปน็ ภูมิภาคที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกจิ อย่างเทา่ เทียมกนั (4) การเป็นภูมิภาคที่เข้าร่วมเป็นส่วนหน่ึงของระบบเศรษฐกิจโลกโดยสมบูรณ์ ซึ่งท้ังหมดน้ีจะทำให้ ประชาคมเศรษฐกจิ อาเซยี น และประเทศสมาชิกสมาคมอาเซยี น สามารถเติบโตได้อย่างยัง้ ยนื ซึ่งปัจจุบัน ความร่วมมือเหล่าน้ีได้ก้าวไปสู่ขั้นที่สูงข้ึน เม่ือการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งท่ี 27 ท่ีกรุง กัวลาลัมเปอร์ในปี 2558 ได้ให้การรับรองแผนแม่บทประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 2568 (ASEAN Economic Community Blueprint 2025) ในฐานะท่ีเป็นส่วนหนึ่งของเอกสารวิสัยทัศน์ “อาเซียน 2568: ก้าวไปข้างหน้า ด้วยกัน” (ASEAN 2025: Forging Ahead Together) โดยแผนแม่บทประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 2568 จะเป็น แผนท่ีมีพ้ืนฐานจาก แผนแม่บทประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 2558 และมีคุณสมบัติที่สำคัญท้ังส้ิน 5 ประการ ดว้ ยกัน คอื 1. การเป็นภูมิภาคที่มีระบบเศรษฐกิจที่ประสานกัน และมีความเป็นปึกแผ่น เป็นอย่างสูง (A Highly Integrated and Cohesive Economy) 2. เป็นภูมิภาคอาเซียนท่ี มขี ีดความสามารถในการแขง่ ขันสูง มีนวตั กรรมใหม่ตลอดเวลา และมคี วามเป็น พลวัตร (A Competitive, Innovative and Dynamic ASEAN) 3. มีการเชื่อมโยงที่ใกล้ชิดมากขนึ้ และมีความร่วมมอื กันในทกุ ภาคส่วน (Enhanced Connectivity and Sectorial Cooperation) 4. เป็นอาเซียนที่มีความมุมานะ รวมทุกกลุ่มภายในสังคม มุ่งให้ความสำคัญกับคน และยึดถือมนุษย์เป็น ศนู ย์กลาง (A Resilient, Inclusive, People-Oriented, and People-Centred ASEAN) 5. เปน็ อาเซยี นท่ีดำเนนิ งานและมคี วามสำคญั ระดบั โลก (A Global ASEAN)

36 ความร่วมมอื ทางสังคมและวัฒนธรรม ความร่วมมือทางสังคมและวัฒนธรรม เป็นเป็นประสงค์หลักประการหน่ึงของปฏิญญากรุงเทพฯ เมื่อปี 2510 โดยในปฏิญญากรุงเทพฯ ได้กล่าวถึง ความร่วมมือในการพัฒนาความก้าวหน้าด้านสังคม และวัฒนธรรม ระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมอาเซียน โดยเฉพาะในระยะเรมิ่ แรกนั้น การเรียนรู้ซง่ึ กันและกนั ในระดับประชาชน เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อหลาย ๆ ประเทศในภูมิภาคเป็นประเทศท่ีเพ่ิงได้รับเอกราช จากประเทศ อาณานิคมตะวันตก จริงอยู่ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการติดต่อค้าขาย และดำเนินความสัมพันธ์ ระหว่างกันมาช้านาน ตลอดหลายศตวรรษไม่มีใครที่เป็นคนแปลกหน้าระหว่างกัน แต่ในช่วงยุคอาณานิคมทำให้ ประเทศต่าง ๆ เหล่านี้ ห่างเหินกันออกไป ประชาชนติดต่อค้าขายกันน้อยลงจนทำให้การกลับมาประติดประต่อ ความสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นสิ่งจำเป็น ดังจะเห็นได้ว่าในระยะ 20 ปี แรกของการมีอาเซียนนั้น การแลกเปล่ียน ทางศิลปวัฒนธรรมระหว่างกันกลายเป็นกิจกรรมหลักประการหนึ่งของประเทศสมาชกิ อาเซยี น ความร่วมมือด้านสังคมและวัฒนธรรมของสมาคมอาเซียน ได้พัฒนามาตามลำดับ และก้าวสูงขึ้นสู่อีก ระดับหนึ่งอย่างชัดเจน ในปี 2540 เม่ืออาเซียนได้ประกาศ วิสัยทัศน์อาเซียน 2020 (ASEAN Vision 2020) ซ่ึง เน้นให้ความสำคัญต่อความร่วมมือในด้านวัฒนธรรม สวัสดิการสังคม และสิ่งแวดล้อม ซ่ึงส่วนหน่ึงได้รับอิทธิพล จากกระแสการเปล่ียนแปลงของโลก โดยเฉพาะในกรอบของสหประชาชาติ ท่ีหันมาให้ความสำคัญต่อ มรดกทาง วัฒนธรรม สิทธิมนุษยชน สิทฺธิเด็กและสตรี และการอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม โดยเฉพาะสภาวะโลกร้อนมากย่ิงข้ึน อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลาน้ี อาเซียนยังไม่ได้กำหนดกรอบหรือกิจกรรมเพ่ือความร่วมมือในเร่ืองต่าง ๆ ดังกล่าว ที่ ชดั เจนนัก ส่วนใหญ่จะเป็นในรูปของคำแถลงการณ์ หรือถ้อยแถลง สนับสนุนหลักการสากลต่าง ๆ ในการประชุม ประจำปี ในระดบั รฐั มนตรตี ่างประเทศ หรือระดับผู้นำอาเซียน จนกระทั่งปี 2552 ท่ีมีการจัดทำร่างประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community Blueprint) หรือ ASCC Blueprint ท่ีมีการกำหนดวิสัยทัศน์ โดยมีเป้าประสงค์ และรายละเอียด อย่างชัดเจน โดยมีการกำหนดแผนการดำเนินการมากถึง 339 แผนงาน ครอบคลุมในด้านต่าง ๆ อาทิ การศึกษา ระบบสวัสดกิ ารสังคม เพอื่ ประชากรทุกกลุ่ม การคุม้ ครองส่ิงแวดล้อม อย่างยงั่ ยนื การร่วมมือกบั ภาคประชาสังคม (civil society) และการสร้างอัตลักษณ์ของอาเซียน ซ่ึงมีการอธิบายว่า การมีแผนงานเหล่าน้ี วัตถุประสงคห์ ลัก ก็ เพ่ือการสร้างประชาคม ท่ีมีคนเป็นศูนย์กลาง (people-centred) มีความรับผิดชอบต่อสังคม (socially responsible) และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (environmentally friendly) ทั้งน้ี ASCC Blueprint ได้กำหนด ทิศทางเชิงยุทธศาสตร์ไว้ 6 ดา้ นดว้ ยกนั คอื 1. การพัฒนามนษุ ย์ (Human Development) 2. สวสั ดกิ ารสังคมและการคุ้มครองมนุษย์ (Social Welfare and Protection) 3. สิทธแิ ละความยตุ ิธรรมในสงั คม (Social Justice and Rights) 4. การอนุรกั ษ์สิง่ แวดล้อมอย่างยัง่ ยนื (Environmental Sustainability) 5. การสรา้ งอัตลกั ษณ์ของอาเซียน (Building ASEAN Identity) และ

37 6. การลดช่องว่างการพฒั นาระหว่างประเทศสมาชกิ (Narrowing the Development Gap) ซึ่งในปี 2556 ได้มีการประเมินผลการดำเนินงานครึ่งทางของ ASCC Blueprint และประเทศสมาชิก สมาคมอาเซียนได้แถลงว่าได้เร่ิมดำเนินการไปแล้วกว่าร้อยละ 90 ตามแผนงานท่ีกำหนดไว้ในเอกสาร ASCC Blueprint อาทิ ส่งเสริมให้เยาวชนทุกคน (ร้อยละ 100) ในทุกประเทศสมาชิก ได้รับการศึกษาในระดับ ประถมศึกษา ให้มีสิ่งแวดลอ้ มทีส่ ะอาดและเป็นสีเขียว ดว้ ยการส่งเสริมการอนุรกั ษป์ ่าไม้อย่างยง่ั ยืน จดั ทำนโยบาย ระดับภูมิภาคในเรื่องสภาวะโลกร้อน หรือ (ASEAN Climate change Initiative) และการส่งเสริมการร่วมมือกับ ภาคประชาสังคม (Civil Society) โดยจัดให้มีการประชุม หรือจัดให้มีเวทีสำหรับประชาสังคมอาเซียน (ASEAN Civil Society) เพื่อนำไปสกู่ ารมีคนเปน็ ศนู ยก์ ลาง (People-Centred) อย่างแท้จรงิ ในทีส่ ดุ นอกจากน้ี ยังมีการส่งเสริมการสร้างอัตลักษณ์ของสมาคมอาเซียน (ASEAN Identity) เพ่ือให้มีคนเป็น ศูนย์กลาง (people-centred) โดยผ่านกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ การแข่งขันกีฬา SEA Games การเฉลิมฉลองวัน อาเซียน (ASEAN Day) และการสร้างความตระหนักรู้เก่ียวกับสมาคมอาเซียน ทั้งในระดับชุมชน และสถาน การศึกษาในท้องถิ่นต่าง ๆ ด้วยการจัดต้ังสมาคมอาเซียน (ASEAN Association) ข้ึนในทุกประเทศสมาชิก เพื่อ ดำเนนิ กิจกรรมเผยแพร่ความรูเ้ กย่ี วกับอาเซยี นให้กบั สถาบันการศึกษาทว่ั ประเทศ ความร่วมมือและการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องของภัยพิบัติ และโรคระบาดต่าง ๆ รวมทั้ง การสง่ เสริมและคุ้มครองแรงงานระหว่างประเทศสมาชิกฯ กเ็ ป็นอีกหลาย ๆ ดา้ นท่ีประเทศสมาชกิ อาเซียนรว่ มมือ กันอยา่ งใกลช้ ดิ ในกรอบของประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซยี น ความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ดังกล่าวน้ี ทำให้ในปัจจุบันอาเซียน มีความร่วมมือทางสังคมและวัฒนธรรม อย่างมีระเบียบแบบแผน และอย่างเป็นทางการมากขึ้น อาทิ การจัดตั้ง ศูนย์ประสานงานอาเซียน สำหรับความ ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม (ASEAN Coordinating Centre for Humanitarian Assistance – AHA Centre) การจัดทำ แผนปฏิบัติการของอาเซียน เพ่ือร่วมกันตอบโต้ ปัญหาการเปล่ียนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ASEAN Action Plan on Joint Response to Climate Change) การจัดต้งั คณะกรรมาธิการอาเซียน เพื่อส่งเสรมิ และ คุ้มครองสิทธิสตรี และเด็ก (ASEAN Commission on the Promotion and Protection of the Rights of Women and Children – ACWC) การจัดทำ ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการกำจัดการใช้ความรุนแรงกับสตรีและ เด็ก (ASEAN Declaration on the Elimination of Violence Against Women and Children) และการ จัดทำปฏญิ ญาวา่ ด้วยเอกภาพของอาเซียนในความหลากหลายทางวัฒนธรรม (Declaration on ASEAN Unity in Cultural Diversity) เร่ืองต่าง ๆ ข้างต้น มีหลายเร่ืองท่ีเป็นประเด็นปัญหาที่ทับซ้อนกัน อาทิ การบริหารจัดการเปลี่ยนแปลง ของสภาพภูมิอากาศ การบริหารจัดการกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ปัญหาพลังงานและอาหาร การบริหารจัดการ โรคตดิ ต่อชนิดใหมๆ่ การลดความยากจน และการแก้ไขวกิ ฤติทางเศรษฐกิจและการเงนิ นอกเหนือจากเรื่องต่าง ๆ ข้างต้น เร่ืองหน่ึงท่ีถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญในความร่วมมือระหว่าง ประเทศสมาชิกอาเซียน และรวมถึงประเทศคู่เจรจา คือเร่ืองสิทธิมนุษยชน ซึ่งเรื่องนี้ แม้ว่า ประเทศสมาชิก อาเซียน จะได้มถี ้อยแถลงยนื ยันถงึ ท่าทีทเ่ี คารพและสนับสนุนหลักการสากลในเร่อื งสิทธมิ นุษยชน และเสรภี าพขั้น

38 พื้นฐานของมนุษย์ ตั้งแต่ปี 2536 ตามแถลงการณ์การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งท่ี 26 แต่ความ รว่ มมือของประเทศสมาชิกอาเซียนในเรื่องนี้ ก็ไม่ได้มีผลคืบหน้ามากนัก ในตอนต้น เพราะกว่าสมาชิกอาเซียนจะ ได้มีการหารือกันอย่างจริงจังในเรื่องสิทธิมนุษยชน อีกครั้งหน่ึงก็คือในปี 2540 เม่ือท่ีประชุมสุดยอดของผู้นำ อาเซียน ได้ให้การรับรองเอกสารวิสัยทัศน์อาเซียน 2020 ซ่ึงได้ประกาศเจตนาไว้อย่างชัดเจนที่จะส่งเสริมและ ปกป้องสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพข้ันพื้นฐานของประชาชน เพ่ือให้เป็นการสอดคล้องกับกฎบัตรสหประชาชาติ (UN Charter) และปฏญิ ญาสากลว่าดว้ ยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights) ประเทศสมาชิกอาเซียน จะได้หารือกันอย่างจริงจังอีกครั้งหน่ึงเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน ก็คือ ในการจัดทำ รา่ งของกฎบตั รอาเซยี น อนั มีผลบงั คับใช้ในปี 2551 ซ่งึ นอ้ ยคนนักทจี่ ะทราบว่า ความสำเร็จของสมาคมอาเซียนใน เรื่องน้ี เกิดจากการผลักดนั ของประเทศไทย “อีกเรอ่ื งหน่ึงท่ีประเทศไทย เป็นผูน้ ำในการผลักดันในกรอบของการมีประชาชนเป็นศนู ย์กลาง (people- centred) คือเราผลักดันให้อาเซียนจัดตั้ง องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน (ASEAN human rights body – AHRB) ข้ึนมาอย่างเป็นรูปธรรม ซ่ึงในขณะน้ัน หลายประเทศยังไม่พร้อม แต่ในขณะเดียวกัน ทุกประเทศสมาชิกก็ ตระหนักดีว่า หลายประเทศคู่เจรจา โดยเฉพาะประเทศตะวันตก กำลังเฝ้าดูอาเซียนอยู่ ว่าจะสามารถมีมาตรฐาน ท่เี ป็นสากลได้มากน้อยเพียงใดในเร่ืองนี้ ซ่ึงในท่สี ุด ทุกประเทศสมาชิกก็เห็นพ้องกนั ให้มีการระบไุ ว้ในมาตราที่ 14 ของกฎบตั รอาเซียน ว่าจะต้องมีการจดั ต้ังองคก์ ารในลักษณะดังกล่าว ซง่ึ เร่ืองนป้ี ระเทศไทยเป็นผู้นำในการผลักดัน อยา่ งชดั เจน โดยมฟี ลิ ิปปินส์ และอินโดนีเซีย ใหก้ ารสนับสนนุ อยา่ งแข็งขัน ต่อมาเมื่อผมได้รับมอบหมายให้เป็นสมาชิกในคณะทำงานระดับสูง (High-Level Panel) ผู้จัดทำร่าง อำนาจหน้าที่ (TOR) ขององค์กรสิทธิมนุษยชนอาเซียนดังกล่าว ผมก็ได้พูดในท่ีประชุมว่า ไม่ว่าอาเซียนจะจัดตั้ง องค์กรในลักษณะใดขึ้นมา กค็ วรทำให้ดที ่ีสุด เพราะเก่ยี วพันกับความนา่ เชอื่ ถือและภาพลักษณ์ของอาเซยี น ดังน้ัน หากจัดต้ังองคก์ รท่ดี ีไมไ่ ด้ กไ็ มค่ วรจัดตั้งองค์กรใดในเรอ่ื งนี้ขน้ึ มาเลยแตแ่ รก ซ่ึงต่อมาในปี 2552 ก็ได้มีการจัดต้ังคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (ASEAN Intergovernmental Commission on Human Rights – AICHR) และต่อมาในปี 2555 ก็มีการ ประกาศปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยสิทธมิ นุษยชน (ASEAN Human Rights Declaration) ซ่งึ ถือเปน็ บทบัญญัติหลัก ของสมาคมอาเซียนเกย่ี วกบั เร่ืองสทิ ธมิ นุษยชน มาจนทกุ วันนี้ และแม้ว่าผลงานในเร่ืองนี้เป็นสิ่งที่ประเทศไทยและอาเซียนควรจะมีความภาคภูมิใจ ถึงกระนั้น ผมก็ยัง เช่ือว่าอาเซียน น่าจะก้าวไปได้ไกลได้อีกในเรื่องน้ี เพราะเรื่องสิทธิมนุษยชนนั้นมีสองเสาหลัก คือ การส่งเสริม (promotion) และการปกป้อง (protection) ในขณะนี้ท่าทีของอาเซียนยังคงเป็นเรื่องการส่งเสริมมากกว่าการ ปกปอ้ ง ซง่ึ ในอนาคตอาเซยี นจะตอ้ งทำในเรื่องนใ้ี ห้มากขึ้น เพื่อทีจ่ ะสามารถมมี าตรฐานทเี่ ป็นสากลอยา่ งแทจ้ รงิ ” สหี ศกั ด์ิ พวงเกตแุ ก้ว จากข้างต้น จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยมีส่วนอย่างมากในการผลักดันให้อาเซียน มีความตำหนัก และให้ ความสำคัญมากข้ึนต่อสภาวะแวดล้อมของสังคมโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางของการให้คนเป็นศูนย์กลาง ของการดำเนินงานของภาครฐั ตลอดจนการให้ความสำคัญต่อสทิ ธิมนุษยชน และเสรีภาพข้ันพื้นฐานของมนุษย์ ซ่ึง

39 ล้วนมีความสำคัญในการที่จะช่วยให้อาเซียนก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของโลก และยังสามารถคงความสำคัญของการเป็น องค์กรความรว่ มมอื ในระดับภูมภิ าคไวไ้ ด้ “ในปัจจุบันอาเซียนมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ต่อไปในอนาคตรัฐบาลของทุกประเทศสมาชิกจะต้อง พึ่งพาทุกภาคส่วนของสังคมในการกำหนดนโยบาย โดยเฉพาะในเร่ืองท่ีมีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ดังน้ัน ทางเดียวท่ีเราจะสามารถบรรลุเป้าหมายของการเป็นประชาคมอาเซียน ก็คือการสร้างความตระหนักรู้ ให้กับทุกภาคส่วนของสังคม ซ่ึงเร่ืองนี้ นอกจากประเทศไทยจะเป็นผู้ผลักดันในการประชุมอาเซียนทุกระดับ มา นานปีแล้ว ยงั ผลักดันเร่ืองดังกล่าวในประเทศไทย โดยเฉพาะในสถาบันการศึกษาท่ัวประเทศ ในทุกระดับอกี ดว้ ย” กฎบัตรอาเซยี น ในการประชุมสุดยอดอาเซียน คร้ังที่ 9 ท่ีบาหลี อินโดนีเซีย ในปี 2546 ผู้นำอาเซียนได้มีมติให้จัดต้ัง ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) โดยมีสามเสาหลัก คือ ประชาคมการเมืองและความม่ันคงอาเซียน (ASEAN Political-Security Community – APSC) ป ร ะ ช าค ม เศ ร ษ ฐ กิ จ อ าเซี ย น (ASEAN Economic Community- AEC) และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community – ASCC) ซ่ึงคือเสาหลักของการสร้างความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันของอาเซียนในฐานะที่เป็นประชาคมของภูมิภาค เอเชียตะวนั ออกเฉยี งใตอ้ ยา่ งสมบรู ณ์แบบ เมอ่ื ปี 2548 ที่ประชมุ สุดยอดผ้นู ำอาเซียน ครั้งที่ 11 ท่ีกรุงกัวลาลัมเปอร์ ไดม้ ีมติให้จัดทำกฎบัตรอาเซียน เพ่ือสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการของอาเซียน สู่การมีสถานะเป็นองค์การระหว่างประเทศ ท่ีมีสถานะทางกฎหมาย และที่สำคัญกว่านั้น คือ ให้อาเซียนมีสถานะเป็นองค์การระหว่างประเทศ ในระดับภูมิภาคอย่างแท้จริง โดยมี หลักการ แนวคิด และกรอบการทำงาน ที่ลึกซึ้งและชัดเจน ทั้งในการทำงานร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก และ การทำงานรว่ มกับประเทศ หรอื องคก์ ารระหวา่ งประเทศภายนอกภูมิภาค ไม่นานนักหลังจากที่ผู้นำอาเซียนได้มีมติในเร่ืองดังกล่าว ประเทศสมาชิกก็ได้ร่วมกันจัดตั้งกลุ่ม ผ้ทู รงคุณวุฒิ (Eminent Persons Group – EPG) ขนึ้ เพ่ือจัดทำข้อเสนอเกี่ยวกับเนื้อหาของกฎบัตรอาเซียน โดย ขอให้กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ จัดทำข้อเสนอแนะท่ี “ห้าวหาญและมีวิสัยทัศน์” (Bold and Visionary) ข้อเสนอแนะ สองเรื่องหลกั ของกลุ่มผทู้ รงคุณวฒุ ิ ที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง คือ 1. ใหม้ ีการปฏริ ูปหลกั การและแนวทางปฏิบัติของประเทศสมาชกิ 2. สทิ ธแิ ละหน้าท่ีของประเทศสมาชกิ ซ่ึงเม่ือพิจารณาโดยรวมก็ คือ กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิเสนอให้มีการสร้างความเข้มแข็งให้กับค่านิยมทาง ประชาธิปไตยและระบบธรรมาภิบาล โดยไม่ยอมรัฐบาลที่มิได้มาจากการเลือกต้ัง หรือการเปล่ียนแปลงทาง การเมืองท่ีมิได้เป็นไปตามหลักการของระบอบประชาธิปไตย รวมท้ังให้มีการเคารพต่อสถาบันกฎหมาย และ กฎหมายสิทธิมนุษยชน และท่ีสำคัญ คือ ให้ประเทศสมาชิกมีอำนาจในการใช้มาตรการแก้ไข (Remedy Measures) การกระทำผิดต่อหลักการของอาเซียน รวมทั้งการระงับสมาชิกภาพของประเทศสมาชิก ซึ่งถือเป็น ขอ้ เสนอหรือแนวความคดิ ทีไ่ มเ่ คยมมี าก่อนในสมาคมอาเซียน

40 ขอ้ เสนอในส่วนหลงั น้ี เป็นความพยายามท่ีจะแสดงให้เหน็ วา่ อาเซียนจะต้องพฒั นา และเติบโตต่อไป และ ไม่สามารถยึดติดอยู่กับหลักการในอดีต ซึ่งยึดถือหลักฉันทามติ (Consensus) หรือหลักการยอมรับในข้อตัดสินใจ หรือพฤตกิ รรมที่ประเทศสมาชกิ ขดั แย้งกนั นอ้ ยที่สดุ (Lowest Common Denominator) ได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ในภายหลังข้อเสนอของกลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ ในส่วนหลังน้ี ได้ถูกตีตกไปโดยประเทศสมาชิก อาเซียน และไม่ได้รับการบรรจุไว้ในกฎบัตรอาเซียน ด้วยเห็นว่าประเทศสมาชิกส่วนใหญ่ยังไม่พร้อมท่ีจะละทิ้ง หลักฉันทามติ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของ “วิถีอาเซียน” หรือ “ASEAN Way” มาโดยตลอดและทำให้สมาคมอาเซียน สามารถเตบิ โตข้ึนมาได้จนทกุ วันนี้ ในที่สุดกฎบัตรอาเซียน ก็มีผลบังคับใช้ในวันท่ี 15 ธันวาคม 2551 จากการรับรองของที่ประชุมสุดยอด ผนู้ ำอาเซียนคร้ังที่ 13 ในเดือนพฤศจิกายน 2550 ท่สี งิ คโปร์ก็ได้นำเสนอหลักการทแี่ ปลกใหม่ และมีความกา้ วหน้า มากพอสมควร อาทิ การนำเสนอหลักการ การมีความมุ่งมั่น และความรับผิดชอบร่วมกันในการเสริมสร้าง สันติภาพ ความม่ันคง และความมั่งค่ังให้กับผู้มิภาค (Shared Commitment and Collective Responsibility in Enhancing Regional Peace, Security and Prosperity) โดยนักวิเคราะห์มองว่าเป็นการท้าทายหรือจำกัด ขอบเขตของหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในประเทศ (Non-Interference Principle) ซ่ึงอาเซียน ได้ยึดถือมา เป็นเวลาช้านาน และแม้แต่เอกสารของสำนักเลขาธิการอาเซียน ในปี 2553 ก็ได้ขยายความว่า “เป็นความเข้าใจ รว่ มกนั ว่า หลักการการไมแ่ ทรกแซงกิจการภายในประเทศ จะถกู นำมาใช้ได้ กเ็ ฉพาะในกรณที ี่เป็นเรื่องภายในของ ประเทศ (Domestic Issues) ของประเทศสมาชิก และไม่สามารถนำมาใช้ไดใ้ นเร่ืองทเ่ี ก่ียวขอ้ งกับทงั้ ภูมภิ าค อาทิ ในเร่อื งการกอ่ การรา้ ย และการใช้ทรพั ยากรนำ้ ร่วมกนั เปน็ ต้น แต่ส่ิงท่ีมีความสำคัญท่ีสุด และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในข้ันพื้นฐานของอาเซียน คือการมอบสถานะ ทางกฎหมาย (legal personality) ให้แกอ่ าเซียน อันทำให้อาเซียนเป็นองค์การระหวา่ งประเทศ ในระดับภูมิภาค โดยสมบูรณ์ ซึ่งหมายถึงว่า อาเซียนมีสถานะที่รับรองโดยกฎหมายระหว่างประเทศให้สามารถที่จะทำความตกลง กับประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศอื่นๆ ได้ตามเห็นสมควร และความตกลงน้ัน สามารถมีผลบังคับใช้โดย สมบูรณ์ตามหลักกฎหมายระหวา่ งประเทศ นอกจากน้ัน กฎบัตรอาเซียน ยังได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้าง และกลไกการทำงานของอาเซียน เพ่ือให้ อาเซียนมีความเป็นสถาบัน (institution) อย่างแท้จริง อาทิ มีการกำหนดให้ที่ประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit Meetings) เป็นองค์กรตัดสินใจสูงสุดของสมาคมอาเซียน และให้จัดการประชุมสุดยอดอาเซียน สองปี ครัง้ เพื่อปรกึ ษาหารือ ให้แนวทางเชงิ นโยบาย และมขี อ้ ตดั สินใจ นอกจากนี้ ยังมกี ารกำหนดให้มีการประชุมระดับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ปีละหน่ึงครั้ง ภายใต้กรอบของ คณะกรรมการประสานงานอาเซียน (ASEAN Coordinating Council) และประสานงานกับ คณะกรรมการต่างๆ ของประชาคมอาเซียน (ASEAN Community Councils) คือคณะกรรมการประชาคมอาเซียน ในด้านการเมืองและความม่ันคง ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคมและวฒั นธรรม ซ่ึงก็คอื เสาหลกั ทงั้ สามเสาของสมาคมอาเซียน เพ่ือใหม้ ีการนำข้อตัดสินใจต่างๆ ของ ท่ปี ระชมุ สุดยอดอาเซยี นไปปฏบิ ตั อิ ย่างแท้จริง

41 อีกความคิดริเร่ิมหน่ึง ของกฎบัตร เพ่ือรองรับสถานะความเป็นองค์การระหว่างประเทศในระดับภูมิภาคของ อาเซียน คือ การแต่งตั้งเอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรของประเทศสมาชิกอาเซียน ประจำสำนักงานอาเซียน ท่ีกรุง จาการ์ตา (Permanent Representatives to ASEAN) รวมท้ังกำหนดให้จัดต้ังสำนักงานเลขาธิการอาเซียน ใน ระดับชาติ (ASEAN National Secretariat) ด้วย ซ่ึงการจัดตั้งกลไกต่าง ๆ เหล่านี้ สะท้อนให้เห็นถึงความต้ังใจ จริงของประเทศสมาชิกอาเซียนในการผลักดันให้เกิดความร่วมมือ ในรูปแบบท่ีเป็นสถาบัน และรูปแบบที่มีความ เป็นทางการมากข้ึน รวมทัง้ ใหม้ ีการปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตดั สนิ ใจต่าง ๆ ของผูน้ ำอาเซยี นอย่างจริงจงั อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับกฎบัตรอาเซียน คือการกำหนดให้มีข้อบัญญัติว่าด้วยการบริหารจัดการ ความขัดแย้งระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ดว้ ยการให้มีการจัดต้ังกลไกเพื่อการดังกล่าว ในความร่วมมือในทุกๆ ด้าน ระหว่างประเทศสมาชิก โดยให้ถือเป็นส่วนหน่ึงสิทธิและหน้าที่ของประเทศสมาชิก โดยกลไกต่างๆ ดังกล่าว ให้รวมถึงวิธีการ อาทิ การช่วยเป็นสื่อกลาง (Good Offices), การประนีประนอม (Conciliation) และ การไกล่ เกลย่ี (Mediation) และดังที่กล่าวมาแล้วในบทก่อนหน้านี้ บทบัญญัติหนึ่งที่มีความโดดเด่นมากท่ีสุดประการหนึ่งของกฎบัตร อาเซียน คือการให้มีการจัดตง้ั องคก์ รด้านสิทธิมนุษยชน บทบญั ญัติดังกล่าวนี้ ตอกย้ำถึงความสำคญั ทวี่ ตั ถุประสงค์ และหลักการของกฎบัตรอาเซียน และประเทศสมาชิกสมาคมอาเซียน ให้กับการส่งเสริม (Promote) และการ ปกป้อง (Protect) สทธมิ นุษยชนและสิทธิข้นั พื้นฐานของมนษุ ย์ ซ่ึงต่อมา แนบความคดิ น้ี ไดถ้ กู ขยายวงให้กวา้ งขึ้น มาครอบคลมุ สิทธสิ ตรี และเดก็ และการป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนษุ ย์ (Human Trafficking) นักวเิ คราะห์หลายท่านมองว่า การทีก่ ฎบัตรอาเซียน มีบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน เป็นพัฒนาการที่ สำคัญมากสำหรับอาเซียน เพราะเป็นการมองความร่วมมอื ในดา้ นสังคมและวัฒนธรรม ที่แตกต่างและก้าวหน้าไป จากเดมิ มาก และเน้นถึงความต้องการข้ันพื้นฐานของมนุษย์มากขึ้น และขณะเดียวกันเป็นการลดความสำคญั ของ หลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน โดยมองว่า เหตุการณ์และปัญหาที่เกิดข้ึนในประเทศแต่ละ ประเทศนั้น แท้จริงแล้วล้วนมีผลกระทบที่กว้างไกลกว่าน้ัน และน่าจะเป็นปัญหาในระดับภูมิภาค หรือระดับโลก ดว้ ย กล่าวโดยสรุปคอื การมีกฎบัตรอาเซยี นถือเป็นพัฒนาการที่มีความสำคญั มากสำหรับอาเซียน และถือเป็น ความก้าวหน้าซ่ึงนำอาเซียนเข้าสู่มิติใหม่ ซึ่งนอกจากจะทำให้อาเซียนมีสถานะอย่างเป็นทางการตามกฎหมาย ระหว่างประเทศแล้ว ยังทำให้อาเซียนมีแนวคิดและจุดยืนท่ีชัดเจนมากขึ้น เป็นสากลมากขึ้น มีโครงสร้างองค์กร ระบบ และกลไกการทำงานที่เป็นระบบ (Systematic) ย่ิงขึ้น ในฐานะองค์การระหว่างประเทศระดับภูมิภาคท่ี ดำเนินงานด้วยกฎระเบียบท่ีชดั เจน (Rule-Based Organization) รวมทงั้ เป็นการแสดงเจตนาอยา่ งชดั เจนทจี่ ะให้ ทุกประเทศสมาชิก และทุกกลไกของอาเซียน ปฏิบัติตามบทบาทและหน้าที่ของตนอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ข้อ ตัดสินใจและแนวนโยบายตา่ ง ๆ ในระดบั สงู สดุ ของอาเซยี นสามารถสัมฤทธ์ผิ ลทกุ ประการ

42 สมาคมอาเซียนและประเทศไทยในอกี 50 ปี ข้างหน้า อาเซียนก็เหมือนกับทุก ๆ องค์กรในโลก ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน รวมท้ังภาคประชาชน ท่ีจะต้อง ปรับตัวให้สามารถเข้ากับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในสภาพแวดล้อมของโลกอย่างต่อเน่ือง เพื่อให้สามารถมีความ เก่ยี วเนอื่ ง (relevance) สามารถมีความสำคญั (significant) และอย่รู อดได้ (survive) ต่อไปในอนาคต ในช่วง 50 ปี ท่ีผ่านมาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอาเซียนได้มีวิวัฒนาการอย่างต่อเน่ืองทั้งโดยตั้งใจ (By Design) ทง้ั โดยที่สถานการณ์พาไป และเป็นทีท่ ราบกนั ดีอยู่แล้วว่าประเทศไทย โดยท่านรัฐมนตรี พนั เอกถนัด คอร์มันตร์ เป็นผู้ให้กำเนิดทางความคิด (Conceived) แก่อาเซียน และเป็นผู้ผลักดันจนอาเซียน เกิดขึ้นมาเป็น ตัวตนได้ในท่ีสุด ในขณะที่อาเซียนถือกำเนิดขึ้นน้ัน ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเพ่ิงได้เอกราชกันไม่นานนัก ท้ัง 5 ประเทศผู้ก่อต้ัง ยกเว้นประเทศไทย เพ่ิงได้รับเอกราชไม่ถงึ 20 ปี โดยเฉพาะมาเลเซียเพิ่งได้รับเอกสารเพียง 10 ปี โดยมีสิงคโปร์ เปน็ ประเทศเอกราชใหม่ท่สี ดุ คือ เพียง 2 ปี การมองชว่ งเวลาและการแบ่งยคุ สมัยของอาเซยี นในลกั ษณะข้างต้น ค่อนข้างจะสอดคล้องกับมุมมองของ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ยุคต้น ๆ ของอาเซียน อย่างไรก็ตาม มีผู้ที่เห็นว่ายุคทอง (Golden Period) ที่แท้จริงของ อาเซียน นั้น คือช่วงสองทศวรรษที่คาบเกี่ยวกัน ระหว่างปี 2520-2529 กับปี 2530-2539 เน่ืองจากการที่การปู พ้ืนฐานด้านความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกสามารถดำเนินไปได้อย่างราบร่ืน นั้น เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ ประเทศสมาชิกอาเซียน สามารถผนึกกำลังกันเป็นหน่ึง เมื่อเกิดปัญหาขึ้นในภูมิภาค รวมท้ังสามารถผนึกกำลังกัน สร้างสรรส่ิงใหม่ ๆ ขึ้นมา และทำให้อาเซียนเป็นท่ียอมรับอย่างกว้างขวางในเวทีโลก แต่ไม่ว่าจากมุมมองใด ส่ิงท่ี ชัดเจนก็ คือ อาเซียนได้เติบโตอย่างเปน็ ขั้นตอน ก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว และตลอดเวลาท่ีก้าวแต่ละก้าวออกไปก็ เป็นรากฐานท่ีมัน่ คงให้กับก้าวใหม่ ๆ ตอ่ ไปในวนั ขา้ งหน้า จนมาถึงยุคของการปรบั ปรงุ โครงสรา้ ง (Restructuring) และยุคของการจัดต้ังตนเองเป็นสถาบัน (institutionalization) ในช่วงทศวรรษท่ี 2540-2549 และ 2550-2559 ตามลำดับ โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษท่ี 5 หรือระหว่างปี 2550-2559 ซึ่งเป็นยุคของการจัดต้ังตนเองเป็นสถาบัน (institutionalization) นั้น หลายคนอาจจะมองว่าอาเซยี นสามารถเติบโตได้อยา่ งก้าวกระโดด คือ มีการจัดทำกฎ บัตรอาเซยี น (ASEAN Charter) และสามารถยกตวั เองขึน้ เป็นองค์การระหว่างประเทศได้ในที่สุด อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ท่ีเกี่ยวข้องแล้ว ความสำเร็จต่าง ๆ เหล่าน้ี มาได้ด้วยความพยายามอย่างต่อเน่ือง ไม่ลดละ รวมทั้งการระดมสมอง และการประชุมหารือกันอย่างเอาจริงเอาจังระหว่างประเทศสมาชิก อีก 50 ปี ข้างหน้าของอาเซียน จากคำบอกกลา่ วข้างตน้ จะเห็นได้ว่า ประเทศไทย และเจ้าหน้าท่ีของไทย ในทุกยุค ทุกสมัย ต่างมีบทบาทสำคัญในการหล่อหลอมให้สมาคมอาเซียนเป็นองค์การระหว่างประเทศ และเป็นประชาคม อย่างท่ี เป็นอยู่ทกุ วันน้ี หากแต่คำถามก็คือ ในอนาคตเส้นทางของสมาคมอาเซียนควรจะเป็นอยา่ งไร และมีแนวโน้มว่า ส่ิง ท่ีท้าทายสำหรบั สมาคมอาเซยี นในอนาคต น่าจะเปน็ อะไรบ้าง ในเรื่องนี้ คงไม่มีใครจะสามารถให้คำตอบท่ีแม่นยำได้ แต่มีแนวโน้มว่า สภาพแวดล้อมของภูมิภาค และ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง เศรษฐกิจ และการคา้ จะยังคงเป็นส่ิงที่ท้าทายสมาคมอาเซียน ตอ่ ไปในอนาคต โดยเฉพาะในความจำเป็นที่สมาคมอาเซียน และประเทศสมาชิก จะต้องปรับตัวอย่างตอ่ เน่ือง เพอ่ื เตรยี มรบั มอื กับ

43 ทั้งสิ่งท้าทายเดิม ๆ และสิ่งท้าทายใหม่ ๆ ท่ีจะเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาส่ิงแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติ ความผันผวนของระบบเศรษฐกิจ และการค้าของโลก การก่อการร้าย ความม่ันคงทางไซเบอร์ ความขัดแย้งทาง ศาสนาและวัฒนธรรม บทบาทของประชาสัมคม (civil society) ฯลฯ และความจำเป็นท่ีจะต้องสร้างความ เช่อื มโยง ทั้งในดา้ นกายภาพ และดา้ นความนึกคิดของประชาชนทกุ ประเทศในประชาคมอาเซียน แม้ว่า ในช่วง 50 ปีท่ีผ่านมาสมาคมอาเซียน จะมีความสำเร็จมากมาย แต่สำหรับบุคลากรผู้เก่ียวข้อง โดยตรงกับการเสริมสรา้ งความแข็งแกร่งให้กับสมาคมอาเซียน ต่างเห็นว่า การที่สมาคมอาเซียนจะสามารถเตรียม ความพร้อมให้สามารถรับมือกับส่ิงท้าทายต่าง ๆ ในอนาคต น้ัน อย่างน้อยท่ีสุดสมาคมอาเซียน จะต้องมีความ แข็งแกร่งจากภายใน ในอย่างน้อยสองด้านคือ หลักการของ การมีอาเซียนเป็นศูนย์กลาง (ASEAN Centrality) และหลักการฉนั ทามติ (Consensus) ในส่วนที่ว่า อนาคตอาเซียนควรจะมีลักษณะอย่างไร ความคิดเห็นของผู้ปฏิบัติ และผู้กำหนดนโยบายก็มี ความใกล้เคียงกัน คือ เป็นการหลีกเล่ียงไม่ได้ที่อาเซียนจะต้องขยายวงกว้างออกไปครอบคลุมภูมิภาคอื่น ๆ ถ้า ไม่ใช่เป็นเร่ืองของจำนวนสมาชิก อย่างน้อยท่ีสุดก็จะเป็นเรื่องของขอบเขตความร่วมมือ พร้อมกันนี้อาเซียนเองก็ จะต้องปรับตัวอย่างตอ่ เน่ือง มคี วามรู้ ความเข้าใจปญั หาใหม่ ๆ ที่เกดิ ขนึ้ ในโลกอย่างตอ่ เน่ือง เช่นเดียวกนั ภารกิจท่ีรออยู่ข้างหน้าของอาเซียนนั้น มีหลากหลาย มีความสลับซับซ้อน และยากลำบาก ซ่ึงนอกจาก ความร่วมแรงร่วมใจ และความยินยอมพร้อมใจกันของผู้บริหารและประชาชนของแต่ละประเทศสมาชิกแล้ว จำเป็นอย่างย่ิงที่อาซียนจะต้องมีกลไกขับเคล่ือนที่แข็งแกร่ง ซ่ึงกลไกขับเคล่ือนที่ว่านี้ ย่อมหมายถึงสำนัก เลขาธิการอาเซียน (ASEC) และหน่วยงานสนับสนุนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการผู้แทนถาวรประจำอาเซียน (CPR) หรือการประชุมต่างๆ ของอาเซียน รวมทั้งองค์กรระดับประชาชนอาทิ มูลนิธิอาเซียน (ASEAN Foundation) และสมาคมอาเซยี น (ASEAN Association) ในประเทศต่าง ๆ ช่วงระยะเวลา 50 ปี ท่ีผ่านมาเป็นเคร่ืองพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า อาเซียน และต่อมาเป็นประชาคมอาเซียน สามารถท่ีจะเติบโต และมีความแข็งแกร่งได้อย่างต่อเน่ือง ด้วยวิสัยทัศน์ของผู้นำ ด้วยขีดความสามารถของ ผู้บรหิ าร ตลอดจนบคุ ลากรต่าง ๆ ทเ่ี กย่ี วข้องในทุกระดบั ในทกุ ๆ ด้าน ในเวลาเดียวกันกล่าวได้ว่า ในระยะเวลา 50 ปี ท่ีผ่านมาน้ัน ผู้นำ เจ้าหน้าท่ี และบคุ ลากรท่ีเกี่ยวข้องของ ไทย ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน ล้วนมีส่วนสำคัญในการผลักดันและขับเคลื่อนให้สมาคมอาเซียน เป็นองค์กร ระหว่างประเทศที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ซ่ึงเป็นส่ิงท่ีท่านเหล่านี้สร้างไว้ให้คนรุ่นหลัง ซึ่งพวกเราทุกคนควรจะขอบคุณ ภาคภูมใิ จ ดใี จ และถือว่าโชคดี ในสิ่งที่ประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉยี งใตเ้ ปน็ อย่ใู นทกุ วนั นี้ ในฐานะ ท่ีในปัจจุบันเป็นภูมิภาคท่ีมีสันติสุขต่อเน่ืองยาวนาน และประชาชนมีความกินดีอยู่ดี มากที่สุด ภูมิภาคหนึ่งของ โลก ซึ่งมีแนวโน้มว่า ในอีก 50 ปีข้างหน้า ต้นทุนและพื้นฐานท่ีแข็งแกร่งเหล่านี้จะเป็นเคร่ืองผลักดันให้ ประชาคมอาเซียน สามารถที่จะเติบโต และพัฒนาได้ต่อไปอีกอย่างไม่หยุดยั้ง อย่างไรก็ดี การที่จะเป็นเช่นน้ันได้ อาเซียน จำเป็นท่ีจะต้องเป็นองค์กรที่มองไปข้างหน้า (forward looking) และมีความยืดหยุ่น มีความคล่องตัวสูง พร้อมท่ีจะปรับตัวและเปล่ียนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมของโลก และของภูมิภาค ผู้นำและประชาชน จำเป็น

44 จะต้องมีความเป็นเอกภาพ และความยินยอมพร้อมใจร่วมกัน ในเกือบทุกด้าน และท่ีสำคัญที่สุดคือ ประชาคม อาเซียน จะต้องมีอัตลักษณ์ท่ีชัดเจนเป็นของตนเอง มีความเป็นภูมิภาคนิยม และเป็นประชาคมท่ีมีประชาชนทุก คนเปน็ ศนู ย์กลางอย่างแทจ้ รงิ ท้ังหมดน้ี คือ 50 ปีท่ีผ่านมาของอาเซียน และการมองไปสู่อนาคต เพ่ือท่ีอาเซียน จะสามารถมีวิสัยทัศน์ ท่ีเป็นหนึ่ง มีอัตลักษณ์ ท่ีเป็นหน่ึง และเป็นประชาคม ท่ีเป็นหน่ึง (one vision, one identity and one community) ไดอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook