47 ถวายพระพรว่า การกระทาวิสาขบูชาเป็นการบาเพ็ญกุศลพิเศษย่ิงกว่าบาเพ็ญในโอกาสตรุษสงกรานต์ พระองค์จึงทรงรับสั่งให้ประกอบพิธีวสิ าขบชู าเป็นพระราชพิธี ในรัชกาลที่ ๒ พระองค์ทรงมีพระราชศรัทธาในการประกอบพิธีวิสาขบูชา ให้ความสาคัญมีพระราช โองการสั่งว่า แต่น้ีสืบไปถึง ณ วันเดือน ๖ ขึ้น ๑๔ ค่า แรมค่า ๑ เป็นวันพิธีวิสาขบูชา นักขัตฤกษ์ใหญ่ พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวจะรักษาพระอุโบสถศีล ปรนนิบัติ ๓ วัน ห้ามมิให้ผู้ใดฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เสพ สุราเมรัยใน ๓ วัน ถวายประทีป ตั้งโคมแขวนเครื่องสักการบูชา ดอกไม้เพลิง ๓ วัน ให้เกณฑ์ประโคมเวียน เทยี นพระพทุ ธเจา้ ๓ วนั ให้มีพระธรรมเทศนา ในพระอารามหลวงถวายนาน ๓ วนั ส่วนพระบรมราชวงศานุวงศ์ แลข้าทูลละอองธุลีพระบาท ไพร่ฟูา อาณาประชาราษฎร์ ลูกค้าวาณิช สมณชีพราหมณ์ท้ังปวงจึงมีศรัทธาปลงใจลงในกองการกุศล อุตส่าห์กระทาวิสาขบูชาให้เป็นประเพณีย่ังยืนใน ทกุ ปี อย่าให้ขาด ฝุายฆราวาสน้ันจงรักษาอุโบสถศีล ถวายบิณฑบาตทาน ปล่อยสัตว์ตามศรัทธา ๓ วัน ดุจวัน ตรษุ สงกรานต์ เพลาเพลแลว้ มพี ระธรรมเทศนาในอาราม คร้ันเพลาบ่าย ให้ตกแต่งเคร่ืองสักการบูชา พวงดอกไม้มาลากระทาวิจิตรต่าง ๆ ธูปเทียน ชวาลา ทั้ง ธงผ้า ธงกระดาษออกไปยังพระอารามบชู าพระรตั นตรัย ตั้งพนมดอกไม้ แขวนพวงดอกไม้ ธูปเทียน ธงใหญ่ ธง น้อย ในพระอุโบสถ พระวิหาร ท่ีลานพระเจดีย์ และพระศรีมหาโพธ์ิ จะมีเคร่ืองดุริยางคดนตรี มโหรี พิณ พาทย์ เครอื่ งเล่นสมโภชตามแตศ่ รัทธา คร้ันเพลาค่า ให้ฆราวาสบูชาพระรัตนตรัยด้วยเครื่องบูชาประทีป โคมต้ัง โคมแขวนหน้าบ้าน ร้าน โรงเรือนและเรอื แพ ทกุ แหง่ ทกุ ตาบล ครบ ๓ วัน ณ วันเดือน ๖ ขน้ึ ๑๔ ค่า นั้นเป็นวันบูรณมี ให้ข้าทูลละออง ธุลีพระบาทในพระราชวังหลวงในกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ประชุมกันถวายสลากภัตแก่พระสงฆ์ ให้ มรรคนายกชักชวนสปั บรุ ุษทายกบรรดาท่อี ยใู่ กลเ้ คยี งอารามใด ๆ ใหท้ าสลากภตั ถวายพระสงฆใ์ นอารามนัน้ ๆ เพลาบ่าย ให้เอาหม้อใหม่ใส่น้าลอยดอกอุบลบัวหลวง วงสายสิญจน์สาหรับเป็นปริตรไปตั้งที่พระ อุโบสถ พระสงฆ์ลงพระอุโบสถแล้วจะได้สวดพระพุทธมนต์ จาเริญพระปริตรธรรม ครั้นจบแล้ว หม้อน้าของ ผใู้ ดก็ใหไ้ ปกินไปอาบ ประพรมเหยา้ เรือนเคหา บาบัดโรคอุปัทวภัยต่าง ๆ ฝุายพระสงฆ์สมณะน้ัน ให้พระราชา คณะฐานานุกรมประกาศให้ลงพระอุโบสถ แต่เพลาเพลแล้วให้พร้อมกัน คร้ันเสร็จอุโบสถกรรมแล้วเจริญพระ ปรติ รธรรม แผพ่ ระพุทธอาญาไปในพระราชอาณาเขตระงบั อุปัทวภัยท้งั ปวง คร้ันเพลาคา่ เปน็ วันโอกาสแห่งพระสงฆส์ ามเณรกระทาสักการบชู า พระศรีรัตนตรัยที่พระอุโบสถและ พระวิหารด้วยธูปเทียน โคมตั้ง โคมแขวน ดอกไม้ และประทีป เป็นต้น พระภิกษุที่เป็นธรรมถึก จงมีจิต ปราศจากโลภโลกามิส ให้ตั้งเมตตาศรัทธาเป็นบุเรจาริก จงสาแดงธรรมเทศนาให้พระสงฆ์สามเณรแลสัปบุรุษ ฟัง โดยอันควรแกร่ าตรวี นั น้นั ทกุ อารามให้กระทาตามพระราชบญั ญตั ิ ดงั กล่าวมานเ้ี สมอไปทุกปีอยา่ ใหข้ าด
48 ถ้าฆราวาสแลพระสงฆ์สามเณรรูปใด เป็นพาลทุจริตจิตคะนองหยาบช้า หามีศรัทธาไม่ กระทาความ อันมิชอบให้เป็นอันตรายแก่ผู้กระทาวิสาขบูชาในวันนักขัตฤกษ์นั้นก็ให้ร้องแขวงนายบ้าน นายอาเภอ กาชับ ตรวจตราสอดแนมจับกมุ เอาตัวผูก้ ระทาผิดใหจ้ งได้ ถา้ จับได้ในกรุงฯ ให้ส่งกรมพระนครบาล นอกกรุงให้ส่งเจ้า อธิการ ให้ไล่เลียงไถ่ถามได้ความสัตย์ให้ลงโทษลงทัณฑกรรมตามอาญา ฝุายพระพุทธจักรแลพระ ราชอาณาจักรจะให้หลาบจา อย่าให้ทาต่อไป แลให้ประกาศปุาวร้องอาณาประชาราษฎร์ ลูกค้าวาณิช สมณชี พราหมณ์ให้รู้จักทั่วให้กระทาดังพระราชบัญญัติดังกล่าวมานี้ จงทุกประการ ถ้าผู้ใดมิฟังจะเอาตัวผู้กระทาผิด เป็นโทษโดยโทษานุโทษ พระราชพิธีวิสาขบูชานี้ได้กระทาขึ้นในประเทศไทยเป็นเวลานาน อาจมีเหตุการณ์บางอย่างไม่ เอื้ออานวยจึงทาให้พิธีวิสาขบูชาขาดประเพณีไปเป็นเวลานาน เพ่ิงมาฟื้นขึ้นในรัชกาลที่ ๒ โดยสมเด็จ พระสังฆราช (มวี ดั มหาธาตยุ วุ ราชรังสฤษฎ์ิ) ได้ถวายพระพรวิสัชนาให้เกิดพระราชศรัทธา จึงทรงประกาศพระ ราชกาหนดใหจ้ ดั พธิ ีวสิ าขบูชาข้นึ และได้ปฏิบตั ิสืบตอ่ กันมาตั้งแต่บดั นัน้ จนถงึ ปัจจุบันนี้ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๓ ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีการเทศนาพุทธ ประวัติปฐมสมโพธิข้ึนตามวัดในวันวิสาขบูชาเป็นกรณีพิเศษเพ่ิมขึ้นจากกิจกรรมท่ีปฏิบัติตามแบบอย่างใน รชั กาลก่อน ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว รชั กาลท่ี ๔ ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานวันวิสาขบูชา ให้พิเศษไปกว่าทเ่ี คยจดั ในรชั กาลก่อน คือ ให้ต้ังโต๊ะเคร่ืองบูชาพระพุทธธรรม ณ เฉลียงพระอุโบสถ วัดพระศรี รัตนศาสดาราม และใหท้ าโคมแขวนไวต้ ามศาลารายอกี ด้วย ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๕ ได้ทรงโปรดเกล้าฯให้บรรดาพระบรม วงศานุวงศ์และข้าราชการฝุายในเดินเทียนและสวดมนต์รอบ ๆ พระพุทธรัตนสถาน วิธีปฏิบัตินี้นับว่าเป็น แบบอย่างของการเวียนเทยี นในรัชกาลตอ่ ๆ มาจนถึงสมยั ปจั จบุ ัน การประกอบพิธวี สิ าขบูชาเฉลมิ ฉลองยงิ่ ใหญ่กวา่ ทุกยุคทกุ สมัย ไดแ้ ก่ การจดั งานเฉลิมฉลองวันวิสาขบู ชา พ.ศ. ๒๕๐๐ ซ่ึงทางราชการเรียกว่างาน “ฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ” ตั้งแต่วันที่ ๑๒ ถึง ๑๘ พฤษภาคม รวม ๗ วัน ได้จัดงานส่วนใหญ่ข้ึนท่ีท้องสนามหลวง สถานที่ราชการ และวัดอารามต่าง ๆ ประดับธงทิวและ โคมไฟทั่วพระราชอาณาจักร ประชาชนถือศีล ๕ หรือศีล ๘ ตามศรัทธาตลอดเวลา ๗ วัน มีการอุปสมบท พระภกิ ษุสงฆร์ วม ๒,๕๐๐ รูป ประชาชนงดการฆา่ สัตว์ และงดการดื่มสุราต้ังแต่วันท่ี ๑๒-๑๔ พฤษภาคม รวม ๓ วัน มีการก่อสร้างพุทธมณฑลจัดภัตตาหาร เล้ียงพระภิกษุสงฆ์วันละ ๒,๕๐๐ รูป ต้ังโรงทานเล้ียงอาหาร ประชาชนวันละ ๒๐๐,๐๐๐ คน เป็นเวลา ๓ วัน ออกกฎหมายสงวนสัตว์ปุาในบริเวณนั้น รวมถึงการฆ่าสัตว์ และจบั สัตว์ในบรเิ วณวัด และหนา้ วดั ด้วย และได้มีการปฏิบัติธรรมอย่างพร้อมเพรียงกันเป็นกรณีพิเศษในวันวิ สาขบูชาปีน้ันด้วย
49 พธิ กี รรมการเวียนเทยี นในวันวสิ าขบูชา มกี ารปฏบิ ตั ิดงั น้ี ๑. ถึงกาหนดวันวิสาขบูชา ทางวัดประกาศให้พุทธบริษัททราบทั่วกัน (ท้ังชาววัดและชาวบ้าน) บอก กาหนดเวลาประกอบพธิ ีดว้ ยวา่ จะประกอบเวลาไหน จะเปน็ ตอนบา่ ยหรอื ค่าก็ได้ ๒. เมื่อถึงเวลากาหนด ทางวัดตีระฆังสัญญาณให้พุทธบริษัท ภิกษุสามเณร อุบาสกและอุบาสิกา ประชุมพร้อมกนั ท่ีหนา้ พระอโุ บสถหรือลานพระเจดยี ์ อนั เปน็ หลกั ของวัดน้ัน ๆ ภิกษุอยู่แถวหน้าถัดไปสามเณร ทา้ ยสดุ อบุ าสกอบุ าสิกาจะจัดใหช้ ายอยู่กลุ่มชาย หญิงอยู่กลุ่มหญิงหรือปล่อยให้คละกันตามอัธยาศัยก็แล้วแต่ จะกาหนด ทุกคนถอื ดอกไม้ ธูปเทียนตามแต่จะหาไดแ้ ละศรัทธาของตน ขนาดของเทียนควรจุดเทียนให้เดินจน ครบ ๓ รอบสถานทท่ี ่ีเดิน ไม่ดบั ระหว่างเดิน ๓. เมอื่ พร้อมกนั แล้ว ประธานสงฆจ์ ุดเทียนและธูป ทุกคนจุดของตนตามเสร็จแล้ว ถือดอกไม้ธูปเทียน ทจี่ ดุ แล้วประนมมอื หันหน้าเขา้ หาปชู นยี สถานท่ีเวียนน้ัน แล้วกล่าวคาบูชาตามแบบท่ีกาหนดไว้ ตามประธาน สงฆ์จนจบ ๔. ประธานสงฆ์ประนมมือถือดอกไม้ ธูปเทียนเดินนาหน้าแถวไปทางขวามือของสถานที่ที่เวียนเทียน คอื เดนิ เวยี นไปทางที่มอื ขวาของตนหนั เข้าหาสถานท่ีท่ีเวียนนั้นจนครบ ๓ รอบ การเดินเวยี นขวา เพอ่ื เปน็ การแสดงความเคารพอย่างสูงตามธรรมเนียมอินเดีย ในสมัยพุทธกาลในแต่ ละรอบใหร้ ะลกึ ถงึ พระพทุ ธคณุ พระธรรมคณุ และพระสงั ฆคุณ ตามลาดบั ดงั น้ี รอบแรก ใหร้ ะลกึ ถึงพระพทุ ธคณุ ภาษาบาลี อิปิติ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริ สะทมั มะสาระถิ สตั ถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ. คาแปล เพราะเหตุอย่างนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์น้ัน ทรงไกลจากกิเลส เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดย พระองค์เอง ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเสด็จไปดีแล้ว รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง ทรงเป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่ สมควรฝึกได้อย่างไม่มใี ครยง่ิ กวา่ ทรงเปน็ ครูผู้สอนของเทวดาและมนษุ ยท์ ้งั หลาย ผรู้ ู้ ผตู้ นื่ ผ้เู บกิ บานด้วยธรรม เป็นผมู้ ีความจาเรญิ จาแนกธรรม สง่ั สอนสัตว์ ดังน้ี
50 รอบทีส่ อง ระลึกถึงพระธรรมคุณ ภาษาบาลี สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหตี ิ. คาแปล ธรรม เป็นธรรมท่ีพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว เป็นธรรมที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วย ตวั เอง เป็นธรรมที่ปฏิบัตไิ ดแ้ ละให้ผลได้ไมจ่ ากัดกาล เป็นธรรมท่คี วรกลา่ วกับผ้อู ่ืนว่าท่านจงมาดูเถิด เป็นธรรม ท่คี วรนอ้ มเข้ามาใสต่ ัว เป็นธรรมทผ่ี ้รู ้กู ็รไู้ ดเ้ ฉพาะตน ดงั น้ี รอบทส่ี าม ระลึกถึงพระสังฆคณุ ภาษาบาลี สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ. อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ. ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ. สามีจปิ ะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ. ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริ สะปุคคะลา. เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุต ตะรัง ปุญญกั เขตตัง โลกัสสาติ. คาแปล พระสงฆส์ าวกของพระผมู้ ีพระภาคเจ้า ปฏบิ ัติดีแล้ว พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าปฏิบัติตรง แล้ว พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว พระสงฆ์สาวกของ พระผู้มีพระภาคเจา้ ปฏิบตั สิ มควรแล้ว ได้แก่ บุคคลเหล่านี้ คือ คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้ ๘ บุรุษ นั่น แหละ พระสงฆส์ าวกของพระผมู้ พี ระภาคเจ้าเป็นผูค้ วรแกส่ ักการะท่เี ขานามาบูชา เป็นผู้ที่ควรแก่สักการะที่เขา จัดไว้ต้อนรับ เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทาอัญชลี เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญ อนื่ ย่งิ กวา่ ดงั นี้ ๕ .เมื่อครบ ๓ รอบแล้ว นาดอกไม้ ธูปเทียนไปปักบูชาตามท่ีเตรียมไว้ ต่อจากน้ันจึงเข้าไปประชุม พร้อมกนั ในพระอุโบสถ หรอื วหิ าร หรือศาลาการเปรียญ แล้วแต่ท่ีทางวัดกาหนด เริ่มทาวัตรเย็นและสวดมนต์ ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์อย่างพิธีกรรมวันธรรมสวนะธรรมดา เสร็จแล้ว มีเทศน์พิเศษ แสดงเรื่องพระพุทธ ประวัติและเร่ืองท่เี กยี่ วกบั วันวสิ าขบชู า ๑ กณั ฑ์ เป็นอันเสรจ็ พธิ ี
51 พธิ กี รรมวันอัฏฐมบี ชู า วนั อฏั ฐมีบูชา คือวนั ถวายพระเพลงิ พระพุทธสรรี ะของสมเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าหลังเสด็จดับขันธป รินิพพานได้ ๘ วัน ถือเป็นวันสาคัญในพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง ตรงกับวันแรม ๘ ค่า เดือนวิสาขะ (เดือน ๖ ของไทย) ประวตั ิ เม่ือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไปแล้ว ๘ วัน มัลละกษัตริย์แห่งเมืองกุสินารา พร้อมด้วยประชาชนและพระสงฆ์ มีพระมหากัสสปะเถระเป็นประธานพร้อมกัน กระทาการถวายพระเพลิง พุทธสรีระ ณ มกุฏพันธเจดีย์ แห่งเมืองกุสินารา เมื่อวันแรม ๘ ค่า เดือน ๖ ซึ่งนิยมเรียกกันว่า วันอัฏฐมี เมื่อ เวียนมาบรรจบแต่ละปี พุทธศาสนิกชน ประกอบพิธีบูชาขึ้นเป็นการเฉพาะเช่นท่ีปฏิบัติกันอยู่ในวัดมหาธาตุ ยุวราชรงั สฤษฎ์ิ เปน็ ตน้ แตจ่ ะถวายกันมาแต่เมอ่ื ใด ไม่พบหลักฐาน ปจั จบุ นั น้กี ย็ ังถอื ปฏิบัติกันอยู่ หลังจากท่ีพระเพลิง ซึ่งเผาไหม้พระพุทธสรีระดับมอดลงแล้ว บรรดากษัตริย์มัลละ ท้ังหลายจึงได้ อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุทั้งหมด ใส่ลงในหีบทองแล้วนาไปรักษาไว้ภายในนครกุสินารา ส่วนเครื่องบริขาร ต่าง ๆ ของพระพุทธเจ้า ได้มีการอัญเชิญไปประดิษฐานตามท่ีต่าง ๆ อาทิ ผ้าไตรจีวรอัญเชิญไปประดิษฐานท่ี แคว้นธาระ บาตรอัญเชิญไปประดษิ ฐานท่เี มอื งปาตลีบุตร เป็นตน้ การประกอบพิธีกรรมอัฏฐมีบูชา การประกอบพิธีอัฏฐมีบูชาในประเทศไทยนั้น นิยมทากันในตอนค่าและปฏิบัติเช่นเดียวกันกับการ ประกอบพิธใี นวนั สาคัญทางพระพทุ ธศาสนาอ่นื ๆ เช่น วันวิสาขบูชา เป็นต้น
52 การปฏิบัติพธิ ีกรรม การให้ทาน ถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสามเณรในช่วงเช้าหรือเพล รักษาศีล สารวมระวังกายและ วาจาด้วยการรักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ เจริญภาวนา บาเพ็ญภาวนาด้วยการไหว้พระสวดมนต์และปฏิบัติสมาธิ และวิปสั สนาตามแนวสตปิ ฏั ฐาน เวยี นเทียน การเวยี นเทยี นเปน็ การบูชาพระรัตนตรยั ดว้ ยอามิสบูชาและปฏบิ ตั บิ ูชา พธิ ีกรรมวนั อาสาฬหบชู า ความหมายของวนั อาสาฬหบูชา “อาสาฬหบูชา” (อา-สาน-หะ-บู-ชา/อา-สาน-ละ-หะ-บู-ชา) ประกอบด้วยคา ๒ คา คืออาสาฬห (เดือน ๘ ทางจันทรคติ) กับบูชา (การบูชา) เม่ือรวมกันจึงแปลว่า การบูชาในเดือน ๘ หรือการบูชาเพ่ือระลึก ถงึ เหตกุ ารณส์ าคญั ในเดอื น ๘ หรอื เรียกเต็มว่า อาสาฬหปูรณมีบูชา วันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันเพ็ญข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๘ หรือราวเดือนกรกฎาคม ซ่ึงเป็นวันพระจันทร์ เสวยอาสาฬหฤกษ์ แตห่ ากตรงกบั ปีอธิกมาส คือ มเี ดอื น ๘ สองหน วนั อาสาฬหบูชาจะเล่ือนไปเป็นวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่า เดอื น ๘ หลัง ตกในราวเดือนกรกฎาคม ปลาย ๆ เดือน โดยสรุป วนั อาสาฬหบูชา แปลวา่ การบูชาในวันเพ็ญเดือน ๘ หรือการบูชาเพ่ือระลึกถึงปรากฏการณ์ สาคัญ ๆ ในวันเพญ็ เดือน ๘ คอื ๑. เปน็ วันท่ีพระพทุ ธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา ๒. เปน็ วันทพ่ี ระพุทธเจา้ เริ่มประกาศพระศาสนา
53 ๓. เป็นวันท่ีเกิดอริยสงฆ์ครั้งแรก คือ การท่ีท่านโกณฑัญญะรู้แจ้งเห็นธรรม เป็นพระโสดาบันจัดเป็น อริยบุคคลท่านแรกในอริยสงฆ์ ๔. เปน็ วนั ทเี่ กดิ พระภกิ ษุรปู แรกในพุทธศาสนา คือ การที่ท่านโกณฑัญญะขอบรรพชาและได้บวชเป็น พระภิกษุหลังจากฟังปฐมเทศนาและบรรลุธรรมแล้ว ๕. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงได้ปฐมสาวก คือ การท่ีท่านโกณฑัญญะนั้น ได้บรรลุธรรมและบวชเป็น พระภิกษุ จึงเปน็ สาวกรปู แรกของพระพทุ ธเจา้ เมื่อเปรียบกับวันสาคัญอ่ืน ๆ ในพระพุทธศาสนา บางที่เรียกวันอาสาฬหบูชานี้ว่า วันพระสงฆ์ (คือ วันทเี่ ร่มิ เกดิ มีพระสงฆ)์ ดังนั้น ในวันน้ีจึงเป็นวันแรกท่ีมีพระรัตนตรัยครบองค์สาม คือ พระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ เน่อื งจากพระพุทธองค์ทรงเทศนาเป็นกณั ฑแ์ รก จงึ เรียกเทศนากัณฑ์นี้ว่า “ปฐมเทศนา”หรืออีกนัยหนึ่งอาจจะ กล่าวไดว้ ่านบั เปน็ วนั แรกทพี่ ระพทุ ธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนา ประวตั ิความเปน็ มา นับแต่วันที่สมเด็จพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ คือ ในวันเพ็ญเดือน ๖ พระองค์ประทับเสวยวิมุตติสุขใน บรเิ วณโพธมิ ัณฑน์ ั้น ตลอด ๗ สัปดาห์ คือ สัปดาห์ท่ี ๑ คงประทับอยู่ท่ีควงไม้อสัตถะอันเป็นไม้มหาโพธ์ิ เพราะเป็นท่ีตรัสรู้ทรงใช้เวลาพิจารณา ปฏกิ ิจจสมุป-ปาทธรรมทบทวนอยูต่ ลอด ๗ วนั สัปดาห์ท่ี ๒ เสด็จไปทางทิศอีสานของต้นโพธิ์ ประทับยืนกลางแจ้งเพ่งดูไม้มหาโพธิ์ โดยไม่กะพริบ พระเนตรอยูใ่ นท่ีแหง่ เดียวจนตลอด ๗ วนั ท่ีประทบั ยนื น้ันปรากฏเรียกในภายหลังว่า “อนิมิสสเจดยี ์” สปั ดาห์ท่ี ๓ เสดจ็ ไปประทบั อยใู่ นทีก่ ึง่ กลางระหว่างอนิมิสสเจดีย์กับต้นมหาโพธ์ิแล้วทรงจงกรมอยู่ ณ ที่ตรงนน้ั ตลอด ๗ วนั ซ่ึงตอ่ มาเรียกตรงนน้ั ว่า “จงกรมเจดีย์” สัปดาห์ที่ ๔ เสด็จไปทางทิศพายัพของต้นมหาโพธ์ิ ประทับนั่งขัดบัลลังก์พิจารณาพระอภิธรรมอยู่ ตลอด ๗ วัน ทปี่ ระทับขดั สมาธิเพชรนั้น ต่อมาเรียกวา่ “รัตนฆรเจดยี ์” สัปดาห์ท่ี ๕ เสด็จไปทางทิศบูรพาของต้นโพธ์ิ ประทับท่ีควงไม้ไทรชื่ออชปาลนิโครธอยู่ตลอด ๗ วัน ในระหว่างนนั้ ทรงตรัสแก้ปญั หาของพราหมณผ์ ู้หนง่ึ ซงึ่ ทลู ถามในเรอ่ื งความเปน็ พราหมณ์
54 สปั ดาหท์ ี่ ๖ เสด็จไปทางทศิ อาคเนยข์ องตน้ มหาโพธ์ิ ประทบั ที่ควงไม้จิกเสวยวิมุตติสุขอยู่ตลอด ๗ วัน ฝนตกพราตลอดเวลา พญานาคมาวงขดล้อมพระองค์ และแผ่พังพานบังฝน ให้พระองค์ทรงเปล่งพระอุทาน สรรเสริญความสงดั และความไม่เบียดเบียนกันวา่ เป็นสุขในโลก สปั ดาหท์ ี่ ๗ เสด็จยา้ ยสถานทีไ่ ปทางทิศใต้ของตน้ มหาโพธิ์ ประทับที่ควงไม้เกตเสวยวิมุตติสุขตลอด ๗ วัน มีพาณิช ๒ คน ชื่อตปุสสะกับภัลลิกะเดินทางจากอุกกลชนบทมาถึงท่ีนั้น ได้เห็นพระพุทธองค์ประทับอยู่ จึงนาขา้ วสตั ตผุ ง ข้าวสตั ตกุ ้อน ซง่ึ เป็นเสบียงกรังของตนเข้าไปถวายพระองค์ทรงรับเสวยเสร็จแล้ว สองพาณิช ก็ประกาศตนเป็นอุบาสก นับเป็นอุบาสกคู่แรก ในประวัติกาล ทรงพิจารณาสัตว์โลกเม่ือล่วงสัปดาห์ที่ ๗ แล้ว พระองคเ์ สดจ็ กลับมาประทับท่ีควงไม้ไทรช่ืออชปาลนิโครธอีก ทรงคานึงว่า ธรรมท่ีพระองค์ตรัสรู้น้ี ลึกซึ้งมาก ยากท่ีสัตว์อ่ืนจะรู้ตาม จึงท้อพระทัยที่จะสอนสัตว์โลกแต่อาศัยพระกรุณาเป็นที่ตั้ง ทรงเล็งเห็นว่าโลกนี้ผู้ท่ี พอจะรู้ตามได้ กค็ งมี เปรยี บกับดอกบวั ๔ ประเภท คอื ๑. อคุ ฆติตญั ญู ไดแ้ ก่ ผทู้ ีม่ อี ุปนิสยั สามารถรู้ธรรมพิเศษได้ทันทีทันใดในขณะท่ีมีผู้ส่ังสอนหรือพวกท่ีมี สติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เม่ือได้ฟังธรรมก็สามารถรู้และเข้าใจ ในเวลาอันรวดเร็วเปรียบเหมือน ดอกบวั ท่โี ผล่ข้ึนพน้ น้าแล้ว พรอ้ มทีจ่ ะบานในเมอื่ ได้รับแสงพระอาทิตยใ์ นวนั น้ัน ๒. วิปจิตัญญู ได้แก่ ผู้ที่สามารถจะรู้ธรรมวิเศษได้ ต่อเม่ือท่านขยายความย่อให้พิสดารออกไปหรือ พวกท่ีมสี ตปิ ญั ญาปานกลาง เป็นสมั มาทิฏฐิ เม่ือไดฟ้ ังธรรมแล้วพจิ ารณาตามและไดร้ บั การอบรมฝึกฝนเพ่ิมเติม จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอนั ไมช่ ้า เปรียบเหมือนดอกบวั ทต่ี ้ังอยู่เสมอระดบั นา้ จักบานในวนั ร่งุ ข้ึน ๓. เนยยะ ไดแ้ ก่ ผู้ที่พากเพียรพยายามฟงั คดิ ถาม ทอ่ งอยู่เสมอไม่ทอดท้ิง จึงได้รู้ธรรมวิเศษหรือพวก ที่มสี ติปญั ญานอ้ ย แต่เป็นสัมมาทฏิ ฐิ เมือ่ ไดฟ้ ังธรรมแลว้ พจิ ารณาตามและไดร้ ับการอบรมฝกึ ฝนเพิ่มอยู่เสมอ มี ความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติม่ันประกอบด้วยศรัทธาปสาทะ ในท่ีสุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่ง ข้างหน้า เปรียบเหมือนดอกบัวที่ยังไม่โผล่ข้ึนจากน้า ได้รับการหล่อเล้ียงจากน้า แต่จะโผล่แล้วบานขึ้นในวัน ตอ่ ๆ ไป ๔. ปทปรมะ ได้แก่ ผู้ที่แม้ฟัง คิด ถาม ท่อง แล้วก็ไม่สามารถรู้ธรรมวิเศษได้หรือพวกที่ไร้สติปัญญา และยังมีมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซ่ึงความ เพยี ร เปรยี บเหมอื นดอกบัวที่อยใู่ ตน้ า้ ตดิ กับเปอื กตม รังแตจ่ ะเปน็ ภักษาหารแหง่ ปลาและเต่า การประกอบพิธใี นวันอาสาฬหบชู า เพอื่ ระลึกถงึ ความสาคญั ทง้ั ๓ ประการ ท่ีเกิดข้ึน ในสมัยพุทธกาล และนอ้ มนาคาสงั่ สอนมาเป็นแนวทางในการปฏิบตั ิ
55 การประกอบพิธใี นวนั สาคญั นี้ แบง่ ออกเปน็ ๓ อย่าง คือ ๑. พธิ ีหลวง ๒. พธิ ีราษฎร์ ๓. พธิ ีสงฆ์ สาหรับพิธีหลวงและพิธีราษฎร์นั้น มีการปฏิบัติเช่นเดียวกับวันมาฆบูชาและวันวิสาขบูชา คือ การถือ ศีล ปฏิบัติธรรม เวียนเทียน และฟังธรรมเทศนา เป็นต้น ในส่วนของพิธีสงฆ์ เม่ือวันข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๘ จะมี การสวดมนตท์ าวตั รเยน็ หรือตอนค่าแล้วสวดธรรมจกั กปั ปวัตนสูตรหรือพิธีการอื่น ๆ ซ่ึงแล้วแต่ทางวัดจะเป็นผู้ กาหนด และมีพธิ เี วยี นเทยี นเชน่ เดียวกบั วนั มาฆบูชาและวนั วสิ าขบชู า พธิ กี รรมวนั พระวนั ธรรมสวนะหรือวันพระ วันธรรมสวนะ (อ่านว่า วัน-ทา-มะ-สะ-วะ-นะ) คือวันกาหนดประชุมฟังธรรมของพุทธบริษัท ท่ีเรียก เป็นคาสามัญ โดยทั่วไปว่า “วันพระ” เป็นประเพณีนิยมของพุทธบริษัทที่ได้ปฏิบัติสืบเน่ืองกันมาแล้วแต่คร้ัง พุทธกาล โดยถือวา่ การฟงั ธรรมตามกาล ทก่ี าหนดเปน็ ประจาไว้ ย่อมก่อให้เกิดสติปัญญาและสิรมิ งคลแกผ่ ู้ฟงั อย่างน้อยได้รับธรรมสวนานิสงส์อยู่เสมอ วันกาหนดฟังธรรมน้ี พระพุทธเจ้าทรงปัญญัติไว้ในเดือนหนึ่ง ๆ ทั้ง ขา้ งข้นึ และขา้ งแรม รวม ๔ วัน ไดแ้ ก่ ๑. วันข้ึน ๘ คา่ ๒. วนั ขึ้น ๑๕ คา่ ๓. วนั แรม ๘ ค่า ๔. วันแรม ๑๔ หรอื ๑๕ ค่า (หากตรงกับเดอื นขาด เป็นแรม ๑๔ ค่า) ของทกุ เดือน
56 วันทั้ง ๔ น้ี ถือกันว่าเป็นวันกาหนดประชุมฟังธรรมโดยปกติ และนิยมเป็นวันรักษาปกติ อุโบสถ สาหรับฆราวาสผู้ต้องการอบรมกุศลอีกด้วย วันธรรมสวนะนี้ พุทธบริษัทได้ปฏิบัติสืบเน่ืองกันมาแต่คร้ังสมัย พุทธกาลจนกระท่ังปัจจบุ นั ประวตั คิ วามเปน็ มาของวันธรรมสวนะ ในสมัยพุทธกาล พระเจ้าพิมพิสารได้เข้าเฝูา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกราบทูลว่า “นักบวชศาสนา อน่ื เขามีวันประชมุ สนทนาเกี่ยวกับหลกั ธรรมคาสั่งสอนในศาสนาของเขา แต่ในศาสนาพุทธยังไม่มี” พระพุทธ องค์จึงทรงอนุญาตให้ภิกษุสงฆ์ประชุมสนทนาและแสดงพระธรรมเทศนาแก่ประชาชนในวัน ๘ ค่า ๑๔ ค่า และ ๑๕ ค่า พุทธศาสนิกชนจึงถือวันดังกล่าว เป็นวันธรรมสวนะ เพื่อกาหนดให้มีการประชุมพร้อมเพรียงกัน ฟงั ธรรม ในสมัยพุทธกาล (พุทธกาล = สมัยท่ีพระพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่) น้ัน สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประชมุ พระสงฆ์สาวกเพ่ือทรงสง่ั สอนธรรม การประชุมสงฆซ์ งึ่ เปน็ สาวกของพระพุทธองค์น้ัน ก็ได้นัดหมาย ไปประชุมกัน และจะมีพระสงฆ์รูปหนึ่งเป็นผู้สวดพระปาฏิโมกข์ พระภิกษุทุกรูปก็จะนั่งฟังด้วยอาการอัน สารวมและตง้ั ใจจนกระทงั่ จบ คาว่า “สวนะ” แปลว่า การฟัง, และคาว่า “ธรรมสวนะ” แปลว่า การฟังธรรม นั่นคือวันธรรมสวนะ ก็แปลว่า กาหนดประชุมฟังธรรมหรือพูดตามภาษาชาวบ้านท่ัวไปว่า วันไปฟังเทศน์กันน่ันเอง อนึ่ง วันพระ ในทางศาสนาก็ยังได้เรียกว่า วันอุโบสถ ซึ่งแปลว่าวันจาศีลของอุบาสก อุบาสิกาผู้ต้องการบุญกุศลเป็นกรณี พเิ ศษ พิธีของชาวบ้าน โดยพุทธศาสนิกชนก็จะไปร่วมทาบุญตักบาตร ถวายอาหารหวานคาวแด่พระสงฆ์ สมาทานศลี (รบั ศลี ) และฟงั พระธรรมเทศนาที่วดั ในวันธรรมสวนะ ชาวบ้านจะละเว้นการประพฤติกิจท่ีเป็นบาปต่าง ๆ การสมาทานศีล ในวันนี้ เช่น รับศีล ๕ หรือศีล ๘ ซึ่งเรียกว่า อุโบสถศีล พระสงฆ์จะแสดงพระธรรมเทศนาหรือธรรมสากัจฉา หรือสนทนา ธรรมกนั การประชุมฟังธรรมในวนั ธรรมสวนะจึงมีพิธีกรรมท่ีต้องปฏิบัติเกิดข้ึน โดยนิยมเป็นระเบียบปฏิบัติซ่ึง เรยี กกนั วา่ ขน้ั ตอนพธิ ีกรรมดังตอ่ ไปนี้ พิธีกรรมท่ีนิยมปฏบิ ัตใิ นวันธรรมสวนะ ๑. ในวนั ธรรมสวนะตอนเช้า ประมาณ ๙.๐๐ น. พระภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกาประชุมพร้อมกัน ในสถานท่ีกาหนดแสดงธรรมจะเป็นอุโบสถ วิหาร ศาลาการเปรียญ ภายในวัดหรือพุทธสถานสมาคมแห่งใดก็ ได้ จัดให้น่ังกันเป็นส่วนสัดเรียบร้อย มีพระพุทธรูปและท่ีบูชาประดิษฐานอยู่เบื้องหน้าจัดให้มีความสง่าตาม สมควร
57 ๒. เมอ่ื พร้อมแล้วพระภกิ ษุสามเณรเร่ิมทาวัตรเชา้ ตามแบบนยิ ม ซง่ึ ทว่ั ๆ ไปใช้ระเบยี บ คือ ก) นาบูชาพระรตั นตรยั (อรห สมมฺ าสมฺพุทโธ ภควฺ า...) ข) สวดปพุ พภาคนมการ (นโม…) ค) สวดพุทธฺ าภถิ ุติ (โย โส ตถาคโต…) ฆ) สวดธมมฺ าภิถุติ (โย โส สฺวากขฺ าโต…) ง) สวดสงฺฆาภถิ ุติ (โย โส สุปฏิปนโฺ น...) จ) สวดรตนตฺตยปฺปณามคาถา และ สงเฺ วคปริกติ ฺตนปาฐฺตอ่ (พุทฺโธ สสุ ุทโฺ ธ...) ๓. เม่ือภิกษุสามเณรทาวัตรจบเพียงนี้ อุบาสกอุบาสิกาเร่ิมทาวัตรตามบทซึ่งกล่าวแล้ว ในเร่ืองพิธี รักษาอุโบสถ ๔. เสรจ็ พธิ ีทาวัตร หัวหน้าอบุ าสกหรอื อบุ าสกิ าประกาศอโุ บสถพระธรรมกถึกข้นึ ธรรมาสน์ ๕. เมื่อจบประกาศอุโบสถแล้ว อุบาสกอุบาสิกาท้ังหมดคุกเข่าประนมมือกล่าวคาอาราธนาอุโบสถศีล พร้อมกัน พระธรรมกถึก ให้ศีล ๘ เป็นอุโบสถศีลเต็มท่ี แต่ถ้าผู้ใดมีอุตสาหะจะรักษาเพียงศีล ๕ เท่านั้น ก็รับ สมาทานเพยี ง ๕ ขอ้ ในระหว่างข้อที่ ๓ ซึ่งพระธรรมกถึกให้ด้วยบทว่า อพฺรหฺมจริยา...พึงรับสมาทานว่า กาเม สุมจิ ฺฉาจารา...เสียและรับตอ่ ไปจนครบ ๕ ขอ้ เมอ่ื ครบแลว้ ก็กราบ ๓ ครงั้ ลงนง่ั ราบไมต่ อ้ งรบั ตอ่ ไป ๖. ต่อจากรับศีลแล้วพระธรรมกถึกแสดงธรรมระหว่างแสดงธรรมพึงประนมมือฟังด้วยความตั้งใจจน จบ ๗. เมื่อเทศน์จบแล้วหัวหน้านากล่าวสาธุการตามแบบที่กล่าวในเร่ืองพิธีรักษาอุโบสถ จบแล้วเป็นอัน เสรจ็ พธิ ีประชุมฟงั ธรรมตอนเชา้ จะกลับบา้ นหรือจะอยูฟ่ ังธรรมในตอนบา่ ยก็แลว้ แตอ่ ธั ยาศยั พธิ รี กั ษาอุโบสถ อุโบสถ เป็นเร่ืองของกุศลกรรมสาคัญประการหน่ึงของคฤหัสถ์ แปลว่า การเข้าจาเป็นอุบายขัดเกลา กิเลสอย่างหยาบให้เบาบาง และเป็นทางแห่งความสงบ ระงับอันเป็นความสุขอย่างสูงสุดในพระพุทธศาสนา เพราะฉะนนั้ พุทธศาสนกิ ชนผู้อยใู่ นฆราวาสวสิ ัย จึงนิยมเอาใจใส่หาโอกาสประพฤติปฏิบัติตามสมควร อุโบสถ ของคฤหัสถ์ท่ีกล่าวน้ีมี ๒ อย่าง คือ ปกติอุโบสถอย่าง ๑ ปฏิชาครอุโบสถอย่าง ๑ อุโบสถที่รับรักษากัน ตามปกติเฉพาะวนั หนง่ึ คอื หน่ึงอย่างทร่ี ักษากันตามปกติทั่วไป เรียกว่า ปกติอุโบสถ ส่วนอุโบสถที่รับและรักษา เปน็ พิเศษกว่าปกติ คือ รักษาคราวละ ๓ วัน จัดเป็นวันรับวันหน่ึง วันรักษาวันหนึ่ง และวันส่งวันหนึ่ง เช่น จะ รักษาอุโบสถวัน ๘ ค่า ต้องรับและรักษามาแต่วัน ๗ ค่า ตลอดไปถึงสุดวัน ๙ ค่า คือ ได้อรุณใหม่ของวัน ๑๐
58 ค่า นั่นเอง จึงหยุดรักษา อย่างน้ีเรียกว่า ปฏิชาครอุโบสถทั้ง ๒ อย่างนี้ ต่างกันเฉพาะวันท่ีรักษามากน้อยกว่า กันเท่านั้น และการรักษาอุโบสถท้งั ๒ อย่างน้ี โดยเนื้อแท้ก็คือสมาทานรักษาศีล ๘ อย่างเคร่งครัด เป็นเอกัชฌ สมาทานมั่นคงอย่ดู ว้ ยความผูกใจจนตลอดกาลของอุโบสถท่ีตนสมาทานนั้น จึงเป็นเหตุให้เกิดประโยชน์สาคัญ ดังกล่าว แล้วการรักษาอุโบสถน้ี ประกอบดว้ ยพธิ กี รรมซ่ึงปฏิบตั กิ นั มาโดยระเบียบตอ่ ไปนี้ ข้ันตอนพิธี ๑. เมอ่ื ต้ังใจจะรักษาอุโบสถวันพระใด พึงต่ืนแตเ่ ชา้ มดื กอ่ นรงุ่ อรุณของวันน้นั พอไดเ้ วลารุ่งอรุณของวัน น้นั เตรยี มตัวใหส้ ะอาดเรยี บรอ้ ยตลอดถงึ การบว้ นปากแล้วบูชาพระเปล่งวาจาอธิษฐานอุโบสถด้วยตนเองก่อน วา่ “อมิ งั อัฏฐงั คะสะมันนาคะตัง, พทุ ธะปญั ญตั ตงั อโุ ปสะถงั ,อมิ ญั จะ รัตติง อิมัญจะ ทิวะสัง, สัมมะเทวะ อะภิ รักขิตุง สะมาทิยามิ.” แปลเป็นภาษาไทยว่า“ข้าพเจ้าขอสมาทานเอาซึ่งองค์อุโบสถศีลท่ีพระพุทธเจ้าทรง บัญญัตไิ ว้ อันประกอบด้วยองค์แปดประการนี้ เพ่ือจะรักษาไว้ให้ดี มิให้ขาด มิให้ทาลาย ตลอดคืนหน่ึงและวัน หน่ึงในเวลาวันน้ี”แล้วยับย้ังรอเวลาอยู่ด้วยอาการสงบเสงี่ยมตามสมควร รับประทานอาหารเช้าแล้วไปสู่ สมาคม ณ วัดใดวัดหนง่ึ เพอ่ื รบั สมาทานอุโบสถศลี ต่อพระสงฆ์ตามประเพณี ๒. โดยปกติอุโบสถนนั้ เป็นวันธรรมสวนะภายในวัดพระสงฆส์ ามเณรย่อมลงประชมุ กนั ในพระอุโบสถ หรือศาลาการเปรียญ เป็นต้น หลังจากฉันภัตตาหารเช้าแล้ว บางแห่งมีทาบุญตักบาตรที่วัดประจาทุกวัน พระภกิ ษุสามเณรลงฉนั อาหารบณิ ฑบาตพร้อมกันทั้งวัดเสร็จภัตตาหารแล้วข้ึนกุฏิทาสรีรกิจพอสมควรแล้ว ลง ประชมุ พร้อมกันอกี ครงั้ หนึง่ ตอนสายประมาณ ๙.๐๐ นาฬิกา ต่อหน้าอุบาสกอุบาสิกาแล้วทาวัตรเช้า พอภิกษุ สามเณรทาวัตรเสรจ็ อบุ าสกอบุ าสกิ าทาวัตรเช้ารว่ มกันตามแบบนิยมของวดั น้ัน ๆ ๓. ทาวัตรจบแลว้ หวั หนา้ อุบาสกหรืออบุ าสิกาคกุ เข่าประนมมือประกาศองค์อุโบสถทั้งคาบาลีและคา ไทยคาประกาศองค์อโุ บสถ อชั ชะ โภนโต ปกั ขสั สะ อัฏฐะมีทิวะโส เอวะรูโป โข โภนโต ทิวะโส, พุทเธนะ ภะคะวะตา ปัญญัตตัส สะ ธัมมัสสะวะนัสสะ เจวะ, ตะทัคคัตถายะ อุปาสะกะอุปาสิกานัง อุโปสะถัสสะ จะ กาโล โหติ,หันทะ มะยัง โภนโต สัพเพ อิธะ สะมาคะตา, ตัสสะภะคะวะโต ธมั มานุธมั มะปะฏิปัตติยา ปูชะนัตถายะ,อมิ ัญจะ รัตติง อิมัญ จะ ทิวะสัง อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง อุโปสะถัง อุปะวะสิสสามาติ, กาละปะริจเฉทัง กัตวา ตัง ตัง เวระมะณิง อารัมมะณัง กะริตวา,อะวิกขิตตะจิตตา หุตวา สักกัจจัง อุโปสะถัง สะมาทิเยยยามะ, อีทิสัง หิ อุโปสะถัง สมั ปัตตานัง อมั หากัง ชีวติ งั มา นิรตั ถะกัง โหตุ. คาแปล ขอประกาศเริ่ม เรื่องความท่ีจะสมาทานรักษาอุโบสถอันพร้อมไปด้วยองค์ ๘ ประการ ให้ สาธุชนที่ได้ต้ังจิตสมาทานทราบท่ัวกันก่อนแต่จะสมาทาน ณ บัดนี้ ด้วยวันนี้เป็นวันอัฏฐมีดิถีท่ีแปดแห่งปักษ์ มาถงึ แลว้ ก็แหละวนั เช่นน้เี ปน็ กาลทส่ี มเดจ็ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงบัญญตั ิแต่งตัง้ ไวใ้ นประชมุ กันฟังธรรม และ
59 เป็นกาลที่จะรักษาอุโบสถของอุบาสกอุบาสิกาท้ังหลายเพ่ือประโยชน์แก่การฟังธรรมนั้นด้วย เชิญเถิดเรา ทั้งหลายทั้งปวงที่ได้มาประชุมพร้อมกัน ณ ที่น้ี พึงกาหนดกาลว่าจะรักษาอุโบสถตลอดวันหนึ่งกับคืนหนึ่งน้ี แล้วพึงทาความเว้นโทษนั้น ๆ เป็นอารมณ์ (คือ เว้นจากฆ่าสัตว์ ๑ เว้นจากลักฉ้อสิ่งที่เจ้าของเขาไม่ให้ ๑ เว้น จากประพฤติกรรมที่เป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ๑ เว้นจากเจรจาคาเท็จล่อลวงผู้อื่น ๑ เว้นจากด่ืมกินสุราเมรัย อนั เป็นเหตุทตี่ ั้งแห่งความประมาท ๑ เว้นจากบรโิ ภคอาหารต้ังแต่เวลาพระอาทิตย์เที่ยงแล้วไปจนถึงเวลาอรุณ ข้ึนมาใหม่ ๑ เว้นจากฟูอน ราขับร้อง และประโคมเครื่องดนตรีต่าง ๆ และการดูการละเล่น แต่บรรดาที่เป็น ข้าศึกแก่กุศลท้ังส้ินและทัดทรงประทับตกแต่งร่างกายด้วยดอกไม้ ของหอม เคร่ืองประดับ เครื่องทา เครื่อง ยอ้ ม ผัดผิว ทากายให้วิจิตรงดงามต่าง ๆ อันเป็นเหตุท่ีต้ังแห่งความกาหนัดยินดี ๑ เว้นจากนั่งนอนเหนือเตียง ต่งั ม้าทีม่ ีเท้าสงู เกนิ ประมาณและที่น่ังทนี่ อนใหญภ่ ายในมนี ุ่นและสาลเี คร่ืองปลู าดทว่ี จิ ิตรด้วยเงินและทองต่างๆ ๑ อย่าให้จิตฟูุงซ่านส่งไปอ่ืน พึงสมาทานเอาองค์อุโบสถท้ังแปดประการโดยเคารพ เพ่ือจะบูชาสมเด็จพระผู้มี พระภาคพุทธเจ้าน้ันด้วยธรรมานุธรรมปฏิบัติ อนึ่ง ชีวิตของเราท้ังหลายที่ได้ เป็นอยู่รอดมาถึงวันอุโบสถเช่นน้ี จงอย่าไดล้ ว่ งไปเสียเปล่าจากประโยชนเ์ ลย หมายเหตุ คาประกาศนี้สาหรับวันพระ ๘ ค่า ท้ังข้างขึ้นและข้างแรม ถ้าเป็นวันพระ ๑๕ ค่า เปลี่ยน บาลเี ฉพาะคาท่ขี ีดเส้นใตว้ า่ ปัณณะระสี ทิวะโสและเปล่ียนคาไทยที่ขีดเส้นใต้เป็นว่า “วันปัณณรสีดิถี ที่สิบห้า ถา้ เป็นวนั พระ ๑๔ ค่า เปล่ียนบาลีตรงนนั้ วา่ จาตุทฺทสีทิวโส และเปลี่ยนคาไทยแห่งเดียวกันว่าวันจาตุททสีดิถีที่ สิบสี่” สาหรบั คาไทยภายในวงเลบ็ จะวา่ ด้วยกไ็ ด้ ไม่ว่าด้วยก็ได้ แตม่ ีนยิ มว่าในวัด ทา่ นใหส้ มาทานอุโบสถศีล บอกให้สมาทานทั้งคาบาลีและคาแปลในตอนต่อไปเป็นข้อ ๆ เวลาประกาศก่อนสมาทานน้ีไม่ต้องว่าคาใน วงเล็บเพราะพระท่านจะบอกใหส้ มาทาน เม่ือจบประกาศน้ีแล้ว สาหรับวัดท่ีท่านให้สมาทานอุโบสถศีลแต่เฉพาะคาบาลีเท่าน้ัน ไม่บอกคาแปล ดว้ ย เวลาประกาศก่อนสมาทานนี้ ควรวา่ ความในวงเล็บทั้งหมด ๔. เมื่อหัวหน้าประกาศจบแล้ว พระสงฆ์ผู้แสดงธรรมข้ึนน่ังบนธรรมาสน์ อุบาสกอุบาสิกาทุกคนพึง นง่ั คุกเข่ากราบพร้อมกัน ๓ คร้งั แลว้ กล่าวคาอาราธนาอุโบสถศีลพรอ้ มกนั ว่า มะยงั ภนั เต, ติสะระเณนะ สะหะ อัฏฐังคะสะมันนาคะตงั อโุ ปสะถงั ยาจามะ,ทตุ ยิ มั ปิ มะยัง ภันเต, ติ สะระเณนะ สะหะ อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง อุโปสะถัง ยาจามะ,ตะติยัมปิ มะยัง ภันเต, ติสะระเณนะ สะหะ อัฏฐังคะสะมนั นาคะตงั อโุ ปสะถัง ยาจามะ ตอ่ จากนัน้ ควรต้ังใจรับสรณคมน์และศลี โดยเคารพ คอื ประนมมือ ๕. พึงว่าตามคาที่พระสงฆ์บอกเป็นตอน ๆ ไป คือ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัม พุทธัสสะ (๓ จบ) พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ, ทุติยัมปิ พุทธัง
60 สะระณัง คัจฉาม,ิ ทุตยิ ัมปิ ธมั มัง สะระณัง คัจฉาม,ิ ทุติยัมปิ สงั ฆัง สะระณงั คจั ฉามิ,ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉาม,ิ ตะตยิ ัมปิ ธมั มัง สะระณงั คจั ฉาม,ิ ตะตยิ ัมปิ สังฆัง สะระณงั คัจฉาม.ิ เม่อื พระสงฆ์วา่ “ตสิ ะระณะคะมะนัง นิฏฐติ ัง” ควรรับพร้อมกันว่า “อามะ ภันเต” แล้ว ท่านจะให้ศีล ต่อไป คอยรับพร้อมกันตามระยะท่ีท่านหยุดดังต่อไปนี้ ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ, อะ ทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ, กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ,(อะพรัหมมะจะริยา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ) มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ, สุรา เมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ, (ต่อจากนี้พระท่านจะสรุปอานิสงส์ของศีล เราควรตั้งใจฟังเพ่ือให้เกิดเป็นบุญกุศลจริง ๆ) อิมานิ ปัญจะ สิกขาปะทานิ สีเลนะ สุคะติง ยันติ, สีเลนะ โภคะสัมปะทา, สีเลนะ นิพพุติง ยันติ, ตัสมา สีลัง วิโสธะเย. ถ้าให้ศีล ๘ ก็ว่าเหมือนกัน เปลี่ยนแต่ข้อ กาเม เป็น อะพรัหมะจะริยา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ เทา่ นนั้ แล้วต่อจากข้อ สุรา ไปดังนี้ วิกาละโภชะนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทยิ ามิ, นจั จะคตี ะ วาทิตะวิสูกะทัสสนมาลาคันธะวิเลปะนะธาระณะมัณฑะนะวิภู สะนฏั ฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ, อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิ ยาม,ิ (สรุปเหมอื นศีล ๕ เปลยี่ นแต่ ปัญจะ เป็น อฏั ฐะ เท่าน้ัน) ถา้ ใหอ้ ุโบสถศลี ใช้คาว่าตอ่ จากข้อสุดท้าย ทีละ ตอนดังน้ี อิมัง อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง, พุทธะปัญญัตตัง อุโปสะถัง, อิมัญจะ รัตติง อิมัญจะ ทิวะสัง, สัมมะเท วะ อะภิรักขิตุง สะมาทยิ าม.ิ หยดุ รับเพยี งเทา่ น้ี ในการใหศ้ ลี อุโบสถนี้ตลอดถึงคาสมาทานท้ายศีลบางวัดให้เฉพาะคาบาลี มิได้แปล ให้ บางวัดให้คาแปลดว้ ย ท้งั น้ี สุดแต่นิยมอยา่ งใดตามความเหมาะสมของบุคคลและสถานท่ีน้ัน ๆ ถ้าท่านแปล ให้ดว้ ย พงึ วา่ ตามเปน็ ข้อ ๆ และคา ๆ ไปจนจบ ต่อน้ีพระสงฆจ์ ะว่า “อิมานิ อัฏฐะ สิกขาปะทานิ อุโปสะถะวะเสนะ มะนะสิกะริตวา, สาธุกัง อัปปะมาเทนะ รักขิตัพพา นิ” พึงรับพร้อมกันเมื่อท่านกล่าวจบคานี้ว่า “อามะ ภันเต” แล้วพระสงฆ์จะว่าอานิสงส์ศีลต่อไป ดังน้ี สีเลนะ สุคะตงิ ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา สีเลนะ นิพพุติง ยันติ, ตัสมา สีลัง วิโสธะเย ท่านว่าจบ พึงกราบพร้อมกัน ๓ ครั้ง ตอ่ น้นี ั่งราบพบั เพยี บประนมมือฟงั ธรรม ซ่ึงท่านจะไดแ้ สดงต่อไป ๖. เมื่อพระแสดงธรรมจบแล้ว ทุกคนให้สาธุการและสวดประกาศตนพร้อมกัน สาธุ สาธุ สาธุ, อะหัง พุทธัญจะ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ สะระณัง คะโต, (หญิงว่า คะตา) อุปาสะกัตตัง (หญิงว่า อุปาสิกัตตัง) เทเสสิง ภกิ ขสุ ังฆัสสะ สัมมุขา, เอตัง เม สะระณัง เขมัง เอตัง สะระณะมุตตะมัง เอตัง สะระณะมาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะเย ยะถาพะลัง จะเรยยาหัง สัมมาสัมพุทธะ สาสะนัง ทุกขะ นิสสะระณัสเสวะ ภาคี อัสสัง (หญิงว่า ภาคนิ สิ สงั ) อะนาคะเต ฯ หมายเหตุ คาสวดประกาศข้างต้นน้ี ถ้าผู้ว่าเป็นผู้หญิง พึงเปลี่ยนคาที่เน้นคาไว้ ดังนี้คะโต เปลี่ยนเป็น วา่ คะตาอปุ าสะกตั ตัง เปลีย่ นเปน็ ว่า อปุ าสิกัตตงั ภาคี อสั สัง เปลยี่ นเปน็ วา่ ภาคินสิ สัง
61 นอกนั้นว่าเหมือนกันเม่ือสวดประกาศนี้จบแล้ว พึงกราบพร้อมกันอีก ๓ ครั้ง เป็นอันเสร็จพิธีตอนเช้า เพยี งเทา่ นี้ ต่อน้ผี รู้ กั ษาอุโบสถพงึ ยบั ย้งั อยทู่ ีว่ ดั ดว้ ยการน่งั สมาทานธรรมกันบ้าง ภาวนากัมมัฏฐาน ตามสัปปายะ ของตนบ้าง หรอื จะท่องบ่นสวดมนต์และอา่ นหนงั สอื ธรรมอะไรกไ็ ด้ พิธกี รรมวันเข้าพรรษา ความหมายของวนั เขา้ พรรษา “พรรษา” แปลวา่ “ฤดฝู น” ปหี นึ่งกผ็ ่านฤดฝู นหน่งึ คร้งั คนทอี่ ยู่มาเทา่ นั้นเท่าน้ฝี นก็คืออยู่มาเท่านั้นปี ในทท่ี ัว่ ๆ ไป จึงแปลพรรษากนั วา่ ปี “เขา้ พรรษา” ก็คอื “เข้าฤดฝู น” คอื ถงึ เวลาทจี่ ะต้องหยุดการเดนิ ทางในฤดูฝน พักอยู่ในทใ่ี ดท่หี น่งึ เปน็ ประจา โดยไมแ่ รมคืนทอ่ี น่ื เพราะเหตุนี้ จึงมคี าเกดิ ขนึ้ อีกคาหนง่ึ คือคาวา่ “จาพรรษา” “จาพรรษา” ก็คือ อยู่ประจาวัดในฤดูฝน หมายความว่า พระสงฆ์จะต้องอยู่ในวัดท่ีตน อธิษฐาน พรรษาตลอด ๓ เดือนในฤดฝู น จะไปแรมคืนทอี่ ืน่ ไม่ได้ นอกจากมเี หตุจาเป็น “วันเขา้ พรรษา” ก็คอื วันท่พี ระสงฆ์ทาพธิ ีอธิษฐานพรรษา ซงึ่ เป็นวันแรกของการจาพรรษา “อธษิ ฐาน” แปลว่า ต้งั ใจกาหนดแน่นอนลงไป “อธิษฐานพรรษา” ก็คือ ตั้งใจกาหนดแน่นอนลงไปว่า จะอยูป่ ระจา ณ ทนี่ นั้ ตลอด ๓ เดอื นในฤดฝู น ประวัตคิ วามเปน็ มา มูลเหตุที่พระสงฆ์ต้องจาพรรษา กล่าวความตามบาลี วัสสูปนายิกขันธกะ คัมภีร์มหาวรรคพระวินัย ปิฎก เล่มที่ ๑ วา่ ในมัชฌิมประเทศสมัยโบราณ คืออนิ เดยี ตอนเหนือ เมื่อถงึ ฤดูฝนพ้นื ที่ย่อมเป็นโคลนเลนทั่วไป ไมส่ ะดวกแก่การเดินทาง คราวหน่ึงมีพระผู้ที่เรียกว่า ฉัพพัคคีย์ คือเป็นกลุ่ม ๖ รูปด้วยกันไม่รู้จักกาล เที่ยวไป ทกุ ฤดูกาล ไม่หยุดพักเลย แมใ้ นฤดฝู นกย็ ังเดินทางเท่ียวเหยียบย่าขา้ วกลา้ หญา้ ระบัด และสัตว์เล็ก ๆ ตาย คน
62 ทั้งหลายพากันติเตียนว่า ในฤดูฝนแม้พวกเดียรถีย์แลปริพาชกเขาก็ยังหยุด ท่ีสุดจนนกก็ยังรู้จักทารังบนยอดไม้ เพ่อื หลบฝน แตพ่ ระสมณศากยบตุ รทาไมจงึ ยังเทย่ี วอยู่ทง้ั ๓ ฤดู เหยียบย่าข้าวกล้าและต้นไม้ท่ีเป็นของเป็นอยู่ และทาให้สตั วต์ ายเปน็ อนั มาก เมือ่ พระพทุ ธองค์ทรงทราบเรื่อง ขณะน้ันพระองค์ประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ จึงรับสั่งให้พระสงฆ์ประชุมพร้อมกันตรัสถามจนได้ความเป็นจริงแล้ว จึงได้วางระเบียบให้พระภิกษุเข้าอยู่ ประจาท่ีแห่งเดียว ในฤดูฝนตลอดระยะเวลา ๓ เดือน เรียกว่า จาพรรษา ด้วยเหตุน้ี ภิกษุสงฆ์ที่อธิษฐาน เข้าพรรษาแล้วจะไปค้างแรมที่อ่ืนนอกเหนือจากอาวาสหรือที่อยู่ของตนไม่ได้แม้แต่คืนเดียว หากไปแล้วไม่ สามารถกลับมาในเวลาท่กี าหนด คอื กอ่ นรงุ่ สว่างถือว่าพระภิกษรุ ปู นนั้ ขาดพรรษา วนั เข้าพรรษาในประเทศไทย ตามประวัติศาสตร์ พุทธศาสนิกชนชาวไทยได้เร่ิมบาเพ็ญกุศลเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษานี้ต้ังแต่กรุง สุโขทัยเป็นราชธานีดังท่ีปรากฏในหลักศิลาจารึกว่า “พ่อขุนรามคาแหงเจ้าเมืองสุโขทัย ท้ังชาวแม่ชาวเจ้า ทั้ง ท่วยป่ัว ท่วยนาง ลูกเจ้าลูกขุนท้ังสิ้นท้ังหลาย ท้ังหญิงท้ังชาย ฝูงท่วย มีศรัทธาในพุทธศาสน์ มักทรงศีล เมื่อ พรรษาทุกคน” และมีหลักฐานปรากฏอยู่ในหนังสือ เร่ือง “นางนพมาศหรือตารับท้าวศรีจุฬาลักษณ์”พอสรุป สาระสาคัญได้ ดังนี้ เมอ่ื ถงึ วันกลางเดอื น ๘ ซ่งึ เปน็ วันเขา้ พรรษาจะมกี ารสักการบชู าเป็นพระราชพธิ ใี หญ่ พระภิกษุสงฆ์จะ อยู่จาพรรษาตลอดเวลา ๓ เดือนทั่วไปทุกวัด ฝุายพวกพราหมณ์ก็จะบาเพ็ญพรตสมาทานศีลบูชาไฟตามลัทธิ ของตน ส่วนพุทธศาสนิกชนชาวสุโขทัย นับแต่พระมหากษัตริย์ลงมาถึงประชาชน ชาวบ้านท่ัวไปต่าง ประกอบการบุญการกุศลทั่วหน้ากัน เป็นต้นว่า มีการถวายสังฆทาน ถวายผ้าจานาพรรษาถวายผ้าอาบน้าฝน ถวายสลากภัต ถวายเทียนพรรษาสมาทานอุโบสถศีล ละเว้นอบายมุขและฟังธรรมเทศนาทุกวันพระมิได้ขาด ปร ะช า ชน ก็ปร ะกอบ อา ชี พกา รงา นของต น สมกับฐ าน ะสติ ปั ญญ า ด้ว ย กา ร อ า ศัยห ลั กธ ร รมคาส อนทา ง พระพทุ ธศาสนา ประชาชนจงึ อย่ดู ีมีสุขโดยทวั่ หน้า การปฏิบตั ติ นในวันเข้าพรรษา ในวันน้ีหรือก่อนวันน้ีหน่ึงวัน พุทธศาสนิกชนมักจะจัดเครื่องสักการะ เช่น ดอกไม้ ธูปเทียน เคร่ืองใช้ เชน่ สบู่ ยาสฟี ัน เป็นตน้ มาถวายพระภิกษสุ ามเณรทต่ี นเคารพนับถอื
63 ทสี่ าคญั คือ มีประเพณหี ล่อเทยี นขนาดใหญ่เพ่อื ให้จุดบูชาพระประธานในโบสถ์อยู่ได้ตลอด ๓ เดือน มี การประกวดเทยี นพรรษา โดยจดั เปน็ ขบวนแหท่ ง้ั ทางบกและทางนา้ แม้การเข้าพรรษาจะเป็นเร่ืองของภิกษุ แต่พุทธศาสนิกชนก็ถือเป็นโอกาสที่จะได้ทาบุญรักษาศีลและ ชาระจิตใจให้ผ่องใส ก่อนวันเข้าพรรษาชาวบ้านก็จะไปช่วยพระทาความสะอาดเสนาสนะ ซ่อมแซมกุฏิวิหาร และอืน่ ๆ พอถงึ วนั เขา้ พรรษาก็จะไปร่วมทาบุญตักบาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรม และรักษาอุโบสถศีลกันท่ีวัด บาง คนอาจตั้งใจงดเวน้ อบายมุขต่าง ๆ เป็นกรณพี ิเศษ เช่น งดเสพสรุ า งดฆ่าสตั ว์ เปน็ ตน้ ตลอด ๓ เดือน อนึ่ง บิดามารดามักจะจัดพิธีอุปสมบทให้บุตรหลานของตน โดยถือกันว่าการเข้าบวชเรียนและอยู่จา พรรษาในระหวา่ งนี้จะไดร้ บั อานสิ งสอ์ ย่างสูง สาหรับการปฏิบัติอื่น ๆ ก็จะมีการถวายผ้าอาบน้าฝน การอธิษฐานตนว่าจะประพฤติปฏิบัติให้อยู่ใน กรอบของศีลห้า ศีลแปด ฟังเทศน์ ฟังธรรมตามระยะเวลาท่ีกาหนดโดยเคร่งครัดตามกาลังศรัทธา และขีด ความสามารถของตน สัญลกั ษณ์ ธรรมจกั ร ในศาสนาพุทธ ธรรมจักรปรากฏใช้ท่ัวไปเพ่ือสื่อถึงธรรมของพระพุทธเจ้า บ้างใช้เป็นสัญลักษณ์แทน พระโคตมพุทธเจา้ และใช้แทนหนทางสู่การตรสั รู้ ปรากฏใช้เช่นนี้นับต้ังแต่ศาสนาพุทธยุคแรก บางคร้ังปรากฏ เช่อื มโยงธรรมจักรเขา้ กับอริยสัจส่ี, อรยิ มรรคแปด และ ปฏิจจสมปุ บาท ธรรมจักรที่ปรากฏใช้ในยุคก่อนศาสนาพุทธถือว่าเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์อัษฏมงคล และเป็นหน่ึงใน สญั ลกั ษณท์ ่เี ก่าแก่ที่สดุ ของศิลปะอินเดยี คาว่า \"ธรรมจักร\" คาท่เี หล่าภุมมเทวดาผูฟ้ งั ปฐมเทศนากล่าวน้ัน มาจากคาสองคาคอื ธรรม และ จักร ธรรม นัน้ คอื ความจรงิ แท้ สภาพท่ีแทจ้ รงิ หรอื ความดีงาม
64 จักร แปลโดยทวั่ ไปวา่ ลอ้ (ซง่ึ ในความหมายเชงิ ลึกคอื สง่ิ ทท่ี าให้เกิดการขับเคลอื่ นดาเนนิ ไปนั่นเอง) ธรรมจักร จึงมีความหมายว่า ล้อแห่งธรรม คือจักรแห่งธรรมอันประเสริฐท่ีพระพุทธเจ้าได้ทรงหมุนให้ ขับเคล่ือนไปในใจของชาวโลก เพื่อให้ได้ตรัสรู้ธรรมท่ีพระองค์ได้ตรัสรู้น่ันเอง ต่อมารูปธรรมจักร จึงถูกใช้เป็น สัญลักษณ์ทางพระพทุ ธศาสนา ตามธัมมจักกัปปวัตตนสตู รซง่ึ เปน็ ปฐมเทศนาของพระองค์ มกี ารอธิบายรูปกงล้อธรรมจกั ร กบั การตรัสร้อู รยิ สจั ของพระพทุ ธเจา้ ว่า “ลอ้ ” หรอื “จกั ร” ยอ่ มประกอบด้วยส่วนสาคัญ 3 ส่วน คือ ดุม จุดศูนยกลางของล้อ กา ซี่ของล้อ และ กง ขอบรอบนอกสุดของล้อ ส่วน “จักรธรรม” นี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุปมาเปรียบ โพธิปักขิย ธรรมเปน็ “ดมุ ” ปฏจิ จสมปุ บาทธรรม เป็น “กา” และ อริยสัจ 4 เปน็ “กง” บางนัยยะกล่าวว่า ซ่ขี องล้อธรรมจักร อาจหมายถงึ อาการ 12 ท่ีพระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจก็ได้เช่นกัน บางแห่งก็อธิบายว่ากงรอบนอกนั้นหมายถึงความเปน็ ไปของพระสัทธรรม หรือวงเวยี นของสังสารวัฏกไ็ ด้ ตามธรรมเนียมพทุ ธระบวุ ่า พระพุทธเจา้ ทรงเริ่มหมนุ กงล้อแหง่ ธรรมครงั้ แรกเมอ่ื ทรงแสดงปฐมเทศนา ดังท่ปี รากฏใน ธมั มจกั กปั ปวัตนสตู ร การ \"หมุนกงล้อแห่งธรรม\" น้ีเป็นการแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงสาคัญท่ีมี ผลต่อจักรวาล เข้าใจว่าศาสนาพุทธรับเอาแนวคิดของกงล้อในฐานะสัญลักษณ์มาจาก แนวคิดปรัมปราอินเดีย ของ จักรวรรติน (\"ผู้หมุนกงล้อ\" หรือ \"จักรพรรดิแห่งเอกภพ\") แนวคิดน้ีถูกรับมาแทนพระโคตมพุทธเจ้าใน ฐานะมหาปรุ ิษา ในฐานผู้หมนุ กงลอ้ (\"จกั รวรรติน\") ในทางจิตวิญญาณ แทนที่จะเป็นการหมุนกงล้อในทางโลก ตามความหมายดั้งเดิมของจกั รวรรตนิ ในการตีความ \"การหมุนกงล้อแห่งธรรม\" นั้น พระพุทธโฆษาจารย์ ภิกษุองค์สาคัญในธรรมเนียมเถร วาท อธิบายวา่ \"กงลอ้ \" ซ่ึงพระพทุ ธเจ้าทรงหมุนน้ี เข้าใจหลัก ๆ ในแง่ว่าเป็นปัญญา ความรู้ และญาณ ปัญญา ที่ว่านี้มีสองแง่มุม คือ ปฏิเวธญาณ หรือปัญญาแห่งการรู้ตนถึงความจริง และ เทศนาญาณ ปัญญาของการ ประกาศความจรงิ ปรากฏการออกแบบธรรมจักรมีซี่ท่ีแตกต่างกัน โดยที่พบมากคือ ๘, ๑๒, ๒๔ หรือมากกว่าน้ัน การ ตีความจานวนนี้แตกต่างกันไปตามธรรมเนียม โดยท่ัวไปมักตีความถึงคาสอนต่าง ๆ ของพระพุทธเจ้า เช่น ใน ธรรมเนยี มทเิ บตตคี วามกงลอ้ ๘ ซี่ว่าแทนมรรคแปด และองค์ประกอบสามส่วนของจักร คือ ตุมล้อ, ขอบ และ ซ่ี แทนการปฏิบัติสามประการของพระพุทธเจ้า (ศีล, สมาธิ และ ปัญญา) หรือในคติเถรวาทแบบไทย ตีความ จักร ๑๒ ซี่ หมายถึงปฏิจจสมุปบาทสิบสอง หรือ ๓๑ ซี่ หมายถึง ภูมิท้ัง ๓๑ (กามภูมิ ๑๑ รูปภูมิ ๑๖ และ อรูปภูมิ ๔) เป็นต้น นอกจากน้ียังปรากฏการแทนความหมายของวงล้อท่ีหมุนไปในฐานะวงล้อของการเวียน ว่ายตายเกิด (สงั สารวัฏ) ซง่ึ เรียกจักรในความหมายน้วี ่า \"สงสารจักร\" หรือ \"สังสารจักร\" และ \"ภวจักร\"
65 ความเชือ่ ปัญหาสาคัญที่ทาให้ผู้นับถือพุทธศาสนา ไม่สามารถเข้าใจคาสอนท่ีแท้จริงของพระพุทธเจ้าได้ก็คือ เรื่องความเช่ือ คือชาวพุทธส่วนใหญ่มักจะเข้าใจกันว่าพระพุทธเจ้าสอนให้เช่ือในคาสอนของพระอง ค์โดยไม่ ต้องลังเลสงสัย รวมทั้งเราก็มักเชื่อกันว่าคาสอนที่บันทึกอยู่ในตาราพระไตรปิฎกท้ังหมดนั้นเป็นคาสอนที่ แท้จรงิ ของพระพุทธเจ้า ซึง่ น่เี ปน็ ความเขา้ ใจที่ไม่ถูกตอ้ ง ซ่ึงเราจะมาทาความเข้าใจกันว่าความเชื่อเช่นไรจึงจะ ถกู ต้องกันตอ่ ไป กอ่ นอืน่ เราต้องเข้าใจกอ่ นวา่ คาสอนของพระพุทธเจา้ นั้นมีอยู่ ๒ ระดับ คอื ๑. ระดับธรรมดา (หรือระดับศีลธรรม) ท่ีเป็นคาสอนในเร่ืองการครองเรือน หรือการดาเนินชีวิตของ เราตามปรกติ ที่มผี ลเป็นความปกติสุข ไม่เดือดร้อน ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม ซึ่งคาสอนระดับศีลธรรมนี้จะเป็น คาสอนสาเร็จรูปท่ีแม้ไม่ต้องใช้ปัญญาพิจารณาก็สามารถนาคาสอนนี้ไปปฏิบัติได้ทันที โดยหลักคาสอนของ ศีลธรรมน้ันก็สรปุ อยทู่ ี่การไม่เบยี ดเบียนผอู้ ่ืน การช่วยเหลอื ผอู้ ื่น การใหท้ าน การรักษาศีล การเสียสละ การให้ อภัย การทาหน้าท่ีการงานให้ถูกต้องด้วยความอดทน ขยัน ซื่อสัตย์ การละเว้นอบายมุข ละเว้นส่ิงเสพติด ส่ิง ฟุมเฟอื ย และสอนให้ประหยดั อดออม เปน็ ตน้ นนั่ เอง คาสอนระดับศีลธรรมน้จี ะเอาไว้สอนแก่คนธรรมดาท่ีมีปัญญาค่อนข้างน้อย อย่างเช่นชาวบ้านท่ัวๆไป หรือเด็กๆ โดยระดับศีลธรรมน้ีจะไม่เน้นเร่ืองความเช่ือ คือใครจะเช่ืออย่างไรก็ได้ ขอเพียงไม่ทาความช่ัว แล้ ว ทาแต่ความดีเท่านน้ั กพ็ อ อย่างทชี่ าวพุทธสว่ นใหญ่กระทากนั อยู่ อย่างเช่นท่ีเชื่อกันว่าเมื่อทาความดีไว้ในชาติน้ี เมอ่ื ตายไปแล้วจะได้ไปเกิดเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์(ท่ีเช่ือกันว่าอยู่บนฟูา) หรือเมื่อทาความชั่วไว้ในชาตินี้ เม่ือ ตายไปแล้วก็จะตกนรก(ท่ีเชื่อกันว่าอยู่ใต้ดิน) หรือถ้าหมดกิเลส เมื่อตายแล้วก็จะนิพพาน(นิพพานน้ีบางคนก็ เชื่อวา่ เปน็ การดับสูญไปเลย แตบ่ างคนก็เช่ือว่าเป็นเมอื งหรอื สภาวะท่มี แี ต่ความสขุ อยู่ช่ัวนิรันดร) เปน็ ต้น ๒.ระดบั สูง (หรือระดับลึกซึ้งสูงสุด) ท่ีเป็นคาสอนในเร่ืองการดับทุกข์ของชีวิตในปัจจุบัน ซึ่งก็ได้แก่คา สอนในเร่ืองอริยสัจ ๔ ซ่ึงคาสอนเร่ืองการดับทุกข์น้ีจัดเป็นคาสอนท่ีสาคัญท่ีสุดของพระพุทธเจ้า ซ่ึงคาสอน ระดับสูงนี้จะเน้นเร่ืองความเช่ือมาก โดยจะสอนให้ใช้ปัญญานาหน้าความเชื่อ และจะเอาไว้สอนเฉพาะผู้ท่ีมี ปญั ญาเท่าน้นั ถา้ สอนคนมีปัญญาน้อยเขาก็จะรับไม่ได้เพราะยังมีสติปัญญาไม่เพียงพอ เหมือนสอนเร่ืองยากๆ ให้กับเด็ก อย่างเช่นถ้าสอนเด็กว่าร่างกายของเราจริงๆแล้วมันไม่มี มันมีแต่ดิน น้า ความร้อน และก๊าซที่มา รวมตัวกันสร้างข้ึนมาเท่าน้ัน ซึ่งเด็กจะไม่เข้าใจ เพราะเด็กก็เห็นอยู่ว่ามีร่างกายอยู่จริงๆ เป็นต้น ซึ่งจุดแรกใน การสร้างปัญญาของคาสอนระดับสูงก็คือเร่ืองความเช่ือ โดยพระพุทธเจ้าได้วางหลักในการสร้างความเชื่อไว้ โดยสรปุ ดงั นี้
66 ๑. อย่าเชอื่ ว่าเปน็ ความจรงิ เพียงเพราะเหตวุ ่า ไดย้ ินได้ฟังมา ๒. อย่าเช่อื ว่าเป็นความจรงิ เพียงเพราะเหตวุ ่า เปน็ เร่อื งเลา่ สบื ต่อกันมาตัง้ แตโ่ บราณ ๓. อยา่ เชอ่ื วา่ เป็นความจริงเพยี งเพราะเหตุว่า กาลังลา่ ลอื กันอยอู่ ย่างกระฉอ่ น ๔. อย่าเชอื่ ว่าเป็นความจริงเพยี งเพราะเหตวุ ่า มบี นั ทกึ ไวใ้ นตารา ๕. อยา่ เชื่อวา่ เป็นความจริงเพียงเพราะเหตุวา่ คาดเดาตามสามัญสานกึ ๖. อยา่ เชื่อว่าเปน็ ความจรงิ เพยี งเพราะเหตุว่า คาดคะเนตามเหตทุ ่ีแวดล้อม ๗. อย่าเชอื่ วา่ เปน็ ความจรงิ เพยี งเพราะเหตวุ า่ การตรกึ ตรองตามหลกั เหตผุ ล ๘. อย่าเชอ่ื วา่ เป็นความจริงเพยี งเพราะเหตวุ ่า เข้ากันไดก้ บั ความเห็นที่เรามีอยกู่ อ่ นแลว้ ๙. อย่าเชื่อวา่ เป็นความจรงิ เพียงเพราะเหตวุ ่า ผพู้ ูดน้ันดูภายนอกมคี วามนา่ เชื่อถือ ๑๐. อย่าเชอ่ื ว่าเปน็ ความจรงิ เพียงเพราะเหตุวา่ ผพู้ ูดน้ีคือครูอาจารยท์ เ่ี รานบั ถอื เม่ือใดท่ีเรารู้ด้วยตนเองว่า ธรรม(คาสอน)เหล่านี้เป็นอกุศล(ผิด, ไม่ดีงาม), ธรรมเหล่านี้มีโทษ, ธรรม เหล่าน้ีวิญญูชน (ผู้มีสติปัญญาและมีใจเป็นกลาง) ติเตียน, ธรรมเหล่าน้ีถ้ากระทาถึงมาตรฐานของมันแล้ว เป็นไปเพ่ือความทุกข์ ไม่เป็นประโยชน์เก้ือกูล พึงละเว้นธรรมเหล่านี้เสีย ส่วนธรรมเหล่าใด ที่เรารู้ด้วยตนเอง ว่า ธรรมเหลา่ นี้เปน็ กุศล(ถูกต้อง,ดีงาม) ธรรมเหล่าน้ีไม่มีโทษ, ธรรมเหล่าน้ีวิญญูชนสรรเสริญ, ธรรมเหล่านี้ถ้า กระทาถึงมาตรฐานของมนั แล้ว เป็นไปเพ่อื ความสขุ เป็นไปเพ่อื ประโยชนเ์ กอ้ื กูล พงึ เขา้ ถงึ ธรรมเหล่านั้น. เหตุที่ไม่ให้เชื่อจากการฟังคนอื่นเขาบอกต่อๆกันมาหรือทาตามๆกันมา ก็เพราะมันอาจจะผิดพลาด เอาตอนที่บอกกันต่อๆมาหรือทากันต่อๆมาก็ได้ ส่วนคาเล่าลือนั้นคนที่มีสติปัญญาเขาไม่ทากัน มีแต่คนโง่ท่ี ชอบเล่าลือหรือแต่งเร่ืองให้น่าตื่นเต้นเพื่อหวังผลประโยชน์เท่าน้ัน คาเล่าลือจึงเช่ือถือไม่ได้ ยิ่งสมัยน้ีส่ือต่างๆ ชอบประโคมขา่ วให้นา่ ตน่ื เต้น เรากต็ อ้ งระวังอยา่ ไปหลงเชือ่ แม้ตาราก็ยังต้องระวัง เพราะการคัดลอกมาก็อาจจะผิดพลาดมาก่อนจะมาถึงเราแล้วก็ได้ หรือตารา นน้ั อาจถกู แก้ไขแตง่ เติมใหผ้ ดิ ไปจากเดิมแลว้ กไ็ ดโ้ ดยเราไมร่ ู้มาก่อน ส่วนเหตุผลตรงๆหรือแม้เหตุผลแวดล้อมที่ ดูวา่ น่าเช่อื ถือมากทสี่ ดุ เรากย็ งั เช่อื ไม่ได้ เพราะถ้าเหตุมนั ผดิ ผลมนั ก็จะพลอยผิดตามไปดว้ ย ส่ว นส ามัญส านึกของเรานั้นยังเป็นแค่เพียงคว ามรู้สึ กต่าๆหรือธรร มดาๆของจิตใต้ส านึกเท่าน้ัน อยา่ งเช่นเม่อื เราได้รบั การเอาใจหรือเยินยอจากใคร เราก็จะรู้สึกว่าเขาเป็นคนดี และเราก็จะเช่ือใจเขา ซ่ึงก็ไม่ แนว่ า่ คนทีเ่ ขามาเอาใจเราหรอื เยินยอเราอยู่นั้น เขาอาจจะกาลังหลอกลวงเราอยู่ก็ได้ หรือคนท่ีเรารู้สึกไม่ชอบ แต่เขาอาจจะเปน็ คนดกี ไ็ ด้ เป็นตน้ ดงั น้นั สามญั สานกึ ของเราจึงยงั เชอื่ ถือไม่ไดเ้ พราะมนั อาจหลอกเอาได้
67 บางทีเรามีความเห็นอย่างใดอยู่ก่อนแล้ว เมื่อมีใครมาบอกมาสอนแล้วมันตรงกับความเห็นที่เรามีอยู่ เราก็เชื่อ ซ่ึงถ้าความเห็นของเราน้ันมันผิดมาก่อนโดยเราไม่รู้ตัว ความเช่ือน้ันก็จะผิดตามไปด้วย หรือแม้คน ที่มาบอกมาสอนน้ันดูแล้วน่าเช่ือถือ เช่น เขามีผู้คนเคารพนับถือมาก หรือเขามีปริญญา มีความรู้ด้านนี้มาก ทีส่ ุด เปน็ ต้นก็ตาม ก็ยังเช่ือถือไม่ได้ เพราะคนที่มาบอกมาสอนน้ัน เขาเองก็อาจจะมีความเห็นผิดมาก่อน โดย เขาเองกอ็ าจไมร่ ตู้ วั ก็ได้ ถา้ เราเชอ่ื ถือเขา เราก็ย่อมทจ่ี ะเกดิ ความเหน็ ผดิ ตามเขาไปดว้ ย แม้แต่ครูอาจารย์ของเราเองก็ตาม ถ้าเขามีความเห็นผิดมาก่อนโดยเขาเองก็ไม่รู้ตัว แล้วเราเช่ือครู อาจารย์ เราก็จะพลอยเกิดความเห็นผิดตามครูอาจารย์ไปด้วยทันที ซึ่งการไม่เช่ือครูอาจารย์น้ีเรามักจะคิดว่า เป็นการเนรคุณ แต่เราต้องแยกให้ออกว่าการเนรคุณก็คือการทาให้ผู้มีพระคุณเป็นทุกข์ ส่วนการที่เราไม่เช่ือ ทา่ นเพราะทา่ นอาจจะมีความเหน็ ผิดมาก่อนน้นั ไมจ่ ัดวา่ เป็นการเนรคุณ หลกั ความเช่ือน้จี ะแนะนาเราว่า “อย่าเชือ่ จากเพราะเหตุเพียงแค่นั้น” (คือจากแต่ละข้อ) เพราะความ เช่ือในแต่ละข้อนั้นมันมีโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดได้ทั้งส้ิน ถ้ามันผิดมาก่อนแล้วเราเช่ือตาม เราก็จะเกิด ความเหน็ ผิดไปด้วยโดยไม่รูต้ ัว แล้วการปฏิบัติของเราก็จะผิดตามไปด้วย และเม่ือมีการปฏิบัติผิด ผลมันก็ย่อม ที่จะผิดตามไปด้วยเสมอ แต่ถึงแม้บังเอิญเราจะได้คาสอนท่ีถูกต้องมา แล้วเรานาเอามาปฏิบัติโดยไม่ใช้การ พิจารณาไตร่ตรองให้เกิดความเข้าใจเสียก่อน การปฏิบัตินั้นก็ย่อมท่ีจะเป็นการปฏิบัติที่ไม่ใช้ปัญญา ซึ่งมันก็ อาจจะเกดิ ความผดิ พลาดขึน้ ไดโ้ ดยง่าย หลักการสร้างความเชื่อท่ีถูกต้องก็คือ เมื่อเราได้เรียนรู้คาสอนใดมา ขั้นต้นเราก็ต้องนามาพิจารณา ไตร่ตรองดูก่อนว่ามีประโยชน์หรือมีโทษ ถ้าเห็นว่ามีโทษ ก็ให้ละท้ิงเสีย แต่ถ้าเห็นว่ามีประโยชน์ก็ให้นาเอามา ทดลองปฏิบตั ดิ กู อ่ น ถา้ ปฏิบัติตามอย่างเต็มความสามารถแล้วก็ยังไม่บังเกิดผล ก็ให้ละทิ้งอีกเหมือนกัน แต่ถ้า ปฏิบตั ติ ามแลว้ บังเกิดผลจริง จงึ คอ่ ยเช่ือและรบั เอาไปปฏิบตั ิให้ยง่ิ ๆขึน้ ต่อไป จุดสาคัญหลักความเชื่อน้ีเราต้องเข้าใจว่า “ไม่ได้ห้ามว่าไม่ให้ศึกษาคาสอนใดเลย” คือเราสามารถ ศึกษาคาสอนของใครๆก็ได้ทั้งส้ิน คือให้เอาคาสอนน้ันมาไตร่ตรองพิจารณาก่อน ถ้าเห็นว่าไม่มีโทษและมี ประโยชน์ ก็ให้นาเอามาทดลองปฏิบัติดูก่อน เมื่อได้ผลจึงค่อยเชื่อ แต่ถ้าไม่ได้ผลก็อย่าเชื่อ อย่างเช่น คาสอน ทว่ี ่า เมื่อจิตเกิดกิเลส (คืออยากได้ หรืออยากทาลาย หรือลังเลใจ) ขึ้นเมื่อใด จิตก็จะเกิดความเร่าร้อนทรมาน หรือเป็นทุกข์ขึ้นมาทันที แต่ถ้าเมื่อใดท่ีจิตไม่มีกิเลส จิตก็จะสงบเย็น (นิพพาน-ทุกข์ดับ) เป็นต้น ซึ่งเมื่อเรา สงั เกตจากจิตของเราจริงๆแล้วก็พบว่ามันเป็นเช่นน้ันจริงๆ เราก็เชื่อได้ว่าคาสอนนี้ถูกต้อง ส่วนคาสอนที่ว่าถ้า หมดกิเลสแลว้ ตายไปจึงจะนพิ พานนนั้ เราไมส่ ามารถพสิ จู น์หรอื พบเหน็ ได้จรงิ ในปจั จบุ ันเราก็อย่าเช่ือ หรืออย่า สนใจ เพราะไม่เป็นประโยชน์แก่เราในปัจจุบัน ถ้าเราเชื่อและมัวลุ่มหลงปฏิบัติตาม โดยหวังว่าจะได้นิพพาน เมอื่ ตายไปแล้ว ก็ย่อมท่ีจะทาให้เรายังคงมีทุกข์ในขณะท่ียังมีชีวิตอยู่ต่อไป ซ่ึงความเชื่อเช่นน้ีจัดว่ามีโทษอย่าง ยงิ่
68 การศึกษาพุทธศาสนาในระดับสูงในเร่ืองการดับทุกข์น้ัน เราจาเป็นอย่างย่ิงที่จะต้องเริ่มต้นด้วยการ สร้างความเช่ือด้วยปัญญานี้เสียก่อนเท่าน้ัน เราจึงจะเกิดความเข้าใจพุทธศาสนาได้อย่างถูกต้องแท้จริง แต่ถ้า เราขา้ มจดุ น้ี แล้วไปสร้างความเชื่อขนึ้ โดยไมใ่ ชป้ ญั ญา เรากจ็ ะเส่ียงกบั การได้รับคาสอนที่ผิด แล้วก็จะทาให้เรา ยึดติดกับคาสอนที่ผิดนั้นอย่างเหน่ียวแน่นโดยไม่รู้ตัว ซ่ึงก็จะทาให้เราต้องเสียโอกาสที่จะได้รับรู้คาสอนที่ ถูกตอ้ งไปอยา่ งนา่ เสียดาย หลกั ความประพฤติ การปฏิบัติตนตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาน้ัน ที่สาคัญท่ีสุดคือ การปฏิบัติตามหลัก “มรรคมี องค์ ๘” เพราะเป็นทางแห่งความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง อันเป็นเปูาหมายสูงสุดในทรรศนะของศาสนาพุทธ แต่นอกจากเปูาหมายสูงสุดอย่าง “พระนิพพาน” แล้ว ผู้ครองเรือนท่ียังสลัดเร่ืองทางโลกไม่หลุด ก็สามารถ ปฏบิ ตั ิธรรมทมี่ ุ่งหวงั ผลสาเร็จในเบอ้ื งต้นได้กอ่ น อย่างเช่นหลกั “อุบาสกธรรม ๗” เปน็ ต้น อริยมรรคมีองค์ ๘ “อริยอัฏฐังคิกมรรค” หรือ “อริยมรรคมีองค์ ๘” คือทางอันประเสริฐแห่งความหลุดพ้น อัน ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ เป็นแนวทางการปฏิบัติตนท่ีสาคัญที่สุดในพุทธศาสนา องค์ประกอบทั้ง ๘ มี ดงั ตอ่ ไปนี้ ๑. สัมมาทฏิ ฐิ คอื ความเห็นชอบ มีทรรศนะหรือมุมมองท่ีถูกต้อง เห็นความเป็นจริงของสรรพส่ิงตาม กฎ “ไตรลักษณ์” เห็นนิพพานเป็นจุดมุ่งหมาย เห็นความเป็นเหตุผล หรือสาเหตุปัจจัยตามหลักปฏิจจสมุป บาท เห็นความดีว่าเปน็ สิ่งทพี่ งึ กระทา เหน็ ความช่วั วา่ เป็นสิ่งทีพ่ ึงละเวน้ ๒. สมั มาสังกปั ปะ คือ ดาริชอบ มีความคดิ ท่ีดงี าม เป็นกุศล เวน้ จากความคิดอกุศล ๓. สัมมาวาจา คอื วาจาชอบ การเจรจาด้วยวจสี ุจริต ไม่นนิ ทาว่าร้าย ไมย่ แุ ยง ไม่สอ่ เสยี ด ไมเ่ พอ้ เจ้อ ๔. สมั มากมั มันตะ คือ การกระทาชอบ ประพฤติแต่ความดี ตั้งมน่ั อยใู่ นศลี ธรรม ไมป่ ระกอบกรรมช่วั ๕. สัมมาอาชวี ะ คือ การหาเลยี้ งชพี ชอบ ทามาหากนิ ดว้ ยความสุจริต ไม่คดโกง ไม่ฉ้อโกง ๖. สัมมาวายามะ คือ ความพยายามชอบ ประกอบความเพียรในทางดีงาม ๗. สัมมาสติ คือ ความระลกึ ชอบ มีสติรู้เท่าทันความคิด คาพูด และการกระทาของตน ไม่ให้ตกไปอยู่ ในฝาุ ยอกศุ ล ๘. สัมมาสมาธิ คือ ความตั้งม่ันแห่งจิตชอบ ต้ังม่ันจิตอยู่ในอารมณ์เดียว ไม่ฟุูงซ่าน สงัดจากอกุศล ธรรมทง้ั หลาย
69 อริยมรรคน้ี สามารถกล่าวโดยย่อลงเป็น “ไตรสิกขา” หรือการศึกษาทั้ง ๓ อันได้แก่ ศีล สมาธิ และ ปัญญา โดยที่ - สมั มาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชวี ะ จดั เป็นศีล - สัมมาวายามะ สมั มาสติ และสมั มาสมาธิ จดั เป็นสมาธิ - สัมมาทฏิ ฐิ และสัมมาสงั กปั ปะ จดั เปน็ ปัญญา และไตรสิกขาน้ี กล่าวโดยย่อลงอีกทีก็คือ “มัชฌิมาปฏิปทา” หรือ “ทางสายกลาง” เท่ากับว่า อรยิ มรรคแห่งการหลดุ พน้ จากทุกข์ท้งั ปวง ก็คือทางสายกลางนนั่ เอง อุบาสกธรรม ๗ นอกจากอรยิ มรรคมอี งค์ ๘ ท่เี ปน็ แนวทางปฏิบตั เิ พือ่ ม่งุ พระนพิ พาน สาหรับผทู้ ่ีเห็นโทษของสังสารวัฏ แลว้ สาหรบั ผู้ครองเรือนกส็ ามารถประพฤติ “อบุ าสกธรรม ๗” เพ่ือช่วยอุปถัมภ์ค้าชูพระพุทธศาสนา ให้ย่ังยืน สถาพรสืบไปภายหน้าด้วย โดยอุบาสกธรรมประกอบดว้ ย ๗ ขอ้ ดังตอ่ ไปนี้ ๑. ไม่ขาดการเย่ียมเยือนพบปะพระภิกษุ คือ การหมั่นเข้าวัด สนทนากับพระภิกษุท่ีปฏิบัติดีปฏิบัติ ชอบ ๒. ไม่ละเลยการฟังธรรม คือ ใหค้ วามใสใ่ จในการฟงั ธรรมเทศนา ๓. ศึกษาในอธศิ ลี คอื รักษาศีลใหบ้ ริสทุ ธ์ิถ ๔. มากด้วยความเล่ือมใสในภิกษุท้ังหลาย ท้ังท่ีเป็นเถระ นวกะ และปูนกลาง คือ ให้ความศรัทธาต่อ พระภกิ ษุโดยเสมอภาค ไม่แบ่งแยกพรรษา ๕. ไม่ฟงั ธรรมด้วยตง้ั ใจจะคอยเพง่ โทษตเิ ตยี น คอื ฟงั ธรรมด้วยจติ น้อมนาไปในทางกศุ ล ๖. ไมแ่ สวงหาทกั ขไิ ณย์ภายนอกหลักคาสอนน้ี คือ ไม่แสวงหาการทาบุญบริจาคทานนอกคาสอนของ พระศาสนา ๗. กระทาความสนบั สนนุ ในพระศาสนานี้เป็นเบอ้ื งต้น คอื ขวนขวายในการอุปถัมภบ์ ารุงพระพทุ ธ พระพทุ ธศาสนามขี อ้ ปฏิบตั ทิ ีพ่ ทุ ธศาสนกิ ชนจะนาไปประพฤตปิ ฏบิ ตั ิในชีวิตประจาวัน ดงั นี้ ๑. การบูชาพระประจาวัน ธรรมดาชาวพุทธย่อมมีชีวิตจิตใจเนื่องด้วยพระรัตนตรัย มีพระรัตนตรัย เป็นท่ีพึ่งที่ระลึกในการดาเนินชีวิตประจาวัน เพ่ือให้ตนมีความประพฤติดีประพฤติชอบ มีความเจริญรุ่งเรือง
70 ก้าวหน้าปราศจากภัยอันตรายต่างๆ และอยู่เย็นเป็นสุข จึงนิยมเคารพสักการบูชาพระรัตนตรัยเป็นประจาวัน ละ ๒ คร้ัง เป็นอยา่ งนอ้ ย คือ ๑) ตอนเช้า ก่อนออกจากบ้านไปประกอบภารกิจการงานทุกวัน เวลาเช้าก่อนออกจากบ้าน เมื่อแต่ง กายเรยี บรอ้ ยแลว้ ชาวพุทธทั้งหลายผเู้ ครง่ ตอ่ ศาสนายอ่ มนิยมเขา้ ห้องพระหรอื ไปที่บูชาพระ แล้วน่ังคุกเข่า จุด เครื่องสักการบูชาพระ คือ ๑) จุดเทียนเล่มขวาของพระพุทธรูปก่อน แล้วจุดเทียนเล่มซ้าย ๒) จุดธูป ๓ ดอก แลว้ ปักทกี่ ระถางธปู แลว้ กราบพระรัตนตรยั แบบเบญจางคประดษิ ฐ์ (คือทง้ั หนา้ ผาก ฝุามือท้ังสอง และหัวเข่า ทง้ั สองลงจรดพนื้ ) ๓ ครงั้ แล้วประณมมือกลา่ วคาบชู าพระรัตนตรยั ต่อไป ๒) ตอนกลางคืน ก่อนนอนพักผ่อนชาวพุทธจะนิยมสวดมนต์เป็นภารกิจสุดท้ายประจาวัน โดยจุด เครื่องสักการบูชาพระรัตนตรัย แล้วกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ ประณมมือกล่าวคาบูชาพระรัตนตรัย แล้ว นั่งพับเพียบประณมมือ ต้ังใจสวดบทไตรสรณคมน์ บทสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ แล้วแผ่เมตตา เพื่อต้ังความปรารถนาดีให้ส่ิงมีชีวิตทุกชนิด มีความสุข ปราศจากทุกข์ ไม่มีเวร ไม่คับแค้นใจ รักษาตน ให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวง นอกจากน้ันยัง นิยมสักการบูชาพระรัตนตรัยเป็นกรณีพิเศษอีก ๒ คราว คอื คราวเกิดความไม่สบายใจและคราวจะตัดสนิ ใจเรอ่ื งสาคญั ๒. การทาบญุ ใส่บาตร และการกรวดนา้ อทุ ศิ ส่วนกุศล ๒.๑ การทาบุญใส่บาตร ในแต่ละวันพุทธศาสนิกชนมีหน้าท่ีทาบุญใส่บาตร เพ่ือทานุบารุงรักษา พระพุทธศาสนาไว้ เน่อื งจากพระสงฆ์เป็นพุทธบุตร เป็นผู้ควรสกั การะ และเป็นเน้ือนาบุญของโลกที่ไม่มีนาบุญ อ่ืนย่ิงกว่า จะดารงชีพอยู่ได้ก็ต้องอาศัยความอุปถัมภ์จากญาติโยมโดยการถวายอาหารและปัจจัยอื่น การใส่ บาตรเป็นการ ถวายภัตตาหารเช้าแก่พระสงฆ์ซึ่งอยู่ในพระธรรมวินัยท่ีห้ามพระฉันอาหารหลังเที่ยงวัน เพราะฉะน้ัน การใส่บาตร มักจะเร่ิมต้ังแต่รุ่งอรุณถึงเวลาประมาณ ๘ นาฬิกาของแต่ละวันให้แก่พระภิกษุ สามเณรท่ีออกบิณฑบาต ภัตตาหารท่ีถวายเป็นอาหารคาวหวานที่มีความบริสุทธ์ิ คือ ได้มาโดยสุจริต ถวาย ด้วยเจตนาอันเป็นกุศล ผู้ถวายอาหารมกี ารสารวมกิริยาทุกประการ เช่น การแตง่ กายเรียบร้อย กริยาอ่อนน้อม ด้วยความเคารพ ไม่ชวนพระสงฆ์ผู้รับบิณฑบาตพูดคุยหรือสนทนา เม่ือใส่บาตรแล้ว ผู้ถวายพึงประณมมือ แสดงความเคารพ พร้อมอธิษฐานขอพรตามความตั้งใจปรารถนา พระสงฆ์ก็จะรับบิณฑบาตด้วยกิริยาสารวม แล้วจากไป หรืออาจให้พรเป็นภาษาบาลีแก่ผู้ใส่บาตรก่อนจากไป หากพระสงฆ์ให้พร ผู้ใส่บาตรพึงประณมมือ รับพรจนจบ
71 ๒.๒ การกรวดนาอุทิศส่วนกุศล เป็นพิธีทางศาสนาอย่างหนึ่งท่ีปฏิบัติร่วมกับพิธีบุญต่าง ๆ เช่น ทา หลังจากการทาบุญใส่บาตร หลังจากเสร็จพิธีงานมงคล (เช่น งานมงคลสมรส งานท าบุญข้ึนบ้านใหม่ งานวัน เกิด) และภายหลังพิธีงานอวมงคล (เช่น พิธีศพ งานท าบุญหลังพิธีเผาศพแล้ว ๗ วัน ๑๐๐ วันให้แก่ผู้วาย ชนม์) สาหรับพิธีกรวดน้าทาโดยผู้กรวดน้ารินน้าจากภาชนะใส่น้าที่เหมาะสม หรือจากท่ีกรวดน้าที่จัดไว้ โดยเฉพาะ ลงท่ีรองน้า ขณะทพ่ี ระสงฆ์กล่าวใหพ้ รเปน็ ภาษาบาลีด้วยบท “ยถา วาริวหา.........” ด้วยการนึกถึง และอธิษฐาน ส่วนบุญกุศลให้แก่บุคคลผู้ล่วงลับไปแล้ว หรือเจ้ากรรมนายเวร น้าต้องรินให้หมดเมื่อพระสงฆ์ สวดบท “สัพพี ตโิ ย......” แล้วผู้กรวดน้าพงึ ประณมมือรับพรจนส้นิ สดุ การสวดให้พร เป็นอนั เสร็จพธิ ี ๓. การรกั ษาศีล การปฏิบตั ิสมถะและวปิ ัสสนาในชีวิตประจาวนั ๓.๑ การสมาทานศลี หมายถึงการรับเอาศีลมาปฏิบตั ิ หรือการถือศีล ซึ่งมีท้ังการสมาทานศีล ๕ และ การสมาทานศีล ๘ (อโุ บสถศีล) ศีลห้า เป็นศีลประจาตัวของอุบาสกอุบาสิกา เป็นศีลท่ีพึงรักษาเป็นประจาจึงเรียกอีกช่ือว่า “นิจศีล” โดยมงุ่ ควบคมุ กาย และวาจาให้ละเว้นส่งิ ไม่ดี ๕ ประการ คอื (๑) ละเว้นจากการฆา่ สัตว์ (๒) ละเว้นจากการลักทรัพย์ (๓) ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม (๔) ละเวน้ จากการพูดเทจ็ (๕) ละเว้นจากการดม่ื นา้ เมา ศีลห้านับเป็นการจัดระเบียบสังคมข้ันพ้ืนฐานซ่ึงจะเป็นหลักประกันว่าแต่ละคนจะได้ใช้ชีวิตหรือทาความดีอ่ืน ให้ก้าวหนา้ ยงิ่ ข้นึ ได้อยา่ งสะดวก ศีล ๘ (อุโบสถศลี ) ประกอบดว้ ยข้อปฏบิ ตั ิ ๘ ประการ ได้แก่ (๑) ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ (๒) ละเวน้ จากการลักทรัพย์ (๓) ละเวน้ จากการประพฤตผิ ดิ ในกาม (๔) ละเว้นจากการพูดเท็จ
72 (๕) ละเว้นจากการดืม่ นา้ เมา (๖) ละเวน้ จากการรับประทานอาหารยามวกิ าล (นับแตเ่ วลาเที่ยงแล้วเปน็ ต้นไป) (๗) ละเว้นจากการใชเ้ ครื่องหอม เคร่อื งประดับ (๘) ละเวน้ จากการนอนบนทน่ี อนอนั สงู ใหญ่ (หรอื ท่ีปุดว้ ยท่นี อนอนั หนาน่มุ ) ๓.๒ การปฏิบัติสมถะและวิปัสสนา สมถะและวิปัสสนาเป็น ๒ วิธีของภาวนา ภาวนา แปลว่า “การ ทาให้มีขึ้น เป็นขึ้น หรือการเจริญ” เมื่อใช้ในความหมายของธรรมะ คือ การฝึกอบรม จิตใจ แบ่งออกเป็น ๒ อยา่ ง คอื ๑) สมถภาวนา คือ การฝึกอบรมจติ ให้เกิดความสงบ หรือการฝกึ สมาธิ ๒) วปิ ัสสนาภาวนา คอื การฝกึ อบรมเจริญปัญญาใหเ้ กิดความร้แู จง้ ชดั สิ่งท้ังหลาย ตามความเป็นจริง หรอื เรียกสน้ั ๆ วา่ “การเจริญปญั ญา” ในคมั ภรี ส์ มยั หลงั บางทเี รยี กภาวนาว่า “กรรมฐาน” ซ่ึงแปลว่าท่ีตั้งแห่ง งานทาความเพยี รฝึกอบรมจติ จึงเกิดคาเรยี กวา่ “สมถกรรมฐาน” และ “วปิ ัสสนากรรมฐาน” การปฏิบัติสมถะหรือสมาธิในชีวิตประจาวัน มักนิยมทาตอนเช้า หรือก่อนนอนหลังจากการบูชาพระ และการสวดมนตป์ ระจาวนั เพราะสมถะต้องการบรรยากาศทีส่ งบและตอ่ เนือ่ ง โดยอาจจะฝึกปฏิบัติน้อยไปหา มาก เช่น เร่ิมจาก ๓ นาที ๕ นาที จนเมื่อชานาญก็จะปฏิบัติวันละครึ่งชั่วโมง หรือหนึ่งชั่วโมง การปฏิบัติทา โดยหลังจาก สวดมนตเ์ สร็จ กน็ ่ังขัดสมาธิ หรือผู้ท่ีไม่ถนัด หรือมีปัญหาทางสุขภาพจะนั่งเก้าอี้ก็ได้ แล้วกาหนด อารมณ์ใด อารมณ์หน่ึงให้จิตนิ่ง มีความเป็นหนึ่งในการพิจารณาอารมณ์น้ัน ที่ใช้กันมาก คือ พุทธานุสติการ ตามระลกึ ถงึ คุณ ของพระพทุ ธเจ้า โดยกาหนดเวลาหายใจเข้าว่า “พุท” เวลาหายใจออกว่า “โธ” อีกวิธีหนึ่งที่ ใช้กนั มาก คือ อานาปานสติ การตามระลึกกาหนดลมหายใจเขา้ ออก โดยกาหนดจุดตรงหน้าท้อง หายใจเข้าว่า “พองหนอ” หายใจออกว่า “ยบุ หนอ” เมื่อฝกึ สมถะเป็นประสม่าเสมอ ต่อไปในชีวิตประจาวันเวลาทาการงาน ผนู้ ้ันจะรวู้ ่าใจมีสมาธิ มีความมนั่ คงมากข้นึ ไม่วอกแวกฟงูุ ซ่านมากเหมอื นกับคนท่ีไม่ได้ฝึกสมถะ
73 การปฏบิ ตั ิวิปสั สนาในชวี ิตประจาวัน จะปฏิบัติท่ีไหนเมื่อไรก็ได้ ขอให้ฝึกพิจารณาให้เกิดปัญญา รู้เท่า ทนั สิ่งทง้ั หลายทั้งปวงไม่วา่ วัตถุสิ่งของ (รปู ) และความคดิ นกึ การรู้อารมณ์ใดๆ (นาม) ในทางทวาร (ประตู) ทั้ง ๖ ของร่างกายเรา คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ไม่ว่าจะเป็นการเห็น ได้ยิน ได้กล่ิน ลิ้มรส ถูกต้องสัมผัส และจิตใจท่ีคิดนึก ทั้งรูปและนามทุกทวารล้วนแต่มีความเกิดข้ึน ต้ังอยู่ชั่วคราว แล้วก็ดับไป ตกอยู่ใต้กฎไตร ลักษณ์ หรือสามัญลักษณะ ๓ อย่าง คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดังกล่าวในตอนต้นแล้วนั้น เมื่อมีสติพิจารณา เช่นนี้ได้เนืองๆ ก็จะเป็นผู้รู้เท่าทันความจริงของส่ิงทั้งหลายท้ังปวง ซึ่งความรู้นี้ เรียกว่า “ปัญญา” อันทาให้ รู้จกั ปล่อยวาง ไม่ยดึ มั่นมากนักใจกเ็ ปน็ อิสระและปลอดพ้นจากความทุกข์ไดม้ ากขนึ้ เปน็ ลาดบั สรปุ การรกั ษาศลี การปฏิบัติสมถะและวิปัสสนา คือ การปฏบิ ตั ไิ ตรสิกขา ศีล สมาธิ และปัญญา หรือ เจริญมรรคมอี งค์ ๘ ในชวี ติ ประจาวันของแต่ละคน ทาใหล้ ดทกุ ข์ และอย่เู ป็นสุขได้มากข้ึนตามสัดส่วนที่เราเอา ใจใส่ปฏบิ ตั ิ ได้มากน้อยแคไ่ หน
74 บรรณานุกรม - ศาสนาพุทธ. เข้าถึงเม่อื 24 พฤศจิกายน 2561, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ศาสนาพุทธ - ศาสนาพุทธ. เขา้ ถึงเม่ือ 16 พฤษจิกายน 2563, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ศาสนาพทุ ธ - เจตสิก. เขา้ ถึงเม่ือ 17 พฤษจิกายน 2563, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/เจตสิก - ไตรลักษณ.์ เขา้ ถึงเมื่อ 17 พฤษจิกายน 2563, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ไตรลกั ษณ์ - นิพพาน. เขา้ ถึงเมื่อ 17 พฤษจกิ ายน 2563, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/นิพพาน - กรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม. ความรู้ศาสนาเบ้อื งต้น. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ชุมนุม สหกรณ์ การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากดั . พิมพค์ ร้ังที่ ๒, ๒๕๕๗. - กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. ศาสนาในประเทศไทย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์ชมุ นมุ สหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด. พิมพ์ครั้งที่ ๓, ๒๕๖๑. - กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. กรมการศาสนา. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุม สหกรณ์การเกษตร แหง่ ประเทศไทย จากดั , ๒๕๕๑. - กรมการศาสนา และอนุกรรมการส่งเสริมกจิ การศาสนาและศาสนกิ สมั พนั ธ์ คณะกรรมาธกิ าร การศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศลิ ปะและวัฒนธรรม วฒุ สิ ภา. วถิ ีชีวิต - ศาสนิกในประเทศไทย. กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั ราไทยเพรส จากดั . พิมพ์ครงั้ ที่ ๕, ๒๕๖๑.
Search