Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โคลนติดล้อ ตอน นิยมความเป็นเสมียน

โคลนติดล้อ ตอน นิยมความเป็นเสมียน

Published by nurmee2345, 2019-08-14 23:36:56

Description: นางสาวนูรมี สะอุ
รหัสนักศึกษา406001028
สาขาวิชาภาษาไทยครุศาตรบัณฑิต ปีที่3
มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา

Search

Read the Text Version

โคลนติดลอ้ ตอน นยิ มความเป็ นเสมียน ประพันธ์ อัศวพาหุ จดั ทาโดย นางสาวนูรมี สะอุ รหัสนักศึกษา ๔๐๖๐๐๑๐๒๘ สาขาภาษาไทยครุศาสตร์บัณฑติ

ทม่ี าของเร่อื ง บทความเร่อื ง โคลนตดิ ล้อ เป็นหนังสือรวมบทความแสดงความคิด พระราชนพิ นธใ์ น พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เอยหู่ วั โดยใช้นามแฝงวา่ “อัศวพาหุ” พระราชนพิ นธเ์ ป็นภาษาไทย และ ภาษาองั กฤษ เมอ่ื ปี พ.ศ.๒๔๕๘ เพอ่ื ลงพิมพใ์ น “หนังสอื พมิ พไ์ ทย” และต่อมา “หนงั สือพิมพส์ ยามออบ เซอร์เวอร์” ไดน้ ามาพิมพล์ งไวอ้ กี ครัง้ หน่งึ แบ่งเป็น ๑๒ บทดงั นี้ ๑. การเอาอย่างโดยไม่ตรติ รอง ๒. การทาตนใหต้ า่ ตอ้ ย ๓. การบชู าหนงั สือเกนิ เหตุ ๔. ความนยิ มเปน็ เสมยี น ๕. ความเห็นผิด ๖. ถอื เกียรติไม่มีมลู ๗. ความจนไม่จริง ๘. แต่งงานชัว่ คราว ๙. ความไมร่ บั ผิดชอบบิดามารดา ๑๐. การคา้ หญิงสาว ๑๑. ความหยมุ หยิม ๑๒. หลกั ฐานไมม่ ัน่ คง

ประวตั ิผูแตง่ สมด็จพระราชสมภพเม่อื วนั ท่ี ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๓ มพี ระนาม เดิมวา่ สมเดจ็ เจ้าฟ้ามหาวชริ าวุธ เปน็ พระราชโอรสในพระบาทสมเดจ็ พระ จุลจอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว และสมเดจ็ พระศรพี ชั รนิ ทราบรมราชนิ นี าถ ศกึ ษา วชิ าการทีป่ ระเทศอังกฤษ ทรงศึกษาในมหาวทิ ยาลัยออกซ์ฟอร์ด และศกึ ษา วชิ าการทหารบก ท่ีโรงเรยี นนายร้อยแซนดเ์ ฮสิ ต์ ไดร้ บั สถาปนาเป็นสมเดจ็ พระ บรมโอรสาธิราชสยามมงกุฎราชกุมาร เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๓๗ เสดจ็ ขึ้นครองสิริราชสมบตั ิ เม่อื วันท่ี ๒๓ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๕๓ ได้ ทรงตราพระราชบญั ญตั ิ ประถมศกึ ษา ใหเ้ ปน็ การศกึ ษาภาคบงั คบั ทรงตงั้ กระทรวงการทหารเรอื กองเสือป่า และกองลกู เสือ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรมศลิ ปากร โรงไฟฟา้ หลวงสามเสน คลังออมสิน กรมสถติ ิพยากรณ์ กรมสรรพากร กรมตรวจเงินแผ่นดิน กรมมหาวทิ ยาลยั กรมรถไฟหลวง และเปดิ เดนิ รถไฟไปเช่อื มกับมลายู ตง้ั สถานเสาวภาและกรมรา่ งกฎหมาย ทรงเปล่ยี น การใช้ รัตนโกสินทรศ์ ก (ร.ศ.) เป็นพุทธศักราช (พ.ศ.) ทรงปลูกฝงั ความรกั ชาติ ใหเ้ กดิ ขน้ึ ใน หม่ปู ระชาชาวไทย ทรงเป็นศิลปิน และส่งเสริมงานประพนั ธเ์ ปน็ อยา่ งมาก ทรงเปน็ ผู้นาในการประพันธ์วรรณคดไี ทย ทง้ั ทเ่ี ปน็ ร้อยแกว้ และรอ้ ย กรอง ทรงเขียนหนงั สือทางดา้ นประวตั ศิ าสตร์ และดา้ นการทหารไว้เปน็ จานวน มาก ประมาณถึง ๒๐๐ เร่อื ง ท้ังภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

นามปากกา ศรอี ยุธยา พระขรรคเ์ พชร อัศวพาหุ นายแกว้ นายขวญั พันแหลมรามกิตติ สุครพี พาลี ศรธี นญชัย รามสูร วชริ าวธุ สุรยิ งส่องฟ้า อญั ชญั น้อยลา พันตา หนานเเก้วเมืองบูน นักเรียนคนหนง่ึ นักเรยี นเกา่ พรานบุญ เสอื เหลอื ง เลขานุการ จลุ สมติ มหาสมิต วรสมิต วริ ยิ ะสมติ โสตสมิธ วรรณสมิต วิภาสมิต บรรณาธิการ ดุสิตสมติ อัศวพาหุ พระขรรค์เพชร ไก่ เขยี ว รามจิตติ พระขรรค์เพชร น้อยลา สคุ รพี พระองค์ไดร้ บั ถวายพระราชสมัญญานามว่า สมเดจ็ พระมหาธรี ราชเจา้ ทรงเปน็ นกั ปราชญท์ ยี่ ่ิงใหญพ่ ระองค์หนึ่งของไทย

ลกั ษณะคาประพนั ธ์ เป็นบทความรอ้ ยแก้ว แสดงคามคดิ เห็นเก่ยี วกบั ค่านยิ มของคนไทยท่ีนิยมอาชีพเปน็ เสมยี น

เนอ้ื เร่อื ง ตอนท่ี ๔ นิยมความเป็ นเสมยี น เสมียนคอื ผู้ทาหน้าท่ีเก่ยี วกบั หนงั สอื ผู้มกี ารศึกษานน้ั นยิ มเปน็ เสมยี น คอื นยิ มเข้ารับราชการผ้ทู ี่เป็น เสมียนจึงไม่สนใจกลับไปทาการเกษตรในภมู ิลาเนาของตนซง่ึ กอ่ ให้เกดิ ประโยชนไ์ ด้มากกว่าผู้ทเี่ ปน็ เสมียนจงึ นยิ ม ใชช้ ีวติ อยใู่ นกรุงเทพฯ บคุ คลเหลา่ นี้เห็นวา่ การทางานอยา่ งอื่นไม่สมเกียรตยิ ศของตนเองเพราะคนทไี่ ดร้ บั การศกึ ษาไม่ควรเสยี เวลาไปทางานท่คี นไม่รู้หนงั สอื ก็ทาได้คนจาพวกน้ีจงึ ยอมทนใช้ชีวติ อยใู่ นกรงุ เทพฯ ทงั้ ที่ เงนิ เดือนไมม่ ากแตก่ จ็ ับจา่ ยใช้ทรพั ย์เพือ่ การตา่ ง ๆ เชน่ น่งุ ผา้ มว่ งสี ดหู นงั กนิ ข้าว ตามรา้ นอาหารถ้าคนเรายัง มีคา่ นยิ มเห็นวา่ การเปน็ เสมียนมีศกั ดศิ์ รสี งู กว่าการเปน็ ชาวนา ชาวสวน หรอื พอ่ คา้ คนกม็ กั จะใฝท่ ะเยอทะยาน อยากเป็นเสมียนเมอื่ กระทรวงทบวงการคดั เลือกเสมียนท่ีมีมากเกนิ ความจาเปน็ ออกบคุ คลเหลา่ นี้จะไม่สามารถไป ทางานอืน่ ได้ เพราะเคยเปน็ เสมียนมานานผ้ทู ี่เปน็ เสมียนไมอ่ าจไปเปน็ ชาวนาได้ ด้วยเหตผุ ลหลายประการ เช่น เห็นว่าไม่สมเกียรติของตน ไมอ่ าจไปอยตู่ ามบ้านนอกได้ ดงั น้นั จงึ คงอยู่ในเมืองเพื่อหาตาแหน่งเสมียนต่อไป อายุ มากขนึ้ โอกาสย่ิงนอ้ ยลง ในตอนท้ายของบทความจบด้วยคาถามกระต้นุ ให้คดิ วา่ สมควรหรือไม่ท่จี ะเปลย่ี นคา่ นยิ มในการเป็น เสมียนแลว้ หนั ไปทางานอน่ื ๆ ทที่ าประโยชนไ์ ดด้ ีกว่าการเปน็ เสมียน

คุณคา่ ของเรอื่ ง ๑. เปน็ ตัวอยา่ งของบทความทด่ี ี ๒. เสนอข้อคิดเก่ยี วกบั ปญั หาของบา้ นเมอื งในเรือ่ งคา่ นิยมท่เี ป็นอปุ สรรคในการ พฒั นาประเทศใหเ้ จริญ ๓. ใหแ้ นวคิดทเี่ ปน็ ประโยชนว์ า่ อาชีพอนื่ ก็สามารถทาประโยชน์ใหก้ บั ประเทศชาตไิ ด้

คุณคา่ ด้านวรรณศิลป์ ๑. การสรรคา ในแงข่ องศิลปะการประพนั ธ์ ทรงพระราชนิพนธ์โดยสานวนภาษาทีเ่ รยี บง่าย แต่แฝงไวด้ ้วยศลิ ปะ การใช้ภาษา ทาให้บทความน่าอา่ นและน่าตดิ ตามดงั ต่อไปนี้ ๑.๑ ใช้ถอ้ ยคาเรยี บง่าย ส่อื ความตรงไปตรงมา มีการใชศ้ พั ท์ภาษาอังกฤษบา้ งดังตัวอยา่ ง “..เด็กทุก ๆ คนซ่ึงเลา่ เรยี นสาเร็จออกมาจากโรงเรียนล้วนแตม่ คี วามหวังฝงั อยู่วา่ จะได้มาเป็นเสมียน หรือเปน็ เลขานกุ าร และจะได้เลอ่ื นยศเลื่อนตาแหนง่ ขน้ึ เร็ว ๆ เปน็ ลาดบั ไป เดก็ ทีอ่ อกมาจากโรงเรยี นเหลา่ น้ีย่อมเหน็ ว่ากจิ การอยา่ ง อืน่ ไม่สมเกยี รติยศนอกจากการเปน็ เสมียน ข้าพเจา้ เองได้เคยพบเห็นพวกหนมุ่ ๆ ชนิดน้หี ลายคนเปน็ คนฉลาดและวอ่ งไว และถา้ หากเขาทง้ั หลายนัน้ ไมม่ ีความกระหายจะทางานอย่างท่ีพวกเขาเรียกกันว่า \"งานออฟฟศิ \" มากดี ขวางอยู่แลว้ เขาก็ อาจจะทาประโยชน์ได้มาก..”

๑.๒ การซา้ คา เพือ่ เน้นย้าแสดงความหนกั แน่นของความ ทาให้ผ้อู ่านเกิดอารมณ์คล้อยตาม เชน่ “ไม่มใี ครเห็น ไมม่ ใี ครรู้จกั ไมม่ ีใครรกั ไมม่ ใี ครอาลัย เป็นการลงเอยอย่างมืดแห่งชีวิตท่ีมดื ไม่มีสาระ” ๑.๓ การใชโ้ วหาร ทาให้ผูอ้ ่านเหน็ ภาพและเขา้ ใจชัดเจนยงิ่ ขนึ้ เชน่ ช่ือเรอ่ื งบทความ “โคลนตลิ อ้ ” เปน็ การใช้โวหารภาพพจนแ์ บบอปุ ลกั ษณ์ โคลนหมายถึง ปัญหาและอุปสรรคทีก่ ีดขวางความเจริญของ ประเทศชาตเิ หมือนโคลนทต่ี ดิ ลอ้ รถทาให้รถเคล่ือนไปได้ไมส่ ะดวก นอกจากนี้ยังมีการใช้ภาพพจน์แบบอุปมา เปน็ การใชค้ วามเปรียบเทยี บให้ผูอ้ ่านเกิดความรสู้ กึ คล้อยตามและ เหน็ ด้วย ดังตอนท่กี ล่าวถึงผูน้ ิยมความเป็นเสมยี นว่า “..ถา้ จะเปรยี บพืชที่เขาไดท้ าให้งอกต้องนับวา่ น้อยกว่าผล ทเ่ี ขาได้กนิ เข้าไป ..”

คุณค่าดาู นสงั คม ๑. สะทอ้ นภาพชีวิตและค่านิยมของสังคมไทยในอดตี เมอ่ื ผ้อู า่ นไดอ้ า่ นบทความแลว้ จะมองเห็นภาพสงั คมและคา่ นิยมของ ผูค้ นในสมยั รชั กาลที่ ๖ ได้เป็นอย่างดี เชน่ ค่านยิ มทีย่ กย่องคนรับราชการ ทาให้ผมู้ กี ารศึกษาชีชีวิตอยูใ่ นเมืองหลวง ไม่ กลบั ไปประกอบอาชีพในภมู ลิ ะเนาของตน ดงั ตวั อย่าง “..เขาตอบว่าเขาเปน็ ผู้ที่ไดร้ บั ความศึกษามาจากโรงเรียนแล้ว ไมค่ วรจะเสียเวลาไปทางานชนิดซึ่งคนทีไ่ มร่ หู้ นงั สือก็ทาได้ และ เพราะเขาไม่อยากจะลมื วชิ าท่ีเขาไดเ้ รียนรูม้ าจากโรงเรียนนั้นดว้ ย เพราะเหตนุ เ้ี ขาส้สู มัคร อดอยากอย่ใู นกรุงเทพฯ ได้เงินเดอื นเพยี ง เดอื นละ ๑๕ บาทหรือ ๒๐ บาท ยงิ่ กว่าท่ีจะกลับไปประกอบการเพือ่ เพ่ิมพนู ความสมบูรณแ์ ห่งประเทศในภูมลิ าเนาเดมิ ของเขา..” ค่านิยมผิดๆ ของผ้ทู นี่ ยิ มเป็นเสมยี น ซ่ึงส่งผลใหต้ ้องอดทนตอ่ ความลาบาก เพราะต้องใช้ความเป็นอยู่แบบเกินฐานะ ใชจ้ ่ายอย่างสุรุ่นสุร่าย เพื่อรักษาเกยี รตแิ ละหน้าตาของคน ดงั ตวั อย่าง ผลการคน้ หารูปภาพสาหรับ อีสาน ชนบท “..ในเงนิ เดือน ๑๕ บาทน้พี อ่ เสมยี นยงั อุตส่าหจ์ าหน่ายจ่ายทรัพยไ์ ด้ต่าง ๆ เชน่ น่งุ ผ้าม่วงสี ใส่เสอื้ ขาว สวมหมวกสกั หลาด และในเวลาทกี่ ลับจากออฟฟิศแลว้ กต็ อ้ งสวมกางเกงแพรจีนด้วย และจะตอ้ งไปดูหนงั อีก อาทติ ย์ละ ๒ ครงั้ เป็นอย่างนอ้ ย..”

๒. ทราบปัญหาสังคมทเี่ กดิ ข้ึนในอดตี บทความนี้ทาใหเ้ ราทราบว่าสมยั รชั กาลท่ี ๖ ปัญหาทค่ี อบขัดขวางถว่ งความ เจริญของบา้ นเมืองในขณะน้ันวา่ มีอะไรบ้าง เช่น การเชอ่ื ถือข้อความทางหนังสือพมิ พ์ทย่ี งั ไมไ่ ดพ้ จิ ารณาข้อเทจ็ จรงิ ชายหนุม่ ที่เขา้ มาทางานในเมอื งแลว้ ไมก่ ลับไปประกอบอาชพี ในภูมลิ าเนาของตน ๓. สะท้อนข้อคดิ ทส่ี ามารถนาไปใชใ้ นการดาเนินชวี ติ บทความเรือ่ งโคลนติดล้อ ใหข้ ้อคิดแก่คนในสังคมไทยได้ เป็นอย่างดวี ่า ไม่ควรลืมรากฐานของตนเอง ไม่ดูถูกอาชีพเกษตรกรรม ไม่ควรใชจ้ ่ายสรุ ยุ่ สุรา่ ยเกินรายและฐานะทาง เศรษฐกิจของตนและท่ีสาคญั ควรรูจ้ ักใชค้ วามร้คู วามสามารถสรา้ งประโยชนใ์ ห้แก่สงั คมอย่างเต็มท่ี ซ่งึ ขอ้ คิดนี้ยงั ไม่ ล้าสมยั สามารถนาไปปรับใชไ้ ด้เปน็ อย่างดีในปจั จบุ ัน การนาขอ้ คิดจากบทความเร่ือง โคลนติดลอ้ ไปใชใ้ นชีวติ ประจาวันจึงเป็นการเปลีย่ นโลกทัศน์และแนวคดิ แบบ ใหม่ ซง่ึ ถ้าผู้อ่านเหน็ ดว้ ย คนไทยก็จะไม่ท้ิงภมู ปิ ญั ญาดงั้ เดมิ ของคนไทยท่ีเคยเป็นมา และควรส่งเสรมิ ให้เยาชนไทยใน สมัยปจั จบุ นั ไม่ให้ลืมถิ่นกาเนดิ ของตนและต้องสนบั สุนนให้ผ้มู คี วามรู้ความสามารถกลบั ไปช่วยพัฒนาท้องถ่นิ ของตน

เอกสารอูางองิ พรทพิ ย์ แฟงสดุ . (๒๕๕๔). ส่อื เสริมสาระการเรียนรู้ รายวิชาพน้ื ฐาน ภาษาไทย ๕ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ตามหลกั สตู ร แกนกลางการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑. สานักพมิ พ์ฟสิ ิกสเ์ ซน็ เตอร์ : กรุงเทพฯ. ภาสกร เกิดออ่ น และคณะ. หนงั สอื เรียนรายวิชาพื้นฐานภาษาไทย วรรณคดีและวรรณกรรม ม.๕ กลุม่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑. พมิ พค์ รัง้ ท่ี ๑๐ , อักษรเจริญทศั น์ : กรุงเทพฯ.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook