Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา

ถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา

Published by waryu06, 2022-08-04 06:47:42

Description: ถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา

Search

Read the Text Version

บนั ทกึ ขอ้ ความ ส่วนราชการ ศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อำเภอชนแดน ท่ี ศธ ๐๒๑๐.๕๔๐๓/ วันที่ สิงหาคม ๒๕๖๕ เรอ่ื ง รายงานผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาห้องสมุดประชาชนให้เป็นศูนยเ์ รียนรตู้ ลอดชวี ิต Co-Learning Space กจิ กรรมลงนามถวายพระพรชยั มงคลสมเดจ็ พระ นางเจ้าสุทิดา พชั รสธุ าพมิ ลลักษณ พระบรมราชินี เน่ืองใน โอกาสวนั เฉลิมพระชนมพรรษา วนั ท่ี ๓ มิถุนายน ๒๕๖๕ เรียน ผอู้ ำนวยการศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอชนแดน ตามท่ี ห้องสมุดประชาชนอำเภอชนแดนได้จัดทำจัดทำโครงการพัฒนาห้องสมุดประชาชนให้ เป็นศูนย์เรียนรู้ตลอดชีวิต Co-Learning Space กิจกรรมลงนามถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระ นางเจ้า สุทดิ า พัชรสธุ าพมิ ลลักษณ พระบรมราชนิ ี เน่ืองในโอกาสวนั เฉลิมพระชนมพรรษา วนั ที่ ๓ มถิ นุ ายน ๒๕๖๕ เพื่อสร้างนิสัยรักการอ่าน พัฒนา ปรับปรุงให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ที่เอื้อต่อการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ พัฒนาปรับปรุงห้องสมุด จัดบรรยากาศและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่อำนวยความสะดวกต่อการใช้ บริการของนักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไป มีแหล่งเรียนรู้สำหรับศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง และเกิดนิสัยรักการอ่านมากขึ้น บดั น้โี ครงการดงั กลา่ วไดด้ ำเนนิ การเสรจ็ สิ้นเรียบรอ้ ยแลว้ ห้องสมุดประชาชนอำเภอชนแดน จึงขอรายงานผลการดำเนินงานโครงการดังกล่าว รายละเอยี ดตามเอกสารทีแ่ นบมาพรอ้ มน้ี จึงเรยี นมาเพอื่ โปรดทราบ (นางวารี ชบู วั ) บรรณารกั ษ์ชำนาญการ

คำนำ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอชนแดน มอบหมายให้ห้องสมุด ประชาชนอำเภอชนแดน ดำเนนิ การจดั ทำโครงการพัฒนาหอ้ งสมดุ ประชาชนให้เปน็ ศนู ย์เรยี นรตู้ ลอดชวี ติ Co- Learning Space กจิ กรรมลงนามถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระ นางเจ้าสทุ ิดา พชั รสธุ าพิมลลกั ษณ พระ บรมราชินี เนือ่ งในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันท่ี 3 มิถนุ ายน 2565 เพ่ือสร้างนิสัยรักการอ่าน พัฒนา ปรับปรุงให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ที่เอื้อต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ พัฒนาปรับปรุงห้องสมุด จัด บรรยากาศและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่อำนวยความสะดวกต่อการใช้บริการของนักเรียน นักศึกษาและ ประชาชนทั่วไป มีแหล่งเรียนรู้สำหรับศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองและเกิดนิสัยรักการอ่านมากข้ึน นน้ั ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอชนแดน หวังเป็นอย่างยิ่งว่า รายงานผลการดำเนินงานโครงการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย เล่มนี้คงเป็นประโยชน์ในการใช้เป็นคู่มือในการ ดำเนินงานต่อไป หากมีข้อเสนอแนะประการใดโปรดแจ้งคณะผู้จัดทำเพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงใน ครั้งตอ่ ไป ผ้จู ดั ทำ สิงหาคม 2565

สารบัญ หนา้ 1-9 บทที่ 1 บทนำ 10 - 33 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยท่เี กย่ี วข้อง 34 - 39 บทท่ี 3 วธิ ดี ำเนินการตามโครงการ 40 - 44 บทที่ 4 ผลการดำเนนิ การตามโครงการ 45 – 47 บทท่ี 5 สรุปผลการดำเนนิ งานตามโครงการ บรรณานุกรม ภาคผนวก รปู ภาพ รายช่อื ผเู้ ขา้ รว่ มกจิ กรรม แบบประเมนิ ความพึงพอใจ คำสง่ั โครงการ คณะผู้จดั ทำ

1 บทท่ี 1 บทนำ 1.ชอื่ โครงการ โครงการจัดการศกึ ษาตามอัธยาศยั กจิ กรรมท่ี 1 โครงการพัฒนาห้องสมดุ ประชาชนให้เปน็ ศูนยเ์ รยี นรู้ตลอดชีวติ Co-Learning Space 2.  สอดคลอ้ งกับยุทธศาสตร์ชาติ ยุทธศาสตร์ที่ 3 ด้านการพัฒนาและเสรมิ สรา้ งศกั ยภาพทรพั ยากรมนุษย์ ยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์มีเป้าหมายการพัฒนาที่สำคัญเพ่ือ พัฒนาคนในทุกมิติและในทุกช่วงวัยให้เป็นคนดี เก่งและมีคุณภาพ โดยคนไทยมีความพร้อมทั้งกาย ใจ สติปัญญา มี พัฒนาการที่ดีรอบด้านและมีสุขภาวะที่ดีในทุกช่วงวัย มีจิตสาธารณะ รับผิดชอบต่อสังคมและผู้อื่น มัธยัสถ์อดออม โอบออ้ มอารี มีวนิ ยั รักษาศลี ธรรม และเปน็ พลเมอื งดขี องชาติ มหี ลกั คดิ ทถี่ กู ตอ้ ง มที กั ษะทจี่ ่าเป็นในศตวรรษที่ 21 มี ทักษะสื่อสารภาษาอังกฤษและภาษาที่ 3และอนุรักษ์ภาษาท้องถิ่น มีนิสัยรักการเรียนรู้และการพัฒนาตนเองอย่าง ตอ่ เนอ่ื งตลอดชวี ติ สกู่ ารเปน็ คนไทยที่มีทักษะสูง เป็นนวัตกร นักคิด ผปู้ ระกอบการ เกษตรกรยุคใหมแ่ ละอ่ืน ๆ โดยมี สมั มาชพี ตามความถนัดของตนเอง ประเด็นที่ 2 การพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต มุ่งเน้นการพัฒนาคนเชิงคุณภาพในทุกช่วงวัย ประกอบดว้ ย (1) ชว่ งการตง้ั ครรภ์/ปฐมวัย เนน้ การเตรียมความพร้อมให้แก่พ่อแม่ก่อนการต้ังครรภ์ (2) ช่วงวัยเรียน/ วัยรุ่น ปลูกฝังความเป็นคนดี มีวินัยพัฒนาทักษะการเรียนรู้ที่สอดรับกับศตวรรษที่ 21 (3) ช่วงวัยแรงงาน ยกระดับ ศักยภาพ ทักษะและสมรรถนะแรงงานสอดคล้องกับความต้องการของตลาด และ (4) ช่วงวัยผู้สูงอายุ ส่งเสริมให้ ผู้สูงอายเุ ปน็ พลังในการขบั เคลอ่ื นประเทศ ประเด็นที่ 6 การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ โดย (1) การสร้างความอยู่ดีมีสุขของครอบครัวไทย (2) การส่งเสริมบทบาทการมีส่วนร่วมของภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น ครอบครัวและชุมชนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (3) การปลูกฝังและพัฒนาทักษะนอก ห้องเรียน และ (4) การพัฒนาระบบฐานข้อมลู เพอ่ื การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์  สอดคล้องกบั แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 12 ยทุ ธศาสตร์ที่ 1 การเสริมสรา้ งและพัฒนาศักยภาพทนุ มนษุ ย์ 3.1 ปรับเปลย่ี นค่านยิ มคนไทยใหม้ คี ณุ ธรรม จรยิ ธรรม มวี ินัย จิตสาธารณะ และพฤติกรรม ทพ่ี งึ ประสงค์ 3.1.2 ส่งเสริมให้มีกิจกรรมการเรียนการสอนทั้งในและนอกห้องเรียนที่สอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม ความมีวินัย จิตสาธารณะ รวมทั้งเร่งสร้างสภาพแวดล้อมภายในและโดยรอบสถานศึกษาให้ปลอด จากอบายมุขอย่าง จรงิ จัง 3.2 พัฒนาศักยภาพคนให้มที ักษะความร้แู ละความสามารถในการดำรงชีวติ อยา่ งมีคุณคา่ 3.2.2 พัฒนาเด็กวัยเรยี นและวัยรุ่นใหม้ ีทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ มีความคิด สร้างสรรค์ มี ทักษะการทำงานและการใช้ชีวติ ที่พรอ้ มเขา้ สู่ตลาดงาน

2 3.3 ยกระดบั คุณภาพการศกึ ษาและการเรยี นร้ตู ลอดชีวิต 3.3.6 จัดทำส่ือการเรยี นรู้ท่เี ป็นสื่ออเิ ลก็ ทรอนิกส์และสามารถใช้งานผ่านระบบอปุ กรณส์ ือ่ สารเคลื่อนที่ ให้คนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้ง่าย สะดวก ทั่วถึง ไม่จากัดเวลาและสถานที่ และใช้มาตรการทางภาษีจูงใจให้ ภาคเอกชนผลิตหนังสอื สอื่ การอา่ นและการเรยี นรู้ทม่ี คี ณุ ภาพและราคาถูก 3.3.7 ปรับปรุงแหล่งเรียนรู้ในชุมชนให้เป็นแหล่งเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์และมีชีวิต อาทิพิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด โบราณสถาน อุทยานประวัติศาสตร์ โรงเรียนผู้สูงอายุ รวมทั้งส่งเสริมให้มีระบบการจัดการความรู้ที่เป็นภมู ิ ปัญญาทอ้ งถิน่  สอดคล้องกับนโยบาลของรัฐบาล (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร) 1. การพัฒนาและเสรมิ สรา้ งศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ 1.1 การจัดการศึกษาเพ่ือคณุ วฒุ ิ พัฒนาผู้เรยี นให้มคี วามรอบรูแ้ ละทักษะชีวิต เพ่ือเปน็ เครื่องมือในการ ดำรงชีวติ และสรา้ งอาชีพ อาทิ การใช้เทคโนโลยดี จิ ทิ ลั สุขภาวะและทศั นคตทิ ่ีดตี อ่ การดูแลสขุ ภาพ 1.2 การเรียนรูต้ ลอดชีวิต - จัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับประชาชนทุกช่วงวัย เน้นส่งเสริมและยกระดับทักษะภาษาอังกฤษ (English for All)  สอดคล้องกบั นโยบายและจุดเน้นการดำเนนิ งาน กศน. จดุ เนน้ การดาํ เนนิ งานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 2. ด้านการสร้างสมรรถนะและทกั ษะคณุ ภาพ 2.1 สง่ เสรมิ การจดั การศกึ ษาตลอดชวี ิตที่เน้นการพฒั นาทกั ษะที่จาํ เปน็ สำหรับแต่ละช่วงวัย และ การจัดการศึกษาและการเรยี นรู้ทีเ่ หมาะสมกบั แต่ละกล่มุ เปา้ หมายและบริบทพน้ื ท่ี 2.4 ส่งเสริมการจัดการศึกษาของผู้สูงอายุเพื่อให้เป็น Active Ageing Workforce และมี Life Skill ในการดํารงชีวิตทเ่ี หมาะกบั ช่วงวัย 3. ด้านองค์กร สถานศึกษา และแหล่งเรยี นร้คู ุณภาพ 3.3 ปรับรูปแบบกจิ กรรมในหอ้ งสมดุ ประชาชน ท่เี นน้ Library Delivery เพอ่ื เพิ่มอัตราการอ่าน และการรู้หนงั สือของประชาชน 3.5 สง่ เสริมและสนับสนนุ การสร้างพน้ื ท่ีการเรียนรู้ ในรปู แบบ Public Learning Space/ Co- Learning Space เพอื่ การสร้างนเิ วศการเรียนร้ใู ห้เกดิ ข้นึ สังคม

3  สอดคล้องกับตวั ช้วี ดั การประกนั คุณภาพภายในสถานศึกษา มาตรฐานการศึกษาตามอัธยาศยั มาตรฐานท่ี 1 คณุ ภาพของผู้รบั บรกิ ารการศึกษาตามอธั ยาศัย ตัวบง่ ชี้ที่ 1.1 ผู้รับบรกิ ารมคี วามรู้ หรือทักษะ หรอื ประสบการณ์ สอดคลอ้ งกับ วตั ถุประสงค์ของโครงการ หรือกิจกรรมการศึกษาตามอัธยาศยั มาตรฐานท่ี 2 คุณภาพการจัดการศึกษาตามอธั ยาศยั ตวั บง่ ชท้ี ่ี 2.1 การกำหนดโครงการหรือกิจกรรมการศกึ ษาตามอธั ยาศยั ตัวบ่งชท้ี ่ี 2.2 ผจู้ ดั กิจกรรมมคี วามรู้ ความสามารถในการจดั การศึกษาตามอัธยาศัย ตัวบง่ ชท้ี ่ี 2.3 สื่อหรือนวตั กรรม และสภาพแวดล้อมที่เอ้ือตอ่ การจัดการศึกษาตาม อัธยาศัย ตวั บ่งชท้ี ี่ 2.4 ผู้รับบริการมีความพงึ พอใจต่อการจัดการศึกษาตามอธั ยาศยั มาตรฐานท่ี 3 คุณภาพการบริหารจดั การของสถานศกึ ษา ตวั บ่งชี้ที่ 3.1 การบรหิ ารจัดการของสถานศกึ ษาทเ่ี น้นการมีส่วนรว่ ม ตวั บ่งชท้ี ี่ 3.2 ระบบการประกนั คุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา ตัวบง่ ชี้ที่ 3.5 การกำกับ นิเทศ ติดตาม ประเมนิ ผลการดำเนินงานของสถานศึกษา ตัวบง่ ชี้ท่ี 3.7 การส่งเสรมิ สนบั สนุนภาคีเครอื ขา่ ยใหม้ ีส่วนร่วมในการจัดการศกึ ษา ตัวบง่ ชีท้ ่ี 3.8 การส่งเสรมิ สนับสนุนการสร้างสงั คมแห่งการเรยี นรู้ ขอ้ เสนอแนะ ของ สมศ. ข้อที่ 1 ในการดำเนินแผนงาน/โครงการ สถานศึกษาควรมีการติดตามตรวจสอบการดำเนินงานทุก ระยะ ขั้นตอนของการดำเนินงาน เพื่อประเมินผลและนำผลการประเมินมาปรับปรุงและพัฒนาให้เป็นระบบครบ วงจร PDCA และในการประเมินความพึงพอใจ ควรเพิ่มข้อเหตุผล ข้อคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะวา่ เพราะเหตุใดขอ้ น้นั จงึ ให้คะแนนมากหรอื นอ้ ย ข้อที่ 13 ในการบริหารจัดการการดำเนินโครงการ กิจกรรมต่างๆ สถานศึกษาควรดำเนินการให้ ครบถ้วนเป็นระบบครบวงจร PDCA และในโครงการกิจกรรมควรกำหนดวัตถุประสงค์เป็นรูปธรรม มีการออกแบบ ประเมินให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ มีการดำเนินการนิเทศ กำกับ ติดตาม และประเมินผลอย่าง ตอ่ เน่ืองและนำผลการประเมินท่ไี ด้ไปวเิ คราะห์ถึงอุปสรรค และนำไปวางแผน ปรับปรุง พฒั นาในปตี อ่ ไป

4 3. หลกั การและเหตุผล วิถีชีวิต การเรียนรู้ การทํางานของคนในยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนไป รูปแบบการทํางาน มักจะไปนั่งทํางาน อ่าน หนังสือ ประชุม หรือทํางานกลุ่มตามสถานที่สาธารณะ มากขึ้นไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ ห้องสมุด หรือตาม Co - working Space ต่าง ๆ ด้วยเหตุผลหลากหลายไม่ว่าจะเป็นต้องการพื้นที่ในการสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ที่เอื้อต่อ การเกิดแนวคิดใหม่ ๆ ในการทํางาน หรือบางครั้งจะรู้สึกว่ามีสมาธิมากกว่าที่บ้าน ที่โรงเรียน หรือที่ทํางาน แต่พื้นที่ ลักษณะเช่นนท้ี ี่มีให้บริการอยู่ในปัจจุบันยังเป็นข้อจํากัดในการเข้าถึงของหลาย ๆ คน ไมว่ า่ จะเป็นเรื่องของระยะเวลา การเปิด – ปิดบริการ ค่าใช้จ่าย หรือถ้าเปิดให้ใช้บริการฟรีสิ่งอํานวยความสะดวกต่าง ๆ หรือบรรยากาศ อาจยังไม่ ตอบโจทย์สําหรับการทํางาน หรือการอ่านหนังสืออย่างมีสมาธิ รวมไปถึงความปลอดภัยต่าง ๆ ในการเดินทางไปใช้ บริการตามสถานทเ่ี หลา่ น้ัน ประกอบกับสภาพสังคมที่เปลยี่ นแปลงไปทาํ ให้รูปแบบการเรยี นรู้ของผู้รับบริการห้องสมุด เปลี่ยนไปด้วยคนในปัจจุบันเปลี่ยนไปมีการนําเทคโนโลยีมาใช้ในการค้นคว้าหาความรู้มากขึ้น ด้วยเหตุนี้ห้องสมุด ประชาชนจึงจําเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการ การเรียนรู้ต้องพัฒนาให้มีรูปแบบที่หลากหลายเป็นไปตาม ความต้องการของผู้รับบริการทุกช่วงวัยยิ่งขึ้น จากแนวคิดดังกล่าวสู่การพัฒนาห้องสมุดประชาชนให้เป็นศูนย์การ เรียนรู้ Co - Learning Space ซึ่งสํานักงาน กศน. เป็นหน่วยงานหนึ่งซึ่งมีภารกิจหลักในการจัดการศึกษาตาม อัธยาศัยให้กับประชาชนทุกช่วงวัย และมีแหล่งเรียนรู้ให้บริการหลากหลายรูปแบบ ห้องสมุดประชาชนก็เป็นหนึ่งใน แหล่งเรียนรู้ที่ให้บริการประชาชนควบคู่กับภารกิจอื่น ๆ ของ กศน. จึงถึงเวลาแล้วที่จะพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ สําหรับคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ ได้มีโอกาสเข้าถึงได้ง่ายสามารถตอบทุกโจทย์ปัญหาความต้องการของประชาชน อย่างแท้จริง ศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบ (Co - Learning Space) หรือพื้นที่แห่งการเรียนรู้ร่วมกัน จึงเกิดขึ้นภายใต้ แนวคดิ ท่วี า่ การใหท้ ีม่ ากกวา่ แค่เพียง “พื้นท”ี่ แตย่ ังเปน็ สถานท่ีในการสร้างแรงบันดาลใจ และแสดงถึงการแบง่ ปนั ที่ ไม่เพียงแค่แบง่ ปันพื้นที่สําหรับทุกคน ได้ใช้ประโยชนร์ ว่ มกันแต่ทุกคนที่มายังได้ความรู้และแรงบันดาลใจดี ๆ กลับไป ด้วยเสมอ การนําแนวคิดในการปรับเปลี่ยนการให้บริการห้องสมุดประชาชนให้เป็นแหล่งเรียนรู้ในลักษณะศูนย์การ เรียนรู้ต้นแบบ (Co - Learning Space) ภายใต้นโยบายในการขับเคลื่อน กศน. สู่ กศน.WOW ของรัฐมนตรีช่วยว่า การกระทรวงศึกษาธกิ าร (นางกนกวรรณ วิลาวลั ย์) ในการพั ฒ นา กศน. ตําบล ให้มีบรรยากาศและสภาพแวดล้อมท่ี เอื้อต่อการเรียนรู้ : Good Place – Best Check in ข้อหนึ่งโดยการจัดให้มีศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบ กศน. ใน 5 ภูมิภาค เป็น ศนู ย์การเรียนรตู้ น้ แบบ (Co - Learning Space) และกําหนดใหศ้ นู ย์การเรียนรู้ตน้ แบบ (Co - Learning Space) มีพื้นที่บริการการเรียนรู้ร่วมกันตามความสนใจและความต้องการของผู้รับบริการการศึกษาตามอัธยาศัยทุก ช่วงวัย ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอชนแดน มอบหมายให้ห้องสมุดประชาชน อำเภอชนแดนดำเนินการพฒั นาห้องสมุดประชาชนให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ Co - Learning Space เพ่ือสร้างนิสัยรัก การอ่าน เพ่ือเป็นการพัฒนา ปรับปรุงให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ที่เอ้ือต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ พัฒนา ปรับปรุงห้องสมุด จัดบรรยากาศและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่อำนวยความสะดวกต่อการใช้บริการของนักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไป มีแหล่งเรียนรู้สำหรับศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองและเกิดนิสัยรักการอ่านมาก ข้ึน

5 4. วัตถุประสงค์ 1. เพ่อื สง่ เสรมิ ให้หอ้ งสมุดประชาชนอำเภอชนแดนเปน็ แหล่งเรยี นรู้ตน้ แบบ Co – Learning Space 2. เพื่อส่งเสริมนิสยั รักการอ่าน ผ่านกิจกรรมอยา่ งเปน็ รูปธรรม 3. เพื่อปรับปรุงบรรยากาศและภูมิทัศน์ทั้งภายในและภายนอกห้องสมุดให้น่าใช้บริการ เอื้อต่อการอ่านและ การเรยี นรู้ 5. เป้าหมาย เชงิ ปรมิ าณ ๑. หอ้ งสมดุ ประชาชนอำเภอชนแดน จำนวน 1 แห่ง ๒. นกั เรยี น นกั ศึกษา และประชาชนทั่วไป จำนวน 247 คน เชงิ คุณภาพ ห้องสมุดประชาชนอำเภอชนแดน เป็นแหล่งเรียนรู้ในชุมชน ที่มีระบบการให้บริการและสภาพแวดล้อมที่มี ชีวิตและมีการจัดกระบวนการเรียนรู้ในห้องสมุด โดยให้บริการการศึกษาค้นแก่นักศึกษาการศึกษานอกโรงเรยี นและ ผู้รบั บริการหอ้ งสมุด ทำให้เกดิ สงั คมแห่งการเรียนรู้ และนกั ศึกษา กศน. ผ้รู บั บรกิ ารหอ้ งสมุด สามารถนำความรู้ที่ ไดไ้ ปใช้ในการดำเนินชวี ิตไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ

6. วธิ ีดำเนินการ กิจกรรมหลกั วัตถปุ ระสงค์ กลุ่มเป้าหมาย ก 1. ขั้นเตรียมการ ช เพื่อจัดประชุมครูและบคุ ลากรทางการ ครูและบุคลากร ว 2. ประชุมกรรมการ ดำเนนิ งาน ศึกษา กศน. อำเภอชนแดน ช 3. จัดเตรยี มเอกสาร ข วัสดุ อุปกรณใ์ นการ - ชแี้ จงทำความเขา้ ใจรายละเอยี ด จำนวน 21 คน จ ดำเนินโครงการ โครงการ - ช้ีแจงแนวทางในการดำเนนิ โครงการ - จัดทำโครงการและแผนการดำเนนิ การ เพ่อื อนมุ ัติ - แตง่ ตั้งกรรมการดำเนินงานตาม โครงการ เพื่อประชมุ ทำความเข้าใจกบั กรรมการ ครูและบุคลากร ดำเนินงานทกุ ฝ่ายในการจดั กิจกรรม กศน. อำเภอชนแดน โครงการและการดำเนนิ งาน จำนวน 21 คน เพ่ือดำเนินการจดั ทำ จดั ซ้อื วัสดุอุปกรณ์ กรรมการฝ่ายที่ได้รบั ทใ่ี ช้ในการดำเนนิ การ มอบหมาย

6 กลุ่มเป้าหมาย พน้ื ทีด่ ำเนินการ ระยะเวลา งบประมาณ เปา้ หมาย (เชงิ คณุ ภาพ) กศน. อำเภอ เม.ย.65 - ช้แี จงทำความเข้าใจ รายละเอียดและ ชนแดน วตั ถปุ ระสงค์ของการจัดโครงการ ชแี้ จงวตั ถุประสงค์ บทบาทหน้าที่ กศน. อำเภอ เม.ย.65 - ของกรรมการดำเนินงานโครงการ ชนแดน เม.ย.65 - จดั ซื้อวสั ดุอปุ กรณใ์ นการจัดโครงการ กศน. อำเภอ ชนแดน

กจิ กรรมหลกั วตั ถปุ ระสงค์ ก กลุ่มเปา้ หมาย ๔. ดำเนินการจัด กจิ กรรม เพ่ือดำเนินการปรบั ปรุงภมู ิทัศนห์ อ้ งสมุด ให้ 1.หอ้ งสมุดประชาชน ห 5. สรปุ /ประเมินผล เป็นCo-Learning Space แหลง่ เรียนรขู้ อง อำเภอชนแดน ได และรายงานผล โครงการ คนในชุมชน จำนวน 1 แห่ง เป ๑. กิจกรรมรกั การอ่านผา่ นสื่อออนไลน์ 2. นักเรียน นกั ศกึ ษา ข ๒. กจิ กรรมวันรักการอ่าน และประชาชนทั่วไป ช ๓. กิจกรรมวนั สำคญั ตา่ งๆ จำนวน 247 คน ต ๔. กิจกรรมส่งเสริมการอา่ นและการเรยี นรู้ สำหรับนกั ศกึ ษา กศน. เพื่อให้กรรมการฝา่ ยประเมนิ ผลเกบ็ ตามกระบวนการ ส รวบรวมขอ้ มลู และดำเนินการประเมินผล ประเมนิ โครงการ ต การจัดกิจกรรม 5 บท จำนวน 3 เล่ม

7 กล่มุ เปา้ หมาย พนื้ ที่ดำเนินการ ระยะเวลา งบประมาณ เปา้ หมาย (เชงิ คณุ ภาพ) หอ้ งสมุดประชาชน เม.ย. ถึง - ห้องสมุดประชาชนอำเภอชนแดน อำเภอชนแดน ก.ย.65 ดร้ ับการปรับปรุงภูมทิ ศั นห์ ้องสมุด ให้ ป็นCo-Learning Space แหล่งเรียนรู้ ของคนในชมุ ชน เป็นแหลง่ เรียนรตู้ ลอด ชีวิต พร้อมใหบ้ ริการแก่กลุม่ เปา้ หมาย ต่างๆ สรุปรายงานผลการดำเนินงาน กศน. อำเภอ ก.ย.65 - ตามระบบ PDCA ชนแดน

8 7. วงเงนิ งบประมาณ ไมใ่ ช้ 8. แผนการใช้จ่ายงบประมาณ แผนการใช้จา่ ยรายไตรมาส ไตรมาสท่ี 1 ไตรมาสท่ี 2 ไตรมาสท่ี 3 ไตรมาสท่ี 4 - - - - 9. ผ้รู บั ผดิ ชอบโครงการ ตำแหน่ง : บรรณารักษ์ชำนาญการ ชอื่ - สกุล : นางวารี ชบู วั เบอร์โทรศัพทม์ ือถือ : 056 – 761667 เบอรโ์ ทรศัพทท์ ่ีทำงาน : 056 – 761667 อีเมลล์ : [email protected] ผู้ร่วมดำเนินการ นางสมบตั ิ มาเนตร์ ตำแหน่ง ครอู าสาสมัครฯ นางสาวลาวัณย์ สทิ ธกิ รววยแกว้ ตำแหน่ง ครอู าสาสมคั รฯ นางลาวิน สีเหลือง ตำแหนง่ ครู กศน.ตำบล นางสาวมจุ ลินท์ ภูยาธร ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางสาวนภารตั น์ สีสะอาด ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางสาวลดาวรรณ์ สุทธิพันธ์ ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางผกาพรรณ มะหิทธิ ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางสาวพชั ราภรณ์ นริศชาติ ตำแหนง่ ครู กศน.ตำบล นางสรุ ัตน์ จนั ทะไพร ตำแหนง่ ครู กศน.ตำบล นายเกรียงไกร ใหมเ่ ทวินทร์ ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางสาวณฐั ชา ทาแนน่ ตำแหนง่ ครู กศน.ตำบล นางสาวอุษา ย่ิงสกุ ตำแหน่ง ครูประจำศูนยก์ ารเรียนชมุ ชน นางสาวกญั ญาณัฐ จนั ปัญญา ตำแหน่ง ครูประจำศูนย์การเรียนชุมชน นายปณั ณวัฒน์ สขุ มา ตำแหน่ง ครปู ระจำศูนย์การเรียนชมุ ชน นางสาววรางคณา น้อยจันทร์ ตำแหน่ง ครูประจำศนู ย์การเรยี นชุมชน นายศวิ ณัชญ์ อัศวสัมฤทธิ์ ตำแหนง่ ครปู ระจำศนู ยก์ ารเรียนชมุ ชน นางสาวเยาวดี โสดา ตำแหน่ง นักจดั การงานทว่ั ไป

9 10. เครอื ข่าย 10.1 นักศึกษา กศน.อำเภอชนแดน 10.2 บ้านหนังสือชมุ ชน 11.โครงการท่เี ก่ยี วข้อง 11.1 โครงการจดั การศกึ ษาตามอธั ยาศัย 11.2 โครงการพฒั นาคณุ ภาพผเู้ รยี น 11.3 โครงการประชาสมั พนั ธง์ าน กศน. 11.4 โครงการส่งเสรมิ และพฒั นาประสทิ ธิภาพการทำงานรว่ มกบั เครอื ข่าย 11.5 โครงการประกันคุณภาพสถานศึกษา 12. ผลลัพธ์ 12.1 เปน็ แหลง่ เรยี นรู้ตน้ แบบ Co – Learning Space 12.2 หอ้ งสมุดประชาชนอำเภอชนแดน สง่ เสริมการจดั กระบวนการเรยี นรู้ภายในห้องสมดุ 12.3 หอ้ งสมดุ ประชาชนอำเภอชนแดน เปน็ แหลง่ เรยี นร้ทู ่ีสำคญั ของชุมชน ปรับปรุงบรรยากาศภูมิทัศน์ทั้ง ภายในและภายนอกห้องสมุดใหน้ ่าใชบ้ รกิ าร เอือ้ ตอ่ การอ่านและการเรยี นรู้ 13. ดัชนีวดั ผลสำเร็จของโครงการ 13.1 ตวั ช้วี ัดผลผลิต (output) หอ้ งสมุดประชาชนอำเภอชนแดน จำนวน 1 แห่ง เป็นแหล่งเรียนรใู้ นชุมชน ที่มีระบบการให้บริการและสภาพแวดล้อมที่มีชีวิตและมีการจัดกระบวนการเรียนรู้ในห้องสมุด โดยให้บริการ การศึกษาค้นแก่นักศึกษาการศึกษานอกโรงเรียนและประชาชนทั่วไป ทำให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้ และนักศึกษา กศน. รวมท้ังประชาชนทว่ั ไป สามารถนำความรทู้ ี่ไดไ้ ปใชใ้ นการดำเนนิ ชวี ิตได้อย่างมีความสขุ 13.2 ตัวชี้วัดผลลัพธ์ (outcome) กลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการฯ 80 % มีความพึงพอใจในการเข้าร่วม กจิ กรรม 14. การตดิ ตามผลและประเมนิ ผลโครงการ 14.1 แบบประเมินความพึงพอใจผ้เู ขา้ ร่วมกิจกรรม / โครงการ 14.2 สรุป/รายงานผลการจดั กจิ กรรม

10 บทที่ 2 เอกสารที่เกยี่ วขอ้ ง พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี สมเด็จพระราชินีองค์ ท่ี 7 แห่งราชวงศ์จักรี สำนักพระราชวังเผยแพร่ พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ไว้ดังน้ี พระราชประวัติสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เสด็จพระราชสมภพ เม่ือ วันที่ 3 มถิ ุนายน พ.ศ. 2521 ทรงสำเร็จการศึกษาระดับช้ันปริญญาตรี นิเทศศาสตรบัณฑิต คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เม่ือปี พ.ศ. 2543 ต่อมาปี พ.ศ. 2543-2546 ทรงงานในตำแหน่งพนักงานต้อนรับเครื่องบิน บริษัทแจลเวย์ จำกัด และระหว่างปี พ.ศ. 2546-2551 ทรงงานในตำแหน่ง พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เม่ือวันท่ี 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 ทรงได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชินี ณ พระที่น่ังอัมพรสถาน เม่ือวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิร เกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยยศขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมล ลกั ษณ พระบรมราชินี พระราชประวัติด้านหลักสูตรการอบรมดา้ นการทหาร 1. ทรงสำเร็จการฝึกหลักสูตรวิชาทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ของโรงเรียน และศูนย์ฝึกหน่วยทหาร มหาดเลก็ ราชวลั ลภรักษาพระองค์ เม่ือวนั ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 2. ทรงสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตร ชั้นนายร้อย-ช้ันนายพัน หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษา พระองค์ ของโรงเรียนทหารราบ ศนู ย์การทหารราบ เมือ่ วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554 3. ทรงสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรหลักประจำ โรงเรียนเสนาธิการทหารบก ชุดท่ี 91 ในปีการศึกษา 2556 4. ทรงสำเรจ็ การศกึ ษาตามหลกั สูตรหลกั ประจำ วิทยาลัยการทัพบก ชดุ ท่ี 59 ในปีการศึกษา 2557 5. ทรงสำเรจ็ การศึกษาตามหลักสูตร ส่งทางอากาศ ของโรงเรียนสงครามพิเศษ ศูนย์สงครามพิเศษ เมื่อ วันท่ี 24 ธันวาคม พ.ศ. 2559 6. ทรงสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตร ส่งทางอากาศนาวิกโยธิน ของโรงเรียนทหารนาวิกโยธิน เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2559 7. ทรงสำเร็จการศึกษาหลักสูตร Combat Qualifying Course Jungle Warfare ของหน่วยทหาร มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ เมอ่ื วนั ท่ี 30 ธันวาคม พ.ศ. 2559 8. ทรงจบหลักสูตรการยิงปืนพกในระบบต่อสู้ภายใต้สภาวะกดดันของกองบังคับการปราบปราม เม่ือ เดอื นมนี าคม พ.ศ. 2561

11 พระราชประวตั ดิ า้ นหลกั สตู รการอบรมดา้ นการบนิ 1. ทรงสำเร็จการฝึกและศึกษาตามหลักสูตรการบินของหน่วยการบินการพลเรือน กองทัพอากาศ เมื่อ วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ทรงทำการบินกบั เคร่อื งบินแบบ Cessna T 41 2. ทรงสำเร็จการฝกึ และศกึ ษาตามหลักสูตรศิษย์การบินทหารบกอากาศยานปีกติดลำตัว ช้นั มัธยม ของ โรงเรียนการบินทหารบก เมื่อวันท่ี 16 มกราคม พ.ศ. 2554 ทรงทำการบินกับเครื่องบินแบบ Cessna T 41 3. ทรงสำเร็จการฝึกและศึกษาตามหลักสูตรการบินของโรงเรียนการบิน กองทัพอากาศ เมื่อวันที่ 6 ธนั วาคม พ.ศ. 2555 ทรงทำการบนิ กับเคร่อื งบนิ แบบ CT-4E และ PC-9 4. เสด็จฯไปทรงฝึกและศึกษาการบินเพิ่มเติม ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ทรงผ่านการทดสอบและ ได้รับใบอนุญาตนักบินของสหภาพยุโรป ออกใบอนุญาตโดยสำนักงานการบินพลเรือน แห่งสหพันธ์ สาธารณรัฐเยอรมนี ดังน้ี ใบอนุญาตนักบินส่วนบุคคล PPL(A) ทรงทำการบินกับเคร่ืองบินแบบ Cessna 172, Mooney M-20, Piper PA-34 Seneca ใบอนุญาตนักบินพาณิชย์ตรี CPL(A) โดยมี Type Rating ของเคร่ืองบินแบบ Boeing 737 300-900 และใบอนุญาตนักบินพาณิชย์เอก (ATPL- Theory) 5. ทรงได้รบั ใบอนุญาตนกั บินพาณิชย์เอก จากสำนักงานการบินพลเรือนแหง่ ประเทศไทย 6. ปัจจุบันทรงปฏิบัติหน้าท่ีในตำแหน่งนักบินผู้ช่วย ทำการบินกับเคร่ืองบินพระราชพาหนะ Boeing 737-400 และ Boeing 737-800 การทรงงานทางราชการ ปี พ.ศ. 2553 • ทรงดำรงตำแหน่งรักษาราชการนายทหารยุทธการ ฝ่ายยทุ ธการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษา พระองค์ กรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษา พระองค์ กองกิจการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ สำนักงานฝ่ายเสนาธิการใน พระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกมุ าร หนว่ ยบญั ชาการถวายความปลอดภัย รักษาพระองค์ สน.ผบ.ทสส. ปี พ.ศ. 2555 • ทรงดำรงตำแหน่ง รองผู้บังคับกองพันทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ กรมทหาร มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วย บัญชาการถวายความปลอดภยั รกั ษาพระองค์ สน.ผบ.ทสส. • ทรงดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับกองพันฝึกทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยฝึกทหาร มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ โรงเรียนทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ โรงเรียน

12 ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วย บัญชาการถวายความปลอดภยั รกั ษาพระองค์ สน.ผบ.ทสส. ปี พ.ศ. 2556 • ทรงดำรงตำแหน่ง รองผ้บู ังคับการโรงเรียนทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (2)/ ผบู้ ังคับ การหน่วยฝึกทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษา พระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ สน.ผบ.ทสส. • ทรงดำรงตำแหน่ง นายทหารปฏิบัติการพิเศษ สำนักงานนายทหารปฏิบัติการพิเศษในพระองค์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษา พระองค์ • ทรงดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับการโรงเรียนทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยทหาร มหาดเลก็ ราชวลั ลภรักษาพระองค์ หนว่ ยบัญชาการถวายความปลอดภยั รกั ษาพระองค์ ปี พ.ศ. 2557 • ทรงดำรงตำแหน่ง เสนาธิการหน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการ ถวายความปลอดภยั รักษาพระองค์ ปี พ.ศ. 2559 • ทรงดำรงตำแหน่ง นายทหารปฏิบัติการพิเศษ สำนักงานนายทหารปฏิบัติการพิเศษในพระองค์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษา พระองค์ • ทรงดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ (อัตรา พลเอก)ปี พ.ศ. 2560 ทรงดำรงตำแหน่ง รองสมหุ ราชองครักษ์ กรมราชองครักษ์ (อัตรา พลเอก พิเศษ) • ทรงดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ (อัตรา พลเอกพิเศษ) เสดจ็ ฯ งานกาล่าดนิ เนอร์สยามพสั ตราฯ เฉลิมพระเกียรติสมเดจ็ พระพนั ปีหลวง เมื่อวันท่ี 30 พฤษภาคม 2565 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินจากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิตไปยังห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ ทรงเป็นประธานงานกาล่าดินเนอร์สยามพัสตรา ภูษาสง่าศิลป์ เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระ นางเจ้าสริ ิกิติ์ พระบรมราชนิ ีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เน่ืองในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สงิ หาคม 2565

13 ความสำคัญของการอา่ น การอ่านเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างหน่ึงของมนุษย์ ท่ีใช้สายตาและสมองรับรู้ความหมาย รวมท้ัง ความเข้าใจจากสิ่งท่ีอ่าน หากมนุษย์ไม่มีการจดบันทึกเร่ืองราวความเป็นมาของตนเอง อีกท้ังมนุษย์ไม่รู้จัก ความหมายของภาษาที่กลุ่มชนนั้น ๆ ใช้บันทึกโดยเฉพาะไม่รู้จักการอ่าน ย่อมทำให้มนุษย์ขาดการเรียนรู้ และ ความเขา้ ใจซ่ึงกนั และกนั ปัจจุบันมีสื่อมวลชน เช่น วิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ เข้ามาแย่งเวลาของเราไป แต่การอ่านก็ยังถือว่า เป็นส่ิงท่ีดี ไม่อาจนำเอาส่ิงใดมาทดแทนได้ หนังสือจะเป็นกญุ แจไขความรู้และความลี้ลับต่าง ๆ ในโลกให้แก่เรา ตามต้องการ และจากการอ่านเราจะได้ความรู้สึกละเอียดอ่อน ความซาบซึ้งไปกับความไพเราะและรสของภาษา เกดิ ภาพพจนไ์ ดเ้ ปน็ อย่างดี ซึง่ สื่ออยา่ งอื่นจะไมม่ สี ่ิงเหลา่ น้ี การอ่าน เป็นส่ิงจำเป็นต่อชีวิต ต่อความเจริญด้านต่าง ๆ ของมนุษย์มาก การอ่านหนังสือนอกจากจะ ทำให้ผู้อา่ นเป็นผหู้ ูตากว้างแลว้ คนอ่านจะเป็นผู้ทันต่อเหตุการณ์ ความเคล่ือนไหวของโลกปัจจุบัน และอาจเป็น เครอ่ื งกระตุ้นให้เกดิ ความสงบในใจ ส่งเสริมวิจารณญาณและประสบการณ์ให้เพิ่มพูนขึ้น การอ่านยังทำให้บุคคล เป็นผู้มีคุณค่าในสังคม มีประสบการณ์ชีวิต และช่วยยกฐานะของสังคม สังคมมีบุคคลที่มีประสิทธิภาพในการอ่าน อยู่มาก สังคมนั้นย่อมจะเจริญพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีทำใหค้ วามรู้ต่าง ๆ ลา้ สมัยเร็วขึ้น หนงั สือเท่านนั้ ทีส่ ามารถทันความก้าวหน้าเหล่าน้ี การอ่าน เปน็ สงิ่ จำเป็นต่อชีวิต ตอ่ ความเจริญในด้านต่าง ๆ ของมนษุ ยม์ าก การอ่านหนงั สอื นอกจากจะ ทำให้ผู้อ่านเป็นผหู้ ูตากว้างแลว้ คนอ่านจะเป็นผู้ทันต่อเหตุการณ์ ความเคลื่อนไหวของโลกปัจจุบัน และอาจเป็น เคร่ืองกระตุ้นให้เกิดความสงบในใจ ส่งเสริมวจิ ารณญาณและประสบการณ์ให้เพ่ิมพูนขึ้น การอ่านยังทำให้บุคคล เป็นผู้มีคุณค่าในสังคม มีประสบการณ์ชีวิต และช่วยยกฐานะของสังคม สังคมมีบุคคลท่ีมีประสิทธิภาพในการอ่าน อยู่มาก สังคมนั้นย่อมจะเจริญพัฒนาไปได้อย่างรวดเรว็ ปัจจุบันความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วทางวทิ ยาศาสตร์และ เทคโนโลยที ำใหค้ วามรู้ตา่ ง ๆ ล้าสมัยเร็วขน้ึ หนงั สือเท่าน้ันท่สี ามารถทนั ความกา้ วหน้าเหลา่ นี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อคร้ังเสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานเปิด การประชุใหญ่สามัญประจำปี 2530 ของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย ได้ทรงบรรยายพิเศษในหัวข้อ เร่ือง “การสรา้ งสงั คมการอ่านและการใช้สารนิเทศ” ณ โรงแรมบางกอกพาเลส เมื่อ วนั ท่ี 21 ธันวาคม 2530 ทรง กล่าวถึง เหตุท่ีพระองค์โปรดการอ่านหนังสือ และความสำคัญของการอ่านหนังสือไว้ 8 ประการ คือ (อ้างถึงใน อมั พร ทองใบ, 2540 : 9) 1. การอา่ นหนังสอื ทำใหไ้ ดเ้ นื้อหาสาระความรู้ มากกว่าการศึกษาหาความรู้ด้วยวธิ อี ืน่ ๆ 2. ผอู้ า่ นสามารถอา่ นหนังสอื ได้โดยไมจ่ ำกัดเวลาและสถานที่ สามารถนำติดตวั ไปได้ 3. หนังสือเก็บไว้ได้นานกว่าส่อื อย่างอื่น 4. ผู้อ่านสามารถฝกึ การคดิ และสรา้ งจินตนาการได้เองขณะที่อ่าน 5. การอา่ นส่งเสริมใหม้ ีสมองดี มีสมาธนิ านกวา่ และมากกว่าสื่ออยา่ งอน่ื เพราะขณะอา่ นจติ ใจต้องมุ่งม่ัน อยกู่ บั ข้อความ พินจิ พิเคราะหข์ อ้ ความ

14 6. ผู้อ่านเป็นผ้กู ำหนดการอ่านไดด้ ้วยตนเอง จะอ่านคร่าว ๆ หรอื อ่านอยา่ งละเอยี ด อ่านข้ามหรือ อ่านทกุ ตัวอกั ษรก็ได้ จะเลอื กอ่านเลม่ ไหก็ได้ 7. หนงั สือมีหลายรปู แบบ และราคาถกู กว่าสือ่ อยา่ งอน่ื 8. ผู้อ่านเกิดความคิดเห็นได้ด้วยตนเองในขณะที่อ่าน สามารถวินิจฉัยเนื้อหาสาระได้ หนังสือบางเล่ม สามารถนำไปปฏิบตั ไิ ดด้ ว้ ย และเมอ่ื ปฏิบตั แิ ลว้ กเ็ กิดผลดี ส. ศิวรักษ์ (2512 : นำเร่ือง) ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการอ่านหนังสือไว้ว่า “การอ่านหนังสือ เป็นกิจท่ีจำเป็นสำหรับทุก ๆ คน ที่อ่านออกเสียงได้ ยิ่งได้อ่านหนังสืออียิ่งมีค่ามาก สมดังคำของ ฟรานซิล เบคอน ทว่ี ่า “การอ่านชว่ ยใหค้ นเปน็ คนเตม็ ที”่ นายตำรา ณ เมืองใต้ (2515 : 298-299) กล่าวถงึ ความสำคญั ของตวั หนงั สือและหนงั สือว่า “...บางทีการท่ีเราได้อา่ นหนังสือกนั อย่ทู ุกเม่ือเชื่อวัน จะทำให้เราลืมนึกถึงความสำคัญของตัวอักษร อัน ปรากฏอยูข่ ้างหน้าเราเสียกไ็ ด้ ตัวอักษรนี้เป็นสิ่งจารึกและรกั ษาความคิดเห็นอันล้ำค่าของปราชญ์และกวไี ว้ให้เรา ...การที่เราจะหาประโยชน์ในการอ่านให้ได้เต็มที่ ก็ควรระลึกได้ หรอื แลเห็นความสำคัญของตัวหนังสือ ซึ่งเราได้ พบอยู่ทกุ วนั จนกลายเป็นส่ิงธรรมดาน้นั เสียกอ่ น” รัญจวน อินทรกำแหง และคณะ (2523 : 27-28) กล่าวถึง ความสำคัญของการอ่านหนังสือไว้ว่า “การอ่านหนังสือความจำเป็นต่อชีวิตของคนในยุคปัจจุบันย่ิงกว่ายุคท่ีผ่านมา เพราะโลกปัจจุบันเป็นโลกที่หมุน เรว็ ท้ังในด้านวัตถุ วิทยาการ และแปรเปลีย่ นเรว็ ฉะนนั้ จงึ จำเป็นอย่างย่ิงที่จะต้องอ่านหนังสือ เพื่อให้สามารถ ตดิ ตามความเคล่อื นไหว ความก้าวหนา้ และความเปลี่ยนแปรทง้ั หลายได้ทนั กาล” สมถวลิ วิเศษสมบัติ (2528 : 73) ได้กล่าวถึงทักษะการอ่านไว้ สรุปได้ว่า การอ่านเป็นทักษะที่สำคัญ และใช้มากในชีวิตประจำวัน ผู้ท่ีมีนิสัยรักการอ่านและมีทักษะในการอ่านมีอัตราเร็วในการอ่านสูง ย่อมแสวงหา ความรแู้ ละการศึกษาเล่าเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถนำความรู้ที่ได้จากการอ่านไปใช้ในการพูดและการ เขียนได้เปน็ อยา่ งดี ยุพร แสงทักษิณ (2531 : 1) กล่าวว่า “การอ่านหนังสือ เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับมนุษย์ การอ่านทำ ให้เราสามารถก้าวตามโลกได้ทัน เพราะโลกปัจจุบันนี้ไม่ได้หยุดน่ิง มีความก้าวหน้าเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทง้ั ในด้านวัตถุ วิทยาการ ความคิด ฯลฯ ดว้ ยเหตุทเ่ี ราตอ้ งมีความสัมพนั ธก์ ับสังคมและส่ิงแวดล้อม เราจึงควรตอ้ ง ปรับตัวเราให้สอดคล้องไปด้วย มิฉะน้ันเราจะกลายเป็นคนโง่ ล้าหลัง อาจประพฤติปฏิบัติผิด ๆ พลาด ๆ ก็ได้ ด้วยความรเู้ ท่าไม่ถงึ การณ์” สุจรติ เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์ (2538 : 136) กล่าวถงึ ทักษะการอ่านไว้ว่า “ทักษะการ อ่านเป็นทักษะท่ีสำคัญ และใช้มากในชีวิตประจำวัน เพราะเป็นทักษะที่นักเรียนใช้แสวงหาสรรวิทยาการต่าง ๆ เพ่ือความบันเทิงและการพักผ่อนหย่อนใจ ผู้ที่มีนิสัยรักการอ่านและ มีทักษะในการอ่าน มีอัตราเร็วในการ อา่ นสูง ยอ่ มแสวงหาความรู้ และศกึ ษาเล่าเรยี นได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถนำความรู้ท่ีได้จากการอ่านไปใช้ ในการพูดและการเขียนไดเ้ ปน็ อย่างด”ี ซึง่ สอดคล้องกับแนวคิดของ จนิ ตนา ใบกาซูยี (2534 : 57) ทก่ี ล่าวถึงความสำคัญของ การอา่ น มี ใจความโดยสรุปว่า การอ่านเป็นสงิ่ จำเป็นสำหับชีวิตปจั จุบัน ทงั้ ในดา้ นการดำเนินชีวิตประจำวนั ด้านการศกึ ษา

15 หาความรู้เพื่อประกอบอาชีพในอนาคต เป็นการพัฒนาความเจริญงอกงามทางสมองและปัญญา รวมท้ังเป็นการ พักผ่อนหยอ่ นใจจากชีวิตประจำวนั อัมพร สุขเกษม (2542 : 1) ได้กล่าวถึง การอ่านหนังสือว่า มีความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต มนุษย์ และมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศด้วย เพราะการอ่านหนังสือช่วยให้ผู้อ่านรู้จักวิธีบำรุงรักษา สุขภาพของตน รู้จักวิธีการใหม่ ๆ สำหรับใช้พัฒนาอาชีพ ช่วยผ่อนคลายความเครียด มีความเพลิดเพลิน เกิด ความคิดสรา้ งสรรค์ เข้าใจความเคล่ือนไหวทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม สามารถรับรู้และปรับตัวให้เข้ากับ ความก้าวหนา้ ทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ซง่ึ ลว้ นแต่เป็นประโยชนท์ ั้งสิ้น ฐะปะนยี ์ นาครทรรพ และคณะ (2546 : 55-56) กล่าวถึง ความสำคัญของการอา่ นสรปุ ได้ ดงั น้ี 1. การอ่านเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน จำเป็นต้องอ่าน หนงั สอื เพอื่ การศกึ ษาหาความรู้ตา่ ง ๆ 2. การอ่านเป็นเครอ่ื งมือช่วยให้ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพ เพราะสามารถนำความรู้ที่ได้ จากการอา่ นไปพฒั นางานของตนได้ 3. การอ่านเป็นเครือ่ งมอื สืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมของคนรุน่ หนึ่ง ไปสคู่ นรุ่นตอ่ ๆ ไป 4. การอ่านเป็นวิธีการส่งเสริมให้คนมีความคิดอ่านและฉลาดรอบรู้ เพราะประสบการณ์ ที่ได้จาก การอา่ น เม่ือเกบ็ สะสมเพมิ่ พนู นานวนั เขา้ กจ็ ะทำใหเ้ กดิ ความคิด เกิดสติปัญญา เป็นคนฉลาดรอบรู้ได้ 5. การอ่านเป็นกิจกรรมท่ีกอ่ ให้เกิดความเพลิดเพลินบนั เทิงใจ เป็นวิธหี นึ่งในการแสวงหาความสขุ ให้กับ ตนเองทง่ี า่ ยท่ีสุดและไดป้ ระโยชนค์ มุ้ คา่ ทสี่ ดุ 6. การอ่านเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต ทำให้เป็นคนท่ีสมบูรณ์ท้ังด้านจิตใจและบุคลิกภาพ เพราะเม่ือ อา่ นย่อมรู้มาก สามารถนำความร้ไู ปใชใ้ นการดำรงชวี ิตไดอ้ ย่างมคี วามสุข 7. การอ่านเป็นเครื่องมอื ในการพฒั นาระบบการเมือง การปกครอง ศาสนา ประวัตศิ าสตร์ และสังคม 8. การอา่ นเปน็ วธิ กี ารหนึ่งในการพฒั นาระบบการสื่อสารและการใชเ้ ครื่องมือทางอเิ ล็กทรอนิกสต์ ่าง ๆ กล่าวโดยสรุป การอ่านมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในสังคมปัจจุบัน เพราะเราต้องแสวงหาความรู้ ข้อมูลข่าวสาร การเคลื่อนไหวทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม การอ่านส่งเสริมให้ผู้อ่านมีพัฒนาการใน ความรู้และความคิด มองโลกที่กว้างไกล เข้าใจปัญหาท่ีเกิดข้ึนในสังคมผ่านสื่อการสอน ซ่ึงส่ิงเหล่านี้จะช่วยให้ สามารถตดั สินใจได้อย่างถูกตอ้ ง มีความเฉลียวฉลาด สามารถประกอบอาชพี และเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ ได้ ความหมายของการอา่ น มีผใู้ ห้คำจำกัดความ ใหน้ ิยาม หรอื ให้ความหมายของการอา่ นไว้ต่าง ๆ กัน ดงั นี้ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (2556 : 1405) ให้คำจำกัดความว่า “อ่าน ก. ว่า ตามตัวหนังสือ ; ถ้าออกเสียงด้วย เรียกว่า อ่านออกเสียง ถ้าไม่ต้องออกเสียง เรียกว่า อ่านในใจ ; สังเกต

16 หรือพิจารณาดูเพ่ือให้เข้าใจ” เช่น อ่านสีหนา้ อ่านริมฝีปาก อ่านในใจ ; ตีความ เช่น อา่ นรหสั อา่ นลายแทง ; คดิ , นบั (ไทยเดิม) ประทปี วาทกิ ทินกร และ สมพนั ธ์ุ เลขะพนั ธุ์ (2534 : 2) ใหค้ วามหมายไว้วา่ “การอ่าน คอื การรับรู้ ข้อความในข้อเขียนของตนเอง หรือของผู้อืน่ รวมทัง้ การรับรู้เคร่ืองหมายสือ่ สารต่าง ๆ” เช่น เครื่องหมายจราจร และเครอื่ งหมายท่ีแสดงในแผนภูมิ เป็นต้น กุสุมา รักษมณี และ คณะ (2536 : 77) นิยามความหมายของการอ่านว่า “การอ่านเป็นพฤติกรรม การสนทนาโต้ตอบระหว่างผู้อ่านกับผู้เขียน โดยการสื่อสารผ่านสาร หรือข้อเขียนที่เรียบเรียงเป็นข้อความภาษา ซง่ึ มีรูปแบบและวตั ถปุ ระสงคแ์ ตกต่างกันไป แทนการพดู คยุ กนั โดยตรง” เปล้ือง ณ นคร (2538 : 14) การอ่าน (หนังสือ) คือ กระบวนการท่ีจะเข้าใจความหมาย ที่ติดอยู่ กับตวั อักษรหรือตวั หนังสอื พันธุ์ทิพา หลาบเลิศบุญ และ คณะ (2539 : 45) กล่าวว่า การอ่าน คือ การแปลความหมายของ ตัวอักษรออกมาเป็นความคิด และนำความคิดไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ดังนั้นหัวใจของการอ่านอยู่ที่การเข้าใจ ความหมายของคำ ศรีสุดา จริยากุล (2545 : 5) ให้ความหมายของการอ่านไว้ใน “ความเข้าใจทั่วไปเกี่ยวกับการอ่าน” ว่า “การอ่าน คือ การรับรู้ความหมายของสารจากลายลักษณ์อักษร ซึ่งอาจจะเป็น การอ่านในลักษณะการ อ่านออกเสียง หรอื การอ่านในใจก็ได”้ ทิพย์สุเนตร อนัมบุตร (2551 : 5) ใหค้ ำจำกัดความวา่ การอ่าน คือ การรับสารในการใช้ภาษาไมว่ ่าจะ เป็นภาษาใด ย่อมประกอบด้วย 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายส่ง > สาร > ฝา่ ยรับ ฝา่ ยส่งสารย่อมส่งโดยการพูดหรือการเขยี น ฝ่ายรบั สารจงึ รับไดโ้ ดยการฟังหรือการอา่ น นอกจากความหมายของการอ่านที่ได้กล่าวมาน้ีแล้ว ยังมีนักการศึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนอ่านและ ด้านการอ่านชาวตา่ งประเทศ ได้ให้ความหมายของการอา่ นไว้ ดังตอ่ ไปน้ี อัลเฟรด สเตปเฟอรุด (Alfred Stefferud, 1953 : 84) ให้คำจำกัดความของการอ่านไว้ว่า เป็นการ กระทำทางจติ ใจ ที่ผู้อ่านยอมรับความหมายจากความคิดเหน็ ของบุคคลอ่ืน จอร์จ ดี. สปาช และ พอล ซี. เบิร์ก (George D. Spache and Paul C. Berg, 1955 : 3-4) กล่าวว่า การอ่าน เป็นการผสมผสานระหว่างทักษะหลายชนิด เพื่อสร้างความเข้าใจ โดยเป็นไปตามจุดประสงค์ตาม ต้องการ และวธิ กี ารของผู้อ่าน พอล ดี. ลิดดี (Paul D. Leedy, 1965 : 3) ให้นิยามการอ่านไว้ว่า คือ การรวบรวมความคิดและ ตคี วามหมาย ตลอดจนประเมินคา่ ความคิดเหลา่ นนั้ ทปี่ รากฏอยู่ตามสิ่งพิมพ์แต่ละหนา้ เอดการ์ เดล (Edgar Dale, 1956 : 89) ให้ความหมายไว้ว่า การอ่าน หมายถึง กระบวนการคน้ หา ความหมายจากส่ิงพิมพ์ เป็นการเพ่ิมพูนประสบการณ์ของผู้อ่าน การอ่านไม่ได้หมายความเฉพาะการมองผ่านา แต่ละประโยค หรอื แต่ละย่อหนา้ เท่าน้นั แต่ผอู้ า่ นตอ้ งเข้าใจความคิดนัน้ ๆ ด้วย

17 มอร์ติเมอร์ เจ. แอดเลอร์ (Mortimer J. Adler, 1959 : 27) กล่าวว่า การอ่าน ห มายถึง กระบวนการตีความหมาย หรือสร้างความเข้าใจจากตัวอักษร หรือสัญลักษณ์อื่น ๆ ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจมากข้ึน กระบวนการต่าง ๆ ท่ีก่อใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจนี้ เรียกว่า ศิลปะในการอ่าน กูดแมน (Goodman, 1970 : 5-11) ได้ให้คำจำกัดความของการอ่านว่า “การอ่านเป็นกระบวนการท่ี สลับซับซ้อนเก่ียวกบั การแสดงปฏิกิริยาร่วมกัน ระหว่างความคิดและภาษา เน่ืองจากผู้อ่านจะตอ้ งพยายามสร้าง ความหมายขึ้นจากตัวอักษร การอ่านจึงเปน็ กระบวนการท่ีต้องใช้ความคดิ อยู่ตลอดเวลา ผอู้ ่านจะตอ้ งอาศยั การ พินิจพิจารณาสิ่งท่ีปรากฏอยู่ในข้อความท่ีอ่าน เพื่อใช้เป็นเคร่อื งช่วยในการเลือกความหมายท่ีเหมาะสมที่สุดจาก เนือ้ ความที่อา่ น จากคำจำกัดความนิยามดังกล่าวมาแล้ว อาจสรุปและเพิ่มเติมความหมายของการอ่านได้ว่า การอ่าน เป็นพฤติกรรมการสนทนาโต้ตอบระหวา่ งผูอ้ ่านกบั ผเู้ ขียน เป็นกระบวนการของการรับรู้และเข้าใจสาระทเ่ี ขยี นขึ้น เป็นการรวบรวมความคิด ตีความ ทำความเข้าใจในสิ่งที่อ่าน เพ่ือพัฒนาตนเองทั้งในด้านสติปัญญา อารมณ์ และ สังคม ประโยชนข์ องการอ่าน หนังสือที่ดี ย่อมใหค้ ุณค่าแก่ผู้อา่ นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นหนงั สือทางวิชาการ หรือเรื่องอ่านเล่น ทันทีที่หยิบ หนังสือข้นึ มาอ่าน แม้จะเพียง 2-3 นาที ผู้อ่านกจ็ ะ “ได้” ประโยชนไ์ ม่ด้านกด็ ้านหน่งึ เช่น ประโยคท่ไี พเราะ ประทับใจ มีข้อคิดซึ่งอาจแก้ปัญหาที่คิดไม่ตกอยู่นาแล้ว ประโยชน์ของ การอ่านมีหลายประการ ดังที่ เทือก กุสุมา ณ อยธุ ยา (2511 : 47) กลา่ วว่า การอ่านหนงั สือมปี ระโยชน์ ดงั น้ี 1. ประโยชน์ในฐานท่ีเป็นวรรณคดี คือ ผู้อ่านได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลนิ เกิดอารมณ์สะเทือน ใจ และความนึกฝันไปตามท้องเรอื่ ง 2. ประโยชน์อันเกิดแก่ผู้เขียนเอง ได้แก่ การระบายอารมณ์ การแสดงความคิด การให้ทัศนะ หลักเกณฑช์ วี ิตแก่ผู้อา่ น 3. ประโยชน์ในฐานที่เป็นเคร่ืองบันเทิง ท้ังยังมีการประยุกต์เป็นละครวิทยุ ละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ เปน็ ต้น 4. ประโยชน์ในดา้ นความรู้ เช่น สภาพความเปน็ อยู่ ภูมฐิ านสง่าของบ้านเมือง วัฒนธรรม ฯลฯ หรือ เป็นส่ิงสะท้อนให้เห็นสภาพชีวิตในเรื่องที่แต่งก็ได้ เช่น เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ จะทำให้ผู้อ่านทราบรายล เอียดของชวี ิตไดด้ กี ว่าหนงั สือประวตั ศิ าสตร์ 5. ประโยชน์ในดา้ นภาษา ผอู้ า่ นจะไดร้ บั รสไพเราะทางภาษา ทีร่ อ้ ยกรองไว้อยา่ งประณตี บรรจงแลว้ 6. ประโยชน์ทางด้านคติธรรม เป็นเครอื่ งชำระจติ ใจผู้อ่าน ยกระดับจิตใจให้สูงข้นึ ถ้าเป็นวรรณคดีท่ี ดี 7. ประโยชน์ทางการเมือง อาจทำให้การเมืองผันแปรได้ โดยผู้แต่งใช้นวนิยายเป็นส่ือคัดค้านความอ ยตุ ธิ รรม และทำให้ผู้อ่านเหน็ ด้วยได้ ฐะปะนีย์ นาครทรรพ และ คณะ (2546 : 56-57) กล่าวถงึ ประโยชน์ของการอ่าน สรปุ ไดด้ ังน้ี

18 1. ทำใหม้ ีความรูใ้ นวิชาการด้านตา่ ง ๆ อาจเปน็ ความรทู้ ั่วไป หรอื ความร้เู ฉพาะดา้ นก็ได้ 2. ทำให้รอบรู้ทันโลก ทันเหตุการณ์ ซ่ึงนอกจากจะทำให้รู้ทันข่าวสารบ้านเมืองและสภาพการณ์ต่าง ๆ ในสมัยสังคมทั้งภายในและภายนอกประเทศแล้ว ยังจะได้ทราบข่าวกีฬา ข่าวบันเทิง บทความวิจารณ์ ตลอดจนการโฆษณาสินค้าต่าง ๆ อีกด้วย ซ่ึงจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ในการปรับความเป็นอยู่ให้เหมาะสม สอดคลอ้ งกับสภาพสงั คมของตนในขณะนั้น 3. ทำให้ค้นหาคำตอบท่ีต้องการได้ การอ่านหนังสือจะช่วยตอบคำถามท่ีเราข้องใจ สงสัยต้องการรู้ได้ เช่น อา่ นพจนานกุ รม เพอ่ื หาความหมายของคำ อ่านหนังสือกฎหมาย เพื่อตอ้ งการรขู้ อ้ ปฏิบตั ิ เป็นตน้ 4. ทำให้เราเกิดความเพลิดเพลิน การอ่านหนังสือท่ีมีเน้ือหาดี น่าอ่าน น่าสนใจ ย่อมทำให้ผู้อ่านมี ความสุขความเพลิดเพลิน เกิดอารมณ์คล้องตามอารมณ์ของเรื่องนั้น ๆ ผ่อนคลายความตึงเครียด ได้ข้อคิด และ ยังเป็นการยกระดับจิตใจผ้อู า่ นใหส้ งู ข้ึนไดอ้ ีกดว้ ย 5. ทำให้เกิดทักษะและพัฒนาการในการอ่าน ผู้ที่อ่านหนังสือสม่ำเสมอ ย่อมเกิดความชำนาญในการ อ่าน สามารถอ่านได้เร็ว เข้าใจเร่ืองราวที่อ่านได้ง่าย จังใจความได้ถูกต้อง เข้าใจประเด็นสำคัญของเร่ือง และ สามารถประเมินคุณค่าเรอ่ื งท่ีอา่ นได้อยา่ งสมเหตสุ มผล 6. ทำให้ชีวิตมีพัฒนาการเป็นชีวิตที่สมบูรณ์ ผู้ท่ีอ่านมากย่อมรู้เรื่องราวต่าง ๆ มาก เกิดความรู้ ความคิดที่หลากหลายกว้างไกล สามารถนำมาเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติตนให้ชีวิต มีคุณค่าและมี ระเบียบแบบแผนท่ดี ีย่ิงขึ้น 7. ทำให้เป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีและเสริมสร้างบุคลิกภาพ ผู้อ่านมากย่อมรอบรู้มาก มีข้อมูลต่าง ๆ ส่ังสมไว้มาก เมื่อสนทนากับผู้อ่ืนย่อมมีความม่ันใจไม่ขัดเขิน เพราะมีภูมิรู้ สามารถถ่ายทอดความรู้ ให้คำแนะนำ แก่ผอู้ นื่ ในทางท่กี ่อใหเ้ กดิ ประโยชน์ได้ ผู้รอบรจู้ งึ มกั ไดร้ ับการยอมรบั และเป็นท่เี ช่ือถอื จากผู้อื่น การอ่านหนังสือจะให้ประโยชน์มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับการ “อ่านเป็น” ซึ่งจะต้องฝึก การอ่าน อย่างสม่ำเสมอจนเกิดความเข้าใจ ความซาบซึ้ง รู้จักวิเคราะห์ และเกิดความคิดจากการอ่านหนังสือ ซึ่งถือว่า สำคัญมาก ดังท่ี รัญจวน อินทรกำแหง (2518 : 36-37) กล่าวไว้ในวรรณกรรมวิจารณ์ ตอที่ 2 ว่า “...การ อ่านหนังสือท่ีจะได้รับ “ค่า” ของหนังสือจริง ๆ น้ัน ต้องอ่านให้ได้ “ความคิด” ที่แฝงอยู่เบ้ืองหลังตัวหนังสือ นน้ั มิฉะนั้นแล้ว การอ่านน้ันก็หาความหมายอันใดไม่ และกเ็ ป็นท่ีน่าเสยี ดายเวลาอันมีค่าท่ีจะเสยี ไปในการอ่าน นั้น...” การอ่านท่ีจะให้ผู้เรียนเกิด “ความคิด” จากหนังสือที่อ่านก็โดยการท่ีครูหรือผู้ปกครองช่วยช้ีแนะ หรือ ช่วยเลือกหนังสืออ่านให้เหมาะสมกับวัย เช่น เนื้อเร่ืองเป็นเรื่องราวท่ีอยู่ในความสนใจของเด็กตาวัยของเขา สำนวนภาษาที่เด็กในวัยน้ัน ๆ จะเข้าใจได้ ตัวละครเป็นบุคคลท่ีอยู่ในวัยเดยี วกนั หรือใกล้เคียงกัน ถ้าเป็นเช่นนั้น เด็กจะเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน ยิ่งอ่าน ย่ิงสนุก เปล้ือง ณ นคร (2538 : 16) ได้ยกคำของ จางจ้ือ นักปราชญ์โบราณผู้มีช่ือเสียงของจีน มากล่าวไว้ใน “ศิลปะแห่งการอ่าน” ว่า “ถ้าในโลกนีไ้ ม่มหี นังสอื ก็แล้วไป เถดิ แต่เมื่อหนงั สือมอี ยใู่ นโลก เราก็ควรจะอา่ น”

19 จุดมงุ่ หมายในการอ่าน การอ่าน มีจุดประสงค์ท่ีกำหนดข้ึนตามความต้องการของผู้อ่าน ซ่ึงอาจต้องการศึกษาค้นคว้าข้อมูลเพื่อ ประโยชน์เชิงวิชาการ หรืออ่านเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ การอ่านของแต่ละคนมีจุดมุ่งหมายแตกต่างกันออกไป อาจจำแนกได้กวา้ ง ๆ ดังนี้ 1. อา่ นเพอ่ื หาความรู้หรือเพ่มิ พูนความรู้ เป็นความรู้จากหนังสือประเภทตำราทางวชิ าการ สารคดีทาง วชิ าการ การวิจัยประเภทต่าง ๆ หรือการอ่านผ่านส่ืออเิ ล็กทรอนกิ ส์ การอ่านจากหนังสือท่ีมีสาระเดียวกัน ควร อ่านจากผู้เขียนหลาย ๆ คน เพ่ือเป็นการตรวจสอบความถูกต้อง แม่นยำของเนื้อหา ผู้อ่านจะมีความรอบรู้ ได้ แนวคดิ ท่ีหลากหลาย การอา่ นเพือ่ ศกึ ษาหาความรู้น้ี เป็นการอา่ นเพอื่ สัง่ สมความรู้และประสบการของผ้อู า่ น 2. อ่านเพ่ือให้ทราบข่าวสาร ความคิด เป็นการอ่านเพ่ือให้ทราบข่าวสารความคิด เข้าใจแนวคิด ซึ่ง ได้แก่ การอ่านหนังสือประเภทบทวิจารณ์ข่าว รายงานการประชุม ผู้อ่านไม่เคยเลือกอ่านหนังสือท่ีสอดคล้องกับ ความคดิ และความชอบของตน ควรเลือกอ่านอย่างหลากหลาย จะทำให้มีมมุ มอท่กี ว้างข้ึน จะช่วยให้เรามีเหตุผล อ่ืน ๆ มาประกอบการวิจารณ์ วิเคราะห์ ไดล้ มุ่ ลึกมากข้ึน 3. อ่านเพ่ือความเพลิดเพลนิ หรือเพอื่ ความบันเทิง ความช่นื ชม การอา่ นเป็นอาหารใจ ให้เกิดความ บันเทิงใจ อ่านแล้วเกิดความเพลิดเพลิน สนุกสนาน ท่ีได้จากการอ่านหนังสือประเภทบันเทิงคดี เช่น นวนิยาย เร่ืองสั้น เร่ืองแปล การ์ตูน หรืออ่านบทละคร อ่านบทกวีนิพนธ์ บทเพลง บทขำขัน เป็นต้น นอกจากจะ เพลิดเพลนิ ไปกบั ภาษาและเรื่องราวท่สี นกุ สนานแล้ว ยงั ได้ความรู้ และคติขอ้ คิดควบค่ไู ปด้วย 4. อา่ นเพ่ือพัฒนาวิจารณญาณและค่านิยม การอ่านเพอ่ื พัฒนาวิจารณญาณและค่านยิ ม จะเก่ียวข้อง กบั การพัฒนาทักษะการอ่านของนักเรียนในระดับท่ีสูงข้ึน และมีการเพิ่มพูนมวลประสบการณ์ทางโลกและชีวิตที่ เจนจัดมากข้ึน นักเรียนจึงจะเข้าใจคติธรรมที่แทรกอยู่ในวรรณกรรมท่ีอ่าน ด้วยกระบวนการคิดวิเคราะห์อย่าง สมเหตุสมผล สามารถเลือกและประยุกต์ส่ิงท่ีมีคุณค่ามาพัฒนาตนเองให้เป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพ และ ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีคุณค่า สามารถ รับใช้สังคมประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า ตามกำลังสติปัญญาท่ี เพม่ิ พนู ข้ึน อนั สบื เนื่องมาจากนกั เรียนเกิดความรู้ ความเขา้ ใจ สภาพแวดล้อมของชีวิตในด้านท่ีเป็นสัจธรรมความ จรงิ สมบรู ณข์ นึ้ (กสุ ุมา รกั ษมณี และคณะ, 2536 : 79) 5. การอ่านเพื่อกิจธุระหรือประโยชน์อื่น ๆ การอ่านเพ่ือกิจธุระอื่น ๆ นอกเหนือจากจุดมุ่งหมายท่ี กล่าวมาแล้ว เป็นการอ่านเพื่อประโยชน์เฉพาะกิจ เช่น อ่านแบบฟอร์มชนิดต่าง ๆ อ่านหนังสือสัญญาเงินกู้ จำนอง และซ้ือขาย อา่ นใบสมัครและระเบียบการ อ่านคำสงั่ และสัญญาณบง่ บอกที่มคี วามหมายต่าง ๆ เป็นต้น เราถือว่าสารเหล่านี้จะมีแบบแผนและรายละเอียดเฉพาะกลุ่ม เฉพาะองค์การ หรือเฉพาะสังคม ซ่ึงการ ติดต่อส่ือสารในโลกปัจจุบัน เราไม่อาจหลีกเล่ียงการอ่านสิ่งเหล่าน้ีได้เลย หากอ่านผิดพลาดหรือไม่เข้าใจ วัตถปุ ระสงคท์ ี่แทจ้ รงิ อาจก่อให้เกดิ ความเสียหาย หรือเสยี ผลประโยชนข์ องเราได้ นอกจากน้ี ยังมีผู้อ่านหลายท่านท่ีนิยมอ่านหนังสือเพื่อเสริมโลกทรรศน์ของตนเอง ให้ทันสมัยรู้ทัน เหตุการณ์ความเคลื่อนไหวในสังคม เช่น นักธุรกิจ จำเป็นต้องอ่านบทความหรือข่าวเศรษฐกิจจากหนังสือพิมพ์ วารสาร แ ละนิตยสาร ทเ่ี กี่ยวข้องกับงานของตนอย่ตู ลอดเวลา เพอ่ื เพ่มิ พูนประสทิ ธภิ าพในการทำงาน และการ ตดั สินใจท่ีสอดคล้องกับสถานการณ์ต่าง ๆ บางท่านสนใจอ่านติดตามข่าวสารการเมือง การปกครอง หรือประวัติ

20 บคุ คล และบทบาทของเขาที่กำลังดำเนินอยใู่ นสงคม เช่น ผู้นำประเทศ ผู้นำความคดิ ทางสังคม เพ่ือประโยชน์ ในการสมาคมกับผู้อ่ืน จะช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพของเขาให้น่านิยมศรัทธามากยิ่งข้ึน เพราะเป็นผู้ที่มีโลกทรรศน์ ดีกวา่ ผ้ทู ไ่ี มส่ นใจอา่ น หรือติดตามเหตกุ ารณ์เหลา่ นี้เลย กล่าวโดยสรุป จุดประสงค์ของการอ่านแต่ละคนจะแตกต่างกันไปตามความต้องการ ผู้อ่านจะกำหนด จุดประสงค์ของการอ่าน เพ่ือตอบสนองความต้องการโดยเฉพาะของตนเอง การอ่าน แต่ละคร้ังย่อม ก่อให้เกดิ ประโยชน์แกผ่ ู้อ่านทง้ั สิ้น ข้อควรคำนงึ สำหรับผู้ท่ีอยู่ในวัยเรียน คือ ควรใชว้ ิจารณญาณในการเลือกเร่ือง ท่ีจะอ่าน และรู้จักแยกแยะ นำส่ิงทีเ่ ปน็ ประโยชนจ์ ากการอ่านไปใช้ในการประอบกิจกรมทเี่ กย่ี วข้องกับการดำเนิน ชีวิตในแต่ละด้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจัดเป็นปัจจัยสำคัญท่ีจะเสริมสร้างผลสัมฤทธิ์ของการอ่านให้บรรลุ จุดมุ่งหมายแตล่ ะข้อตามที่กล่าวมา ประเภทของการอา่ น การอา่ นสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ทัง้ นี้ขน้ึ อยู่กับว่า จะใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา ถ้า หากพจิ ารณาการอ่านโดยดจู ากจุดมงุ่ หมายของผู้อ่านเป็นหลัก เราอาจจะแบง่ ได้ ดังน้ี (อัมพร ทองใบ, 2540 : 18-19) 1. อ่านผ่าน ๆ หรืออ่านเอาเรื่อง ท้ังนี้ข้ึนอยู่กับความสนใจของผู้อ่าน เช่น การพลิกตำราบางเล่ม เพ่ือดูว่าเนื้อหาครอบคลุมเรื่องที่จะค้นคว้าหรือไม่ อาจจะอ่านเพียงหัวเรื่องหรืออ่านหน้าสารบัญ หรืออ่านหน้า ผนวกท้ายเลม่ เปน็ ตน้ 2. การอ่านในใจ เป็นการอ่านเพือ่ เกบ็ ใจความและเพื่อทำความเข้าใจ เป็นการอ่านเพื่อแสวงหาความรู้ ความบันเทิงให้แก่ตนเอง ผู้อ่านจะต้องมีความรู้เก่ียวกับคำศัพท์ และสามารถเข้าใจเรื่องราวท่ีได้อ่านโดยตลอด การอ่านหนังสือเมื่ออ่านไปโดยตลอดก็พอจะเกบ็ ใจความได้ว่า เร่ืองท่ีอ่านมีเนื้อหาเรื่องราวว่าอย่างไร หากมีบาง ตอนท่อี าจจะไม่เข้าใจ เพราะเร่ืองท่ีอ่านนน้ั ยากเกินความร้ขู องผู้อ่านทจี่ ะทำความเขา้ ใจได้ ผอู้ ่านควรจะพยายาม เอาชนะดว้ ยการอา่ นอย่างมสี มาธิ และรับรู้ความหมายทุกถอ้ ยคำจนเกิดความเข้าใจเนื้อเรื่องได้ตลอด สอางค์ ดำเนนิ สวัสด์ิ และคณะ (2546 : 88) แบ่งลกั ษณะการอ่านเปน็ 5 ชนิด คอื 1. การอ่านอย่างคร่าว ๆ เป็นการอ่านเพ่ือสำรวจว่า ควรจะอ่านหนังสือเล่มน้ีอย่างละเอียดต่อไป หรอื ไม่ โดยอา่ นเพียงช่อื เรือ่ ง หวั ข้อเรอ่ื ง ชอ่ื ผู้แต่ง คำนำ หรือการอา่ นเนอื้ หาบางตอนโดยรวดเรว็ 2. การอ่านเพื่อจับใจความสำคัญ เป็นการอ่านเพ่ือเก็บแนวคิดท่ีต้องการ และอ่านข้ามตอนท่ีไม่ ต้องการ 3. การอ่านเพ่ือสำรวจเนื้อหา เป็นการอ่านเพื่อทำเป็นบนั ทึกย่อ หรือทบทวนเพื่อสรุปสาระสำคญั ของ เร่อื งทัง้ หมด 4. การอา่ นเพอื่ ศึกษาอยา่ งลึกซึ้ง เป็นการอ่านละเอยี ด เพ่ือให้เข้าใจเรือ่ งที่อ่านอยา่ งชดั เจน 5. การอ่านเพ่ือวิเคราะห์และวิจารณ์ เป็นการอ่านละเอียด เพ่ือวิเคราะห์เน้ือหาว่ามคี วามหมายและมี ความสำคัญอย่างไร รวมทัง้ แสดงความคิดเห็นอยา่ งมีเหตุผลเกย่ี วกบั เร่ืองท่อี ่าน

21 การอ่านแต่ละชนิดมีจุดประสงค์ต่างกัน และใช้เน้ือหาต่างกัน ผู้อ่านควรพิจารณาว่า ใช้การอ่านใน ลักษณะใดบา้ งในชวี ิตประจำวนั และพิจารณาวา่ ตนมีประสทิ ธิภาพในการอา่ นหรือไมโ่ ดยใชเ้ กณฑข์ ้นั ต้น ดงั น้ี 1. เขา้ ใจรายละเอยี ดของเนื้อเรอ่ื ง 2. จบั ใจความสำคัญของเรื่องได้ 3. สรปุ ความคิดหลกั ของเรอื่ งได้ 4. ลำดับความคดิ ในเรื่องได้ 5. คาดคะเนเหตกุ ารณ์ที่ไมป่ รากฏในเร่ือง หรือเหตุการณ์ทจี่ ะเกดิ ข้ึนตอ่ ไปได้ นอกจากการเบ่งประเภทของการอ่าน ตามเกณฑ์ท่ีกล่าวมาแล้วน้ัน ยังมีการแบ่งประเภทท่ีแตกต่างกัน ไปอีก ดงั เชน่ สุนันทา ม่ันเศรษฐวิทย์ (2551 : 17 : 20) ได้แบ่งประเภทของการอา่ นไว้ 4 ประเภท แต่ละประเภทมี จดุ มงุ่ หมายของการใชท้ ่ีแตกต่างกัน ดังนี้ 1. การอ่านเคร่า ๆ จุดประสงค์ของการอ่านประเภทนี้ เพ่ือค้นหาเอกสารอ้างอิงสำหรับใช้ในการ คน้ คว้า หรือการหาส่อใหม่ ๆ ในห้องสมุด นอกจากน้นั ยังเปน็ การค้นหาคำสำคัญท่ีเก่ียวข้องกับเรื่องใหม่ ๆ เพ่ือ รวบรวมความคิดของผู้เขียน อีกทั้งยังใช้เพื่อการอ่านสันทนาการ ได้แก่ การอ่านวารสารบันเทิง การอ่าน เรอื่ งราวตา่ ง ๆ ทใ่ี หค้ วามสนกุ สนานเพลิดเพลิน วิธีการอ่าน ผู้อ่านจะใช้การเคลื่อนสายตาอย่างรวดเร็ว จากบรรทัดบนสุดสู่บรรทัดล่าง โดยข้ามคำ กลมุ่ คำ และประโยคทไี่ ม่สำคัญ เพ่อื ตรวจดูเฉพาะหวั ข้อหรือคำสำคัญ หรอื คำตอบตามที่ตอ้ งการ โดยสงั เกตคำ ที่ขดี เสน้ ใต้ หรอื คำทเี่ ป็นตัวหนา 2. การอ่านเร็ว จุดประสงค์ของการอา่ นเร็ว เพ่ือเป็นการทบทวนสารท่ีอา่ น อีกทั้งยังใช้เพื่อการค้นหา แนวคิดหลักและแนวคิดย่อย เป็นการนำข้อมูลจากสารท่ีอ่านไปใช้ประโยชน์ การอ่านวิธีน้ียังใช้เพ่ืออ่านสารที่ทำ ให้เกดิ ความเพลิดเพลนิ เช่น การอ่านนิทาน นิยาย นวนิยาย และสื่อการอา่ นอน่ื ๆ ทช่ี ่วยให้ผู้อ่านได้รับการผอ่ น คลายทางจติ ใจ วิธีการอ่าน ผู้อา่ นจะเคลื่อนสายตาอย่างรวดเร็ว จากซ้ายไปขวา โดยไม่เคล่ือนใบหน้าเป็นการอ่านท่ีใช้ การเคลื่อนตาอย่างรวดเร็ว โดยการรับรู้เป็นคำ เป็นกลุ่มคำ หรือประโยคเป็นการอ่านที่เร่งรีบ เพื่อความเข้าใจ เรื่องราวโดยใช้เวลาท่ีจำกดั 3. การอ่านปกติ จุดประสงค์ของการอ่านปกติ เพ่ือค้นหาข้อมูลและตอบคำถามอาจใช้ในการทำ แบบฝึกหัด หรือการทำรายงาน อ่านแล้วจดบันทึกเพ่ือสรุปเนื้อเร่ืองแต่ละตอน เป็นการอ่านเพ่ือนำข้อมูลมาไข ปริศนา อ่านเพื่อคำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดหลักกับแนวคิดย่อย การอ่านปกติมักจะใช้กับการ อ่านสารที่มีความยากง่ายอยู่ในระดับปานกลาง ซ่ึงหมายความว่า ผู้อ่านรู้จักคำที่อยู่ในสารมากกว่าร้อยละ 70 และอ่านได้ 250 คำ/นาที ตอบคำถามได้ถกู ต้องรอ้ ยละ 60 ข้ึนไป วิธีการอ่าน ผู้อ่านจะเคล่ือนสายตาจากซ้ายไปขวา โดยมิได้เร่งรีบ เพื่อรับรู้คำกลุ่มคำ ประโยค และ เร่ืองทั้งหมด การอ่านปกติเป็นการอ่านโดยมิได้เร่งรัด แต่ต้องการความเข้าใจในเรื่องราวโดยมิได้พลาดประเด็น สำคัญ และต้องการให้บรรลุผลตามจดุ ประสงค์มากกว่าท่จี ะเน้นในเรื่องของเวลา

22 4. การอ่านละเอียด จุดประสงค์ของการอ่านาเพื่อตรวจรายละเอียดของเร่ืองในทุกประเด็น โดยไม่ พลาดความหมายของคำ กลุ่มคำ และประโยค นอกจากนนั้ ยงั เป็นการประเมินค่าเรื่องทอี่ ่านเรียงลำดับเหตุการณ์ แ ละติดตามทิศทางของเรื่อง เพื่อมิให้พลาดประเด็นสำคัญ สรุปเรื่องด้วยภาษาของตนเอง รวมท้ังวิเคราะห์การ นำเสนอผลงานของผู้เขียนได้อย่างถูกต้อง การอ่านวิธีน้ียังใช้ประโยชน์ในการอ่านสารประเภทวรรณกรรมและ วรรณคดีอย่างละเอียด เพ่ือให้เกิดความเข้าใจและเกิดความซาบซึ้งในการใช้ภาษา การวิเคราะห์รูปแบบ ตลอดจนลักษณะของการใช้ภาษา คณุ คา่ ที่ได้รับทางภาษาจำเป็นตอ้ งใช้การอา่ นอย่างละเอียดเช่นกนั วิธีการอ่าน ผู้อ่านจะเคลื่อนสายตา ผ่านทุกตัวอักษรของคำ กลุ่มคำ และประโยคทำความเข้าใจ ความหมายท้ังทางตรงและทางนัย เพื่อให้ได้ข้อมูลตรงตามจุดประสงค์ท่ีต้องการ สารท่ีใช้วิธีอ่านประเภทนี้ มักจะเป็นสารวิชาการ ใช้ภาษาท่ียากและมีเรื่องราวซับซ้อน ซึ่งต้องใช้เวลาในการอ่านมากกว่าการอ่านประเภท อ่ืน ๆ เพราะต้องการความละเอียดรอบคอบ กล่าวโดยสรุป การอ่านเป็นการรับรู้ความหมายของสาร การอ่านมีความสำคัญเพราะเป็นเคร่ืองมือ แสวงหาความรู้และความบันเทิง ผู้อ่านแต่ละคนจะมีจุดมุ่งหมายในการอ่านไม่เหมือนกัน บางคนชอบอ่านเพื่อ แสวงหาความรู้ บางคนชอบอ่านเพ่ือแสวงหาความบันเทิง และบางคนอ่านเพ่ือนำความรู้จากการอ่านไปใช้เพื่อ ประโยชน์อ่ืน ๆ การแบ่งประเภทของการอ่าน สามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ท้ังนี้ข้ึนอยู่กับวา่ จะใช้อะไร เปน็ เกณฑใ์ นการพิจารณา อาจแบง่ โดยพจิ ารณาจดุ มงุ่ หมายเป็นหลัก หรืออาจแบ่งโดยพจิ ารณาจากลักษณะการ อา่ นเป็นหลัก คือ การอ่านในใจ แลการอ่านออกเสียง โดยจะมีวิธีการอ่านแตกต่างกันไป แต่อย่างไรก็ตามการ อ่านจะบรรลุจุดประสงค์ได้ ผู้อ่านควรมีจุดหมายในการอ่าน และเข้าวิธีท่ีจะอ่าน เพ่ือให้ได้ประโยชน์สมตาม ความมุง่ หมาย กิจกรรมสง่ เสริมการอ่าน กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน หมายถึง การกระทำต่าง ๆ เพ่ือให้เด็กเกิดความสนใจที่จะอ่าน เห็น ความสำคัญของการอ่าน เกิดความเพลิดเพลินที่จะอ่าน เกิดความมุ่งม่ันท่ีจะอ่าน และอ่านจนเป็นนิสัย ทั้งนี้ การ อ่านหนังสือเป็นทักษะสำคัญทักษะหนึ่งในชีวิตประจำวัน เพราะการอ่านหนังสือจะพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนเรา ได้เป็นอย่างดีย่ิง เม่ือคนเราอ่านหนังสือจะเกิดความสามารถสร้างความรู้ อารมณ์ จินตนาการ และ ความ

23 เพลิดเพลิน การที่เด็กจะเกดิ ทักษะการอา่ นหนังสือได้นั้นจำเป็นจะตอ้ งอาศัยความรว่ มมือจากบุคคลหลายฝ่าย ท้ัง ครอบครัว โรงเรียนและชุมชน ในการจดั กจิ กรรมส่งเสริมการอา่ นใหแ้ ก่เด็ก กิจกรรมสง่ เสรมิ การอา่ นคอื การกระตุ้นด้วยวธิ ีการต่างๆ เพื่อใหผ้ ู้อ่านสนใจการอา่ นจนกระทั่งมนี สิ ัยรกั การอา่ น และได้พฒั นาการอา่ นจนกระทั่งมีความสามารถในการอ่าน นำประโยชน์จาการอา่ นไปใชไ้ ดต้ รงตาม วัตถุประสงค์ของการอา่ นทุกประเภท (ฉววี รรณ คูหาภนิ ันทน์, 2542 : 93) กรมวิชาการ (อ้างถงึ ใน ฉววี รรณ คูหาภนิ ันทน์, 2542 : 93) ให้ความหมายว่า กิจกรรมส่งเสรมิ การอ่าน คือ การกระทำเพ่ือ 1. เร้าใจบุคคลหรอื บุคคลทีเ่ ป็นเป้าหมายใหเ้ กิดความอยากรู้ อยากอ่านหนังสอื โดยเฉพาะหนงั สอื ที่มี คุณภาพ 2. เพ่ือแนะนำชกั ชวนให้เกิดความพยายามทจ่ี ะอา่ นใหแ้ ตกฉาน สามารถนำความรูจ้ ากหนงั สือไปใช้ ประโยชน์ เกดิ ความเข้าใจในเร่ืองตา่ งๆ ดีขน้ึ 3. เพ่อื กระตนุ้ แนะนำให้อยากรู้ อยากอ่านหนงั สือหลายอย่าง เปิดความคิดให้กวา้ ง ให้มกี ารอ่านตอ่ เน่ือง จนเป็นนสิ ัย พัฒนาการอา่ นจนถึงขั้นที่สามารถวิเคราะห์เรื่องที่อ่านได้ 4. เพอ่ื สร้างบรรยากาศทจ่ี ูงใจให้อ่าน ดังนนั้ สามารถกลา่ วได้ว่า กิจกรรมสง่ เสรมิ การอ่าน หมายถงึ กิจกรรมต่างๆทหี่ ้องสมดุ จดั ขนึ้ เพื่อส่งเสรมิ ให้ เกดิ การอา่ นอย่างต่อเน่อื งจนกระท่ังเป็นนิสัยรักการอา่ น เช่น การเลา่ นทิ าน การเชิดห่นุ การแสดงละคร การ แนะนำหนังสือทนี่ า่ สนใจ เป็นตน้

24 ลกั ษณะของกิจกรรมส่งเสริมการอา่ นท่ีดี 1. เรา้ ความสนใจ เชน่ การจดั นทิ รรศการท่ีดึงดูความสนใจ การตอบปัญหา มรี างวัลตา่ งๆ การใช้สือ่ เทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาชว่ ย 2. จงู ใจใหอ้ ยากอา่ นและกระตนุ้ ให้อยากอา่ น เช่น ขา่ วที่กำลังเป็นท่ีสนใจ หรือหวั ขอ้ เร่ืองทเ่ี ป็นท่ีสนใจ เช่น การวจิ ยั การเตรยี มตัวสอบ การสมัครงาน เปน็ ต้น 3. ไม่ใชเ้ วลานาน ความยากง่ายของกิจกรรมเหมาะสมกบั เพศ ระดับอายุ การศึกษา 4. เป็นกจิ กรรมที่มงุ่ ไปสหู่ นงั สือ วัสดกุ ารอ่าน โดยการนำหนังสอื หรอื วัสดุการอ่านมาแสดงทุกคร้งั 5. ใหค้ วามสนกุ สนานเพลดิ เพลิน แฝงการเรียนรู้ตามอธั ยาศัยจากการรว่ มกจิ กรรมด้วย ความหมายและความสำคัญของห้องสมดุ ห้องสมดุ ประชาชน หมายถึง ห้องสมุดท่ตี ้งั ข้ึนเพ่อื ให้บริการแก่ประชาชน โดยไม่จำกดั เพศ วยั เชอ้ื ชาติ ศาสนา และพน้ื ความรู้ ใหบ้ รกิ ารสารสนเทศครบทุกหมวดวิชา และอาจมกี ารบรกิ ารบางเร่อื งเป็นพิเศษ ตามความต้องการของท้องถิน่ และจะจัดให้บริการแก่ประชาชนโดยไมค่ ิดมูลคา่ บทบาทหน้าทข่ี องห้องสมดุ ประชาชน มี 3 ประเภท คอื 1. หนา้ ท่ีทางการศึกษา หอ้ งสมุดประชาชนเปน็ แหลง่ ให้การศกึ ษานอกระบบโรงเรียน มหี น้าท่ีให้ การศึกษาแกป่ ระชาชนท่วั ไป ทุกระดับการศึกษา 2. หนา้ ที่ทางวฒั นธรรม ห้องสมุดปะชาชนเป็นแหลง่ สะสมมรดกทางปัญญาของมนษุ ย์ ท่ีถา่ ยทอดเปน็ วฒั นธรรมท้องถิน่ ท่ีห้องสมดุ ตงั้ อยู่ 3. หนา้ ท่ีทางสงั คม หอ้ งสมุดประชาชนเป็นสถาบันทางสงั คมไดร้ ับเงินอุดหนนุ จากรัฐบาลและท้องถน่ิ มา ดำเนนิ กจิ การ จึงมหี น้าที่ แสวงหาข่าวสารขอ้ มูลทีม่ ีประโยชน์มาบริการประชาชน หอ้ งสมุดประชาชนในประเทศไทยมหี น่วยงานตา่ งๆรับผิดชอบ ดังน้ี 1. หอ้ งสมดุ ประชาชนสงั กดั กระทรวงศึกษาธิการ สังกัดกรมการศึกษานอกโรงเรยี น ไดแ้ ก่ หอ้ งสมดุ ประชาชนระดับจงั หวดั และระดับอำเภอ นอกจากน้ีกรมการศึกษานอกโรงเรียนยงั ได้จดั ที่อา่ นหนงั สือประจำ หม่บู ้าน ทอ่ี ่านหนังสอื ในวัด และหอ้ งสมุดเคล่อื นที่ 2. ห้องสมดุ ประชาชน สังกัดกรงุ เทพมหานคร มที ้ังหมด 12 แห่ง ไดแ้ ก่ หอ้ งสมุดประชาชนสวนลมุ พินี ห้องสมดุ ประชาชนซอยพระนาง หอ้ งสมดุ ประชาชนปทมุ วัน หอ้ งสมดุ ประชาชนอนงคาราม หอ้ งสมดุ ประชาชนวัด สังข์กระจาย ห้องสมดุ ประชาชนบางเขน ห้องสมุดประชาชนบางขนุ เทยี น ห้องสมุดประชาชนวดั รัชฎาธิษฐาน วรวหิ ารตลิ่งชัน หอ้ งสมุดประชาชนประเวช หอ้ งสมดุ ประชาชนวัดลาดปลาเคา้ หอ้ งสมดุ ประชาชนภาษเี จรญิ หอ้ งสมุดประชาชนวัดราชโอรส 3. หอ้ งสมุดประชาชนของธนาคารพาณชิ ย์ เปน็ หอ้ งสมุดที่ธนาคารพาณชิ ยเ์ ปดิ ขนึ้ เพ่ือบริการสงั คม และ เพือ่ ประชาสัมพันธ์กิจการของธนาคารใหเ้ ปน็ ท่ีร้จู ักแพรห่ ลาย เช่น ห้องสมุดประชาชนของธนาคารกรุงเทพจำกัด

25 4. ห้องสมดุ ประชาชนของรฐั บาลต่างประเทศ โดยไดร้ ับการสนบั สนุนจากรฐั บาลต่างประเทศ เช่น ห้องสมดุ บริติชเคาน์ซิล ของรัฐบาลสหราชอาณาจกั ร ทีต่ งั้ อยูบ่ ริเวณสยามสแควร์ กรงุ เทพมหานคร 5. หอ้ งสมดุ ประชาชนเสยี ค่าบำรงุ หอ้ งสมดุ ประชาชนประเภทน้ใี ห้บรกิ ารเฉพาะสมาชกิ เท่านนั้ โดยผูท้ ่ี เป็นสมาชกิ จะต้องเสยี ค่าบำรุงตามระเบียบของห้องสมุด ไดแ้ ก่ หอ้ งสมดุ นีลสนั เฮย์ ตงั้ อยู่ทถี่ นนสุริวงศ์ กรุงเทพมหานคร บทบาทและความสำคญั ของห้องสมสดุ ต่อสังคมในดา้ นตา่ ง ๆ 1. เปน็ สถานท่เี พ่ือสงวนรักษาและถา่ ยทอดวัฒนธรรม ห้องสมดุ เป็นแหล่งสะสมววิ ฒั นาการของมนษุ ย์ ตง้ั แต่อดีตจนถึงปัจจุบนั ถ้าไม่มีแหล่งค้นคว้าประเภทห้องสมดุ เป็นศูนยก์ ลางแลว้ ความรู้ตา่ งๆ อาจสูญหายหรือ กระจดั กระจายไปตามท่ตี ่างๆ ยากแก่คนรุ่นหลงั จะติดตาม 2. เปน็ สถานทเี่ พ่ือการศึกษา คน้ ควา้ วิจยั ห้องสมดุ ทำหนา้ ท่ีใหก้ ารศึกษาแก่ประชาชนทุกรปู แบบ ท้งั ใน และนอกระบบการศึกษา เร่ิมจากการศึกษาขั้นพนื้ ฐานถงึ ระดับสูง 3. เป็นสถานทส่ี ร้างเสรมิ ความคดิ สร้างสรรค์และความจรรโลงใจ หอ้ งสมุดมหี น้าท่รี วบรวมและเลอื กสรร ทรพั ยากร สารสนเทศ เพื่อบริการแกผ่ ูใ้ ช้ ซึ่งเป็นส่ิงทีม่ ีคุณค่าผูใ้ ชไ้ ดค้ วามคิดสร้างสรรค์ ความจรรโลงใจ นานาประการ เกดิ ประโยชน์แก่ตนเองและสังคมต่อไป 4. เปน็ สถานท่ปี ลกู ฝังนิสัยรกั การอ่านและการเรียนร้ตู ลอดชีวติ ห้องสมดุ จะช่วยให้บคุ คลสนใจในการอา่ น และรกั การอ่านจนเปน็ นสิ ัย 5. เป็นสถานท่ีส่งเสรมิ การาใชเ้ วลาว่างในเปน็ ประโยชน์ หอ้ งสมุดเปน็ สถานทร่ี วบรวมสารสนเทศทุก ประเภท เพื่อบริการแกผ่ ใู้ ชต้ ามความสนใจและอ่านเพ่ือฆ่าเวลา อา่ นเพอื่ ความเพลิดเพลิน หรืออา่ นเพ่ือ สาระบันเทงิ ได้ทั้งสน้ิ นบั ว่าเป็นการพักผ่อนอยา่ งมีความหมายและใหป้ ระโยชน์ 6. เปน็ สถานทีส่ ง่ เสริมความเป็นประชาธิปไตย ห้องสมุดเป็นสาธารณะสมบัติ มีส่วนส่งเสรมิ ให้บุคคลร้จู กั สิทธแิ ละหน้าทีข่ องพลเมือง กลา่ วคือ เม่ือมสี ทิ ธใิ นการใช้ก็ย่อมมสี ิทธใิ นการบำรงุ รักษาร่วมกันและให้ความรว่ มมอื กบั หอ้ งสมุดด้วยการปฏิบตั ิตามระเบียบ แบบแผนของห้องสมุด ความหมายของส่ือส่ิงพมิ พ์ พจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑติ ยสถานไดใ้ ห้ความหมายคาทเ่ี ก่ียวกับ“สอ่ื สิ่งพมิ พ์”ไวว้ า่ “สง่ิ พมิ พ์ หมายถึง สมุด แผ่นกระดาษ หรือวตั ถุใด ๆ ท่พี ิมพ์ขน้ึ รวมตลอดทั้งบทเพลง แผนท่ี แผนผงั แผนภาพ ภาพวาด ภาพระบาย สี ใบประกาศ แผ่นเสยี ง หรือสงิ่ อื่นใดอันมีลกั ษณะเชน่ เดียวกนั ” “สอื่ หมายถึง ก. ทาการติดตอ่ ให้ถึงกนั ชักนาให้ ร้จู กั กัน น. ผู้หรือสิ่งทท่ี าการติดตอ่ ให้ถึงกนั หรือชักนาให้รู้จกั กนั ” “พิมพ์ หมายถึง ก. ถ่ายแบบ, ใชเ้ ครอ่ื งจักรกด ตัวหนังสือหรอื ภาพ เป็นตน้ ใหต้ ิดบนวัตถุ เช่น แผ่นกระดาษ ผ้า ทาให้เป็นตัวหนงั สอื หรือรูปรอยอยา่ งใด ๆ โดย การกดหรือการใช้พมิ พ์หิน เคร่ืองกล วิธเี คมี หรือวิธีอ่นื ใด อันอาจใหเ้ กิดเป็นสิ่งพิมพ์ขน้ึ หลายสาเนา น. รูป , รปู ร่าง, รา่ งกาย, แบบ” ดงั นั้น “สอื่ สง่ิ พิมพ”์ จงึ มีความหมายวา่ “ส่งิ ทพ่ี ิมพ์ข้ึน ไมว่ า่ จะเป็นแผ่นกระดาษหรือวตั ถุ

26 ใด ๆ ด้วยวธิ กี ารต่าง ๆ อนั เกิดเปน็ ชิ้นงานที่มีลกั ษณะเหมือน ตน้ ฉบับขน้ึ หลายสาเนาในปรมิ าณมากเพื่อเปน็ สิง่ ที่ ทาการตดิ ต่อ หรือชักนาใหบ้ ุคคลอืน่ ได้เห็นหรือทราบ ขอ้ ความต่าง ๆ” สิ่งพมิ พเ์ พ่ือการศกึ ษา หมายถึง ส่งิ ที่พิมพข์ ้ึนในรูปแบบต่างๆ ทั้งหนังสือ ตารา เอกสาร วารสารต่างๆ ที่ ให้ความรู้ เนื้อหาสาระท่ีมีประโยชน์ เชน่ หนังสือเรยี นภาษาไทย ป. 6 หรอื อาจเปน็ ชุดภาพประกอบการศึกษา เช่น ภาพประกอบการศกึ ษาชุดอาหารไทย เป็นตน้ และสามารถนามาใช้ในการศึกษาได้ ความเปน็ มา ส่ิงพิมพ์ถือได้ว่าเป็นส่ิงท่ีความสำคัญยิ่งควบคู่มากับการพัฒนาการของมนุษยชาติ และจัดเป็นส่ือมวลชน ประเภทหนึ่งท่ีมีความสำคัญมาตลอดนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันในการถ่ายทอดความรู้วิชาการ และเพ่ือการติดต่อ สื่อสารสาหรับมนุษยชาติ ดังคำจำกัดความของพจนี พลสิทธ์ิ (2536 : 3) สรุปความเป็นมาและความสาคัญของ สิ่งพิมพ์ ว่า “ส่ิงพิมพ์” นับเป็นวัสดุท่ีแสดงถึงพัฒนา การความเจริญก้าวหน้าทางด้านสติปัญญา ของมนุษย์ ความคิด จินตนาการ เจตคติ ความฝัน ชวี ิต วัฒนธรรม สงั คม เหตุการณ์ เรื่องราวต่าง ๆ ของมนุษย์แต่ลายคุ สมัย สามารถเก็บรักษาสืบทอดจาดชนรุ่นหนึ่งไปสู่ชนรุ่นหลัง ความคิดในเร่ืองการพิมพ์น้ีนอกเหนือจาก เพ่ือเป็น เครื่องมือในการบันทึกความคิด จินตนาการ ความรู้ และเหตุการณ์ต่างๆ แล้วยังเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่าชนชาติ ตา่ ง ๆ ในโลกนลี้ ้วนมคี วามพยายามที่จะพัฒนาความคดิ ของตนให้เจริญกา้ วหน้าทนั สมัยอย่างต่อเนื่อง ความคิดใน เรือ่ งการพิมพ์ที่มีจดุ ประสงค์เรม่ิ แรกก็คงเพื่อให้มีการแพร่หลายเรอ่ื งความคดิ ความรู้ ไปสู่ชนรนุ่ หลัง และเพ่ือให้มี หลาย ๆ สาเนาจะได้เก็บรักษาให้คงอยู่ได้นานปีน้ัน ในยุคปัจจุบันชนรุ่นหลังได้สานต่อความคิดเร่ืองการพิมพ์ จนกระท่ังกลายเป็นเทคโนโลยีท่ีทันสมัย และซับซ้อน สามารถผลิตส่ิงพิมพ์ได้หลากหลายชนิดตอบสนอง วตั ถุประสงคข์ องมนุษยชาตไิ ดก้ ว้างขวางนอกเหนือจากส่ือส่ิงพิมพ์จะเป็นสื่อมวลชนที่มคี วามเก่ียวกันกบั มนุษยชาติ มานานนับพัน ๆ ปี และมีความเก่าแกก่ ว่าสอื่ มวลชนประเภทอนื่ ไมว่ า่ จะเปน็ วิทยุกระจายเสยี ง วิทยโุ ทรทัศน์ หรือ อินเตอร์เน็ต ซ่งึ เป็นสอื่ ประเภทหนึ่งท่ีมีการใช้แพร่หลายไปท่ัวโลกเช่นในปัจจุบนั ก็ตาม แต่ส่ือสิ่งพิมพก์ ็ยงั เป็นส่ือท่ี มีการใช้อย่างแพร่หลายเป็นท่ีนิยมของทุกชนชาติมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ประเภทใดก็ตาม เช่น หนังสือพิมพ์รายวัน นิตยสาร วารสาร หรือสิ่งพิมพ์ประเภทต่าง ๆ สาเหตุสาคัญที่ทาให้สื่อสิ่งพิมพ์ยังเป็นที่

27 นิยมแพร่หลายมาโดยตลอด ก็เพราะบุคคลสามารถเลอื กอา่ นไดต้ ามความเหมาะสม อีกท้ังยังใช้เป็นเอกสารอ้างอิง ไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพ ประวัตกิ ารพิมพใ์ นประเทศไทย ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กรงุ ศรีอยุธยา ได้เร่ิมแต่งและพิมพ์หนังสือคำสอนทางศาสนา คริสต์ ข้ึน และหลังจากนั้นหมอบรัดเลย์เข้ามาเมืองไทย และได้เริ่มด้านงานพิมพ์จนสนใจเป็นธุรกิจด้านการพิมพ์ ใน เมอื งไทย พ.ศ.2382 ได้พิมพ์เอกสารทางราชการเปน็ ช้ินแรก คือ หมายประกาศห้ามสูบฝ่นิ ซง่ึ พระบาทสมเดจ็ พระ น่ังเกล้า เจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้จ้างพิมพ์จานวน 9,000 ฉบับ ต่อมาเมื่อวันท่ี 4 ก.ค.2387 ได้ออกหนังสือฉบับแรก ข้ึน คือ บางกอกรีคอร์ดเดอร์ (Bangkok Recorder) เป็นจดหมายเหตุอย่างสั้น ออกเดือนละ 2 ฉบับ และใน 15 ม.ิ ย. พ.ศ.2404 ได้พิมพ์หนังสือเล่มออกจำหน่ายโดยซื้อลิขสิทธ์ิจาก หนังสือนิราศลอนดอนของหมอ่ มราโชทัยและ ได้เร่ิมต้นการซื้อขาย ลขิ สิทธิหน่ายในเมอื งไทย หมอบรัดเลย์ไดถ้ ึงแกก่ รรมในเมืองไทยกิจการ การพิมพข์ องไทยจึง เริ่มต้นเป็นของไทย หลังจากนั้นใน พ.ศ.2500 ประเทศไทยจึงนา เคร่ืองพิมพ์แบบโรตารี ออฟเซท (Rotary off Set) มาใช้เป็นครั้งแรก โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิชนาเครื่องหล่อเรียงพิมพ์ Monotype มาใช้กับตัวพิมพ์ภาษาไทย ธนาคาร แห่งประเทศไทยไดจ้ ดั โรงพมิ พ์ธนบัตรในเมืองไทยขนึ้ ใชเ้ อง ประเภทของสื่อสงิ่ พิมพ์เพื่อการศึกษา สอ่ื ส่งิ พิมพป์ ระเภทหนังสือ 1. หนังสอื ตำรา เป็นส่ือที่พิมพ์เป็นเล่ม ประกอบด้วยเน้ือหาการเรียนการสอนโดยอธิบายเนื้อหาวิชาอย่างละเอียดชัดเจน อาจมีภาพถ่ายหรอื ภาพเขียนประกอบเพื่อเพม่ิ ความสนใจของผู้เรียน หนังสือตารานี้อาจใช้เป็นสอื่ การเรียนในวิชา น้ันโดยตรงนอกเหนือจากการบรรยายในชั้นเรยี น หรอื อาจใช้เป็นหนังสืออ่านประกอบหรอื หนังสืออา่ นเพิ่มเติมก็ได้ การใชห้ นังสือในการเรียนการสอนนับว่ามีประโยชน์แก่ผู้เรยี นทงั้ ในด้านการศึกษารายบุคคลเพ่ือให้ผู้เรียนสามารถ ใชอ้ า่ นในเวลาทีต่ อ้ งการ และในด้านเศรษฐกจิ เน่ืองจากสามารถใช้อา่ นได้หลายคนและเกบ็ ไวไ้ ดเ้ ป็นเวลานาน 2. แบบฝึกปฏบิ ตั ิ เป็นสมุดหรือหนังสือที่พิมพ์ขึ้นโดยมีเน้ือหาเป็นแบบฝึกหัดหรือแบบฝึกปฏิบัติเพื่อเป็นการเพ่ิมทักษะหรือ ทดสอบผูเ้ รียน อาจมีเนื้อหาในรูปแบบคาถามใหเ้ ลือกคาตอบ หรือเป็นต้นแบบเพื่อให้ผู้เรยี นฝึกปฏิบัติตามโดยอาจ มีรูปประกอบเพอื่ ให้เข้าใจได้ง่ายย่ิงขึ้น เช่น แบบคดั ตวั อักษร ก ไก่ เป็นตน้ 3. พจนานกุ รม เป็นหนังสือท่ีมีเน้ือหาเปน็ คาศัพท์และคาอธิบายความหมายของคาศัพท์ แตล่ ะคานั้น โดยการเรียงตามลา ดับจากอักษรตัวแจกถึงตัวสุดท้ายของภาษาท่ีต้องการจะอธิบาย คาศัพท์และคาอธิบายจะเป็นภาษาเดียวกันหรือ ต่างภาษาก็ได้ เช่น คาศัพท์ภาษาอังกฤษและมีคาอธิบายเป็นภาษาไทย หรือทั้งคาศัพท์และคาอธิบายต่างก็เป็น ภาษาอังกฤษ เป็นต้น

28 4. สารานุกรม เปน็ หนังสือที่พมิ พ์ข้ึนเพือ่ อธบิ ายหวั ข้อหรอื ข้อความต่างๆ ตามลาดับของตัวอักษร เพือ่ ให้ผู้อ่านสามารถ คน้ คว้าเพื่อความรู้และการอ้างอิง โดยมรี ูปภาพ แผนภมู ิ ฯลฯ ประกอบคาอธิบายให้ชัดเจนยิ่งข้นึ 5. หนังสอื ภาพและภาพชดุ ตา่ งๆ เปน็ หนังสอื ท่ีประกอบด้วยภาพตา่ งๆ ทเี่ ป็นเรือ่ งเดียวกันตลอดท้ังเลม่ สว่ นใหญจ่ ะเป็นหนังสือภาพที่พมิ พ์ สอดสีสวยงาม เหมาะแก่การเกบ็ ไวศ้ ึกษาหรือเปน็ ทรี่ ะลกึ เชน่ หนังสอื ภาพชุดพระท่นี ั่งวิมานเมฆ หรือหนังสอื ภาพ ชดุ ทศั นยี ภาพของประเทศตา่ งๆ เป็นตน้ 6. วิทยานิพนธแ์ ละรายงานการวิจัย เปน็ สงิ่ พมิ พ์ท่ีพมิ พ์ออกมาจานวนไมม่ ากนักเพอ่ื เผยแพร่ไปยงั ห้องสมุด สถาบันการศึกษาตา่ งๆ หรอื หนว่ ยงานที่เกีย่ วข้องกบั งานวิจยั นัน้ เพือ่ ให้ผสู้ นใจใชเ้ ป็นเอกสารคน้ คว้าข้อมูลหรือใชใ้ นการอ้างอิง 7. ส่ิงพมิ พย์ อ่ สว่ น (Microforms) หนังสือทเ่ี ก่าหรอื ชารุดหรือหนังสือพิมพ์ที่มีอยู่เปน็ จานวนมากย่อมไมเ่ ป็นทส่ี ะดวกในการเก็บรักษาไว้ จึง จำเปน็ ต้องหาวธิ ีเก็บสง่ิ พิมพเ์ หล่าน้ีไวโ้ ดยอาศัยลักษณะการยอ่ สว่ นลงให้เหลือเล็กทีส่ ดุ เท่าที่จะทาได้ เพื่อประหยดั เนือ้ ที่ในการเกบ็ รักษาและสามารถท่จี ะนำมาใชไ้ ด้สะดวก จงึ มีวิธกี ารตา่ งๆ โดยอาศัยเนื้อท่ีในการเกบ็ รักษาและ สามารถทีจ่ ะนามาใช้ไดส้ ะดวก จงึ มวี ิธีการตา่ งๆ โดยอาศยั เทคโนโลยีในการทาสิ่งพิมพย์ อ่ ส่วน ไดแ้ ก่ ก. ไมโครฟิลม์ (Microfilm) เป็นการถ่ายหนังสือแตล่ ะหน้าลงบนมว้ นฟิลม์ ท่ีมีความกว้างขนาด 16 หรอื 35 มลิ ลเิ มตร โดยฟิล์ม 1 เฟรมจะ บรรจหุ น้าหนังสือได้ 1-2 หน้าเรียงตดิ ต่อกนั ไป หนงั สือเล่มหน่งึ จะสามารถบันทึกลงบนไมโครฟิลม์ โดยใชค้ วามยาว ของฟลิ ์มเพียง 2-3 ฟุต ตามปกติจะใช้ฟลิ ม์ 1 มว้ นต่อหนังสอื 1 เล่ม และบรรจุมว้ นฟลิ ม์ ลงในกลอ่ งเล็กๆ กล่องละ มว้ นเม่อื จะใช้อา่ นก็ใสฟ่ ลิ ์มเข้าในเครื่องอ่านทีม่ ีจอภาพหรือจะอดั สาเนาหน้าใดก็ไดเ้ ช่นกัน ข. ไมโครฟชิ (Microfiche) เปน็ แผ่นฟลิ ์มแขง็ ขนาด 4 x 6 น้วิ สามารถบนั ทึกขอ้ ความจากหนงั สอื โดยยอ่ เป็นกรอบเลก็ ๆ หลายๆ กรอบ แผ่นฟิล์มนจ้ี ะมีเนอื้ ที่มากพอทจ่ี ะบรรจุหน้าหนังสอื ที่ยอ่ ขนาดแล้วได้หลายรอ้ ยหนา้ ตวั อักษรทย่ี ่อจะมีสขี าวบนพืน้ หน้าหนังสือสีดา สามารถอา่ นไดโ้ ดยวางแผน่ ฟิลม์ ลงบนเครื่องฉายทข่ี ยายภาพใหไ้ ปปรากฏบนจอภาพสาหรับอ่าน และจะอ่านหน้าใดกไ็ ดเ้ ลื่อนภาพไปมา และยังสามารถนาไปพิมพ์บนกระดาษและอดั สาเนาได้ดว้ ย ส่อื ส่งิ พมิ พเ์ พื่อเผยแพร่ขา่ วสาร – หนังสอื พมิ พ์ (Newspapers) เป็นส่ือสง่ิ พมิ พ์ที่ผลิตขึน้ โดยนาเสนอเรอ่ื งราว ข่าวสารภาพและความ คดิ เหน็ ในลักษณะของแผน่ พิมพ์ แผน่ ใหญ่ ท่ีใช้วิธีการพบั รวมกัน ซ่ึงส่อื ส่ิงพิมพ์ชนิดน้ี ได้พิมพอ์ อกเผยแพร่ท้งั ลักษณะ หนังสือพิมพร์ ายวัน, รายสัปดาห์ และรายเดือน

29 – วารสาร, นติ ยสาร เป็นสื่อสงิ่ พมิ พท์ ี่ผลิตขึน้ โดยนาเสนอสาระ ข่าว ความบนั เทิง ทมี่ ีรูปแบบการนาเสนอ ทโี่ ดดเด่น สะดุดตา และสร้างความสนใจใหก้ ับผู้อ่าน ทัง้ นี้การผลิตน้ัน มีการ กาหนดระยะเวลาการออกเผยแพร่ที่ แนน่ อน ท้งั ลกั ษณะวารสาร, นติ ยสารรายปกั ษ์ (15 วัน) และ รายเดือน – จลุ สาร เปน็ สื่อสิง่ พมิ พ์ท่ผี ลติ ขนึ้ แบบไมม่ ุ่งหวังผลกาไร เป็นแบบใหเ้ ปลา่ โดยใหผ้ ้อู า่ นไดศ้ ึกษาหาความรู้ มีกาหนดการออกเผยแพร่เป็นครัง้ ๆ หรอื ลาดับต่าง ๆ ในวาระพเิ ศษ แสดงเน้ือหาเปน็ ข้อความท่ผี ู้อา่ น อ่านแลว้ เขา้ ใจง่าย สิง่ พิมพ์อิเลก็ ทรอนกิ ส์ เป็นส่ือสิง่ พิมพ์ท่ผี ลติ ขึ้นเพื่อใช้งานในคอมพิวเตอร์ หรอื ระบบเครอื ขา่ ยอินเตอร์เน็ต ได้แก่ Document Formats, E-book for Palm/PDA เป็นตน้ บทบาทของสอื่ สิง่ พิมพ์เพ่ือการศกึ ษา บทบาทของส่ือสงิ่ พิมพใ์ นสถานศึกษา สื่อสิง่ พิมพ์ถกู นาไปใชใ้ นสถานศึกษาโดยท่วั ไป ซงึ่ ทาใหผ้ ูเ้ รียน ผูส้ อนเขา้ ใจในเนื้อหามากขนึ้ เชน่ หนังสือ ตารา แบบเรียน แบบฝกึ หดั สามารถพฒั นาได้เป็นเนื้อหาในระบบ เครอื ข่ายอนิ เตอร์เนต็ ได้ แนวทางการประยุกต์ใชส้ ่อื ส่ิงพมิ พ์เพื่อการเรยี นการสอน หรอื การศึกษา การใชส้ งิ่ พิมพ์เพอื่ การศึกษาในการเรยี น การสอนนัน้ จำแนกได้เป็น 3 วธิ ี คือ 1. ใช้เปน็ แหล่งขอ้ มลู เก่ียวกับวชิ าที่เรยี น 2. ใชเ้ ป็นวสั ดกุ ารเรียนร่วมกบั สื่ออืน่ ๆ 3. ใชเ้ ปน็ ส่ือเสริมในการเรยี นรแู้ ละเพิ่มพูนประสบการณ์ .จากวิธกี ารใช้สิ่งพมิ พ์ทัง้ 3 วิธนี ้ัน ผู้สอนสามารถนาสิ่งพิมพ์ทัง้ ท่ีเปน็ ส่งิ พิมพ์ท่ัวไป หรอื สงิ่ พิมพ์เพ่ือการศกึ ษา โดยเฉพาะมาใชใ้ นการเรียนการสอนกไ็ ด้ ท้งั นโี้ ดยพจิ ารณาตามลักษณะของสิง่ พิมพแ์ ละลักษณะของการใช้ ดังน้ี 1. สิ่งพิมพท์ เ่ี ขียนขึน้ ในลกั ษณะของหนังสือตารา ใช้เพื่อการศึกษาในระบบโรงเรยี นตามหลักสตู ร 2. สิ่งพมิ พท์ ่ีเขียนขน้ึ ในลกั ษณะบทเรยี นสาเรจ็ รปู เพื่อง่ายต่อการศึกษาด้วยตนเอง เหมาะสาหรับใชใ้ น การศกึ ษาทางไกลร่วมกับส่ืออ่ืนๆ เช่น โทรทศั น์ เทปเสียงสรปุ บทเรียน และการสอนเสริม เป็นต้น 3. ส่ิงพิมพ์เสรมิ การเรยี นการสอน เชน่ แบบฝกึ ปฏิบัติ คู่มอื เรียน ฯลฯ อาจใช้ร่วมกับสอ่ื บุคคลหรือ สอ่ื มวลชนประเภทอน่ื ๆ ได้ 4. สิง่ พมิ พท์ ว่ั ๆ ไป เชน่ นติ ยสาร หนงั สอื พมิ พ์ ฯลฯ ที่มีคอลัมน์หรือบทความทใ่ี หป้ ระโยชน์ ผู้สอนอาจแนะ นาให้ผู้เรียนอ่านเพอื่ เพ่มิ พูนความรู้หรอื เพ่ือนามาใช้อา้ งอิงประกอบการค้นคว้า • สิ่งพมิ พป์ ระเภทภาพชดุ เปน็ การใหค้ วามรู้ทางรปู ธรรมเพ่ือใชใ้ นการเสริมสร้างประสบการณ์ ทาใหผ้ ู้เรียน เข้าใจเหตกุ ารณเ์ รื่องราวหรอื ส่งิ ที่เป็นนามธรรมได้ชดั เจนข้ึน เชน่ ภาพชุดชวี ติ สัตว์ หรอื ภาพชดุ พระราช พิธจี รดพระนังคัลแรกนาขวญั เปน็ ตน้ (สานกั การศกึ ษา กรุงเทพมหานคร, 9 กันยายน 2553)

30 ประโยชน์และคณุ คา่ ของสื่อส่งิ พิมพ์เพอ่ื การศึกษา 1. สอ่ื ส่ิงพมิ พส์ ามารถเก็บไว้ไดน้ าน สามารถนามาอา่ นซ้าแล้วซ้าอีกได้ 2. สื่อสง่ิ พมิ พเ์ ปน็ ส่อื ท่มี ีราคาถูกเมื่อเทียบกบั สอ่ื อ่นื ๆ 3. สอ่ื ส่ิงพมิ พเ์ ปน็ ส่ือท่ใี ชง้ ่าย ไมย่ ่งุ ยาก 4. สื่อสิง่ พมิ พ์เป็นสื่อที่จัดทาไดง้ า่ ย โดยครูผูส้ อนสามารถทาไดเ้ องได้ มีวิธีทาทไ่ี มย่ ุ่งยากซับซอ้ น เชน่ ใบ งาน ใบความรู้ เปน็ ต้น ข้อดีและข้อจากดั ของสื่อส่ิงพมิ พเ์ พ่ือการศกึ ษา ข้อดี 1. สามารถอ่านซ้า ทบทวน หรืออ้างอิงได้ 2. เป็นการเรียนรู้ที่ดสี าหรบั ผู้ที่สนใจ 3. เปน็ การกระตุ้นใหค้ นไทยรักการอ่าน ข้อจำกัด 1. ผ้มู ปี ญั หาทางสายตา หรอื ผสู้ ูงอายอุ ่านไม่สะดวกในการใช้ 2. ข้อมลู ไม่สามารถปรับปรงุ แก้ไขไดท้ นั ท่วงทีได้ 3. ผู้ไมร่ ูห้ นังสือ ไม่สามารถเข้าถงึ ได้ ความหมายของส่ือออนไลน์ ความหมายของสื่อสังคมออนไลน์ ส่ือสงั คมออนไลน์ หมายถึง สอื่ ดิจิทัลท่ีเปน็ เคร่ืองมือในการปฏิบัติการทางสังคม(Social Tool) เพื่อใช้ สอ่ื สารระหวา่ งกนั ในเครือขา่ ยทางสงั คม (Social Network) ผ่านทางเว็บไซต์และโปรแกรมประยุกต์บนสื่อใดๆ ที่มี การเช่อื มต่อกับอินเทอร์เน็ต โดยเนน้ ใหผ้ ู้ใชท้ ้ังทเี่ ปน็ ผู้สง่ สารและผรู้ บั สารมีสว่ นรว่ ม (Collaborative) อย่าง สร้างสรรค์ ในการผลติ เน้อื หาขนึ้ เอง (User-GenerateContent:UGC) ในรปู ของข้อมูลภาพและเสียง

31 สำหรับในยุคนี้ เราคงจะหลกี เล่ียงหรอื หนีคำว่า Social Media ไปไม่ได้ เพราะไมว่ ่าจะไปท่ไี หน กจ็ ะพบ เห็นมันอยูต่ ลอดเวลา ซึ่งหลายๆ คนก็อาจจะยงั สงสัยว่า “Social Media” มันคืออะไรกันแน่ วันน้ีเราจะมารูจ้ ัก ความหมายของมนั กนั ครบั คำวา่ “Social” หมายถงึ สงั คม ซง่ึ ในท่นี ้ีจะหมายถึงสังคมออนไลน์ ซึง่ มขี นาดใหม่มากในปัจจุบัน คำวา่ “Media” หมายถึง สื่อ ซึง่ ก็คอื เน้ือหา เร่ืองราว บทความ วดี โี อ เพลง รปู ภาพ เป็นตน้ ดังน้ันคำวา่ Social Media จงึ หมายถงึ ส่ือสังคมออนไลน์ท่มี ีการตอบสนองทางสงั คมไดห้ ลายทศิ ทาง โดยผ่านเครอื ขา่ ยอนิ เตอร์เนต็ พดู ง่ายๆ ก็คอื เว็บไซตท์ ีบ่ ุคคลบนโลกนสี้ ามารถมีปฏสิ มั พันธโ์ ต้ ้ตอบกนั ได้นัน่ เอง พน้ื ฐานการเกดิ Social Media ก็มาจากความตอ้ งการของมนุษย์หรือคนเราทต่ี ้องการติดต่อส่ือสารหรอื มี ปฏิสัมพันธ์กัน จากเดิมเรามีเวบ็ ในยคุ 1.0 ซึง่ กค็ ือเว็บทแ่ี สดงเน้อื หาอยา่ งเดยี ว บุคคลแต่ละคนไม่สามารถติดต่อ หรือโต้ตอบกนั ได้ แต่เมอื่ เทคโนโลยีเว็บพัฒนาเขา้ สู่ยุค 2.0 ก็มีการพัฒนาเว็บไซต์ท่ีเรยี กว่า web application ซง่ึ ก็คือเว็บไซตม์ ีแอพลเิ คชนั หรอื โปรแกรมต่างๆ ที่มาและความสำคญั สอ่ื สังคมออนไลนก์ ลบั ส่งอทิ ธิพลลบต่อชีวิตประจำวันและความสัมพันธ์ของคนในสังคมอยา่ งชัดเจนมาก ยิง่ ข้นึ จนกลายเปน็ ประเด็นทางสงั คม ทที่ ้ังส่อื บทกฎหมาย และประชาชนเองจะต้องให้ความสำคัญในการป้องกัน และแก้ไขปัญหาเหลา่ น้ี ส่อื สงั คมออนไลน์ใชส้ อ่ื สารระหว่างกันในเครือข่ายทางสังคม ผ่านทางเวบ็ ไซต์และโปรแกรมประยุกตบ์ น สอื่ ใดๆ ท่มี ีการเชอ่ื มต่อกับอินเทอร์เน็ต โดยเนน้ ใหผ้ ใู้ ช้ท้ังที่เป็นผู้สง่ สารและผ้รู บั สารมสี ว่ นรว่ ม อย่างสร้างสรรค์ ในการผลิตเนอ้ื หาข้ึน ในรูปของข้อมูล ภาพ และเสยี ง ทง้ั นี้การใชส้ ่ือออนไลนต์ ่างๆ ก็ตอ้ งอยู่ในขอบเขตในความพอประมาณ เล่นในประมาณที่พอเหมาะเพ่อื เป็นผลดตี อ่ สายตาและร่างกาย ประเภทส่ือสังคมออนไลน์ ประเภทของสอ่ื สงั คมออนไลน์ มีด้วยกนั หลายชนิด ขึ้นอยู่กับลักษณะของการนำมาใชโ้ ดยสามารถแบง่ เป็นกลุ่ม หลกั ดังนี้ 1. Weblogs หรอื เรียกสั้นๆ วา่ Blogs คอื สอื่ ส่วนบุคคลบนอินเทอร์เน็ตที่ใช้เผยแพรข่ อ้ มลู ขา่ วสาร ความรู้ ขอ้ คิดเห็น บันทกึ ส่วนตวั โดยสามารถแบง่ ปนั ใหบ้ ุคคลอืน่ ๆ โดยผู้รับสารสามารถเข้าไปอ่าน หรือแสดงความ คิดเห็นเพ่ิมเตมิ ได้ ซงึ่ การแสดงเนอื้ หาของบล็อกน้นั จะเรียงลำดับจากเน้อื หาใหม่ไปสเู่ น้ือหาเกา่ ผูเ้ ขียนและผู้อา่ น สามารถค้นหาเน้ือหาย้อนหลังเพอ่ื อา่ นและแก้ไขเพิ่มเติมได้ตลอดเวลา เชน่ Exteen,Bloggang,Wordpress,Blogger,Okanation 2. Social Networking หรือเครือข่ายทางสงั คมในอินเทอร์เน็ต ซง่ึ เปน็ เครือขา่ ยทางสังคมที่ใช้สำหรับเชื่อมต่อ ระหวา่ งบุคคล กลุ่มบุคคล เพ่ือใหเ้ กิดเป็นกลุ่มสังคม(Social Community) เพอื่ รว่ มกันแลกเปลีย่ นและแบ่งปนั ข้อมลู ระหว่างกันทั้งด้านธุรกิจ การเมือง การศึกษา เช่น Facebook, Hi5,

32 Ning,Linkedin,MySpace,Youmeo,Friendste 3. Micro Blogging และ Micro Sharing หรอื ที่เรียกกันว่า “บล็อกจวิ๋ ” ซ่งึ เป็นเว็บเซอรว์ ิสหรือเว็บไซต์ที่ ใหบ้ ริการแก่บคุ คลทว่ั ไปสำหรบั ให้ผู้ใชบ้ ริการเขยี นข้อความสั้นๆ ประมาณ 140 ตวั อักษรท่ี เรยี กว่า “Status” หรือ “Notice” เพอ่ื แสดงสถานะของตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่หรอื แจ้งขา่ วสารตา่ งๆแกก่ ลุ่ม เพอ่ื นในสังคมออนไลน์ (OnlineSocialNetwork) (Wikipedia,2010) ทั้งนีก้ ารกำหนดใหใ้ ช้ข้อมลู ในรปู ข้อความ สน้ั ๆ ก็เพ่ือใหผ้ ใู้ ช้ที่เป็นท้ังผู้เขียนและผูอ้ ่านเขา้ ใจง่าย ทนี่ ิยมใช้กนั อย่างแพร่หลายคอื Twitter 4. Online Video เป็นเวบ็ ไซตท์ ี่ให้บรกิ ารวิดีโอออนไลน์โดยไม่เสยี คา่ ใชจ้ า่ ย ซง่ึ ปัจจุบนั ไดร้ บั ความนยิ มอย่าง แพร่หลายและขยายตัวอย่างรวดเร็วเนื่องจากเน้ือหาทนี่ ำเสนอในวดิ โี อออนไลน์ไม่ถูกจำกัดโดยผังรายการที่ แนน่ อนและตายตัวทำใหผ้ ู้ใช้บรกิ ารสามารถติดตามชมได้อยา่ งตอ่ เนื่องเพราะไม่มโี ฆษณาค่นั รวมท้ังผใู้ ช้สามารถ เลอื กชมเนื้อหาได้ตามความต้องการและยงั สามารถเชอ่ื มโยงไปยังเว็บวิดโี ออน่ื ๆ ที่เกีย่ วข้องได้จำนวนมากอกี ดว้ ย เช่น Youtube, MSN, Yahoo 5. Poto Sharing เป็นเวบ็ ไซตท์ ี่เนน้ ใหบ้ ริการฝากรปู ภาพโดยผใู้ ช้บริการสามารถอัพโหลดและดาวน์โหลด รูปภาพเพื่อนำมาใชง้ านได้ ที่สำคญั นอกเหนือจากผูใ้ ชบ้ รกิ ารจะมโี อกาสแบ่งปนั รปู ภาพแล้ว ยงั สามารถใช้เป็น พ้นื ทีเ่ พอ่ื เสนอขายภาพทตี่ นเองนำเข้าไปฝากได้อีกด้วย เช่น Flickr, Photobucket, Photoshop,Express, Zooom 6. Wikis เป็นเวบ็ ไซต์ทมี่ ีลักษณะเป็นแหล่งข้อมลู หรือความรู้ (Data/Knowledge)ซง่ึ ผ้เู ขยี นสว่ นใหญอ่ าจจะ เปน็ นกั วชิ าการ นักวชิ าชีพหรือผู้เชีย่ วชาญเฉพาะทางด้านต่างๆ ทั้งการเมอื ง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ซง่ึ ผ้ใู ช้ สามารถเขยี นหรือแก้ไขข้อมลู ไดอ้ ย่างอสิ ระ เช่น Wikipedia, Google Earth,diggZy Favorites Online 7. Virtual Worlds คือการสรา้ งโลกจนิ ตนาการโดยจำลองส่วนหนงึ่ ของชวี ติ ลงไป จัดเปน็ สื่อสงั คมออนไลน์ท่ี บรรดาผทู้ อ่ งโลกไซเบอรใ์ ชเ้ พ่ือสอื่ สารระหวา่ งกันบนอินเทอรเ์ นต็ ในลักษณะโลกเสมือนจริง (Virtual Reality) ซ่งึ ผู้ ท่ีจะเขา้ ไปใชบ้ ริการอาจจะบริษัทหรอื องค์การดา้ นธุรกิจ ดา้ นการศกึ ษา รวมถงึ องคก์ ารด้านสื่อ เช่น สำนักข่าว รอยเตอร์ สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ต้องเสยี คา่ ใช้จ่ายในการซื้อพื้นที่เพอ่ื ให้บุคคลในบริษัทหรือองค์กรได้มชี อ่ งทางใน การนำเสนอเร่ืองราวตา่ งๆ ไปยังกลุ่มเครือข่ายผู้ใช้ส่ือออนไลน์ ซึง่ อาจจะเป็นกลุม่ ลูกค้าทง้ั หลกั และรองหรือ ผู้ท่ี เก่ียวขอ้ งกบั ธรุ กจิ ของบริษัท หรอื องค์การก็ได้ ปจั จุบันเวบ็ ไซต์ทใ่ี ช้หลกั Virtual Worlds ท่ปี ระสบผลสำเร็จและ มีชอื่ เสยี ง คือSecond life 8. Crowd Sourcing มาจากการรวมของคำสองคำคือ Crowd และ Outsourcing เป็นหลกั การขอความ ร่วมมือจากบุคคลในเครือขา่ ยสังคมออนไลน์ โดยสามารถจัดทำในรูปของเว็บไซต์ทีม่ ีวตั ถุประสงค์หลักเพ่ือคน้ หา คำตอบและวธิ ีการแกป้ ัญหาต่างๆทง้ั ทางธรุ กจิ การศึกษา รวมทั้งการสื่อสาร โดยอาจจะเป็นการดึงความรว่ มมือ จากเครือข่ายทางสังคมมาชว่ ยตรวจสอบขอ้ มลู เสนอความคิดเห็นหรือให้ขอ้ เสนอแนะ กลมุ่ คนท่เี ข้ามาให้ข้อมูล อาจจะเปน็ ประชาชนทัว่ ไปหรือผู้มีความเชยี่ วชาญเฉพาะดา้ นทอ่ี ยูใ่ นภาคธุรกิจหรือแม้แต่ในสังคมนักข่าว ข้อดีของ การใชห้ ลัก Crowd souring คอื ทำให้เกิดความหลากหลายทางความคิดเพื่อนำ ไปสู่การแก้ปัญหาท่มี ี

33 ประสิทธภิ าพ ตลอดจนช่วยตรวจสอบหรือคัดกรองข้อมูลซ่งึ เป็นปญั หาสาธารณะร่วมกันได้ เช่น Idea storm, Mystarbucks Idea 9. Podcasting หรอื Podcast มาจากการรวมตวั ของสองคำ คือ “Pod” กบั “Broadcasting” ซ่ึง “POD” หรอื PersonalOn - Demand คือ อุปสงค์หรือความต้องการสว่ นบุคคล ส่วน “Broadcasting” เปน็ การนำส่อื ตา่ งๆ มารวมกันในรปู ของภาพและเสยี ง หรอื อาจกล่าวง่ายๆ Podcast คือ การ บนั ทกึ ภาพและเสยี งแล้วนำมาไว้ในเว็บเพจ (Web Page) เพ่อื เผยแพรใ่ หบ้ ุคคลภายนอก (The public in general) ท่สี นใจดาวนโ์ หลดเพ่ือนำไปใชง้ าน เช่น Dual Geek Podcast, Wiggly Podcast 10. Discuss / Review/ Opinion เป็นเว็บบอรด์ ทีผ่ ใู้ ช้อนิ เทอรเ์ นต็ สามารถแสดงความคิดเห็น โดยอาจจะ เกย่ี วกับ สินค้าหรอื บริการ ประเดน็ สาธารณะทางการเมือง เศรษฐกจิ สังคม เช่น Epinions, Moutshut, Yahoo!Answer, Pantip,Yelp ประโยชนข์ อง Social networks เครอื ข่ายสังคมออนไลน์ 1. สามารถแลกเปล่ยี นขอ้ มลู ความรู้ในสิ่งท่สี นใจร่วมกนั ได้ 2. เปน็ คลงั ขอ้ มลู ความรขู้ นาดยอ่ มเพราะเราสามารถเสนอและแสดงความคิดเห็น แลกเปล่ียนความรู้ หรอื ตั้ง คาถามในเร่ืองต่างๆ เพ่อื ให้บุคคลอ่ืนทสี่ นใจหรือมีคาตอบได้ชว่ ยกันตอบ 3. ประหยัดคา่ ใชจ้ า่ ยในการตดิ ต่อสอ่ื สารกับคนอน่ื สะดวกและรวดเรว็ 4. เปน็ สอ่ื ในการนำเสนอผลงานของตวั เอง เชน่ งานเขียน รูปภาพ วดี ิโอต่างๆ เพื่อให้ผู้อ่ืนไดเ้ ขา้ มารบั ชมและ แสดงความคิดเหน็ 5. ใชเ้ ปน็ สื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรอื บริการลกู คา้ สาหรับบริษัทและองคก์ รต่างๆ ช่วยสรา้ งความ เชือ่ มั่นให้ลกู ค้า 6. ชว่ ยสร้างผลงานและรายไดใ้ หแ้ ก่ผใู้ ช้งาน เกิดการจ้างงานแบบใหม่ๆ ขนึ้ 7. คลายเครยี ดได้สำหรบั ผูใ้ ช้ที่ตอ้ งการหาเพ่ือนคุยเลน่ สนกุ ๆ 8. สรา้ งความสัมพันธ์ทดี่ ีจากเพ่ือนสเู่ พ่ือนได้

34 บทท่ี 3 วธิ กี ารดำเนนิ งานตามโครงการ 1. วิธีการดำเนนิ งาน ขั้นเตรียมการ เพื่อจัดประชมุ ครูและบุคลากรทางการศึกษา - ชีแ้ จงทำความเขา้ ใจรายละเอียดโครงการ - ชี้แจงแนวทางในการดำเนินโครงการ - จัดทำโครงการและแผนการดำเนินการเพอ่ื อนุมตั ิ - แตง่ ต้งั กรรมการดำเนนิ งานตามโครงการ 1. คณะกรรมการอำนวยการ มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและอำนวยความสะดวกในการดำเนินงานฝ่าย ต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความเรยี บร้อย ประกอบด้วย 1.1 นายสมประสงค์ นอ้ ยจนั ทร์ ผู้อำนวยการ กศน.อำเภอชนแดน ประธานกรรมการ 1.2 นายเกรียงฤทธิ์ เดตะอุด ครู กรรมการ 1.3 นางสมบัติ มาเนตร์ ครอู าสาสมัครฯ กรรมการ 1.4 นางสาวลาวณั ย์ สทิ ธกิ รวยแกว้ ครอู าสาสมัครฯ กรรมการ 1.5 นางวารี ชบู ัว บรรณารักษ์ชำนาญการ กรรมการและเลขานุการ 2. ฝา่ ยติดต่อประสานงาน มีหนา้ ที่ ตดิ ต่อประสานงานสถานท่ีจัดการจัดกิจกรรม ประกอบดว้ ย 2.1 นางวารี ชบู วั บรรณารักษ์ชำนาญการ 2.2 นางสาวมุจลนิ ท์ ภูยาธร ครู กศน. ตำบล 2.3 นางลาวิน สเี หลือง ครู กศน. ตำบล 2.4 นางสาวนภารตั น์ สีสะอาด ครู กศน. ตำบล 2.5 นางสาวลดาวรรณ์ สุทธิพนั ธ์ ครู กศน. ตำบล 2.6 นางผกาพรรณ มะหทิ ธิ ครู กศน. ตำบล 2.7 นางสาวพัชราภรณ์ นรศิ ชาติ ครู กศน. ตำบล 2.8 นางสุรตั น์ จนั ทะไพร ครู กศน. ตำบล 2.9 นายเกรียงไกร ใหม่เทวนิ ทร์ ครู กศน. ตำบล 2.10 นางสาวณฐั ชา ทาแนน่ ครู กศน. ตำบล 2.11 นางสาวอษุ า ย่ิงสกุ ครู ศรช.

35 3. ฝ่ายการเงินและพัสดุ มีหน้าที่ จัดซื้อพัสดุและยืมเงินสำรองจ่ายตามโครงการ และจัดทำเอกสาร เบิกจา่ ยพสั ดุ และการเงินตามโครงการใหถ้ กู ตอ้ งเรยี บร้อยและทันต่อเวลาประกอบดว้ ย 3.1 นางวารี ชบู วั บรรณารกั ษ์ชำนาญการ 3.2 นางสมบัติ มาเนตร์ ครอู าสาสมัครฯ 3.3 นายศวิ ณัชญ์ อัศวสัมฤทธ์ิ ครู ศรช. 4. ฝ่ายประชาสัมพนั ธ์ มหี นา้ ที่ ส่งข่าวประชาสัมพนั ธ์ ทางออนไลน์ Facebook Line ประกอบด้วย 4.1 นางวารี ชบู ัว บรรณารกั ษ์ชำนาญการ 4.2 นางสาวมจุ ลนิ ท์ ภยู าธร ครู กศน. ตำบล 4.3 นางลาวนิ สีเหลือง ครู กศน. ตำบล 4.4 นางสาวนภารัตน์ สสี ะอาด ครู กศน. ตำบล 4.5 นางสาวลดาวรรณ์ สทุ ธิพนั ธ์ ครู กศน. ตำบล 4.6 นางผกาพรรณ มะหทิ ธิ ครู กศน. ตำบล 4.7 นางสาวพชั ราภรณ์ นริศชาติ ครู กศน. ตำบล 4.8 นางสุรัตน์ จนั ทะไพร ครู กศน. ตำบล 4.9 นายเกรียงไกร ใหม่เทวินทร์ ครู กศน. ตำบล 4.10 นางสาวณัฐชา ทาแน่น ครู กศน. ตำบล 4.11 นางสาวอษุ า ยิ่งสุก ครู ศรช. 4.12 นางสาวเยาวดี โสดา นกั จดั การงานท่ัวไป 5. ฝา่ ยจดั กจิ กรรม มหี นา้ ที่จดั กจิ กรรมสง่ เสริมการอ่านและการเรียนรู้ วทิ ยากรการจดั กระบวนการเรียนรู้ จัดเตรียมใบความรู้ ใบงาน กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ ส่งเสริมการอ่านจากหนังสือ และสื่อออนไลน์ สื่อการ เรียนการสอน เกม และกจิ กรรมนนั ทนาการ ดังน้ี 5.1 นางวารี ชูบัว บรรณารกั ษช์ ำนาญการ 5.2 นางสมบัติ มาเนตร์ ครูอาสาสมัครฯ 5.3 นางสาวลาวณั ย์ สิทธกิ รวยแกว้ ครอู าสาสมัครฯ 5.4 นางสาวมจุ ลินท์ ภูยาธร ครู กศน. ตำบล 5.5 นางลาวนิ สีเหลอื ง ครู กศน. ตำบล 5.6 นางสาวนภารตั น์ สีสะอาด ครู กศน. ตำบล 5.7 นางสาวลดาวรรณ์ สทุ ธพิ ันธ์ ครู กศน. ตำบล 5.8 นางผกาพรรณ มะหิทธิ ครู กศน. ตำบล 5.9 นางสาวพัชราภรณ์ นริศชาติ ครู กศน. ตำบล

36 5.10 นางสุรัตน์ จนั ทะไพร ครู กศน. ตำบล 5.11 นายเกรียงไกร ใหม่เทวนิ ทร์ ครู กศน. ตำบล 5.12 นางสาวณฐั ชา ทาแน่น ครู กศน. ตำบล 5.13 นายศวิ ณัชญ์ อัศวสัมฤทธ์ิ ครู ศรช. 5.14 นางสาวกญั ญาณัฐ จนั ปญั ญา ครู ศรช. 5.15 นายปัณณวัฒน์ สุขมา ครู ศรช. 5.16 นางสาวอุษา ย่ิงสุก ครู ศรช. 5.17 นางสาววรางคณา นอ้ ยจันทร์ ครู ศรช. 5.18 นางสาวเยาวดี โสดา นักจัดการงานทว่ั ไป 6. ฝ่ายรบั ลงลงทะเบยี น ใหก้ รรมการมหี นา้ ทจี่ ัดเตรยี มเอกสารสำหรบั การลงทะเบยี น และรบั ลงทะเบยี น ผ้เู ข้ารว่ มโครงการ ดังนี้ 6.1 นางสาวอษุ า ยิ่งสุก ครู ศรช. 6.2 นางสาวกัญญาณัฐ จนั ปญั ญา ครู ศรช. 7. ฝ่ายวัดผลและประเมินผลโครงการ มีหน้าที่แจกแบบสอบถามความพึงพอใจและเก็บรวบรวม แบบสอบถามความพงึ พอใจ ประเมนิ ผลการดำเนินงาน ประเมินความพึงพอใจ ปญั หา อุปสรรค และขอ้ เสนอแนะ และจดั ทำรายงานผลการดำเนินงานหลังเสรจ็ สิน้ โครงการ ดังน้ี 7.1 นางวารี ชูบัว บรรณารักษ์ชำนาญการ 7.2 นางสาวอุษา ยง่ิ สุก ครู ศรช. 7.3 นางสาวกัญญาณัฐ จนั ปัญญา ครู ศรช.

2. ข้ันดำเนนิ การ กจิ กรรมหลกั วตั ถปุ ระสงค์ ก 1. ข้ันเตรียมการ กลมุ่ เปา้ หมาย 2. ประชมุ กรรมการ เพอื่ จัดประชมุ ครูและบคุ ลากรทางการ ครูและบคุ ลากร ช ดำเนินงาน 3. จัดเตรียมเอกสาร ศึกษา กศน. อำเภอชนแดน ว วัสดุ อปุ กรณ์ในการ ดำเนนิ โครงการ - ชแ้ี จงทำความเข้าใจรายละเอียด จำนวน 21 คน โครงการ - ชแี้ จงแนวทางในการดำเนินโครงการ - จดั ทำโครงการและแผนการดำเนินการ เพ่ืออนมุ ัติ - แต่งตัง้ กรรมการดำเนินงานตาม โครงการ เพื่อประชมุ ทำความเข้าใจกบั กรรมการ ครแู ละบคุ ลากร ช ดำเนนิ งานทุกฝ่ายในการจดั กิจกรรม กศน. อำเภอชนแดน โครงการและการดำเนนิ งาน จำนวน 21 คน เพือ่ ดำเนนิ การจัดทำ จดั ซอื้ วัสดอุ ปุ กรณ์ กรรมการฝ่ายท่ีได้รบั ทใ่ี ช้ในการดำเนินการ มอบหมาย

37 กลุ่มเป้าหมาย พืน้ ทดี่ ำเนินการ ระยะเวลา งบประมาณ เป้าหมาย (เชงิ คณุ ภาพ) กศน. อำเภอ เม.ย.65 - ชแี้ จงทำความเข้าใจ รายละเอียดและ ชนแดน วัตถปุ ระสงค์ของการจัดโครงการ ชแ้ี จงวตั ถปุ ระสงค์ บทบาทหนา้ ท่ี กศน. อำเภอ เม.ย.65 - ของกรรมการดำเนนิ งานโครงการ ชนแดน เม.ย.65 - จดั ซ้ือวัสดอุ ปุ กรณ์ในการจดั โครงการ กศน. อำเภอ ชนแดน

กิจกรรมหลัก วัตถุประสงค์ ก ๔. ดำเนินการจัด กลมุ่ เป้าหมาย กจิ กรรม เพอื่ ดำเนนิ การปรบั ปรงุ ภูมิทัศนห์ อ้ งสมุด ให้ 1.หอ้ งสมุดประชาชน ห 5. สรปุ /ประเมนิ ผล และรายงานผล เป็นCo-Learning Space แหล่งเรยี นร้ขู อง อำเภอชนแดน ไ โครงการ คนในชุมชน จำนวน 1 แห่ง เ ๑. กจิ กรรมรักการอ่านผ่านสื่อออนไลน์ 2. นักเรียน นกั ศกึ ษา ข ๒. กจิ กรรมวนั รักการอ่าน และประชาชนทว่ั ไป ช ๓. กจิ กรรมวันสำคัญตา่ งๆ จำนวน 247 คน ต ๔. กจิ กรรมส่งเสรมิ การอ่านและการเรยี นรู้ สำหรบั นักศกึ ษา กศน. เพอ่ื ให้กรรมการฝ่ายประเมินผลเก็บ ตามกระบวนการ ส รวบรวมขอ้ มูลและดำเนนิ การประเมินผล ประเมินโครงการ การจัดกิจกรรม 5 บท จำนวน 3 เลม่

38 กลุ่มเปา้ หมาย พืน้ ทด่ี ำเนนิ การ ระยะเวลา งบประมาณ เปา้ หมาย (เชิงคณุ ภาพ) ห้องสมุดประชาชน เม.ย. ถงึ - ห้องสมุดประชาชนอำเภอชนแดน อำเภอชนแดน ก.ย.65 ได้รับการปรับปรุงภูมิทัศน์ห้องสมุด ให้ เป็นCo-Learning Space แหล่งเรียนรู้ ของคนในชมุ ชน เปน็ แหลง่ เรยี นร้ตู ลอด ชีวิต พร้อมให้บริการแก่กลุ่มเป้าหมาย ตา่ งๆ สรุปรายงานผลการดำเนนิ งาน กศน. อำเภอ ก.ย.65 - ตามระบบ PDCA ชนแดน

39 3. ข้ันสรปุ การจัดกจิ กรรม 1. ดัชนีวัดผลสำเร็จของโครงการ 1.1 ตัวชี้วัดผลผลิต (output) กลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการฯ 80 % มีความพึงพอใจในการเข้าร่วม กจิ กรรม 1.2 ตัวชี้วัดผลลัพธ์ ( outcome ) นักเรียน มีนิสัยรักการอ่านนำไปสู่การเรียนรู้ และพัฒนาคุณภาพชีวิต ให้ดขี น้ึ 2. การติดตามผลประเมนิ ผลโครงการ 2.1 แบบประเมนิ ความพึงพอใจผ้เู ข้ารว่ มกิจกรรม / โครงการ 2.2 สรปุ /รายงานผลการจัดกิจกรรม

40 บทที่ 4 ผลการดำเนินงานตามโครงการ ผลการดำเนนิ งานตามโครงการ การศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายทีร่ ว่ มโครงการจดั การศกึ ษาตามอัธยาศัย โครงการพัฒนาหอ้ งสมุด ประชาชนใหเ้ ปน็ ศนู ย์เรียนรตู้ ลอดชวี ติ Co-Learning Space กจิ กรรมลงนามถวายพระพรชัยมงคลสมเดจ็ พระ นางเจา้ สทุ ดิ า พัชรสุธาพมิ ลลักษณ พระบรมราชินี เน่ืองในโอกาสวันเฉลมิ พระชนมพรรษา วันท่ี 3 มถิ นุ ายน 2565 แบง่ ออกเปน็ 3 ส่วน ดังนี้ สว่ นที่ 1 ข้อมลู ท่ัวไป เพศ เพศ จำนวน ร้อยละ ชาย 63 31.80 หญิง 135 68.20 รวม 198 100 จากตาราง สรปุ ไดว้ า่ ผูต้ อบแบบสอบถาม ในครงั้ นี้ เป็นเพศหญิง มากท่สี ุด จำนวน 135 คน คิดเป็นร้อยละ 68.20 อายุ ช่วงอายุ จำนวน รอ้ ยละ ต่ำกวา่ 15 ปี 1 0.50 15 - 29 ปี 140 70.70 30 – 39 ปี 27 13.60 40 - 49 ปี 18 9.10 50 - 59 ปี 8 4.00 60 ปีขนึ้ ไป 4 2.00 198 100 รวม จากตาราง สรุปไดว้ า่ ผตู้ อบแบบสอบถาม ในครั้งนี้ เปน็ ช่วงอายุ 15 - 29 ปี มากที่สดุ จำนวน 140 คน คิดเปน็ ร้อยละ 70.70

41 การศกึ ษา ระดบั การศกึ ษา จำนวน ร้อยละ ประถมศึกษา 8 4.00 81 40.90 ม.ตน้ 98 49.50 ม.ปลาย - ปวช./ปวส. 8 - ปริญญาตรี 3 4.00 สูงกวา่ ปริญญาตรี 98 1.50 รวม 100 จากตาราง สรุปไดว้ ่า ผตู้ อบแบบสอบถาม ในครงั้ นี้ การศึกษาระดบั ม.ปลาย มากทีส่ ุด จำนวน 98 คน คดิ เป็น ร้อยละ 49.50 อาชีพ อาชีพ จำนวน รอ้ ยละ รับจา้ ง 99 50.00 เกษตรกรรม 17 8.60 ผู้นำชมุ ชน - คา้ ขาย 10 - รับราชการ 7 5.10 นักเรยี น/นักศึกษา 46 3.50 อนื่ ๆ ระบุ 19 23.20 รวม 198 9.60 100 จากตาราง สรปุ ได้ว่า ผูต้ อบแบบสอบถาม ในครง้ั น้ี เปน็ อาชีพรับจา้ ง มากท่ีสุด จำนวน 99 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 50.00

42 สว่ นที่ 2 ขอ้ มูลความคดิ เหน็ และความพึงพอใจต่อการจัดโครงการ/กจิ กรรม 2.1 เกณฑ์การพจิ ารณาระดับความพงึ พอใจ 0.00 – 1.49 อยู่ในระดับ นอ้ ยท่สี ดุ 1.50 – 2.49 อย่ใู นระดับ นอ้ ย 2.50 – 3.49 อยใู่ นระดบั ปานกลาง 3.50 – 4.49 อยูใ่ นระดบั มาก 4.50 - 5 อยู่ในระดับ มากทีส่ ุด 2.2 เกณฑ์การใหค้ ะแนน มากทส่ี ุด 5 อยใู่ นระดบั มาก 4 อยู่ในระดับ ปานกลาง 3 อยใู่ นระดับ น้อย 2 อย่ใู นระดบั น้อยที่สดุ 1 อยใู่ นระดับ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook