มสธ การกูย้ มื เงิน 3-51 กิจกรรม3.2.3 1. ให้ นกั ศึกษาอ ธิบาย ว่า การ เล่น แชร์เ ปีย หวย เป็นส ญั ญาป ระเภท ใด 2. การป ระมลู ด อกเบย้ี ใ นก ารเ ลน่ แ ชรเ ์ ปยี ห วย ประมลู ไ ดส ้ งู สดุ เ กนิ ก วา่ อ ตั ราร อ้ ยล ะส บิ ห า้ ต อ่ ป ไ ี ด ้ หรอื ไ ม่ เพราะ เหต ุใด แนวต อบก ิจกรรม3.2.3 1. การเ ลน่ แ ชรเ ์ ปยี ห วย ไมใ่ ชส ่ ญั ญาก ย ู้ มื เ งนิ หรอื ส ญั ญาค า้ำ ป ระกนั ห รอื ส ญั ญาต วั แทนเ ปน็ ส ญั ญา ธรรมดาช นดิ ห นง่ึ ซง่ึ ฟ อ้ งร อ้ งบ งั คบั ค ดก ี นั ไ ด ้ แมไ ้ มม่ ห ี ลกั ฐ านเ ปน็ ห นงั สอื (ฎ.1631-1634/2508, 284/2516, 2553/2518) 2. การป ระมลู ด อกเบย้ี ใ นก ารเ ลน่ แ ชรเ ์ ปยี ห วยป ระมลู ไ ดเ ้ กนิ ร อ้ ยล ะส บิ ห า้ ต อ่ ป เ ี พราะม ใิ ชส ่ ญั ญาก ู้ ยืมเ งิน ไม ต่ อ้ ง ห้าม ตาม ปพพ. มาตรา 654 และ พรบ. ห้ามเ รียก ดอกเบ้ยี เ กนิ อ ัตรา พ.ศ. 2475 มสธ มส ธมมสธสธมสธสธ
มสธ 3-52 กฎหมายพาณชิ ย์2:ยืมฝากท รัพย์ตัวแทนประกันภ ยั ตอนท ี่3.3 ดอกเบี้ย โปรด อา่ น หวั เ ร่อื ง แนวคดิ และว ัตถปุ ระสงค์ ของ ตอนท ่ี 3.3 แล้วจ ึงศ กึ ษาร ายล ะเอียด ตอ่ ไ ป หัวเรื่อง 3.3.1 ความ หมาย ของด อกเบ้ยี และก ารค ิดอ ตั ราด อกเบ้ยี 3.3.2 ดอกเบี้ย ทบ ตน้ แนวคิด 1. ดอกเบ้ยี เ ปน็ ผลต อบแทน จาก การ ให้ก ู้ย มื เ งิน 2. การค ิด ดอกเบ้ยี คดิ ไดส ้ ูงสุด ไม่เ กินอ ตั รา ท ี่กฎหมายก าำ หนด 3. ก ารค ดิ อ ตั ราด อกเบยี้ ข องส ถาบนั ก ารเ งนิ น นั้ สามารถค ดิ ไ ดต ้ ามท ก ี่ าำ หนดไ วใ ้ นก ฎหมาย พิเศษ ซ่งึ อาจ คิด ไดใ ้ น อตั ราท ส่ี งู ก ว่าท ก่ี าำ หนด ไว ใ้ นป ระมวล กฎหมาย แพง่ และ พาณชิ ย์ 4. ดอกเบ้ีย ทบ ต้น เป็นการ คิด ดอกเบ้ีย จาก ดอกเบี้ย ท่ี ค้าง ชำาระ แล้ว นำา ไป ทบ กับ ต้น เงิน เปน็ ต้นเ งนิ ใ หมซ่ ึง่ ต ามป กต ิกฎหมายห ้าม ม ิใหก ้ ระทำา วัตถุประสงค์ เมือ่ ศกึ ษาต อนท ี่ 3.3 จบแ ล้ว นักศึกษาส ามารถ 1. อธิบายอ ตั ราด อกเบี้ยส ูงสุดท ีก่ ฎหมาย กาำ หนด ได้ 2. อธบิ าย เหตุผลก ารค ดิ ด อกเบย้ี ของ สถาบัน การ เงนิ ได้ 3. วนิ ิจฉยั ได้ว า่ กรณ ใี ดท ีก่ ฎหมายใ หค ้ ดิ ดอกเบี้ย ทบต น้ ไ ด้ มสธ มส ธมมสธสธมสธสธ
มสธ การก ้ยู ืมเงิน 3-53 เรื่องที่3.3.1 ความห มายข องด อกเบี้ยและการคิดอ ัตราดอกเบี้ย ความหมายของด อกเบี้ยมสธ มส พจนานุกรม ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ ความ หมาย คาำ ว ่าด อกเบี้ย วา่ “ค่าตอบแทนท บ่ี ุคคล คนหน่ึงต้องใช้ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเพื่อการท่ีได้ใช้เงินของบุคคลน้ัน หรือเพ่ือทดแทนการไม่ชำาระหนี้หรือ ชาำ ระห น้ไี มถ่ กู ต ้อง” เดมิ ป ระเทศไทยใ ชเ ้ บย้ี 38 เปน็ อ ปุ กรณส ์ าำ หรบั ใ ชจ ้ า่ ยส งิ่ ของ ดอกเบยี้ จ งึ เ ปน็ ด อกท ง ี่ อกเงยจ ากเ งนิ ความหมายข องด อกเบี้ยในทางการเงิน ใน ทางการ เงนิ ดอกเบี้ย หมายถ ึง จาำ นวน เงิน ท ่ผี ู้ กต ู้ อ้ ง จา่ ย ชำาระแ ก ผ่ ู้ใ ห้ ก เู้ น่อื งจากไ ด ้นาำ เงนิ หรอื สิ่งของ มี ค่า อื่น ของ ผู้ ให้ กู้ ไป ใช้ ประโยชน์ โดย สัญญา ว่า จะ ชำาระ คืน เต็ม มูลค่า ใน วัน กำาหนด ใน อนาคต โดย ทว่ั ไป ดอกเบยี้ ค ิดเ ปน็ รอ้ ยล ะข องต น้ เงนิ เรียก วา่ “อัตรา ดอกเบ้ีย”39 ความห มายของด อกเบี้ยในวิชาเศรษฐศาสตร์ ในว ชิ าเ ศรษฐศาสตร ์ ดอกเบยี้ เปน็ ค า่ ต อบแทนป จั จยั ก ารผ ลติ ช นดิ ห นงึ่ คอื เปน็ ค า่ ต อบแทนป จั จยั การผลติ ป ระเภทท นุ ทฤษฎด ี อกเบยี้ ซงึ่ ม อ ี ยห ู่ ลายท ฤษฎไ ี ดอ ้ ธบิ ายค วามห มายข องด อกเบย้ี ต า่ งๆ กนั ด งั น ี้ เชน่ อธบิ ายว า่ ด อกเบย้ี ค อื ร าคาท ผ ่ี ย ู้ มื จ า่ ยแ กผ ่ ใ ู้ หย ้ มื เ ปน็ ค า่ ป ระโยชนข ์ องเ งนิ หรอื ด อกเบยี้ คอื รางวลั ท จ ่ี า่ ย ใหแ ้ กผ ่ ย ู้ มื เ สยี ส ละค วามค ลอ่ งต วั ข องเ งนิ อ อม40 (คอื ย อมใ หผ ้ อ ู้ น่ื น าำ เ งนิ ข องต นไ ปใ ชห ้ มนุ เวยี นใ นก จิ การเ พอ่ื ใหผ ้ ยู้ ืมม ี ความ คล่อง ตัวใ น ธรุ กจิ ม าก ขน้ึ รางวลั ของ การท ่ี ยอมเ ช่น นัน้ คือ ดอกเบีย้ ) ความหมายของด อกเบี้ยในทางกฎหมาย ตามค วามห มายใ นท างก ฎหมาย ดอกเบยี้ ถ อื เ ปน็ ด อกผ ลน ติ นิ ยั ดงั ท บ ี่ ญั ญตั ไ ิ วใ ้ นป ระมวลก ฎหมาย แพง่ แ ละพ าณิชย์ มาตรา 148 วรรค 3 ความว า่ “ดอกผ ลน ิตินัยห มายความว า่ ทรัพยห์ รือ ประโยชนอ์ ่นื ท ไ ่ี ด ้เป็น ครงั้ ค ราวแ กเ ่ จา้ ท รพั ยจ ์ ากผ อ ู้ น่ื ท ไ ี่ ดใ ้ ชท ้ รพั ยน ์ น้ั และส ามารถค าำ นวณแ ละถ อื เ อาไ ดเ ้ ปน็ ร ายว นั หรอื ต ามร ะยะเ วลา ทก ี่ าำ หนดไ ว”้ จากค วามห มายด งั ก ลา่ วข า้ งต น้ ด อกเบยี้ เ ปน็ ด อกผ ลท ก ่ี าำ หนดโ ดยก ฎหมายท ต ่ี กไ ดแ้ กเ ่ จา้ ท รพั ย ์ จาก ผู้อ ืน่ เพ่ือ ทไ ี่ ด้ ใช้ท รพั ย น์ ั้น คือ จาก การ ทผ ่ี ู้ยืม เงินไ ดใ ้ ชป้ ระโยชนจ ์ าก เงนิ นนั้ ดอกเบี้ย ยอ่ ม คำานวณแ ละ ถือเ อาไ ดต ้ าม ราย วันห รือ ตาม ระยะ เวลา ที่ก าำ หนดไ ว้ 38 เบย้ี คือ หอยจ าำ พวก หลัง นูน ทอ้ งเ ป็น รอ่ งๆ เปลือกแ ขง็ โบราณ ใช้เ ป็นอ ุปกรณส ์ าำ หรบั ใช้ จา่ ยส ่ิงของ มี อัตรา 100 เบ้ยี เปน็ 1 อัฐ ไชย ณฏั ธีร พฒั นะ “ดอกเบ้ีย” บท บัณฑิตย ์ เล่ม ท ่ี 32 ตอน ที่ 2 พ.ศ. 2518 น. 227. 39 ส ุรกั ษ ์ บุนนาค และ วณี จง ศริ ิวัฒน ์ เรื่องเดยี วกนั น. 59. 40 เร่ืองเดียวกัน ธมมสธสธมสธสธ
มสธ 3-54 กฎหมายพาณิชย์2:ยืมฝากท รพั ย์ตัวแทนประกนั ภ ัย มสธ การก ูย ้ ืมเ งนิ ก นั น้ันจ ะม ี ข้อต กลง ไม่ คิด ดอกเบ้ยี หรือค ิดด อกเบี้ยก ็ได้มส การ คิด ดอกเบ้ียใ นท างก ฎหมาย มี 2 กรณ ี คือ 1. การค ดิ ดอกเบ้ยี ก รณท ี ค ี่ ู่ส ญั ญาม ไิ ด้ กำาหนด 2. การ คิด ดอกเบ้ยี กรณ ที ค ่ี ู่ สัญญาต กลงก นั ก าำ หนด 1. ก�รค ิดด อกเบ้ียก รณที ีค่ ู่สญั ญ�มิไดก้ ำ�หนด กรณท ี ่ี ไมไ ่ ด้ก าำ หนดเ รอ่ื ง อัตราด อกเบี้ย ไว ใ้ นส ญั ญา กู้ ยืม กรณี นี้ ผู้ ให้ กู้ ยืม จะ คิด ดอกเบ้ีย จาก ผู้ กู้ ยืม เป็น จำานวน เท่าใด ซึ่ง ใน เร่ือง น้ี บทบัญญัติ ใน เร่ือง การ กู้ ยืม เงิน มไิ ด ้กาำ หนด ไว้ ดงั นนั้ จึง ต้อง นาำ บทบัญญัต ิทัว่ ไป ใน เร่อื ง การ เสียด อก เบย้ี ให ้แก่ กัน กรณี ดอกเบยี้ มไิ ด้ กาำ หนด ไว้ โดย นิติกรรมห รอื บ ท กฎหมายใ หช ้ ดั แ จ้ง จงึ น ำาบ ทท ่วั ไป แห่ง ปพพ. ใช บ้ ังคับ ใน กรณน ี น้ั ดังน ัน้ ผใ ู้ ห ก้ ยู้ ืมย อ่ มค ดิ ดอกเบย้ี จาก ผ กู้ ู้ยมื ร อ้ ยล ะ เจ็ดค รึ่ง ต่อป ีต าม ปพพ. มาตรา 7 41 นอกจากน นั้ ใ นก รณค ี ส ู่ ญั ญาต กลงก นั ใ หเ ้ รยี กด อกเบยี้ ไ ดต ้ ามก ฎหมาย ซง่ึ ก รณน ี ผ ้ี ใ ู้ หก ้ ย ู้ มื ส ามารถ เรียก ดอกเบ้ยี จากผ ู้ก ู้ยืม ได้ ใน อัตรา รอ้ ยล ะเ จด็ ค รึง่ ตอ่ ป ีเชน่ ก นั อทุ าหรณ์ ฎ.497/2506สัญญาก ู้ม ีข ้อส ัญญาว ่าผ ู้ก ู้ ยอม ให้ ดอกเบี้ยต าม จำานวนเ งิน ท่ีก ู้ แก่ ผู้ ให้ก ู้ ตามก ฎหมาย ย่อม ถือวา่ ม อี ตั ราร ้อย ละ เจ็ดค รึ่งต อ่ ป ี เพราะก รณต ี ้อง ด้วย ปพพ.มาตรา 7 ฎ.235/2507ศาล ฎีกา วินิจฉัย ว่า “ปัญหา เบ้ือง ต้น มี ว่า ใน การ กู้ ราย นี้ จะ คิด ดอกเบี้ย กัน ใน อัตรา เท่าใด ในส ัญญาก ู้ หมาย จ.1 ระบุว ่าใ ห้ค ิดด อกเบี้ยก ันต าม กฎหมาย แต่ มิได้ กำาหนด อัตรา ว่า เท่าใดช ัด แจ้ง ตาม ปพพ. มาตรา 7 บัญญตั ว ิ า่ “ถ้า จะ ตอ้ ง เสียดอ กเ บยี้ แ ก่ก นั แ ละม ไิ ด้ กำาหนดอ ตั รา ดอกเบ้ยี ไว้ โดยน ิตกิ รรม หรอื โ ดย บท กฎหมาย อัน ชดั แจง้ ไซร้ ให้ ใช้อ ตั รา รอ้ ย ละเ จ็ด ครึง่ ต อ่ ป ”ี ฎ.3708/2528สญั ญาก ร ู้ ะบเ ุ รอื่ งด อกเบย้ี ว า่ “ยอมใ หด ้ อกเบยี้ ต ามก ฎหมายอ ยา่ งส งู ” เปน็ ข อ้ ความ ท่ี มิได้ กำาหนด อัตรา ดอกเบี้ย โดย ชัด แจ้ง แน่นอน ว่า เป็น อัตรา อย่าง สูง เท่าไร ต้อง ตีความ ไป ใน ทาง ท่ี เป็น คณุ แก่ ผู้ ก้ ู ผู้ ใหก ้ ูม้ ีส ิทธ เิ รยี ก ดอกเบย้ี ได ร้ อ้ ยล ะ เจ็ดค รง่ึ ตอ่ ป ต ี าม ปพพ. มาตรา 7 กรณี ที่ ผู้ กู้ ตกลง กับ ผู้ ให้ กู้ ให้ คิด ดอกเบี้ย ได้ ใน อัตรา สูงสุด แต่ ไม่ ได้ ระบุ อัตรา ไว้ ผู้ ให้ กู้ สามารถ คิด ดอกเบยี้ จากผ ก ู้ ้ไู ด้ ไมเ ่ กิน รอ้ ยล ะ เจด็ ครึ่งต ่อป ีเ ช่น เดวี ย กนั อนง่ึ แมใ ้ นห นงั สอื ส ญั ญาก ย ู้ มื ร ะบข ุ อ้ ความว า่ ไ มม่ ด ี อกเบย้ี แ ตข ่ อ้ ความต อนต น้ ร ะบไ ุ วว ้ า่ ผ ก ู้ ย ู้ อมใ ห ้ ดอกเบี้ยต าม จำานวนท กี่ แ ู้ กผ่ ู้ให้ ก ู้ ถอื ได้ว า่ ม ีก ารก าำ หนด ดอกเบยี้ กัน ไว้ อทุ าหรณ์ ฎ.3994/2540แม้ใ นห นงั สอื ส ัญญาก ยู้ ืมเ งินข อ้ 2 จะร ะบข ุ อ้ ความไ วว ้ ่า ไม่มด ี อกเบีย้ แต่ ขอ้ ความ ตอนต น้ ร ะบไ ุ วว ้ า่ ผ ก ู้ ย ู้ อมใ หด ้ อกเบยี้ ต ามจ าำ นวนเ งนิ ท ก ี่ แ ู้ กผ ่ ใ ู้ หก ้ ช ู้ ง่ั ล ะห นง่ึ บ าทต อ่ เ ดอื นน บั แ ตว ่ นั ท ท ่ี าำ ส ญั ญา นอกจากน ี้ ป. ผก ู้ ย ู้ งั ไ ดบ ้ นั ทกึ ร บั รองไ วต ้ อนท า้ ยส ญั ญาก ย ู้ มื ว า่ ถา้ ห ากไ มช ่ าำ ระห นต ี้ ามส ญั ญาใ น 2 ป ี ยนิ ยอม คดิ ด อกเบย้ี น บั จ ากว นั ค รบส ญั ญา แสดงใ หเ ้ หน็ ว า่ ป. ยอมรบั ผ ดิ ช าำ ระด อกเบยี้ ใ หแ ้ กโ ่ จทกใ ์ นอ ตั ราช งั่ ล ะห นง่ึ บาท ต่อ เดอื น (ร้อย ละ 15 ตอ่ ปี) นับ แต่ว ันค รบ กาำ หนด ชาำ ระ หนีต้ าม สญั ญา ก ยู้ มื เงินด งั ก ล่าว หา ใช ่คส ู่ ญั ญา ไม่ไ ดต ้ กลงก ำาหนดอ ตั รา ดอกเบี้ย ในอ นั ท ีจ่ ะ ใชอ ้ ตั ราด อกเบยี้ ร้อย ละ เจ็ด ครง่ึ ตอ่ ป ี ตาม ปพพ. มาตรา 7 ไม่ 41 ประมวลก ฎหมาย แพ่ง และ พาณิชย์ มาตรา 7 (แกไ้ ข เพ่มิ เติม พ.ศ. 2535) “ถา้ จะต อ้ ง เสยี ดอ กเ บยี้ แก ก่ ันแ ละด อกเบี้ย นั้น มไิ ด้ก าำ หนด อตั ราด อกเบย้ี ไ ว โ้ ดย นติ กิ รรม หรอื บทก ฎหมายอ ัน ชดั แ จง้ ใ หใ ้ ช อ้ ัตรา รอ้ ย ละเ จ็ด ครึ่ง ตอ่ ป ี” ธมมสธสธมสธสธ
มสธ การก ยู้ ืมเงิน 3-55 มสธ นอกจาก นี้ ควร สังเกต ว่า มี กรณ ีท ่ีกฎหมาย บัญญัติ ให้ คิดด อกเบ้ีย เป็น ค่า เสีย หาย โดย คูก่ รณ ีมิได้ มส ตกลง กัน ไว แ้ ต่อ ย่าง ใด เชน่ หนเ ี้ งิน กฎหมายใ หค้ ิด ดอกเบย้ี ใ น ระหวา่ งเ วลาผ ิดนดั รอ้ ย ละเ จ็ด ครง่ึ ตอ่ ป ี ตาม ปพพ. มาตรา 224 (ฎ.2654/2546) 2. ก�รค ดิ ด อกเบยี้ ก รณที ค่ี สู่ ญั ญ�ต กลงก นั ก �ำ หนด ดอกเบย้ี ก รณท ี ค ่ี ส ู่ ญั ญาต กลงก นั ก าำ หนด ไดแ้ ก ่ ดอกเบย้ี ท ค่ี ส่ ู ญั ญา ตกลง กันไ ว้ ใน สญั ญาใ หค ้ ิดเ ป็นค ่าป ว่ ยก ารข อง เงิน กฎหมายไ ดก ้ าำ หนดอ ตั ราด อกเบยี้ ส งู สดุ ซ ง่ึ ผ ใ ู้ หก ้ ย ู้ มื ส ามารถค ดิ จ ากผ ก ู้ ไ ู้ ดใ ้ น มาตรา 654 ซงึ่ บ ญั ญตั ิ วา่ “ทา่ น หา้ มม ิ ให้ค ิดด อกเบย้ี เ กินร อ้ ย ละส ิบ ห้าต ่อป ี ถา้ ในส ัญญา กาำ หนดด อกเบี้ยเ กนิ กวา่ น ้นั ก ็ใ ห้ ลด ลง มาเ ปน็ รอ้ ยล ะส บิ ห า้ ต อ่ ป ”ี ดอกเบย้ี ก รณน ี ี้ คส ู่ ญั ญาต กลงก นั ใ หผ ้ ก ู้ ย ู้ มื ช าำ ระแ กผ ่ ใ ู้ หก ้ ย ู้ มื เ ปน็ ร ายเ ดอื น โดยผ ใ ู้ หก ้ ย ู้ มื คิด ได้ สูงสุด ใน อัตรา ไม่ เกิน ร้อย ละ สิบ ห้า ต่อ ปี (ร้อย ละ หนึ่ง บาท ย่ีสิบ ห้า สตางค์ ต่อ เดือน) หาก ตกลง กัน เกนิ กว่า นั้น ดอกเบยี้ เปน็ โ มฆะ ท้ังหมด อุทาหรณ์ ฎ.2032/2522เรียก ดอกเบ้ีย เกิน อัตรา ดอกเบี้ย เป็น โมฆะ ทั้งหมด เม่ือ ผิดนัด เรียก ดอกเบี้ย ต้ังแต่ วนั ผ ิดนัดร อ้ ย ละ 7.5 ตอ่ ปี เรยี ก ตามม าตรา 224 ไมใ่ ช่ เรยี ก ตามส ัญญา เพราะ สญั ญาเ ป็นโ มฆะเ รยี กไ มไ ่ ด้ กฎหมาย เห็น ว่าอ ตั ราด อกเบ้ยี รอ้ ย ละ 15 ตอ่ ปพ ี อ เหมาะส ม แก ก่ ารท ่ีผ กู ้ นู้ าำ เ งนิ นั้น ไปใ ช ป้ ระโยชน ์ อัตรา ดอกเบี้ย ร้อย ละ สิบ ห้า ต่อ ปี เข้าใจ ว่า นำา มา จาก กฎหมาย ตรา สาม ดวง ใน พระ ไอ ยการ ลักษณะ กู้ หน้ี ให้ คิดอ ตั รา ดอกเบยี้ เ งนิ ให้ กย ู้ ืมช ัง่ ละ หน่งึ บาท (เงนิ ตน้ 80 บาทใ หค ้ ดิ ด อกเบย้ี 1 บาท ตอ่ เดือน เทา่ กับ รอ้ ยล ะ 15 ตอ่ ป ีพอด)ี และเนอื่ งจาก ม ีพระ ราช บญั ญัติ หา้ ม เรยี ก ดอกเบี้ย เกิน อัตรา พทุ ธศักราช 2475 กำาหนด บท ลงโทษ แก่ผ ้ ูฝา่ ฝนื ข อ้ กาำ หนดด งั กล่าว ความมุ่งหมายในการออกพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ได้ ปรากฏ ใน คำาแถลง การณ์ ของค ณะก รรมการ ราษฎร ดงั น้ี “เหตผุ ลท จ่ี งู ใจร ัฐบาลอ อกกฎหมายฉ บบั น ี้คือหวงั จะบำารงุ การกู้ยืมใหเ้ ป็น ไปทางท ีค่ วรการก ยู้ มื น ัน้ โดยป กติผ กู้ ู้ตอ้ งการท นุ เมอ่ื ได้ทุนแ ล้วไปประกอบก จิ การอนั ใดอันหน่ึงม ีผลงอ กงาม ข้ึนก็แบ่งผลน้ันใช้เป็นดอกเบ้ียบ้างหรือรวบรวมไว้เพ่ือใช้หน้ีทุนต่อไป ดังนี้ฝ่ายเจ้าหน้ีก็ได้ดอกเบี้ยเป็นค่า ป่วยการ และมีโอกาสท่ีจะได้รับใช้ทุนคืนในภายหลัง แต่ถ้าดอกเบ้ียเรียกแรงเกินไปแล้ว ลูกหน้ีได้ผลไม่พอท่ี จะใชด้ อกเบย้ี ไ ด้ย่อมต้องยอ่ ยยับไปด ้วยกนั ท งั้ 2ฝา่ ยดว้ ยเหตุน ปี้ ระเทศทงั้ หลายแ ละประเทศข องเราเองจึงม ี กฎหมายม าแ ตโ่ บราณกาลก าำ หนดอ ตั ราด อกเบย้ี อ ยา่ งส งู ไ ว้ กลา่ วค อื ชง่ั ล ะ1บาทต อ่ เดอื น(หรอื ร อ้ ยล ะ15ตอ่ ป )ี อันที่จริงอัตรานี้เป็นอัตราท่ีค่อนข้างสูงอยู่แล้ว แต่แม้กระน้ันยังปรากฏทุกวันนี้มีการให้กู้ยืมกันโดยอัตราสูง กวา่ น นั้ และเจา้ ห นก้ี บั ล กู ห นต้ี า่ งร ว่ มใจร ว่ มม อื ก นั ห ลกี เลย่ี งก ฎหมายเพราะฝ า่ ยห นง่ึ อ ยากไ ด้ อกี ฝ า่ ยห นง่ึ ค วาม จาำ เปน็ บ ังคับในท ี่สุดก ็ได้ผ ลอ นั ไม่พึงปรารถนาด ังกลา่ วฯลฯ” เหตุผล ของ การ ที่ กฎหมาย ห้าม คิด อัตรา ดอกเบี้ย เกิน ร้อย ละ สิบ ห้า ต่อ ปี ก็ เนื่องจาก ไม่ ประสงค์ ให้ ผ้ใู ห้ก ยู้ ืม เงินเ อา เปรียบผ กู้ ู้ ดัง น้นั ผล ของ การ ฝา่ ฝืนก ฎหมายต าม มาตราน ้ ี ผ ูใ้ หก้ ู้จะ มี ความ ผิดต าม พรบ. หา้ ม เรียกด อกเบี้ยเ กิน อตั รา พ.ศ. 2475 ซ่ึง เปน็ ก ฎหมาย อาญา ผู้ฝ ่าฝนื จ ะถ ูกล งโทษ ตามค วาม ใน มาตรา 3 ของ พรบ. ดงั กลา่ วแ ละ ดอกเบ้ยี ท ่ คี ดิ เ กนิ อตั ราตก เป็น โมฆะ ท้ังหมด ธมมสธสธมสธสธ
มสธ 3-56 กฎหมายพ าณชิ ย์2:ยมื ฝากท รพั ย์ตัวแทนประกันภ ยั มสธ อทุ าหรณ์มส ฎ.478/2488(ป.ใหญ่)การ กู้ ยืม โดย เรียก ดอกเบี้ย เกิน อัตรา นั้น ดอกเบ้ีย ตก เป็น โมฆะ ทั้งหมด แตต่ ้นเ งนิ ไม เ่ ป็น โมฆะ ดังน ้ัน ผูใ ้ หก้ ู จ้ งึ ฟ้องเ รยี ก ได เ้ ฉพาะต ้นเ งิน ฎ.533/2532 จำาเลย กู้ ยืม เงิน โจทก์ จำาเลย ตกลง ให้ มี การ คิด ดอกเบี้ย ใน อัตรา เกิน กว่า ท่ี กฎหมาย กาำ หนด ดอกเบี้ย สำาหรบั ต้นเ งนิ ก จู้ งึ ตกเ ปน็ โมฆะ ท้งั หมด จาำ เลยไ ม่มส ี ิทธิน าำ ด อกเบยี้ ท ี ่ชำาระ ให โ้ จทก์ ไป แล้ว ซ่งึ ตก เปน็ โมฆะ นัน้ ไปห ักก ับ ตน้ เงิน ให้ล ดน ้อย ลง ไป ได้ต าม ปพพ. มาตรา 407 เม่ือจ าำ เลย ยงั ไม ไ่ ด้ช าำ ระต ้น เงนิ จำาเลยจ งึ ย ังต ้อง รับผ ดิ ช ำาระ ต้น เงินใ ห แ้ ก่ โจทก์ ฎ.966/2534 สัญญา กู้ ระบุ ให้ ตกลง คิด ดอกเบี้ย กัน ใน อัตรา ร้อย ละ 1.5 ต่อ เดือน อัตรา ดัง กล่าว เกิน กว่าร ้อยล ะ 15 ตอ่ ปี ตาม ปพพ. มาตรา 654 และต ้อง ห้าม ตาม พรบ.หา้ มเ รียก ดอกเบย้ี เ กนิ อ ตั รา พ.ศ. 2475 ดอกเบ้ยี จึงต ก เปน็ โ มฆะ ทั้งหมด การ คิด ดอกเบ้ีย เกิน อัตรา นั้น เฉพาะ ดอกเบี้ย เท่านั้น เป็น โมฆะ ส่วน เงิน ต้น เรียก คืน ได้ และ เรียก ดอกเบยี้ ใน ระหวา่ ง ผดิ นดั ได้ ฎ.1238/25025“ดอกเบี้ย ตามส ัญญาก เู้ ป็น โมฆะ เพราะเ กนิ อ ัตราท ่กี ฎหมายก าำ หนด ไว ้ เจ้า หน ไ้ี ม่ม ี สิทธิ ได้ รับ ดอกเบ้ีย ตั้งแต่ วัน ทำา สัญญา กู้ และ ไม่ ปรากฏ ว่า ก่อน ฟ้อง ได้ มี การ ผิดนัด ลูก หน้ี จึง ต้อง รับ ผิด ใช้ ดอกเบีย้ ต้ังแต่ วนั ฟ อ้ ง เปน็ ต้นไ ป” ฎ.2032/2522 จำาเลย กู้ เงิน โจทก์ โดย โจทก์ จำาเลย ตกลง ให้ มี การ คิด ดอกเบี้ย ใน อัตรา เกิน กว่า ท่ี กฎหมาย กำาหนด ดอกเบ้ีย สำาหรับ ต้น เงิน กู้ จึง ตก เป็น โมฆะ ทั้งหมด จำาเลย ไม่มี สิทธิ นำา ดอกเบี้ย ท่ี ชำาระ เงิน ใหโ้ จทกไ ์ ป แลว้ ซ่ึงต ก เป็น โมฆะ นน้ั ไปห ักก ับ ต้นเ งิน ให ล้ ดน ้อย ลงไ ป ได ้ ตาม ปพพ. มาตรา 407 เมอื่ จ ำาเลย ยงั ไม ไ่ ด้ ชำาระ ต้นเ งนิ จำาเลย จึง ยงั ต้อง รับผ ดิ ชำาระ ตน้ เงนิ ให้แ กโ ่ จทก์ ฎ.1100/2523 “ค้าง เงิน ค่า เซ้ง ตึก ท่ี ต้อง คืน กัน 80,000 บาท คู่ สัญญา ตกลง กัน ทำา เป็น สัญญา กู้ โดยค ดิ ดอกเบยี้ ร อ้ ยล ะ 2 ครึ่ง เกิน อตั ราท ี่ก ฎหมายก าำ หนดเ ปน็ เ วลา 15 เดือน เงนิ 30,000 บาท รวมเ ป็น สัญญาก ู ้ 110,000 บาท เงนิ 30,000 บาท นี้ เป็นโ มฆะท ้งั หมด เจ้า หนมี้ สี ิทธไ ิ ด ้รับเ งนิ ค นื โดยบ วกด อกเบย้ี ร้อย ละ 7 ต่อป ี” การท ศ ี่ าลว นิ จิ ฉยั ว า่ ด อกเบย้ี เ ปน็ โ มฆะน ้ี เปน็ โ มฆะเ ฉพาะด อกเบย้ี หาม ผ ี ลถ งึ ต น้ เ งนิ ไ ม ่ แมด ้ อกเบย้ี ทเ ี่ กนิ อ ตั ราเ ปน็ โ มฆะ แตเ ่ จา้ ห นม ้ี ส ี ทิ ธไ ิ ดร ้ บั ด อกเบยี้ ร อ้ ยล ะเ จด็ ค รง่ึ ต อ่ ป จ ี ากต น้ เ งนิ ท ฟ ่ี อ้ ง เมอ่ื ข อ้ ต กลงเ รอื่ ง ดอกเบ้ยี เกินอ ัตรา เป็น โมฆะ ถอื วา่ ไม่ ไดม ้ ี การ ตกลงเ รอ่ื ง อัตราด อกเบ้ยี ก ันไ ว ้ ดังน ัน้ ค สู่ ญั ญาก ต็ ้องถ ือ เอา อตั รา ดอกเบย้ี ตาม ปพพ. มาตรา 7 คอื รอ้ ย ละเ จ็ด คร่งึ ต่อ ป ดี ัง กลา่ ว แล้ว เปน็ เกณฑ์ ใน การ เรียกร อ้ งจ าก กัน ฎ.3236/2533 จาำ เลย ไม ่ชำาระ หน ี้เงินก ต ู้ าม สัญญาก ู้ โจทก์ จาำ เลย จงึ ต กลง แปลง หนี ต้ ามส ัญญา ก นู้ ั้น ซึ่ง รวม ดอกเบ้ีย เกิน อัตรา และ คิด โดย วิธี ทบ ต้น มา เป็น เงิน กู้ ด้วย ดังนี้ ส่วน ท่ี เป็น ดอกเบี้ย เกิน อัตรา และ คิด โดย วธิ ี ทบต ้น จงึ ต ้องห ้าม ชดั แจ้ง โดยก ฎหมายเ ป็นโ มฆะ ตาม ปพพ. มาตรา 113 (ปัจจุบนั ค อื มาตรา 150) มาตรา 654 และม าตรา 655 นอกจาก น ี้ กรณอี อก เช็คช าำ ระ หน ้ีดอกเบี้ยท ี่เ ป็นโ มฆะไ มท่ ำาให ้เช็คบ ังคับช าำ ระ หนต ้ี ามส ญั ญา ตว๋ั เงินได้ ธมมสธสธมสธสธ
มสธ การกยู้ ืมเงนิ 3-57 มสธ อุทาหรณ์มส ฎ.804/2506(ป.ใหญ่) ลูกห นี้อ อกเ ชค็ ช ำาระ หน ี้เงินก ู้ให แ้ ก เ่ จา้ ห นี้ ทง้ั ต้น เงิน และด อกเบยี้ ปรากฏว ่า ดอกเบยี้ เ ปน็ โ มฆะร วมอ ยด ู่ ว้ ยศ าลฎ กี าแ ยกใ หเ ้ หน็ ว า่ การอ อกเ ชค็ ก บั ก ารก อ่ ห นน ้ี เ ้ี ปน็ น ติ กิ รรม คนละอ นั ก นั เพราะ นิติกรรม เช็ค ไม่ ตก เป็น โมฆะ ด้วย (ส่วน ไหน เป็น โมฆะ ก็ ไม่ ต้อง รับ ผิด) จึง พิพากษา ให้ จำาเลย ผู้ ออก เ ช ค็ ชำาร ะ หน ้เี งินต าม เชค็ เ ฉพาะต น้ เงนิ ส่วนด อกเบยี้ ใ ห้ย กฟอ้ งไ ป ฎ.2657/2534 โจทก์ ให้ จำาเลย กู้ ยืม เงิน โดย คิด ดอกเบี้ย เกิน อัตรา ที่ กฎหมาย กำาหนด แต่ จำาเลย ยินยอม ให้ เอา ดอกเบ้ีย รวม กับ ต้น เงิน กรอก ลง ใน สัญญา กู้ จึง ไม่ เป็น เอกสาร ปลอม โดย แยก ส่วน ต้น เงิน ท่ี สมบรู ณ์อ อกต ่าง หาก ได้ สญั ญา กู้ค ง ตก เปน็ โ มฆะเ ฉพาะ ส่วน ดอกเบ้ยี หา ตก เป็น โมฆะ ทง้ั ฉบบั ไม่ ขอ้ ส ังเกตจะเ ห็นไ ด้ว ่าก รณีม บี ทบัญญัติเ ฉพาะต าม พรบ. การ ห้ามเ รยี กด อกเบี้ย เกนิ อ ตั รา พ.ศ. 2475 แลว้ ให ใ้ ช้บ ทบญั ญัติ ดังก ล่าว คือด อกเบ้ยี ท เี ่ กนิ อ ัตราต ก เปน็ โ มฆะ ทัง้ หมด ไมน่ าำ ปพพ. มาตรา 654 ตอนท า้ ย มาใ ช้ คอื กรณีค ิด ดอกเบีย้ เกินร ้อยล ะ 15 ตอ่ ป ใี ห ล้ ด ลง มาเ ปน็ รอ้ ย ละส ิบ ห้าต ่อ ปอ ี ีกต ่อไ ป ประกอบ กับ การ ประกาศ ใช้ ประมวล กฎหมาย แพ่ง และ พาณิชย์ บรรพ 3 มี มา ก่อน การ ประกาศ ใช้ พรบ. ห้าม เรียก ดอกเบยี้ เ กนิ อ ตั รา พ.ศ. 2475 ซง่ึ พ ระร าชก ฤษฎกี าใ หใ ้ ชบ ้ ทบญั ญตั แ ิ หง่ ป ระมวลก ฎหมายแ พง่ แ ละพ าณชิ ย ์ ท ่ไี ดต ้ รวจ ชาำ ระใ หมน่ ้ีใ ห้ใ ช ต้ ้ังแต่ว ัน ท ี่ 1 เมษายน พุทธศกั ราช 2472 เปน็ ตน้ ไ ป ดงั น น้ั จะเ หน็ ไ ดว ้ า่ ม ก ี ารค ดิ อ ตั ราด อกเบยี้ เกนิ กวา่ ทก ่ี ฎหมาย กาำ หนดไ วส ้ าำ หรบั ก ารก ย ู้ มื เ งนิ ก นั อ ย ู่ เสมอใ นท างป ฏบิ ตั อ ิ ตั ราด อกเบย้ี ส งู สดุ ท ก ่ี าำ หนดข น้ึ น ม ้ี ผ ี ลบ งั คบั ไ ดเ ้ ฉพาะก ารก ย ู้ มื ใ นต ลาดก ารเ งนิ ใ นร ะบบ (organized money market)42เทา่ นน้ั ยากจ ะบ งั คบั ไ ดก ้ บั ต ลาดก ารเ งนิ น อกร ะบบ (unorganized money market)43เพราะใ นต ลาดน ผ ี้ ก ู้ จ ู้ ะย นิ ดจ ี า่ ยด อกเบยี้ ส งู ก วา่ อ ตั ราส งู สดุ ท ก ่ี ฎหมายก าำ หนด โดยร ว่ มม อื ก บั ผ ใ ู้ ห ้ กห ู้ ลกี เ ลยี่ งก ฎหมายด ว้ ยว ธิ ก ี ารม ากมาย เชน่ ยนิ ยอมท าำ ส ญั ญาเ งนิ ก เ ู้ ปน็ จ าำ นวนส งู ก วา่ ท ไ ี่ ดร ้ บั จ รงิ ซงึ่ ก รณ ี ดัง กล่าว เป็นต้น เหตุ ให้ เกิด ข้อ พิพาท ทาง กฎหมาย อยู่ เนืองๆ เนื่องจาก ตลาด การ เงิน ใน ระบบ ของ ไทย ยัง ไม่ เจริญ ก้าวหน้า เท่า ท่ี ควร ผู้ กู้ จำาเป็น ต้อง พ่ึง เงิน กู้ จาก ตลาด การ เงิน นอก ระบบ อย่าง มาก และ จำา ต้อง เสีย ดอ กเ บีย้ ในอ ตั รา สงู ร ะหว่างร ้อยล ะ 2 ตอ่ เ ดอื น จนถงึ ร ้อย ละ 20 ต่อ เดือน ซ่ึงค ิดว า่ ไมน ่ า่ จ ะ เป็น ไปไ ด้ แต่ก ็ มใ ี นก าร กู้ย ืมใ น ตลาด การ เงนิ น อก ระบบใ น ประเทศไทย44 อน่ึง การ คิด ดอกเบี้ย การ กู้ ยืม เงิน ใน อัตรา ไม่ เกิน ร้อย ละ สิบ ห้า ต่อ ปี น้ัน มี เฉพาะ ใน การ กู้ ยืม เงิน ระหว่างเ อกชนก ับเ อกชน ส่วนส ถาบันก ารเ งินส ามารถค ิด ดอกเบี้ย ในอ ัตราส ูงก ว่า ร้อย ละ 15 ต่อป ี ได้ต าม พรบ.ดอกเบ้ยี เงินใ หก ้ ยู้ มื ข องส ถาบนั ก ารเ งนิ พ.ศ. 2523 มาตรา 4 บัญญตั ิว ่า “เพ่อื ป ระโยชน์ ในก ารแ กไ้ ข ภาวะเ ศรษฐกจิ ข อง ประเทศ รฐั มนตร โี ดย คำาแ นะนำา ของธ นาคารแ ห่ง ประเทศไทย มอ ี าำ นาจก ำาหนดอ ัตราส ูงสดุ ของ ดอกเบ้ียท ่ีส ถาบัน การ เงนิ อ าจค ิด จาก ผ กู้ ้ย ู ืม ใหส ้ ูง กว่า รอ้ ย ละ สิบห ้าต อ่ ปี กไ็ ด ้ ฯลฯ” นอกจากน ้ัน พรบ.ฯ ฉบบั ดัง กลา่ ว ไม่ ให น้ าำ ปพพ. มาตรา 654 มา ใชต ้ าม มาตรา 6 ทีบ ่ ญั ญตั ิ ว่า “เมอื่ ร ัฐมนตรีก ำาหนด อัตราส ูงสุดข อง ดอกเบย้ี ตาม มาตรา 4 แลว้ มใ ิ ห น้ ำา มาตรา 654 แหง่ ป ระมวล กฎหมาย แพ่ง และ พาณชิ ยม ์ าใ ช บ้ ังคับ แกก ่ าร คิดด อกเบ้ยี ของส ถาบนั ก ารเ งิน ท รี่ ัฐมนตรก ี ำาหนดต ามม าตรา 4” 42 ตลาดก าร เงนิ ท่ี สร้าง ขึ้นจ ากส ถาบันก ารเ งนิ ท่ี ต้ังข ้นึ ตามก ฎหมาย เช่น ธนาคาร 43 ตลาดก ารเ งนิ โดยท ว่ั ไป เปน็ การก ู้ ยมื เงินร ะหว่าง บุคคล 44 สุ รักษ์ บุนนาค และ วณี จง ศริ วิ ัฒน์ เรือ่ งเดยี วกันน. 70. ธมมสธสธมสธสธ
มสธ 3-58 กฎหมายพ าณิชย์2:ยืมฝากท รัพย์ตวั แทนประกันภ ัย มสธ ดัง น้ัน อัตรา ดอกเบ้ีย ร้อย ละ 15 ต่อ ปี ใน ปัจจุบัน ก็ ไม่ อาจ คง อยู่ ได้ ต่อ ไป เนื่องจาก ความ เจริญ มส เติบโต ทาง เศรษฐกิจ และ เพ่ือ เป็นการ รักษา เสถียรภาพ ทางการ เงิน ของ ประเทศ ถือ เป็น หน้าที่ สำาคัญ ที่สุด ของ ธนาคาร กลาง (ธนาคาร แห่ง ประเทศไทย) อีก ท้ัง อัตรา ดอกเบ้ีย ท่ัว โลก ได้ เพิ่ม สูง ขึ้น ธนาคาร กลาง มี ความจ ำาเป็นต อ้ ง รกั ษาเ สถยี รภาพท างการ เงนิ โดยว ิธ กี ารต า่ งๆ การข น้ึ อ ัตราด อกเบี้ย เงนิ ให้ กย ู้ มื กเ ็ ปน็ วธิ ี การห นง่ึ ท จ ี่ ะ รกั ษาเ สถยี รภาพ ดงั ก ลา่ ว ไว ไ้ ด ้ ธนาคาร แหง่ ป ระเทศไทย มอ ี าำ นาจ กาำ หนด อตั รา ดอกเบยี้ สงู สดุ ด้วย ความ เห็น ชอบ ของ รัฐมนตรี ว่าการ กระทรวง การ คลัง ตาม มาตรา 14 แห่ง พระ ราช บัญญัติ การ ธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. 2505 แกไ้ ขเ พ่มิ เตมิ โ ดย พรบ.การ ธนาคาร พาณิชย์ (ฉบบั ท ี่ 2) พ.ศ. 2522 ซง่ึ ใ น ป ี 2524 ธนาคารแ หง่ ป ระเทศไทยไ ดอ้ อกป ระกาศธ นาคารแ หง่ ป ระเทศไทย เรอื่ งก ารก าำ หนดใ หธ้ นาคารพ าณชิ ยถ์ ือ ปฏบิ ัติใ น เรอ่ื งด อกเบีย้ แ ละส ว่ นลด (ฉบบั ท ี่ 5) พ.ศ. 2524 ถงึ ร อ้ ยล ะ 19 ตอ่ ป ี หลงั จ ากม ป ี ระกาศฉ บบั น ี้ อตั ราด อกเบยี้ ด งั ก ลา่ วไ ดข ้ นึ้ ล งต ามค วามเ คลอื่ นไหวข องภ าวะเ ศรษฐกจิ ภายในประเทศ หลาย ครงั้ เมื่อ สภาพ การ เงิน มี ความ คล่อง ตัว ธนาคาร แหง่ ประเทศไทย ได ้ประกาศ ลด อัตรา ดอกเบย้ี เ งนิ ใ หก ้ ย ู้ มื เ พอ่ื ใ หธ ้ นาคารพ าณชิ ยถ ์ อื ป ฏบิ ตั ิ ในช ว่ งป ี 2525 เศรษฐกจิ ข องป ระเทศม ค ี วามค ลอ่ งต วั มากข น้ึ ธ นาคารแ หง่ ป ระเทศไทยไ ดป ้ ระกาศล ดอ ตั ราด อกเบยี้ เ ปน็ ค รง้ั ค ราว เมอ่ื ภ าวะเ ศรษฐกจิ ข องป ระเทศ ไม่ คล่อง ตัว ธนาคาร แห่ง ประเทศไทย ก็ได้ ประกาศ ขึ้น อัตรา ดอกเบ้ีย อีก โดย พิจารณา ดู จาก เสถียรภาพ ทางการเ งนิ ข องป ระเทศเ ปน็ ค ราวๆ ไป ซงึ่ ใ นช ว่ งร ะยะเ วลาร ะหวา่ ง พ.ศ. 2533–2534 กไ็ ดม ้ ก ี ารด าำ เนนิ ก าร ดงั ก ลา่ ว ตอ่ ม าใ นช ว่ ง พ.ศ. 2539–2540 ประเทศไทยป ระสบว กิ ฤตท างเ ศรษฐกจิ อ กี ค รง้ั ห นง่ึ ภาวะด อกเบยี้ ก็ ผนั ผวนต าม มาม ีการป รับ อัตราด อกเบยี้ ใหส ้ อดคลอ้ ง กับภ าวะเ ศรษฐกิจ และ ในป จั จุบนั (พ.ศ. 2556) คา่ เงิน บาทไ ทย แขง็ ข้ึน มี แนว โน้มท จ ี่ ะ ปรับอ ัตรา ดอกเบยี้ อย่างไร ก็ตาม อัตรา ดอกเบี้ย แม้ จะ คิด ได้ เกิน ร้อย ละ 15 ต่อ ปี ตาม ประกาศ ของ ธนาคาร แห่ง ประเทศไทย ผู ใ้ ห้ ก ตู้ ้องเ ป็น สถาบัน การเ งินต าม กฎหมาย ดว้ ย อุทาหรณ์ ฎ.4072/2545จำาเลย ยอมรบั ข อ้ เ ท็จ จริง วา่ โจทก ์เป็นส ถาบนั การเ งนิ ดงั น น้ั โจทก์ ยอ่ มม สี ิทธ ิคิด ดอกเบ้ีย ตาม ประกาศ ธนาคาร แห่ง ประเทศไทย ซ่ึง ออก โดย อาศัย อำานาจ ตาม พรบ. การ ประกอบ ธุรกิจ เงนิ ท นุ ธรุ กจิ ห ลกั ท รพั ยแ ์ ละธ รุ กจิ เ ครดติ ฟ องซ เ ิ อรฯ์ มาตรา 30 (2) ไมต ่ กอ ยใ ู่ นบ งั คบั ต าม ปพพ. มาตรา 654 แมธ ้ นาคารพ าณชิ ยจ ์ ะไ มอ ่ ยใ ู่ นบ งั คบั ปพพ. มาตรา 654 แตก ่ ต ็ อ้ งอ ยภ ู่ ายใ ตบ ้ ทบญั ญตั ก ิ ารธ นาคาร พาณิชย์ มาตรา 14 ซง่ึ กาำ หนด ให้ธ นาคารพ าณชิ ย์ป ฏบิ ตั ิ ใน เรือ่ ง ดอกเบ้ยี แ ละ สว่ นลด หากธ นาคาร พาณิชย ์ กาำ หนดอ ตั ราด อกเบย้ี ข นึ้ เ องโ ดยไ มม่ ป ี ระกาศธ นาคารแ หง่ ป ระเทศไทยเ ปน็ การป ฏบิ ตั ฝ ิ า่ ฝนื บ ทบญั ญตั ข ิ อง กฎหมาย อทุ าหรณ์ ฎ.2165/2548โจทกจ ์ ำาเลยท าำ สัญญา กู้ย ืมเ งินก นั ว นั ท ่ี 13 มกราคม พ.ศ. 2535 สว่ น ประกาศข อง โจทก์ เร่ือง กำาหนด อัตรา ดอกเบ้ีย มี ผล ใช้ บังคับ ตั้งแต่ วัน ท่ี 16 มิถุนายน พ.ศ. 2535 จึง ไม่ใช่ ประกาศ ที่ ใช้ บังคับ ใน ขณะ ทำา สัญญา กู้ ยืม เงิน เมื่อ ไม่ ปรากฏ หลัก ฐาน อื่น ใด ท่ี ให้ สิทธิ โจทก์ ใน การ เรียก ดอกเบ้ีย เกิน กว่า รอ้ ยล ะ 15 ตอ่ ป ี แม โ้ จทก จ์ ะเ ปน็ ธ นาคาร พาณิชย ม์ ิไดต ้ กอ ย ภู่ าย ใต บ้ ังคบั แ หง่ ปพพ. มาตรา 654 แตก ่ าร คิดด อกเบย้ี ข อง โจทก จ์ ะ ตอ้ งอ ยู ่ภายใ ตบ ้ ทบญั ญัตขิ อง พรบ. การธ นาคารพ าณิชยฯ์ มาตรา 14 ซ่ึงก าำ หนด ธมมสธสธมสธสธ
มสธ การกยู้ มื เงิน 3-59 มสธ ใหธ ้ นาคารพ าณิชย์ป ฏิบตั ิ ใน เร่อื ง ดอกเบ้ยี และส ่วนลด การ ท่ีโ จทกก ์ าำ หนดอ ตั ราด อกเบย้ี ใ น สญั ญา ก ยู้ มื เ งิน มส โดยไ มป ่ รากฏว า่ ม ป ี ระกาศข องโ จทกเ ์ กยี่ วก บั เ รอื่ งด งั ก ลา่ ว จงึ เ ปน็ การป ฏบิ ตั ฝ ิ า่ ฝนื บ ทบญั ญตั ข ิ องก ฎหมาย ข้อก ำาหนด อัตราด อกเบย้ี ร อ้ ย ละ 19 ตอ่ ป ี ในส ัญญาก ย ู้ มื เ งนิ จ ึงต ก เปน็ โมฆะ อย่างไร ก็ตาม แม้ ธนาคาร พาณิชย์ จะ มี สิทธิ คิด ดอกเบี้ย เงิน กู้ ได้ ใน อัตรา ตาม ประกาศ ธนาคาร แหง่ ประเทศไทย หาก ธนาคาร พาณชิ ยค ์ ดิ ด อกเบย้ี เ งนิ ก จ ู้ าก ผก ู้ ย ู้ มื เ กนิ ไปจ าก อตั รา ทก ่ี าำ หนดไ วใ ้ นป ระกาศ ธนาคารแ หง่ ป ระเทศไทยกเ ็ ปน็ การค ดิ ด อกเบยี้ เ กนิ อ ตั ราต าม พรบ. หา้ มเ รยี กด อกเบย้ี เ กนิ อ ตั รา พ.ศ. 2475 เชน่ กัน อทุ าหรณ์ ฎ.956/2541แมโ ้ จทกซ ์ งึ่ เ ปน็ ธ นาคารพ าณชิ ยจ ์ ะม ส ี ทิ ธค ิ ดิ ด อกเบยี้ เ งนิ ก ไ ู้ ดใ ้ นอ ตั ราร อ้ ยล ะ 18.5 ตอ่ ป ี ตามป ระกาศธ นาคารแ หง่ ป ระเทศไทย เรอื่ ง การก าำ หนดใหธ้ นาคารพ าณชิ ยป์ ฏบิ ตั ใิ นเรอื่ งด อกเบย้ี แ ละส ว่ นลด ซึ่งอัตราดอกเบ้ียดังกล่าวเป็นอัตราที่โจทก์สามารถคิดได้แต่เฉพาะกับลูกหนี้ซ่ึงผิดนัดชำาระหน้ีหรือปฏิบัติ ผิดเง่ือนไขของสัญญากู้ มิใช่อัตราดอกเบ้ียสำาหรับลูกค้าทั่วไป ซึ่งตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ในขณะนั้นกำาหนดไว้ไม่เกินอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี แต่ ขณะ ทำา สัญญา โจทก์ คิด ดอกเบี้ย กับ จำาเลย ซึ่ง เป็น ลูกค้าท ่ัวไปใ นอ ัตราร อ้ ย ละ 18.5 ต่อ ป ี จึง เปน็ การ คิด ดอกเบย้ี เ กิน กวา่ อัตรา ตามป ระกาศ ของ ธนาคารแ หง่ ประเทศไทยแ ละเ กิน กว่าอ ัตราท ่ี กฎหมายก ำาหนด ขัดต ่อ พรบ. ห้ามเ รียกด อกเบ้ียเ กินอ ัตรา พ.ศ. 2475 ดอกเบย้ี ดังก ลา่ ว จึงต กเ ปน็ โมฆะ ฎ.8749/2544 โจทกเ ์ ป็น ธนาคารพ าณชิ ย ์ ขณะ จำาเลยท ำาส ญั ญา ก ยู้ ืมเ งินจ าก โจทก์ โจทกป์ ระกาศ อัตรา ดอกเบ้ีย โดย กำาหนด อัตรา ดอกเบ้ีย ใน การ อำานวย สิน เชื่อ ไว้ สำาหรับ สิน เช่ือ สำาหรับ บุคคล ทั่วไป ว่า 1.1 กรณ อี ยู่ ภายใน วงเงิน และไ ม่ ผิดเ งือ่ นไขใ นก ารผ ่อน ชาำ ระอ ตั ราร อ้ ยล ะ 16.5 ต่อ ปี และ 1.2 กรณี เกนิ วงเงนิ / ผิดเ งื่อนไข ในก ารผ ่อนช าำ ระ อตั รา รอ้ ย ละ 19 ต่อป ี กรณี ของ จำาเลยอ ยู่ใ นห ลกั เกณฑ์ ข้อ 1.1 แตใ ่ น สญั ญาก ู้ ยมื เ งนิ ร ะบ ดุ อกเบ้ยี ไ ว อ้ ัตรารอ้ ย ละ 19 ตอ่ ป ี ในช ั้นพ จิ ารณา ของ ศาล พนกั งาน ฝา่ ย สนิ เชอ่ื และ เรง่ รัดห น้ี สิน ของ โจทก์ เบิก ความ ยืนยัน ว่า คิด ดอกเบ้ีย ร้อย ละ 19 ต่อ ปี ดังน้ี แม้ว่า โจทก์ เป็น ธนาคาร พาณิชย์ ใน การ คิด อัตรา ดอกเบ้ียม ิได้อ ยู่ ภาย ใต้ ปพพ. มาตรา 654 แต่ การค ิด อัตราด อกเบ้ียข อง โจทก์จ ะ ต้อง อยู่ ภายใ ต้ บทบญั ญตั ข ิ อง พรบ. การธ นาคารพ าณชิ ยฯ์ มาตรา 14 ซง่ึ ก าำ หนดใ หธ ้ นาคารแ หง่ ป ระเทศไทยอ อกป ระกาศ ธนาคาร แห่ง ประเทศไทย กำาหนด ให้ ธนาคาร พาณิชย์ ปฏิบัติ ใน เร่ือง ดอกเบ้ีย และ ส่วนลด ซึ่ง โจทก์ ได้ ออก ประกาศด อกเบย้ี แ ละส ว่ นลดต ามอ ตั ราด อกเบย้ี แ ตล่ ะก รณ ี ดงั น นั้ การท โ ่ี จทกก ์ าำ หนดอ ตั ราด อกเบยี้ เ กนิ ก วา่ ประกาศธ นาคารแ ห่งป ระเทศไทย และป ระกาศ ของ โจทก์ด ังก ลา่ วข า้ งต ้น จึง เปน็ การป ฏิบัติฝ ่าฝนื ต อ่ พรบ. การธ นาคารพ าณชิ ยฯ์ เปน็ การต อ้ งห า้ มต าม พรบ. หา้ มเ รยี กด อกเบยี้ เ กนิ อ ตั ร าฯ มาตรา 3 (ก) จงึ เ ปน็ โ มฆะ หาก ปรากฏ ว่าการ ประกอบ กิจการ นั้น ไม่ เป็น สถาบัน การ เงิน ตาม กฎหมาย ก็ ไม่มี สิทธิ คิด ดอกเบ้ีย เกนิ อ ัตราต าม ปพพ. มาตรา 654 (ฎ. 6465/2552 ฎ. 13835/2553) นอกจาก น้ัน แม้ว่า เดิม ธนาคาร มี สิทธิ คิด ดอกเบี้ย ได้ สูงสุด เกิน ร้อย ละ 15 ต่อ ปี ตาม ประกาศ ของ ธนาคาร แห่ง ประเทศไทย ต่อ มา ธนาคาร ได้ บอก เลิก สัญญา และ บอก กล่าว บังคับ จำานอง ธนาคาร มี สิทธิ คิด ดอกเบ้ยี ใ น อัตราเ ดิม ท่ตี กลง กนั ไว้ ไมใ่ ช่อ ัตรา สูงสดุ ตามป ระกาศ ธนาคาร แหง่ ประเทศไทย (ฎ. 510/2545) ธมมสธสธมสธสธ
มสธ 3-60 กฎหมายพ าณชิ ย์2:ยืมฝากท รพั ย์ตัวแทนประกันภ ัย ขอ้ สังเกต อย่างไร กต็ าม ประกาศ กระทรวงก ารค ลัง ใน เรื่อง การข ้นึ อัตราด อกเบย้ี น ั้น เป็นเ รือ่ งข ้อ เท็จ จริง ผู้ ใด กล่าว อา้ ง ถงึ ป ระกาศด งั ก ลา่ ว ผนู้ นั้ ต้อง มีหน้า ทนี่ าำ สบื วา่ ม ปี ระกาศ เช่น นัน้ จ ริง อุทาหรณ์ ฎ.650/2532ประกาศก ระทรวงก ารค ลงั เ รอื่ งอ ตั ราด อกเบย้ี เ ปน็ ข อ้ เ ทจ็ จ รงิ ไ มใ่ ชข ่ อ้ ก ฎหมายแ ตเ ่ ปน็ ขอ้ เ ท็จ จรงิ ทต่ี อ้ ง นำาสืบ เม่ือ โจทก ไ์ ม่ สืบ โจทกจ ์ ึง ไม่มีส ิทธคิ ดิ ด อกเบีย้ เกินไ ป จาก อัตรา ปกตติ าม ท่ีก ฎหมาย บญั ญตั ไ ิ ว้ (ฎ. 567/2536) อนง่ึ ป จั จบุ นั ม ก ี ารใ ชบ ้ ตั รเ ครดติ ก นั อ ยา่ งแ พรห ่ ลายต าม พรบ. บตั รเ ครดติ พ.ศ. 2542 แตเ ่ นอื่ งจาก การ ใช้ บัตร เครดติ ไมใ่ ช ก่ ารก ยู้ ืมเ งนิ ดังน น้ั มาตรา 4 แห่ง พรบ. ดงั กล่าว กาำ หนด อัตรา ดอกเบ้ยี และค า่ ป รับ ทผี่ ู้ออก บตั ร อาจเ รียก เกบ็ จ ากผ ถ้ ู อื บ ัตร ใน กรณผ ี ดิ นดั ช าำ ระห น้ีห รอื ช าำ ระ หนี ล้ ่าชา้ กวา่ กำาหนด ดอกเบยี้ แ ละ คา่ ป รบั นน้ั เ มอ่ื คิดค ำานวณ รวมก ันแ ลว้ ตอ้ ง ไม่เ กนิ ร อ้ ยล ะ 1.5 ตอ่ เ ดอื น หรือ อัตรา รอ้ ยล ะ 18 ต่อป ี อุทาหรณ์ ฎ. 1550/2539 คำาขอ สิน เชื่อ บัตร เครดิต มี ข้อ สัญญา ว่า โจทก์ ยอม ผ่อน ผัน จ่าย เงิน ไป ก่อน ท้ัง ที่ เงิน ฝาก ใน บัญชี มี ไม่ พอ จ่าย โดย ไม่มี กำาหนด เวลา ชำาระ คืน เป็น แต่ เพียง จำาเลย ตกลง ชำาระ คืน พร้อม ดอกเบ้ีย ในอ ัตรา สงู สดุ ท่ ีธนาคารแ ห่ง ประเทศไทย กาำ หนดเ ปน็ การก ำาหนด ดอกเบ้ยี ไ วล ้ ่วง หน้า ถือ ได ว้ า่ จาำ เลย ตกลง ให โ้ จทก์ค ดิ ดอกเบยี้ ใน อัตรา ดังก ลา่ วแ ต่ ตน้ จึงไ ม ่อยู่ ในบ ังคบั ปพพ. มาตรา 654 ซึง่ ห้าม คดิ ด อกเบีย้ เ กนิ ร้อยล ะส บิ ห า้ ตอ่ ป ี เพราะ มใิ ช ่การ ก ยู้ มื และ โจทก ์เป็นธ นาคารพ าณชิ ย ์ ขอ้ ตกลงด ัง กลา่ ว ชอบด ้วยก ฎหมาย ไมม่ ีล ักษณะเ ป็นเ บยี้ ป รบั กิจกรรม3.3.1 1. อตั รา ดอกเบี้ย เงนิ กู้ ยมื สงู สดุ ท ่ี พึง คดิ ไดต้ ามก ฎหมาย ได้แก ่ อัตรา เท่าใด 2. ธนาคารค ิด ดอกเบีย้ ล กู ค้า เงนิ กย ู้ ืมไ ด้ สูงสุดเ กินร อ้ ยล ะ สิบห า้ ตอ่ ป ีได ห้ รือ ไม ่ เพราะเ หตใ ุ ด 3. กรณี มิได้ กำาหนด อัตรา ดอกเบี้ย เงิน กู้ ยืม ไว้ ผู้ ให้ กู้ สามารถ คิด ดอกเบ้ีย ใน อัตรา เท่าใด ตาม กฎหมาย แนวตอบกิจกรรม3.3.1 1. ร้อย ละ สบิ หา้ ต ่อป ี ปพพ. มาตรา 654 2. ได้ เพราะ ทำาได้ ตาม พรบ. ธนาคาร พาณิชย์ มาตรา 14 และ ตาม ประกาศ ธนาคาร แห่ง ประเทศไทย 3. รอ้ ย ละ เจ็ดค ร่ึง ต่อป ี ปพพ. มาตรา 7 มสธ มส ธมมสธสธมสธสธ
การก ยู้ มื เงิน 3-61มสธ เรื่องท ี่3.3.2 ดอกเบี้ยท บต ้น มสธ นอกจากก ฎหมายห า้ มค ดิ อ ตั ราด อกเบย้ี เ งนิ ใ หก ้ ย ู้ มื เ กนิ ร อ้ ยล ะ 15 ตอ่ ป แ ี ลว้ ย งั ห า้ มก ารค ดิ ด อกเบย้ี มสซ้อน ดอกเบีย้ (ดอกเบี้ยท บ ต้น) ใน สญั ญาก ย ู้ มื เ งินด ้วย จาก บทบญั ญตั ใิ น ปพพ. มาตรา 655 วรรค หนง่ึ ซงึ่ บ ญั ญตั วิ า่ “ทา่ นห า้ มม ใ ิ หค ้ ดิ ด อกเบย้ี ใ นด อกเบยี้ ทค ่ี า้ งช าำ ระ แตท ่ วา่ เ มอ่ื ด อกเบยี้ ค า้ งช าำ ระไ มน ่ อ้ ยก วา่ ป ห ี นง่ึ ค ส ู่ ญั ญาก ย ู้ มื จ ะต กลงก นั ใ หเ ้ อาด อกเบย้ี น นั้ ท บเ ขา้ ก บั ต้น เงนิ แล้วใ ห้ คิดด อกเบี้ยใ นจ าำ นวน เงิน ทีท ่ บ เขา้ กันน ้ัน ก็ได้ แต่ก ารต กลงเ ช่นน ัน้ ตอ้ ง ทำาเ ป็นห นังสือ” การท าำ เ ปน็ ห นงั สอื ไดแ้ ก ่ การท าำ ข อ้ ต กลงเ ปน็ ล ายล กั ษณอ ์ กั ษร โดยผ ก ู้ ย ู้ มื แ ละผ ใ ู้ หก ้ ต ู้ กลงย นิ ยอม ใหค ้ ดิ ด อกเบยี้ ทบต น้ ไ ด ้ แตก ่ ารต กลงด ว้ ยว าจาไ มส ่ ามารถ บงั คบั ไ ด ้ บทบญั ญตั ม ิ าตรา 655 นก ้ี ฎหมาย หา้ ม มใิ ห ค้ ดิ ด อกเบ้ียใ น ดอกเบยี้ ทค ่ี า้ งช ำาระ คือห า้ ม คิด ดอกเบยี้ ทบต ้น กันน ัน่ เอง (ดอกเบี้ย ทบต ้น ได้แก่ การนำา ดอกเบ้ยี ไป รวม กับต น้ เงิน เดิม และค ิดด อกเบี้ยจ าก จาำ นวน ต้น เงินใ หม)่ ดงั ต วั อย่าง ใน ฎ. 2687/2522 ซง่ึ วินจิ ฉัยไ ว้ว ่า “สญั ญา ก ทู้ า้ ย ฟ้องก ล่าว ถงึ เรอ่ื งด อกเบ้ียไ ว ้ 2 ข้อ ฯลฯ ความใ น ขอ้ 5 ม วี า่ หาก ผิดส ัญญา ชำาระ ดอกเบี้ย ผ ู้กู้ ยอ่ ม ให ผ้ ู ้ให้ก คู้ ดิ ด อกเบย้ี ท บต ้นไ ด ด้ ้วย ดงั น ้ี สัญญาก ขู้ อ้ 5 เท่านน้ั ท ี่ต อ้ ง ห้าม ตาม ปพพ. มาตรา 655 เพราะ เปน็ การ คดิ ดอกเบย้ี ทบ ตน้ แต โ่ จทก ม์ ส ี ทิ ธเ ิ รยี ก ดอกเบย้ี อยา่ งธ รรมดา ตาม สญั ญา กข ู้ อ้ 2 ได ้ เพราะ เปน็ การ คดิ ดอกเบี้ยไ มเ่ กินอ ัตราท ี ก่ ฎหมายก ำาหนด” สาำ หรบั ก าร คิด ดอกเบี้ย ตาม มาตรา 655 แบง่ ไ ด ้ ดังน้ี 1. กรณีดอกเบี้ยค้�งชำ�ระกว่�1ปีการ ห้าม คิด ดอกเบี้ย ทบ ต้น ใน สัญญา กู้ ยืม เงิน น้ัน เป็นการ ห้าม อย่างเ ด็ดข าด หรอื ไม่ เพราะใ น บทบัญญตั ขิ อง มาตรา 655 ประโยคต ่อม า ม วี ่า “แต่ท วา่ เม่อื ดอกเบ้ยี คา้ งช ำาระ ไม่ น้อย กว่า ปี หนึ่ง คู่ สัญญา กู้ ยืม จะ ตกลง กัน ให้ เอา ดอกเบี้ย น้ัน ทบ เข้า กับ ต้น เงิน แล้ว ให้ คิด ดอกเบ้ีย ใน จำานวน เงิน ท่ี ทบ เข้า กัน น้ัน ได้ แต่ การ ตกลง เช่น น้ัน ต้อง ทำา เป็น หนังสือ” ถ้า อ่าน จาก ข้อความ ดัง กล่าว จะ เห็น ได้ ว่า กฎหมายใ หค้ ดิ ด อกเบย้ี ท บต ้นก ันใ นส ญั ญาก ย ู้ มื เ งินไ ดใ ้ นก รณท ี ม่ี ีดอ กเ บย้ี ค ้างช าำ ระไ มน่ อ้ ยก วา่ ป หี นึง่ และ ความ ตกลงเ ช่นน ั้นข องค ู่ สัญญาต อ้ ง ทาำ เปน็ ห นงั สือ เช่น นายด ำา กย ู้ ืมเ งิน จากน ายข าวจ ำานวน 100,000 บาท กำาหนด ชำาระต น้ เ งินค ืนภ ายในเ วลา 3 ป ี อตั รา ดอกเบ้ยี ร ้อยล ะ 15 ตอ่ ป ี โดย นาย ดำา ตกลง จะช าำ ระ ดอกเบ้ยี ทกุ เ ดอื น นายด าำ ไ ดค ้ า้ งช าำ ระด อกเบย้ี น ายข าวเ ปน็ เ วลาป กี ว า่ ใ นช ว่ งเ วลา 1 ปท ี ผ ี่ า่ นม า นายข าวจ ะค ดิ ด อกเบยี้ ทบ ตน้ จ ากน ายด าำ ไมไ่ ด้ค อื จะน าำ ด อกเบยี้ มาร วม กบั ตน้ เงนิ 100,000 บาท แลว้ ค ิดด อกเบ้ยี จ ากต ้นเ งนิ ใหม ่ ไม่ ได้ นอก เสีย ว่า นาย ขาว และ นาย ดำา ทำา ข้อ ตกลง เป็น หนังสือ ว่า นาย ดำายินยอม ให้ นาย ขาว นำา ดอกเบี้ย ที่ คา้ ง ชำาระภ ายใน 1 ปี มา รวม กบั ต ้นเ งนิ 100,000 บาท เปน็ จำานวน ตน้ เ งนิ ใ หม ่ และค ิด ดอกเบ้ยี จ าก ตน้ เ งนิ จำานวนน ั้น ได้ ส่วน กรณี ถ้า คู่ สัญญาม ี ข้อ ตกลง กัน ไว้ ย่อมค ิด ดอกเบี้ยท บ ต้น ได้ แต่ จะคิดก ัน ต้ังแต่ แรกก ู้ ทำา ไ มไ ่ ดอ ้ กี เ ชน่ ก นั แตก ่ รณข ี า้ งต น้ หากน ายด าำ ม ไิ ดต ้ กลงย นิ ยอมก บั น ายข าวโ ดยม ข ี อ้ ต กลงเ ปน็ ห นงั สอื ใ นก าร ที่ นาย ขาว จะ นำา ดอกเบ้ียท ่ี ค้าง ชำาระ ไป บวก กับ ต้น เงิน และ คิด ดอกเบ้ีย ใน เงิน จำานวน น้ัน นาย ขาว ก็ ย่อม คิด ดอกเบ้ยี ทบต ้น ไม่ ได ้ เพราะก ฎหมาย ได้ห ้ามก ารก ระท ำา เช่น นัน้ ไ ว้ ธมมสธสธมสธสธ
มสธ 3-62 กฎหมายพ าณชิ ย์2:ยืมฝากท รพั ย์ตัวแทนประกนั ภ ยั มสธ อทุ าหรณ์มส ฎ.694/2506การ กู้ เงิน โดย เอา ที่ดิน และ บ้าน มา ทำา จำานอง เป็น ประกัน หน้ี นั้น เม่ือ ไม่มี ข้อ ตกลง ให้ เจา้ ห นผ ้ี รู้ บั จ าำ นองค ดิ ด อกเบย้ี ท บต น้ ไ ด ้ กรณต ี อ้ งป รบั ด ว้ ย ปพพ. มาตรา 655 วรรคแ รก ซง่ึ ห า้ มเ อาด อกเบยี้ ทบ เขา้ กบั ตน้ เงนิ ฎ.6457/2539การ กู้ ยืม เงิน ระหว่าง โจทก์ จำาเลย เป็น เรื่อง สัญญา กู้ ยืม เงิน ธรรมดา แม้ ตาม บันทึก ข้อต กลง ตอ่ ท า้ ยส ัญญา จำานอง ขอ้ 2 ระบขุ อ้ ความว ่า ผู้ จำานอง ยอมเ สยี ดอ ก เบีย้ อ ตั ราร ้อย ละ 21 ต่อ ป ี ยอม ส่ง เงิน ดอก เบ้ีย ทุกๆ เดือน เสมอ ไป ถ้า ผิดนัด ชำาระ ดอกเบ้ีย ยอม ให้ ผู้รับ จำานอง คำานวณ ดอกเบ้ีย ที่ ค้าง ทบ เขา้ ใ น บัญชข ี อง ผ จู้ ำานอง ดว้ ย กเ ็ ปน็ เรือ่ งท โี่ จทกเ ์ ป็น ลกู หนจ้ ี าำ เลย แตฝ่ า่ ย เดียว ไมม่ หี น ี้สินอ ะไร ทจ ่ี ะห กั ก ลบ ล บ หนี ้ใน ทาง บญั ชี เดนิ สะพัด ได ้ สว่ น บัญชี ท ่ีระบุ ไว ้ดงั กล่าว เปน็ เรือ่ ง ท ่ีจำาเลย ทาำ บัญช ีเพื่อ ประสงค ์จะ ทราบ วา่ โ จทกก์ ู้เ งินไ ปเ มอ่ื ใ ด จาำ นวน เทา่ ใด ผ่อนช ำาระด อกเบ้ยี แ ละต ้น เงนิ แลว้ เ พียงใ ด กับ ยัง คา้ งช ำาระอ ีกเ ทา่ ใด จึง มิใช่ บัญชี เดิน สะพัด หรือ การ ค้าขาย อย่าง อ่ืน ทำานอง บัญชี เดิน สะพัด ทั้ง บันทึก ข้อ ตกลง ไม่มี ข้อความ ว่า ต้องร อ ให้ด อกเบี้ยค ้างช ำาระไ ม่น ้อย กว่า หนึ่งป ีก ่อน จึงจ ะ นำา มาท บเ ข้าก ับ ต้นเ งิน แล้วค ิดด อกเบี้ยใ น จำานวน เงินท ่ี ทบ เข้าก ัน นั้น ต้องป รับด ้วย ปพพ. มาตรา 655 วรรค หน่ึง ข้อ ตกลงเ ฉพาะท ี่ ให้ค ิดด อกเบี้ย ทบต ้น ดงั ก ลา่ วต ก เป็น โมฆะแ ละเ ปน็ ป ญั หาข อ้ กฎหมาย อันเ กี่ยว ดว้ ยค วามส งบ เรยี บรอ้ ย ของ ประชาชน ศาลฎ กี า ม อี ำานาจ ยก ขนึ้ ว นิ ิจฉยั ได้ อน่งึ การ แปลง หนี ใ้ หม่โ ดยน ำา ดอกเบย้ี เกนิ อตั ราม า รวมก บั ต ้น เงนิ แ ละค ดิ โดย วธิ ีท บ ตน้ ม าเ ป็นต้น เงนิ ก ู้ส่วน ที เ่ ป็นด อกเบย้ี เ กนิ อ ตั รา และค ดิ โดยว ธิ ที บ ตน้ เ ปน็ โมฆะ อทุ าหรณ์ ฎ. 3236/2533 จำาเลย ไม่ ชำาระ หนี้ เงิน กู้ ตาม สัญญา กู้ โจทก์ จำาเลย จึง ตกลง แปลง หนี้ ตาม สัญญา กู้ นั้น ซ่ึงร วมด อกเบี้ย เกิน อัตรา และค ดิ โดย วิธท ี บต ้น มา เปน็ ตน้ เ งินก ้ดู ้วย ดังน น้ั ส ่วน ที่ เปน็ ด อกเบ้ยี เกนิ อ ตั รา และ คดิ โดยว ิธที บต ้น จงึ ต ้อง หา้ ม ชดั แจ้งโ ดยก ฎหมาย เป็นโ มฆะ ตาม ปพพ. มาตรา 113 (ปัจจบุ นั ม าตรา 150) มาตรา 654 และม าตรา 655 นอกจาก นั้น การ คิด ดอกเบ้ีย ทบ ต้น กัน ต้ังแต่ แรก กู้ เงิน ต้อง ห้าม ตาม กฎหมาย ฎ. 1260/2509 ดอกเบ้ยี ท จี ่ ะเ อาม าท บเ ปน็ เ งินต ้นไ ดต ้ อ้ งเ ปน็ ด อกเบ้ยี ท ค่ี ้างช าำ ระม าแ ลว้ ไ มน ่ ้อยก ว่า 1 ป ี การท เ่ี อาด อกเบ้ีย มา ทบ ต้น ตั้งแต่ แรก กู้ เงิน โดย ยัง ไม่ ค้าง ชำาระ เป็นการ ต้อง ห้าม ตาม กฎหมาย มาตรา 655 แห่ง ประมวล กฎหมาย แพง่ และ พาณชิ ย์ 2.กรณีมีประเพณีก�รค้�ข�ย การ คิด ดอกเบ้ีย ทบ ต้น ใน สัญญา กู้ ยืม เงิน โดย ปกติ ทำา ไม่ ได้ ตาม ปพพ. มาตรา 655 วรรค 1 แต่ ถา้ ห าก มดี อกเ บย้ี ค า้ ง ชาำ ระไ ม น่ อ้ ยก ว่า ปหี น่ึง และ คสู่ ัญญา กู้ย ืม ตกลง กนั เ ปน็ หนังสอื ให ค้ ดิ ดอกเบี้ย ทบต น้ กันย อ่ ม ทาำ ได ้ นอกจาก การค ิดด อกเบี้ยท บ ตน้ ใ น สัญญาก ย้ ู ืม ดัง กลา่ ว แล้ว ยงั ม ี การค ดิ ด อกเบยี้ ท บต น้ ใ นก ารค า้ ขาย ทค ่ี าำ นวณด อกเบยี้ ท บต น้ ก นั ต ามม าตรา 655 วรรคส อง ความว า่ “สว่ น ประเพณก ี ารค า้ ขายท ค ่ี าำ นวณด อกเบย้ี ท บต น้ ใ นบ ญั ชเ ี ดนิ ส ะพดั ก ด ็ ี ในก ารค า้ ขายอ ยา่ งอ น่ื ท าำ นองเ ชน่ ว า่ น ก ้ี ด ็ ี หาอ ยใ ู่ นบ งั คบั แหง่ บทบญั ญตั ซ ิ งึ่ ก ลา่ ว มาใ นว รรคก อ่ น นน้ั ไ ม”่ กฎหมายย นิ ยอมใ หค ้ ดิ ด อกเบย้ี ท บต น้ ก นั ไ ด ้ ในป ระเพณก ี ารค า้ ขาย (Commercial usage) ทค ี่ าำ นวณด อกเบย้ี ท บต น้ ใ นบ ญั ชเ ี ดนิ ส ะพดั ซ งึ่ ป ระเพณก ี าร ธมมสธสธมสธสธ
มสธ การก ู้ยืมเงิน 3-63 ค้าขายท คี ่ ำานวณด อกเบยี้ ท บต ้นใ นบ ญั ชเี ดินส ะพัด ได้แก่ ประเพณข ี องธ นาคารซ งึ่ ม ข ี ึน้ โ ดยล ูกค้าเ ปดิ บ ญั ชี มสธ กระแสร ายว นั กับ ธนาคารแ ละม ี การห ักท อน บญั ชห ี น้ี ระหวา่ งก นัมส ประเพณี (usage) หมายถ ึง ทางป ฏบิ ัต ิท เ่ี ป็นม า ทาำ นอง เดียวก ับป ระเพณตี ามม าตรา 368, 552, 803 ฯลฯ ตา่ งก บั ป ระเพณี ท้อง ถน่ิ (local custom) ซึง่ จ ะน าำ มา ใช ้บังคบั อย่าง กฎหมาย ตามม าตรา 4 จงึ หมายความ แต่ เพียง เคย ปฏิบัติ กัน มา อย่างไร ก็ ปฏิบัติ กัน อย่าง นั้น ไม่ ต้อง มี มา นาน อย่าง ประเพณี ท้อง ถิ่น ฯลฯ นอกจากน ้ ี The Concise Oxford Dictionary ให ค้ วามห มาย ของค ำาว ่า usage (ซึ่งเ ป็น ถ้อยคาำ ท ี่ ใช้ใ นฉ บับ ภาษา องั กฤษ) ใน ทางก ฎหมายไ ว ว้ ่า “เป็น ปกติว ิสยั แตไ ่ มจ ่ ำาเปน็ ตอ้ ง ปฏบิ ัติม าน านจ น จาำ ไม ไ่ ด”้ (habitual but not necessarily immemorial practice)45 ประเพณก ี ารค า้ ขายข องธ นาคารท จ ี่ ะค ดิ ด อกเบย้ี ท บต น้ ก นั ไ ดต ้ ามก ฎหมาย นกั ก ฎหมายบ างท า่ น เหน็ ว า่ ตอ้ ง ม อี งค์ ประกอบ 3 ประการ คอื 2.1 ต้อง เปน็ การใ หก ้ ย ู้ ืม เปน็ การ คา้ 2.2 ตอ้ ง ม ปี ระเพณ ใี ห้ค ดิ ด อกเบ้ีย ทบ ตน้ ไ ด้ และ 2.3 ต้อง เปน็ การค ดิ ด อกเบย้ี ทบต ้นโ ดย วธิ บ ี ัญชเี ดินส ะพัด เม่อื ครบ หลัก เกณฑ ์ 3 ประการน ี้ ธนาคาร จึงจ ะค ดิ ด อกเบย้ี ท บต ้น ได้46 หาก ขาด หลกั เกณฑ์ ขอ้ ใ ด ข้อ หน่ึง ธนาคารจ ะ คิด ดอกเบีย้ ท บ ตน้ ไม่ไ ด้ ซง่ึ ก รณีน ี้ศาสตราจารย์ ไพจติ ร ปญุ ญพ ันธ ์ุ ม คี วาม เหน็ วา่ การท ่ี ธนาคารจ ะ คิดด อกเบ้ีย ทบต น้ ได้ต ้อง เขา้ ห ลัก เกณฑ ์ 2 ประการ ข้าง ตน้ คอื เป็นการใ ห ้ก้ยู ืม เปน็ การ คา้ และ มปี ระเพณีใ ห ค้ ดิ ดอกเบีย้ ทบ ต้นไ ด ้ แตไ ่ ม่ จาำ เปน็ ต ้อง เปน็ การค ิดด อกเบย้ี ท บ ต้น โดยว ธิ บี ัญช เี ดินส ะพัดต าม ขอ้ 3 ซ่งึ ผ เู้ ขยี น เหน็ ด ้วย กับ ศาสตราจารย ไ์ พจติ ร ปญุ ญพ ันธ ุ์ เพราะ เหน็ ว ่าการท ่ี ธนาคารจ ะค ดิ ด อกเบีย้ ทบ ตน้ ไ ดน ้ นั้ ไมใ่ ชม ่ เ ี ฉพาะก รณป ี ระเพณก ี ารค า้ ขายท ใ ่ี หค ้ ดิ ด อกเบย้ี ท บต น้ ต ามบ ญั ชเ ี ดนิ ส ะพดั เ ทา่ นนั้ มฉ ิ ะนน้ั มาตรา 655 วรรค 2 จะ ไม่บ ญั ญตั ถิ งึ ในก ารค า้ ขาย อยา่ งอ ืน่ ท ำานอง เช่นว ่า นี ้ ก แ็ สดงว า่ ต ้อง ม ปี ระเพณี การ คา้ อย่าง อ่ืนน อกจากบ ญั ช เี ดนิ ส ะพดั ดังน ัน้ จึง สรปุ ได ้วา่ การ คดิ ด อกเบ้ยี ท บ ตน้ ไ ดต ้ ามม าตรา 655 วรรค 2 ม ี 2 กรณ ี คอื 1) กรณม ี ป ี ระเพณก ี ารค า้ ขายท ค ี่ าำ นวณด อกเบย้ี ท บต น้ ใ นบ ญั ชเ ี ดนิ ส ะพดั กรณน ี ต ้ี อ้ งม บ ี ญั ช ี เดินส ะพดั ใ น การ หักท อนห นก ้ี ันร ะหวา่ งผ ู้ใ หก้ แ ู้ ละ ผู้ก ู้ ยมื 2) กรณกี ารค ้าขายอ ยา่ งอ ่นื ท ำานองบ ัญชเี ดินส ะพัดก รณนี ไ ้ี มต ่ อ้ งม บี ญั ชเ ี ดนิ ส ะพัด แตเ ่ ป็น ประเพณี การค า้ ของธ นาคาร ให ค้ ดิ ด อกเบย้ี ท บต น้ ได้ ดัง มี ตัวอย่าง คำา พิพากษา ศาล ฎีกา ที่ วินิจฉัย ให้ คิด ดอกเบ้ีย ทบ ต้น ไว้ เช่น ฎ. 1951/2506 ซึ่ง วินจิ ฉยั ว า่ “แมป้ ระมวลก ฎหมายแ พง่ มาตรา 655 บญั ญัติค วาม ไวใ ้ น วรรคต น้ ว า่ ท ่าน ห้าม มใ ิ ห้ค ดิ ดอกเบ้ีย ที่ ค้าง ชำาระ ฯลฯ ก็ตาม แต่ ใน วรรค สอง ยัง บัญญัติ ยกเว้น ไว้ อีก ว่า “ส่วน ประเพณี การ ค้าขาย ที่ คำานวณ ดอกเบ้ีย ทบ ต้น ใน บัญชี เดิน สะพัด ก็ ดี ใน การ ค้าขาย อ่ืน ทำานอง เช่น ว่า นี้ ก็ ดี หาอยู่ ใน บังคับแห่ง บทบัญญัติ 45 ไพจิตร ปญุ ญ พันธุ ์ “ธนาคาร จะค ดิ ด อกเบ้ยี ทบต ้น ในเ งิน กไ้ ู ดห้ รอื ไม”่ บทบ ณั ฑติ ย ์ เล่ม 37 ตอน 3 ป ี 2523 น. 384. 46 เรือ่ งเดยี วกนั น. 379. ธมมสธสธมสธสธ
มสธ 3-64 กฎหมายพ าณิชย์2:ยมื ฝากท รัพย์ตัวแทนประกนั ภ ัย ซงึ่ ก ลา่ วม าใ นว รรคก อ่ นน น้ั ไ ม ่ ฯลฯ เหน็ ว า่ ม าตรา 655 วรรคส องม ใ ิ หเ ้ อาข อ้ บ ญั ญตั ใ ิ นว รรคต น้ ม าใ ชบ ้ งั คบัมสธ ใน ประเพณี การ ค้า ท่ี มี การ คิด ดอกเบ้ีย ทบ ต้น ใน บัญชี เดิน สะพัด อย่าง หน่ึง และ ประเพณี การ ค้า อย่าง มส อ่ืน ท่ี คิด ดอกเบี้ย ทบ ต้น โดย ไม่ใช่ บัญชี เดิน สะพัด แต่ อาจ จะ ใช้วิธีอย่าง อื่น ใน ทำานอง นั้น ก็ได้ อีก อย่าง หน่ึง ฯลฯ รูป คดี น้ี เข้า อยู่ ใน บทบัญญัติ ของ ประมวล กฎหมาย แพ่ง และ พาณิชย์ มาตรา 655 วรรค สอง ซึ่ง เป็น ข้อ ยกเว้น ของ วรรค ต้น สัญญา กู้ ท่ี จำาเลย ทำา ไว้ กับ ธนาคาร โจทก์ ยอม ให้ คิด ดอกเบี้ยทบ ต้น เม่ือ ผิดนัด เป็น ราย เดือน จึง สมบูรณ์ ใช้ได้ หา เป็น โมฆะ ดัง จำาเลย ที่ 1 กล่าว อ้าง ไม่ จำาเลย จึง ต้อง ชำาระ ดอกเบี้ย ทบ ต้น เป็น ราย เดือน ให้ แก่ โจทก์” ส่วน การ กู้ เงิน ธนาคาร ไป เพื่อ ปลูก บ้าน โดยตรง มิใช่ กรณี บัญชี เดิน สะพัด ของ ธนาคาร พาณิชย์ ธนาคาร จะ คิด ดอกเบี้ย ทบ ต้น ไม่ ได้ ต้อง ห้าม ตาม มาตรา 655 วรรค หนึ่ง ดัง คำา วินิจฉัย ใน ฎ. 580/2509 ใน คดี นี้ จำาเลย กู้ เงิน ธนาคาร ไป ปลูก บ้าน ค้าง ต้น เงิน แสน บาท เศษ โจทก์ ฟ้อง จำาเลย ใช้ ต้น เงิน กับ ดอกเบ้ีย ทบ ต้น อีก 40,000 บาท เศษ ศาล ฎีกา วินิจฉัย ว่า ส่วน ที่ โจทก์ เรียก ร้อง ดอกเบ้ีย ทบ ต้น ตาม สัญญา ข้อ 4 ท่ี ให้ คิด ดอกเบี้ย ค้าง ชำาระ ทบ ต้น ทุก วัน สิ้น เดือน น้ัน เป็นการ ขัด ต่อ ข้อ ห้าม ตาม ปพพ. มาตรา 655 เพราะ กรณี ของ โจทก์ จำาเลย น้ี เป็นการ กู้ ยืม เงิน ปลูก อาคาร โดยตรง มิใช่ กรณี บัญชี เดิน สะพัด ของ ธนาคาร พาณิชย์ ที่ จะ อ้าง ประเพณี การ ค้าขาย ใน การ คำานวณ ดอกเบี้ย ทบ ต้น ตาม ความ ใน วรรค สอง แต่ ประการ ใด สัญญา ข้อ 4 จึง เป็น โมฆะ พิพากษา ให้ จำาเลย ใช้ ต้น เงิน กับ ดอกเบี้ย ร้อย ละ 4 ครึ่ง ต่อ ปี เท่า ที่ โจทก์ ฟ้อง (โดย ไม่ ให้ คิด ทบ ต้น)47 ส่วน ตัวอย่าง คำา พิพากษา ศาล ฎีกา ท ี่วนิ ิจฉัย ให ธ้ นาคาร คิด ดอกเบีย้ ทบต น้ ไ ด้ต าม ฎ. 1129/2524 “เม่อื ส ญั ญา เบิก เงนิ เกนิ บ ัญชีร ะหว่างโ จทก ์ จาำ เลย มไิ ดก้ ำาหนดร ะยะ เวลาก ัน ไว้ ตอ้ ง ถอื วา่ ไ ด ม้ กี ารเ ลิกส ัญญา บัญช เี ดิน สะพดั เมอื่ จาำ เลยไ ม ช่ าำ ระห น้ีใ ห ้ โจทกภ์ ายใน ระยะเ วลาท ่ ีโจทก แ์ จง้ ไปย งั จ าำ เลย ให จ้ ัดการ ชาำ ระห นเ้ ี บกิ เ งนิ เกนิ บ ญั ชี ซึง่ ใ น ระหวา่ ง นน้ั จาำ เลย กม ็ ิไดส้ ่ังจ ่ายเ งินอ ีก ตาม ประเพณี การ ค้า ธนาคาร โจทก์ ย่อม มี สิทธิ คิด ดอกเบี้ย ทบ ต้น ใน บัญชี เดิน สะพัด ได้ ขอ้ ต กลงไ มเ่ ปน็ โ มฆะ ปัญหา ว่าข ้อ น้ีเ ปน็ โ มฆะ หรือ ไม เ่ กีย่ ว กบั ค วาม สงบ เรยี บร้อย ของ ประชาชน” 1) กรณี ไม่มี สัญญา เบิก เงิน เกิน บัญชี มี เพียง สัญญา บัญชี เดิน สะพัด จะ คิด ดอกเบี้ย ทบ ต้น ได้ หรือ ไม่ ตาม ท่ี ได้ กล่าว มา แล้ว ว่า สัญญา กู้ ยืม เงิน ตาม ธรรมดา กฎหมาย ห้าม คิด ดอกเบ้ีย ทบ ต้น เว้น แต่ จะ มี ข้อ ตกลง ระหว่าง คู่ สัญญา ให้ ทำา เช่น น้ัน ได้ กรณี มีด อก เบ้ีย ค้าง ชำาระ กว่า หน่ึง ปี ข้ึน ไป และ การ กู้ ยืม เงิน ชนิด ที่ เรียก ว่า เบิก เงิน เกิน บัญชี เท่านั้น ท่ี สามารถ คิด ดอกเบ้ีย ทบ ต้น กัน ได้ ส่วน การ มี บัญชี เดิน สะพัด โดย ไม่ ได้ มี สัญญา เบิก เงิน เกิน บัญชี ต่อ กัน ดังนี้ จะ คิด ดอกเบี้ย ทบ ต้น ได้ หรือ ไม่ ย่อม ทำาได้ เพราะ เป็น ไป ตาม มาตรา 655 วรรค สอง โดยตรง มี คำา พิพากษา ศาล ฎีกา ได้ วินิจฉัย ว่าการ คิด ดอกเบี้ย ทบ ต้น ดัง กล่าว ย่อม ทำาได้ ตาม ฎ. 1837/2524 ความ ว่า “การ ฝาก เงิน กระแส ราย วัน ถ้า ไม่ ตกลง เบิก เงิน เกิน บัญชี หรือ ไม่มี ระเบียบ การ บัญชี เงิน ฝาก ประกอบ แล้ว ธนาคาร ไม่ จ่าย เงิน ฝาก แต่ จำาเลย ได้ รับ และ ทราบ ระเบียบ การ บัญชี เงิน ฝาก กระแส ราย วัน ของ ธนาคาร โจทก์ ดีแล้ว จึง ยินยอม เข้า ผูกพัน กับ โจทก์ ด้วย การ ขอ เปิด บัญชี เงิน 47 ตวั อยา่ ง ฎ. 580/2509 โจทกเ ์ ปน็ ธ นาคารอ าคารสงเคราะห ์ มใิ ชธ ่ นาคารพ าณชิ ย ์ จะอ า้ งป ระเพณก ี ารค า้ ด งั เ ชน่ ธ นาคาร พาณชิ ย ไ์ ม่ ได ้ ธมมสธสธมสธสธ
มสธ การก ยู้ มื เงนิ 3-65 ฝากก ระแสร ายว นั เมอ่ื จ าำ เลยจ า่ ยเ ชค็ ถ อนเ งนิ เ กนิ ก วา่ จ าำ นวนท จ ่ี าำ เลยม อ ี ยใ ู่ นบ ญั ชแ ี ละโ จทกไ ์ ดผ ้ อ่ นผ นั จ า่ ย มสธ ให ้ไป จำาเลย จึง ต้อง รับ ผิด ต่อ โจทก ์เสมือน โจทก ์กับ จาำ เลย มี สัญญา เบิก เงนิ เกนิ บญั ช ีตอ่ กัน โจทก์ ม ีสทิ ธ ิคิด มส ดอกเบีย้ ทบต น้ ไ ด”้ อนง่ึ มน ี กั ก ฎหมายบ างท า่ นเ หน็ ว า่ การม บ ี ญั ชเ ี ดนิ ส ะพดั ก บั ธ นาคารถ า้ ไ มไ ่ ดม ้ ส ี ญั ญาเ บกิ เ งนิ เกนิ บ ญั ชต ี ่อ กนั จ ะค ดิ ดอกเบ้ียท บต น้ ไ ม่ ได้ นอกจากก ารค ดิ อ ตั ราด อกเบย้ี ท บต น้ ใ นบ ญั ชเ ี ดนิ ส ะพดั ตามป ระเพณก ี ารค า้ ข องธ นาคารแ ลว้ ยัง สามารถ คิด ดอกเบี้ย ทบ ต้น ใน การ ค้าขาย อย่าง อื่น ทำานอง เดียว กับ บัญชี เดิน สะพัด ได้ ซ่ึง ประเพณี การ คา้ ขายอ ย่าง อืน่ ท าำ นอง เดียว กับบ ัญชเ ี ดนิ ส ะพัด ไดแ้ ก ่ การ ค้าเ งนิ อนั เปน็ ธ ุรกิจ สำาคัญ ของธ นาคาร พาณิชย ์ หาก ผู้ ให้ กู้ (ธนาคาร) นำาสืบ ได้ ว่า เป็น ประเพณี การ ค้า ของ ธนาคาร แล้ว ย่อม คิด ดอกเบ้ีย ทบ ต้น ได้ ส่วน การ ตกลง กัน ให้ คิด ดอกเบี้ย ทบ ต้น ใน สัญญา กู้ ยืม เงิน ธร มดา ก็ ไม่ ถือว่า การ กู้ ยืม เงิน เป็นการ ค้าขาย อย่าง อื่น ทำานอง เดียว กับ บัญชี เดิน สะพัด เพราะ ประเพณี ธนาคาร ท่ี จะ ใช้ ใน การ คิด ดอกเบี้ย ทบ ต้น มี ได้ เฉพาะ ใน วรรค 2 เท่าน้ัน คือ การ เบิก เงิน เกิน บัญชี ดัง ตัวอย่าง ใน ฎ. 543/2510 วินิจฉัย ว่า “ตาม ประมวล กฎหมายแ พง่ และ พาณิชยม ์ าตรา 655 หา้ ม มใ ิ ห้ค ิดด อกเบ้ีย ในด อกเบย้ี ท ี่ค ้าง ชำาระ แต่ คส ู่ ญั ญาจ ะ ตกลง กัน เป็น หนังสือ ให้ คิด ดอกเบี้ย ทบ ต้น ได้ ใน เมื่อ ดอกเบี้ย ค้าง ชำาระ ไม่ น้อย กว่า 1 ปี หรือ มี ประเพณี การ ค้าขาย ให้ คิด ดอกเบ้ีย ทบ ต้น ได้ ตาม สัญญา กู้ ที่ โจทก์ ฟ้อง ข้อ 3 มี ว่า “การ ให้ กู้ และ กู้ ตาม หนังสือ นี้ ให้ เป็น ไป ตาม ประเพณี ผู้ ให้ กู้ ฉะน้ัน หาก ผู้ กู้ ผิดนัด ไม่ ส่งดอก เบ้ีย ตาม อัตรา และ กำาหนด ที่ กล่าว มา แล้ว ใน ข้อ 2 ฯลฯ ผู้ กู้ ยินยอม ให้ ดอกเบี้ย ท่ี ค้าง ชำาระ น้ัน ทบ เข้า กับ ต้น เงิน ทันที ท่ี ค้าง ชำาระ เป็น คราวๆ ไป และ ยอม ให้ ผู้ ให้ กู้ คิด ดอกเบี้ย ทบ เข้า กับ ต้น เงิน ดัง ว่า นี้ เป็น ตัว เงิน อัน ผู้ กู้ จะ ต้อง เสียด อก เบ้ีย ใน อัตรา เดียวกัน และ มี กำาหนด ชำาระ อย่าง เดียวกัน กับ ท่ี ระบุ ใน ข้อ 2” ตาม สัญญา กู้ ข้อ 2 ให้ ส่งดอก เบี้ย เป็น ราย เดือน ฉะน้ัน จึง เห็น ว่าการ คิด ดอกเบ้ีย ทบ ต้น เป็นการ ให้ คิด กัน ได้ ทันที ที่ ผู้ กู้ ผิดนัด ไม่ ชำาระ ดอกเบ้ีย จึง ไม่ อยู่ ใน ข้อ ยกเว้น อัน จะ ทำาได้ ตาม มาตรา 655 ดัง กล่าว แม้ ใน สัญญา กู้ จะ เขียน ไว้ ว่าการ ให้ กู้ เป็น ไป ตาม ประเพณี ผู้ ให้ กู้ แต่ โจทก์ มิได้ นำาสืบ ให้ เห็น ว่า ประเพณี ผู้ ให้ กู้ ตาม ท่ี เขียน ไว้ น้ัน เป็น ประเพณี การ ค้า ที่ ให้ คำานวณ ดอกเบ้ีย ทบ ต้น ดงั น นั้ ขอ้ ความท เ ่ี กยี่ วก บั ด อกเบยี้ ท บต น้ ต ามส ญั ญาก ร ู้ ายท โ ่ี จทกฟ ์ อ้ งน จ ้ี งึ เ ปน็ การฝ า่ ฝนื ต อ่ ป ระมวลก ฎหมาย แพ่ง และ พาณิชย์ มาตรา 655 ข้อ ตกลง นี้ จึง เป็น โมฆะ ปัญหา จำาเลย จะ นำาสืบ ประเพณี ธนาคาร ได้ หรือ ไม่ ซึ่ง ศาสตราจารย์ ไพจิตร ปุญญ พันธุ์ เห็น ว่า ได้ ตาม มาตรา 4 แห่ง ประมวล กฎหมาย แพ่ง และ พาณิชย์ เพราะ มี กฎหมาย บัญญัติ อยู่ แล้ว และ เป็น กฎหมาย เก่ียว กับ ความ สงบฯ ประเพณี ธนาคาร ใช้ได้ เฉพาะ กรณี ตาม วรรค สอง เท่านั้น คดี หา อยู่ ใน บังคับ แห่ง บทบัญญัติ ซ่ึง กล่าว มา ใน วรรค ก่อน น้ัน ไม่ ความ หมาย ของ บทบญั ญตั ิ มาตรา 655 วรรคส อง อนั เ ปน็ ข อ้ ย กเวน้ ใ หม ้ ก ี ารค ดิ ด อกเบย้ี ท บต น้ ก นั ไ ด ้ กเ ็ พราะเ ปน็ เ รอื่ งก าร คา้ ขายแ ละเ ปน็ การค า้ ขายเ งนิ ย อ่ มจ ะม ดี อ กผ ลเ พม่ิ พนู ข นึ้ ต ลอดเ วลา หากไ มท ่ าำ ใหก ้ ารค า้ ขายเ งนิ ม ดี อ กผ ล เพ่ิมพูน ขึ้น การ ค้าขาย น้ัน ก็ ย่อม อยู่ ไม่ ได้ รัฐ ก็ ไม่ ได้ ภาษี อากร กิจการ ย่อม จะ ถึงแก่ การ หายนะ ล่มจม ใน ที่สุด และ กิจการ ค้าขาย เงิน ให้ กู้ ยืม เงิน ย่อม จะ เป็น กิจการ ของ ธนาคาร พาณิชย์ ท่ี สำาคัญ อย่าง หนึ่ง48 48 เร่อื งเดียวกนั น. 378–379. ธมมสธสธมสธสธ
มสธ 3-66 กฎหมายพาณชิ ย์2:ยืมฝากท รพั ย์ตวั แทนประกนั ภ ยั มสธ ซ่ึง ผู้ เขียน เห็น ว่า ธนาคาร พาณิชย์ มี สิทธิ คิด ดอกเบี้ย ทบ ต้น ใน การ ให้ กู้ ยืม เงินได้ หาก มี ข้อ ตกลง เช่น นั้น มส เน่ืองจากป ระเพณ ีการ ค้าอ ย่าง อื่น ทำานอง เดียว กับ บัญชี เดิน สะพัด ของ ธนาคาร พาณิชย ์คือ การ ให้ กู้ ยืม เงิน ไมว ่ า่ ใ นร ปู ใ ดท ท ่ี าำ ใหธ ้ นาคารไ ดด ้ อกเบยี้ อ นั เ ปน็ ร ายไ ดส ้ ว่ นห นงึ่ ข องธ นาคารพ าณชิ ย ์ แต ม่ ค ี าำ พ พิ ากษาศ าล ฎกี าท ว ่ี นิ จิ ฉยั ว า่ การท าำ ส ญั ญาก ย ู้ มื เ งนิ ก บั บ รษิ ทั เ งนิ ท นุ ห ลกั ท รพั ยไ ์ มใ่ ชเ ่ รอ่ื งบ ญั ชเ ี ดนิ ส ะพดั ห รอื ก ารค า้ ขาย อยา่ งอ นื่ ท าำ นอง บัญชี เดิน สะพดั อุทาหรณ์ ฎ.1870/2527 สัญญา กู้ ที่ ตกลง ให้ ส่งดอก เบี้ย เป็น ราย เดือน หาก ผู้ กู้ ผิดนัด ไม่ ชำาระ เดือน ใด ผใ ู้ หก ้ ม ู้ ส ี ทิ ธค ิ ดิ ด อกเบยี้ ท บต น้ ไ ดท ้ นั ทโ ี ดยไ มต ่ อ้ งร อใ หด ้ อกเบย้ี ค า้ งช าำ ระไ มน ่ อ้ ยก วา่ ป ห ี นง่ึ ก อ่ นน นั้ ขอ้ ต กลง เฉพาะ ทีใ ่ ห ค้ ิด ดอกเบี้ย ทบต น้ เ ป็นการฝ ่าฝืน มาตรา 655 วรรคแ รก ตก เปน็ โ มฆะ สญั ญาก เ ู้ งนิ ร ะหวา่ งบ รษิ ทั เ งนิ ท นุ ห ลกั ท รพั ย ์ โจทกก ์ บั จ าำ เลยเ ปน็ ส ญั ญาก เ ู้ งนิ ก นั ต ามธ รรมดา โดยจ าำ เลยเ ปน็ ล กู ห นโ ี้ จทกเ ์ พยี งฝ า่ ยเ ดยี วไ มม่ ห ี นส ี้ นิ อ ะไรท จ ี่ ะห กั ก ลบล บก นั แมโ ้ จทกจ ์ ะท าำ ท ะเบยี นส ญั ญา กู้ เงิน ไว้ ก็ เพ่ือ ประสงค์ จะ ทราบ ว่า จำาเลย กู้ เงิน ไป เมื่อ ใด จำานวน เท่าใด ผ่อน ชำาระ ดอกเบ้ีย และ เงิน ต้น แล้ว เพยี งใ ดก ับ ยังค า้ ง ชำาระ อีกเ ท่าใด มิใช เ่ ป็นการต ดั ทอนบ ญั ชีห น อ้ี ัน เกดิ ข้นึ แ ตก ่ จิ การใ นร ะหวา่ ง โจทก์ จำาเลย นิติ สัมพันธ์ ระหว่าง โจทก์ จำาเลย จึง มิใช่ เร่ือง บัญชี เดิน สะพัด หรือ การ ค้าขาย อย่าง อ่ืน ทำานอง บัญชี เดิน สะพัด โจทก ์จะค ดิ ด อกเบ้ียท บต น้ จ ากจ าำ เลยต าม มาตรา 655 วรรค สองไ ม ไ่ ด้ ฎ.3236/2533 จาำ เลยไ มช ่ าำ ระห นเ ้ี งนิ ก ต ู้ ามส ญั ญาก ู้ โจทกจ ์ าำ เลยจ งึ ต กลงแ ปลงห นต ี้ ามส ญั ญา กู้ นั้น ซ่ึง รวม ดอกเบี้ย เกิน อัตรา และ คิด โดย วิธี ทบ ต้น มา เป็นต้น เงิน กู้ ด้วย ดังนี้ ส่วน ท่ี เป็น ดอกเบ้ียเ กิน อัตรา และ คดิ โดย วธิ ีท บต น้ จงึ ต ้องห า้ ม ชดั แจ้ง โดย กฎหมายเ ป็น โมฆะ ตาม ปพพ. มาตรา 113 (ปจั จุบัน มาตรา 150) มาตรา 654 และ มาตรา 655 อน่ึง การ คิด ดอกเบ้ีย ทบ ต้น ตาม ปพพ. มาตรา 655 น้ัน เม่ือ รวม ดอกเบี้ย ทบ ต้น เข้า ด้วย แล้ว จะ ทำาให้ จำานวน ดอกเบี้ย เกิน ร้อย ละ 15 ต่อ ปี ก็ ไม่ ขัด ต่อ พรบ. ห้าม เรียก ดอกเบ้ีย เกิน อัต ราฯ (ฎ. 658–659/2511 (ป.ใหญ่)) 2) เวลาท จ ่ี ะค ดิ ด อกเบยี้ ท บต น้ การท ธ ่ี นาคารค ดิ ด อกเบย้ี ท บต น้ ไ ดน ้ ี้ นา่ จ ะค ดิ ไ ดเ ้ มอ่ื ถ งึ ร ะยะ เวลาห ัก ทอน บญั ชีต าม มาตรา 860 ซง่ึ บญั ญัต วิ า่ “เงินส ่วน ทผ ่ี ดิ กันอ ยู่ นั้น ถ้า ยังม ิไดช้ ำาระ ทา่ นใ ห้ คิดด อกเบ้ีย นบั แต่ว ันท ห ่ี ัก ทอน บัญชเี สรจ็ เปน็ ต้น ไป” เช่น กรณ ี นายก จิ ท าำ สญั ญาบ ญั ชีเ ดิน สะพัดก ับ ธนาคาร ตกลงใ ห ้ หกั ทอน บญั ชีห นก ี้ ัน ทกุ สน้ิ เ ดอื น ดงั นี้ หาก นาย กจิ ม ยี อดเ งนิ ใน บัญชเ ี ปน็ ลูกห น้ีธ นาคารห ลงั จ ากห ักท อน บญั ชห ี นก ้ี ันใ นว นั ท ่ ี 30 ดงั น ้ี ธนาคารส ามารถค ดิ ด อกเบย้ี ท บต ้นจ าก นายก ิจ ได้ นบั แ ตว่ ันท หี่ กั ท อนบ ญั ช ี เสร็จ คือว ัน ที่ 30 เป็นต้นไ ป ธนาคาร จะ คดิ ดอกเบี้ย ทบ ตน้ ก่อนท มี่ ก ี ารห กั ท อน บัญช ีหนี้ กนั ใน วนั ท ่ี 30 ไม ่ ได ต้ อ้ ง หา้ ม ตาม กฎหมาย 3) การง ด คิด ดอกเบีย้ ทบต ้นห ลัง จากส ญั ญาก เ ู้ งินเ กนิ บ ญั ชี ระงบั ก. กรณีเลิกสัญญา เม่ือ คู่ สัญญา ได้ ตกลง ให้ หัก ทอน บัญชี หนี้ สิน ระหว่าง กัน เท่ากับ เปน็ การเ ลกิ ส ญั ญาบ ญั ชเ ี ดนิ ส ะพดั ทาำ ใหส ้ ญั ญาเ บกิ เ งนิ เ กนิ บ ญั ชร ี ะงบั ไ ปด ว้ ย ดงั น นั้ ธนาคารจ ะค ดิ ด อกเบย้ี ทบ ตน้ จากล ูก หนต ้ี อ่ ไป ไม่ไ ด้น อกจากค ิด ดอกเบี้ยอ ตั รา ธรรมดา ธมมสธสธมสธสธ
มสธ การก ู้ยมื เงนิ 3-67 มสธ อทุ าหรณ์มส ฎ.1054/2526 ธนาคาร โจทก์ ให้ จำาเลย กู้ เบิก เงิน เกิน บัญชี จำาเลย ได้ เบิก เงิน เกิน บัญชี และน าำ เ งนิ เ ขา้ บ ญั ชห ี ลายค รงั้ เ พอื่ ห กั ก ลบล บห น ี้ ดงั นส ี้ ญั ญาร ะหวา่ งโ จทกจ ์ าำ เลยม ล ี กั ษณะเ ปน็ ส ญั ญาบ ญั ช ี เดนิ สะพดั การ ท่ี โจทก์ มี หนังสือ บอก กล่าว ให้ จำาเลย นำา เงิน ส่ง เข้า บัญชี เพ่ือ ลด ยอด เงิน ท่ี เบิก เกิน บัญชี ทั้งหมด ภายใน กำาหนด 1 เดือน นับ แต่ วัน รับ หนังสือ มิ ฉะน้ัน โจทก์ จะ ดำาเนิน คดี แก่ จำาเลย เช่น น้ี เป็น การบ อกเ ลกิ ส ญั ญาบ ญั ชเ ี ดนิ ส ะพดั โดยม ผ ี ลใ หส ้ ญั ญาเ ลกิ ก นั เ มอื่ ค รบก าำ หนด 1 เดอื น นบั แ ตว ่ นั ร บั ห นงั สอื แล้ว หลัง จากส ัญญาเ ลิก กัน แล้ว ธนาคารโ จทก ์จะค ิด ดอกเบ้ียท บ ต้นอ ีก ไม ไ่ ด ้คง คิด ดอกเบี้ย โดยว ิธีธ รรมดา เท่านนั้ ฎ.540/2535 หลัง จาก ครบ กำาหนด อายุ สัญญา กู้ เบิก เงิน เกิน บัญชี จำาเลย ยัง ถอน เงิน ออก และ นำา เงิน เข้า บัญชี หัก ทอน กับ โจทก์ อีก หลาย คร้ัง ถือ ได้ ว่า คู่ กรณี ตกลง ทำา สัญญา บัญชี เดิน สะพัด กัน ต่อ ไป โดย ไม่มี กำาหนด อายุ สัญญา เมื่อ ไม่มี การ หัก ทอน บัญชี และ บอก กล่าว เลิก สัญญา สัญญา บัญชี เดิน สะพดั ร ะหวา่ งโ จทกก ์ บั จ าำ เลยจ งึ ไ มส ่ น้ิ ส ดุ ล ง เมอ่ื ต อ่ ม าโ จทกม ์ ห ี นงั สอื ท วงถามใ หจ ้ าำ เลยช าำ ระห นใ ี้ หเ ้ สรจ็ ส น้ิ ภายในก าำ หนดย อ่ มถ อื ไ ดว ้ า่ เ ปน็ การบ อกก ลา่ วเ ลกิ ส ญั ญาแ ละม ผ ี ลใ หส ้ ญั ญาเ ลกิ ก นั ใ นว นั ค รบก าำ หนดโ จทก ์ จึง มส ี ทิ ธ คิ ิด ดอกเบยี้ ท บต ้นไ ด จ้ นถงึ วันเ ลกิ สัญญา และม สี ทิ ธค ิ ิด ดอกเบีย้ ไ มท ่ บ ตน้ ใ นห นี้ ท ่คี ้าง ชาำ ระ นับแ ต ่ นนั้ ไปจ นถึง วัน ทกี ่ ำาหนดไ ม่ เกนิ 5 ปี ข. ครบกา� หนดสญั ญา เมอื่ ค ส ู่ ญั ญาไ ดก ้ าำ หนดเ วลาไ วใ ้ นส ญั ญา เชน่ กงุ้ ทาำ ส ญั ญาเ บกิ เงิน เกิน บัญชี กับ ธนาคาร กำาหนด ชำาระ เงิน คืน ภายใน 1 ปี ดังน้ี เมื่อ ครบ กำาหนด เวลา ตาม สัญญา สัญญา เบิก เงิน เกิน บัญชี เป็น อัน ระงับ เป็น ผล ให้ สัญญา บัญชี เดิน สะพัด ที่ ประกอบ อยู่ ระงับ ไป ด้วย ธนาคาร จะ คิด ดอกเบีย้ ทบต ้น หลัง จาก สญั ญาบ ญั ชเ ี ดนิ สะพดั ร ะงบั แ ล้วไ มไ ่ ดเ้ ปน็ การ ขดั ก ับม าตรา 655 วรรคส อง ฎ.2260/2535 สญั ญา เบกิ เงิน เกนิ บัญช ีกาำ หนด เวลา ชาำ ระ หนี้ ไว ้แนน่ อน เมื่อ ไม่ ปรากฏ วา่ ธ นาคารโ จทกย ์ อมใ หจ ้ าำ เลยเ บกิ เ งนิ เ กนิ บ ญั ชอ ี กี ต อ่ ไ ป นบั แ ตว ่ นั ส นิ้ ส ดุ ข องส ญั ญา ทงั้ ไ มป ่ รากฏว า่ จ าำ เลย นำา เงินเ ขา้ บ ญั ชีเ พ่อื หกั ท อน บญั ชี พฤติการณแ ์ สดงว ่าค ูก ่ รณ ที ั้ง สอง ฝ่ายถ อื วา่ ส ัญญา เบกิ เ งนิ เกิน บญั ชี เปน็ อัน สน้ิ สดุ ล ง ตาม กาำ หนด เวลา ท รี่ ะบุไ ว ห้ ลังจ าก น้นั ธนาคารโ จทกไ ์ ม่มส ี ทิ ธิ คิด ดอกเบีย้ ท บ ต้นอ ีก ต่อ ไป อนึ่ง แม้ มี การ หัก ทอน บัญชี กัน แล้ว ลูก หนี้ ได้ นำา เงิน มา เข้า บัญชี เพ่ือ หัก ทอน หน้ี ตาม ยอด เงิน ที่ ค้าง ชำาระ อยู่ แต่ ไม่ ปรากฏ ว่า ธนาคาร ให้ ลูก หน้ี เบิก เงิน เกิน บัญชี ต่อ ไป อีก ไม่มี ลักษณะ เป็นการ เดนิ ส ะพัด ทางบ ัญชี ธนาคาร จงึ ไม่มีส ทิ ธ คิ ิดด อกเบ้ียท บ ต้นน ับ แตว่ นั ถ ดั จ าก วันส ้นิ สดุ สัญญา ดัง กล่าว อุทาหรณ์ ฎ.2730/2534ปรากฏต ามบ ัญชกี ระแส ราย วนั ว า่ น บั แ ต่ วนั ถดั จ ากว นั ครบ กำาหนดต าม บนั ทกึ เ พม่ิ เ ตมิ ต อ่ อ ายส ุ ญั ญาก เ ู้ บกิ เ งนิ เ กนิ บ ญั ชค ี รง้ั ส ดุ ทา้ ยจ นถงึ ว นั ท โ ี่ จทกค ์ ดิ ห กั ท อนบ ญั ชค ี รง้ั ส ดุ ทา้ ย กอ่ น ทวงถามใ หจ ้ าำ เลยท ง้ั ส ช ี่ าำ ระเ งนิ ต ามส ญั ญาด งั ก ลา่ ว จาำ เลยท ี่ 1 ไมไ ่ ดเ ้ บกิ เ งนิ อ กี เ ลย และไ มป ่ รากฏว า่ โ จทก ์ ไดย ้ อมใ หจ ้ าำ เลยท ่ี 1 เบกิ เ งนิ เ กนิ บ ญั ชต ี อ่ ไ ปอ กี คงม แ ี ตจ ่ าำ เลยท ี่ 1 นาำ เ งนิ เ ขา้ บ ญั ชเ ี พอื่ ห กั ท อนห นต ้ี ามย อด เงนิ ท ค ี่ า้ งช าำ ระใ นร ะหวา่ งน นั้ ร วม 8 ครง้ั เปน็ เ งนิ 6,000 บาท โดยไ มม่ ล ี กั ษณะเ ปน็ การเ ดนิ ส ะพดั ท างบ ญั ช ี หกั ก ลบล บก นั ใ นร ะหวา่ งโ จทกจ ์ าำ เลยท ่ี 1 ในช ว่ งร ะยะเ วลาด งั ก ลา่ ว ดงั น ี้ พฤตกิ ารณแ ์ สดงว า่ โ จทกจ ์ าำ เลยท ่ี 1 ธมมสธสธมสธสธ
มสธ 3-68 กฎหมายพ าณชิ ย์2:ยืมฝากท รัพย์ตัวแทนประกันภ ยั ไม่ ประสงค์ จะ ต่อ อายุ สัญญา กู้ เบิก เงิน เกิน บัญชี กัน อีก ถือว่า สัญญา กู้ เบิก เงิน เกิน บัญชี อัน เป็น สัญญา บัญชี มสธ เดนิ ส ะพดั ส ิ้นส ดุ ล งน บั แ ตว่ ันค รบก าำ หนดต ามบ นั ทกึ เ พิ่มเ ตมิ ต ่ออ ายสุ ญั ญาค รั้งส ทุ ด้าย ตาม ปพพ. มาตรา มส 856 โจทกไ ์ มม่ ส ี ทิ ธค ิ ดิ ด อกเบย้ี ท บต น้ จ ากจ าำ เลยท ี่ 3 และท ่ี 4 อกี น บั แ ตว ่ นั ถ ดั จ ากว นั ส น้ิ ส ดุ ส ญั ญาค งม ส ี ทิ ธ ิ คิด ดอกเบ้ีย ทบ ต้น ได้ ตั้งแต่ วัน ที่ จำาเลย ที่ 1 ทำา สัญญา กู้ เบิก เงิน เกิน บัญชี จาก โจทก์ จนถึง วัน ส้ิน สุด สัญญา และ มี สิทธิ คิด ดอกเบ้ีย โดย ไม่ ทบ ต้น ได้ ตั้งแต่ วัน ถัด จาก วัน ส้ิน สุด สัญญา ไป จนกว่า จำาเลย ที่ 3 และ ที่ 4 จะ ชำาระ เสร็จแ ก่ โจทก์ ฎ.801/2536 สัญญาบ ญั ชเ ี ดนิ ส ะพดั ร ะหว่างโ จทก์ จำาเลย รวม อย่ ูในส ญั ญา เบกิ เงินเ กนิ บัญชี ซึ่ง ทาำ ข ึน้ เมอ่ื ว นั ท ี่ 28 สงิ หาคม พ.ศ. 2523 มก ี าำ หนด 12 เดือน ย่อมส นิ้ ส ดุ ลงใ น วัน ที ่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2524 สัญญา บัญชี เดิน สะพัด ซ่ึง รวม อยู่ ด้วย จึง สิ้น สุด ไป พร้อม กัน เว้น แต่ โจทก์ จำาเลย จะ ได้ ตกลง ต่อ สัญญา กัน ต่อ ไป โดยตรง หรือ โดย ปริยาย การ ท่ี โจทก์ จำาเลย จะ เดิน สะพัด ทาง บัญชี กัน ต่อ ไป ภาย หลัง จาก สัญญา ครบ กำาหนด แล้ว จำาเลย จะ ต้อง เบิก เงิน จาก บัญชี ได้ อีก แต่ โจทก์ หาย อม ให้ จำาเลย เบิก เงิน ได้ อีก ไม่ จงึ เหน็ เจตนา ของ โจทก ์ชัด แจ้ง ว่า โจทก ์ไม่ ประสงค ์จะ เดิน สะพัด ทาง บัญช ีกบั จาำ เลย อกี ส่วน การ ที ่จำาเลย นาำ เงินเ ข้า บัญชี 2 ครั้ง ภายห ลังจ าก ครบก ำาหนดเ วลาต ามส ัญญาแ ล้วก ็ เป็นการน ำา เงินเ ข้า บัญชีเ พ่ือช ำาระห น้ี เทา่ นนั้ หา ไดม ้ เ ี จตนาจ ะเ ดนิ ส ะพดั ท างบ ญั ชก ี บั โ จทกต ์ อ่ ไ ปไ ม ่ ภายห ลงั จ ากส ญั ญาด งั ก ลา่ วส น้ิ ส ดุ ล ง โจทก ์ คงม ีสิทธคิ ิด ดอกเบย้ี จ าก จาำ เลย ได้โ ดยว ธิ ธี รรมดา จะ คดิ ด อกเบย้ี โ ดยว ิธท ี บต น้ ต่อไ ป อีก หา ได ไ้ ม่ ค. ผู้เบิกเงินเกินบัญชีตาย เมื่อ ผู้ เบิก เงิน เกิน บัญชี ตาย สัญญา เบิก เงิน เกิน บัญชี อัน ประกอบด ้วยส ัญญาบ ัญชีเ ดินส ะพัดย ่อมร ะงับไ ป ด้วย เพราะถ ือว่าส ัญญาบ ัญชเี ดินส ะพัดเ ป็นส ัญญาท ี่ เกิด ขึ้น เนื่องจาก ความ เชื่อ ถือ ระหว่าง บุคคล เท่าน้ัน เม่ือ คู่ สัญญา ตาย สัญญา ย่อม ระงับ ไป โดย ปริยาย ดัง นั้น ธนาคาร จะค ดิ ดอกเบีย้ ท บต ้นใ น กรณ ที ผ่ี เู้ บิกเ งนิ เ กนิ บ ญั ชี ตาย แลว้ ไม ไ่ ด้ อุทาหรณ์ ฎ.1862/2518 ซ่ึงใ ห้ เหตุผล ใน เรอ่ื งน ้ไี ว้อ ยา่ ง ชัดเจนว ่า “การ กยู้ มื เงิน โดย วิธก ี าร บญั ชี เดนิ ส ะพดั จ ากธ นาคาร เบกิ และใ ชค ้ นื ใ นว งเงนิ แ ละก าำ หนดเ วลาต ามข อ้ ต กลงเ ปน็ เ รอื่ งเ ฉพาะต วั เมอื่ ผ ก ู้ ต ู้ าย สัญญา บัญชี เดิน สะพัด ระงับ ภริยา และ ผู้ จัดการ มรดก รับ สภาพ หนี้ ไม่ ทำาให้ เป็น สัญญา บัญชี เดิน สะพัด อยู่ ต่อ ไป จงึ ค ดิ ด อกเบย้ี ท บต ้นต อ่ ไป ไม่ไ ด”้ การ ท่ี เจ้า หน้ี จะ คิด ดอกเบ้ีย ทบ ต้น จาก ลูก หน้ี ได้ ตาม ปพพ. มาตรา 655 วรรค สอง นั้น จะ ต้อง ประกอบ ด้วย หลัก เกณฑ์ ว่า เป็นการ คิด กัน ตาม ประเพณี การ ค้าขาย ใน เมื่อ มี บัญชี เดิน สะพัด ต่อ กนั เ ทา่ นนั้ ธนาคาร จะเ รยี ก รอ้ ง หนร ้ี าย นจ ้ี าก ทายาท ของ ผต ู้ าย ไดเ ้ ฉพาะต ามส ญั ญาก ย ู้ มื ต ามธ รรมดา พรอ้ ม ดอกเบย้ี ตาม ธรรมดา (ไม่ ทบต น้ ) กิจกรรม3.3.2 1. ให้ นกั ศกึ ษาอ ธบิ ายว า่ การค ิด ดอกเบ้ยี ทบต ้น ใน สญั ญาก ้ยู ืม เงนิ ทำาได ห้ รอื ไ ม เ่ พยี งใ ด 2. ใหน ้ กั ศกึ ษาใ ห้เ หตุผลว ่า ทำาไมจ งึ คดิ ดอกเบ้ยี ทบ ต้น ในส ญั ญา เบิกเ งนิ เ กนิ บัญชี ได้ ธมมสธสธมสธสธ
มสธ การกยู้ มื เงิน 3-69 แนวต อบก ิจกรรม3.3.2 1. ทำาได้ กรณี ผู้ กู้ ค้าง ชำาระ ดอกเบี้ย กว่า หน่ึง ปี ขึ้น ไป และ ตกลง กับ ผู้ ให้ กู้ เป็น หนังสือ ว่าย อม ให้ คิด ดอกเบ้ีย ทบต น้ ได ้ และ ทำาได ใ้ น กรณีม ปี ระเพณค ี า้ ขายใ ห ท้ ำาได ้ (ปพพ. มาตรา 655 วรรค หน่งึ และสอง) 2. เพราะเ ปน็ เ รอื่ งก ารค า้ ขายเ งนิ และป ระเพณธ ี นาคารท จ ่ี ะใ ชใ ้ นก ารค ดิ ด อกเบย้ี ท บต น้ มเ ี ฉพาะ ใน บญั ช ีเดนิ ส ะพดั ดงั น นั้ สญั ญาเ บิก เงิน เกินบ ัญช เี ป็นส ญั ญา บัญชี เดินส ะพัดป ระกอบด ว้ ยส ัญญา กู ย้ ืมเ งนิ จงึ สามารถ คิด ดอกเบีย้ ท บ ต้นไ ด้ (ปพพ. มาตรา 655 วรรคส อง) มสธ มส ธมมสธสธมสธสธ
มสธ 3-70 กฎหมายพ าณิชย์2:ยืมฝากท รพั ย์ตวั แทนประกันภ ยั ตอนท ี่3.4 ความร ะงับแ ห่งส ัญญากู้ยืมเงินและก ารนำาส ืบการใช้เงินก ู้ โปรดอ า่ น หวั เ รื่อง แนวคดิ และว ตั ถุประสงค์ข อง ตอนท ี่ 3.4 แล้ว จึง ศกึ ษาร ายล ะเอยี ด ต่อ ไป หัวเรื่อง 3.4.1 ความร ะงบั แ หง่ สญั ญาก ู้ ยืมเ งิน 3.4.2 การนำาส ืบ การ ใชเ ้ งินก ู้ แนวคิด 1. ส ัญญา กู้ ยืม เงิน ที่ กำาหนด ระยะ เวลา ชำาระ เงิน ย่อม ระงับ ลง เม่ือ สัญญา กู้ ยืม ครบ กำาหนด ชำาระ 2. สญั ญาก ย ู้ มื เ งนิ ท ไ ี่ มไ ่ ดก ้ าำ หนดร ะยะเ วลาก ารช าำ ระเ งนิ ยอ่ มค รบก าำ หนดต ามร ะยะเ วลาใ น ค าำ บอกกล่าว ทผ ่ี ใู้ ห้ก ้ยู มื แ จ้งไ ปย งั ผ ู้ กู ย้ มื 3. การนำา สืบ การ ใช้ เงิน ต้อง ไม่ ขัด กับ มาตรา 94 แห่ง ประมวล กฎหมาย วิธี พิจารณา ความ แพง่ ค อื จะนาำ พ ยานบ คุ คลม าส บื ต ดั ท อนห รอื เ ปลยี่ นแปลงแ กไ้ ขข อ้ ความใ นเ อกสารไ มไ ่ ด้ วัตถุประสงค์ เม่อื ศึกษาต อนท ี่ 3.4 จบแ ล้ว นกั ศึกษา สามารถ 1. อธิบายก าำ หนดการ ชำาระห นตี้ าม สัญญาก ู้ ยมื เงนิ ได้ 2. อธบิ ายเ รือ่ งก ารนำา สบื ท ่ี เกีย่ วขอ้ งก ับส ญั ญาก ู้ยมื เงนิ พอ สงั เขป ได้ มสธ มส ธมมสธสธมสธสธ
มสธ การก ู้ยืมเงนิ 3-71 เรื่องท ี่3.4.1 ความร ะงับแ ห่งสัญญาก ู้ยืมเงิน เนื่องจาก สัญญา กู้ ยืม เงิน เป็น สัญญา ยืม ใช้ สิ้น เปลือง ชนิด หน่ึง ความ ระงับ แห่ง สัญญา จึง ต้อง นำา มสธ บทบัญญัติ ใน เร่ือง ความ ระงับ แห่ง สัญญา ยืม ใช้ ส้ิน เปลือง มา ใช้ บังคับ ซึ่ง ได้ กล่าว ไว้ อย่าง ละเอียด ใน หน่วย ที่ มส 2 ดงั น ั้นใ น เร่ืองน ้ี จะก ล่าวไ วเ้ พยี ง สงั เขป 1. สัญญากู้ย ืมเงินมีกำาหนดเวลาช ำาระ ในก ารท าำ ส ญั ญาก ย ู้ มื เ งนิ เ มอ่ื ค ส ู่ ญั ญาไ ดต ้ กลงก นั ไ วว ้ า่ เวลาใ ดเ ปน็ เ วลาท ผ ี่ ก ู้ ย ู้ มื จ ะต อ้ งช าำ ระห นค ี้ นื ผใู้ ห ก้ ู้ยมื ก็ใ ห ถ้ อื เวลาน ั้นเ ป็น เวลา ครบก าำ หนด สญั ญา การแ สดงเ จตนาด งั ก ลา่ วม าใ นว รรคก อ่ น ทา่ นว า่ ห าอ าจจ ะถ อนไ ด”้ เชน่ กงุ้ ใ ห ้ เขม้ ก ย ู้ มื เ งนิ จ าำ นวน 10,000 บาท ใน วนั ท ี ่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556 กำาหนดใ ห้เ ข้ม ชาำ ระต ้นเ งินค ืนภ ายใน 1 ป ี โดย กาำ หนด วันช ำาระ เงนิ ค นื ต ามส ญั ญา ใน วนั ท ี่ 15 ตลุ าคม พ.ศ. 2557 ดังน ั้น หากเ ข้ม ลูกห น้ีม ไิ ดช้ าำ ระห น ใี้ หก ้ ้งุ ในว ันด ังก ล่าว เข้ม ตกเ ปน็ ผ ู้ผ ิดนดั โดยก ุ้ง ผ ใู้ ห้ กย ู้ มื มิพ ัก ตอ้ ง เตอื นเ ลย ตาม ปพพ. มาตรา 204 วรรค สอง สญั ญาก ู ้ยืม เปน็ อันร ะงบั 2. ความตายของค ู่สัญญาไ ม่ท ำาให้สัญญาก ู้ยืมเงินระงับ เนอื่ งจากก ารก ย ู้ มื เ งนิ เ ปน็ ส ญั ญาย มื ใ ชส ้ น้ิ เ ปลอื งซ งึ่ ม ใิ ชเ ่ ปน็ เ รอื่ งเ ฉพาะต วั ด งั ส ญั ญาย มื ใ ชค ้ งร ปู ซงึ่ สญั ญาย มื ใชค้ งรปู ยอ่ ม ระงบั ไ ปเ มอ่ื ผ ย ู้ มื ถ งึ แกค ่ วามต าย ตาม ปพพ. มาตรา 648 การก ย ู้ มื เ งนิ ส าระส าำ คญั อ ย ู่ ท ี่การส ง่ มอบ ทรัพย์สนิ ท ใ ่ี ห้ ยมื ต าม ปพพ. มาตรา 650 ดงั น นั้ ความต าย ของค ส ู่ ัญญาย ่อมไ มท ่ ำาให้ สัญญา กู ้ยมื เ งินร ะงบั และห น ต้ี ามส ัญญา ก ยู้ ืม เงิน ยอ่ มต กทอด ไป ยัง ทายาท ตาม ปพพ. มาตรา 1600 ในล กั ษณะ มรดก สว่ นค วามต ายข องผ ก ู้ ย ู้ มื ใ นส ญั ญาก ป ู้ ระเภทเ บกิ เ งนิ เ กนิ บ ญั ชน ี น้ั ยอ่ มท าำ ใหส ้ ญั ญาเ บกิ เ งนิ เ กนิ บ ญั ช ี ระงับ เนื่องจากส ัญญา เบิกเ งิน เกนิ บัญชเี ปน็ ส ญั ญาท ่ี อาศัยค วามไ วว ้ างใจเ ฉพาะต ัวร ะหว่างค ูส่ ญั ญา เพราะ ผู้ เบิก เงิน เกิน บัญชี ต้อง มี สัญญา บัญชี เดิน สะพัด กับ ธนาคาร ซึ่ง ตาม ธรรมเนียม ของ ธนาคาร หัก ทอน บัญชี โดย ตั๋ว เงิน ดัง นั้น เมื่อ ผู้ เบิก เงิน เกิน บัญชี ตาย สัญญา เบิก เงิน เกิน บัญชี ย่อม ระงับ เพราะ เม่ือ เจ้าของ บัญชี เดินส ะพดั ถึงแก่ ความ ตาย สัญญา บัญชี เดิน สะพัด เป็นอ นั เ ลิกก นั เป็น ผล ให ส้ ญั ญา ก ูย้ มื (เบกิ เ งินเ กินบ ัญชี) ท่ี ประกอบอ ยู่ร ะงบั ไ ป ดว้ ย 3. สัญญากู้ย ืมเงินที่ไ ม่ได้กำาหนดระยะเวลา ความร ะงบั แ หง่ ส ญั ญาก ย ู้ มื เ งนิ ใ นก รณน ี ย ้ี อ่ มเ ปน็ ไ ปต ามค วามร ะงบั แ หง่ ส ญั ญาย มื ใ ชส ้ นิ้ เ ปลอื งต าม ปพพ. มาตรา 652 ความ ว่า “ถา้ ใน สญั ญาไ ม่ม ีกำาหนด เวลาใ หค ้ นื ทรัพยส์ ิน ซึ่ง ยืมไ ป ผ้ ูให้ ยืมจ ะบ อก กลา่ วแ ก่ ผ้ย ู มื ใ ห้ คืนท รัพยส์ ินภ ายใน เวลา ดัง กลา่ วน ้นั กไ็ ด้” เช่น ขาว ใหเ ้ ขียวก ้ยู มื เงนิ ไ ป จำานวน 3,000 บาท โดยม ไิ ด ้ ธมมสธสธมสธสธ
มสธ 3-72 กฎหมายพ าณิชย์2:ยืมฝากท รัพย์ตัวแทนประกันภ ยั กำาหนดใ ห้ เขียว ชำาระ คืน ภายในเ วลา ใด ดังนี้ ผู้ ให้ ยืม คือ ขาว ต้อง ทำา คำา บอก กล่าว ไป ยัง เขียว ผู้ ยืม ว่า ให้ ชำาระ มสธ เงิน ที่ ยืม เม่ือ ใด อาจ จะ กำาหนด ให้เขียว นำา เงิน มา ชำาระ คืน ภายใน 30 วัน นับ แต่ วัน ที่ ได้ รับคำา บอก กล่าว นั้น มส เมื่อ ครบ กำาหนด เขียว ไม่ นำา เงิน มา ชำาระ คืน ขาว ถือว่า เขียว ตก เป็น ผู้ ผิดนัด เม่ือ เขียว ผิดนัด ขาว อาจ บอก เลกิ สญั ญาก ับเ ขียวไ ด้ สัญญา เป็น อนั ร ะงับ เขยี ว ตอ้ งน ำาเ งนิ ม าช าำ ระค ืนให ข้ าว อนง่ึ ใน เรื่องก ารก ย ู้ ืมเ งนิ ซ่ึงเ ป็น สญั ญา ยืม ใชส ้ ิ้นเ ปลือง นไ ี้ ม่ นาำ บ ทบญั ญตั ิ ใน ปพพ. มาตรา 20349 ใน เรื่อง การ ชำาระ หน ้ีโดย ทัว่ ไป มา ใช้ บังคบั เพราะ มี บท กฎหมาย โดย เฉพาะ ใช ้บงั คับ ดัง น้ัน การ ที่ จะ ทำาให ้ สัญญา กู้ ยืม ชนิด ที่ ไม่ ได้ กำาหนด ระยะ เวลา การ ชำาระ หน้ี ไว้ ระงับ ผู้ ให้ กู้ ยืม ต้อง ทำา คำา บอก กล่าว แจ้ง ไป ยัง ผ ก ู้ ู้ ยืมก ่อน เมื่อผ ก ู้ ้ยู ืมไ ม่ป ฏบิ ตั ิ ตาม กำาหนดใ นค าำ บอก กลา่ วจ งึ ต ก เปน็ ผผู้ ดิ นัด และ ผู้ ใหก ้ ูม้ ีสิทธ เิ ลิกส ญั ญา อายุค วามตามส ัญญากยู้ มื เงิน ใน สัญญา กู้ ยืม เงิน น้ัน ปพพ. มิได้ กำาหนด อายุ ความ ไว้ โดย เฉพาะ ดัง น้ัน จึง ต้อง นำา บทบัญญัติ ใน ปพพ. มาตรา 193/30 มา บังคับ “อายุ ความ น้ัน ถ้า ประมวล กฎหมาย นี้ หรือ กฎหมาย อ่ืน มิได้ บัญญัติ ไว้ โดย เฉพาะใ ห้ ม ีกาำ หนดส ิบ ปี” (ฎ. 229/2522 ป.ใหญ)่ อาย คุ วาม 10 ป ี นบั ต ั้งแตว ่ ันก เ ู้ งนิ ถ ึงว นั ท โ่ี จทก์ ฟ้อง แต ่ หาก ฟ้อง ให ก้ อง มรดก ชาำ ระ หน ี้ กรณล ี กู หน้เี งิน กู ต้ าย กอ่ น ยงั ไม ไ่ ดช้ าำ ระห น ้ีกต ็ อ้ งอ ย ู่ภายใน อายุ ความ มรดก ตาม ปพพ. มาตรา 1754 วรรคส ามด ว้ ย กิจกรรม3.4.1 ให น้ กั ศกึ ษา ตอบ คาำ ถามต อ่ ไป นี้ 1. สัญญา กู้ ยืม เงิน ท่ี มี กำาหนด เวลา ชำาระ หนี้ สัญญา จะ ระงับ สิ้น ไป เมื่อ ใด ความ ตาย ของ คู่ สัญญา ทำาให้ส ญั ญาร ะงับส ิน้ ไป หรือ ไม ่ เพราะ เหต ใุ ด 2. สัญญา ก ูย้ มื เงนิ ท ไ ่ี ม่ ได้ก าำ หนด เวลา ชำาระห นก้ี ันไ ว้ ระงับ ส้นิ ไปเ ม่ือใ ด แนวต อบก ิจกรรม3.4.1 1. สัญญา กู้ ยืม เงิน ที่ ไม่ ได้ กำาหนด เวลา ชำาระ ระงับ ส้ิน ไป เม่ือ ครบ กำาหนด สัญญา ความ ตาย ของ คู่ สัญญา หา ทำาให้ สัญญา กู้ ยืม เงิน ระงับ ไป ไม่ เพราะ สาระ สำาคัญ ของ การ กู้ ยืม เงิน อยู่ ที่ การ ส่ง มอบ ทรัพย์ ที่ ให้ กู้ ยืม ตามม าตรา 650 มใิ ช่ เปน็ ส ทิ ธเิ ฉพาะต วั 2. สญั ญาก ย ู้ มื เ งนิ ท ไ ่ี มไ ่ ดก ้ าำ หนดเ วลาช าำ ระห นก ี้ นั ไ ว ้ ระงบั ส นิ้ ไ ปเ มอ่ื เ จา้ ห นม ้ี ห ี นงั สอื บ อกก ลา่ วใ ห ้ ลกู ห นี้ ชาำ ระ หนี้ ภายใน กาำ หนด ไว้ใ น คาำ บอกก ล่าว (ปพพ. มาตรา 652) หาก ลกู ห น ไ้ี ม ช่ าำ ระ หนี้ต าม กาำ หนด เวลา ใน คำาบ อกก ล่าว ถอื ว่าล ูก หน ี้ผดิ นดั เจา้ ห นมี ้ ี สทิ ธ ิบอก เลิก สญั ญา เป็น เหตุ ใหส ้ ัญญา กู ย้ มื เ งิน ระงบั 49 มาตรา 203 “ถ้าเวลาอันจะพึงชำาระหนี้น้ันมิได้กำาหนดลงไว้หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่า เจ้าหนีย้ ่อมจะเรียกใหช้ ำาระหนี้ได้โดยพ ลันและฝ ่ายลูกห นี้ก ย็ อ่ มจะชำาระห นข้ี องตนได้โดยพ ลันด ุจกนั ” ธมมสธสธมสธสธ
มสธการกู้ยมื เงิน 3-73 เรื่องท ี่3.4.2 การนำาสืบการใช้เงินก ู้ เรอ่ื งก ารนาำ ส บื ก ารใ ชเ ้ งนิ น เ ี้ ปน็ เ รอ่ื งท ม ี่ ค ี วามส าำ คญั ใ นล าำ ดบั เ ดยี วกนั ก บั เ รอ่ื งก ารก ย ู้ มื เ งนิ ท ก ี่ ฎหมาย มสธ กำาหนด ให้ มี หลัก ฐาน แห่ง การ กู้ ยืม เป็น หนังสือ เรื่อง การนำา สืบ เป็น เร่ือง ท่ี จะ ศึกษา ได้ โดย ละเอียด ใน วิธี มส พิจารณาค วาม แพง่ ส่วน ในห ัวข้อ นี้ จะก ล่าว ไวโ ้ ดยส ังเขปเ ทา่ นัน้ การนำา สบื การ ใชเ้ งนิ นาำ พยานม า สืบ ได้ 2 ชนดิ คือ 1. พย�นบุคคลการ กู้ ยืม เงิน กรณี ท่ี กฎหมาย ไม่ บังคับ ให้ มี หลัก ฐาน แห่ง การ กู้ ยืม เป็น หนังสือ การนำา สืบ การ ใช้ เงิน กรณี น้ี คู่ สัญญา สามารถ นำา พยาน บุคคล มา สืบ ได้ เช่น กุ้ง กู้ ยืม เงิน เข้ม จำานวน 1,500 บาท โดยไ มม่ หี ลกั ฐ านก ารก ้ ูยมื เ งนิ เปน็ หนังสือ แลว้ ก ไ็ ม่ ชาำ ระ เงนิ ค นื เ ขม้ ดัง นน้ั ใ น ชน้ั ดำาเนิน คด ี เขม้ ยอ่ ม นำาพ ยาน บุคคล มาส บื ไ ด้ วา่ กงุ้ ก้เ ู งนิ เข้ม ไปจ รงิ 2. พย�นเอกส�รกรณท ี กี ่ ฎหมายบ ังคบั ใ ห ม้ หี ลัก ฐาน แหง่ ก ารก ยู้ มื เงินเ ป็น หนังสอื การนำา สืบ การ ใชเ้ งนิ ด งั ก ล่าว ผู้นาำ สืบต ้อง นำา หลักฐ านแ หง่ การก ย ู้ ืมเ ป็น หนงั สือ อันเ ปน็ พ ยานเ อกสาร มา แสดง ตาม ปวพ. มาตรา 94 ความ ว่า “เม่ือ ใด มี กฎหมายบ ังคับ ให้ ต้อง มี พยาน เอกสารม า แสดง ห้าม มิ ให้ ศาล ยอมรับ ฟัง พยาน บุคคล ใน กรณีอ ย่างใ ด อย่าง หนงึ่ ด งั ต่อ ไปน ้ี แม้ ถึงว่า ค่ค ู วาม อีกฝ ่ายห นึ่ง จะไ ด้ยินย อม กด ็ ี” (ก) ขอ สืบพ ยานบ คุ คลแ ทน พยานเ อกสาร เมอื่ ไ ม ่สามารถน ำาเ อกสาร มาแ สดง (ข) สืบ พยาน บุคคล ประกอบ ข้อ อ้าง อย่าง ใด อย่าง หนึ่ง เมื่อ ได้ นำา เอกสาร มา แสดง แล้ว ว่า ยัง มี ข้อความเ พิ่มเ ตมิ ต ดั ท อน หรอื เ ปล่ยี นแปลง แกไ้ ขข ้อความ ในเ อกสารน ้นั อ ยูอ ่ กี ฯลฯ” จาก บทบัญญัติ ดัง กล่าว จะ เห็น ได้ ว่า เร่ือง การนำา พยาน เอกสาร มา แสดง เป็น เรื่อง ที่ กฎหมาย บังคับ ดัง น้ัน คู่ กรณี จะ นำาสืบ พยาน บุคคล แทน พยาน เอกสาร ไม่ ได้ หรือ จะ นำา พยาน บุคคล มา สืบ ประกอบ เพื่อ เพิ่ม เติม ตัด ทอน หรือ เปล่ียนแปลง แก้ไข ข้อความ ใน เอกสาร ที่ นำา มา แสดง ไม่ ได้ ท้ังน้ี แม้ว่า คู่ ความ อีก ฝ่าย หน่ึง จะย นิ ยอมก ต็ าม แตถ ่ า้ ก รณต ี น้ ฉบบั เ อกสารน าำ ม าไ มไ ่ ดเ ้ พราะถ กู ท าำ ลายโ ดยเ หตสุ ดุ วสิ ยั ห รอื ส ญู หายห รอื ไ ม ่ สามารถน าำ ม าไ ดโ ้ ดยป ระการอ นื่ ศ าลจ ะอ นญุ าตใ หน ้ าำ ส าำ เนาห รอื พ ยานบ คุ คลม าส บื ไ ด ้ ตาม ปวพ. มาตรา 93 (2) และใ นก รณท ี เ ่ี อกสารท น ่ี าำ ม าแ สดงเ ปน็ เ อกสารป ลอมห รอื ไ มถ ่ กู ต อ้ งท ง้ั หมดห รอื แ ตบ ่ างส ว่ น หรอื ส ญั ญา หรอื ห นอ ้ี ยา่ งอ นื่ ท ร ่ี ะบไ ุ วใ ้ นเ อกสารน นั้ ไ มส ่ มบรู ณห ์ รอื ค ค ู่ วามอ กี ฝ า่ ยต คี วามห มายผ ดิ ไ มต ่ ดั ส ทิ ธค ิ ค ู่ วามท จ ่ี ะ กล่าว อา้ ง และน าำ พยานบ คุ คล มา สบื ประกอบไ ด้ ตาม ป วพ. มาตรา 94 วรรคส อง ใน เร่ือง การนำา สืบ การ ใช้ เงิน ตาม สัญญา กู้ เงิน กว่า สอง พัน บาท ขึ้น ไป เป็น กรณี ที่ กฎหมาย บังคับ ให้ ต้อง ม พี ยาน เอกสาร มาแ สดง ดังน น้ั ผู้ ก้จ ู ะน าำ พ ยาน บคุ คลม าส บื ไม ไ่ ด้ ดงั กลา่ วแ ลว้ ดงั น นั้ การนำา สบื ก ารใ ช เ้ งนิ กรณท ี ไ ี่ มม่ ี หลกั ฐาน แห่ง การ กู้ย มื เป็นห นงั สอื ผู้ก ยู้ อ่ มน ำาพ ยาน บุคคล มา สืบ ได้ ส่วน การนำา สืบ การ ใช้ เงิน ใน กรณี ท่ี มี การ กู้ ยืม เงิน มี หลัก ฐาน แห่ง การ กู้ ยืม เป็น หนังสือ การนำา สืบ การ ใช้เ งนิ ใ น กรณี น ก้ี ็ต้อง มี หลักฐ านเ ปน็ หนงั สอื เชน่ ก นั ดังบ ทบญั ญตั ิแ ห่งม าตรา 653 วรรค สอง ความ ว่า “ในก ารก ู้ย มื เงนิ ม หี ลัก ฐานเ ปน็ ห นงั สอื น นั้ ท่านว ่า จะ นำาสบื ก าร ใชเ้ งนิ ไดต ้ อ่ เ ม่ือ มีห ลกั ฐานเ ป็นห นังสอื อยา่ ง ใด ธมมสธสธมสธสธ
มสธ 3-74 กฎหมายพ าณชิ ย์2:ยืมฝากท รัพย์ตวั แทนประกันภ ยั อยา่ งห นงึ่ ล งล ายมอื ช อื่ ผ ใ ู้ หย ้ มื ม าแ สดง หรอื เ อกสารอ นั เ ปน็ ห ลกั ฐ านแ หง่ ก ารก ย ู้ มื น นั้ ไ ดเ ้ วนคนื แ ลว้ ห รอื ไ ดแ ้ ทง มสธ เพิกถ อน ลง ใน เอกสารน ้นั แ ลว้ ” เชน่ แดง ก ยู้ ืม เงนิ ดาำ 1,000 บาท โดยท ำาห ลกั ฐาน การก ู้ ยืม เงนิ เป็น หนงั สอื มส เมื่อ แดง ชำาระ หน้ี เงิน กู้ ไป แล้ว ต้อง มี หลัก ฐาน การ ใช้ เงิน เป็น หนังสือ หรือ เวนคืน เอกสาร กู้ ยืม เงิน หรือ แทง เพิกถ อนล งใ นเ อกสาร มิฉ ะนัน้ จะ นำาส บื การ ใช้เ งนิ ไม่ ได ้ ตามม าตรา 653 วรรค สอง แม ้กย ู้ ืม เงนิ กนั ไ ม เ่ กนิ 2,000 บาทก ็ตาม การนำาส บื การใ ชเ้ งิน ตามม าตรา 653 วรรค สอง หมายความ ถึง การใ ชต ้ ้นเ งิน ไมร ่ วมถ งึ ด อกเบ้ยี ท ี่ เกิด จาก ตน้ เงิน นัน้ (ฎ. 826/2504) การนำาส ืบก าร ใช เ้ งิน กระทำาไ ด ้ 3 กรณี 1) มีห ลกั ฐานเ ปน็ ห นงั สืออ ยา่ งใ ด อย่างห น่งึ ล ง ลายมอื ช ่ือผ ู้ ให ย้ มื มา แสดง หรือ 2) เอกสารอ ัน เป็น หลักฐ าน แหง่ ก าร กูย ้ ืมน ั้น ได เ้ วนคนื แล้ว หรือ 3) ได้ แทงเ พิกถ อนล ง ในเ อกสาร นน้ั แล้ว ทง้ั 3 ข้อ น จ้ี ะ ได้ กล่าวร ายล ะเอียดด งั ต ่อไ ปน ้ี 1) มี หลัก ฐาน เป็น หนังสือ อย่าง ใด อย่าง หนึ่ง ลง ลายมือ ช่ือ ผู้ ให้ ยืม มา แสดง การ กู้ ยืม เงิน ที่ มี หลัก ฐาน แห่ง การ กู้ ยืม เงินเ ป็น หนังสือ การนำา สืบ การ ใช้ เงินก ็ ต้องม ี หลักฐ าน เป็นห นังสืออ ย่าง ใด อย่างห น่ึง ลงล ายมอื ช่ือผ ูใ้ ห ย้ ืมม าแ สดง เช่น กนั ซ่งึ โดยป กต ไิ ดแ้ ก ใ่ บ เสร็จ รับเ งนิ ตัวอย่างใบเสร็จร ับเงิน ใบเ สร็จ รบั เงนิ เลข ท ี่ 098845 เลม่ ท ่ี 0543 สถาน ท่ี.................................................................วัน ท่ี.....................พ.ศ............................. ได้ รับ จาก............................................................................จำานวน เงิน..................................บาท ซ่ึง จา่ ยเ ป็นค า่ ............................................................................................................................................ ......................... ผู้รบั เงนิ ในบ ทบญั ญตั แ ิ หง่ ป ระมวลก ฎหมายแ พง่ แ ละพ าณชิ ยม ์ าตรา 326 ไดบ ้ ญั ญตั ว ิ า่ “บคุ คลผ ช ู้ าำ ระ หน ชี้ อบ ทจ่ี ะ ได้ รบั ใบ เสรจ็ เ ปน็ สาำ คัญ จากผ ู้รับ ชำาระห นน ้ี ั้น” เชน่ กุ้งไ ด้ ชำาระห น้เ ี งินก ้ ใู ห แ้ ก่ เขม้ ดงั นี ้ กุง้ ย อ่ ม จะม ส ี ทิ ธ ใิ ห เ้ ข้ม ออก ใบเ สรจ็ ร ับเ งนิ ใ ห ้แก ต่ น เนอื่ งจากใ บ เสร็จ รบั เ งิน เป็น หลกั ฐ าน ท่ เี ป็นห นงั สอื ม ีลายมอื ชอื่ ผ ู้ใ ห้ก ู ้ยืม เปน็ ส ำาคญั จงึ ถือวา่ ใบเ สรจ็ ร บั เ งนิ เ ปน็ ห ลกั ฐ านก ารช าำ ระห นท ี้ ส ี่ าำ คญั อ นั ห นง่ึ ท ผ ี่ ก ู้ ย ู้ มื พ งึ ย ดึ ถอื ไ วเ ้ พอ่ื ต อ่ สผ ู้ ใ ู้ หก ้ ย ู้ มื ใ นก รณท ี ผ ี่ ใ ู้ ห ้ กย ู้ ืมอ า้ ง ว่า มไิ ด ้รบั ชำาระห น้ีจ าก ผกู้ ู้ ยมื ธมมสธสธมสธสธ
มสธ การก ู้ย มื เงนิ 3-75 มสธ แมใ้ บ เสรจ็ รบั เ งินจ ะ เปน็ ห ลกั ฐ าน สาำ คญั ข องฝ า่ ย ผ้ก ู ้ย ู มื แตก่ ม็ ิไดห ้ มายความว า่ หาก ไมม่ ใี บ มส เสรจ็ ร ับเ งนิ ล งล ายมือช ่ือ ของ ผู้ใ หก ้ มู้ า แสดง แล้ว ผ ้กู ูจ้ ะ ตอ่ สผ ู้ ู้ใ หก ้ ยู้ มื ไ มไ่ ด ก้ ห ็ าไม ่เพราะ หลัก ฐานท ่ีแ สดง วา่ ผู้ กู้ ยืม ได้ ชำาระ หนี้ แล้ว ไม่ เพียง จะ มี แต่ ใบ เสร็จ รับ เงิน เท่าน้ัน หลัก ฐาน อย่าง อื่น ซ่ึง ไม่ใช่ ใบ เสร็จ รับ เงิน แต่ มี ข้อความ แสดง ให้ เห็น ว่า ผู้ ให้ กู้ ได้ รับ ชำาระ หน้ี เงิน กู้ จาก ผู้ กู้ และ มี ลายมือ ชื่อ ผู้ ให้ กู้ ยืม เป็น สำาคัญ ก็ ใช้ได้ ดังต วั อยา่ งใ น ฎ. 531/2505, 1696/2523 ศาลฎ ีกา ได ว้ ินจิ ฉัย ว่า มาตรา 653 วรรค สอง บญั ญัติ ว่า “ใน การ กย ู้ มื เ งนิ ม ห ี ลกั ฐ านเ ปน็ ห นงั สอื น น้ั ท า่ นว า่ จ ะน าำ สบื ก ารใ ชเ ้ งนิ ไ ดต ้ อ่ เ มอื่ ม ห ี ลกั ฐ านเ ปน็ ห นงั สอื อ ยา่ งใ ดอ ยา่ งห นงึ่ ลง ลายมือ ชือ่ ผ ้ใู ห้ย มื มาแ สดง ฯลฯ” กฎหมายม ิได้ บังคับว า่ จะต อ้ งม ี ใบ เสรจ็ ร ับ เงนิ ม า แสดงเ ลย หลกั ฐ านอ ยา่ งใ ดอ ยา่ งห นง่ึ น น้ั จะเ ปน็ ห ลกั ฐ านอ ะไรก ไ็ ดข ้ อใ หม ้ ข ี อ้ ความแ สดงว า่ ผใ ู้ หก ้ ย ู้ มื ไ ด ้ รบั ช าำ ระห นท ี้ ใ ่ี หก ้ ย ู้ มื แ ลว้ โ ดยม ล ี ายมอื ช อื่ ข องผ ใ ู้ หย ้ มื เ ปน็ ส าำ คญั ซง่ึ เ ปน็ ท าำ นองเ ดยี วกนั ก บั ห ลกั ฐ านก ารก ย ู้ มื เงนิ ซงึ่ หลกั ฐาน ดงั กลา่ ว อาจจ ะ เปน็ จดหมาย หรอื บ นั ทกึ ใดๆ กไ็ ด ้ ขอ้ สาำ คญั หลกั ฐ านด งั กลา่ ว ตอ้ ง ม ลี ายมอื ชอื่ ผ ใ ู้ หก ้ เ ู้ ปน็ ส าำ คญั ห รอื ห ากไ มม่ ล ี ายมอื ช อื่ ข องผ ใ ู้ หก ้ ู้ ผใ ู้ หก ้ จ ู้ ะพ มิ พล ์ ายน ว้ิ ม อื ก ใ ็ ชไ้ ด ้ แตต ่ อ้ งม พ ี ยานร บั รอง พมิ พ ล์ าย นวิ้ ม อื ส อง คน ตาม ปพพ. มาตรา 9 หาก ไมม่ พี ยาน รบั รอง กถ ็ อื ไม ไ่ ด ว้ า่ ม ลี ายมอื ชอื่ ของ ผใ ู้ ห ก้ ย ู้ มื เป็น สาำ คัญ ผก ู้ ู้ จะใ ชเ ้ ป็นห ลัก ฐาน ไมไ่ ด้ว ่า ผใ ู้ หก ้ ้ไ ู ด ร้ ับช ำาระห น ีจ้ าก ผก ู้ ู้แ ลว้ (ฎ. 2550/2554) อทุ าหรณ์ ฎ.3339/2532(ป.ใหญ่)ใน การ ชำาระ หนี้ เงิน ยืม ผู้ ยืม ให้ ผู้ ให้ กู้ ยืม เงิน รับ เงิน เดือน แทน ผู้ ยืม และ หัก เงิน เดือน ชำาระ หน้ี ดังน้ี สมุด จ่าย เงิน เดือน ของ ทาง ราชการ ท่ี ผู้ ให้ ยืม ลงช่ือ รับ เงิน เดือน แทน ผู้ ยืม นั้น เป็นห ลกั ฐานก าร ใช้เ งนิ ตาม ปพพ. มาตรา 653 วรรคส อง ฎ.3657/2534 จำาเลย ท่ี 1 กู้ เงิน โจทก์ และ ได้ ชำาระ หน้ี เงิน กู้ ราย พิพาท เป็น เช็ค แต่ ธนาคาร ปฏเิ สธก าร จ่าย เงินต ามเ ช็ค หน เี้ งนิ ก จู้ งึ ยังค งม อี ย ู่ การ ที่ จำาเลย ท่ี 2 ซง่ึ เป็นผ ้ค ู าำ้ ประกัน นาำ สบื ว ่า จำาเลยท ่ี 1 นาำ เ งนิ สดต ามเ ชค็ ไ ปช าำ ระแ กโ ่ จทกจ ์ นค รบแ ละร บั เ ชค็ ค นื จ ากโ จทกแ ์ ลว้ จ งึ เ ปน็ การน าำ สบื ก ารใ ชเ ้ งนิ ต ามค วาม หมาย ของ ปพพ. มาตรา 653 วรรค สอง เม่อื จาำ เลยท ่ ี 2 ไมม่ หี ลักฐ านเ ป็น หนงั สอื ล ง ลายมอื ช อื่ ผใู ้ ห ย้ มื มา แสดง และไ มป ่ รากฏว า่ เ อกสารอ นั เ ปน็ ห ลกั ฐ านแ หง่ ก ารก ย ู้ มื น นั้ ไ ดเ ้ วนคนื ห รอื ไ ดแ ้ ทงเ พกิ ถ อนล งใ นเ อกสาร นนั้ แลว้ จ งึ ร ับ ฟงั ไ ม่ไ ดว ้ ่าจ าำ เลย ท่ี 1 ได้ช าำ ระ หน ใี้ ห แ้ ก โ่ จทก์ ฎ.4094/2540 การช ำาระ หน ้ีกย ู้ มื เ งนิ ตอ้ ง มห ี ลักฐ าน ตาม ปพพ. มาตรา 653 วรรคส อง มา แสดง จำาเลย ร่วม เพียง ปาก เดียวม าเ บิกค วามล อยๆ วา่ ไ ด ้ชดใช เ้ งิน ให ้แกโ ่ จทก์ จงึ ไ มอ่ าจร ับฟ งั ได้ ฎ.3564/2548 ใน การ กู้ ยืม เงิน มี หลัก ฐาน เป็น หนังสือ จำาเลย จะ นำาสืบ การ ใช้ เงิน ได้ ต่อ เม่ือ มี หลัก ฐาน เป็น หนังสือ อย่าง ใด อย่าง หนึ่ง ลง ลายมือ ชื่อ ผู้ ให้ ยืม มา แสดง หรือ เอกสาร อัน เป็น หลัก ฐาน แห่ง การ ก้ ูยืมเ งนิ นนั้ ไ ดเ ้ วนคืน แล้ว หรอื ไ ด้แ ทงเ พกิ ถอนล งใ น เอกสาร น้ันแ ลว้ ตาม ปพพ. มาตรา 653 วรรค สอง การ ที่ จำาเลย นำา เงิน ฝาก เข้า บัญชี เงิน ฝาก ของ โจทก์ เพื่อ ชำาระ หนี้ เงิน ที่ กู้ ยืม จาก โจทก์ เป็นการ ชำาระ หนี้ ผ่าน ธนาคาร ที่ โจทก์ มี บัญชี เงิน ฝาก เพื่อ ให้ โจทก์ ได้ รับ เงิน ท่ี ชำาระ หน้ี โดย ไม่ ได้ ทำา นิติกรรม โดยตรง ต่อ โจทก์ ไมอ่ าจม กี ารกร ะ ทำา ตาม ปพพ. มาตรา 653 วรรคส อง แตเ ่ ป็นก รณ ีที่เ จา้ หน้ ยี อมรับก าร ชาำ ระ หน ้ีอย่าง อืน่ แทนก ารช ำาระ หนีท ้ ่ไี ด้ ตกลง กนั ไว้ ตาม ปพพ. มาตรา 321 วรรค หน่งึ ที ่จำาเลย นาำ สืบ วา่ จำาเลย ชาำ ระ หนใ ี้ ห แ้ ก่ โจทกด ์ ว้ ย การนาำ เงินฝ ากเ ขา้ บ ัญช ขี องโ จทก ไ์ ด้ นัน้ จ ำาเลยจ ึงน ำาสบื ได้ ธมมสธสธมสธสธ
มสธ 3-76 กฎหมายพ าณิชย์2:ยมื ฝากท รพั ย์ตวั แทนประกนั ภ ัย มสธ ส่วน การนำา สืบ การ ใช้ เงิน กรณี ท่ี คู่ สัญญา ตกลง ชำาระ หนี้ เงิน กู้ ด้วย ทรัพย์สิน อย่าง อื่น แม้ จะ มส มิได้ ทาำ ห ลักฐ านก าร ชำาระห น เ้ี ปน็ หนงั สือ ก ย็ ่อม นำาพ ยาน บุคคล มา สบื ก าร ชาำ ระ หนเ ี้ ช่นน ้ัน ได้ ดงั ตวั อยา่ ง ใน ฎ. 1496/2503 ซงึ่ คส ู่ ญั ญาไ ดท ้ าำ ห นงั สอื ส ญั ญาก ย ู้ มื เ งนิ ก นั แ ลว้ ต อ่ ม าต กลงช าำ ระห นด ี้ ว้ ยท รพั ยอ ์ ยา่ งอ นื่ แม ้ จะ มิไดท ้ าำ ห ลักฐ าน การ ชำาระ หน ้เี ปน็ ห นังสอื ก ย็ อ่ ม นาำ สืบก าร ชาำ ระห นน ้ี ัน้ ได้ ศาลฎ กี า ไดใ้ ห ้เหตุผลว ่า “ตาม ประมวลก ฎหมาย แพง่ แ ละพ าณชิ ย ์ มาตรา 653 วรรค สอง บญั ญตั กิ ารนาำ ส บื เ ฉพาะก รณก ี ารใ ชเ ้ งนิ ไม ห่ า้ ม การนาำ ส ืบ กรณใี ช ท้ รัพย์สนิ อย่างอ ื่น ชำาระห น แ้ี ทน เงนิ ” 2) เอกสาร อัน เป็น หลัก ฐาน แห่ง การ กู้ ยืม ได้ เวนคืน แล้ว นอกจาก การนำา สืบ การ ใช้ เงิน โดย มี หลัก ฐาน เป็น หนังสือ อย่าง ใด อย่าง หนึ่ง ลง ลายมือ ช่ือ ผู้ ให้ ยืม มา แสดง แล้ว ผู้ กู้ ยัง นำาสืบ ได้ ว่า หลัก ฐาน การ ก ู้ย ืม ได ้เวนคนื ใหแ ้ ก ผ่ ก ู้ ้แ ู ลว้ เวนคืนหมาย ถึง การ มอบ เอก สา รอันป็น หลัก ฐาน แห่ง การ กู้ ยืม คืนให้ แก่ ผู้ กู้ ยืม เม่ือ ผู้ กู้ ยืม ได้ ชำาระ หน้ี แก่ ผู้ ให้ กู้ ยืม แล้ว เช่น กุ้ง กู้ ยืม เงิน เข้ม โดย ทำา สัญญา กู้ ยืม กัน ไว้ เม่ือ กุ้ง ได้ ชำาระ หนี้ ราย นี้ เสร็จ สิ้น เรียบร้อย แล้ว เข้ม ย่อม จะ เวนคืน เอกสาร สัญญา กู้ ยืม เงิน ให้ แก่ กุ้ง ผู้ กู้ เป็นการ แสดง ว่า สัญญา กู้ ยืม เงิน ดัง กลา่ ว ไดร้ ะงบั สิน้ ลงต ามค วามใ น ปพพ. มาตรา 326 ทีบ่ ัญญตั ิ วา่ “บคุ คลผ ชู้ ำาระห นชี ้ อบท จ่ี ะ ไดร ้ บั ใ บ เสรจ็ เปน็ ส าำ คญั จากผ รู้ บั ชาำ ระ หน น้ี น้ั และ ถา้ หน นี้ น้ั ได ช้ าำ ระ สน้ิ เ ชงิ แลว้ ผ ชู้ าำ ระ หน ช้ี อบท จ ่ี ะไ ด ร้ บั เวนคนื เอกสาร อนั เปน็ หลักฐ านแ ห่ง หนี้” และก ารเ วนคนื เ อกสาร ดงั ก ล่าวถ อื วา่ ห น้น ี ัน้ ระงับส นิ้ ไ ป ตามม าตรา 327 วรรคส าม “ถ้า เอกสาร อัน เป็น หลัก ฐาน แห่ง หนี้ ได้ เวนคืน แล้ว ไซร้ ท่าน ให้ สันนิษฐาน ไว้ ก่อน ว่า หนี้ น้ัน เป็น อัน ระงับ ส้ิน ไป แล้ว” การ เวนคืน เอกสาร ดัง กล่าว ต้อง เป็น เจตนา ของ ผู้ ให้ กู้ ที่ จะ เวนคืน ให้ แก่ ผู้ กู้ เนื่องจาก ผู้ กู้ ได้ ชาำ ระ หนเ ี้ งนิ ก เ ู้ รยี บรอ้ ย แลว้ ไมใ่ ช เ่ พยี งแ ต ว่ า่ ส ญั ญาก ย ู้ มื ได ต้ กไ ป อย ใู่ น มอื ข อง ผก ู้ โ ู้ ดย วธิ อ ี น่ื เชน่ ผ ้กู ข ู้ อยมื สญั ญา ก้ จู ากผ ใ ู้ หก ้ ู้ ยมื ไป แล้ว ไม่ คืนให้ หรอื ผู้ก ไู้ ดล ้ กั สญั ญาก ย ู้ ืมเ งิน ไปจ าก ผู้ใ หก ้ ู้ หรอื ผู้ใ หก ้ ท ู้ ำา สญั ญาก ต ู้ ก หาย แล้ว มี ผู้ เก็บ ไป ให้ ผู้ กู้ กรณี ที่ กล่าว เช่น น้ี ไม่ ถือว่า เป็นการ เวนคืน เอกสาร อัน เป็น หลัก ฐาน แห่ง สัญญา ก ยู้ ืม โดยเ จตนา ของ ผู้ ใหก ้ ย ู้ ืม อทุ าหรณ์ ฎ.2657/2534หนงั สอื ร บั รองก ารท าำ ป ระโยชนท ์ จ ี่ าำ เลยม อบใ หโ ้ จทกเ ์ ปน็ ห ลกั ป ระกนั ก ารก ย ู้ มื เงนิ ไ มใ่ ชห ่ ลกั ฐ านแ หง่ ก ารก ย ู้ มื การเ วนคนื เ อกสารด งั ก ลา่ วจ งึ ร บั ฟ งั ไ มไ ่ ดว ้ า่ จ าำ เลยช าำ ระห นใ ี้ หแ ้ กโ ่ จทกแ ์ ลว้ 3) ได้ แทง เพิก ถอน ลง ใน เอกสาร นั้น แล้ว การนำา สืบ การ ใช้ เงิน ใน ข้อ สุดท้าย น้ี เป็นการ แทง เพิก ถอน ลง ใน เอกสาร ที่ เป็น หลัก ฐาน แห่ง การ กู้ ยืม น้ัน โดยตรง ซ่ึง หลัก ฐาน แห่ง การ กู้ ยืม เงิน อาจ จะ เป็น ตวั เอกส าร สัญญา ก ยู้ ืม เงินห รอื หลัก ฐาน อยา่ ง อนื่ การแทงเพิกถอน หมาย ถึง บันทึก แสดง การ ชำาระ หนี้ ของ ผู้ กู้ ยืม เช่น ผู้ ให้ กู้ ได้ ทำา สัญญา ก ู้ฉบบั น ้นั ว ่าไ ดม้ กี ารช ำาระห นก้ี ันเ รยี บรอ้ ยแ ลว้ โดยผ ู้ ใหก ้ ไู้ มจ ่ าำ ต ้องค นื ส ัญญาก ใ ู้ หแ้ กผ ่ ู้ก ู้ก ย ็ อ่ มท ำาได ้ ถอื ว่า การ แทง เพกิ ถอน ลง ใน สญั ญา ดัง กลา่ ว เปน็ การ ทาำ ให ้สัญญา กู้ ระงบั สิน้ ไป อยา่ ง หนง่ึ การ แทง เพิก ถอน ลง ใน สญั ญาก ้ ยู มื เ งนิ น ี ้ ผใ ู้ ห ้กู้ (เจา้ หน้ี) ตอ้ งเ ปน็ ผ ู ้แทงเ พกิ ถอน หรือโ ดย คาำ ส ง่ั ของเ จา้ หนี้ใ หแ ้ ทง เพกิ ถ อน ผู้ก ู้ จะแ ทงเ พกิ ถ อนเ อง ไม่ไ ด้ ธมมสธสธมสธสธ
มสธ การกูย้ ืมเงิน 3-77 มสธ การกร ะท ำา ในก รณอ ี น่ื นอกจาก วธิ ก ี าร ตามมาตรา 653 วรรคส อง เชน่ ฉีกเ อกสารส ญั ญา มส กู้ย ืมเ งนิ ทง้ิ ไม่ สามารถน าำ สบื ก าร ใช้ เงินได้ การนาำ สืบการใช้เงนิ ในก รณีอ่นื ๆ 1) การนำา สืบ การ ใช้ เงิน เร่ือง ดอกเบี้ย ใน เรื่อง การนำา สืบ การ ใช้ เงิน ใน กรณี อื่นๆ นั้น ก็ เช่น เดียวกัน การนำา สืบ การ ใช้ เงิน ตาม ท่ี ได้ กล่าว มา แล้ว สามารถ นำา พยาน บุคคล มา สืบ ใน เรื่อง ท่ี กฎหมาย ไม่ บังคับใ หม ้ หี ลัก ฐาน แห่ง การ กย ู้ ืม เงินเ ป็นห นงั สอื หรอื ตอ้ ง นาำ พยานเ อกสาร มา สืบ กรณี ที่ กฎหมาย บังคับ ให ้ มห ี ลกั ฐ านแ หง่ ก ารก ย ู้ มื ม าแ สดงด งั บ ทบญั ญตั ใ ิ น ปวพ. 94 ความว า่ “เมอื่ ใ ดม ก ี ฎหมายบ งั คบั ใ หต ้ อ้ งม พ ี ยาน เอกสาร มา แสดง ห้าม มิ ให้ ศาล ยอมรับ ฟัง พยาน บุคคล ใน กรณี อย่าง ใด อย่าง หน่ึง ดัง ต่อ ไป น้ี แม้ ถึงว่า คู่ ความ อีก ฝ่าย หน่งึ จะไ ดย้ นิ ยอมก ด็ ี ฯลฯ” การนำา สืบ การ ใช้ เงิน เรื่อง ดอกเบ้ีย นั้น กฎหมาย มิได้ บังคับ ให้ ต้อง มี พยาน เอกสาร มา แสดง ดัง น้ัน ผู้ กู้ สามารถ นำา พยาน บุคคล มา สืบ เร่ือง การ ชำาระดอกเบี้ย ได้ โดย ไม่ ต้อง มี หลัก ฐาน การ ใช้ เงิน เป็น หนังสือ อัน เป็น พยาน เอกสาร มา แสดง ต่อ ศาล ซึ่ง มี ตัวอย่าง คำา พิพากษา ศาล ฎีกา ท่ี วินิจฉัย ใน เร่ือง น้ี ว่า ใน เรื่อง การ กู้ ยืม เงิน ที่ ต้อง มี หลัก ฐาน เป็น หนังสือ กฎหมาย ห้าม นำา พยาน บุคคล มา สืบ การ ใช้ เงิน เฉพาะ ใน ต้น เงนิ แตใ ่ น เรอ่ื ง การช าำ ระด อกเบีย้ กฎหมาย มิได้ ห้าม ดงั เ ช่น ฎ. 243/2503 ซง่ึ ศาลฎ ีกาว ินจิ ฉัยโ ดยม ต ิ ที่ ประชุม ใหญ ่ “เห็น ว่า วรรค สองแ ห่ง กฎหมายด ังก ลา่ ว (มาตรา 653) ปัญหา เรอ่ื งก ารนาำ สบื การใ หเ ้ งินว ่า ต้อง มี หลัก ฐาน เป็น หนังสือ เฉพาะ เรื่อง การ กู้ ยืม เงิน กว่า ห้า สิบ บาท (ปัจจุบัน สอง พัน บาท) ขึ้น ไป เท่านั้น สว่ น ดอกเบย้ี หาไ ด ม้ ีบ ัญญัตไ ิ วไ้ ม ่ ดว้ ยเ หตน ุ ้ี การท ่จ ี ำาเลย จะ นำาสืบพ ยาน บุคคลว า่ ไ ด ช้ าำ ระ ดอกเบ้ยี แ กโ ่ จทก์ จงึ ไมข่ ัด ตอ่ ปวพ. มาตรา 94 ฯลฯ” ฎ.1084/2510 “การช าำ ระด อกเบย้ี ไ มจ ่ าำ ต อ้ งม ห ี ลกั ฐ านเ ปน็ ห นงั สอื ต ามป ระมวลก ฎหมายแ พง่ และ พาณิชย์ มาตรา 653 วรรค สอง จึง นำาสบื พ ยานบ คุ คลว า่ ได ช้ าำ ระ ดอกเบีย้ แล้วไ ด้” ฎ.1345/2532การนำา สืบ การ ใช้ เงิน ตาม ปพพ. มาตรา 653 วรรค สอง น้ัน หมาย ถึง ต้น เงิน ไม ่หมายร วม ถงึ ดอกเบ้ยี ส่วน กรณี ที่ คู่ สัญญา ได้ กำาหนด อัตรา ดอกเบ้ีย ไว้ ใน สัญญา กู้ ยืม ชัด แจ้ง แล้ว จะ ขอ นำาสืบ เปลย่ี นแปลงว า่ ม ข ี อ้ ต กลงก นั อ กี ต า่ งห ากส ว่ นห นงึ่ ใ หค ้ ดิ อ ตั ราเ กนิ ก วา่ ท ก ่ี าำ หนดไ วไ ้ มไ ่ ด ้ ตอ้ งห า้ มต าม ปวพ. มาตรา 94 (ฎ. 235/2507) ข้อ นีต้ ้อง ห้าม เพราะ เปน็ การ นาำ สบื เปลย่ี นแปลงแ กไ้ ข เอกสาร 2) การนาำ ส บื เ รอ่ื งก ารใ ชด ้ อกเบย้ี ห รอื ต น้ เ งนิ ใ นก รณช ี าำ ระด อกเบยี้ ห รอื ต น้ เ งนิ พ รอ้ มด อกเบย้ี เปน็ ง วดๆ นนั้ ถา้ เ จา้ ห นอ ้ี อกใ บเ สรจ็ ใ หเ ้ พอื่ ร ะยะห นง่ึ แ ลว้ โ ดยม อ ิ ดิ เ ออื้ น ใหส ้ นั นษิ ฐานไ วก ้ อ่ นว า่ เจา้ ห นไ ี้ ด ้ รับช าำ ระ หนี้ เพือ่ ระยะ ก่อนๆ นั้น ดว้ ย แล้ว ตาม ปพพ. มาตรา 327 เชน่ ค สู่ ัญญา กำาหนดช าำ ระ ดอกเบย้ี เป็น ราย เดือนภ ายในว ัน ที่ 1 ของ ทุกๆ เดือน ใน กรณน ี ้ถ ี ้าเ จ้าห น้ีไ ด้ ออกใ บเ สร็จร ับช าำ ระด อกเบี้ย เงินก ยู้ ืม ให้ แก่ ผู้ กู้ ยืม ไว้ ใน วัน ท่ี 1 ตุลาคม 2556 กฎหมาย ให้ สันนิษฐาน ว่า การ ชำาระ ดอกเบ้ีย ก่อน เดือน ตุลาคม ย อ้ นห ลงั ไ ป เจา้ ห นไ ้ี ดร ้ บั ช าำ ระจ ากล กู ห นแ ี้ ลว้ หรอื ใ นก รณผ ี ใ ู้ หก ้ ย ู้ มื อ อกใ บเ สรจ็ ร บั ช าำ ระต น้ เ งนิ ใ หผ ้ ก ู้ ภ ู้ ายใน วนั ท ่ี 1 ตลุ าคม พ.ศ. 2556 กรณเ ี ชน่ น ี้ กฎหมายส นั นษิ ฐานว า่ ในเ ดอื นก อ่ นๆ ผใ ู้ หก ้ ย ู้ มื ไ ดร ้ บั ช าำ ระต น้ เ งนิ จ าก ผก ู้ ู้ ยมื แล้ว ถา้ ผ ู้ใ หก้ ู้ ยืมอ า้ ง ว่าม ไิ ด้ร ับช ำาระ ผู้ใ ห้ ก ยู้ ืม ต้องเ ป็นฝ า่ ย นำาสืบห ัก ล้างข ้อส นั นษิ ฐานข องก ฎหมาย ดงั ก ลา่ ว (ฎ. 1649/2479) และก รณ ผี ูใ้ ห้ ก ยู้ มื ไ ด ้ออก ใบเ สร็จ วา่ ไดร ้ ับ ชำาระต น้ เ งินจ าก ผู้ก ย ู้ มื แ ล้ว สนั นิษฐาน ว่า ผู้ กู้ ยืมไ ดช้ าำ ระด อกเบย้ี เดอื นก ่อนๆ แก่ ผู้ ให ้กู ย้ มื แล้วเ ชน่ กัน (ปพพ. มาตรา 327 วรรค 2) ธมมสธสธมสธสธ
มสธ 3-78 กฎหมายพ าณิชย์2:ยมื ฝากท รพั ย์ตัวแทนประกันภ ยั มสธ 3) การนำาส ืบ การ ชาำ ระห นดี้ ้วยเ ชค็ กรณี ชาำ ระห นด ้ี ้วย เช็ค ซง่ึ เป็นการ ชาำ ระห น ด้ี ว้ ย การ ออกมส ต วั๋ เ งิน ตาม ปพพ. มาตรา 321 วรรค 3 ความ ว่า “ถา้ ชำาระห น้ีด ว้ ย ออก ด้วย โอน หรือ ด้วย สลกั หลัง ตว๋ั เ งนิ หรอื ป ระทวนสนิ คา้ ทา่ นว า่ ห นน ้ี นั้ จ ะร ะงบั ส นิ้ ไ ปต อ่ เ มอ่ื ต วั๋ เ งนิ ห รอื ป ระทวนสนิ คา้ น นั้ ไ ดใ ้ ชเ ้ งนิ แ ลว้ ” ซง่ึ ก ารนาำ สบื ก ารช าำ ระห นด ี้ ว้ ยเ ชค็ มใิ ชก ่ ารนาำ ส บื ก ารช าำ ระห นด ี้ ว้ ยเ งนิ ฉะนน้ั แมไ ้ มม่ ห ี ลกั ฐ านเ ปน็ ห นงั สอื ต ามม าตรา 653 กน ็ าำ พ ยานบ คุ คลม าส บื ไ ด ้ ศาลฎ กี าไ ดว้ นิ จิ ฉยั ว า่ การช าำ ระด ว้ ยเ ชค็ เ ปน็ การช าำ ระห นท ้ี น ่ี าำ สบื พ ยานบ คุ คล ใน เร่อื งช ำาระ หน้ีไ ด้ (ฎ. 767/2505, 543/2510, 1084/2510) 4) การนาำ ส บื ก ารช าำ ระห นโ ้ี ดยโ อนเ งนิ ท างอ นิ เทอรเ์ นต็ หรอื เ อทเี อม็ ใน ปจั จบุ นั เ ทคโนโลย ไี ด ้ พัฒนาไ ป อยา่ ง รวดเร็ว วิธี การ ชาำ ระห น้ี กร ็ ุด หน้า ไปด ้วยม กี ารโ อนเ งิน ทาง Internet (อนิ เทอรเ์ น็ต) หรือ ใช้ ATM กอ่ นม ก ี ารย กเลกิ การใ ชโ ้ ทรเลข ในป ระเทศไทย ได ม้ ก ี ารโ อนเ งนิ ท างโ ทรเลข เขา้ บ ญั ชข ี องเ จา้ ห น ้ี ซงึ่ ถือเ ป็นการ ใชเ้ งิน อยา่ ง หนง่ึ อทุ าหรณ์ ฎ. 2965/2531 การ กู้ ยืม เงิน มี หลัก ฐาน เป็น หนังสือ จะ นำาสืบ การ ใช้ เงิน ได้ ต่อ เมื่อ มี หลัก ฐาน เป็น หนังสือ อย่าง ใด อย่าง หน่ึง ลง ลายมือ ชื่อ ผู้ ให้ ยืม มา แสดง หรือ เอกสาร อัน เป็น หลัก ฐาน แห่ง การ กู้ ยืม ได้ เวนคนื แล้ว หรอื ไดแ ้ ทง เพิกถ อนล ง ในเ อกสารน นั้ แ ลว้ ตาม ปพพ. มาตรา 653 วรรค สอง การท ี่จำาเลยโ อน เงนิ ทาง โทรเลข เข้า บัญช ีโจทก์ ไม ่เขา้ บทบญั ญัต ิมาตรา นี ้ แต่ เปน็ การ ชาำ ระ หน ้ีอย่าง อนื่ ตาม ปพพ. มาตรา 321 ซ่ึง โจทก ใ์ นฐ านะ เจา้ หน้ ไี ด ย้ อมรับแ ล้ว ถือวา่ จ าำ เลยช าำ ระใ ห โ้ จทก์ต าม จำานวนเ งินด งั ก ล่าว ดงั น นั้ การช ำาระห นี ้กู้ ยืมเ งนิ ท างโ ทรเลข จึงน ำา พยานบ คุ คล มา สืบ ได ้ สว่ น การ ชาำ ระห น้ ีทาง Internet หรือใ ช้ ATM ถอื เ ปน็ การ ใช้ เงนิ อ ย่าง หน่ึง ผเ ู้ ขยี น เห็นว ่า กน ็ ่า จะ นำาพ ยานบ ุคคลม า สบื ไ ดเ ้ ชน่ ก ัน ข้อสงั เกต การท จ ่ี ะน าำ สบื ต าม มาตรา 653 วรรคส องน นั้ ต อ้ งเปน็ การช าำ ระห นก ้ี นั ด ว้ ยเ งนิ โ ดยตรง ชาำ ระ ดว้ ย มือ ต่อม อื (by hand) กิจกรรม3.4.2 ให้ นกั ศกึ ษา ศกึ ษา ถึง เรอ่ื ง การนำา สบื ก ารใ ชเ ้ งนิ แ ล้วต อบค าำ ถามต ่อไ ปน ้ี 1. การนำา สืบก ารใ ช้เ งนิ น ัน้ ผ้ ูกู้ส ามารถน ำาสบื การใ ชเ ้ งนิ ไ ด ้กี่ว ิธ ี อะไร บ้าง จงอ ธบิ าย 2. หลกั ฐ านก ารใ ช้ เงินม เี พียง ใบ เสรจ็ รับ เงินใ ช ห่ รือ ไม ่ หลัก ฐาน อยา่ งอ นื่ ใชไ้ ด้เ พียงใ ด จง อธิบาย 3. การนำา สืบ การ ใช้ เงิน หมายความ ว่า นำาสืบ ใน เร่ือง ใด การนำา สืบ พยาน บุคคล ใน เรื่อง ดอกเบ้ีย ทาำ ได้ห รือไ ม ่ เพียง ใด ให้ เหตุผล ประกอบ แนวต อบก ิจกรรม3.4.2 1. การนำาส บื ก ารใ ช้ เงนิ ต าม ปพพ. มาตรา 653 วรรคส อง ม ี 3 วิธี 1) มี หลัก ฐานแ ห่งก าร ใช เ้ งนิ เป็น หนงั สือ ลงล ายมอื ช่อื ผู้ใ หย ้ มื เป็น สาำ คญั 2) ได้เ วนคนื เ อกสาร แหง่ การ กย ู้ มื เงนิ 3) ได้ แทง เพกิ ถ อน ลง ใน เอกสาร การกู้ย ืมเ งิน ธมมสธสธมสธสธ
มสธ การกู้ยืมเงนิ 3-79 2. ไมใ่ ช ่ หลกั ฐ านเ ปน็ ห นงั สอื ใ ดๆ กไ็ ดแ ้ สดงว า่ ม ก ี ารใ ชเ ้ งนิ ใ หแ ้ กผ ่ ใ ู้ หก ้ ย ู้ มื แ ลว้ เชน่ จดหมายต อบร บั 3. การนำา สืบ การ ใช้ เงิน หมายความ ถึง การนำา สืบ การ ใช้ ต้น เงิน ตาม มาตรา 653 วรรค 2 การนำา พยาน บุคคล มา สืบ ใน เรื่อง ดอกเบี้ย ทำาได้ เพราะ มิใช่ การนำา สืบ การ ใช้ ต้น เงิน การนำา สืบ ตาม มาตรา 653 ที่ กฎหมาย บังคับ ให้ มี พยาน เอกสาร มา แสดง น้ัน ใช้ เฉพาะ การนำา สืบ ต้น เงิน การนำา สืบ เรื่อง ชำาระ ดอกเบ้ีย สามารถน ำาพ ยาน บุคคลม าส บื ไ ด ้ (ฎ. 1084/2510, ฎ.243/2503) มสธ มส ธมมสธสธมสธสธ
มสธ 3-80 กฎหมายพ าณชิ ย์2:ยมื ฝากท รัพย์ตวั แทนประกนั ภ ยั บรรณานุกรม กรม ศลิ ปากร. (2521). กฎหมายตราส ามด วง. กรม ศลิ ปากร จัด พมิ พ์เ ผยแ พร่. ไชย ณฐั ธีร ะ พฒั นะ. (2518). ดอกเบี้ย. บทบ ณั ฑิตย์32. ตอน 2. ธนาคาร แห่ง ประเทศไทย ฝ่าย วิชาการ. (2515). ประวัติและการดำาเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทย กรงุ เทพมหานคร: หา้ ง หนุ้ สว่ นจ าำ กัด ศวิ พ ร หนังสือ ท ่ีระลึกค รบร อบ 30 ปี ของธ นาคาร แห่งป ระเทศไทย ธรรม นิตย์ วชิ ญ เนตน ิ ยั . (2523).แชร์เปียหวยก บั ป ัญหาก ฎหมาย. กรุงเทพมหานคร: บริษัทส ยามบ รรณ จำากดั . ปัญญา อุดม ระ ติ. (2520). เศรษฐศาสตร์การเงินและการธนาคาร. กรุงเทพมหานคร: โรง พิมพ์ มหาวิทยาลัย รามคาำ แหง. พจน์ ปุษ ปา คม. (2511). คำาอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม กู้ยืม และฝากทรัพย์. กรงุ เทพมหานคร: แสงทอง การ พมิ พ.์ พนม ตงั้ นิมติ ร มงคล. (2525).ผอู้ าำ นวยก ารฝ ่ายก ารธนาคารตา่ งประเทศสมั ภาษณ์ณธนาคารไทยท นุจาำ กดั สาำ นกั งานใหญ.่ วนั ท ี่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2525 พระราชบัญญตั ดิ อกเบี้ยเงนิ ใหก้ ้ยู ืมข องส ถาบนั ก ารเงนิ พ.ศ.2523 ไพจิตร ปุญญพ ันธ์ุ. (2523). ธนาคาร จะค ดิ ด อกเบ้ยี ทบต ้น ในเ งิน กู้ ได ห้ รอื ไม่. บทบัณฑิตย์37. ตอน 3 ป ี 2523. ม.ร.ว. คกึ ฤ ทธ ิ์ ปราโมช.(2516).การธ นาคารพ าณชิ ย.์ กรงุ เทพมหานคร: เกษมส มั พนั ธก ์ ารพ มิ พ ์ ธนาคารศ รนี คร จัด พมิ พ์เ ปน็ อ นุสรณ์ใ น งาน พระราชทานเ พลิง ศพ พระย า โทณวณก ิ มน ตรี. วาร ี พงษ์เวช. (2502). การเงนิ และก ารธ นาคาร. (พิมพ์ ครัง้ ท ี่ 4). พระนคร: อตุ สาหกรรมก ารพ ิมพ.์ ส รุ กั ษ์ บนุ นาค และว ณี จงศ ริ วิ ัฒน์. (2510). การเงนิ และการธ นาคาร. (พมิ พค ์ รงั้ ท ่ี 1). กรุงเทพมหานคร: สาำ นัก พมิ พ ไ์ ทย วฒั นาพ าณชิ ย์ จำากัด. www. worldbank.org/website/External/Countries. มสธ มส ธมมสธสธมสธสธ
Search