Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนเห็ดที่ 2 ชนิดของเห็ด

แผนเห็ดที่ 2 ชนิดของเห็ด

Published by piyachat srisattabut, 2019-09-24 10:00:28

Description: แผนเห็ดที่ 2,54 ok ทำ e-book

Search

Read the Text Version

แผนการจัดการเรียนรู้ 7 ช่ือวชิ า ผลิตภณั ฑเ์ ห็ด (Mushroom Products) หน่วยท่ี 2 ชื่อหน่วย ชนิดและประเภทของเห็ด สอนคร้ังที่ 2 ชื่อเร่ืองหรือชื่องาน ชนิดและประเภทของเห็ด จานวนช่ัวโมงรวม 18 1. สาระสาคญั เห็ด (Mushroom) จดั เป็นพชื ช้นั ต่ำจำพวกเห็ดรำ (Fungi) มรี ูปร่ำงและขนำดแตกตำ่ งกนั ไป แลว้ แต่ชนิดของเช้ือเห็ดรำ เช่น รูปกลม คร่ึงวงกลม หรือรูปร่ำงแปลกๆ เช่น รูปทรงเหมอื นแกว้ แชมเปญ ปะกำรัง ฟองน้ำ ก็มี ขนำดก็มีหลำกหลำยต้งั แตเ่ ล็กเท่ำหัวไมข้ ีด ไปจนถึงใหญ่ขนำดลกู ฟตุ บอล ส่วนสีสัน ของดอกเห็ดน้นั กม็ ีหลำกหลำย เช่น แดง เหลอื ง สม้ ชมพู ฟ้ำ ขำว ดำ น้ำตำล เขยี ว 2. จุดประสงค์การเรียน จดุ ประสงคท์ ว่ั ไป 1. เพื่อให้ทรำบ และเขำ้ ใจถงึ ชนิด ประเภทของเห็ด 2. เพ่อื ให้บอก จำแนกประเภท ชนิดของเห็ดได้ 3. เพ่ือใหม้ ีควำมรบั ผิดชอบ รอบคอบ ซ่ือสัตย์ ในกำรปฏิบตั ิงำน จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม 1. บอกถงึ ชนิด ประเภทของเห็ด 2. เลอื กและบริโภคเห็ดไดอ้ ยำ่ งปลอดภยั 3. มคี วำมรบั ผิดชอบ รอบคอบ ซื่อสัตย์ ในกำรปฏบิ ตั ิงำน 3. สมรรถนะผลการเรียนรู้ทค่ี าดหวัง ผเู้ รียนบอกถึงชนิด ประเภทของเห็ด เลอื กและบริโภคเห็ดไดอ้ ยำ่ งปลอดภยั และมคี วำม รบั ผิดชอบ รอบคอบ ซื่อสตั ย์ ในกำรปฏิบตั งิ ำน 4.เนือ้ หาสาระ 1. ลกั ษณะทว่ั ไปและส่วนประกอบของเห็ด 2. ชนิด/ประเภทของเห็ด 3. ลกั ษณะของเห็ดท่รี บั ประทำนได้

8 5. กิจกรรมการเรียนการสอน ข้นั เตรียม 1.ครูนำเขำ้ สู่บทเรียนโดยกำรนำเอำรูปภำพของเห็ดแตล่ ะชนิดให้นกั เรียนดู ข้นั ดาเนินกิจกรรม 1. นกั เรียนแบ่งกลมุ่ ๆ ละ 4 - 5 คน ตำมควำมพึงพอใจ 2. ครูอธิบำยถึงชนิดและประเภทของเห็ดให้นกั เรียน 3. ใหส้ มำชิกแต่ละกล่มุ ช่วยกนั เขยี นชื่อและวำดภำพเห็ดแต่ชนิด โดยจำแนกเห็ดตำมท่ีไดเ้ รียนมำ แลว้ ทำเป็นรำยงำนส่งครู 4. ครูสังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนร่วมกนั เป็นกลมุ่ โดยใชแ้ บบประเมินพฤตกิ รรม พร้อมกบั ให้ ขอ้ เสนอแนะเพิม่ เตมิ เม่อื แต่ละกลมุ่ มปี ัญหำหรือขอ้ สงสัย ข้นั สรุปและประเมนิ ผล 1. ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุป 6.งานทมี่ อบหมายหรือกิจกรรมทมี่ อบหมาย 1. คน้ ควำ้ เพิ่มเติมจำกทีไ่ ดอ้ ภปิ รำยหรือสรุป 2. ทำรำยงำนเป็นกลุ่มแลว้ อภปิ รำยหนำ้ ช้นั เรียน 7. ส่ือการเรียนการสอน 1. แผ่นใส 2. วีดีทศั น์ 3. ตวั อยำ่ งเห็ดและผลิตภณั ฑเ์ ห็ดแตล่ ะชนิด 8. การประเมินผล 1. รำยงำน 2. แบบทดสอบ 3. วดั ผลกำรทำงำนเป็นกลมุ่ โดยประเมนิ จำกแบบบนั ทึกพฤติกรรม

9 9. บันทกึ หลังการสอน ผลการใช้แผนการจดั การเรียนรู้ ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ผลการเรยี นของนกั เรียน ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ผลการสอนของครู ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... .......................................................... .......................................................... (..........................................................) (..........................................................) หวั หน้าแผนกวชิ าอตุ สาหกรรมเกษตร รองผ้อู านวยการฝ่ ายวชิ าการ

10 แบบบันทึกการสังเกตความร่วมมือในการทางาน พฤตกิ รรม/ มีควำม มคี วำมร่วมมือใน มีควำมกลำ้ แสดง ระดบั รบั ผิดชอบ คะแนน กำรทำงำน ควำมคดิ เห็น รวม งำน 15 คะแนน ช่ือ - สกุล 5 คะแนน 5 คะแนน 5 คะแนน

11 แบบทดสอบ ตอนท่ี 1 จงเลือกคาตอบทีถ่ กู ต้องท่สี ุดเพียงข้อเดียว 1. เห็ดที่มีกำรผลติ มำกท่สี ุดในโลกไดแ้ ก่ ก. เห็ดเป๋ ำฮ้ือ ข. เห็ดแชมปิ ญอง ค. เห็ดฟำง ง. เห็ดหลินจือ 2. ชำวจีนนิยมบริโภคเห็ดชนิดใดมำก ก. เห็ดแชมปิ ญอง ข. เห็ดหอม ค. เห็ดฟำง ง. เห็ดหูหนู 3. ประเทศไทยมีกำรผลติ เห็ดชนิดใดมำกท่สี ุด ก. เห็ดฟำง ข. เห็ดนำงรม ค. เห็ดนำงฟ้ำ ง. เห็ดหูหนู 4. ในปี 2545 ประเทศใดม่มี กี ำรผลติ เห็ดมำกทส่ี ุด ก. สหรัฐอเมริกำ ข. ญปี่ ่ นุ ค. จีน ง. ไทย 5. เห็ดชนิดใหม่ท่กี ำลงั จะพฒั นำในรูปแบบกำรคำ้ ไดแ้ ก่ ก. เห็ดโคนญีป่ ่ นุ ข. เห็ดหัวลิง ค. เห็ดเป๋ ำฮ้ือ ง. เห็ดนกยงู 6. เห็ดทเ่ี จริญเติบโตโดยอำศยั อำหำรจำกสิ่งไมม่ ชี ีวติ (ซำกพชื ซำกสัตว)์ เรียกวำ่ ก. Saprophyte ข. Parasite ค. Mycorrhiza ง. Symbiotic 7. เห็ดท่เี จริญเติบโตพ่งึ พำอำศยั ซ่ึงกนั และกนั กบั รำกพืชยืนตน้ เรียกวำ่ ก. Saprophyte ข. Parasite ค. Mycorrhiza ง. Facultative 8. เห็ดชนิดใดทีม่ ีกำรเจริญสมั พนั ธก์ บั ปลวก ก. เห็ดโคนญปี่ ่ นุ ข. เห็ดโคน ค. เห็ดเผำะ ง. เห็ดตบั เตำ่ 9. เห็ดชนิดใดทไ่ี มส่ ำมำรถเพำะได้ ก. เห็ดโคน ข. เห็ดนำงรม ค. เห็ดเป๋ ำฮ้ือ ง. เห็ดหูหนู 10. เห็ดทม่ี ีลกั ษณะเป็นรูปกรวยลึกคลำ้ ยพดั สีขำวนวลหรือน้ำตำลออ่ น ผิวมีขนส้ัน ๆ สีน้ำตำล เมอ่ื

12 แห้งเน้ือจะแขง็ และเหนียว ไดแ้ ก่ ก. เห็ดลม ข. เห็ดนำงฟ้ำ ค. เห็ดนำงรม ง. เห็ดตบั เต่ำ 11. เห็ดที่มีลกั ษณะหมวกเห็ดรูปร่ำงกลมมีขนำดเลก็ กำ้ นยำวเรียว เกิดรวมกนั เป็นกลมุ่ เมื่อสุกเน้ือ นุ่มลื่นไดแ้ ก่ ก. เห็ดแชมปิ ญอง ข. เห็ดหูหนู ค. เห็ดนำงฟ้ำ ง. เห็ดเข็มเงิน เขม็ ทอง 12. เห็ดทมี่ ลี กั ษณะลกู กลม ๆ ขนำด 1.5 – 3.5 ซม. ไมม่ ลี ำตน้ ไม่มรี ำก ชอบข้นึ ตำมดินร่วน ไดแ้ ก่ ก. เห็ดแชมปิ ญอง ข. เห็ดเผำะ ค. เห็ดเข็มเงนิ เขม็ ทอง ง. เห็ดตบั เตำ่ 13. เห็ดทมี่ ีสรรพคณุ เป็นสมนุ ไพรไดแ้ ก่ ก. เห็ดหลินจือ ข. เห็ดโคนนอ้ ย ค. เห็ดตีนแรด ง. เห็ดฟำง 14. เห็ดพิษทีจ่ ดั เป็นเห็ดพิษร้ำยแรง สำมำรถทำใหเ้ สียชีวติ ได้ ส่วนใหญไ่ ดแ้ กเ่ ห็ดทีอ่ ยใู่ นสกลุ ใด ก. พรูโรตสิ ข. อะกำรีคำรสั ค. อะมำนิตำ้ ง. วอลว่ำ 15. เห็ดชนิดใดทเี่ ป็นเห็ดพษิ ก. เห็ดตบั เตำ่ ข. เห็ดระโงกหิน ค. เห็ดตะไคล ง. เห็ดหล่ม 16. เห็ดเป็นอำหำรท่ีมปี ริมำณอะไรมำกกว่ำผกั ทว่ั ไป ก. โปรตนี ข. คำร์โบไฮเดรต ค. ไขมนั ง. วติ ำมนิ 17. ส่วนประกอบทำงอำหำรของเห็ดท่ีมปี ริมำณนอ้ ย ไดแ้ ก่ ก. โปรตนี ข. คำร์โบไฮเดรต ค. ไขมนั ง. เสน้ ใย 18. วิธีกำรทดสอบเห็ดพิษ นิยมใชอ้ ะไรนำมำตม้ ทดสอบ ก. ขำ้ วสำร ข. หัวหอม ค. ชอ้ นเงิน ง. ถูกทกุ ขอ้ 19. กำรพฒั นำกำรเพำะเห็ดในประเทศไทย เร่ิมมกี ำรพฒั นำกำรเพำะเห็ดชนิดใดก่อน ก. เห็ดเป๋ ำฮ้ือ ข. เห็ดแชมปิ ญอง ค. เห็ดฟำง ง. เห็ดหูหนู

13 20. เห็ดชนิดใดท่ียงั ไม่สำมำรถผลติ เป็นเห็ดเศรษฐกิจในเชิงกำรคำ้ ได้ ก. เห็ดโคน ข. เห็ดโคนนอ้ ย ค. เห็ดโคนญป่ี ่ นุ ง. เห็ดหอม ตอนท่ี 2 จงอธิบาย 1. ตลำดเห็ดในประเทศไทยสำมำรถแบ่งออกไดก้ ี่ประเภท อะไรบำ้ ง 2. ผูผ้ ลิตเห็ดรำยยอ่ ยหรือผผู้ ลติ เห็ดทว่ั ไปมีช่องทำงกำรตลำดอยำ่ งไร

14 การจดั แบ่งกล่มุ เห็ด 1. แบ่งตามถน่ิ ทีอ่ ยู่ (Habitat) และแหล่งอาหาร (Food source) ได้แก่ 1.1 พวก Saprophytic mushrooms เป็นเห็ดท่ีเจริญเติบโต หรือไดอ้ ำหำรจำกกำร สลำยของซำกพืชซำกสัตว์ โดยมีจุลินทรียห์ ลำยชนิดช่วยในกำรยอ่ ยสลำย เช่น เห็ดสกลุ นำงรม เห็ดหอม เห็ดถว่ั เห็ดกระดมุ เป็นตน้ 1.2 พวก Parasitic mushrooms เป็นเห็ดที่เจริญเตบิ โตบนส่ิงมชี ีวติ อนื่ ๆ เช่น เจริญ บนพชื ช้นั สูง ซ่ึงมกั จะเป็นเห็ดที่เป็นศตั รูพชื เช่น เห็ดในสกุล Amillaria และ Ganoderma lucidum (หลินจือ) เป็นตน้ 1.3 พวก Mycorrhiza หรือ Symbiotic fungi ซ่ึงไมส่ ำมำรถเพำะเล้ยี งได้ ไดแ้ ก่ 1.3.1 พวกท่เี จริญเตบิ โตพ่งึ พำอำศยั ซ่ึงกนั และกนั กบั รำกพืชยนื ตน้ ซ่ึงจดั เป็น พวก Ectomycorrhiza เห็ดท่ีรับประทำนไดท้ ่ีเป็นพวก Mycorrhiza ส่วนใหญจ่ ะเป็น Ectomycorrhiza เช่น เห็ดตะไคล หรือเห็ดหลม่ ขำว (สกลุ Rusula) เห็ดตบั เต่ำดำ (สกุล Boletus) เห็ด Tricholoma matsutake เป็นตน้ 1.3.2 พวกที่ส่วนของเส้นใยเจริญเติบโต อำศยั อยใู่ นเซลของรำกพชื ไม่คอ่ ย พบในพวกเห็ดที่รับประทำนได้ จดั เป็นพวก Endomycorrhiza 1.3.3 พวกที่มีแหลง่ อำหำรเฉพำะ เช่น เห็ดท่ีมีกำรเจริญสัมพนั ธก์ บั แมลง ไดแ้ กเ่ ห็ดโคน (สกลุ Termitomyces) และพวก Cordyceps 2. แบ่งตามคณุ สมบัติ ได้แก่ 2.1 เห็ดท่ีรบั ประทำนได้ (Edible mushroom) มกี ลิน่ รสและสี แตกตำ่ งกนั ซ่ึงมที ้งั ชนิดเพำะเล้ยี งไดเ้ ป็นเห็ดเศรษฐกิจ และเพำะเล้ียงไม่ได้ ตวั อยำ่ งเห็ดทร่ี บั ประทำนไดไ้ ดแ้ ก่ 2.1.1 เห็ดฟาง ลกั ษณะทำงพฤกษศำสตร์ ดงั ภำพท่ี 2 ดอกตูมมลี กั ษณะเป็นกอ้ นกลมสีขำว เมื่อหมวกเห็ดเจริญเติบโตเตม็ ที่จะกำงออกคลำ้ ยร่ม มีเยื่อหุ้มเป็นกระเปำะคลำ้ ยถว้ ยรองรบั ฐำนเห็ด ครีบเมอื่ ออ่ นจะมีสีขำว เมื่อแกจ่ ะมีสีชมพูและเปล่ียนเป็นสีน้ำตำล

15 ภำพที่ 2 เห็ดฟำง ทม่ี ำ: สำนกั พิมพแ์ สงแดด (2548: 296) 2.1.2 เห็ดโคน ลกั ษณะทำงพฤกษศำสตร์ ดงั ภำพท่ี 3 หมวกดอกกลมปลำยแหลมเล็กนอ้ ย คลำ้ ยงอบ ดำ้ นบนของหมวกเห็ดสีน้ำตำลเรียบหรือมรี อยยน่ เล็กนอ้ ย ดำ้ นลำ่ งหมวกเป็นครีบสีขำวเรียง ชิดกนั ครีบดอกสีขำวส่วนโคนจะพองโป่ งออก กำ้ นดอกยำวประมำณ 12-20 ซม. หนำโป่ งตรงกลำง เล็กนอ้ ย เน้ือเย่อื มสี ีขำวนุ่มและเหนียว มีกลน่ิ หอมเฉพำะตวั ภำพที่ 3 เห็ดโคน ท่ีมำ: รำชบณั ฑติ ยสถำน (2539: 53) 2.1.3 เหด็ ลม ลกั ษณะทำงพฤกษศำสตร์ ดงั ภำพท่ี 4 หมวกเห็ดเป็นรูปกรวยลึก คลำ้ ย พดั สีขำวนวล หรือน้ำตำลออ่ น เส้นผำ่ ศนู ยก์ ลำง 5-8 ซม. ขอบงอลงเล็กนอ้ ย ผวิ มีขนส้นั ๆ สีน้ำตำล รวมกนั เป็นเกล็ดเลก็ ๆ ใตด้ อกมคี รีบเป็นร่องลกึ สีน้ำตำล ดอกออ่ นมีขอบบำงและมว้ นงอลง เมื่อแห้งเน้ือจะแข็งและเหนียว และเปล่ยี นเป็นสีน้ำตำลเขม้

16 ภำพท่ี 4 เห็ดลม ที่มำ: ศรำนนท์ เจริญสุข (2549: 13) 2.1.4 เห็ดขอนขาว ลกั ษณะทำงพฤกษศำสตร์ ดงั ภำพท่ี 5 หมวกดอกเป็นรูปกรวยต้นื สีขำว ขอบหมวกงอลงเลก็ นอ้ ย ขนำดเส้นผ่ำศูนยก์ ลำง 2 – 8 ซม. ผิวหมวกมเี กล็ดเลก็ ๆ สีขำวนวล หรือ น้ำตำลหมน่ กระจำยเรียงอยทู่ ว่ั หมวก ครีบหมวกสีขำว กำ้ นทรงกระบอกสีขำว ข้นึ เป็นกลมุ่ หรือเด่ียว โคนกำ้ นเรียงติดกนั 3 – 6 ดอก ดอกอ่อนเน้ือจะบำงและเหนียวเล็กนอ้ ย เม่ือแก่เน้ือจะแห้งและเหนียว ภำพท่ี 5 เห็ดขอนขำว ท่มี ำ: สำนกั พิมพแ์ สงแดด (2548: 284) 2.1.5 เห็ดเข็มเงนิ เข็มทอง ลกั ษณะทำงพฤกษศำสตร์ ดงั ภำพที่ 6 หมวกเห็ดรูปร่ำงกลมมีขนำดเลก็ กำ้ นยำวเรียว เกิดรวมกนั เป็นกลุ่ม เมอื่ สุกเน้ือนุ่มลน่ื

17 ภำพที่ 6 เห็ดเขม็ เงินเข็มทอง ท่มี ำ: สำเภำ ภทั รเกษวทิ ย์ (2546: 32) 2.1.6 เหด็ แครง หรือเห็ดตนี ต๊กุ แก ลกั ษณะทำงพฤกษศำสตร์ ดงั ภำพท่ี 7 ดอกเห็ดมีขนำดเล็กรูปร่ำงคลำ้ ย พดั ขอบงอลงเป็นลอน และมกั ฉีกแยกมีขนสีขำวหรือขำวปนเทำ ดอกเห็ดเม่ือบำนเตม็ ท่ีมีควำมกวำ้ ง ประมำณ 1 – 3 ซม. ยำวประมำณ 1 – 4 ซม. ที่ฐำนมีกำ้ นยำวประมำณ 0.1-0.5 ซม. ครีบเรียงเป็นรัศมี ออกไปจำกฐำนดอกและแยกเป็นแฉก เน้ือเหนียวขำวหม่น ภำพที่ 7 เห็ดแครงหรือเห็ดตีนตุก๊ แก ทีม่ ำ: ศรำนนท์ เจริญสุข (2549: 12) 2.1.7 เหด็ แชมปิ ญอง (เหด็ ฝรงั่ หรือเห็ดกระดมุ ) ลกั ษณะทำงพฤกษศำสตร์ ดงั ภำพท่ี 8 หมวกดอกสีขำวหรือสีครีม ลกั ษณะคลำ้ ยกระดมุ ขนำด 3 – 10 ซม. ครีบไมต่ ดิ กำ้ นมลี กั ษณะคลำ้ ยซี่ร่ม ระยะแรกสีขำวแลว้ เปลี่ยนเป็นชมพแู ละน้ำตำลดำ กำ้ นอว้ นส้นั ขนำด 3.5 x 1 – 2.5 ซม. ลกั ษณะทรงกระบอกและมีวง แหวน

18 ภำพท่ี 8 เห็ดแชมปิ ญอง (เห็ดฝรง่ั หรือเห็ดกระดุม) ทมี่ ำ: สำนกั พิมพแ์ สงแดด (2548: 289) 2.1.8 เหด็ นางฟ้า (นางฟ้าภฐู าน) ลกั ษณะทำงพฤกษศำสตร์ ดงั ภำพท่ี 9 หมวกดอกมลี กั ษณะคลำ้ ยเห็ด นำงรม ดอกเห็ดมสี ีครีมจนถึงดำ มเี ส้นผำ่ ศูนยก์ ลำง 5 – 15 ซม. ออกดอกเดี่ยวหรือเป็นกระจกุ กำ้ น ดอกเป็นเน้ือเดียวกบั หมวกดอก ครีบดอกมีสีขำวยำวตลอด ภำพท่ี 9 เห็ดนำงฟ้ำ (นำงฟ้ำภฐู ำน) ถำ่ ยภำพโดย: เพียงเพญ็ ตนั วฒั นำ 2.1.9 เหด็ นางรม (ฮังการ)ี ลกั ษณะทำงพฤกษศำสตร์ ดงั ภำพที่ 10 หมวกเห็ดรูปร่ำงคลำ้ ยหอย นำงรม ดอกสีขำวอมเทำ ขนำดดอกประมำณ 3 – 6 ซม. มกั เจริญเป็นกลุ่ม กลำงหมวกเวำ้ เป็นแอง่ ขอบ กลีบดอกโคง้ ลงเล็กนอ้ ย ลกั ษณะหมวกดอกเป็นเน้ือเดียวกบั กำ้ นดอก ครีบดอกเป็นแผ่นบำง ๆ สีขำว หรือเทำ

19 ภำพที่ 10 เห็ดนำงรม (ฮงั กำรี) ทีม่ ำ: ศรำนนท์ เจริญสุข (2549: 11) 2.1.10 เหด็ เป๋ าฮือ้ ลกั ษณะทำงพฤกษศำสตร์ ดงั ภำพท่ี 11 หมวกเห็ดมสี ีครีมถงึ สีเทำเขม้ ผวิ ดอกแหง้ ขอบหมวกมว้ นงอลงเลก็ นอ้ ย มขี นำดเส้นผำ่ ศนู ยก์ ลำง 4 – 12 ซม. เน้ือหนำ ครีบใตห้ มวก ดอกสีขำวถงึ ครีม บริเวณกลำงหมวกจะบ๋มุ เล็กนอ้ ย กำ้ นดอกมขี นำดใหญ่ ส้ัน อวบแน่น ไมอ่ ยกู่ ่งึ กลำง ดอก ภำพที่ 11 เห็ดเป๋ ำฮ้ือ ท่ีมำ: สำนกั พมิ พแ์ สงแดด (2548: 294) 2.1.11 เหด็ หอม ลกั ษณะทำงพฤกษศำสตร์ ดงั ภำพท่ี 12 หมวกเห็ดมรี ูปทรงกลม เส้นผำ่ ศนู ยก์ ลำง 3 – 10 ซม. ผิวมขี นรวมกนั เป็นเกลด็ หยำบ ๆ กระจำยทวั่ ไป ผิวหมวกดำ้ นบนสีน้ำตำล จนถงึ น้ำตำลเขม้ ครีบดอกเป็นแผ่นบำงสีขำว เม่อื แก่จะเปล่ียนเป็นสีเขม้ กำ้ นดอกมสี ีขำวหรือน้ำตำล ออ่ น เน้ือในขำวมกี ลิน่ หอมเฉพำะตวั

20 ภำพที่ 12 เห็ดหอม ทมี่ ำ: ศรำนนท์ เจริญสุข (2549: 9) 2.1.12 เหด็ หูหนูขาว ลกั ษณะทำงพฤกษศำสตร์ ดงั ภำพท่ี 13 เห็ดหูหนูขำวข้ึนรวมกนั เป็น กลมุ่ กอ้ น ติดกนั มีดอกบำงสีขำวใส รูปร่ำงมที ้งั แบบหมวกบำนใหญ่และบำนฝอย คลำ้ ยแมงกะพรุน ดอกเห็ดมีลกั ษณะคลำ้ ยวนุ้ ออ่ นนุ่ม ขอบหยกั ยน่ เป็นคลน่ื ขนำดดอก 8 - 12 ซม. ดอกแห้งมสี ีขำวอม เหลอื ง มรี สหวำนเยน็ ภำพที่ 13 เห็ดหูหนูขำว ที่มำ: สำนกั พิมพแ์ สงแดด (2550: 300) 2.1.13 เหด็ หูหนูสีน้าตาล ลกั ษณะทำงพฤกษศำสตร์ ดงั ภำพที่ 14 ดอกเห็ดมีลกั ษณะมนั เงำ บำงใส สีน้ำตำลปนดำ หรือปนแดง มีรอยหยกั เป็นคลืน่ รอบดอก มีขนำดกวำ้ ง 2 – 6 ซม. ยำว 5 – 15 ซม. หนำ 1 – 2 มม. ดำ้ นใตด้ อกมขี นละเอียดคลำ้ ยกำมะหยี่ กำ้ นดอกขนำดส้ันอยกู่ ลำงดอกหรือคอ่ นไปทำง ใดทำงหน่ึง มีรสหวำนเยน็

21 ภำพท่ี 14 เห็ดหูหนูสีน้ำตำล ท่มี ำ: สำนกั พิมพแ์ สงแดด (2550: 301) 2.1.14 เห็ดโคนญปี่ ่ นุ (เหด็ ยานางิ) ลกั ษณะทำงพฤกษศำสตร์ ดงั ภำพท่ี 15 ตุ่มดอกมลี กั ษณะคลำ้ ยไข่ แมลงสำบ จำกน้นั จะเจริญเป็นกลุ่มดอก หมวกดอกมลี กั ษณะคอ่ นขำ้ งกลม เส้นผ่ำศูนยก์ ลำง 1 – 3 ซม. กำ้ นดอกยำวเป็นรูปทรงกลมสูง 5 – 12 ซม. ดอกทอี่ อกใหมม่ ลี กั ษณะกลมตรงกลำงหมวกจะนูนสูง ข้ึนมำ ดอกสีน้ำตำลเมอื่ แกส่ ีหมวกจำงลง ภำพท่ี 15 เห็ดโคนญ่ีป่ นุ (เห็ดยำนำงิ) ทีม่ ำ: ศรำนนท์ เจริญสุข (2549: 6) 2.1.15 เหด็ ตนี แรด (เหด็ จน่ั ) ลกั ษณะทำงพฤกษศำสตร์ ดงั ภำพที่ 16 หมวกเห็ดรูปกระทะควำ่ สีขำว หมน่ หรือขำวนวล เส้นผ่ำศูนยก์ ลำง 5 – 15 ซม. เม่อื เป็นดอกออ่ นขอบหมวกมว้ นงอลง เป็นรูป ทรงกลม ผวิ เรียบ เน้ือสีขำว ครีบใหญส่ ีขำว กำ้ นใหญ่ ยำว 5 – 10 ซม. โคนเป็นกระเปำะ ผิวหยำบ เล็กนอ้ ย

22 ภำพท่ี 16 เห็ดตีนแรด (เห็ดจนั่ ) ทมี่ ำ: ศรำนนท์ เจริญสุข (2549: 11) 2.1.16 เหด็ ระโงก (เหด็ ไข่ห่าน) ลกั ษณะทำงพฤกษศำสตร์ ดงั ภำพท่ี 17 เห็ดระโงกมีท้งั สีขำว สีแดง และ สีเหลือง ดอกตูมกลมรีคลำ้ ยไข่ห่ำน เมอื่ โตข้ึนหมวกและกำ้ นดอกจะดนั ปลอกหุม้ แตกออก ผิวดอกเรียบ เป็นมนั เงำ ดอกเห็ดมีลกั ษณะเป็นเมือก ขนำดเสน้ ผ่ำศูนยก์ ลำง 5 – 12 ซม. ขอบหมวกมรี ่องเลก็ ๆ ตรงกนั กบั ครีบ เมื่อดอกบำน ขอบหมวกจะขำดตำมรอยน้ี กำ้ นดอกทรงกระบอก เน้ือเยื่อภำยในสีขำว และสำนตอ่ กนั อยำ่ งหลวม ๆ ตรงกลำงกำ้ นมีรูกลวงเลก็ นอ้ ย ภำพที่ 17 เห็ดระโงก (เห็ดไขห่ ่ำน) ทมี่ ำ: รำชบณั ฑิตยสถำน (2537: 46) 2.1.17 เห็ดเผาะ ลกั ษณะทำงพฤกษศำสตร์ ดงั ภำพท่ี 18 มลี กั ษณะเป็นลกู กลม ๆ ขนำด 1.5 – 3.5 ซม. ไม่มลี ำตน้ ไมม่ ีรำก ชอบข้ึนตำมดินร่วนท่ีถกู ไฟไหม้ เห็ดออ่ นมสี ีนวล เปลอื กนอกกรอบ ห่อหุม้ สปอร์สีขำว เห็ดแก่เปลอื กสีน้ำตำลถึงดำ สปอร์ขำ้ งในเป็นสีดำ เมือ่ แก่มำกพ้นื ผิวจะขรุขระ และแตกแยกออกเป็นแฉกรูปดำว เห็นสปอร์ขำ้ งใน

23 ภำพที่ 18 เห็ดเผำะ ท่ีมำ: สำนกั พิมพแ์ สงแดด (2548: 295) 2.1.18 เห็ดตบั เต่า ลกั ษณะทำงพฤกษศำสตร์ ดงั ภำพท่ี 19 หมวกเห็ดเป็นรูปกระทะคว่ำ เส้นผำ่ ศนู ยก์ ลำง 5 - 15 ซม. ดอกออ่ นมขี นละเอยี ดคลำ้ ยกำมะหยีส่ ีน้ำตำล เมื่อบำนเต็มท่ีกลำงหมวกเวำ้ เล็กนอ้ ย ผิวสีน้ำตำลเขม้ อมเหลอื งอ่อน ปริแตกเป็นแห่ง ๆ ดำ้ นล่ำงของหมวกมีรูกลม ๆ สีเหลอื ง ปำกรู เชื่อมติดเป็นเน้ือเดียวกนั เมือ่ บำนเต็มทีร่ ูจะเปลยี่ นเป็นสีเหลืองอมเขียวหม่น และเขยี วหมน่ อมน้ำตำล กำ้ นอวบใหญ่มีสีน้ำตำลอมเหลือง โคนกำ้ นโป่ งเป็นกระเปำะบำงส่วนนูนและเวำ้ เป็นร่องลึก ภำพท่ี 19 เห็ดตบั เต่ำ ท่ีมำ: สำนกั พิมพแ์ สงแดด (2548: 291) 2.1.19 เหด็ นกยูง ลกั ษณะทำงพฤกษศำสตร์ ดงั ภำพที่ 20 หมวกเห็ดออ่ นรูปไข่ ต่อมำ บำนเป็นรูปร่มสีขำว ตรงกลำงมสี ีน้ำตำล และเกล็ดละเอยี ดเป็นจุดสีน้ำตำลเรียงเป็นรศั มกี ระจำย ครีบสี ขำว กำ้ นรูปทรงกระบอก สีน้ำตำลออ่ น กวำ้ ง 0.8-1.5 ซม. ยำว 20 – 30 ซม. โดยกำ้ นเป็นกระเปำะ เลก็ นอ้ ย เมอ่ื ดอกแก่กำ้ นจะกลวงเล็กนอ้ ย มวี งแหวนอยทู่ ี่กำ้ นดอก

24 ภำพท่ี 20 เห็ดนกยงู ท่ีมำ: ศรำนนท์ เจริญสุข (2549: 14) 2.1.20 เห็ดนางรมหลวง หรือเหด็ เออริจนิ ลกั ษณะทำงพฤกษศำสตร์ ดงั ภำพท่ี 20 ดอกสีน้ำตำลออ่ นอมเทำ มี ขนำด 3 – 12 ซม. ตรงกลำงหนำ และขอบหมวกบำงมลี กั ษณะคลำ้ ยทรงกรวย ลำตน้ อวบใหญ่ สีขำว สูง 3 – 10 ซม. ภำพท่ี 21 เห็ดนำงรมหลวง หรือเห็ดเออริจิน ทม่ี ำ: สำเภำ ภทั รเกษวิทย์ (2546: 38) 2.2 เห็ดทีใ่ ชป้ ระโยชน์ทำงยำ (Medicinal mushroom) เห็ดที่รบั ประทำนไดห้ ลำย ชนิดท่ีมสี รรพคณุ ทำงยำ เช่น เห็ดโคนญ่ปี ่ นุ ใชเ้ ป็นยำขบั ปัสสำวะช่วยให้หำยห่อเหี่ยว หดหู่ ลดอำกำรหงุดหงิด ทำให้มำ้ มแขง็ แรงข้นึ เห็ดตบั เต่ำนำมำปรุงเป็นอำหำรบำรุงร่ำงกำยท่สี ึกหรอ และ กระสำยโลหิต นอกจำกน้ียงั มีเห็ดอกี หลำยชนิดทม่ี ปี ระโยชน์ทำงยำ แต่เห็ดที่มสี รรพคุณเป็นยำ สมุนไพรและสำมำรถเพำะเล้ียงไดใ้ นปัจจุบนั น้ีไดแ้ ก่ 2.2.1 เห็ดหลินจือ บำงคร้ังเรียกว่ำเห็ดหมน่ื ปี ลกั ษณะทำงพฤกษศำสตร์ หมวกเห็ดเมอ่ื โตเตม็ ท่ีเป็นรูปไต หรือคร่ึงวงกลม

25 กวำ้ ง 3 – 9 ซม. ดอกออ่ นสีเหลอื งขอบขำว กลำงดอกสีน้ำตำล หรือน้ำตำลแดง เน้ือเหนียว ดอกแกจ่ ะ แขง็ เป็นมนั สีน้ำตำลแดงเขม้ ข้ึน ขอบหมวกหนำงุม้ ลงเล็กนอ้ ย ครีบดอกมลี กั ษณะเป็นรูกลมเลก็ ๆ เป็นทอ่ เช่ือมกนั จะสร้ำงสปอร์เป็นผงสีน้ำตำล กำ้ นดอกสีน้ำตำลดำส้นั หรือ ไม่มกี ำ้ นอยเู่ ยอื้ งไปขำ้ งใดขำ้ งหน่ึงของดอก หรืออยตู่ ่อขอบหมวก ผิวกำ้ นเป็นมนั เงำ ผวิ เรียบ ภำพท่ี 22 เห็ดหลินจือ ท่มี ำ: สำนกั พมิ พแ์ สงแดด (2548: 298) คณุ สมบตั ิของเหด็ หลนิ จือในการรักษาโรค สำยพนั ธุท์ น่ี ิยมใชไ้ ดแ้ ก่ สำยพนั ธุ์จี 2 (G 2) ซ่ึงมีคุณสมบตั ปิ รับควำมดนั โลหิตท้งั สูงและ ต่ำ ลดปริมำณน้ำตำล ลดคลอเรสเตอรอล ปรับสมดุลของฮอร์โมน ช่วยอำกำรหลงั หมดระดขู องหญงิ และอำกำรทำงประสำท รกั ษำอำกำรภูมแิ พต้ ำ่ ง ๆ ยงั ย้งั เซลเน้ืองอกมะเร็ง แผลในกระเพำะและลำไส้ แกป้ วดตำมขอ้ และบำรุงร่ำงกำย วิธกี ารบริโภคเหด็ หลินจือ 1. กำรตม้ สกดั ตม้ เห็ดหลินจือจนน้ำเดือดแลว้ หรี่ไฟลงใหน้ ้ำเดือดปดุ ๆ ตอ่ ไป 15 – 20 นำที ควรดื่มน้ำสกดั ทมี่ อี ณุ หภมู ิเท่ำอุณหภูมริ ่ำงกำย 2. เห็ดหลนิ จือแคปซูล ส่วนมำกจะใชส้ ปอร์ในกำรบรรจแุ คปซูล 2.2.2 เหด็ หัวลงิ หรือเหด็ ภ่มู าลา ลกั ษณะทำงพฤกษศำสตร์ ดงั ภำพท่ี 23 ดอกเห็ดมีลกั ษณะกลม ๆ หรือรี คลำ้ ยภูม่ ำลำของทหำร มีสีขำว ผิวดอกไม่เรียบเป็นขนปุยฟู ดคู ลำ้ ยดอกไม้ ดอกใหญ่ขนำด 8 – 10 ดอก/ กิโลกรมั

26 ภำพที่ 23 เห็ดหัวลิงหรือเห็ดภู่มำลำ ทม่ี ำ: สำเภำ ภทั รเกษวิทย์ (2546: 45) สรรพคณุ เห็ดหวั ลงิ มสี ำรแลนติแนนและสำรเปปไทด์ ซ่ึงมีผลต่อกำรเพมิ่ ภมู คิ มุ้ กนั ในร่ำงกำย และช่วยเร่งกำรสร้ำงสำรภูมคิ ุม้ กนั มผี ลตอ่ กำรบำบดั อำกำรแผลในกระเพำะอำหำรและลำไส้ เลก็ และรกั ษำเน้ืองอกในหลอดอำหำร 2.3 เห็ดพษิ (Poisonus mushroom) เห็ดพษิ ที่พบในประเทศไทย และจดั เป็นเห็ดที่มี พิษร้ำยแรงถึงขนำดทำให้เสียชีวิตได้ ส่วนใหญ่ไดแ้ กเ่ ห็ดทอี่ ยใู่ นสกุลอะมำนิตำ้ (Amanita) ซ่ึงมี สำรพษิ พวกอะมำนิตนิ (Amanitin) ดงั น้นั กำรศกึ ษำลกั ษณะรูปร่ำงของเห็ดจึงมคี วำมสำคญั มำก เห็ดพษิ ทม่ี คี วำมสำคญั มำกไดแ้ ก่ 2.3.1 เหด็ ระโงกหนิ หรือเหด็ ไข่ห่านขาวตีนตนั (Amanita verna) เป็นเห็ดพิษ ร้ำยแรงมำก อำจตำยไดภ้ ำยใน 4 – 6 ช่วั โมง พิษเห็ดจะทำลำยเซลลต์ บั และไต ลกั ษณะดอกอ่อน เป็นกอ้ นกลมสีขำว ขนำดเส้นผำ่ ศูนยก์ ลำง 3-6 ซม. ดอกจะยืดเป็นรูปไข่ โดยผิวดำ้ นบน บำงและแตกออกเป็นรูปถว้ ยรองรับ ขนำดหมวก 5 – 10 ซม. ผวิ เรียบ หนืดมือเมือ่ เปี ยกน้ำ กำ้ นดอกยำว 5 – 12 ซม. เสน้ ผ่ำศนู ยก์ ลำง 1.5 – 2 ซม. โคนโป่ งเป็นกระเปำะเล็กนอ้ ย

27 ภำพท่ี 24 เห็ดระโงกหิน หรือเห็ดไข่ห่ำนขำวตนี ตนั (Amanita verna) ที่มำ: รำชบณั ฑติ ยสถำน (2539: 48) 2.3.2 เหด็ ระโงกหนิ ก้านขน (Amanita virosa) มีลกั ษณะคลำ้ ยเห็ดพวกอะมำนิตำ้ เวอร์น่ำมำก แตม่ ีขนสีขำวทก่ี ำ้ น ดงั ภำพท่ี 25 มีพษิ ทำใหต้ ำยได้ ภำพที่ 25 เห็ดระโงกหินกำ้ นขน (Amanita virosa) ที่มำ: รำชบณั ฑิตยสถำน (2539: 50) ภำพที่ 26 เปรียบเทียบเห็ดระโงกทีก่ ินได้ และทเ่ี ป็นเห็ดพษิ ทีม่ ำ: อนงค์ จนั ทร์ศรีกุล (2539: 132)

28 วิธีการทดสอบเหด็ พิษมดี ังน้ี 1. นำเห็ดมำตม้ กบั ขำ้ วสำร ถำ้ เป็นเห็ดพิษหรือเห็ดเมำ ขำ้ วสำรจะสุก ๆ ดิบ ๆ 2. ใส่หวั หอมลงไปตม้ ถำ้ เป็นเห็ดพษิ หัวหอมจะเปล่ยี นเป็นสีดำ 3. ขณะตม้ เห็ด ใชช้ อ้ นเงินลงไปกวนถำ้ เป็นเห็ดพิษ ชอ้ นเห็ดจะเปลยี่ นเป็นสีดำ 4. ใชม้ ือถูเห็ดจนเป็นรอย เมื่อรอยแผลถกู กบั อำกำศจะมสี ีดำ จำกนิตยสำรใกลห้ มอ ปี ท่ี 21 ฉบบั ที่ 8 สิงหำคม 2540 ] พิษจากเหด็ (นพ.อมรชัย หาญผดุงธรรมะ) เห็ดในธรรมชำติมีมำกมำยนบั พนั ชนิด มเี พียงไม่ก่ีชนิด ทม่ี กี ำรเพำะขำยเชิงพำณิชย์ เรำสำมำรถ พบเห็นเห็ดไดท้ วั่ ไป เช่น สนำมหญำ้ ตำมขอบไม้ หรือกิ่งไมท้ ตี่ ำยแลว้ ตำมใตต้ น้ ไม้ หรือเปลอื กตน้ ไม้ ในสวนในวนอทุ ยำน และในป่ ำ กำรเป็นพิษจำกเห็ดเกิดจำกกำรรบั ประทำนเห็ดเขำ้ ไป ท้งั โดยต้งั ใจและไม่ต้งั ใจ ท่ีต้งั ใจก็คอื เอำ มำปรุงอำหำร จะตม้ จะแกง หรือกินสดแลว้ แตอ่ ชั ฌำศยั แบบน้ีมกั ไดร้ ับพษิ กนั หลำยคนพร้อม ๆ กนั อำจ เหมำท้งั คณะ หรือท้งั ครอบครัวเลยถำ้ ทกุ คนกิน อีกแบบคือไม่ต้งั ใจครับ มกั เกิดกบั เดก็ ๆ เห็นเห็ดน่ำกินกห็ ยบิ ใส่ปำกเค้ียวเลน่ ไป โดย รู้เทำ่ ไมถ่ ึงกำรณ์ พ่อแมม่ ำรู้เอำตอนเห็นเห็ดอยใู่ นปำกเดก็ แลว้ แบบน้ีมกั เกิดในบำ้ นท่มี บี ริเวณกวำ้ ง หรือ มสี นำมหญำ้ มีสวนที่มเี ห็ดข้ึน หรือพำเดก็ ไปเทย่ี วตำมสวนป่ ำครับ พ่อแมก่ ต็ อ้ งตกใจแน่ล่ะเพรำะไมร่ ู้ว่ำกินเขำ้ ไปแคไ่ หน หรือกิน หรือยงั หรือแค่ใส่ปำกเฉย ๆ เรำมำรู้จกั พิษของเห็ดกนั กอ่ นนะครับ ในบรรดำเห็ดเป็นพนั ชนิดทม่ี ใี นโลกน้ี คำดว่ำมีร่วม 100 ชนิด ไดท้ ีเ่ ขำ้ ขำ่ ยเห็ดมพี ษิ และมรี ำว 10 ชนิดครบั ทีพ่ ษิ รุนแรงถึงชีวิตทีเดียว อำจแบง่ พิษจำกเห็ด เป็นกลมุ่ ตำมลกั ษณะพษิ ของมนั ดงั น้ี กล่มุ ที่ 1 พษิ ของเห็ดที่ชื่อว่ำ \"อะแมนิติน่ำ\" และ \"ฟัลลอยดิน\" จะเกิดอำกำร หลงั จำกรับประทำน เขำ้ ไป แลว้ 6 ถึง 36 ชว่ั โมงครับ อำกำรสำคญั คอื คลืน่ ไส้ อำเจียน ปวดทอ้ ง ถำ่ ยอุจจำระเป็นเลอื ด จะเป็นอยรู่ ำว 12-48 ชั่วโมง กรณีรุนแรงอำจเกิดภำวะตบั วำย ไตวำย เลอื ดออก อำกำรทำงระบบประสำท และอำจเสียชีวติ ไดใ้ น 4-7 วนั สำรพษิ ชนิดน้ี มคี วำมรุนแรงมำก และยงั คงทนควำมร้อนดว้ ย คอื ว่ำ แมเ้ อำไปตม้ ไปแกง กย็ งั มพี ษิ อยู่ ปริมำณสำรพิษในเห็ดแตล่ ะดอกจะไม่แน่นอน ข้นึ กบั ฤดกู ำลและทอ้ งทด่ี ว้ ย ถำ้ พษิ มมี ำกรับประทำนคำ เดียวกอ็ ำจตำยไดค้ รบั

29 ในกลุม่ น้ียงั มีพิษอีกชนิดหน่ึงชื่อว่ำ \"ออเรลลำนิน\" ซ่ึงทนควำมร้อนเช่นกนั รบั ประทำนเขำ้ ไป 2 ถงึ 14 วนั จึงเกิดอำกำร อำกำรเป็นเช่นเดียวกบั ทกี่ ลำ่ วมำ และตำมมำดว้ ยกระหำยน้ำ, ปัสสำวะมำก, ตอ่ มำ ไตจะวำย และปัสสำวะนอ้ ยลง กล่มุ ที่ 2 เป็นพษิ ของเห็ดเกิดสำรพิษชื่อ \"มสั ซิโมล\" และ \"กรดอโิ บเทนิค\" เกิดอำกำรภำยใน 30-60 นำที หลงั รบั ประทำน มอี ำกำรทำงจิตประสำทไดห้ ลำยแบบ ต้งั แต่ กระวนกระวำย อยไู่ ม่สุข ไปจนถงึ เซ่ืองซึม มนึ เมำ และประสำทหลอน อำจพูดไมช่ ดั เดินเซ เป็นตะคริว กรณีพษิ มำกจะเกิดอำกำร อำเจียน ทอ้ งร่วง และชกั กล่มุ ที่ 3 มพี ษิ ตอ่ ทำงเดินอำหำร, เมด็ เลอื ดแดง, ตบั และประสำท สำรพิษช่ือ \"ไจโรมยั ทริน\" เกิดอำกำ ภำยใน 6 ถงึ 12 ชวั่ โมง หลงั รับประทำน ถำ้ นำเห็ดไปตม้ จนเดือดสัก 10 นำที พิษจะสลำยตวั ไปได้ 99% เห็ดดอกเดียวก็อำจเพียงพอที่จะเกิดพิษได้ กลำ้ มเน้ือเป็นตะคริว อำเจียน และถำ่ ยอุจจำระเป็นน้ำ อำกำรตำมมำดว้ ย ออ่ นเพลีย ผิวออกเขยี วคล้ำ ดซี ่ำน ประสำทสบั สน ชกั โคม่ำ และถึงแกช่ ีวิต ภำยใน 5-7 วนั กล่มุ ที่ 4 สำรพิษจำกเห็ดชนิดน้ีชื่อว่ำ มสั คำริน เกิดพษิ ภำยใน 1 ชัว่ โมง หลงั รับประทำน มสี ่วนนอ้ ยทพี่ ิษ เกิดชำ้ ใชเ้ วลำถงึ 1 วนั อำกำรประกอบดว้ ย ม่ำนตำหดเล็กลง น้ำลำยไหล น้ำตำไหล เหงือ่ ออก ผวิ หนงั แดง และอ่นุ อำจมีอำกำรคลนื่ ไส้ หัวใจเตน้ ชำ้ และหลอดลมหดตวั อำกำรจะลดลง และหำยไป ภำยใน 6-24 ชวั่ โมง มกั ไม่รุนแรงถึงขนำดเสียชีวติ กล่มุ ท่ี 5 สำรพิษช่ือ \"ค็อปปริน\" พบในเห็ดทอี่ ยตู่ ำมสนำมหญำ้ เอกลกั ษณข์ องพษิ น้ีคือ ทำใหเ้ กิดอำกำร เมือ่ ดื่มสุรำไปพร้อมกนั กบั กำรรบั ประทำนเห็ด จะเกิดอำกำร ภำยในไม่ก่นี ำที มีอำกำรผิวหนงั แดง และ อนุ่ , เหงือ่ แตก, คล่นื ไส้, อำเจียน, ใจสัน่ และเจ็บหนำ้ อก อำกำรจะดีข้ึนภำยใน 2-4 ชว่ั โมง บำงคนอำจด่ืม สุรำไมไ่ ดน้ ำนถึง 48 ชวั่ โมง หลงั รับประทำนเห็ดท่มี ีพิษน้ีเขำ้ ไป กล่มุ ท่ี 6 สำรพิษช่ือ \"ซิโลไซนิน\" และ \"ซิโลซิน\" เป็นสำรท่ที ำให้เกิดอำกำรทำงจิตประสำท รุนแรงกว่ำ พิษของกลุ่มที่ 2 เกิดอำกำรภำยใน 20-60 นำที หลงั รับประทำน เห็ดแคด่ อกเดียว ก็อำจทำให้เกิด อำกำร ภำพหลอน และหัวเรำะโดยไม่มเี รื่องขำ อำจมคี ลนื่ ไส้ มำ่ นตำขยำย และหวั ใจเตน้ เร็ว อำจมพี ษิ ตอ่ ตบั และ ในเด็กอำจทำใหไ้ ขส้ ูงและชกั กล่มุ ท่ี 7 เป็นพษิ หลำยชนิดทีย่ งั ไม่ทรำบรำยละเอียด และเป็นสำรทรี่ ะคำยเคอื งตอ่ ระบบทำงเดินอำหำร

30 อำกำรเกิดภำยใน 30 นำทีถึง 2 ชว่ั โมง เห็ดหลำยชนิดท้งั กินดิบและสุก ทำให้เกิด อำกำรน้ีได้ คอื คลนื่ ไส้ อำเจียน และถำ่ ยอุจจำระเป็นน้ำ อำกำรพิษจำกกลุ่มน้ีจะคอ่ ย ๆ หำยไปภำยใน 24 ชว่ั โมง เห็ดบำงชนิดถำ้ เก็บมำผดิ ฤดกู ำล หรือในสภำพแวดลอ้ มผดิ ปกติ เช่น แห้งแลง้ ก็อำจทำใหเ้ กิดอำกำรเป็น พิษได้ เพรำะมีสำรพิษเขม้ ขน้ ข้นึ นอกจำกพษิ ท้งั 7 กลุ่มที่กล่ำวมำแลว้ ยงั มีเห็ดอีกหลำยชนิดทีม่ พี ษิ พิเศษออกไป แตกตำ่ งจำก 7 กลุ่มน้ี เห็ดบำงชนิดทำใหเ้ กิดไตวำย โดยพษิ ท่ีแตกต่ำงจำกพษิ ในกล่มุ ที่ 1 เห็ดชนิดหน่ึงทใี่ ชป้ ระกอบยำ จีน มีฤทธ์ิตอ่ กำรทำงำนของเกร็ดเลือด เห็ดอีกชนิดทำใหเ้ กิดโลหิตจำงจำกเมด็ เลือดแตกตวั การรักษา แบ่งเป็น 2 กรณี กรณีแรก เมอื่ ยงั ไม่มีอำกำรของกำรเป็นพิษแสดงออกมำให้เห็น ถำ้ เป็นเดก็ ทีย่ งั ไมร่ ู้ภำษำ พบวำ่ เดก็ กำเห็ดอยู่ หรือมีเห็ดในปำก ใหถ้ ือไวก้ อ่ นว่ำเดก็ กินเขำ้ ไปแลว้ รีบพำเด็กไปหำหมอ หมอจะใหย้ ำทำ ใหเ้ ด็กอำเจียนออกมำ แลว้ ใหด้ ื่มน้ำผสมผงถำ่ น ตำมเขำ้ ไปดูดซบั พษิ จำกน้นั กต็ อ้ งเฝ้ำดูอำกำรกนั ล่ะ ( เช่น อำกำรปวดทอ้ ง คล่นื ไส้ อำเจียน ถำ่ ยเป็นเลือด) ดไู ปอยำ่ งนอ้ ย 24 ชวั่ โมงครับ ผใู้ หญ่ก็ทำอยำ่ ง เดียวกนั เวน้ เสียแตว่ ่ำ สำมำรถตรวจเห็ด ท่ีกินเขำ้ ไปแลว้ (มีเหลอื อยหู่ รือนำตวั อยำ่ งมำใหแ้ พทย)์ พบว่ำ ไม่ใช่เห็ดมีพิษ กไ็ มต่ อ้ งทำอะไร กรณที ส่ี อง เกิดอำกำรของพิษจำกเห็ดแลว้ แบบน้ีตอ้ งเขำ้ โรงพยำบำลแน่ แพทยจ์ ะให้ยำทำให้ อำเจียน ในกรณีที่ 1. ผปู้ ่ วยยงั ไม่อำเจียน 2. ผปู้ ่ วยยงั สตดิ ี และกำรหำยใจปกติ 3. ไมส่ ำมำรถบอกไดว้ ำ่ ใช่เห็ดมีพษิ หรือไม่ใช่ 4. ไม่มอี ำกำรประสำทหลอน หรือไมม่ ีอำกำรตวั แดง เหง่อื แตก อำเจียน ใจสั่น หรือเจ็บหนำ้ อก ถำ้ ยงั ไมม่ อี ำกำรอยู่ และยงั ไมร่ ู้วำ่ ใช่เห็ดมพี ษิ หรือไม่ แพทยจ์ ะให้ผงถำ่ น เขำ้ ไปดูดซบั พิษทอ่ี ยใู่ นลำไส้ ถำ้ จำเป็นอำจตอ้ งใหผ้ งถำ่ นทำงสำยยำง ที่สอดผ่ำนรูจมกู อำจให้น้ำเกลือดว้ ยถำ้ พบวำ่ มีภำวะร่ำงกำยขำดน้ำ พิษกล่มุ ท่ี 1 ยงั ไม่มยี ำตำ้ นพษิ ท่เี ฉพำะเจำะจง สำหรับเห็ดกลุ่มน้ีครับ แพทยต์ อ้ งรกั ษำตำมอำกำร ประคบั ประคองไป ไตวำยกต็ อ้ งฟอกเลอื ดลำ้ งไต ตบั วำยอำจตอ้ งผ่ำตดั เปล่ียนตบั ถำ้ ทำได้ พษิ กล่มุ ท่ี 2 อำกำรพิษจะค่อย ๆ หมดไปเองได้ เพียงแตค่ อยดูแล ใหอ้ ยใู่ นที่สงบเงียบ อำจให้น้ำเกลือช่วย ถำ้ กระวน กระวำยมำกหรือชกั ก็ให้ยำกลอ่ มประสำท หรือยำระงบั กำรชกั

31 พษิ กล่มุ ท่ี 3 ถำ้ ไตวำยตอ้ งฟอกเลอื ด ลำ้ งไต รกั ษำภำวะทำงตบั อำจใหว้ ิตำมนิ บี 6 และกรดโฟลิก เพือ่ บรรเทำอำกำร ทำงระบบประสำทและระบบทำงเดินอำหำร พษิ กล่มุ ท่ี 4 ถำ้ อำกำรรุนแรงอำจใหย้ ำอะโทรปี น เขำ้ เส้นเลือดดำ พษิ กล่มุ ท่ี 5 พษิ จะค่อย ๆ หมดฤทธ์ิไปเอง หำ้ มให้ยำทำใหอ้ ำเจียนเพรำะ ในยำน้ีมแี อลกอฮอลผ์ สมอยู่ จะทำใหเ้ กิด อำกำรมำกข้ึนอำจใหย้ ำแกใ้ จสั่นหรือเกลอื ถำ้ ควำมดนั โลหิตต่ำ พิษกล่มุ ท่ี 6 ในผใู้ หญ่ใหร้ กั ษำแบบเดียวกบั กำรรักษำพิษกลมุ่ ท่ี 2 ครับ ในเด็กทอี่ ำจมีไขส้ ูง ตอ้ งช่วยลดไขโ้ ดยเช็ดตวั หรือใชน้ ้ำเยน็ ช่วย ห้ำมใช้แอสไพรินลดไข้ พิษกล่มุ ท่ี 7 รักษำตำมอำกำรเช่น ใหน้ ้ำเกลือ ให้ยำแกอ้ ำเจียน เป็นตน้

32 การปฐมพยาบาล คงจะใชก้ ำรลว้ งคอให้อำเจียนโดยเร็วท่ีสุดครับ เม่อื สงสัยวำ่ รับประทำนเห็ดพษิ เขำ้ ไปแลว้ กำรทำ อำเจียนจะมีผลมำก ถำ้ ทำภำยใน 30 นำที หลงั รับประทำน แลว้ กอ็ ยำ่ ไปพบแพทย์ หรือไปโรงพยำบำลนะ ครบั นพ.อมรชยั หาญผดงุ ธรรมะ เตอื น! เหด็ พฆิ าต กินแล้วตายได้ เตอื น! เหด็ พฆิ าต เตือนเหด็ พษิ ช่วงหน้าฝน บางชนดิ กมฤี ทธริ์ นุ แรงกนิ เข้าไปถงึ ตายได้ นกั วจิ ยั ระบทุ พี่ บมากคอื เห็ดไข่หา่ น เห็ดหวั กรวดครีบเขยี วออ่ น เหด็ ระโงกหนิ ชย้ี งั มคี วามเชือ่ ผดิ ๆ ในการทดสอบ ศ.นพ.ยง ภวู่ รวรรณ ภาควชิ ากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั กลา่ ววา่ ในฤดฝู นนบั เป็ นช่วงทเี่ ห็ดสามารถเจรญิ เตบิ โตไดด้ ี ชาวบ้านจงึ มกั นิยมเขา้ ป่ า เพอื่ เก็บเหด็ มาขาย หรือปรุงอาหาร หากแตใ่ นธรรมชาตมิ เี ห็ดหลายชนิดทมี่ พี ษิ รา้ ยแรงทมี่ ลี กั ษณะ ใกลเ้ คยี งกบั เหด็ ทรี่ บั ประทานได้ ดงั น้นั หากผบู้ รโิ ภครเู้ ทา่ ไม่ถงึ การณ์อาจไดร้ บั อนั ตรายถงึ ขน้ั เสยี ชีวติ \"เห็ดมพี ษิ ทพี่ บอยทู่ ่วั โลกมปี ระมาณ 100 ชนิด ซึง่ ผลการศกึ ษาเหด็ เมาในประเทศไทยพบวา่ เห็ดเมาทพี่ บมากในภาคเหนือ เช่น เห็ดไขห่ า่ น (amanita virosa) ภาคกลาง เชน่ เห็ดหวั กรวดครีบ เขียวออ่ น ภาคใต้ เชน่ เหด็ หวั กรวด เหด็ ขี้ควาย ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ เช่นเหด็ ระโงกหิน เป็ น ตน้ \" ศ.นพ.ยงกล่าวว่า กลไกการเกดิ พษิ ของเหด็ เมาสามารถแบ่งไดเ้ ป็ น 3 กลุ่มใหญๆ่ คอื 1.กลุ่มเห็ดทเี่ ป็ นพษิ ต่อระบบทางเดนิ อาหาร มกั พบในเหด็ ทีข่ นึ้ บรเิ วณทีโ่ ลง่ แจ้ง อาทิ เห็ดหวั กรวดครบี เขยี วออ่ น (Chlorophyllum molybdites) แมจ้ ะตง้ั ชอื่ ครีบเขยี วออ่ นแตเ่ มอื่ สงั เกตจาก

33 รูปรา่ งแล้วกลบั ไมพ่ บสดี งั กล่าวเลย สว่ นวธิ กี ารจาแนกทาไดโ้ ดยนาเหด็ ทบี่ านเต็มทแี่ ล้วมาเคาะดูสปอร์ ซ่งึ จะพบมสี ีเขียวมะกอก หากรบั ประทานเขา้ ไปจะมีอาการปวดทอ้ ง คลนื่ ไสอ้ าเจียนอยา่ งรุนแรง ใน กรณีเดก็ อาจเกดิ ภาวะการขาดน้าอยา่ งรนุ แรงถึงขน้ั เสยี ชวี ติ 2.กลมุ่ เห็ดทเี่ ป็ นพษิ ต่อตบั อยา่ งรุนแรง เชน่ เห็ดในกล่มุ ระโงก พบไดบ้ ่อยทางภาคอีสานหรอื ภาคเหนือของประเทศไทย คอื เหด็ กลุม่ นี้มที ง้ั ชนดิ ทรี่ บั ประทานไดแ้ ละไม่ได้ ซง่ึ วธิ ีการจาแนกดว้ ย รูปลกั ษณ์ภายนอกทาไดย้ ากมาก ขณะทปี่ ระเทศไทยเองกย็ งั มกี ารศกึ ษาเห็ดในกลุม่ น้ีน้อยมาก ใน เบือ้ งตน้ ถา้ เป็ นเห็ดระโงกกลุม่ มพี ษิ จะมีสขี าวถึงนวลและสีน้าตาล รวมทง้ั มลี กั ษณะของวงแหวนทลี่ า ตน้ ทง้ั นี้ทีผ่ า่ นมาทมี วจิ ยั ไดศ้ กึ ษาไวช้ นิดหนง่ึ คอื เห็ดไขห่ า่ น (Amanita virosa) พบว่ามีสารพษิ ในกลมุ่ Amatotoxin มฤี ทธขิ์ ดั ขวางการสรา้ งเซลล์โปรตีนของเซลล์ตบั ทาใหเ้ ซลลต์ บั ตาย และเคย เป็ นตน้ เหตขุ องการเสียชวี ติ ทง้ั ครอบครวั ของชาวบ้านทจี่ งั หวดั อดุ รธานีมาแลว้ 3.กลมุ่ เห็ดทเี่ ป็ นพษิ ต่อระบบประสาท พบมากในเห็ดเมาทชี่ าวบ้านเรียกกนั ว่า เห็ดระโงกหนิ มี ลกั ษณะคลา้ ยเหด็ ระโงกท่วั ไป บางชนดิ มีสสี นั ทฉี่ ูดฉาด เชน่ Amanita muscaria มพี ษิ กอ่ ใหเ้ กดิ อาการชกั กระตุก อาเจยี น ทอ้ งเสีย นา้ ลายฟูมปาก น้าตาไหล รมู ่านตามีขนาดเล็กลง ชีพจรเต้นไม่ สม่าเสมอ และเสียชีวติ ไดใ้ นทสี่ ุด ศ.นพ.ยง กล่าวว่า เห็ดมีพษิ ในธรรมชาตหิ ลายชนดิ มีความคล้ายคลงึ กบั เหด็ ทรี่ บั ประทานมาก จนยากทจี่ ะจาแนกไดว้ ่าเห็ดชนดิ ใดมีพษิ หรือไม่มพี ษิ ดงั น้นั จงึ ไมค่ วรนาเหด็ ทไี่ มร่ จู้ กั มารบั ประทาน หากแตว่ า่ ทกุ วนั น้ียงั มปี ระชาชนจานวนมากยงั มคี วามเช่อื ทผี่ ดิ เกีย่ วกบั การทดสอบความเป็ นพษิ ของ เห็ด เช่น ถ้านาน้าตม้ เห็ดมาแตะกบั ช้อนเงนิ แลว้ เป็ นสีดาแสดงว่าเป็ นเหด็ พษิ , หากเป็ นเหด็ เมาเมอื่ ใส่ หวั หอมจะเป็ นสีดา, เห็ดทมี่ สี ีสวยเทา่ น้นั จะเป็ นเหด็ พษิ หรอื เหด็ ทมี่ แี มลงกดั กนิ ยอ่ มรบั ประทานได้ ซ่ึง ทีมวจิ ยั เคยเพาะเชือ้ เห็ดไขห่ า่ นขาว ผลปรากฏว่าพบแมลงหวเี่ กดิ ขนึ้ บง่ ช้วี า่ มแี มลงหวีใ่ นธรรมชาตไิ ข่ ไว้ในครบี ของเหด็ และแมลงอาศยั อยไู่ ด้ ดงั น้นั หากความเช่ือดงั กล่าวไม่สามารถพสิ จู น์ไดจ้ รงิ กไ็ ม่ ควรนามาเป็ นขอ้ ปฏบิ ตั ิ สาหรบั คาแนะนาเพอื่ ใหก้ ารรบั ประทานเห็ดอรอ่ ยและปลอดภยั ศ.นพ.ยง กล่าวว่า หลกั สาคญั คอื ตอ้ งรจู้ กั เหด็ ชนดิ น้นั เป็ นอยา่ งดกี ่อนจะนามาปรงุ อาหาร สว่ นในรายทสี่ งสยั วา่ เกดิ อาการจากเหด็ พษิ ใหร้ บี พาผปู้ ่ วยไปพบแพทย์เพอื่ ลา้ งทอ้ งโดยดว่ น และควรนาเหด็ ทรี่ บั ประทานไปใหแ้ พทย์ดูดว้ ยจะ ทาใหช้ ่วยเหลือไดท้ นั การณ์. ขอ้ มลู จาก ภาพประกอบ เครือขา่ ยสาธารณสขุ จงั หวดั สระแกว้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook