Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 1ภาษาพาที

1ภาษาพาที

Published by waryu06, 2021-06-28 06:44:33

Description: 1ภาษาพาที

Search

Read the Text Version

บันทกึ ขอ้ ความ สว่ นราชการ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อำเภอชนแดน ที่ ศธ ๐๒๑๐.๕๔๐๓/ วันท่ี ๕ มกราคม ๒๕๖๔ เรื่อง สรปุ ผลการปฏิบตั ิงานโครงการส่งเสรมิ การเรียนรสู้ ำหรบั เด็กและเยาวชน เรยี น ผู้อำนวยการศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั อำเภอชนแดน ตามที่ ห้องสมุดประชาชนอำเภอชนแดนไดจ้ ัดทำโครงการส่งเสริมการเรยี นรู้สำหรับเด็กและ เยาวชน กิจกรรม ภาษาพาที ระหว่างวันที่ 5 เดือน กุมภาพันธ์ 2564 ณ โรงเรียนบ้านห้วยตูม หมู่ที่ 1 ต.พุทธบาท อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ เพื่อมุ่งเน้นให้มีนิสัยรักการอ่านและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต กระตุ้น ส่งเสริมนิสัยให้เด็กและเยาวชนมีนิสัยรักการอ่าน มีทักษะและพัฒนาการทางด้านร่างกาย จิตใจของ เด็กและเยาวชน ส่งเสริมให้เด็ก และเยาวชนมีความคิดสร้างสรรค์ และมีจินตนาการ บัดนี้โครงการดงั กล่าวได้ ดำเนินการเสร็จสนิ้ เรยี บรอ้ ยแล้ว ห้องสมุดประชาชนอำเภอชนแดน จึงขอสรุปผลการปฏิบัติงานโครงการดังกล่าว รายละเอียดตามเอกสารที่แนบมาพรอ้ มนี้ จงึ เรียนมาเพ่อื โปรดทราบ นางวารี ชูบวั บรรณารกั ษ์ชำนาญการ

คำนำ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอชนแดน มอบหมายให้ห้องสมุด ประชาชนอำเภอชนแดน ดำเนินการจัดทำโครงการส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับเด็กและเยาวชน กิจกรรมภาษา พาที ระหว่างวันที่ 5 เดือน กุมภาพันธ์ 2564 ณ โรงเรียนบ้านห้วยตูม หมู่ที่ 1 ต.พุทธบาท อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ เพื่อมุ่งเน้นให้มีนิสัยรักการอ่านและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต กระตุ้น ส่งเสริมนิสัยให้ เด็กและเยาวชนมีนิสัยรักการอ่าน มีทักษะและพัฒนาการทางด้านร่างกาย จิตใจของเด็กและเยาวชน ส่งเสรมิ ให้เด็ก และเยาวชนมคี วามคิดสร้างสรรค์ และมีจนิ ตนาการ นั้น ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอชนแดน หวังเป็นอย่างยิ่งว่า สรุปผลการปฏิบัติงานโครงการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย เล่มนี้คงเป็นประโยชน์ในการใช้เป็นคู่มือในการ ดำเนินงานต่อไป หากมีข้อเสนอแนะประการใดโปรดแจ้งคณะผู้จัดทำเพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงใน คร้งั ต่อไป ผู้จัดทำ มกราคม 2564

สารบญั หนา้ 1-6 บทที่ 1 บทนำ 7 - 25 บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ ก่ยี วข้อง 26 - 30 บทท่ี 3 วิธีดำเนนิ การตามโครงการ 31 - 35 บทที่ 4 ผลการดำเนินการตามโครงการ 36 - 37 บทที่ 5 สรุปผลการดำเนินงานตามโครงการ ภาคผนวก รปู ภาพ รายชอื่ ผู้เข้าร่วมกจิ กรรม แบบประเมนิ ความพงึ พอใจ คำสง่ั โครงการ คณะผู้จัดทำ

1 บทที่ 1 บทนำ 1.ช่อื โครงการ โครงการจัดการศกึ ษาตามอัธยาศัย กิจกรรมท่ี 1 โครงการส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับเด็กและเยาวชน 2. สอดคล้องกับนโยบาย/ยุทธศาสตรแ์ ละจุดเน้นการดำเนนิ งาน สำนกั งาน กศน. : 2.1 12 ภารกจิ “เร่งดว่ น” ข้อท่ี 2 ขบั เคล่ือนนโยบายของรฐั มนตรวี า่ การกระทรวงศึกษาธกิ าร (นายณฏั ฐพล ทีปสุวรรณ) และ รัฐมนตรชี ่วยวา่ การกระทรวงศึกษาธิการ (ดร.กนกวรรณ วิลาวลั ย์) ให้เกิดผลเป็นรปู ธรรม 2.2 สอดคลอ้ งกบั มาตรฐาน กศน. มาตรฐานการศึกษาตามอธั ยาศยั มาตรฐานท่ี 1 คุณภาพของผูร้ บั บรกิ ารการศึกษาตามอธั ยาศัย ตัวบง่ ชท้ี ่ี 1.1 ผรู้ บั บริการมคี วามรู้ หรอื ทักษะ หรือประสบการณ์ สอดคล้องกบั วตั ถุประสงคข์ องโครงการ หรือกิจกรรมการศึกษาตามอัธยาศัย มาตรฐานที่ 2 คุณภาพการจัดการศึกษาตามอัธยาศยั ตัวบง่ ชท้ี ่ี 2.1 การกำหนดโครงการหรอื กจิ กรรมการศึกษาตามอัธยาศัย ตัวบง่ ชี้ท่ี 2.2 ผจู้ ัดกิจกรรมมีความรู้ ความสามารถในการจดั การศกึ ษาตาม อธั ยาศัย ตัวบง่ ชี้ท่ี 2.3 ส่อื หรอื นวัตกรรม และสภาพแวดล้อมที่เอ้ือต่อการจดั การศึกษาตาม อัธยาศยั ตัวบง่ ชท้ี ่ี 2.4 ผู้รับบริการมีความพงึ พอใจต่อการจดั การศกึ ษาตามอัธยาศยั มาตรฐานท่ี 3 คณุ ภาพการบริหารจดั การของสถานศกึ ษา ตัวบง่ ชที้ ่ี 3.1 การบริหารจดั การของสถานศกึ ษาทเี่ น้นการมีส่วนร่วม ตัวบง่ ชีท้ ่ี 3.2 ระบบการประกนั คุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา ตัวบง่ ชท้ี ่ี 3.5 การกำกับ นเิ ทศ ติดตาม ประเมินผลการดำเนนิ งานของสถานศึกษา ตัวบง่ ชี้ท่ี 3.7 การส่งเสรมิ สนบั สนนุ ภาคเี ครือขา่ ยให้มสี ว่ นร่วมในการจัด การศึกษา ตวั บ่งชท้ี ี่ 3.8 การส่งเสรมิ สนับสนนุ การสร้างสงั คมแหง่ การเรยี นรู้ 2.3 ของเสนอแนะ ของ สมศ. ข้อที่ 1 ในการดำเนินแผนงาน/โครงการ สถานศึกษาควรมีการติดตามตรวจสอบการดำเนินงานทุก ระยะ ขั้นตอนของการดำเนินงาน เพื่อประเมินผลและนำผลการประเมินมาปรับปรุงและพัฒนาให้เป็นระบบครบ

2 วงจร PDCA และในการประเมนิ ความพึงพอใจ ควรเพิ่มข้อเหตผุ ล ขอ้ คิดเหน็ หรอื ขอ้ เสนอแนะว่าเพราะเหตุใดข้อ น้ันจึงให้คะแนนมากหรือน้อย ข้อที่ 13 ในการบริหารจัดการการดำเนินโครงการ กิจกรรมต่างๆ สถานศึกษาควรดำเนินการให้ ครบถว้ นเปน็ ระบบครบวงจร PDCA และในโครงการกิจกรรมควรกำหนดวัตถปุ ระสงค์เป็นรูปธรรม มกี ารออกแบบ ประเมินให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ มีการดำเนินการนิเทศ กำกับ ติดตาม และประเมินผลอย่าง ตอ่ เน่อื งและนำผลการประเมนิ ท่ไี ด้ไปวเิ คราะหถ์ ึงอปุ สรรค และนำไปวางแผน ปรับปรุง พัฒนาในปตี ่อไป 3. หลกั การและเหตผุ ล เด็กเป็นทรัพยากรบุคลากรที่มีคุณค่า และเป็นอนาคตที่สำคัญของชาติ ในหลายประเทศล้วนมุ่งเน้นการ พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งจะต้องเริ่มจากเด็ก โดยเฉพาะในช่วงแรกเกิด 0 – 6 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มมีการพัฒนาใน ด้านต่างๆอย่างรวดเรว็ ทั้งทางด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ จิตใจ และสังคม เด็กในวัยนี้ถา้ จะได้รับการเล้ียงดูที่ เหมาะสม มีการตอบสนองความต้องการขั้นพน้ื ฐาน และมีการส่งเสริมพัฒนาการทด่ี ีในแต่ละด้าน ก็จะทำให้เด็กน้ัน เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในอนาคตซ่ึงพัฒนาการเด็กเกิดจากการเปลี่ยนแปลงหลายด้านผสมผสานกัน โดย พฒั นาการทุกด้านไม่วา่ จะเปน็ ดา้ นทางร่างกาย สตปิ ญั ญา อารมณ์ จิตใจ และสงั คม ลว้ นมคี วามสำคญั และเก่ียวข้อง สัมพันธ์กันหมด การเปลี่ยนแปลงของพัฒนาการด้านหนึ่งย่อมมีผลให้พัฒนาการอีกด้านหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปด้วย เช่น เด็กทีมีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์มักเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว สามารถช่วยเหลือตนเองได้ มีอารมณ์แจ่มใส รู้จัก ควบคุมอารมณ์ เข้ากับผู้อื่นได้ดี และมีความสนใจเรียนรู้สิ่งรอบตัว ในทางตรงข้ามเด็กที่มีสุขภาพไม่ดี มักประสบ ปัญหาด้านการเจริญเติบโตของร่างกายล่าช้า หรือหยุดชะงักชั่วขณะ อารมณ์หงุดหงดิ งา่ ย มีอาการเศร้าซมึ ปรับตวั เขา้ กบั ผูอ้ ื่นยาก และขาดสมาธใิ นการเรยี นรู้สิ่งตา่ งๆ ห้องสมดุ ประชาชน เป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญของชุมชน มีบทบาทหน้าท่ีในการจดั การศึกษาตามอัธยาศัย และการศึกษานอกโรงเรียน โดยมีสื่อความรู้ ในการให้บริการและจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้กลุ่มเป้าหมายได้รับ การศกึ ษา สรา้ งนสิ ัยรกั การอ่าน ศกึ ษาคน้ คว้า สนองความสนใจใฝ่รู้ ร้จู กั วธิ ีการค้นควา้ ดว้ ยตนเองอยู่ตลอดเวลา ตลอดชีวิต การรับรู้ข้อมูลขา่ วสารจึงเป็นสิง่ ที่จำเป็นสำหรับคนในชุมชน การจัดกิจกรรมในเชิงรุก เพื่อให้เกิดการ เรยี นร้ขู องคนในชุมชน ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอชนแดน จึงมอบหมายให้ห้องสมุดประชาชน อำเภอชนแดน จัดทำโครงการส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับเด็กและเยาวชน เพื่อกระตุ้นและส่งเสริมให้เด็กและ เยาวชนมีนิสัยรักการอ่าน ส่งเสริมทักษะและพัฒนาการทางด้านร่างกายและจิตใจ ส่งเสริมมีนิสัยรักการอ่านและ การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชวี ิต ช่วยวางรากฐานให้เยาวชนเปน็ ผูร้ ักการเรยี นรู้ และสนใจเรียนรู้ตลอดชีวิตเพ่อื นำไปสู่กระบวนการสรา้ งพลเมอื งที่มคี ณุ ภาพเปน็ กำลังสำคัญทีจ่ ะพฒั นาประเทศชาติบ้านเมืองต่อไปในอนาคต 4. วตั ถุประสงค์ 1. เพ่อื สง่ เสรมิ ใหม้ นี ิสยั รักการอ่านและการเรียนรูอ้ ย่างต่อเนือ่ งตลอดชวี ติ 2. เพอ่ื กระตนุ้ และส่งเสริมนิสยั ให้เดก็ และเยาวชนมนี สิ ัยรกั การอ่าน

3 3. เพือ่ สง่ เสรมิ ทักษะและพัฒนาการทางด้านร่างกายและจติ ใจของเดก็ และเยาวชน 4. เพอ่ื สง่ เสริมใหเ้ ด็กและเยาวชนมีความคดิ สร้างสรรคแ์ ละมจี นิ ตนาการ 5. เปา้ หมาย จำนวน 370 คน เชงิ ปริมาณ เดก็ และเยาวชน เชงิ คุณภาพ 1. ส่งเสรมิ ใหม้ ีนิสยั รกั การอา่ นและการเรยี นรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต 2. กระตุ้นและส่งเสรมิ นิสยั ให้เด็กและเยาวชนมีนสิ ัยรักการอ่าน 3. ส่งเสริมทักษะและพฒั นาการทางดา้ นร่างกายและจิตใจของเด็กและเยาวชน 4. สง่ เสริมใหเ้ ดก็ และเยาวชนมีความคดิ สร้างสรรคแ์ ละมีจินตนาการ 6. วธิ ดี ำเนินการ กจิ กรรมหลกั วตั ถุประสงค์ กลมุ่ เปา้ หมาย เป้าหมาย พน้ื ท่ีดำเนินการ ระยะเวลา งบประมาณ 1. ขัน้ เพอ่ื จัดประชุมครูและ ครแู ละบคุ ลากร 20 คน กศน. อำเภอ พ.ย.63 - เตรียมการ บุคลากรทางการศึกษา กศน. อำเภอ ชนแดน - ชแ้ี จงทำความเข้าใจ ชนแดน 20 คน 14 ธ.ค.63 - 2. ประชมุ รายละเอียดโครงการ กศน. อำเภอ กรรมการ - ชแี้ จงแนวทางในการ ครแู ละบุคลากร ชนแดน ดำเนินงาน ดำเนินโครงการ กศน. อำเภอ - จดั ทำโครงการและ ชนแดน แผนการดำเนนิ การเพ่ือ อนุมตั ิ - แตง่ ต้ังกรรมการ ดำเนินงานตามโครงการ เพ่ือประชุมทำความเข้าใจ กบั กรรมการดำเนินงาน ทกุ ฝ่ายในการจัดกจิ กรรม โครงการและการ ดำเนนิ งาน

4 กิจกรรมหลัก วตั ถปุ ระสงค์ กลุ่มเปา้ หมาย เปา้ หมาย พื้นที่ดำเนินการ ระยะเวลา งบประมาณ 3. จัดเตรยี ม เพื่อดำเนนิ การจดั ทำ กรรมการฝา่ ยท่ี - กศน. อำเภอ 15 ธ.ค.63 5,000.- เอกสาร วัสดุ จดั ซื้อ วัสดอุ ปุ กรณ์ท่ใี ชใ้ น ได้รับมอบหมาย ชนแดน บาท อปุ กรณ์ในการ การดำเนินการ ดำเนนิ โครงการ 4. ดำเนินการ 1. ภาษาพาที เด็กและเยาวชน 30 คน พนื้ ที่อำเภอ ธ.ค.63 - - จดั กจิ กรรม 2. วนั เด็กแห่งชาติ 2564 300 คน ชนแดน ม.ี ค.64 3. ครอบครวั รักการอา่ น 20 คน 4. นิทานเล่มเลก็ 20 คน รวม 370 คน 5. สรุป/ เพือ่ ให้กรรมการฝ่าย ตาม 2 เล่ม กศน. อำเภอ ม.ี ค.64 - ประเมินผล ประเมนิ ผลเก็บรวบรวม กระบวนการ ชนแดน และรายงานผล ข้อมูลและดำเนนิ การ ประเมนิ โครงการ ประเมนิ ผลการจัด โครงการ กิจกรรม 5 บท 7. วงเงนิ งบประมาณ จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 แผนงานพื้นฐานด้านการพัฒนาและเสริมสร้าง ศักยภาพทรพั ยากรมนุษย์ ผลผลิตที่ 5 ผ้รู บั บริการการศึกษาตามอัธยาศยั กิจกรรมการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย งบดำเนินงาน ค่าจัดกิจกรรมสำหรับห้องสมุดประชาชน รหัสงบประมาณ 36005 เป็นเงิน 5,000.- บาท (ห้าพนั บาทถ้วน) รายละเอยี ดดงั นค้ี อื คา่ วสั ดุ เปน็ เงนิ 5,000 บาท รวมเป็นเงิน 5,000 บาท 8. แผนการใชจ้ า่ ยงบประมาณ แผนการใชจ้ า่ ยรายไตรมาส ไตรมาสที่ 1 ไตรมาสท่ี 2 ไตรมาสท่ี 3 ไตรมาสที่ 4 5,000 - - -

5 9. ผู้รบั ผดิ ชอบโครงการ 9.1 นางวารี ชบู ัว ตำแหน่ง บรรณารกั ษ์ชำนาญการ 9.2 นางสมบัติ มาเนตร์ ตำแหนง่ ครูอาสาสมัครฯ 9.3 นางลาวิน สีเหลอื ง ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล 9.4 นางสาวมจุ ลินท์ ภยู าธร ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล 9.5 นางสาวลดาวรรณ์ สุทธิพนั ธ์ ตำแหนง่ ครู กศน.ตำบล 9.6 นางสรุ ัตน์ จันทะไพร ตำแหนง่ ครู กศน.ตำบล 9.7 นายเกรียงไกร ใหม่เทวินทร์ ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล 9.8 นางสาวอษุ า ยิ่งสกุ ตำแหน่ง ครปู ระจำศูนย์การเรียนชุมชน 9.9 นางสาวกญั ญาณัฐ จันปญั ญา ตำแหน่ง ครปู ระจำศูนยก์ ารเรยี นชุมชน 9.10 นายปณั ณวฒั น์ สขุ มา ตำแหน่ง ครปู ระจำศูนยก์ ารเรียนชุมชน 9.11 นางสาววรางคณา น้อยจันทร์ ตำแหน่ง ครูประจำศูนยก์ ารเรียนชุมชน– 9.12 นายศวิ ณชั ญ์ อัศวสมั ฤทธ์ิ ตำแหนง่ ครปู ระจำศนู ย์การเรยี นชมุ ชน– 10. เครือขา่ ย 10.1 โรงเรียนบ้านหว้ ยตมู ต.พทุ ธบาท 10.2 โรงเรียนอนุบาลชนแดน 10.3 โรงเรียนเทศบาลตำบลชนแดน 10.4 ศนู ย์พฒั นาเด็กเลก็ เทศบาลตำบลชนแดน 10.5 โรงเรยี นบา้ นเขาชะโงก 10.6 กศน.ตำบลดงขุย 10.7 บ้านหนงั สอื ชุมชนบา้ นโคกพฒั นา ม.1 ต.ท่าขา้ ม 10.8 บ้านหนังสือชมุ ชนบา้ นบา้ นโคกเจริญ ม.7 ต.ชนแดน 10.9 โรงพยาบาลส่งเสรมิ สขุ ภาพตำบลโคกสำราญ 10.8 ร.ร.บ้านเขาชะโงก 11.โครงการท่เี กย่ี วข้อง 11.1 โครงการจดั การศึกษาตามอธั ยาศยั 11.2 โครงการประชาสัมพนั ธ์งาน กศน. 11.3 โครงการสง่ เสรมิ และพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานร่วมกบั เครอื ขา่ ย 12. ผลลัพธ์ 12.1 ส่งเสริมใหม้ ีนสิ ยั รักการอา่ นและการเรียนรู้อยา่ งต่อเน่อื งตลอดชีวติ 12.2 กระต้นุ และสง่ เสริมนสิ ัยใหเ้ ดก็ และเยาวชนมีนิสยั รักการอา่ น

6 12.3 สง่ เสรมิ ทกั ษะและพฒั นาการทางด้านร่างกายและจิตใจของเดก็ และเยาวชน 12.4 ส่งเสรมิ ใหเ้ ด็กและเยาวชนมีความคดิ สรา้ งสรรค์และมีจินตนาการ 13. ดัชนวี ดั ผลสำเร็จของโครงการ 13.1 ตัวชี้วัดผลผลิต (output) กลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการฯ 80 % มีความพึงพอใจในการเข้าร่วม กิจกรรม 13.2 ตวั ชี้วดั ผลลัพธ์ ( outcome ) นักเรียน มนี ิสัยรักการอ่านนำไปสู่การเรียนรู้ และพัฒนาคุณภาพชีวิต ใหด้ ีข้ึน 14. การติดตามผลประเมินผลโครงการ 14.1 แบบประเมินความพึงพอใจผ้เู ขา้ รว่ มกิจกรรม / โครงการ 14.2 สรปุ /รายงานผลการจดั กิจกรรม

7 บทท่ี 2 เอกสารท่เี กีย่ วข้อง ความหมายของภาษา คำว่า “ ภาษา” เปน็ คำภาษาสันสฤต แปลตามรูปศพั ทห์ มายถึงคำพดู หรือถ้อยคำ ภาษาเป็นเครือ่ งมอื ของ มนษุ ย์ที่ใชใ้ นการสือ่ ความหมายให้สามารถสอ่ื สารติดตอ่ ทำความเข้าใจกันโดยมีระเบียบของคำและเสียงเป็นเครือ่ ง กำหนด ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ให้ความหมายของคำวา่ ภาษา คอื เสียงหรอื กริ ิยาอาการ ทที่ ำความเขา้ ใจกันได้ คำพดู ถอ้ ยคำทใ่ี ช้พูดจากนั ภาษาสามารถแบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คือ วัจนภาษา และ อวัจนภาษา 1. วัจนภาษา เป็นภาษาท่ีพูดโดยใช้เสียงที่เป็นถ้อยคำ สร้างความเข้าใจกัน มีระเบียบในการใช้ถ้อยคำใน การพูด นอกจากนั้นยังเป็นหนังสือที่ใช้แทนคำพูด คำที่ใช้เขียนจะเป็นคำท่ีเลือกสรรแล้ว มีระเบียบในการใช้ ถ้อยคำในการเขยี นและการพูดตามหลักภาษา 2. อวัจนภาษา เป็นภาษาท่ีใช้สิ่งอ่ืนนอกเหนือจางคำพูดและตัวหนังสือในการส่ือสารเพ่ือทำให้เกิดความ เข้าใจ ภาษาท่ีไม่เป็นถ้อยคำได้แก่ ท่าทางการแสดงออก การใช้มือใช้แขนประกอบการพูดหรือสัญลักษณ์ต่างๆ ท่ี ใชใ้ นการสื่อสารสรา้ งความเข้าใจ เช่น สญั ญานไฟจราจร สญั ญานธง เป็นต้น ภาษามีความสำคัญต่อมนุษย์มาก เพราะนอกจากจะเปน็ เครอื่ งมือในการส่อื สารแล้ว ยังเป็นเคร่ืองมือแห่ง การเรียนรู้และการพัฒนาความคิดของมนุษย์และเป็นเครื่องมือถ่ายทอดวัฒนธรรมและการประกอบอาชีพ และท่ี สำคัญกค็ อื ภาษาช่วยสรา้ งเสริมความสามคั คีของคนในชาติอกี ด้วย เพราะภาษาเป็นถ้อยคำทใ่ี ช้ในการสอ่ื สารสร้าง ความเข้าใจกันในสงั คม ความสำคัญของภาษา ภาษาเป็นเคร่ืองมือท่ีใช้ในการส่ือสารของมนุษย์ มนุษย์ติดต่อกันได้ เข้าใจกันได้ก็ด้วยอาศัยภาษาเป็น เคร่ืองช่วยที่ดีที่สุด ภาษาเป็นสิ่งช่วยยึดให้มนุษย์มีความผูกพันต่อกัน เน่ืองจากแต่ละภาษาต่างก็มีระเบียบแบบ แผนของตน ซึ่งเป็นที่ตกลงกนั ในแต่ละชาติแต่ละกลมุ่ ชน การพดู ภาษาเดียวกันจึงเป็นสง่ิ ที่ทำให้คนรูส้ ึกว่าเป็นพวก เดียวกัน มีความผูกพันต่อกันในฐานะท่ีเป็นชาติเดียวกันภาษาเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ และเป็นเครื่อง แสดงให้เห็นวัฒนธรรมส่วนอ่ืนๆของมนุษย์ด้วย เราจึงสามารถศึกษาวัฒนธรรมตลอดจนเอกลักษณ์ของชนชาติ ต่างๆได้จากศึกษาภาษาของชนชาตินั้นๆภาษาศาสตร์มีระบบกฎเกณฑ์ ผู้ใช้ภาษาต้องรักษากฎเกณฑ์ในภาษาไว้ ด้วยอย่างไรก็ตาม กฎเกณฑ์ในภาษาน้ันไม่ตายตัวเหมือนกฎวิทยาศาสตร์ แต่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ ของภาษา เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้ังข้ึน จึงเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัยตามความเห็นชอบของส่วนรวมภาษาเป็น ศิลปะ มีความงดงามในกระบวนการใช้ภาษา กระบวนการใช้ภาษานั้น มีระดับและลีลา ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่ างๆ หลายด้าน เชน่ บุคคล กาลเทศะ ประเภทของเรือ่ งฯลฯ การที่จะเขา้ ใจภาษา และใชภ้ าษาได้ดีจะต้องมคี วามสนใจ ศกึ ษาสงั เกตให้เขา้ ถึงรสของภาษาด้วยองคป์ ระกอบของภาษา

8 ความหมายของการเรียนรู้ ความหมายของคำว่า “การเรียนรู้” มีนักจิตวิทยาได้ให้ความหมายของการเรยี นรูไ้ ว้หลายทา่ นในที่นี้ จะสรปุ พอเป็นแนวทางใหเ้ ขา้ ใจดังนี้คือ การเรียนรู้ หมายถึง การท่ีมนุษย์ได้รบั รูถ้ ึงสิ่งแวดล้อมทอ่ี ยูร่ อบตัวเขา โดยเร่ิมต้นต้ังแต่การมีปฏิสนธิ อยใู่ นครรภ์มารดาเร่อื ยไป จนกระทง่ั คลอดมาเป็นทารกแล้วอยู่รอด ซึ่งบคุ คลก็ต้องปรับตัวเพอื่ ใหต้ นเองอยู่รอดกับ สง่ิ แวดลอ้ มทง้ั ภายในครรภ์มารดาและเม่ือออกมาอยู่ภายนอกเพือ่ ให้ชวี ิตดำรงอย่รู อดทั้งน้ีกเ็ พราะการเรียนรทู้ งั้ ส้ิน การเรียนรู้ มีความหมายลึกซึ้งมากกว่าการสั่งสอน หรือการบอกเล่าให้เข้าใจและจำได้เท่านั้น ไม่ใช่ เรื่องของการทำตามแบบ ไม่ได้มีความหมายต่อการเรียนในวิชาต่างๆ เท่าน้ัน แต่ความหมายคลุมไปถึง การ เปล่ียนแปลงทางพฤติกรรมอันเป็นผลจากการสังเกตพิจารณา ไตร่ตรอง แก้ปัญหาท้ังปวงและไม่ชี้ชัดว่าการ เปล่ียนแปลงน้ันเป็นไปในทางที่สังคมยอมรับเท่าน้ัน การเรียนรู้เป็นการปรับตัวให้เข้ากับส่ิงแวดล้อม การเรียนรู้ เปน็ ความเจริญงอกงาม เน้นว่าการเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมท่ีเป็นการเรียนรู้ต้องเนื่องมาจากประสบการณ์ หรือการ ฝกึ หดั และพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปนน้ั ควรจะต้องมีความคงทนถาวรเหมาะแก่เหตุเมอ่ื พฤติกรรมดั้งเดิมเปลี่ยน ไปสู่พฤตกิ รรมท่ีมุ่งหวัง ก็แสดงวา่ เกดิ การเรียนรู้แล้ว การเรยี นรู้ หมายถึง กระบวนการเปล่ียนแปลงของกิจกรรมในการแสดงปฏกิ ริ ิยาตอบสนองต่อสถาณ การณอ์ ย่างใดอยา่ งหนึง่ การเรียนรู้ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอนั มีผลมาจากการได้มปี ระสบการณ์ การเรียนรู้ หมายถึง กระบวนการที่ทำให้เกิดกิจกรรม หรือ กระบวนการที่ทำให้กิจกรรม เปล่ียนแปลงไปโดยเป็นผลตอบสนองจากสภาพการณ์หนึง่ ซึง่ ไม่ใช่ปฏิกริ ยิ าธรรมชาติไม่ใช่วุฒิภาวะและไม่ใชส่ ภาพ การเปลยี่ นแปลงของร่างกายชัว่ คร้งั ช่ัวคราวที่เน่อื งมาจากความเหนื่อยล้าหรือฤทธ์ิยา การเรียนรู้ หมายถึง กระบวนการท่ีเนื่องมาจากประสบการณ์ตรงและประสบการณ์อ้อมกระทำให้ อนิ ทรยี ์เกิดการเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมค่อนข้างถาวร การเรยี นรู้ หมายถึง การเปลย่ี นแปลงค่อนขา้ งถาวรในพฤติกรรม ซึง่ เปน็ ผลของการฝึกหัด จากความหมายของการเรยี นรู้ขา้ งต้นอาจสรุปไดว้ ่า การเรยี นรู้ หมายถงึ การเปลีย่ นแปลงพฤติกรรม อันเป็นผลจากการที่บุคคลทำกิจกรรมใดๆ ทำให้เกิดประสบการณ์และเกิดทักษะต่างๆ ขึ้นยังผลให้เกิดการ เปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมค่อนข้างถาวร กระบวนการของการเรียนรู้ กระบวนการของการเรยี นร้มู ขี ั้นตอนดงั น้ีคือ 1. มีส่งิ เรา้ (Stimulus) มาเรา้ อินทรีย์ (Organism) 2. อินทรีย์เกิดการรับสมั ผัส (Sensation) ประสาทสัมผสั ท้งั หา้ ตา หู จมูก ลน้ิ ผวิ กาย 3. ประสาทสมั ผสั สง่ กระแสสมั ผัสไปยงั ระบบประสาทเกดิ การรับรู้ (Perception) 4. สมองแปลผลออกมาวา่ สงิ่ ทส่ี ัมผัสคอื อะไรเรียกวา่ ความคิดรวบยอด (Conception) 5. พฤตกิ รรมไดร้ ับคำแปลผลทำให้เกิดความคิดรวบยอดก็จะเกิดการเรยี นรู้ (Learning)

9 6. เมื่อเกิดกระบวนการเรยี นรู้บุคคลกจ็ ะเกดิ การตอบสนอง (Response) พฤติกรรมน้ันๆ การอา่ นคอื อะไร การอา่ น คือ การแปลความหมายของตวั อักษรท่ีอ่านออกมาเปน็ ความร้คู วามคิด และเกิดความเข้าใจ เรอ่ื งราวทีอ่ ่านตรงกบั เร่อื ราวท่ีผู้เขยี นเขียน ผู้อา่ นสามารถนำความรู้ ความคดิ หรอื สาระจากเร่ืองราวท่ีอา่ นไป ใช้ใหเ้ กิดประโยชนไ์ ด้ การอ่านจึงมคี วามสำคัญ ดังนี้ 1) การอ่านเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ โดยเฉพาะผู้ท่ีอยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน จำเป็นต้องอ่าน หนงั สอื เพ่ือการศึกษาหาความรดู้ า้ นต่าง ๆ 2) การอา่ นเปน็ เครื่องมอื ชว่ ยให้ประสบความสำเรจ็ ในการประกอบอาชีพ เพราะสามารถนำความรู้ทีไ่ ดจ้ าก การอ่านไปพัฒนางานของตนได้ 3) การอ่านเป็นเครอ่ื งมอื สืบทอดทางวัฒนธรรมของคนร่นุ ต่อ ๆ ไป 4) การอ่านเป็นวิธีการส่งเสริมให้คนมีความคิดอ่านและฉลาดรอบรู้ เพราะประสบการณ์ที่ได้จากการอ่าน เมื่อเกบ็ สะสมเพ่มิ พูนนานวันเขา้ กจ็ ะทำใหเ้ กิดความคิด เกิดสตปิ ัญญา เป็นคนฉลาดรอบรไู้ ด้ 5) การอ่านเป็นกจิ กรรมท่กี ่อให้เกิดความเพลดิ เพลินบนั เทงิ ใจ เปน็ วิธหี นึ่งในการแสวงหาความสขุ ใหก้ บั ตนเองท่ีงา่ ยท่สี ดุ และได้ประโยชนค์ ุ้มค่าทสี่ ุด 6) การอา่ นเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวติ ทำให้เปน็ คนทีส่ มบรู ณ์ทง้ั ดา้ นจติ ใจและบุคลกิ ภาพ เพราะเมอ่ื อ่าน มากย่อมรูม้ าก สามารถนำความรไู้ ปใชใ่ นการดำรงชวี ิตได้อย่างมคี วามสุข 7) การอ่านเปน็ เคร่อื งมือในการพัฒนาระบบการเมือง การปกครอง ศาสนา ประวัติศาสตร์ และสงั คม 8) การอ่านเป็นวธิ ีการหนึง่ ในการพฒั นาระบบการสื่อสารและการใชเ้ คร่ืองมือทางอเิ ล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ความสำคัญของการอ่าน การอ่านเป็นพฤติกรรมการรับสารอย่างหน่ึง กล่าวคือเป็นการรับรู้เรื่องราวโดยใช้สายตามองดูตัวอักษร แล้วสมองก็ จะลำดับเป็นถ้อยคำประโยค และข้อความต่างๆ เกิดเป็นเรื่องราวตามความรู้และประสบการณ์ของ ผู้อ่านแต่ละคน การอ่านช่วยให้เราสามารถติดตามความเคลื่อนไหว ความก้าวหน้า และความเปล่ียนแปลง ท้งั หลายไดท้ ันต่อ เหตกุ ารณ์ ฉะน้นั การอ่านจงึ เปน็ ความจำเปน็ ต่อชวี ิต ของทกุ คนในปัจจบุ ัน การอ่านมีความสำคัญต่อตนเอง เพราะการอ่านท าให้เราได้รับความรู้ความเพลิดเพลินมีความคิดทันโลก ทัน เหตุการณ์ และเข้าสังคมได้ดี การอ่านมีความสำคัญต่อสังคม เพราะคนในสังคมจำนวนมากจะได้รับความรู้ ความ เพลิดเพลิน และความจรรโลงใจจากการอ่าน ฉะน้ัน สารที่อ่านในโอกาสสำคัญต่าง ๆ จะผิดพลาดหรือ คลาดเคล่ือนไมไ่ ด้ เพราะมักมีผู้น าไปอ้างองิ หรือเผยแพร่ เป็นลายลักษณ์อักษรอยูเ่ สมอ หากผิดพลาดก็จะเป็นผล เสยี หายได้ นอกจากนี้เมอ่ื เราจะอ่านให้ผ้อู น่ื ฟงั เราก็ควรอ่านให้น่าฟังคอื 1. อา่ นให้ผู้ฟงั ได้รับสารจากบทที่อา่ นนั้นครบถว้ นทั้งสารทสี่ ำคญั ทีส่ ุดและสารท่สี ำคัญรองๆ ลงไป 2. อ่านให้ผู้ฟังสนใจฟังอยู่ตลอดเวลา ประเภทของการอ่าน การอ่าน เป็นวธิ ีสื่อสารท่ีเป็นได้ท้ังการส่งสาร และการรบั สาร การอ่านแบง่ ได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. การอ่านออกเสียง วธิ ีอ่านออกเสยี งประกอบด้วย

10 1) อ่านออกเสียงให้ถูกต้องชดั เจน 2) อา่ นเสียงดงั ฟงั ไดท้ ั่วถงึ 3) อา่ นให้เปน็ เสยี งพูดธรรมชาติ 4) รจู้ ักทอดจังหวะและลมหายใจ ฯลฯ การอ่านออกเสียง เปน็ ได้ทั้งการรับสารและการส่งสาร สว่ น การอ่านในใจจะเป็นได้เฉพาะการรับสารเพียงทาง เดียวเท่าน้ัน การอ่านออกเสียง หมายถึง การอ่านที่ผู้อ่ืน สามารถได้ยินเสียง การอ่านออกเสียงมักไม่นิยมอ่านเพื่อการรับสาร โดยตรงเพียงคนเดียว เว้นแต่การ อ่านบท ประพันธ์เป็นท่วงทำนองเพื่อความไพเราะเพลิดเพลิน ส่วนใหญ่การอ่าน สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสำรสน เทศ ARIT NPRU หน่วยส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้ สำนักวิทยบริการ ออกเสียงมักเป็นการอ่านให้ผู้อื่นฟัง การอ่านออกเสียงให้ผู้อ่ืนฟัง จะต้องอ่านให้ชัดเจน ถูกต้องได้ข้อความ ครบถ้วนสมบูรณ์มีลีลาการอ่านที่น่าสนใจ และนา่ ติดตามฟงั จนจบ 2. การอ่านในใจ การอ่านใจในถือว่าเป็นการอ่านเพ่ือพัฒนาตนเองในด้านต่างๆ อันได้แก่ ด้านความรู้ คือ ได้ทั้งความรู้รอบตัวและความรู้เฉพาะด้าน ด้านอารมณ์ช่วยให้เกิดความเพลิดเพลิน คลายความเครียด ความ ขุ่นมัวต่างๆ ด้านคุณธรรม เช่น การอ่าน หนังสือประเภทธรรมะ ชีวประวัติ สารคดี ฯลฯ ทำให้ได้เห็นตัวอย่างดีๆ หรือได้ ข้อคิด คำ สอน และสามารถนามาใช้กับตนเองได้การอ่านในใจจึงเป็นวิธีการศึกษาอย่างหนึ่ง เพ่ือเรียนรู้ และ เขา้ ใจประสบการณใ์ หม่ ๆ ซึง่ ชว่ ยใหม้ นุษย์เกดิ การปรับตัวเพอ่ื การดำรงชวี ิตอย่างเป็นสุข หลักการอา่ นในใจ ไดแ้ ก่ 1. ต้งั สมาธิให้แนว่ แน่ 2. กะระยะช่วงสายตาแต่ละคราวให้กว้างท่ีสุด จะทำให้อ่านได้รวดเร็ว ไม่ควรมองเป็นคำ ๆ เพราะทำให้ อ่านช้าและ จบั ใจความไม่ได้ 3. จับใจความสำคัญและใจความประกอบให้ได้ อาจต้ังคำถามถามตนเองว่า ใคร ทำอะไร ท่ีไหน เมื่อไหร่ อย่างไร แลว้ ตอบคำถามเหลา่ น้นั กจ็ ะสามารถจับใจความสำคัญได้ 4. ไมท่ ำปากขมบุ ขมบิ หรือออกเสยี งในเวลาอา่ น 5. ไม่ใชน้ ว้ิ ปากกา หรอื ดินสอ ชท้ี ีต่ ัวหนงั สอื ทีละตวั 6. บันทึกความรู้ ความเข้าใจ และความคิดไว้เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป สำนักวิทยบริการและ เทคโนโลยสี ำรสนเทศ ARIT NPRU หนว่ ยส่งเสริมการอา่ นและการเรยี นรู้ สำนกั วทิ ยบริการฯ จุดมุ่งหมายของการอ่าน การส่ือสารด้วยการอ่านหนังสือทุกคร้ัง ผู้อ่านจะต้องมีการต้ังจุดประสงค์การ อ่านเสมอ จุดประสงค์ของการ อ่านแตล่ ะครัง้ อาจจะเหมือนหรอื ต่างกันกไ็ ดจ้ ุดประสงค์โดยทั่วไปของการอา่ นได้แก่ 1. การอ่านเพ่ือจับใจความ เป็นการสรุปสาระสำคัญของเรื่อง ทำให้เข้าใจเร่ืองได้ครบถ้วนตรงตามท่ี ผู้เขียน ต้องการอย่างรวดเร็วการฝึก ทักษะการอ่านเพื่อจับใจความ ผู้อ่านจะต้องเข้าใจความหมายของคำและ สำนวนใน เร่ือง สามารถลำดับเหตุการณ์และลำดับความคิดแยกได้ว่า ใจความใดเป็นความสำคัญและใจความใด เป็นใจความ รอง

11 2. การอา่ นเพ่ือใช้เวลาวา่ งให้เป็นประโยชน์ นับเป็นการสร้างนิสยั รักการอ่านที่พึงปฏิบัตแิ ละมีประโยชน์ อย่างยิ่งแต่การที่จะเพิ่มคุณค่าและประโยชน์ให้กับ การอ่านน้ัน ผู้อ่านควรจดบันทึกสาระสำคัญของเร่ืองท่ีอ่าน และสามารถแนะน าหนังสอื ทน่ี า่ อ่านแก่ผอู้ ่นื ได้ด้วย 3. การอ่านอยา่ งมีวจิ ารณญาณ คือ รูจ้ ักใครค่ รวญ พิจารณาเร่ืองท่อี ่านอย่างละเอยี ด ลึกซึ้งในด้านต่างๆ เป็น การอ่าน ท่ีตอ้ งอาศยั ความ สามารถในการคิดพจิ ารณาหาเหตุผลมาประกอบ ซ่ึงนับว่าเป็นทักษะด้านการอา่ น ขั้นสูง จึงควรฝึกฝนเพ่ือนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้การอ่านอย่างมีวิจารณา ญาณจะสามารถบอก จุดประสงค์ ของผู้เขียนได้ บอกความหมายของคำและสำนวน ในเรื่อง ที่อ่านได้ วิเคราะห์ส่วนต่างๆ ของเร่ืองท่ี อ่านได้ถูกต้อง ชัดเจน อธิบายกลวิธีการเขียนได้ และบอกคุณค่าของเร่ืองท่ีอ่านได้ ประโยชน์ของการอ่าน การ สื่อสารปัจจุบันยังต้องอาศัยการอา่ นเป็นหลักสำคัญในการตดิ ต่อสื่อความ หมาย ด้วยเหตุนีก้ ารอ่านจึงมี ประโยชน์ ตอ่ มนุษย์เราเป็นอย่างมากประโยชน์ของการอ่านไดแ้ ก่ ได้ความร้เู พราะการอ่านทำใหผ้ ู้อ่านได้รับความรเู้ พ่มิ ขึ้น ให้ เกร็ดความรู้หรือความเคล่ือนไหว ความ เปล่ียนแปลงใหม่ๆ ทางวิชาการหรือสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และการ ปกครอง ได้ความบันเทิง เพราะการอ่านทำให้ผู้อ่านเกิดความพอใจ ความเพลิดเพลิน และมีความสุขใจ อันเกิด จาก เน้ือเรื่องหรือความไพเราะของถ้อยคำท่ีได้อ่าน สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ ARIT NPRU หนว่ ยส่งเสริมการอา่ นและการเรียนรู้ สำนักวิทยบริการฯ ไดใ้ ช้เวลาว่างให้เป็นประโยชนเ์ พราะการใช้เวลาว่างดว้ ย การอ่านเป็นการสร้างนิสัยรักการอ่านที่ควร ปฏิบัติ และมีประโยชน์อย่างยิ่งแต่การที่จะ เพ่ิมคุณค่าและประโยชน์ ใหก้ ับการอา่ นนั้น ผู้อา่ นควรรู้จักวธิ ีการจด บันทึกสาระสำคัญของเรื่องท่ีอ่านและสามารถแนะนำ หนังสือท่ีน่าอ่าน แก่ผู้อ่ืนได้การอ่านยังมีประโยชน์ด้านอ่ืนอีก มาก ท้ังน้ีประโยชน์จะได้มากน้อยเพียงใดข้ึนอยู่กับประสบการณ์ของ ผอู้ ่านด้วย จะพบว่าการสื่อสารด้วยการอ่าน เป็นส่ิงสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวติ การอ่านจะได้รับ ประโยชน์อย่างแท้จรงิ จำเป็นจะต้องรู้ถึงจุดมุ่งหมายของการอ่าน สามารถแยกประเภทของสารที่อ่านได้อ่านแล้ว นำมาคิด พิจารณาจับใจความสำคัญจากเรื่องที่อ่านได้ครบถ้วน รู้จักเลือกสรรเน้ือหาเพ่ือนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ มากที่สุด การอ่านลักษณะดังกล่าวนี้เรียกว่า อ่านเป็น เมื่อผู้เรียนเป็นผู้ท่ีได้ช่ือว่า “อ่านเปน็ ” และเห็นคุณค่า ของ ส่ิงทีอ่ า่ น ก็ จะสามารถสื่อภาษากบั ผูอ้ ื่นได้อย่างมปี ระสิทธิภาพแนน่ อน ประโยชน์ที่ได้รับจากการอ่านหนังสอื 1. ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง สมองก็ต้องการการออกกำลังเพื่อให้แข็งแรงและมีสุขภาพดีอยู่เสมอเช่นเดียวกับร่างกาย การอ่านหนังสือเป็น เหมือนกับการออกกำลังสมอง ทำให้สมองของเราได้คิดและได้ทำงานตลอดเวลา ซ่ึงจากการศึกษาพบว่า การ กระตุ้นการทำงานของสมอง (Mental Stimulation) อย่างสม่ำเสมอจะช่วยชะลอและป้องกันการเป็น โรคอัลไซเมอร์และช่วยพัฒนาเรื่องการจดจำได้ เช่น เมื่อคุณอ่านหนังสือ คุณก็ต้องจดจำตัวละคร ความ เป็นมาของเรื่องราว และรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ ซึ่งทุกครั้งที่มีความทรงจำใหม่ๆ สมองก็จะเก็บข้อมูล เหล่าน้ันไว้ และเรียกกลับมาเมื่อเราต้องการใช้งาน ย่ิงอ่านหนังสือมาก สมองท่ีทำหน้าที่เก่ียวกับการจดจำก็ จะได้ทำงานมาก

12 2. ความเครียดลดลงและจิตใจสงบมากขึ้น เม่ือไหร่ก็ตามท่ีคุณจมอยู่กับการอ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม ความเครียดจากงาน หรือปัญหาส่วนตัวต่างๆ ที่คุณ เจอมาจะถูกลืมไปทันที การอ่านนิยายสนุกๆ จะพาให้คุณได้เข้าไปอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง ขณะที่การได้อ่าน บทความดีๆ สักบทความ ก็จะทำให้คุณจดจ่ออยู่กับเวลาในขณะนั้นและลืมความกังวลต่างๆ ไป นอกจากจะ ช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายแล้ว การได้อ่านหนังสือเก่ียวกับศาสนา สามารถช่วยให้คุณรู้สึกสงบอีกด้วย 3. ได้รับความรู้ ทุกอย่างที่คุณอ่านจะเป็นการเพิ่มเติมความรู้ให้กับคุณทั้งสิ้น ซึ่งคุณไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคุณอาจจะต้องนำ ความรู้เหล่านั้นออกมาใช้เมื่อไหร่ ยิ่งคุณมีความรู้มากแค่ไหน ก็จะยิ่งทำให้คุณได้เปรียบมากขึ้น เมื่อต้อง เผชิญกับปัญหาและความท้าทายต่างๆ สิ่งของหรือเงินทอง อาจถูกขโมยไปได้ แต่ความรู้เป็นสิ่งที่ไม่มีใคร สามารถเอาไปจากคุณได้ 4. มีคลังคำศัพท์ท่ีมากข้ึน มีทักษะการส่ือสารท่ีดีข้ึน ยิ่งคุณอ่านหนังสือมากเท่าไหร่ คุณก็จะย่ิงมีคลังคำศัพท์เพิ่มมากเท่านั้น และคำศัพท์เหล่านั้นก็จะถูกนำมาใช้ ในชีวิตประจำวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ งานเขียนดีๆ จะส่งผลต่อการเขียนของคนที่ได้อ่าน การได้ซึมซับวิธี และสไตล์การเขียนของนักเขียนคนอ่ืนๆ จะช่วยให้คุณพัฒนาทักษะการเขียนของคุณเองในการทำงาน คนท่ีมี ความสามาถในการอ่านและพูด และมีความรู้ที่หลากหลาย มีความเป็นไปได้ที่จะเจริญเติบโตในหน้าที่การ งานมากกว่าคนที่ไม่ค่อยรู้จักคำศัพท์และมีความรอบรู้ในเรื่องต่างๆ น้อย นอกจากนั้นการอ่านหนังสือ ภาษาต่างประเทศยังช่วยในการเรียนรู้ภาษาใหม่ๆ อีกด้วย เพราะคุณจะได้คำศัพท์ใหม่ๆ ซ่ึงจะทำให้พูดและ เขียนภาษาน้ันได้คล่องขึ้น 5. มีทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ คุณเคยอ่านหนังสือนิยายแนวสืบสวนสอบสวน แล้วคิดแก้ปัญหาต่างๆ ได้ด้วยตัวเองก่อนที่จะอ่านหนังสือจบ หรือไม่ การเก็บรายละเอียดต่างๆ ในเรื่องแล้ววิเคราะห์เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น หรือหาตัวคนร้ายได้ เป็น ตัวอย่างหนึ่งของการใช้ทักษะด้านการคิดเชิงวิเคราะห์ การวิจารณ์นิยายในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวพล็อต เรื่อง คาแร็คเตอร์ตัวละคร ความลื่นไหลของเนื้อเรื่อง รวมถึงการแสดงความคิดเห็นกับคนอื่นๆ เกี่ยวกับ หนังสือเล่นน้ันๆ ก็เป็นการช่วยพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ได้เช่นกัน 6. มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหน่ึงได้มากขึ้น ในโลกที่อินเทอร์เน็ตเข้ามามีส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของเราแบบทุกวันนี้ มีเรื่องต่างๆ มากมายที่ดึงดูด ความสนใจของเราพร้อมกันในเวลาเดียว หลายคนสามารถทำงาน เช็กอีเมล แชทกับเพื่อน อ่านสเตตั ส ดู โทรศัพท์มือถือ และพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานได้ภายในเวลาเพียงแค่ 5 นาที ซึ่งการทำพฤติกรรมแบบน้ี จะทำ ให้ความสามารถในการทำงานของเราลดลง และอาจเป็นสาเหตุให้เกิดความเครียดได้ แต่เมื่อคุณได้อ่าน หนังสือ คุณก็จะให้ความสนใจและโฟกัสไปที่เรื่องราวในหนังสือเท่านั้น ก่อนเริ่มทำงาน ลองหาเวลาอ่าน หนังสือ สัก 15 – 20 นาที แล้วคุณจะพบว่ามันสามารถช่วยให้คุณมีสมาธิมากขึ้นเม่ือถึงเวลาทำงาน

13 7. ให้ความบันเทิง การอ่านหนังสือเป็นวิธีสร้างความบันเทิงให้กับตัวเองวิธีหน่ึง หลายคนมีความสุขกับการได้ซ้ือหนังสือ แต่บาง คนนั้นการไปยืมหนังสือมาจากห้องสมุดเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะห้องสมุดมีหนังสือมากมายหลากหลาย ประเภทให้คุณได้เลือกอ่านโดยไม่ต้องเสียเงินจำนวนมากในการซื้อ และห้องสมุดมักจะนำหนังสือใหม่ๆ เข้า มาเสมอ ประวตั ิหอ้ งสมุดในประเทศไทย สมัยสุโขทัย (พ.ศ. 1800 - 1920) พ่อขุนรามคำแหงมหาราชได้ทรงประดิษฐ์อักษรไทยข้ึนในปี พ.ศ. 1826 ได้จารึกเรื่องราวต่างๆ ลงบนแผ่นหินหรือเสาหิน คล้ายกับหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง มหาราช ท่ีจารึกเม่ือประมาณ 700 ปีมาแล้ว ซึ่งหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชถือเป็นหนังสือ เล่มแรกของไทย เม่ือพ่อขุนรามคำแหงมหาราชส่งสมณฑูตไปสืบศาสนาท่ีลังกา ก็รับพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ เข้าสู่กรุงสุโขทัย พร้อมท้ังคัมภีร์พระไตรปิฎก โดยสันนิษฐานว่าจารึกลงในใบลาน ดังนั้นพระในเมืองไทยจึงมี การคัดลอกพระไตรปิฎกท่ีเรียกว่า การสร้างหนังสือ ทำให้มีหนังสือทางพุทธศาสนาเกิดขึ้นจำนวนมากท่ี เรียกว่า หนังสือผูกใบลาน จึงสร้างเรือนเอกเทศสำหรับเก็บหนังสือทางพุทธศาสนา เรียกว่า หอไตร และใน ปลายสมัยกรุงสุโขทัยได้มีวรรณกรรมทางศาสนาที่สำคัญคือ ไตรภูมิพระร่วง ซ่ึงเป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระ มหาธรรมราชาที่ 1 พญาลิไทย สมัยกรุงศรอี ยุธยา (พ.ศ. 1893 - 2310) ได้มีการสร้างหอหลวงไวใ้ นพระบรมมหาราชวังเป็นท่ี สำหรบั เก็บหนังสอื ของทางราชการ ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2310 ทง้ั หอไตรและหอหลวงได้ถูกพม่าทำลายไดร้ ับความ เสียหาย สมัยกรุงธนบรุ ี (พ.ศ. 2310 - 2325) พระเจ้าตากสนิ ได้โปรดให้ขอยืมพระไตรปฎิ กจากเมอื ง นครศรีธรรมราชมาคดั ลอกและโปรดเกล้าฯ ใหส้ ร้างหอพระไตรปฎิ กหลวง หรือเรยี กวา่ หอหลวง สมยั กรงุ รัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2325 - ปัจจุบัน) 1. หอพระมณเฑยี รธรรม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลก ได้โปรดเกล้าฯ ให้สรา้ งหอพระ มณเฑียรธรรมข้ึนเมื่อ พ.ศ 2326 ในพระบรมมหาราชวงั บรเิ วณวัดพระศรรี ัตนศาสดาราม เพือ่ เกบ็ พระไตรปิฎก หลวง แต่ถกู ไฟไหม้ จงึ โปรดให้สร้างขน้ึ ใหมแ่ ละใชน้ ามเดิม 2. จารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธ์ิ) พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรด เกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ ซ่ึงสร้างข้ึนในสมัยกรุงศรีอยุธยา และให้รวบรวมเลือกสรรตำราต่างๆ มาตรวจตราแกไ้ ขแล้วจารึกลงบนแผ่นศิลาประดับไว้ในบริเวณต่างๆ ของวัด มีรูปเขียนและรูปปั้นประกอบตำรา นัน้ ๆ แต่ทรี่ ู้จักกันแพรห่ ลายคือ รปู ป้ันฤาษีดัดตนในท่าตา่ งๆ ที่ถอื เปน็ ต้นตำรับการนวดและตำรายาไทย ซงึ่ เป็น ต้นตำรับการแพทย์แผนไทยมาจนกระท่ังทุกวันนี้ นอกจากนั้นยงั มีความรู้อีกมากมายมที่จารกึ ไว้ จนทำให้จารึก วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ได้ช่ือว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย และได้รับการยกย่องให้เป็นห้องสมุด ประชาชนแห่งแรกของไทย

14 3. หอพระสมุดวชริ ญาณ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อย่หู วั โปรดให้สรา้ งขึ้นในปี พ.ศ.2424 เพ่ือเฉลิมพระเกยี รติของพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ ัว 4. หอพทุ ธศาสนสงั คหะ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยูห่ ัว ทรงสรา้ งขึ้นที่วดั เบญจมบพิตร เมื่อ พ.ศ. 2443 เพ่ือเกบ็ หนังสอื ต่างๆ เก่ยี วกบั พระพุทธศาสนา 5. หอสมดุ สำหรบั พระนคร พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัวทรงสรา้ งขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2448 โดยโปรดเกลา้ ฯ ให้รวมหอพระมณเฑยี รธรรม หอพระสมดุ วชริ ญาณ และหอพทุ ธศาสนา สงั คหะเข้าเป็นหอเดียวกนั และพระราชทานนามว่า หอพระสมดุ วชริ ญาณสำหรบั พระนคร 6. หอสมุดแห่งชาติ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้สร้างข้ึนเมื่อ พ.ศ.2468 โดยใหแ้ ยก ห้องสมุดออกเป็น 2 หอ คือ แยกหนังสือตัวเขียน ได้แก่ สมุดไทย หนังสือจารึกลงในใบลาน สมุดข่อย ศิลาจารึก และตู้ลายรดน้ำไปเก็บไว้ท่ีพระท่ีนั่ง ศิวโมกขพิมาน ซ่ึงอยู่ในบริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ใช้สำหรับเก็บหนังสือตัวเขียน และเรียกว่า หอพระวชิรญาณ ส่วนหอสมุดท่ีตั้งขึ้นที่ตึกถาวรวัตถุใช้เก็บหนังสือ ตวั พิมพ์ เรียกวา่ หอพระสมดุ วชริ าวุธ 7. หอจดหมายเหตุ พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฏเกลา้ เจ้าอยหู่ วั โปรดเกล้าฯ ใหส้ รา้ งขน้ึ เม่อื พ.ศ. 2459 มีงานดังน้ี - งานจัดหาเอกสารและบันทึกเหตกุ ารณ์ - งานจัดเก็บเอกสาร - งานบรกิ ารเอกสาร - งานซ่อมแซมและบรู ณะเอกสาร - งานไมโครฟลิ ์ม และถา่ ยสำเนาเอกสาร ประวตั หิ ้องสมดุ ประชาชน กรมการศึกษานอกโรงเรยี นได้พิจารณาเห็นว่าเพ่ือสนองพระราชปณิธานและแนวทางพระราชดำริในการ สง่ เสริมการศึกษาสำหรับประชาชน ตามที่ทรงแสดงไวใ้ นโอกาสต่าง ๆ เช่น ในโอกาสท่ที รงมีพระมหกรณุ าธิคุณ เสด็จเป็นองค์ประธานในการประชุม สมัชชาสากลว่าด้วยการศึกษาผู้ใหญ่ วันท่ี 12 มกราคม พ.ศ. 2533 ไดท้ รงพระราชทานลายพระหตั ถ์เชิญชวนให้ กระทรวงศึกษาธิการจึงไดข้ อพระราชทานพระราชานุญาตดำเนนิ โครงการจัดตง้ั ห้องสมุดประชาชน ซึง่ ท่ี ได้รับพระราชทานนามว่า ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” โดยจะเริ่มก่อสร้างห้องสมุดรุ่นแรก จำนวน 37 แห่ง เพ่ือเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวโรกาสที่ พระชนมายุ 36 พรรษา ในปี 2534 และจะวางแผนดำเนินการจัดตั้งอย่างต่อเนื่องจนครบทุกอำเภอภายใน ระยะเวลา 10 ปี ระหว่างปี 2534 – 2543 ซึ่งเป็นเวลาที่องค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้เป็นทศวรรษ แหง่ การสง่ เสริมการรูห้ นังสือ ห้องสมดุ ประชาชนแตล่ ะแห่งจะสรา้ งขึ้นดว้ ยความร่วมมอื ของประชาชนในท้องถิ่นหน่วยงาน ภาครฐั และ เอกชน จากความจงรกั ภกั ดีและความสำนกึ ใน

15 พระมหากรุณาธิคณุ ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เพ่ือพรอ้ มใจน้อมเกล้าฯ ถวายเพื่อสนองพระราชปณธิ าน ในชมุ ชนมแี หลง่ ความรูท้ ่ีพร้อมพร่ังสมบูรณ์ ซง่ึ เปน็ แบบอยา่ งของการพฒั นา หอ้ งสมดุ สืบต่อไปโดยมีการจัดส่วนบริการและกจิ กรรมคือ 1. หอ้ งอา่ นหนังสือทวั่ ไป 2. มุมเด็กและครอบครัว 3. ห้องอเนกประสงค์ 4. หอ้ งโสตทศั นศึกษา 5. หอ้ งเฉลิมพระเกียรติ สาระสำคัญ วัตถุประสงค์ในการจัดต้ังมุ่งท่ีกระจายโอกาสทางการศึกษาไปสู่ชุมชนในชนบท ด้วยการจัดตั้งและ พัฒนาห้องสมุดประชาชนอำเภอ ให้เป็นแหล่งความรู้สำหรับประชาชนทุกเพศทุกวัย และเป็นศูนย์กลาง สนับสนุนการผลิตและเผยแพร่เอกสารส่ิงพิมพ์ไปสู่ที่อ่านหนังสือในระดับหมู่บ้าน ท้ังน้ี โดยได้กำหนด วัตถุประสงค์เฉพาะในการดำเนินการไว้ดังต่อไปน้ี 1. พฒั นารูปแบบของห้องสมุดประชาชนอำเภอ เพ่อื สนองตามแนวพระราชดำริ เพื่อให้เป็นตวั อยา่ งของ หอ้ งสมุดในอนาคตท่ีจะเป็นแหล่งความรู้และศูนย์กลางสนับสนุนเครือขา่ ยการเรยี นรู้ในระดบั หมู่บา้ น 2. จัดต้ังห้องสมุดประชาชนอำเภอให้ครบทุกอำเภอ โดยจะคัดเลือกอำเภอที่มีความพร้อมและความ จำเป็นเร่งด่วน ดำเนินการจัดต้ังเป็นรุ่นแรกจำนวน 37 แห่ง ในช่วงปี 2534 – 2535 เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และทยอยการจัดตั้งในอำเภออื่น จนครบท่ัวท้ังประเทศ ในชว่ งปี 2536 – 2543 3. พฒั นาห้องสมดุ ประชาชนอำเภอทจี่ ัดต้งั อยู่เดมิ แล้วใหม้ ีคณุ ภาพและมีความพร้อมทจ่ี ะใหบ้ รกิ ารตาม บทบาทและภารกิจของห้องสมดุ ในอนาคต 4. ประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนรณรงค์ส่งเสริการอ่าน เพ่ือกระตุ้นให้ประชาชน หน่วยงานภาครัฐและเอกชน เห็นความสำคัญของการอ่าน และการจัดต้ังห้องสมุดประชาชน เพื่อจะได้มีส่วน ร่วมรับผิดชอบในการดำเนินโครงการและใช้ประโยชน์จากห้องสมุดท่ีจะจัดต้ังขึ้นจากวั ตถุประสงค์ ดังกล่าว กรมการศึกษานอกโรงเรียน จึงมีนโยบายให้ห้องสมุดประชาชนทุกประเภท ซึ่งรวมท้ังห้องสมุด ประชาชน “เฉลิมราชกมุ ารี” ดว้ ย มกี ิจกรรมหลกั การดงั นี้ 1. ศนู ย์ข้อมูลขา่ วสารชุมชนมีกจิ กรรมทจี่ ัดในลักษณะดังน้ี 1.1) ดา้ นสง่ เสริมการอ่านและการค้นควา้ เช่น การประกวดการอา่ น การจัดนทิ รรศการ การเล่า นทิ าน การเล่าเรอ่ื งจากหนงั สือ การประกวดยอดนักอา่ น การโต้วาที การปาฐกถา เปน็ ตน้ 1.2) ด้านการใช้ภมู ิปัญญาท้องถิ่น เชน่ การอภปิ ราย การบรรยาย การศกึ ษาดงู านในทอ้ งถนิ่ การ รวบรวบผลงานของภูมิปญั ญาในท้องถน่ิ เป็นต้น

16 1.3) ดา้ นหอ้ งสมุดเคล่อื นท่สี ู่ชมุ ชน เชน่ การนำย่าม ถงุ กระเป๋า หบี เรือ รถยนต์ รถไฟเคล่ือน ไปตามชุมชน จัดหาหนงั สือไปบริการตามจดุ หรือ หน่วยงานสำคญั เช่น เรือนจำ โรงงาน บา้ นพัก คนชรา โรงพยาบาล เป็นต้น 1.4) ด้านส่งเสรมิ การรวมกล่มุ ประชาชนตาม ความรแู้ ละความสนใจ เช่น กลุ่มสนใจ กลมุ่ วิชาชพี ชุมชนต่าง ๆ เช่นชมรมนักอ่าน ชมรมอนุรกั ษธ์ รรมชาติและส่งิ แวดล้อม ชมรมสมนุ ไพร การแข่งขันกีฬา เปน็ ต้น 1.5) ด้านครอบคัวสัมพันธ์ เช่น จัดให้มสี นาม เด็กเล่น จัดมุมเดก็ และมุมครอบครัว จำตามวนั สำคญั ๆ เช่น วนั พอ่ วนั แม่ วนั ครอบครัว วนั ตรวจสขุ ภาพ เป็นต้น 2. ศนู ย์สง่ เสริมการเรียนรขู้ องชุมชนมีกิจกรรมทีจ่ ัดในลกั ษณะดงั นี้ 2.1) ด้านแนะแนวการศึกษานอกโรงเรียน เช่น แนะแนวการศึกษาอาชีพทำเนียบตลาดแรงงาน แหลง่ ทรัพยากร จัดป้ายนิเทศ ตลาดนัดทัวร์อาชพี ศกึ ษาดูงาน เป็นตน้ 2.2) ด้านจัดและให้บริการชุดทดลอง ชุดสาธิตต่าง ๆ เช่น สาธิตการทดลองนวัตกรรม ใหม่ๆ เช่น เคร่ืองดักยุง ระบบน้ำหยด การทดสอบความชื้นของข้าว การทดลองการเป็นกรดเป็นด่างของ ดนิ เปน็ ต้น 2.3) ด้านจัดพื้นท่ีสำหรับบริการตามหลักสูตรการศึกษานอกโรงเรียนของสถาบันต่าง ๆ เช่น จัดมุม ทางไกล ตนเองช้นั เรียน มมุ มสธ. มมุ มร. เปน็ ตน้ 3. ศูนยก์ ลางการจดั กจิ กรรมของชุมชน หรือเปน็ ศนู ยป์ ระชาคมมีกิจกรรมที่จัด ในลักษณะ ดงั น้ี 3.1) บริการสถานทีจ่ ัดประชุม สมั มนา การแสดงผลติ ภัณฑ์ เชน่ การจัดประชมุ สมาชกิ ชมุ ชน สมาคม และ แสดงกิจกรรมชมรม จัดมมุ แสดงสนิ ค้าพ้ืนเมอื ง จัดแสดงศิลปวฒั นธรรมพ้นื บ้าน การ แตง่ งาน เปน็ ตน้ 3.2) กจิ กรรมเด็กและครอบครัว เช่น วนั เดก็ วันแม่ วันพอ่ การบรรยายเก่ยี วกับเด็กและ ครอบครวั เป็นตน้ 3.3) กจิ กรรมอเนกประสงค์ของชุมชน เชน่ ศลิ ปวัฒนธรรม การแตง่ งาน การดำเนินการเชงิ ธรุ กิจ สนามเดก็ เลน่ เปน็ ต้น 4. พัฒนาเครอื ข่ายการเขียนรู้ในชุมชน มกี ิจกรรมที่จดั ในลกั ษณะ ดงั น้ี 4.1) ด้านขอ้ มูลข่าวสารและสอ่ื เชน่ การหมนุ เวียนส่ือสารนิเทศไปยังหอ้ งสมดุ โรงเรยี น 4.2) ดา้ นการพัฒนา การผลิต เผยแพรแ่ ละฝึกอบรม เชน่ ผลติ เอกสาร แผน่ ปลิว อบรมบุคลากร ท่เี กี่ยวข้องในดำเนนิ งานเพ่ือท่จี ะให้การเผยแพรส่ ื่อสารนเิ ทศสูเ่ ครือข่ายอย่างมีประสทิ ธิภาพ เปน็ ตน้ จากวัตถุประสงค์ท้ัง 5 ข้อดังกล่าว กรมการศึกษานอกโรงเรียนจัดเพ่ือให้ประชาชนในชุมชนทุก เพศ ทุกวัย ทุกระดับการศึกษา ทุกอาชีพได้รับการศึกษานอกโรงเรียนจากการจัดบริการและกิจกรรม ห้องสมุด เพื่อใช้ในการปรับปรุงอาชีพ ความเป็นอยู่ พัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีข้ึน เป็นการศึกษาตามอัธยาศัยท่ี สง่ เสรมิ สนบั สนนุ การศึกษาในระบบและนอกระบบโรงเรยี นอีกสว่ นหน่ึงดว้ ย บทบาทหนา้ ที่

17 1. ศูน ย์ข่าวสารและข้อ มูล ของชุม ช น ห มายถึง จัด ห้ อ งสมุ ดให้ เป็ น แห ล่งศึก ษ าห า ความรู้ ค้นคว้า วจิ ัย โดยมีการจดั บริการหนังสอื เอกสารสิ่งพิมพ์ สื่อโสตทัศน์ 2. ศูนย์สง่ เสริมการเรยี นรขู้ องชมุ ชน เป็นแหลง่ ส่งเสริมสนบั สนนุ และจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ 3. ศูนย์กลางจัดกิจกรรมของชุมชน หมายถึง การให้บริการแก่ชุมชน ในการจัดกิจกรรม การศึกษา และศิลปวัฒนธรรม เช่นการประชุมขององค์กร การจัดกิจกรรมวันสำคัญตามประเพณี การจัดสวน สุขภาพ สนามเดก็ เลน่ และสวนสาธารณะ เป็นตน้ 4. ศูนย์กลางสนับสนุนเครือข่ายการเรียนรู้ในชุมชน หมายถึง การจัดให้เกิดกระบวนการที่จะเชื่อม ประสานระหวา่ งห้องสมุดและแหล่งความรู้ในชุมชนอื่น ๆ เชน่ ท่ีอ่านหนังสือประจำหมบู่ ้าน สถานศึกษา แหล่ง ประกอบการ ภูมปิ ัญญาทอ้ งถ่ิน สืบเน่อื งจากปี 2548 ซงึ่ เปน็ ปที สี่ มเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญ พระชนมายุครบ 50 พรรษา ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ อันเน่ืองด้วยการศึกษา ศาสนาและ ศิลปวัฒนธรรม จึงได้พิจารณาเห็นสมควรสนองพระราชดำริในการส่งเสริมให้ชุมชนได้มี ห้องสมุดเพ่ือเป็นแหล่ง ความรู้ จังหวัดอำนาจเจริญจึงเริ่มริเริ่มดำเนินโครงการจัดตั้งห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” จังหวัด อำนาจเจริญ ขึ้นเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ ในวโรกาสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราช กุมารี ทรงเจริญพระชนมายุรบ 50 พรรษา ท้ังเป็นสัญลักษณ์แห่งความเทิดทูนบูชาที่ประชาชนชาวไทยมีต่อ พระองค์ และเป็นการบุกเบิกพัฒนาในการจัดต้ังห้องสมุดประชาชน และบริการข่าวสารข้อมูลแก่ประชาชนใน ลกั ษณะห้องสมุดอิเลก็ ทรอนิกส์ โดยประชาชนและหนว่ ยงานภาครัฐและเอกชนทมี่ ีความจงรักภกั ดี และสำนกึ ใน น้ำพระราชหฤทัยท่ีทรงมุ่งม่ัน และส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาสำหรับประชาชน ซ่ึงสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ จังหวัดอำนาจเจริญที่ว่า “ประชาสังคมเข้มแข็ง แห่งผลิตข้าวหอมมะลิคุณ ภาพดี มีโอกาสทาง การศกึ ษา พฒั นาคุณภาพชวี ติ ” ตามมติท่ีประชุมคณะกรรมการบริหารจังหวัดแบบบูรณาการจังหวัดอำนาจเจริญ เม่ือคราวประชุม วนั ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ.2548 โดย นายสมพงษ์ อนุยุทธพงษ์ ผ้วู ่าราชการจังหวัดอำนาจเจรญิ (ขณะนัน้ ) ได้มี มติให้ ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดอำนาจเจริญ ก่อสร้างห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” จังหวัด อำนาจเจริญ โดยก่อสร้างที่บริเวณใกลส้ ี่แยกไฟแดง อาคารสำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองอำนาจเจรญิ เดิมบน พื้นท่ี 2 ไร่ 2 งาน 14 ตารางวา ในวงเงินงบประมาณ 7,500,000 บาท (เจ็ดล้านห้าแสนบาทถ้วน) ประจำปี งบประมาณ 2548 โดยใช้แบบแปลนมาตรฐานห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” สำนักบริหารงาน การศึกษานอกโรงเรียน กระทรวงศึกษาธิการ ชนิดขยายข้างสองชั้น กระทรวงศึกษาธิการได้นำความขึ้นกราบ บังคมทูลขอพระราชทาน พระราชานุญาตเข้าร่วมโครงการก่อสร้างห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี”จังหวัด อำนาจเจริญ เป็นลำดับที่ 85 โดยทำสญั ญากอ่ สร้าง เม่ือวนั ท่ี 15 กนั ยายน 2548 เรม่ิ ดำเนินการก่อสรา้ งประมาณเดอื นกมุ ภาพนั ธ์ 2549 กระท่งั สง่ มอบ คร้ังสุดท้ายเมื่อวันที่ 25 ธนั วาคม 2549

18 ภายในอาคารห้องสมดุ ประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” จังหวดั อำนาจเจริญ จัดเป็นห้องสมุดสำหรบั ปัจจุบันและอนาคต ไม่ได้บริการเฉพาะยืม – คืนหนงั สือเท่านั้น แต่จะมกี จิ กรรมต่าง ๆ ท่ีสนองความต้องการ ของประชาชน อาทิ ชน้ั ลา่ ง เปน็ สว่ นของการใหบ้ ริการ สอ่ื /หนังสอื ท่ีครบถว้ น เช่น มุมหนงั สือทว่ั ไป มมุ หนังสอื วารสาร หอ้ งหนังสือนวนิยาย ห้องหนงั สอื อา้ งอิง หอ้ งเด็กและครอบครวั มมุ หนังสือพระราช นิพนธ์ เครื่องคอมพิวเตอร์ มัลตมิ ีเดีย มุมบริการอนิ เตอรเ์ น็ต ชน้ั บน ประกอบด้วย ห้องเฉลิมพระเกยี รติ ห้องอำนาจเจรญิ ซึ่งแสดงนิทรรศการความเป็นมา ศิลปวัฒนธรรมทอ้ งถนิ่ จังหวัดอำนาจเจริญ หอ้ ง พระพุทธศาสนา และห้องโสตทศั นศึกษา กจิ กรรมสง่ เสริมการอ่าน กิจกรรมสง่ เสริมการอ่าน หมายถึง การกระทำต่างๆ เพ่ือให้เดก็ เกิดความสนใจทจี่ ะอ่าน เหน็ ความสำคัญ ของการอ่าน เกิดความเพลิดเพลินที่จะอ่าน เกิดความมุ่งมั่นที่จะอ่าน และอ่านจนเป็นนิสัย ทั้งน้ี การอ่านหนังสือ เป็นทักษะสำคัญทกั ษะหนง่ึ ในชีวติ ประจำวัน เพราะการอ่านหนังสือจะพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนเราไดเ้ ป็นอย่างดี ย่ิง เม่ือคนเราอ่านหนังสือจะเกิดความสามารถสร้างความรู้ อารมณ์ จินตนาการ และ ความเพลิดเพลิน การท่ีเด็ก จะเกิดทักษะการอ่านหนังสือได้นั้นจำเป็นจะต้องอาศัยความร่วมมือจากบุคคลหลายฝ่าย ท้ังครอบครัว โรงเรียน และชุมชน ในการจดั กิจกรรมสง่ เสริมการอ่านให้แกเ่ ดก็

19 กิจกรรมส่งเสริมการอา่ นคอื การกระต้นุ ดว้ ยวิธกี ารต่างๆ เพือ่ ใหผ้ ู้อ่านสนใจการอา่ นจนกระทั่งมีนสิ ัยรัก การอา่ น และได้พฒั นาการอ่านจนกระท่งั มคี วามสามารถในการอ่าน นำประโยชนจ์ าการอา่ นไปใช้ได้ตรงตาม วัตถปุ ระสงค์ของการอ่านทุกประเภท (ฉวีวรรณ คหู าภินันทน์, 2542 : 93) กรมวชิ าการ (อ้างถงึ ใน ฉววี รรณ คูหาภินันทน์, 2542 : 93) ให้ความหมายวา่ กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน คือ การกระทำเพื่อ 1. เร้าใจบุคคลหรือบุคคลทเ่ี ป็นเปา้ หมายให้เกิดความอยากรู้ อยากอ่านหนังสือ โดยเฉพาะหนังสอื ที่มี คณุ ภาพ 2. เพอื่ แนะนำชักชวนใหเ้ กิดความพยายามท่จี ะอ่านใหแ้ ตกฉาน สามารถนำความรู้จากหนังสือไปใช้ ประโยชน์ เกิดความเข้าใจในเรอ่ื งตา่ งๆ ดีข้นึ 3. เพ่ือกระต้นุ แนะนำให้อยากรู้ อยากอา่ นหนงั สือหลายอย่าง เปดิ ความคดิ ใหก้ วา้ ง ให้มกี ารอ่านต่อเน่ือง จนเป็นนสิ ัย พฒั นาการอา่ นจนถงึ ขน้ั ที่สามารถวเิ คราะห์เร่ืองท่ีอา่ นได้ 4. เพอ่ื สร้างบรรยากาศท่ีจูงใจให้อ่าน ดังนนั้ สามารถกลา่ วได้วา่ กจิ กรรมส่งเสริมการอ่าน หมายถึงกิจกรรมต่างๆที่ห้องสมุดจดั ขนึ้ เพื่อส่งเสรมิ ให้ เกดิ การอา่ นอยา่ งต่อเนอ่ื งจนกระทั่งเป็นนสิ ัยรักการอา่ น เช่น การเล่านทิ าน การเชิดหุ่น การแสดงละคร การ แนะนำหนังสือทนี่ า่ สนใจ เป็นตน้ ลกั ษณะของกจิ กรรมสง่ เสริมการอ่านที่ดี 1. เรา้ ความสนใจ เชน่ การจัดนทิ รรศการที่ดึงดคู วามสนใจ การตอบปัญหา มีรางวลั ต่างๆ การใช้ส่ือ เทคโนโลยใี หมๆ่ เข้ามาชว่ ย 2. จงู ใจให้อยากอ่านและกระตุน้ ใหอ้ ยากอ่าน เช่น ข่าวท่ีกำลงั เปน็ ทส่ี นใจ หรือหัวข้อเรื่องท่เี ป็นท่ีสนใจ เชน่ การวจิ ยั การเตรียมตวั สอบ การสมัครงาน เปน็ ต้น 3. ไม่ใชเ้ วลานาน ความยากง่ายของกิจกรรมเหมาะสมกับเพศ ระดับอายุ การศึกษา 4. เปน็ กิจกรรมท่ีมุ่งไปสู่หนังสือ วสั ดกุ ารอ่าน โดยการนำหนังสือหรือวัสดุการอา่ นมาแสดงทกุ คร้ัง 5. ให้ความสนกุ สนานเพลดิ เพลนิ แฝงการเรียนร้ตู ามอธั ยาศัยจากการร่วมกจิ กรรมด้วย การอ่านหนังสือเป็นการพฒั นาตนเองและเป็นการใช้เวลาว่างให้เกดิ ประโยชน์ ซง่ึ เปน็ สิง่ จำเป็นมากในการ พัฒนาคนและพัฒนาสังคม การอ่านหนังสือของคนไทยเป็นกิจกรรมที่ไม่แพร่หลายแม้ในหมู่ผู้รู้หนังสือแล้ว โดยเฉพาะการอ่านหนังสือท่ีดีและมีสาระย่ิงมีน้อยข้ึนไปอีก สาเหตุมีอยู่หลายประการนับต้ังแต่การขาดแคลน หนังสือที่ดีและตรงกับความต้องการของผู้อ่าน การขาดแคลนแหล่งหนังสือท่ีจะยืมอ่านได้ ไปจนถึงการดึงความ สนใจและการแย่งเวลาของสอ่ื อ่ืน ๆ เช่น โทรทศั น์ วิทยุ ฯลฯ รวมท้ังขาดแรงจูงใจ และการชกั จงู การกระต้นุ และ มีนิสัยรักการอ่านท้ังในและนอกโรงเรียน เม่ือเทียบกับความเพลิดเพลินและการได้ฟังได้รู้เห็นเร่ืองต่าง ๆ จาก โทรทัศน์และวิทยุแล้ว การอ่านหนังสือเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าวต้องใช้ความพยายามมากกว่าและต้องมีทักษะใน การอ่าน ถ้าจะให้การอ่านหนังเกิดเป็นนิสัยจำเป็นต้องมีการปลูกฝังและชักชวนให้เกิดความสนใจการอ่านอย่าง ต่อเนื่องและสม่ำเสมอ โดยการจัดกิจกรรมส่งเสริมนิสัยรักอ่าน ซึ่งควรมีลักษณะ ดังน้ี 1. เร้าใจให้เกิดความยาก

20 อ่านหนังสือ 2. ให้เกิดความพยายามที่จะอ่านเพ่ือจะได้รเู้ รื่องท่ีน่ารู้ท่ีมอี ยู่ในหนังสือ และน่าสนุกตามกิจกรรมที่จัด ขึน้ 3. แนะนำ กระตุ้นให้อยากรู้อยากเห็นเร่ืองน่ารู้ต่าง ๆ เกิดความรอบรู้ คิดกว้าง และมีการอ่านต่อเนื่องจนเป็น นิสัย 4. สร้างบรรยากาศที่น่าอ่าน รวมทั้งให้มีวัสดุการอ่าน มีแหล่งการอ่านท่ี เหมาะสมและเพียงพอ ความหมายและความสำคญั ของหอ้ งสมดุ ห้องสมุดประชาชน หมายถึง ห้องสมุดที่ตั้งขึ้นเพ่ือให้บริการแก่ประชาชน โดยไม่จำกัด เพศ วยั เชื้อชาติ ศาสนา และพ้ืนความรู้ ให้บริการสารสนเทศครบทุกหมวดวิชา และอาจมีการบริการบางเรอื่ งเป็นพิเศษตามความ ต้องการของทอ้ งถิน่ และจะจัดใหบ้ รกิ ารแกป่ ระชาชนโดยไมค่ ิดมูลคา่ บทบาทหน้าท่ขี องห้องสมุดประชาชน มี 3 ประเภท คือ 1. หน้าท่ีทางการศึกษา ห้องสมุดประชาชนเป็นแหล่งให้การศึกษานอกระบบโรงเรียน มีหน้าที่ให้ การศึกษาแก่ประชาชนทวั่ ไป ทุกระดับการศกึ ษา 2. หน้าที่ทางวัฒนธรรม ห้องสมุดปะชาชนเป็นแหล่งสะสมมรดกทางปัญญาของมนุษย์ ท่ีถ่ายทอดเป็น วฒั นธรรมทอ้ งถิน่ ท่ีห้องสมดุ ตั้งอยู่ 3. หน้าท่ีทางสังคม ห้องสมุดประชาชนเป็นสถาบันทางสังคมได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลและท้องถ่ินมา ดำเนินกิจการ จงึ มีหน้าท่ี แสวงหาข่าวสารขอ้ มูลทม่ี ปี ระโยชนม์ าบริการประชาชน ห้องสมุดประชาชนในประเทศไทยมหี นว่ ยงานตา่ ง ๆ รบั ผิดชอบ ดังน้ี 1. ห้องสมุดประชาชนสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ สังกัดกรมการศึกษานอกโรงเรียน ได้แก่ ห้องสมุด ประชาชนระดับจังหวัด และระดับอำเภอ นอกจากน้ีกรมการศึกษานอกโรงเรียนยังได้จัดท่ีอ่านหนังสือประจำ หมูบ่ า้ น ทอ่ี ่านหนงั สอื ในวัด และหอ้ งสมดุ เคลอ่ื นที่ 2. ห้องสมุดประชาชน สังกัดกรุงเทพมหานคร มีท้ังหมด 12 แห่ง ได้แก่ ห้องสมุดประชาชนสวนลุมพินี หอ้ งสมดุ ประชาชนซอยพระนาง หอ้ งสมุดประชาชนปทมุ วัน หอ้ งสมดุ ประชาชนอนงคาราม ห้องสมดุ ประชาชนวัด สังข์กระจาย ห้องสมุดประชาชนบางเขน ห้องสมุดประชาชนบางขุนเทียน ห้องสมุดประชาชนวัดรัชฎาธิษฐาน วรวิหารตล่ิงชัน ห้องสมุดประชาชนประเวช ห้องสมุดประชาชนวัดลาดปลาเค้า ห้องสมุดประชาชนภาษีเจริญ ห้องสมดุ ประชาชนวดั ราชโอรส 3. ห้องสมุดประชาชนของธนาคารพาณิชย์ เป็นห้องสมุดที่ธนาคารพาณิชย์เปิดข้ึนเพ่ือบริการสังคม และ เพ่ือประชาสมั พันธก์ ิจการของธนาคารใหเ้ ปน็ ที่ร้จู ักแพรห่ ลาย เชน่ ห้องสมุดประชาชนของธนาคารกรงุ เทพจำกัด 4. ห้องสมุดประชาชนของรัฐบาลต่างประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลต่างประเทศ เช่น ห้องสมดุ บรติ ชิ เคาน์ซิล ของรัฐบาลสหราชอาณาจักร ท่ตี ั้งอย่บู รเิ วณสยามสแควร์ กรุงเทพมหานคร 5. ห้องสมุดประชาชนเสียค่าบำรุง ห้องสมุดประชาชนประเภทน้ีให้บริการเฉพาะสมาชิกเท่านั้น โดยผู้ที่ เป็นสมาชิกจะต้องเสียค่าบำรุงตามระเบียบของห้องสมุด ได้แก่ ห้องสมุดนีลสันเฮย์ ตั้งอยู่ที่ถนนสุริวงศ์ กรุงเทพมหานคร

21 บทบาทและความสำคัญของหอ้ งสมสุดต่อสังคมในด้านตา่ งๆ 1. เป็นสถานทเ่ี พื่อสงวนรกั ษาและถา่ ยทอดวัฒนธรรม หอ้ งสมุดเปน็ แหลง่ สะสมววิ ัฒนาการของมนุษย์ ต้ังแตอ่ ดีตจนถึงปจั จบุ นั ถ้าไม่มแี หล่งค้นคว้าประเภทหอ้ งสมดุ เป็นศนู ยก์ ลางแลว้ ความรู้ตา่ งๆ อาจสญู หายหรือ กระจดั กระจายไปตามทีต่ ่างๆ ยากแก่คนรุน่ หลงั จะตดิ ตาม 2. เป็นสถานที่เพื่อการศกึ ษา ค้นควา้ วิจยั หอ้ งสมดุ ทำหนา้ ที่ใหก้ ารศึกษาแกป่ ระชาชนทุกรปู แบบ ทัง้ ใน และนอกระบบการศึกษา เร่ิมจากการศึกษาขัน้ พ้ืนฐานถึงระดบั สูง 3. เปน็ สถานทสี่ รา้ งเสริมความคิดสรา้ งสรรคแ์ ละความจรรโลงใจ ห้องสมุดมีหน้าทีร่ วบรวมและเลอื กสรร ทรัพยากร สารสนเทศ เพื่อบริการแก่ผู้ใช้ ซ่ึงเป็นสิง่ ที่มีคุณค่าผูใ้ ชไ้ ด้ความคิดสรา้ งสรรค์ ความจรรโลงใจ นานาประการ เกิดประโยชน์แกต่ นเองและสงั คมต่อไป 4. เปน็ สถานทปี่ ลูกฝงั นสิ ัยรักการอา่ นและการเรียนร้ตู ลอดชีวิต หอ้ งสมุดจะชว่ ยใหบ้ คุ คลสนใจในการอา่ น และรกั การอา่ นจนเป็นนิสัย 5. เป็นสถานท่ีส่งเสริมการาใช้เวลาว่างในเป็นประโยชน์ ห้องสมุดเป็นสถานที่รวบรวมสารสนเทศทุก ประเภท เพื่อบริการแก่ผู้ใช้ตามความสนใจและอ่านเพ่ือฆ่าเวลา อ่านเพื่อความเพลิดเพลิน หรืออ่านเพื่อ สาระบันเทงิ ไดท้ งั้ สิ้น นับวา่ เป็นการพกั ผอ่ นอย่างมีความหมายและใหป้ ระโยชน์ 6. เปน็ สถานท่ีส่งเสริมความเปน็ ประชาธิปไตย ห้องสมุดเป็นสาธารณะสมบัติ มสี ่วนสง่ เสรมิ ใหบ้ คุ คลรจู้ ัก สทิ ธิและหนา้ ที่ของพลเมือง กล่าวคือ เมอ่ื มสี ิทธิในการใช้กย็ ่อมมสี ทิ ธิในการบำรุงรักษาร่วมกนั และใหค้ วามรว่ มมือ กบั ห้องสมุดด้วยการปฏบิ ตั ติ ามระเบยี บ แบบแผนของหอ้ งสมุด ปัญหาการอา่ นและการใช้ห้องสมุด ปญั หาในการอา่ นที่ทำใหม้ ีผลทำใหเ้ ด็กไมเ่ กิดนสิ ยั รกั การอา่ น ซงึ่ มสี าเหตุมาจาก 1.ไม่อา่ น 2. อ่านไม่ออก 3. ไม่มีหนงั สืออา่ น 4. ไม่มีเวลาอา่ น 5. ไมม่ ีท่ีอ่าน 6. อา่ นช้า 7. อ่านไมเ่ ข้าใจ 8. อา่ นแล้วไมเ่ กดิ ประโยชน์ ปญั หาในการใช้ห้องสมดุ ที่ทำให้เด็กไม่อยากเข้าใชบ้ ริการห้องสมุด 1. กฎระเบยี บ 2. สถานทีอ่ ย่ไู กลชมุ ชน 3. เจ้าหนา้ ทไ่ี มใ่ ห้ความสนใจ

22 4. มีความคดิ แบบเดมิ ๆ วา่ หอ้ งสมดุ นา่ เบอ่ื 5.ไมม่ แ่ี รงจูงใจ 6. ส่อื ไม่ทันสมยั 7. การบริการไมเ่ ปน็ ท่ีพอใจ นอกจากน้ตี วั แปรทีม่ ีอทิ ธิพลตอ่ การใช้บริการห้องสมดุ ยงั สามารถสรปุ ได้ดงั นี้ 1. ตวั แปรที่เกยี่ วกบั ผใู้ ช้ ได้แก่ วุฒิภาวะ ความพร้อม การจูงใจ สมรรถวิสัยในการอ่านและคณุ ลักษณะ ทางบุคลิกภาพของผอู้ ่าน 2. ตัวแปรท่เี กยี่ วข้องกบั การอ่าน ได้แก่ ความแตกต่างของวัสดกุ ารอ่าน ซ่ึงอาจแตกต่างได้ในความยาก ง่าย ความยาว ความคลา้ ยคลึงกนั นอกจากนีว้ สั ดุการอ่านยงั แตกตา่ งในด้านของความสนกุ น่าเรียนหรือน่าเบื่อ หน่าย 3. ตัวแปรทีเ่ กยี่ วกับการใชห้ ้องสมุด 4. ตัวแปรทเี่ กยี่ วกบั สภาพสงั คมและสงิ่ แวดลอ้ ม ไดแ้ ก่ บา้ น โรงเรยี น เพ่อื นและชุมชน จากข้อความท่ีกล่าวมาข้างตันสรุปได้ว่า การาใช้หอ้ งสมุดข้ึนอยู่กบั ปจั จยั หลายประการ ได้แก่ สภาพสงั คมและ สง่ิ แวดลอ้ ม วัสดกุ ารอ่าน และตวั ของผู้อ่านเอง การศกึ ษาตลอดชีวติ ความหมายของการศึกษาตลอดชีวติ คำจำกัดความของการศึกษาตลอดชีวิตได้มีผู้ให้ไว้หลายคนด้วยกันดังนี้คือ สุมาลี สังข์ศรี กล่าวว่า การศึกษาตลอดชีวิต หมายถึง ภาพรวมของการศึกษาทุกประเภทท่ีเกิดขึ้นตลอดชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นการศึกษาเพ่ือมุ่งพัฒนาบุคคลให้ปรับตัวเขา้ กับความเปลี่ยนแปลงในทุกช่วงชีวิตของบุคคลและพัฒนาต่อเนื่อง ไปให้เต็มศักยภาพของแต่ละบุคคล การศึกษาตลอดชีวิตครอบคลุมการศึกษาทุกรูปแบบ ทุกวัย ท้ังการศึกษาสน ระบบโรงเรียน และการศึกษานอกระบบโรงเรียนและการศึกษาแบบไม่เป็นทางการจากทุกแหล่งความรู้ในชุมชน และสังคมและเกิดขึ้นได้ทุกที่ โดยไม่จำกัดเวลาและสถานที่ การศึกษาตลอดชีวิตเป็นการศึกษาที่สัมพันธ์กับชีวิต และผสมผสานกลมกลืนกับการดำเนินชีวิตของบุคคล สุนทร สุนันท์ชัย กล่าวว่า การศึกษาตลอดชีวิตเป็น การศึกษาทั้งหมดของชีวิตมนุษย์ จากเกิดจนตาย มุ่งพัฒนามนุษย์ให้ปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงในโลก ปจั จุบนั และพัฒนาต่อเน่อื งไปใหเ้ ต็มศักยภาพของบุคคลแต่ละคน เป็นการศึกษาทเ่ี กิดจากแรงจูงใจท่ีจะเรียนรู้ดว้ ย ตนเองจากแหล่งเรียนรู้ท้ังในระบบและนอกระบบและไม่เป็นทางการ ปฐม นิคมานนท์ กล่าวว่าการศึกษามิได้ หมายถึงเฉพาะกิจกรรมท่ีเกิดขึ้นในโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาเท่านั้น หากแต่เกิดข้ึนได้ทุกแห่งทุกหนและ ตลอดเวลา มีความเกย่ี วพันธแ์ ละต่อเน่ืองกันตลอดชีวิต พระราชบัญญัตกิ ารศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และท่ีแกไ้ ข เพิ่มเติม(ฉบับท่ี 2 ) พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ให้ความหมายของการศึกษาตลอดชีวิต ว่า เป็นการศึกษาที่เกิดข้ึนจาก การผสมผสานระหว่างการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยเพื่อให้สามารถพัฒนา คุณภาพชีวิตได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากท่ีมีผู้กล่าวมาถึงความหมายของการศึกษาตลอดชีวิตไว้หลาย ความหมาย สามารถสรุปได้ว่า การศึกษาตลอดชีวิตเป็นกระบวนการที่มีผลต่อการเรียนรู้ โดยการศึกษาในระบบ

23 การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย เกิดขึ้นกับบุคคลต้ังแต่เกิดจนตายเพ่ือให้บุคลได้พัฒนาตนให้ทัน ต่อการเปล่ยี นแปลงและพัฒนาตอ่ ไปให้เตม็ ศักยภาพ โดยบุคคลนน้ั จะตอ้ งมแี งจงู ใจท่จี ะศกึ ษาหาความรดู้ ้วยตนเอง ความสำคญั ของการศึกษาตลอดชีวิต สุมาลี สงั ข์ศรี สรุปความสำคัญของการศึกษาตลอดชวี ติ ดงั น้ี 1. การศกึ ษาตลอดชีวิตทำให้บุคคลมโี อกาส เรียนรทู้ ุกช่วงชีวิต 2. การศกึ ษาตลอดชวี ิตทำใหบ้ คุ คลมีโอกาสทางการศึกษาอย่างเสมอภาคอย่างเท่าเทียมกัน 3. การศึกษาตลอดชีวติ ทำใหบ้ คุ คลได้รบั โอกาสศึกษาในรปู แบบทเ่ี หมาะสมกลมกลืนกับสภาพการดำเนนิ ชีวติ จริง เพราะการศึกษาตลอดชวี ิตเปน็ การบรู ณาการศึกษากบั ชีวติ 4. การศึกษาตลอดชวี ิตทำใหบ้ ุคคลไดร้ ับการศึกษาทีส่ ามารถนำมาประยุกต์ใช้กบั ชวี ิตจริงได้ 5. การศึกษาตลอดชวี ิตทำให้บคุ คลได้รับการศึกษาที่สอดคลชอ้ งกับการทำงาน ชว่ ยให้บุคคล สามารถ เลือกอาชีพแลละพัฒนาอาชีพได้อยา่ งเหมาะสมกับสภาพการณ์ท่เี ปลย่ี นแปลง 6. การศึกษาตลอดชวี ติ ชว่ ยให้บคุ คลมีความรู้ ทกั ษะท่ีจะแสวงหาความรู้ดว้ ยตนเองอยา่ งต่อเนื่องตลอด ชีวิต 7. การศึกษาตลอดชีวิตช่วยให้บุคคลมีอิสระในการเรียนรู้สามารถเลือกเรียนในส่ิงท่ีตรงกับระดับ ความสามารถของตน 8. การศกึ ษาตลอดชีวิตช่วยใหบ้ ุคคลสามารถพฒั นาตนเองไดเ้ ต็มศกั ยภาพ 9. การศึกษาตลอดชีวิตชว่ ยให้บุคคลสามารถพึ่งพาตนเองได้และนำตนเองไดใ้ นการเรยี นรู้ 10. การศึกษาตลอดชีวิตช่วยให้บุคคลได้พัฒนาตนเองตลอดทุกช่วงชีวิตและพัฒนาคุณภาพชีวิตของ ตนเองไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 11. การศึกษาตลอดชีวิตเป็นการศึกษาท่ีช่วยให้ผู้ที่ด้อยโอกาสในสังคมได้มีโอกาสในการศึกษา ในการ พฒั นาคณุ ภาพชีวติ ของตนเอง 12. การศึกษาตลอดชีวติ ช่วยให้บุคคลและองคก์ รในสังคมมีส่วนรว่ มในการจดั การศึกษา 13. การศึกษาตลอดชีวิตช่วยสร้างสงั คมแหง่ การเรียนรู้ ความสำคัญของครอบครวั 1. ครอบครัวเป็นเบ้าหลอมทางบุคลิกภาพและคุณลักษณะของสมาชิก การมีปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่างสมาชิกในครัวเรือนเดียวกัน มีการถ่ายโยงค่านิยม ความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติ ความเชื่อ ความศรัทธาและ วัฒนธรรมการดำเนินชีวิตจากสมาชิกรุ่นหน่ึงไปยังอีกรุ่นหนึ่ง ตลอดจนมีการพักผ่อน สันทนาการ และการทำ กิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน บรรยากาศ และวิธีการ อบรมเล้ียงดู การอบรมส่ังสอนการเป็นพ่อแบบ-แม่แบบ ทั้งอย่าง เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ท้ังโดยท่ีรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว สิ่งแวดล้อมภายในครอบครัวไม่ว่าจะในทางบวกหรือ ในทางลบได้ค่อยๆ หล่อหลอมพื้นฐานทางบุคลิกภาพและคุณลักษณะทางด้านร่างกาย สังคม อารมณ์ และจิตใจ ของสมาชิกในครอบครัวในรูปแบบต่างๆ มีผลต่อโดยตรงต่อการการแสดงบทบาททางสังคมของสมาชิกในสถาบัน อ่ืนต่อไป

24 2. ครอบครัวเป็นสถาบันพื้นฐานทางการศึกษาของสังคม ครอบครัวเป็นแหล่งถ่ายทอดองค์ความรู้ ฝึกฝนและอบรมให้สมาชกิ ไดเ้ รียนรู้ระเบียบสังคมหรือการขัดเกลาทางสงั คม (Socialization) ทั้งอย่างเป็นทางการ (Formal) และ ไม่เป็นทางการ (Informal) 3. ครอบครัวสร้างคุณภาพชีวิต คุณลักษณะต่างๆ ที่บ่งช้ีถึงลักษณะของชีวิตที่มีคุณภาพข้างต้นนี้ ครอบครัวจะเป็นสถาบนั ท่ีจะเอือ้ อำนวยให้เกดิ ขนึ้ กับชวี ิตของสมาชกิ ในครอบครัวได้ 4. ครอบครัวเป็นสถาบันพื้นฐานในการพัฒนาสังคม สถาบันท่ีมีความสำคัญอย่างย่ิงในการพัฒนาสังคม และชุมชน เช่นเดียวกับสถาบันทางสังคมอน่ื ๆ วัฏจกั รของการเกิด การเติบโต เข้าสู่วัยเรยี น วัยทำงาน วัยแตง่ งาน วัยเล้ียงดูลูกของตนเอง วัยดูแลพ่อแม่เม่ือแก่ชราลง สอนและฝึกให้ทุกคนต้องมีบทบาทหน้าท่ีในฐานะต่างๆใน ครอบครัว หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การเข้าไปมีบทบาท ภาระ หน้าท่ีและมีความรับผิดชอบในฐานะสมาชิกของชุมชน หรือสงั คมน้ันๆ 5. ครอบครัวเป็นหน่วยวางรากฐานการปกครองในระดับต่างๆ ครอบครัวทำหน้าท่ีปฐมภูมิที่สำคัญที่สุด คือการให้กำเนิดเด็ก ใหก้ ารเลย้ี งดผู ูเ้ ยาว์ ใหก้ ารศึกษา สร้างคนให้รจู กั ระเบียบสังคม ถ่ายทอดวัฒนธรรมให้คนรุ่นหลังรับไว้เป็นแนวทางในการดำรงชีวิตให้เหมาะสมกับสภาพสังคมของชน กลุ่มน้ัน เด็กที่เกิดและเจริญเติบโตมาจากครอบครัวแบบใด ย่อมได้รับการถ่ายทอดแนวความคิด เจตคติและ พฤตกิ รรมต่าง ๆ ตดิ มาจากครอบครวั เดิมไมม่ ากก็น้อย และนำไปใช้ปฏิบัตใิ นสงั คมท่เี ขาอยู่อาศัย สถาบันครอบครัว “ครอบครวั ” เป็นสถาบนั (Institution) เป็นองค์กร (Organization) หรือ เปน็ หนว่ ย (Unit)ทางสงั คมที่ เลก็ ท่ีสุด ครอบครวั ก่อต้ังขน้ึ ด้วยสมาชกิ ชายและหญิงเพียงสองคน ได้ทำหน้าทเี่ ปน็ บดิ า-มารดาเป็นพ่อแบบ- แม่แบบที่ถา่ ยทอดและให้การศึกษาในขนั้ แรกแกส่ มาชิกใหม่ เปน็ เบ้าหลอมทางบคุ ลิกภาพ เปน็ แหลง่ ทจี่ ะ เสรมิ สร้างพลังกายและพลังใจใหแ้ กส่ มาชิกของครอบครัว ท่ีออกไปแสดงบทบาทต่าง ๆทางสงั คมในสถาบนั ที่ เก่ียวขอ้ ง ครอบครัวเป็นสถาบันทส่ี ามารถตอบสนองความตอ้ งการพื้นฐานของมนษุ ย์ไดใ้ นทุกระดับ ทงั้ ดา้ นความ ตอ้ งการทางด้านร่างกาย (Physiological needs) ความตอ้ งการทางดา้ นจิตใจ (Psychological needs) และ ความต้องการทางดา้ นสังคม (Social needs) กจิ กรรมส่งเสริมนสิ ัยรกั การอา่ น การจดั กิจกรรมส่งเสรมิ นิสัยรกั การอ่าน เป็นกิจกรรมท่ีมุ่งกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายเกิดความสนใจอยากรู้ อยากเห็น อยากอ่าน จนสามารถนำความร้เู หล่านนั้ ไปใช้ประโยชน์ได้อยา่ งหลากหลาย โรงเรียนสามารถนำการ อ่านสอดแทรกในกระบวนการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาผู้เรียนได้ตามศักยภาพและต้องจัดกิจกรรมการอ่านเป็น กิจกรรมเสรมิ นอกเหนือเวลาเรียน เพ่อื กระต้นุ ให้เกิดการอ่านอย่างต่อเนื่อง และยง่ั ยนื เปน็ นสิ ัย กิจกรรมสง่ เสรมิ การอ่านที่เป็นกิจกรรมเสริมนี้ จะจัดให้กลุ่มเป้าหมายเป็นรายบุคคล รายกลุ่มหรือจัดให้กับผู้เรียนทุกคนก็ได้ แล้วแตล่ ักษณะของกจิ กรรมมีการกำหนดระยะเวลาในการจัดกจิ กรรมไวช้ ดั เจน ดังนี้ 1. กิจกรรมรายวัน คือ กิจกรรมทจี่ ัดเป็นประจำทุกวัน ในช่วงเวลาใดก็ได้ตามความเหมาะสม เช่น เรอื่ งเล่าเชา้ นี้ เสยี งตามสาย 180 วินาทีข่าว เตมิ ความรู้ 5 นาที เปน็ ตน้

25 2. กิจกรรมรายสัปดาห์ คอื กิจกรรมที่จัดเป็นประจำทุกสปั ดาห์ ซึ่งโรงเรียน จะกำหนดจัดใน วันใดวันหนึ่งตามความเหมาะสม เช่น พ่ีเพื่อนพ้อง ชวนน้องอ่านฟังแล้วคิดพิชิตรางวัล อ่านแล้วบันทึกรู้ลึกจำ นาน เปน็ ตน้ 3. กิจกรรมรายเดือน คือ กิจกรรมที่จัดเป็นประจำทุกเดือน ซึ่งโรงเรียนอาจจะกำหนดจัด เดอื นละ 1-2 ครงั้ ก็ได้ ตามความเหมาะสม เช่น กล่องนมอดุ มความรู้ ค้นฟ้าควา้ ดาวเป็นต้น 4. กิจกรรมรายภาคเรียน คือ กิจกรรมท่ีจัดเป็นประจำทุกภาคเรียน เช่น เวที -นักประพันธ์ รุ่นเยาว์ หนังสือดีฝีมือเด็ก รวมพลคนรักการอ่าน หนอนหนังสือคือหนูคนเก่ง ห้องสมุดสัญจร สารานุกรมส่ัง สมปญั ญา จิบน้ำชาเสวนาประสาคนรกั การอ่าน เปน็ ตน้ 5. กิจกรรมรายปี คือ กิจกรรมท่ีจัดเป็นประจำทุกปี เช่น ประกวดสุดยอดนักอ่าน ระบาย บรรเลงเพลงวรรณกรรม สมุดบนั ทึกความดี หนูนอ้ ยห้องสมุด นิทรรศการหนังสอื กฤตภาคจากสอื่ ส่งิ พมิ พ์ นทิ รรศการแสดงผลงานนักเรียน เปน็ ต้น การอ่านจะพัฒนาขน้ึ มาไดต้ อ้ งมีการปฏิบัติเป็นประจำ การอ่านควรเปน็ กิจกรรมประจำวัน เป็น กิจกรรมท่ีมีความต่อเนื่องตลอดชีวิต ซ่ึงกิจกรรมเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการอ่าน ตลอดจนเสริมสร้างความ สามัคคีในหมู่คณะและสร้างภาวะความเป็นผู้นำที่ดี ทั้งนี้ โรงเรียนจะต้องกระทำอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องจึง จะบงั เกดิ ผลและปลกู สร้างนสิ ัยรกั การอา่ นใหแ้ ก่นกั เรียนอยา่ งย่งั ยนื กิจกรรมประเภทเรา้ โสตประสาท กิจกรรมเร้าโสตประสาท ได้แก่ กิจกรรมประเภทชวนให้ฟัง มีการใช้เสียง และคำพูดเป็นหลัก เช่น กิจกรรมจิบนำ้ ชาเสวนาประสาคนรักการอา่ น พิธกี รรุ่นจ๋ิว เรือ่ งเล่าเช้าน้ี พ่ีเพอื่ นพ้องชวนน้องอา่ น เตมิ ความรู้ 5 นาที ส่ือสารผ่านหนังสือ เสียงตามสาย ฟังแล้วคิดพิชิตรางวัล เป็นต้น ซึ่งหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน กำหนดไว้ในสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาระท่ี 3 การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน 3.1 คือ นักเรียน สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณและพูดแสดงความรู้ ความคิด ความรู้สึกในโอกาสต่างๆ อย่างมี วิจารณญาณ อย่างสร้างสรรค์ โดยกำหนดให้ผู้เรียนรู้จักฟัง รู้ความหมายของคำ มีสมาธิในการฟัง มีมารยาท ในการฟัง เลือกเร่ืองที่จะฟังและสรุปเร่ืองจากการฟังได้ เป็นต้น ดังนั้น กิจกรรมประเภทน้ีจึงเหมาะอย่างย่ิงที่ จะทำใหน้ ักเรียนเกดิ การเรียนรวู้ ิธฟี งั และเรยี นร้ดู ว้ ยการฟังได้เปน็ อย่างดี

26 บทที่ 3 วธิ กี ารดำเนนิ งานตามโครงการ 1. วิธกี ารดำเนินงาน ขั้นเตรียมการ เพ่ือจดั ประชุมครูและบุคลากรทางการศกึ ษา - ช้แี จงทำความเข้าใจรายละเอยี ดโครงการ - ชแ้ี จงแนวทางในการดำเนินโครงการ - จัดทำโครงการและแผนการดำเนนิ การเพือ่ อนมุ ัติ - แตง่ ต้ังกรรมการดำเนินงานตามโครงการ 1. คณะกรรมการอำนวยการ มีหน้าท่ใี ห้คำปรึกษาและอำนวยความสะดวกในการดำเนนิ งานฝา่ ย ต่าง ๆ ให้ เปน็ ไปดว้ ยความเรยี บรอ้ ย ประกอบดว้ ย 1.1 นายสมประสงค์ นอ้ ยจนั ทร์ ผู้อำนวยการ กศน.อำเภอชนแดน ประธานกรรมการ 1.2 นายเกรยี งฤทธิ์ เดตะอุด ครผู ูช้ ่วย กรรมการ 1.3 นางสมบัติ มาเนตร์ ครอู าสาสมัครฯ กรรมการ 1.4 นางสาวลาวัณย์ สทิ ธกิ รวยแก้ว ครอู าสาสมัครฯ กรรมการ 1.5 นางวารี ชบู ัว บรรณารักษช์ ำนาญการ กรรมการและเลขานุการ 2. ฝ่ายตดิ ตอ่ ประสานงาน มีหนา้ ที่ ติดต่อประสานงานสถานท่ีจดั การจดั กิจกรรม ประกอบดว้ ย 2.1 นางวารี ชบู วั บรรณารกั ษช์ ำนาญการ 2.2 นางสาวมุจลนิ ท์ ภูยาธร ครู กศน. ตำบล 2.3 นางลาวนิ สเี หลือง ครู กศน. ตำบล 2.4 นางสรุ ัตน์ จนั ทะไพร ครู กศน. ตำบล 2.5 นายเกรียงไกร ใหม่เทวนิ ทร์ ครู กศน. ตำบล 3. ฝ่ายการเงนิ และพัสดุ มหี นา้ ที่ จัดซื้อพสั ดุและยมื เงนิ สำรองจา่ ยตามโครงการ และจดั ทำเอกสารเบกิ จา่ ยพสั ดุ และการเงนิ ตามโครงการใหถ้ ูกตอ้ งเรยี บร้อยและทนั ต่อเวลาประกอบด้วย 3.1 นางวารี ชูบวั บรรณารักษช์ ำนาญการ 3.2 นางสมบัติ มาเนตร์ ครูอาสาสมัครฯ 3.3 นายศวิ ณชั ญ์ อศั วสมั ฤทธิ์ ครู ศรช. 4. ฝ่ายประชาสัมพันธ์ มีหน้าที่ ส่งข่าวประชาสัมพันธ์วิทยุห้างทองเรดิโอ เสียงตามสาย วิทยุชุมชน ประชาสัมพันธ์ทางออนไลน์ Facebook Line ประกอบด้วย 4.1 นางวารี ชบู วั บรรณารักษ์ชำนาญการ

27 4.2 นางสาวมจุ ลนิ ท์ ภยู าธร ครู กศน. ตำบล 4.3 นางลาวิน สีเหลอื ง ครู กศน. ตำบล 4.4 นางสุรัตน์ จนั ทะไพร ครู กศน. ตำบล 4.5 นายเกรยี งไกร ใหมเ่ ทวินทร์ ครู กศน. ตำบล 5. ฝ่ายจัดกิจกรรม มีหน้าที่ให้กรรมการมีหน้าที่จัดกิจกรรมโครงการส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับเด็กและ เยาวชน มีหน้าที่จัดเตรียมใบความรู้ ใบงาน กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ ส่งเสริมการอ่านจากหนังสือ และส่ือ ออนไลน์ สื่อการเรียนการสอน เกม และกิจกรรมนนั ทนาการ ดังน้ี 5.1 กจิ กรรมภาษาพาที 5.1.1 นางวารี ชูบัว บรรณารักษ์ชำนาญการ 5.1.2 นางลาวิน สีเหลอื ง ครู กศน.ตำบล 5.1.3 นายศิวณัชญ์ อัศวสัมฤทธิ์ ครู ศรช. 5.1.4 นางสาวกญั ญาณัฐ จันปญั ญา ครู ศรช. 5.1.5 นางสาวอุษา ย่ิงสกุ ครู ศรช. 5.2 กจิ กรรมวนั เดก็ แหง่ ชาติ 2564 บรรณารกั ษช์ ำนาญการ 5.2.1 นางวารี ชูบวั ครอู าสาสมัครฯ 5.2.2 นางสมบัติ มาเนตร์ ครอู าสาสมัครฯ 5.2.3 นางสาวลาวณั ย์ สทิ ธกิ รวยแกว้ ครู กศน. ตำบล 5.2.4 นางสาวมุจลินท์ ภยู าธร ครู กศน. ตำบล 5.2.5 นางลาวนิ สเี หลอื ง ครู กศน. ตำบล 5.2.6 นางสาววารณุ ี มะณสี อน ครู กศน. ตำบล 5.2.7 นางสาวลดาวรรณ์ สทุ ธพิ ันธ์ ครู กศน. ตำบล 5.2.8 นางผกาพรรณ มะหทิ ธิ ครู กศน. ตำบล 5.2.9 นางสาวพชั ราภรณ์ นริศชาติ ครู กศน. ตำบล 5.2.10 นางสรุ ัตน์ จนั ทะไพร ครู กศน. ตำบล 5.2.11 นายเกรียงไกร ใหมเ่ ทวินทร์ ครู กศน. ตำบล 5.2.12 นางสาวณฐั ชา ทาแนน่ ครู ศรช. 5.2.13 นายศิวณัชญ์ อศั วสมั ฤทธิ์ ครู ศรช. 5.2.14 นางสาวกัญญาณฐั จันปัญญา ครู ศรช. 5.2.15 นายปัณณวฒั น์ สขุ มา ครู ศรช. 5.2.16 นางสาวอุษา ย่งิ สุก ครู ศรช. 5.2.17 นางสาววรางคณา นอ้ ยจนั ทร์

28 5.3 กจิ กรรมครอบครวั รักการอา่ น บรรณารักษช์ ำนาญการ 5.3.1 นางวารี ชบู วั ครอู าสาสมัครฯ 5.3.2 นางสมบัติ มาเนตร์ ครู กศน. ตำบล 5.3.3 นางสาวมจุ ลนิ ท์ ภูยาธร ครู กศน. ตำบล 5.3.4 นางสาวลดาวรรณ์ สทุ ธิพันธ์ ครู กศน. ตำบล 5.3.5 นางสุรัตน์ จันทะไพร ครู กศน. ตำบล 5.3.6 นายเกรียงไกร ใหมเ่ ทวนิ ทร์ ครู ศรช. 5.3.7 นายปัณณวัฒน์ สุขมา ครู ศรช. 5.3.8 นางสาวอุษา ยิ่งสกุ ครู ศรช. 5.3.9 นางสาววรางคณา น้อยจนั ทร์ 5.4 กิจกรรมนิทานเล่มเล็ก บรรณารกั ษช์ ำนาญการ 5.4.1 นางวารี ชบู วั ครูอาสาสมัครฯ 5.4.2 นางสมบัติ มาเนตร์ ครู กศน. ตำบล 5.4.3 นางสุรัตน์ จนั ทะไพร ครู ศรช. 5.4.4 นางสาวอษุ า ยง่ิ สกุ 6. ฝา่ ยรับลงลงทะเบียน ใหก้ รรมการมีหนา้ ทจี่ ัดเตรียมเอกสารสำหรบั การลงทะเบยี น และรบั ลงทะเบียน ผูเ้ ขา้ รว่ มโครงการ ดงั นี้ 6.1 นางสาวอุษา ย่ิงสกุ ครู ศรช. 6.2 นางสาวกัญญาณฐั จนั ปญั ญา ครู ศรช. 7. ฝ่ายวัดผลและประเมินผลโครงการ มีหน้าที่แจกแบบสอบถามความพึงพอใจและเก็บรวบรวม แบบสอบถามความพึงพอใจ ประเมนิ ผลการดำเนินงาน ประเมนิ ความพงึ พอใจ ปัญหา อปุ สรรค และขอ้ เสนอแนะ และจัดทำรายงานผลการดำเนนิ งานหลงั เสรจ็ ส้ินโครงการ ดังนี้ 7.1 นางวารี ชบู ัว บรรณารกั ษช์ ำนาญการ 7.2 นางสมบัติ มาเนตร์ ครอู าสาสมัครฯ 7.3 นางสาวณฐั ชา ทาแนน่ ครู กศน. ตำบล 7.4 นางสาวอุษา ย่งิ สกุ ครู ศรช

29 2. ข้นั ดำเนินการ กิจกรรมหลัก วัตถุประสงค์ กลมุ่ เป้าหมาย เปา้ หมาย พน้ื ที่ดำเนนิ การ ระยะเวลา งบประมาณ ครูและบคุ ลากร 20 คน กศน. อำเภอ พ.ย.63 - 1. ขัน้ เพ่อื จดั ประชุมครูและ กศน. อำเภอ ชนแดน ชนแดน - เตรียมการ บคุ ลากรทางการศึกษา 5,000.- ครูและบคุ ลากร 20 คน บาท - ช้ีแจงทำความเข้าใจ กศน. อำเภอ ชนแดน รายละเอยี ดโครงการ กรรมการฝ่ายที่ - - ชแ้ี จงแนวทางในการ ได้รับมอบหมาย ดำเนินโครงการ - จัดทำโครงการและ แผนการดำเนนิ การเพื่อ อนุมตั ิ - แตง่ ตัง้ กรรมการ ดำเนนิ งานตามโครงการ 2. ประชมุ เพื่อประชุมทำความเข้าใจ กศน. อำเภอ 14 ธ.ค.63 ชนแดน กรรมการ กบั กรรมการดำเนินงาน ดำเนนิ งาน ทุกฝ่ายในการจัดกจิ กรรม โครงการและการ ดำเนินงาน 3. จัดเตรยี ม เพ่ือดำเนนิ การจดั ทำ กศน. อำเภอ 15 ธ.ค.63 ชนแดน เอกสาร วสั ดุ จัดซอื้ วสั ดุอปุ กรณท์ ใ่ี ชใ้ น อปุ กรณ์ในการ การดำเนินการ ดำเนนิ โครงการ 4. ดำเนนิ การ 1. ภาษาพาที เด็กและเยาวชน 30 คน พ้นื ท่ีอำเภอ ธ.ค.63 - - จดั กิจกรรม 2. วันเดก็ แห่งชาติ 2564 300 คน ชนแดน ม.ี ค.64 3. ครอบครวั รกั การอา่ น 20 คน 4. นทิ านเลม่ เล็ก 20 คน รวม

30 370 คน กิจกรรมหลกั วตั ถุประสงค์ กลุ่มเป้าหมาย เป้าหมาย พืน้ ที่ดำเนนิ การ ระยะเวลา งบประมาณ 5. สรุป/ เพ่ือให้กรรมการฝ่าย ตาม 2 เล่ม กศน. อำเภอ ม.ี ค.64 - ประเมนิ ผล ประเมินผลเกบ็ รวบรวม กระบวนการ ชนแดน และรายงานผล ขอ้ มลู และดำเนนิ การ ประเมนิ โครงการ ประเมินผลการจัด โครงการ กจิ กรรม 5 บท 3. ขั้นสรปุ การจัดกิจกรรม 1. ดชั นีวัดผลสำเร็จของโครงการ 1.1 ตัวชี้วัดผลผลิต (output) กลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการฯ 80 % มีความพึงพอใจในการเข้าร่วม กิจกรรม 1.2 ตัวชี้วัดผลลัพธ์ ( outcome ) นักเรียน มีนิสัยรักการอ่านนำไปสู่การเรียนรู้ และพัฒนาคุณภาพชีวิต ใหด้ ขี ้นึ 2. การติดตามผลประเมนิ ผลโครงการ 2.1 แบบประเมินความพึงพอใจผ้เู ขา้ ร่วมกจิ กรรม / โครงการ 2.2 สรปุ /รายงานผลการจัดกิจกรรม

31 บทที่ 4 ผลการดาเนิ นงานตามโครงการ ผลการดำเนนิ งานตามโครงการ การศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายที่ร่วมโครงการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย กิจกรรมครอบครัว รกั การอ่าน แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดงั น้ี สว่ นท่ี 1 ข้อมูลท่ัวไป เพศ เพศ จำนวน ร้อยละ ชาย 19 63.33 หญงิ 11 36.67 รวม 30 100 จากตาราง สรุปได้วา่ ผ้เู ขา้ รว่ มการศกึ ษาความพงึ พอใจของกลมุ่ เป้าหมายเข้ารว่ มโครงการจดั การศึกษาตาม อธั ยาศยั กจิ กรรมภาษา พาที ในครง้ั นี้ เปน็ เพศชาย มากท่ีสดุ จำนวน 19 คน คิดเปน็ ร้อยละ 63.33 อายุ ชว่ งอายุ จำนวน รอ้ ยละ ตำ่ กวา่ 15 ปี 30 100 15 - 29 ปี - - 30 – 39 ปี - - 40 - 49 ปี - - 50 - 59 ปี - - 60 ปขี นึ้ ไป - - 30 100 รวม จากตาราง สรุปได้ว่า ผเู้ ข้าร่วมโครงการการศกึ ษาความพึงพอใจของกลุม่ เป้าหมายเข้ารว่ มโครงการจดั การศึกษา ตามอัธยาศยั กิจกรรมภาษา พาที ในครั้งนี้ เปน็ ชว่ งอายุ ต่ำกวา่ 15 ปี มากท่ีสดุ จำนวน 30 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 100

32 การศึกษา ระดบั การศึกษา จำนวน รอ้ ยละ ประถมศกึ ษา 30 100 - - ม.ต้น - - ม.ปลาย - - ปวช./ปวส. - - ปริญญาตรี - - สูงกวา่ ปริญญาตรี 30 100 รวม จากตาราง สรุปไดว้ ่า ผเู้ ขา้ ร่วมโครงการการศึกษาความพงึ พอใจของกลุ่มเปา้ หมายเข้ารว่ มโครงการจัดการศึกษา ตามอธั ยาศยั กิจกรรมภาษา พาที ในครั้งน้ี การศึกษาระดับ ประถมศกึ ษา มากทส่ี ดุ จำนวน 30 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 100 อาชพี อาชีพ จำนวน รอ้ ยละ รบั จ้าง - - เกษตรกรรม - - ผ้นู ำชุมชน - - คา้ ขาย - - รบั ราชการ - - นกั เรยี น/นกั ศึกษา 30 100 อืน่ ๆ ระบุ - - รวม 30 100 จากตาราง สรุปได้ว่า ผู้เข้าร่วมโครงการการศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายโครงการจัดการศึกษาตาม อัธยาศัย กิจกรรมครอบครัว รักการอ่าน ในครั้งนี้ เป็นนักเรียน/นักศึกษา มากที่สุด จำนวน 30 คน คิดเป็นร้อยละ 100

33 สว่ นที่ 2 ขอ้ มลู ความคดิ เหน็ และความพงึ พอใจตอ่ โครงการ 2.1 เกณฑ์การพจิ ารณาระดับความพงึ พอใจ 0 – 60 อยใู่ นระดบั น้อยทสี่ ดุ 61 – 70 อยใู่ นระดบั นอ้ ย 71 – 80 อยู่ในระดบั ปานกลาง 81 – 90 อยูใ่ นระดับ มาก 91 – 100 อย่ใู นระดับ มากท่ีสดุ 2.2 เกณฑ์การใหค้ ะแนน 5 อยู่ในระดบั มากท่ีสดุ 4 อยใู่ นระดบั มาก 3 อยูใ่ นระดับ ปานกลาง 2 อย่ใู นระดับ น้อย 1 อยใู่ นระดบั น้อยทสี่ ดุ

2.3 สาระความพึงพอใจ ความคดิ เห็นต่อโครงการจดั การศึกษาตามอธั ยาศัย กจิ กรรมภ จำนวน ข้อ รายการ ผ้ปู ระเมนิ (คน) มาก 5 1 กิจกรรมที่จัดสอดคล้องกับวตั ถุประสงค์ 30 1 2 เน้ือหาของสอ่ื การเรยี นรูต้ รงกับความต้องการของผ้รู ับบริการ 30 2 3 การจดั กิจกรรมมสี ่อื การเรยี นรูท้ ่หี ลากหลาย 30 2 4 กจิ กรรมสง่ เสริมการมมี นุษยส์ ัมพันธอ์ นั ดีต่อกัน 30 1 5 สถานทจี่ ดั กจิ กรรมเหมาะสมที่เอื้อตอ่ การเรยี นรู้ 30 2 6 ระยะเวลาการจดั กจิ กรรมมีความเหมาะสม 30 2 7 ทา่ นมีความประทบั ใจในการเข้าร่วมกิจกรรมคร้ังน้ี 30 2 8 การประชาสมั พันธแ์ ละชวนเชิญ 30 1 9 ความเหมาะสมวัสดุ/อปุ กรณ์ในการจัดกจิ กรรม 30 2 10 การนำประโยชนไ์ ปใชใ้ นการเขา้ รว่ มกิจกรรมในครง้ั น้ี 30 2 11 ทา่ นคดิ วา่ ควรมีการจดั กจิ กรรมในลักษณะน้ตี ่อเนื่อง 30 2 12 หากมโี อกาสในปีต่อไปทา่ นยินดีเขา้ ร่วมโครงการนี้อกี 30 2 รวมท้ังหมด 360 26 รอ้ ยละ 100 72

๓๒ ภาษา พาที ระดบั ผลการประเมิน เฉลี่ย S.D. ประมวล ผล กทสี่ ดุ มาก ปานกลาง น้อย นอ้ ยที่สุด ร้อยละ มากทส่ี ุด 5 4 3 21 มากทีส่ ุด 92.67 มากทีส่ ดุ 94.00 19 11 0 0 0 4.63 0.49 มากทส่ี ุด 94.00 มากท่ีสุด 92.00 21 9 0 0 0 4.70 0.47 มากทส่ี ดุ 96.67 มากทส่ี ดุ 94.67 21 9 0 0 0 4.70 0.47 มากที่สดุ 95.33 มากที่สดุ 92.67 18 12 0 0 0 4.60 0.50 มากที่สุด 95.33 มากที่สุด 96.00 25 5 0 0 0 4.83 0.38 มากที่สุด 94.00 มากทส่ี ดุ 97.33 22 8 0 0 0 4.73 0.45 94.56 23 7 0 0 0 4.77 0.43 19 11 0 0 0 4.63 0.49 23 7 0 0 0 4.77 0.43 24 6 0 0 0 4.80 0.41 21 9 0 0 0 4.70 0.47 26 4 0 0 0 4.87 0.35 62 98 0 0 0 4.73 0.45 2.78 27.22 0.00 0 0

๓๓ จากตาราง สรปุ ได้วา่ ผ้เู ข้าร่วมโครงการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย กจิ กรรมภาษา พาที ในครงั้ น้ี ผลปรากฏ ว่าระดบั ความพงึ พอใจในภาพรวมอยใู่ นระดบั มากที่สุด คดิ เป็นรอ้ ยละ 94.56 ตอนท่ี 3 ข้อเสนอแนะ 1. ไดค้ วามรเู้ พ่ิมขน้ึ อยากให้จัดโครงการแบบน้ีอกี 2. อยากให้จัดกจิ กรรมแบบน้ีอกี

36 บทที่ 5 สรปุ ผลการดำเนนิ งานตามโครงการ การบรู ณาการการเรียนรู้ • มกี ารนำความรู้ท่ีไดร้ บั ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ • จากกิจกรรมชว่ ยสง่ เสริมใหม้ ีนิสัยรักการอ่านและการเรยี นรูอ้ ยา่ งต่อเนือ่ งตลอดชวี ติ กระตนุ้ และสง่ เสริม นิสยั ให้เด็กและเยาวชนมนี ิสยั รกั การอ่าน ส่งเสริมทักษะและพัฒนาการทางดา้ นรา่ งกายและจติ ใจของเด็กและ เยาวชน และส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนมีความคิดสร้างสรรคแ์ ละมจี นิ ตนาการ ความรว่ มมือของกลุ่มเป้าหมายและเครือขา่ ย - การมสี ่วนรว่ มของภาคเี ครอื ข่ายในการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั - การสนับสนนุ ให้ภาคเี ครอื ข่ายจัดการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั การนำความรไู้ ปใช้ - สง่ เสริมและสนับสนุนการอ่านให้เป็นวาระแห่งชาติ นักเรยี น นักศกึ ษา และประชาชนทั่วไปเข้าถึง และมโี อกาสได้อา่ นหนงั สือ ส่งเสริมสนบั สนุนให้ผเู้ ข้าร่วมกจิ กรรม มีนสิ ัยรักการอ่านนำไปสู่การเรยี นรู้ และ พัฒนาคณุ ภาพชีวติ ให้ดขี นึ้ การดำเนนิ งานทั่วไป เชงิ ปริมาณ - กลมุ่ เปา้ หมาย เด็ก และเยาวชน จำนวน 30 คน - จำนวนกลมุ่ ตัวอยา่ ง นักศกึ ษา กศน.อำเภอชนแดน และประชาชนท่วั ไป จำนวน 30 คน 1) ชาย จำนวน 19 คน คิดเป็นร้อยละ 63.33 2) หญงิ จำนวน 11 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 36.67 เชิงคุณภาพ 1. สง่ เสรมิ ใหม้ นี ิสยั รักการอ่านและการเรียนรู้อยา่ งต่อเน่ืองตลอดชวี ติ 2. กระตนุ้ และสง่ เสรมิ นิสัยให้เด็กและเยาวชนมีนิสยั รักการอา่ น 3. ส่งเสริมทักษะและพัฒนาการทางดา้ นร่างกายและจติ ใจของเด็กและเยาวชน 4. ส่งเสรมิ ให้เด็กและเยาวชนมคี วามคิดสร้างสรรคแ์ ละมจี ินตนาการ ผลการดำเนนิ งานตามตวั ช้ีวัดความสำเร็จ 1. เป้าหมาย จำนวน 30 คน มผี ู้เข้ารว่ มกจิ กรรม จำนวน 30 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 100 ผลการดำเนินงานตามเป้าหมาย 2. จำนวนผูร้ ่วมกจิ กรรม จำนวน 30 คน ผ่านกิจกรรม จำนวน 30 คน

37 คิดเป็นร้อยละ 100 ผลการดำเนนิ งานบรรลุเป้าหมาย สรปุ ผลการดำเนินงาน - ผลการดำเนินงานบรรลุเป้าหมาย ความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมโครงการจัดการศึกษาตามอัธยาศัยกิจกรรม ครอบครวั รกั การอ่าน ในภาพรวมอยใู่ นระดบั มากทสี่ ุด คดิ เปน็ ร้อยละ 94.56 สรปุ ความพึงพอใจต่อโครงการ/กิจกรรม ทีเ่ ข้ารว่ ม 1. กิจกรรมทีจ่ ัดสอดคล้องกบั วัตถุประสงค์ อยู่ในระดับความพึงพอใจ มากทส่ี ดุ คิดเปน็ ร้อยละ 92.67 2. เน้ือหาของส่ือการเรียนรู้ตรงกับความต้องการของผู้รับบริการ อยู่ในระดับความพึงพอใจ มากท่ีสุด คดิ เป็นร้อยละ 94.00 3. การจัดกิจกรรมมีส่ือการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย อยู่ในระดับความพึงพอใจ มากท่ีสุด คิดเป็นร้อยละ 94.00 4. กิจกรรมส่งเสริมการมีมนุษย์สัมพันธ์อันดีต่อกัน อยู่ในระดับความพึงพอใจ มากที่สุด คิดเป็น ร้อยละ 92.00 5. สถานท่ีจัดกิจกรรมเหมาะสมท่ีเอื้อต่อการเรียนรู้ อยู่ในระดับความพึงพอใจ มากที่สุด คิดเป็น รอ้ ยละ 96.67 6. ระยะเวลาการจัดกิจกรรมมีความเหมาะสม อยู่ในระดับความพึงพอใจ มากท่ีสุด คิดเป็นร้อยละ 94.67 7. ท่านมีความประทับใจในการเข้าร่วมกิจกรรมคร้ังนี้ อยู่ในระดับความพึงพอใจ มากท่ีสุด คิดเป็น ร้อยละ 95.33 8. การประชาสัมพันธ์และชวนเชิญ อย่ใู นระดับความพึงพอใจ มากทส่ี ดุ คิดเปน็ รอ้ ยละ 92.67 9. ความเหมาะสมวัสดุ/อุปกรณ์ในการจัดกิจกรรม อยู่ในระดับความพึงพอใจ มากท่ีสุด คิดเป็น รอ้ ยละ 95.33 10.การนำประโยชน์ไปใช้ในการเข้าร่วมกิจกรรมในคร้ังน้ี อยู่ในระดับความพึงพอใจ มากท่ีสุด คิดเป็น ร้อยละ 96.00 11.ท่านคิดว่าควรมีการจัดกิจกรรมในลักษณะนี้ต่อเน่ือง อยู่ในระดับความพึงพอใจ มากท่ีสุด คิดเป็น ร้อยละ 94.00 12.หากมีโอกาสในปีต่อไปท่านยินดีเข้าร่วมโครงการนี้อีก อยู่ในระดับความพึงพอใจ มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 97.33 ข้อเสนอแนะ 1. ไดค้ วามรูเ้ พิ่มขน้ึ อยากให้จัดโครงการแบบนี้อกี 2. อยากให้จดั กิจกรรมแบบนี้อกี

ภาคผนวก

ภาพกิจกรรม โครงการส่งเสริมการเรียนรู้สำหรบั เด็กและเยาวชน กิจกรรม ภาษาพาที วนั ที่ 5 กุมภาพนั ธ์ 2564 ณ โรงเรยี นบา้ นหว้ ยตูม หมู่ท่ี 1 ต.พุทธบาท อำเภอชนแดน จงั หวดั เพชรบรู ณ์

ภาพกิจกรรม โครงการส่งเสริมการเรียนรู้สำหรบั เด็กและเยาวชน กิจกรรม ภาษาพาที วนั ที่ 5 กุมภาพนั ธ์ 2564 ณ โรงเรยี นบา้ นหว้ ยตูม หมู่ท่ี 1 ต.พุทธบาท อำเภอชนแดน จงั หวดั เพชรบรู ณ์

ทีป่ รกึ ษา คณะผูจ้ ดั ทำ นายสมประสงค์ น้อยจนั ทร์ นายเกรียงฤทธ์ิ เดตะอุด ผอู้ ำนวยการ กศน.อำเภอชนแดน นางวารี ชบู วั ครผู ชู้ ่วย บรรณารักษ์ชำนาญการ คณะทำงาน/รวบรวมข้อมูล นายสมประสงค์ น้อยจันทร์ ผอู้ ำนวยการ กศน.อำเภอชนแดน นายเกรียงฤทธิ์ เดตะอุด ครผู ู้ชว่ ย นางวารี ชบู ัว บรรณารักษ์ชำนาญการ นางสมบัติ มาเนตร์ ครอู าสาสมัครการศึกษานอกโรงเรยี น นางสาวลาวณั ย์ สทิ ธกิ วยแก้ว ครูอาสาสมัครการศึกษานอกโรงเรียน นางสุรตั น์ จันทะไพร ครู กศน.ตำบล นายเกรยี งไกร ใหม่เทวินทร์ ครู กศน.ตำบล นางสาวพชั ราภรณ์ นริศชาติ ครู กศน.ตำบล นางสาวลดาวรรณ์ สทุ ธพิ ันธ์ ครู กศน.ตำบล นางผกาพรรณ มะหิทธิ ครู กศน.ตำบล นางสาวณัฐชา ทาแนน่ ครู กศน.ตำบล นางสาวมจุ ลนิ ท์ ภยู าธร ครู กศน.ตำบล นางลาวนิ สีเหลือง ครู กศน.ตำบล นายปัณณวัฒน์ สุขมา ครู ศรช. นายศวิ ณชั ญ์ อศั วสัมฤทธิ์ ครู ศรช. นางสาวกัญญาณฐั จันปญั ญา ครู ศรช. นางสาวอุษา ยงิ่ สกุ ครู ศรช. นางสาววรางคณา น้อยจนั ทร์ ครู ศรช. ออกแบบปก/ผู้พิมพ/์ สำเนา บรรณารักษช์ ำนาญการ นางวารี ชบู ัว


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook