โครงงานวิทยาศาสตร์ เรือ่ ง ปยุ๋ หมักชีวภาพอินทรี จดั ทาโดย นาย กติ ติศกั ดิ์ กณั หาวรรณ เลขท่ี 1 นางสาว ธนั วารตั น์ ทวั่ จบ เลขท่ี 20 นางสาว อาริยา กันทะวงษ์ เลขท่ี 30 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 6/2 เสนอ คณุ ครู ขนิษฐา ศรบี รุ นิ ทร์ รายงานน้เี ป็นสว่ นหนึ่งของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2566 โรงเรียนเชยี งกลมวทิ ยา
1 กติ ตกิ รรมประกาศ ปัจจุบันประชาชนประสบปัญหาปุ๋ยมีราคาแพง ได้กลายเป็นปัญหาท่ีสาคัญของชาวเกษตรกร ดังนั้นคณะ ผู้จัดทาโครงงานจึงได้คิดโครงงาน ปุ๋ยหมักชีวภาพเพื่อช่วยลดรายจ่ายใสนครัวเรือนได้ส่วนหนึ่งทางคณะผู้จัดทาก็ ขอขอบคุณ คุณครูขนิษฐา ศรีบุรินทร์ และคุณครูชฎาทิพย์ วงษ์อยู่ (นักศึกษาฝึกประสบการ) ที่เป็นที่ปรึกษารายวิชา โครงงานและการนาเสนอโครงงาน(เคม)ี ทีค่ อยช่วยเหลอื และใหค้ าปรกึ ษาแนะนา จนโครงงานนสี้ าเรจ็ ไดด้ ้วยดี คณะผูจ้ ดั ทา ขอขอบพระคณุ ทุกทา่ นดังที่ไดก้ ล่าวถงึ มาข้างตน้ และทไี่ มไ่ ด้กล่าวถึงไว้ ณ ที่นเี้ ปน็ อยา่ งสงู
2 บทคัดย่อ เน่ืองจากเล็งเห็นปัญหาการใช้สารเคมีในการเกษตรมากขึ้น เพื่อกาจัดแมลงศัตรูพืช และให้ผลผลิตท่ีมี คุณภาพสูงแต่ ขาดความปลอดภัยต่อตัวเกษตรกรและผู้บริโภค น้าหมักชีวภาพก็เป็นอีกทางเลือกหน่ึงท่ีใช้ใน การทาเกษตร และเริ่ม ได้รับความนิยมมาก แต่ละชุมชนแต่ละพ้ืนท่ีก็มีสูตรและวิธีหมักท่ีแตกต่างกันไป ดังน้ันทางคณะผู้จัดทา จึงได้ปรับปรุง แก้ไขสูตรน้าหมักชีวภาพโดยหมักจากสมุนไพร 7 รสชาติ ท่ีมี คุณสมบัติก้าจัดแมลงศัตรูพืชเข้าไว้ในสูตรเดียวกัน เพ่ือ เพิ่มประสิทธิภาพในการก้าจัดศัตรูพืชมากยิ่งข้ึนดังน้ัน การรวมสรรพคุณของสมุนไพรที่มีผลต่อการทาหลายระบบการ ทางานของศัตรูพืชรวมเอาไว้ภายในสูตรเดียว จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีท่ีช่วยลดปัญหาแมลงศัตรูพืช และที่สาคัญสมุนไพร เหล่านี้ สามารถหาได้ง่ายในชุมชนหรือ ท้องถิ่น น้าหมักชีวภาพสมุนไพรสูตรท่ีคณะผู้จัดทาปรับปรุงแก้ไขสามารถใช้ได้ จริงทาให้ผลผลิตออกมามี คุณภาพและปลอดสารเคมีไม่อันตรายต่อเกษตรกรและตัวผู้บริโภค อีกทั้งยังไม่ทาลาย ทรพั ยากรธรรมชาตอิ ีก ด้วย
3 สารบัญ บทท่ี หน้าท่ี กิตติกรรมประกาศ 1 บทคดั ย่อ 2 สารบญั 3 คานา 5 1 ท่ีมาและความสาคัญ 6 -จุดประสงค์ของการศึกษา 8 -สมมตุ ิฐานของการศึกษาคน้ ควา้ -ตวั แปรทเี่ กีย่ วขอ้ ง 14 -ขอบเขตของการศึกษา -ประโยชน์ทคี่ าดว่าจะได้รับ 2 เอกสารท่ีเกี่ยวข้อง -ปจั จัยท่ีจาเป็นต่อการทาปุ๋ยหมัก -การใชป้ ระโยชน์จากปุ๋ย -ขนั้ ตอนการผลติ ปยุ๋ อินทรีย์ -ขอ้ ห้ามของการผลติ ปุ๋ยอินทรยี ์ -ประเภทของใบไม้ 3 วิธีการทดลอง -วสั ดแุ ละอุปกรณ์ - สารเคมี -วธิ ีทดลอง -วัสดุและส่วนผสม -วิธที า
4 ผลการทดลอง 4 5 สรุปผลการทดลอง เอกสารอา้ งอิง 16 17 18
5 คานา โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง ปุ๋ยหมักชีวภาพจากวัสดุที่เหลือจากใบไม้และเศษพืชผักทางการเกษตร โครงงาน เร่ืองน้ีศึกษาการทาปุ๋ยหมักชีวภาพจากใบไม้และเศษพืชผักทางการเกษตร เช่น ใบไม้ เศษผัก เพราะเป็นพืชที่หาได้ ง่ายในทอ้ งถนิ่ และชุมชนหรอื บางคร้ังกเ็ หลือจากการประกอบอาหารภายใน ครัวเรอื น และเปน็ การนาพืชผกั ทเ่ี หลือใช้ เหล่าน้ีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ นอกจากพืชผักแล้วยังนาเอาจุรินทรีย์ EM และกากน้าตาล มาช่วยเร่งการย่อยสลาย เพ่ือให้เป็นปุ๋ยชีวภาพเพื่อทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีท่ีมีราคาสูง ฆ่าแมลง ลดปัญหาดินเส่ือมคุณภาพ ลดปัญหาส่ิงแวดล้อม ปัญหาตอ่ สุขภาพเกษตรกรและลดการนาเข้าจากตา่ งประเทศดว้ ย ผู้จัดทาหวังเป็นอย่างย่ิงว่าโครงงานในเร่ืองน้ีคงเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรและผู้ที่สนใจท่ีจะทาปุ๋ยข้ึนมาใช้เอง โดยไมต่ อ้ งใชป้ ุ๋ยเคมเี ลย หากมขี ้อผิดพลาดประการใดผูจ้ ัดทาต้องขออภัยไว้ ณ โอกาสน้ีด้วย
6 บทท1ี่ 1.1ท่มี าและความสาคญั คนไทยส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรมและประเทศไทยจะอาศัยการเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมการเกษตรเป็น พ้ืนฐานสาคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศโดยเฉพาะพืชผลทางการเกษตรเป็นสินค้าท่ีส่งออกท่ีสาคัญนารายได้ เข้าประเทศได้ปีละมหาศาลและผลักดันประเทศไปเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารของโลกแ ต่ปัจจุบันการเกษตรได้รับ ผลกระทบจากการซ้ือปุ๋ยเคมีท่ีมีราคาสูงมากส่งผลกระทบต่อราคาต้นทุนการผลิตสูงข้ึนประกอบกับคนไทยนิยมทา การเกษตรเคมีมากกว่ายึดรูปแบบตามธรรมชาติ การใช้ปุ๋ยเคมีเพื่อการเกษตรประเทศไทยมีแนวโน้มมากข้ึนแต่กาลัง ความสามารถในการผลิตปุ๋ยเคมีเพื่อการเกษตรของประเทศไทยนั้นไม่เพียงพอจึงจาเป็นต้องนาปุ๋ยเคมีเข้าจาก ต่างประเทศทาให้ประเทศไทยเสียดุลการค้า การใช้ปุ๋ยเคมีในปริมาณมากแทนธาตุอาหารที่เป็นอินทรียวัตถุและการใช้ สารเคมีฆา่ แมลงแทนสมุนไพร เพ่ือการกาจดั ศตั รพู ชื ก่อใหเ้ กดิ ปัญหาด้านตา่ ง ๆ เช่น ดังน้ันผู้จัดทาโครงงานจึงมีแนวความคิดที่จะนาวัสดุที่เหลือใช้ทางการเกษตร เช่นผักต่าง ๆ และผักสะเดา จุรินท รยี ์ EM และกากน้าตาล นามาผลติ เปน็ ปยุ๋ หมกั ชวี ภาพ ดังนน้ั การเอา จรุ นิ ทรีย์ EM มาช่วยในการเร่ง ปฏกิ ิริยาการ ย่อยสลายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่เหลือใช้ให้เป็นปุ๋ยชีวภาพเพื่อทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีในการเกษตรเพื่อ ลดต้นทุนการผลิตการเกษตร ลดการนาเข้าปุ๋ยเคมีจากต่างประเทศท่ีมีราคาสูง ลดปัญหาสิ่งแวดล้อมและปัญหาต่อ สุขภาพต่อเกษตรกรและผูบ้ รโิ ภคด้วย จดุ ประสงค์ของการศกึ ษา 1.เพ่ือศึกษาวิธีการทานา้ หมักชวี ภาพและค้นควา้ กับการวดั ค่า PH ของดนิ 2.เพือ่ ศกึ ษาทดสอบประสิทธิภาพของนา้ หมกั ชวี ภาพ สมมุตฐิ านของการศึกษาค้นควา้ ปุ๋ยหมักชีวภาพจากวัสดุที่เหลือจากเศษพืชผักทางการเกษตร ส่งผลต่อการไล่แมลงและศัตรูพืชและการย่อย ของนาเอาจรุ นิ ทรยี ์ EM และกากน้าตาล ตัวแปรที่เก่ยี วขอ้ ง ตวั แปรตน้ น้าหมักชวี ภาพ ตัวแปรตาม ปริมาณและศตั รูพืชทล่ี ดลง
7 ตวั แปรควบคมุ ปริมาณของจรุ ินทรีย์ EM ปริมาณกากนา้ ตาล และอตั ราสว่ นผสมของปริมาณวสั ดุ ขอบเขตของการศกึ ษา 1.เพื่อศกึ ษาการทานา้ หมักชวี ภาพจากวสั ดุท่ีเหลอื จากเศษพชื ผักทางการเกษตร 2.เพ่อื ศึกษาประสิทธภิ าพของน้าหมกั จากหมักชวี ภาพสตู รไล่แมลง ประโยชน์ทค่ี าดวา่ จะไดร้ บั 1.ทราบถงึ วิธีการทาปยุ๋ หมกั ชวี ภาพจากวสั ดุทเ่ี หลือจากเศษพชื ผักทางการเกษตร 2.ทราบถงึ การทาปยุ๋ หมักชีวภาพและการนาปยุ๋ หมักชีวภาพไปใชแ้ ทนปยุ๋ เคมีทมี่ รี าคาสงู 3.ช่วยลดมลภาวะของสิ่งแวดล้อมลง เน่ืองจากจุรินทรีย์ EM และกากน้าตาลสามารถย่อยสลายส่วนประกอบทาง ชีวเคมีของพชื ให้กลายเปน็ ธาตอุ าหารนาไปใช้ในการเจริญเตบิ โต 4. เป็นการรกั ษาคณุ ภาพของดนิ และเปน็ การเพมิ่ จุรินทรยี ใ์ นดนิ ให้มากขน้ึ
8 บทท่ี 2 เอกสารท่ีเก่ยี วขอ้ ง ปุ๋ยหมกั คือ ปุ๋ยท่ีได้จากการหมกั สารอนิ ทรีย์ให้สลายตัวผุพังตามธรรมชาติ โดยนาส่ิงเหลา่ นนั้ มากองรวมกนั รดนา้ ให้ ช้ืน แล้วปล่อยทิ้งไวใ้ ห้เกิดการย่อยสลายตัวโดยกิจกรรมของจุลนิ ทรีย์ จึงนาไปใช้ปรับปรุงดิน ในการเตรียมกองปุ๋ยหมัก อาจใส่ปุย๋ เคมีเพ่ือช่วยเรง่ กิจกรรมของจุลินทรยี ด์ นิ เปน็ การเพ่ิมคณุ ค่าด้านธาตอุ าหารของปุ๋ยหมกั ด้วย ปัจจัยทจี่ าเป็นต่อการทาปุ๋ยหมกั 1. การเลือกสถานทท่ี ่ีจะใช้ในการทาปุ๋ยหมกั - ควรเลือกบรเิ วณใกลก้ ับแหลง่ ซากสตั ว์และซากพืช ให้มากทีส่ ุด และสะดวกในการขนย้ายไปใช้ - ควรอยู่ใกลแ้ หล่งน้า แต่ควรอยูห่ า่ งจากแหล่งนา้ บรโิ ภค - ควรเปน็ บรเิ วณที่ดอน น้าท่วมไม่ถึง 2. แรงงาน เพ่ือใชใ้ นการขนยา้ ย การเตรียมวสั ดุตา่ งๆเพอ่ื นามาใชผ้ ลติ ปยุ๋ หมกั
9 - ซากพืช เชน่ ฟางข้าว เปลือกถว่ั ตน้ ถวั่ ต้นขา้ วโพด ใบอ้อย ต้นและใบฝา้ ย ซากพชื ตระกูลถั่วตา่ งๆทั้งท่เี ปน็ หญ้าสด และหญา้ แหง้ ใบไมท้ ุกชนิดเป็นต้น - ซากสัตว์ หรือ ปุ๋ยคอก เป็นแหล่งของจุลนิ ทรยี ์ และอาหารของจุลินทรยี ์ หรืออาจจะใช้สารเร่งทเ่ี ป็นแหล่งจุลนิ ทรีย์ ทม่ี ปี ระสิทธภิ าพในการย่อยสลาย - อุปกรณต์ า่ งๆทีใ่ ช้ในการผลิตปุ๋ย การดแู ลรกั ษาปุ๋ยหมกั - ควรรดนา้ อย่างสมา่ เสมอ - ควรตรวจสอบความชืน้ ในกองปยุ๋ โดยการบบี เศษวสั ดุจากกองปุ๋ย - การกองปุ๋ยปยุ๋ แบบชนดิ กลับกอง จะมกี ารจดั วางกองเป็นช้นั แลว้ มกี ารกลบั กองทุก 10-15 วัน - การกองป๋ยุ แบบไม่กลับกอง จะทาแบบเดียวกับแบบชนิดกลบั กอง แตม่ ีการทาช่องระบายอากาศไว้ ลกั ษณะป๋ยุ หมักทน่ี าไปใชไ้ ด้แลว้ - อณุ หภูมใิ นกองลดลงเทา่ กบั อุณหภูมิภายนอกรอบๆกองปยุ๋ - สขี องเศษวัสดุเปล่ียนเปน็ สนี า้ ตาลดา และมลี กั ษณะออ่ นนุม่ และเปื่อยยุ่ย - ไม่มกี ลิ่นฉนุ ของกา๊ ซตา่ งๆ
10 - อาจมีหญา้ หรือเหด็ ข้นึ บนกองปุ๋ยหมักได้ การใชป้ ระโยชน์จากปยุ๋ หมกั - การใชป้ ุย๋ หมกั ในการเตรียมแปลงในการปลูกผกั และพืชไร่และไมด้ อก - ใช้เป็นปุ๋ยแต่งหนา้ - การใช้ปุย๋ หมกั กบั การปลูกพืชผกั และไมด้ อกไมป้ ระดับในภาชนะปลูก - การใชป้ ๋ยุ หมักกับไมผ้ ล ข้ันตอนการผลิตปุ๋ยอินทรีย์วธิ ี มดี ังน้ี 1.นาฟางข้าวหรือใบไม้ เล้ียงสัตว์ 4 ส่วน วางเป็นช้ันบางๆ สูงไม่เกิน 10 เซนติเมตร โดยไม่ต้องเหยียบ โปรยทับดว้ ย มูลสัตว์ 1 ส่วน แล้วรดน้า ทาเช่นนี้ จนเต็มวง รดน้าแต่ละชั้นให้มีความชื้น ความสาคัญของการที่ต้องทาเป็นช้ันบางๆ เพือ่ ใหจ้ ุลินทรีย์ทีม่ อี ยู่ในมลู สัตว์ไดใ้ ชท้ ัง้ ธาตคุ าร์บอนท่มี ีอยู่ในเศษพืชและธาตุไนโตรเจนทมี่ ีในมูลสัตว์ในการเจรญิ เติบโต และสรา้ งเซลล์ ซึง่ จะทาใหก้ ารย่อยสลายวตั ถดุ ิบเปน็ ไปได้อย่างรวดเรว็ 2.รักษาความชื้นภายในกองปุ๋ยให้มีความเหมาะสมอยู่เสมอตลอดเวลา (มีค่าประมาณร้อยละ 60–70) โดยมี 2 ข้ันตอน ดังน้ี ขน้ั ตอนท่ี 1 รดน้าภายนอกกองปุ๋ยวันละครง้ั โดยไม่ใหม้ นี า้ ไหลนองออกมาจากกองป๋ยุ มากเกนิ ไป ขั้นตอนท่ี 2 เมื่อครบวันที่ 10 ใช้ไม้แทงกองปุ๋ยให้เป็นรูลึกถึงข้างล่างแล้วกรอกน้าลงไป ระยะห่างของรูประมาณ 40 เซนติเมตร ทาข้นั ตอนทสี่ องน้ี 5 ครัง้ ระยะเวลาหา่ งกัน 10 วัน เมือ่ เตมิ นา้ เสร็จแลว้ ให้ปดิ รู เพอ่ื ไมใ่ ห้สญู เสยี ความร้อน ภายในกองปุ๋ย ขั้นตอนน้แี มว้ า่ ในชว่ งของฤดูฝนก็ยังต้องทาเพราะนา้ ฝนไม่สามารถไหลซึมเข้าไปในกองปุ๋ยได้ จากข้อดีท่ี น้าฝนไม่สามารถชะลา้ งเข้าไปในกองปุย๋ ได้ ผูด้ แู ลจงึ สามารถผลติ ปยุ๋ อนิ ทรยี ด์ ว้ ยวธิ ีนีใ้ นฤดฝู นไดด้ ว้ ย ภายในเวลา 5 วนั แรก กองปุ๋ยจะมคี า่ อุณหภูมิสูงข้ึนมาก บางคร้งั สงู ถงึ 70 องศาเซลเซียส ซ่งึ เปน็ เรื่องปกตสิ าหรับกอง ปุ๋ยทที่ าได้ถกู วธิ ี ความร้อนสูง น้ีเกิดจากกิจกรรมการย่อยสลายของจุลินทรีย์ (จุลินทรีย์มีมากมายและหลากหลายในมูลสัตว์อยู่แล้ว) และความร้อนสูงนี้ยังเป็นสภาวะแวดล้อมท่ีเหมาะสมกับการทางานของจุลินทรีย์ในกองปุ๋ยอีกด้วย (จุลินทรีย์กลุ่ม Thermophiles และ Mesophiles) หลงั จากนัน้ อณุ หภูมิจะคอ่ ยๆ ลดลงจนมคี า่ อุณหภูมปิ กติทีอ่ ายุ 60 วัน 3.เม่ือกองปุ๋ยมีอายุครบ 60 วัน ก็หยุดให้ความชื้น กองปุ๋ยจะยุบตัวลงประมาณ 1 ส่วน 3 ของวงตาข่าย แล้วทาปุ๋ย อินทรีย์ให้แห้งเพ่ือให้จุลินทรีย์สงบตัว (Stabilization Period) และไม่ให้เป็นอันตรายต่อรากพืช วิธีการทาปุ๋ยอินทรีย์ ให้แห้งอาจทาโดยทงิ้ ไวใ้ นกองเฉยๆ ประมาณ 1 เดอื น หรืออาจแผก่ ระจายให้มีความหนาประมาณ 20 – 30 ซม. ซึ่งจะ
11 แห้งภายในเวลา 3–4 วัน สาหรับผู้ที่ต้องการจาหน่ายปุ๋ยอินทรีย์ก็อาจนาปุ๋ยอินทรีย์ท่ีแห้งแล้วไปตีป่นให้มีขนาดเล็ก สมา่ เสมอ สามารถเกบ็ ได้นานหลายปี กองป๋ยุ ทส่ี ูง 1.5 เมตรจะสามารถเก็บกักความร้อนทเี่ กิดจากปฏิกิริยาการย่อยสลายของจุลนิ ทรียเ์ อาไว้ในกองปุ๋ย ความ ร้อนน้ีนอกจากจะเป็นสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะกับจุลินทรีย์ชนิดชอบความร้อนสูงที่มีในมูลสัตว์แล้วเม่ือความร้อนนี้ ลอยตัวสูงข้ึนจะทาให้อากาศภายนอกที่เย็นกว่าไหลเวียนเข้าไปในภายในกองปุ๋ย ซ่ึงเกิดจากการพาความร้อน (Chimney Convection) อากาศภายนอกท่ไี หลหมนุ เวียนเขา้ กองปุย๋ น้ชี ว่ ยทาให้เกิดสภาวะการย่อยสลายของจุลินทรีย์ แบบใช้ออกซเิ จน (Aerobic Decomposition) ทาให้ไม่ตอ้ งมกี ารพลกิ กลับกอง และช่วยให้กองปุ๋ยไม่มีกล่ินหรือน้าเสีย ใดๆ ข้อห้ามของการผลติ ปยุ๋ อนิ ทรยี ์วิธี ขอ้ หา้ มของการผลิตปยุ๋ อนิ ทรียว์ ิธีนีค้ ือ 1.ห้ามขึ้นเหยียบกองปุ๋ยให้แน่น หรือเอาผ้าคลุมกองปุ๋ย หรือเอาดินปกคลุมด้านบนกองปุ๋ย เพราะจะทาให้อากาศไม่ สามารถไหลถา่ ยเทได้ 2.ห้ามละเลยการดูแลความช้ืนทั้ง 2 ขั้นตอน เพราะถ้ากองปุ๋ยแห้งเกินไป จะทาให้ระยะเวลาแล้วเสร็จนานและปุ๋ย อนิ ทรยี ์มคี ุณภาพต่า 3.ห้ามวางเศษพืชเป็นช้นั หนาเกินไป การวางเศษพืชเป็นช้ันหนาเกินไปจะทาใหจ้ ุลินทรียท์ ่ีมีในมูลสัตว์ไม่สามารถเข้าไป ย่อยสลายเศษพชื ได้ 4.ห้ามทากองปยุ๋ ใต้ต้นไม้ เพราะความรอ้ นของกองปยุ๋ อาจทาให้ต้นไม้ตายได้ 5.ห้ามระบายความรอ้ นออกจากกองปยุ๋ เพราะความร้อนสงู ในกองปุ๋ยจะชว่ ยใหจ้ ุลินทรยี ์ทางานได้ดีมากขน้ึ และยังชว่ ย ใหเ้ กิดการไหลเวยี นของอากาศผ่านกองป๋ยุ อีกดว้ ยใบไม้ / โครงเส้นใบของใบไม้ ใบไม้ (leaf) เป็นส่วนที่สร้างอาหารโดยกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ใบไม้มีขนาดและรูปร่างแตกต่างกันหลาย แบบแบ่งเป็น 2 แบบใหญ่ๆ ตามลกั ษณะท่ีแตกต่างกนั
12 ประเภทของใบไม้ ใบเดย่ี ว ใบเด่ียว (simple leaf) หมายถึง ใบท่ีมีเพียงใบเดียวติดกับก้านที่แตกออกจากก่ิง หรือลาต้น เช่น มะม่วง กล้วย แต่ ยงั มใี บเดี่ยวบางชนดิ ทีข่ อบใบเวา้ เข้าไปมากทาใหด้ ูคล้ายใบประกอบ เช่น มะละกอ มนั สาปะหลัง เป็นตน้ ใบประกอบ ใบประกอบ (compound leaves) หมายถึง ใบท่ีมีใบยอ่ ยตัง้ แต่ 2 ใบอยู่ตดิ กบั กา้ นใบ 1 ก้าน แต่ละใบของใบ ประกอบ เรียก ใบย่อย (leaflet หรือ Pina) ก้านใบย่อย เรียก เพทิโอลูล (petiolule หรือ petiolet) ส่วนก้านใบใหญ่ ท่ีอย่รู ะหวา่ งชว่ งก้านใบย่อย เรยี ก ราคสิ (rachis) ใบประกอบแยกย่อยได้ 2 แบบ ใบประกอบแบบฝ่ามือหรือแบบน้ิวมือ (palmately compound leaves) ใบย่อยแต่ละใบจะแยกออกจากก้านใบท่ี จุดรวมเดียวกัน โดยจะมีใบย่อยตั้งแต่ 2 ใบเช่น มะขามเทศ ใบย่อย 3 ใบเช่น ยางพารา ถ่ัว ใบย่อย 4 ใบ เช่น ใบนุ่น หนวดปลาหมึก
13 ใบประกอบแบบขนนก (pinnately compound leaves) ใบย่อยแต่ละใบแยกออกจากก้าน 2 ข้างของแกนกลาง คล้ายขนนก ถ้าปลายสุดของใบจะเป็นใบย่อยเพียงใบเดียวเรียก แบบขนนกคี่ (odd pinnate) เช่น กุหลาบ อัญชัน กา้ มปู ถ้าสดุ ปลายใบมี 2 ใบ เรียกแบบขนนกคู่ (even pinnate) ใบประกอบแบบขนนกอาจแบ่งย่อยได้อกี คือ ใบประกอบแบบขนนกช้ันเดียว (unipinnate) เป็นใบประกอบท่ีมีใบย่อยแยกออกจากแกนกลางเพียงคร้ังเดียว เช่น กหุ ลาบ มะขาม ขเ้ี หลก็ เป็นตน้ ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น (bipinnate) เป็นใบประกอบแบบขนนกทีแ่ ยกออกจากก้านเปน็ ครั้งท่ี 2 จึงมีใบย่อย เช่น จามจุรี หางนกยงู เป็นต้น ใบประกอบแบบขนนกสามช้ัน (tripinnate) เป็นใบประกอบแบบขนนกที่แตกแขนงออกจากก้านเป็นครั้งที่ 3 จึงมีใบ ย่อย เชน่ ปบี มะรุม เป็นต้น
14 บทท่ี 3 วธิ ีการทดลอง วัสดุและอปุ กรณ์ 1.เครอื่ งวดั คา่ PH 1 อนั 2.เศษผกั 1 ถัง 3.ใบสะเดา ½ ถงั 4.น้า 20 ลติ ร 5.ถัง 1 ใบ สารเคมี 1.กากน้าตาล 1 ขวด 2.จลุ นิ ทรีย์ 1 ขวด วธิ ที ดลอง การทาปุย๋ หมกั ชวี ภาพ(สตู รไลแ่ มลง) วัสดุและส่วนผสม 1.เศษผัก 1 ถงั 2.ใบสะเดา 1/2 ถัง 3.กากน้าตาล 1 ขวด 4.จุลนิ ทรยี ์ 1 ขวด 5.น้าสะอาด 20 ลิตร
15 วิธที า 1.นาเศษผักและสะเดามาผสมกันในถงั ที่เตรยี มไว้ 2.นากากน้าตาล และ จุลินทรยี ์ มาเทลงในถัง 3.เทน้าลงในถังและคลุกเคล้าเศษผกั และสะเดาในถงั ให้เขา้ กันกบั จุลนิ ทรยี แ์ ละกากนา้ ตาล 4.หลงั จากคลกุ เคล้าส่วนผสมให้เขา้ กันแล้วหลังจากนนั้ ปิดฝาใหส้ นทิ อย่าให้อากาศเข้า ท้ิงไวป้ ระมาณ 3 เดอื น หลังจากหมักไปแล้ว 1 เดือนแล้วค่อยเปิดฝาออกนาไม้มาคนให้เศษผักที่อยู่ด้านบนให้ไปอยู่ด้านล่างของถังหลัง จากนั้นปิดฝาให้สนิทและท้ิงไว้อีก 2 เดือนและหลังจาก 2 เดือนแล้วเปิดฝาถังจะเห็นราสีขาวขึ้นมาข้างบนของน้า หมัก และมีกล่ินของการหมัก สามารถนาน้าหมักมาใช้ได้โดยการกรองเอาแต่น้า และเศษผักที่เหลือสามารถนาไป หมักต่อได้ ส่วนน้าหมักนามาผสมกับน้าโดยมีอัตราส่วนน้าหมัก 1 ลิตร ต่อน้า 10 ลิตร และใช้ฉีดหรือรดพืชผัก สัปดาห์ละ 2 ครั้ง
16 บทที่ 4 ผลการทดลอง จากการทดลองเร่อื งนา้ หมักชวี ภาพสูตรสะเดาไลแ่ มลงทาให้คณะผจู้ ดั ทาได้สารวจประสทิ ธิภาพของนา้ หมกั จากการเปรยี บเทยี บประสทิ ธิภาพจะเหน็ ไดด้ งั นี้ ชนดิ ของปยุ๋ คา่ PH การกัดเจาะของแมลง กอ่ นใช้ หลังใช้ ปุย๋ ชวี ภาพ 7.03 7.02 กอ่ นใช้ หลังใช้ ปุ๋ยเคมี 7.03 5.01 มแี มลงมาเจาะ ไมม่ ี มีแมลงมาเจาะ ไมม่ ี จากการทดลองสรุปไดว้ ่าการท่ีเราใชป้ ุ๋ยเคมีในการไลแ่ มลงสามารถไล่แมลงให้กับพืชผลทางการเกษตรได้ก็จริงแต่เม่ือ เปรียบเทียบกับปุ๋ยหมักชีวภาพแลว้ ประสิทธภิ าพของดนิ ก็จะแตกตา่ งกันเชน่ ถ้าเราใชป้ ุ๋ยเคมีในการไล่แมลงค่า PH ของ ดินจะมีความเป็นกรด ถ้าเราใช้ปุ๋ยชีวภาพค่า PH ของดินจะมีความเป็นกลาง ดังน้ันเราก็ควรที่จะใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพ เพราะประสิทธิภาพการไล่แมลงเมื่อเทียบกับปุ๋ยเคมีแล้วก็มีค่าเท่ากันแต่ประสิทธิภาพของค่า PH จะแตกต่างกันอย่าง มาก
17 บทที่ 5 สรุปผลการทดลอง จากการทดลองทาน้าหมกั ชีวภาพสตู รสะเดาไลแ่ มลงโดยใช้วสั ดุเหลอื ใช้จากการเกษตร โดยใช้สะเดา และเศษผัก มาทาปยุ๋ หมักชวี ภาพซึง่ มสี ว่ นผสมดังน้ี ส่วนผสมทานา้ หมักชวี ภาพสูตรสะเดาไล่แมลง 1. เศษผกั 1 ถัง 2.ใบสะเดา 1/2 ถัง 3.กากนา้ ตาล 1 ขวด 4.จลุ นิ ทรีย์ 1 ขวด 5.น้าสะอาด 20 ลติ ร จากผลการทดลองสรุปได้ว่าการทีเ่ ราใชป้ ๋ยุ เคมีในการไล่แมลงสามารถไลแ่ มลงใหก้ ับพชื ผลทางการเกษตรได้ ก็จรงิ แต่เม่อื เปรียบเทยี บกับปยุ๋ หมักชีวภาพแล้วประสิทธิภาพของดนิ ก็จะแตกต่างกันเชน่ ถ้าเราใช้ปุ๋ยเคมใี นการไล่แมลง ค่า PH ของดนิ จะมีความเปน็ กรด ถา้ เราใชป้ ุ๋ยชีวภาพค่า PH ของดินจะมีความเป็นกลาง ดงั น้นั เราก็ควรที่จะใช้ปุ๋ยหมัก ชีวภาพเพราะประสิทธิภาพการไล่แมลงเม่ือเทียบกับปุ๋ยเคมีแล้วก็มีค่าเท่ากันแต่ประสิทธิภาพของค่า PHของดินจะ แตกต่างกันอยา่ งมากและเปน็ การอนุรักษ์ทรพั ยากรธรรมชาติอีกดว้ ย
18 เอกสารอา้ งองิ https://sites.google.com/site/sbacsamui/khorng-ngan/pu-y-hmak-chiwphaph
Search
Read the Text Version
- 1 - 19
Pages: