Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิจัยในชั้นเรียน ปีการศึกษา2563

วิจัยในชั้นเรียน ปีการศึกษา2563

Published by Wannisa Pumurai, 2021-05-18 02:06:34

Description: วิจัยเล่มสมบูรณ์

Search

Read the Text Version

50 กจิ กรรมที่3 การใช้เส้นคู่ขนาน (Parallel Lines) โดยใหน้ กั เรยี นต่อเตมิ ภาพจาก เส้นขนาน จานวน 30 คใู่ ห้ไดภ้ าพท่ีแปลกมาใหม้ ากท่ีสุด แล้วตั้งชอ่ื ภาพทต่ี อ่ เติมด้วย 3.2.2 แบบทดสอบความคิดสรา้ งสรรคโ์ ดยอาศยั รูปภาพแบบ ข มีลกั ษณะคลา้ ยกับ แบบทดสอบรูปภาพแบบ ก แตกต่างกนั เฉพาะสง่ิ เร้าทกี่ าหนดให้คอื ในกิจกรรมท่ี1 เป็นการวาดภาพ โดยใหต้ ่อ เติมภาพจากรูปคล้ายไส้กรอกสีส้ม กิจกรรมท่ี2 การวาดภาพให้สมบูรณ์โดยให้นกั เรยี นต่อเติมจากเส้นลักษณะ ตา่ ง ๆ ซงึ่ ตา่ งจากแบบ ก และกจิ กรรมที่3 การใช้วงกลม (Circles) โดยให้เด็กตอ่ เติมภาพจากรปู วงกลมจานวน 30 รูป แบบทดสอบความคดิ สรา้ งสรรคข์ อง ทอร์แรนซ์น้ัน ความเร็วในการทาแบบทดสอบเป็นตัวประกอบท่ี สาคัญ โดยแต่ละกิจกรรมใช้เวลาทา 5 หรอื 10 นาที จากท่ีกล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่าการวัดความคิดสร้างสรรค์จะสามารถทาให้ทราบระดับความคิดของ ผูเ้ รียน ซึ่งจะเป็นข้อสนเทศในการจัดการเรียนการสอน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและเพ่ือพัฒนาการ ด้านต่าง ๆ ของผ้เู รยี นเด็กให้เพิ่มมากขนึ้ สาหรับการวิจยั คร้ังน้ีผ้วู ิจยั ใช้แบบทดสอบความคดิ สร้างสรรค์ทีส่ ร้าง ขึ้นตามแนวคดิ ของทอร์แรนซ์ โดยอาศยั ภาษา 5. งานวจิ ยั ทีเ่ ก่ียวข้อง วารุณี มงคลชู (2550) ได้วิจัยเร่ือง ผลการเรียนรู้ภาษาไทยด้านการอ่านจับ ใจความ ด้วยการจัด กิจกรรมที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ตามแนวคิดโดยใช้สมองเป็นฐานช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผลการวิจัย พบว่า นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดกิจกรรมที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ตามแนวคิดโดยใช้สมองเป็นฐานมีผลสัมฤทธิ์ ทางการ เรียนสูงกว่านักเรียนที่เรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามปกติอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เณศรา โฉมรุ่ง (2552) ได้วิจัยเร่ือง ผลการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ระหว่าง การจดั กจิ กรรมตามแนวคดิ โดยใชส้ มองเปน็ ฐานกับการจดั กิจกรรมตามปกติ ผลการวจิ ัย พบว่า นักเรยี นทเี่ รยี น ด้วยการจัดกิจกรรมตามแนวคิดโดยใช้สมองเป็นฐานมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงกว่านักเรียนท่ีเรียนด้วยการ จดั กิจกรรมปกตอิ ย่างมีนัยสาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดับ .01 Kaewlar (2008) ได้ทาการวิจัยเร่ือง การใช้ชุดกิจกรรมพัฒนาความคิดสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมการ เขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 ผลการศึกษา พบว่า นักเรียนที่ใช้ชุดกิจกรรมพัฒนา ความคิดสร้างสรรค์เพื่อสง่ เสริมการเขียนเชงิ สรา้ งสรรค์มีคะแนนเฉลี่ยทางการเขียนเชงิ สร้างสรรค์หลงั เรียนสูง กว่าก่อนเรียน และนักเรียนส่วนใหญ่มีพฤติกรรมคือ มีความสนุกสนาน ร่าเริง ในการเขียนและรองลงมาคือ แสดงความรสู้ ึกผา่ นงานเขยี นด้วยอารมณ์ขนั เศรา้ ยินดี พิศวง ซาบซึง้ คิดเป็นร้อยละ 71.85 ฟอร์ทเนอร์ (Fortner, 2005: 2882-A, อ้างถึงใน การุณ ชาญวิชานนท์, 2551: 28) ได้ทาการศึกษา และทดสอบการใช้แบบฝึกตามแนวสมองเป็นฐานร่วมกับทฤษฎีพหุปัญญา สาหรับนักเรียนเกรด 6-8 ของ โรงเรียนเนอร์ฟอร์ดพับบลิก ซึ่งเป็นโรงเรียนระดับกลาง ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางทักษะการคิด สร้างสรรค์วิชาคณิตศาสตร์สูงข้ึน หลังจากการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกตามแนวสมองเป็นฐานร่วมกับ ทฤษฎีพหุปญั ญา

51 บทที่ 3

52 วิธีดาเนินการวจิ ัย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยวิจัยเชิงทดลอง (pre-experimental design) ในการสร้างแผนการจัดการ เรียนร้สู มองเป็นฐาน รว่ มกับบทเรยี นมัลติมีเดีย เรอื่ งโรคน่ารู้ เพ่ือพฒั นาความคดิ สร้างสรรค์ ช้ันประถมศึกษา ปที ่ี 5 โรงเรียนวัดพชื นิมติ (คาสวสั ดิ์ราษฎร์บารุง) ในครั้งนผี้ วู้ จิ ัยได้ทาการศึกษาตามลาดับขนั้ ตอนดังต่อไปนี้ 3.1 แบบแผนการวจิ ัย ������2 3.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.3 เครือ่ งมือที่ใชใ้ นการวจิ ัย 3.4 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล 3.5 การวเิ คราะห์ขอ้ มลู 3.6 สถติ ทิ ใ่ี ชใ้ นการวิจัย 3.1 แบบแผนการวิจยั ������1 ������ ������1 แทน แบบทดสอบกอ่ นเรยี น ������ แทน การจัดการเรยี นรูแ้ บบสมองเป็นฐานรว่ มกบั บทเรยี นมัลติมเี ดีย ������2 แทน แบบทดสอบหลงั เรียน 3.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใชใ้ นการศึกษาวิจัยเป็นนกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2563 โรงเรียนวดั พชื นมิ ติ (คาสวสั ด์ิราษฎร์บารงุ ) จานวน 2 หอ้ งเรยี นคือช้ันประถมศึกษา ปีท่ี 5/1 จานวน 26 คน ชนั้ ประถมศึกษา ปที ่ี 5/2 จานวน 25 คน กลุม่ ตัวอยางทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษาคือ นักเรยี นประถมศกึ ษาปยี นช้ันปที ่ี 5/2 จานวน 25 คนซงึ่ ได้มา โดยการสมุ่ แบบเจาะจง (Purposive Random Sampling) ซ่ึงโรงเรยี นวดั พืชนมิ ติ (คาสวัสดริ์ าษฎรบ์ ารุง) เป็น โรงเรียนใน ควบคุมดูแลของสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษา ปทุมธา นีเขต 1 สังกัด กระทรวงศึกษาธิการ 3.3 เครือ่ งมอื ที่ใช้ในการวิจยั การวจิ ัยเรือ่ งนี้ผ้วู ิจยั ไดก้ าหนดเครอ่ื งมือท่ใี ชใ้ นการวิจยั ไว้ดงั นคี้ ือ 3.3.1 แผนการจัดการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐานร่วมกับบทเรียนมัลติมีเดีย เรื่อง โรคน่ารู้ จานวน 8 ชว่ั โมง มีขัน้ ตอนในการสรา้ ง ดังน้ี 3.3.1.1 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาแกนกลางขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 หลักสูตร สถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 ในด้านมาตรฐานการเรียนรู้ ตวั ชวี้ ดั สาระการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้ เรอ่ื งโรคนา่ รู้ ศึกษาการจัดการเรยี นรโู้ ดยใช้สมองเปน็ ฐาน BBL 3.3.1.2 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน BBL เวลา 8 ชั่วโมงโดยมี องค์ประกอบดังน้ี สาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวช้ีวัด จุดประสงค์การ

53 เรียนรู้ สาระสาคัญ สาระการเรียนรู้ สมรรถนะของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ การจัดกิจกรรม การเรยี นรู้ ส่ือการเรียนรู้ การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 3.3.1.3 ออกแบบกลยทุ ธ์ในการจดั การเรียนรู้โดยใชร้ ูปแบบ 4HI Education 3.3.1.4 นาแผนการจดั การเรยี นร้เู สนอต่อผเู้ ช่ยี วชาญ จานวน 3 ท่าน ตรวจสอบความถกู ต้องของแผนการจัดการเรียนรู้ในดา้ นจดุ ประสงค์การเรยี นการสอน เนื้อหาสาระ การจัดกจิ กรรมการเรียนการ สอน ส่ือการเรียนการสอน การวัดผลประเมินผล ความสอดคล้องขององค์ประกอบต่างๆ ของแผนการจัดการ เรยี นรู้ 3.3.1.5 เคร่ืองมือท่ีใช้ในการประเมินแผนการสอนเป็นแบบประเมินความคิดเห็นชนิด มาตราส่วนประมาณค่า(Rating Scale) โดยกาหนดเกณฑ์ในการให้คะแนนแบบจัดอันดับคุณภาพแบ่งเป็น 5 ระดบั ดังน้ี 5 หมายถงึ มีคุณภาพระดบั ดีมาก 4 หมายถึง มีคณุ ภาพระดบั ดี 3 หมายถึง มคี ณุ ภาพระดบั ปานกลาง 2 หมายถงึ มคี ณุ ภาพระดับพอใช้ 1 หมายถงึ มีคณุ ภาพระดบั ปรบั ปรงุ 3.3.1.6 วิเคราะห์คุณภาพโดยนาความคิดเห็นของผู้เช่ียวชาญจากการประเมินแผนการ สอนในแต่ละข้อรายการมาหาค่าเฉลี่ย (X) และค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และแปลความหมายโดย กาหนดคา่ เฉลีย่ เป็น 5ระดบั (บญุ ชม ศรสี ะอาด,2549 : 100) ดงั น้ี คา่ เฉล่ีย4.51 -5.00 หมายถึง มคี ุณภาพระดับดีมาก ค่าเฉลี่ย3.51-4.50 หมายถงึ มีคณุ ภาพระดบั ดี ค่าเฉลย่ี 2.51 -3.50 หมายถงึ มีคุณภาพระดับปานกลาง คา่ เฉลย่ี 1.51-2.50 หมายถงึ มีคุณภาพระดับพอใช้ ค่าเฉลี่ย1.00 -1.50 หมายถึง มีคุณภาพระดับปรบั ปรงุ 3.3.1.7 นาแผนการจัดการเรยี นรู้มาปรบั ปรงุ แก้ไขตามขอ้ เสนอแนะของผู้เช่ยี วชาญ 3.3.1.8 นาแผนการจัดการเรียนรู้ไปทดลองใช้กับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนวัดพืชนิมิต (คาสวัสด์ิราษฎร์บารุง) จานวน 26 คน ปีการศึกษา 2563 ภาคเรียนท่ี 2 ที่ไม่ใช่กลุ่ม ตัวอยา่ งในการทดลอง 3.3.1.9 นาแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ร่วมกับบทเรียนมัลติมีเดียไปใช้ จรงิ กับกลุ่มตวั อย่าง 3.3.2 บทเรียนมัลติมีเดีย เรื่อง โรคน่ารู้ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดพืชนิมิต (คาสวัสด์ริ าษฎร์บารงุ ) มขี นั้ ตอนในการสร้าง ดังน้ี 3.3.2.1 ศึกษาเนอื้ หาหลักสตู ร บทเรยี นทีใ่ ช้ในการเรยี นการสอนวิชาสขุ ศกึ ษาของ

54 นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนวัดพืชนิมิต (คาสวัสดิ์ราษฎร์บารุง) และรวบรวมข้อมูลจาก เน้ือหาใน หนังสือตามหลักสูตรการเรียนวิชาสุขศึกษาของนักเรียนโรงเรียนวัดพืชนิมิต (คาสวัสดิ์ราษฎร์บารุง) ในการ ประกอบแนวทางสร้างและออกแบบสื่อมลั ติมีเดีย 3.3.2.2 กาหนดเนอ้ื หารปู แบบตามจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรขู้ องหลกั สตู ร 3.3.2.3 วางเคา้ โครงเรอื่ งและจัดลาดบั ของเนอ้ื หาในส่ือมลั ติมีเดยี 3.3.2.4 นาแบบประเมินคุณภาพบทเรียนมัลติมีเดีย ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ด้านได้แก่ ด้าน เนื้อหา ด้านเทคโนโลยีมัลติมีเดีย ด้านการนาเสนอ โดยใช้แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ เสนอต่อ ผเู้ ชี่ยวชาญดา้ นเน้ือหา จานวน 3 ทา่ น แล้วนาผลการประเมินคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญทั้งสามด้านมาวิเคราะห์ ข้อมูล 3.3.2.5 เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินบทเรียนมัลติมีเดีย เป็นแบบประเมินความคิดเห็น ชนิด มาตราส่วนประมาณค่า(Rating Scale) โดยกาหนดเกณฑ์ในการให้คะแนนแบบจัดอันดับคุณภาพ แบ่งเปน็ 5ระดบั ดังน้ี 5 หมายถงึ มคี ุณภาพระดับดีมาก 4 หมายถงึ มีคุณภาพระดับดี 3 หมายถงึ มีคุณภาพระดบั ปานกลาง 2 หมายถึง มคี ุณภาพระดบั พอใช้ 1 หมายถงึ มคี ุณภาพระดบั ปรับปรงุ 3.3.2.6 วิเคราะห์คุณภาพโดยนาความคิดเห็นของผู้เช่ียวชาญจากการประเมินบทเรียน มัลติมีเดีย ในแต่ละข้อรายการมาหาค่าเฉล่ีย (X) และค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และแปลความหมาย โดยกาหนดค่าเฉล่ียเป็น 5ระดบั (บญุ ชม ศรสี ะอาด,2549 : 100) ดงั น้ี ค่าเฉลี่ย4.51 -5.00 หมายถึง มีคณุ ภาพระดบั ดีมาก คา่ เฉล่ีย3.51-4.50 หมายถึง มีคณุ ภาพระดบั ดี ค่าเฉลี่ย2.51 -3.50 หมายถงึ มีคณุ ภาพระดบั ปานกลาง คา่ เฉลย่ี 1.51-2.50 หมายถึง มีคุณภาพระดบั พอใช้ คา่ เฉล่ยี 1.00 -1.50 หมายถึง มคี ุณภาพระดับปรับปรุง 3.3.2.7 การหาประสิทธิภาพของบทเรียนมัลติมีเดีย เร่ือง โรคน่ารู้ ร่วมกับการจัดการ เรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน โดยนาบทเรียนมัลติมเี ดีย เรื่อง โรคน่ารู้ ร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็น ฐานที่มีคุณภาพไปหาประสิทธิภาพของบทเรียนตามเกณฑ์ท่ีกาหนด 80/80 โดยทดลองกับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปที ่ี 5 ห้องท่ี 1 ทไี่ มใ่ ชก่ ลมุ่ ตวั อย่าง ดังนี้

55 1. ขั้นทดสอบรายบุคคล ทาการทดลองหาประสิทธิภาพกับนกั เรียนชัน้ ประถมศึกษา ปีท่ี 5 ห้องท่ี 1 จานวน 3 คน คัดเลือกโดยวิธีเจาะจง ประกอบด้วยนักเรียนที่มีผลการเรียนดี 1 คน ผลการ เรียนปานกลาง 1 คน ผลการเรียนต่า 1 คน เพ่ือคานวณหาค่า E1 และ E2 ซึ่งจากการทดลองพบว่า ประสทิ ธิภาพของบทเรียนยังต่ากวา่ เกณฑท์ ่กี าหนดไว้ ผรู้ ายงานไดน้ าข้อบกพรอ่ งทีพ่ บไปปรบั ปรงุ แก้ไข 2. ข้ันทดลองกับกลุ่มย่อย ทาการทดลองหาประสิทธิภาพกับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีท่ี 5 ห้องที่ 1 จานวน 10 คน คัดเลือกโดยวิธีเจาะจง ประกอบด้วยนักเรียนที่มผี ลการเรียนดี 3 คน ผลการเรียนปานกลาง 4 คน ผลการเรียนต่า 3 คน เพื่อคานวณหาค่า E1 และ E2 ซ่ึงจากการทดลอง พบว่าประสิทธิภาพของบทเรียนเป็นไปเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ เพ่ือให้ได้ประสิทธิภาพที่แน่นอน ผู้วิจัยได้นาไป ทดลองกบั กลมุ่ ใหญ่อกี คร้ัง 3. ข้ันทดลองภาคสนาม ทาการทดลองหาประสทิ ธิภาพกับนักเรียนชน้ั ประถมศึกษา ปีที่ 5 ห้องที่ 1 จานวน 26 คน คัดเลือกโดยวิธีเจาะจง ประกอบด้วยนักเรียนที่มีผลการเรียนดี 5 คน ผลการ เรียนปานกลาง 16 คน ผลการเรียนต่า 5 คน เพ่ือคานวณหาค่า E1 และ E2 ซ่ึงจากการทดลองพบว่า ประสิทธิภาพของบทเรียนเป็นไปเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ 3.3.3 แบบทดสอบวัดความคิดสร้างสรรค์ ผู้วิจัยได้กาหนดข้ันตอนการสร้างแบบทดสอบวัด ความคดิ สรา้ งสรรรค์ ไว้ดังน้ี 3.3.3.1 ศึกษาลักษณะของแบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์จากเอกสารหนังสือตารา บทความและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์เพื่อเป็นแนวทางเกี่ยวกับการสร้างแบบ ทดสอบวัด ความคิดสรา้ งสรรค์ 3.3.3.2 ออกแบบแบบทดสอบวัดความคดิ สร้างสรรค์ประกอบดว้ ยประเด็นการประเมิน ๔ ด้าน ดังนี้ 1)ความคิดริเร่ิม 2)ความคิดคล่อง 3)ความคิดยืดหยุ่น 4)ความคิดละเอียดลออ การตรวจให้ คะแนนแบบวดั ความคดิ สรา้ งสรรค์เป็นมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) มีระดับของการประเมิน 4 ระดบั ไดแ้ ก่ ดมี าก ดี พอใช้ ปรับปรงุ 3.3.3.3 นาแบบทดสอบวัดความคิดสร้างสรรค์ เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา จานวน 3 ท่าน ตรวจสอบความถูกต้อง แล้ววิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้องของเครื่องมือ (Index of Item Objective Congruence : IOC) ถ้า IOC มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 0.5 (มาเรียม นิลพันธ์ุ,2519 :177) แสดงว่า แบบทดสอบวัดความคิดสร้างสรรค์ น้นั ใชไ้ ด้ 3.3.3.4 นาแบบทดสอบวดั ความคิดสรา้ งสรรค์ไปทดลองใชก้ ับนกั เรยี นช้นั ประถมศึกษาปีที่ 5/1 จานวน 26 คนเพื่อพิจารณาความเช่ือม่ันของความคิดสร้างสรรค์จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ วิธกี ารของครอนบารค์ (Cronbach) 3.3.3.5 นาคะแนนที่ได้จากแบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์ มาวิเคราะห์หาค่าความ เช่ือม่ัน (Reliability) โดยวิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha Coefficients) ตามวธิ ีของครอนบาร์ค ได้ค่า ความเชอื่ ม่ันเท่ากบั 0.82 3.3.3.6 จัดทาแบบทดสอบวัดความคิดสรา้ งสรรค์ เพอ่ื ใช้กบั นักเรยี นกลมุ่ ตัวอย่าง

56 3.4 การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ผวู้ ิจยั ไดท้ าการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมลู แยกตามวตั ถุประสงค์การวจิ ัย ซ่ึงมีรายละเอียดดงั น้ี 3.4.1 การหาคุณภาพของแผนการจัดการเรยี นรู้แบบสมองเป็นฐานร่วมกบั บทเรียนมลั ติมีเดีย เร่ือง โรคนา่ รู้ ผวู้ ิจัยได้นาแผนการจดั การเรียนร้แู บบสมองเป็นฐาน เรอ่ื ง โรคนา่ รู้ ไปใหผ้ ู้ทรงคณุ วฒุ ิด้าน แผนการจดั การเรยี นรู้ จานวน 3 ท่าน เพ่ือตรวจสอบและประเมนิ คุณภาพแผนการจัดการเรียนรู้ โดยสร้าง แบบประเมินคณุ ภาพ แลว้ นาขอ้ มูลที่ได้มาวเิ คราะห์ขอ้ มูล 3.4.2 การหาคุณภาพบทเรียนมัลติมีเดีย เรื่อง โรคน่ารู้ ร่วมกบั การจัดการเรียนรโู้ ดยใช้สมอง เป็นฐาน นาไปหาคุณภาพโดยให้ผู้ทรงคุณวุฒิ ตรวจสอบและประเมินคุณภาพของบทเรียน โดยสร้างแบบ ประเมินคุณภาพ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ด้านได้แก่ ด้านเน้ือหา และด้านเทคโนโลยีมัลติมีเดีย โดยใช้แบบมาตรา ส่วนประมาณค่า 5 ระดับ แล้วนาผลการประเมินคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งสองด้านมาวิเคราะห์ข้อมูล การ หาประสิทธิภาพของบทเรียนมัลติมีเดีย เร่ือง โรคน่ารู้ ร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน โดยนา บทเรียนมัลติมเี ดีย เรื่อง โรคนา่ รู้ ร่วมกบั การจัดการเรียนรโู้ ดยใช้สมองเป็นฐานทีม่ ีคุณภาพไปหาประสทิ ธิภาพ ของบทเรียน โดยทดลองกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างห้องที่ 1 จานวน 26 คน โดยให้นักเรียนได้ศึกษาเนื้อหาใน บทเรียนแต่ละหัวข้อและทาแบบทดสอบระหว่างเรียน เพ่ือหาประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) หลังจากท่ี นักเรียนได้ศึกษาเน้ือหาครบทุกหัวข้อจึงให้นักเรียนทาแบบทดสอบหลังเรยี น เพื่อหาประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) นาประสิทธิภาพของกระบวนการ และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ไปเปรียบเทียบกันโดยใช้สูตรหา ประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์ท่ีตง้ั ไว้ คือ 80/80 3.4.3 การเก็บรวบรวมข้อมูลเพ่ือวัดความคดิ สร้างสรรคก์ ่อนเรยี นและหลงั เรียน ด้วยบทเรียน มัลติมีเดีย เรื่อง โรคน่ารู้ ร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน โดยทดลองกับกลุ่มตัวอย่างห้องที่ 2 จานวน 25 คน โดยการชี้แจงวิธีการเรียนด้วยบทเรียนมัลติมีเดีย จากนั้นทดสอบก่อนเรียน และเรียนด้วย บทเรียนมัลติมีเดีย เรื่องโรคน่ารู้ ร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เมื่อเรียนครบทุกหัวข้อให้ นักเรียนทดสอบหลงั เรียน 3.4.4 การเก็บรวบรวมข้อมูลเพ่ือวัดความคิดสร้างสรรค์กับเกณฑ์ ร้อยละ 70 ของบทเรียน มัลติมีเดีย เรื่อง โรคน่ารู้ ร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน โดยทดลองกับกลุ่มตัวอย่างห้องท่ี 2 จานวน 25 คน โดยการชี้แจงวิธีการเรียนด้วยบทเรียนมัลติมีเดีย จากน้ันดาเนินการเรียนด้วยบทเรียน มลั ติมเี ดีย เรอื่ งโรคน่ารู้ รว่ มกับการจัดการเรียนรู้โดยใชส้ มองเป็นฐาน เม่ือเรียนครบทุกหัวข้อใหน้ ักเรียนสร้าง ชนิ้ งาน เพอ่ื วดั ความคดิ สร้างสรรคก์ ับเกณฑ์ ร้อยละ 70 3.5 วเิ คราะหข์ ้อมลู 3.5.1 วิเคราะห์หาคุณภาพแผนการจัดการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐานร่วมกับบทเรียนมัลติมีเดีย เร่ือง โรคน่ารู้ โดยใชส้ ถติ ิคา่ เฉลีย่ (������) และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.)

57 3.5.2 วิเคราะห์หาคุณภาพและประสทิ ธภิ าพของบทเรียนมัลตมิ ีเดยี เรอ่ื ง โรคนา่ รู้ สาหรบั นกั เรียนชั้น ประถมศกึ ษาปีที่ 5 รว่ มกบั การจัดการเรยี นรูโ้ ดยใช้สมองเป็นฐาน โดยการหาคณุ ภาพของบทเรยี นมัลติมีเดียใช้ สถิติค่าเฉล่ีย (������) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการหาประสิทธิภาพของบทเรียนมัลติมีเดีย โดย วิเคราะห์จากการทาแบบฝึกระหว่างเรียนกับแบบทดสอบหลังเรียน ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 80/80 โดยใช้สูตร E1/E2 3.5.3 วเิ คราะห์เพอ่ื วัดความคิดสร้างสรรค์ ด้วยการจดั การเรียนรู้ด้วยบทเรยี นมัลตมิ ีเดียเร่ือง โรคนา่ รู้ สาหรบั นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 รว่ มกบั การจัดการเรยี นร้โู ดยใช้สมองเป็นฐาน โดยวิเคราะห์จากคะแนน ความคดิ สรา้ งสรรค์กอ่ นเรยี นและหลงั เรยี น โดยใช้สตู ร Paired-samples T-Test 3.5.4 วเิ คราะหเ์ พื่อวัดความคดิ สร้างสรรค์ ด้วยการจดั การเรียนรูด้ ว้ ยบทเรียนมัลติมีเดียเร่ือง โรคน่ารู้ สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 ร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน โดยวิเคราะห์จากการ สร้างชิ้นงาน 3.6 สถิติทีใ่ ช้ในการวจิ ยั 3.6.1 คา่ ความเทย่ี งตรงเชิงเน้ือหา (Validity) หาจากการพิจารณาคา่ ดชั นคี วามสอดคล้อง (Index Of Congruency: IOC) IOC   R N เมอื่ IOC แทน ดชั นีความสอดคล้องมีค่าอยู่ระหวา่ ง -1 ถงึ +1  R แทน ผลรวมคะแนนความคดิ เหน็ ของผู้เชยี่ วชาญท้ังหมด N แทน จานวนผู้เชย่ี วชาญท้งั หมด 3.6.2 การหาค่าเฉลีย่ (ล้วน สายยศ และองั คณา สายยศ, 2538: 184-185) X= X N เมื่อ X แทน คะแนนเฉลี่ย X แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมด N แทน จานวนนักเรียน 3.6.3 การหาคา่ ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D)

58 S.D. = N X2  ( X)2 N(N  1) เมอ่ื S.D. แทน สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน N แทน จานวนขอ้ มูลทงั้ หมด  X แทน ผลรวมของขอ้ มูลทง้ั หมด  X 2 แทน ผลรวมของขอ้ มลู แตล่ ะตวั ยกกาลังสอง 3.6.4 การหาคา่ ประสทิ ธิภาพของบทเรยี นมัลติมีเดยี X Y E1  N 100 E2  N 100 A B เมือ่ E1 หมายถึง ประสิทธิภาพของกระบวนการจัดการเรยี นรู้ ทเี่ กิด จากกิจกรรมระหวา่ งเรียน E2 หมายถึง ประสิทธภิ าพของผลลัพธ์หลังเรยี น X หมายถงึ ผลรวมของคะแนนทไ่ี ดจ้ ากการวัดผลระหวา่ งเรียน Y หมายถงึ ผลรวมของคะแนนท่ีไดจ้ ากการวัดผลหลงั เรียน N หมายถงึ จานวนนักเรยี น A หมายถึง คะแนนเต็มจากการวดั ผลระหวา่ งเรียน B หมายถึง คะแนนเต็มจากการวดั ผลหลงั เรยี น 3.6.5 การหาคา่ สัมประสิทธ์ิแอลฟา (Alpha Coefficients) เมื่อ α แทน คา่ ความเทย่ี งของเคร่ืองมอื k แทน จานวนข้อของเครือ่ งมือ แทน คา่ ความแปรปรวนของคะแนนแต่ละขอ้ แทน คา่ ความแปรปรวนของคะแนนท้ังฉบบั 3.6.6 การทดสอบ T-Test แบบการทดลองกลมุ่ เดยี ว และมกี ารวัดผลการทดลอง 2 ครัง้ กอ่ นและหลังการทดลอง (Difference between Two Means, for Dependent Samples) โดยใช้สูตร

59 เมอื่ D แทน คะแนนความแตกตา่ งของแต่ละคู่ n แทน จานวนคู่ df = n-1 แทน ช้นั แหง่ ความอิสระ (degree of freedom) บทที่ 4

60 ผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู การวิจัยเร่ืองนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง เร่ืองการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์โดยใช้รูปแบบการจัดการ เรียนรู้สมองเป็นฐาน ร่วมกับบทเรียนมัลติมีเดีย เร่ืองโรคน่ารู้ สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 ผู้วิจัยได้ เก็บรวบรวมข้อมูล โดยนาเครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยได้แก่ 1)แผนการจัดการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐานร่วมกับ บทเรยี นมลั ติมีเดีย เรื่อง โรคน่ารจู้ านวน 8 ชวั่ โมง 2)บทเรยี นมัลตมิ ีเดีย เร่อื ง โรคนา่ รู้ นักเรียนชัน้ ประถมศึกษา ปีท่ี 5 3)แบบทดสอบวดั ความคิดสรา้ งสรรค์ ทีผ่ า่ นการตรวจสอบจากผ้เู ชีย่ วชาญท้ัง 3 ทา่ น นาไปทดลองใช้กับ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 5/2 จานวน 25 คน ท่ีเป็นนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง โดยการทดสอบก่อนเรียน จัด กจิ กรรมการเรียนร้ตู ามแผนการจัดการเรียนรู้ ทดสอบหลังเรียน และมีความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างผลงาน กับเกณฑ์ร้อยละ 70 ผูว้ จิ ัยขอนาเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล ดงั น้ี 1.ผลการหาคณุ ภาพของแผนการจัดการเรยี นรู้แบบสมองเปน็ ฐานร่วมกบั บทเรยี นมลั ติมเี ดีย เร่อื ง โรคนา่ รู้ ตารางที่ 1 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมอง เปน็ ฐานรว่ มกับบทเรยี นมัลตมิ ีเดยี เรอื่ งโรคน่ารู้ รายการ ���̅��� S.D. ระดับคณุ ภาพ 1.การกาหนดองคป์ ระกอบของแผนการจัดการเรยี นรู้ 4.33 0.58 ดี 2.สาระสาคญั 2.1 การระบคุ วามรทู้ ีต่ ้องการใหเ้ กดิ ข้ึนกบั ผู้เรยี น 4.67 0.58 ดีมาก 2.2 การระบุเจตคตทิ ตี่ อ้ งการให้เกดิ ขน้ึ กับผ้เู รียน 3.67 0.58 ดี 2.3 การระบทุ ักษะที่ตอ้ งการใหเ้ กิดข้ึนกับผเู้ รยี น 3.67 0.58 ดี 3.จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 3.1 สอดคลอ้ งกับเนื้อหาสาระการเรียนรู้ 5.00 0.00 ดมี าก 3.2 สอดคล้องกับกจิ กรรมการเรยี นการสอน 4.67 0.58 ดมี าก 3.3 สอดคล้องกบั ส่อื การเรียนการสอนและการประเมนิ ผล 4.67 0.58 ดมี าก 4.กจิ กรรมการเรยี นการสอน 4.1 สอดคลอ้ งกับจุดประสงค์การเรยี นรู้ 4.33 0.58 ดี 4.2 สอดคล้องกับเนอ้ื หา 4.67 0.58 ดมี าก 4.3 สอดคลอ้ งกับการประเมินผล 4.33 0.58 ดี 4.4 ขนั้ ตอนการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน 4.33 0.58 ดี 5.สอ่ื การเรยี นการสอน 4.33 0.58 ดี 6.ชิน้ งาน/ ภาระงาน 4.67 0.58 ดีมาก รายการ ������̅ S.D. ระดับคุณภาพ

61 7. การประเมนิ ผล 4.33 0.58 ดี 7.1 สอดคล้องกบั จุดประสงค์การเรียนรู้ 4.67 0.58 ดี 7.2 สอดคล้องกับกจิ กรรมการเรยี นการสอน 4.36 0.17 ดี รวม จากตารางท่ี 1 พบวา่ คณุ ภาพแผนการจัดการเรยี นรู้โดยใช้สมองเป็นฐานร่วมกบั บทเรียนมัลติมเี ดีย เร่อื ง โรคน่ารู้ มคี ุณภาพโดยรวมอยู่ในระดบั ดี ( ������̅= 4.36, S.D. = 0.17) 2 ผลการหาคณุ ภาพของบทเรยี นมัลตมิ เี ดยี เร่อื ง โรคนา่ รู้ ตารางท่ี 2 ค่าเฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคุณภาพบทเรียนมัลติมีเดีย เร่ืองโรคน่ารู้ ร่วมกับ การจัดการเรียนรูโ้ ดยใช้สมองเปน็ ฐานด้านเนอ้ื หา ดา้ นเทคโนโลยีมลั ติมเี ดีย และด้านคุณภาพการนาเสนอ รายการ ���̅��� S.D. ระดบั คณุ ภาพ 1.ด้านเนื้อหา 1.1 เน้ือหามีความสอดคล้องกบั จดุ ประสงค์ 4.33 0.58 ดี 1.2 เนอ้ื หามคี วามถกู ต้อง 5.00 0.00 ดมี าก 1.3 ลาดบั ขั้นในการนาเสนอเนื้อหา 4.33 0.58 ดี 1.4 ความเหมาะสมของปริมาณเนือ้ หา 3.33 0.58 ปานกลาง 1.5 ความชดั เจนในการนาเสนอเนอื้ หา 4.67 0.58 ดีมาก 1,6 ความเหมาะสมของเน้ือหากับระดบั ของผ้เู รียน 5.00 0.00 ดีมาก 1.7 ระยะเวลาในการนาเสนอเน้อื หา 4.33 0.58 ดี รวม 4.43 0.25 ดี 2.ด้านเทคโนโลยีมัลตมิ ีเดยี 2.1 คุณภาพของภาพน่ิง 4.67 0.58 ดีมาก 2.2 คุณภาพของภาพเคล่ือนไหว 4.67 0.58 ดมี าก 2.3 ความเหมาะสมของขนาดตวั อักษร 5.00 0.00 ดมี าก 2.4 ความเหมาะสมของจังหวะในการปรากฏตวั อักษร 4.33 0.58 ดี 2.5 ความเหมาะสมของสีตัวอักษรกบั พน้ื หลงั 4.33 0.58 ดี รวม 4.60 0.20 ดีมาก

รายการ 62 3.ดา้ นคุณภาพการนาเสนอ ���̅��� S.D. ระดบั คุณภาพ 3.1 ความเหมาะสมของวิธกี ารนาเสนอ 4.67 0.58 ดมี าก 3.2 ความเหมาะสมของโครงสร้างการนาเสนอ 4.67 0.58 ดมี าก 3.3 ส่วนนาเข้าสูบ่ ทเรียน 4.67 0.58 ดมี าก 3.4 ส่วนเน้อื เรื่อง 4.67 0.58 ดมี าก 3.5 สว่ นสรปุ 4.33 0.58 3.6 ความเหมาะสมของการออกแบบบทเรยี นโดยภาพรวม 4.33 0.58 ดี 3.7 ความเหมาะสมของวิธีการนาเสนอ 4.00 0.00 ดี 4.48 0.16 ดี รวม 4.49 0.12 ดี รวมท้ัง 3 ด้าน ดี จากตารางท่ี 2 พบว่า คณุ ภาพของบทเรยี นมลั ติมีเดีย เรื่องโรคนา่ รู้ รว่ มกบั การจดั การเรียนรู้โดยใช้ สมองเปน็ ฐาน ภาพรวมมีคณุ ภาพอยู่ในระดบั ดี ( ������̅= 4.49, S.D. = 0.12) พจิ ารณารายด้านพบว่าด้านเนื้อหามี คุณภาพอยู่ในระดับดี ( = 4.43,S.D.=0.25) ด้านเทคโนโลยีมลั ติมเี ดียมีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก ( ������̅= 4.60, S.D.=0.20) ด้านคุณภาพการนาเสนอ มีคุณภาพอยูใ่ นระดับดี ( ������̅= 4.48, S.D.=0.16) ตารางที่ 3 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของบทเรียนมัลติมีเดีย เร่ืองโรคน่ารู้ ร่วมกับการจัดการ เรยี นรูโ้ ดยใช้สมองเป็นฐาน การทดสอบ คะแนนสอบ ค่าเฉล่ยี ประสิทธภิ าพ (E1/E2) คะแนนเตม็ คา่ เฉลี่ย ร้อยละ ท่คี านวณได้ ทีก่ าหนดไว้ ประสทิ ธิภาพของกระบวนการ 16 13.12 81.97 81.97 80/80 ประสทิ ธิภาพของผลลัพธ์ 16 13.35 83.41 83.41 จากตารางที่ 3 พบว่า ประสิทธิภาพของบทเรียนมัลติมีเดีย เร่ืองโรคน่ารู้ สาหรับนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปีท่ี 5 ร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน พบว่าประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) กับประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) เท่ากับ 81.97/83.41 ซึ่งมีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์ท่ีกาหนด คือ ไม่ ตา่ กวา่ 80/80

63 3.ผลการวิเคราะห์ความคดิ สรา้ งสรรค์กอ่ นเรยี นและหลงั เรียนด้วยการจัดการเรียนรูโ้ ดยใช้สมองเปน็ ฐาน รว่ มกับบทเรียนมลั ตมิ ีเดีย เรอื่ งโรคนา่ รู้ ตารางท่ี 4 เปรียบเทียบความคดิ สร้างสรรค์ก่อนเรียนและหลงั เรยี นด้วยการจัดการเรยี นรู้โดยใชส้ มอง เปน็ ฐานรว่ มกบั บทเรยี นมัลติมีเดีย เรือ่ งโรคน่ารู้ คะแนนสอบ นกั เรยี น คะแนนเต็ม ������̅ S.D. T sig ก่อนเรยี น 25 16 6.12 1.09 21.98 0.0000 หลงั เรยี น 25 16 13.52 1.36 จากตารางท่ี 4 พบวา่ นักเรียนมคี วามคดิ สรา้ งสรรค์ เรื่องโรคนา่ รู้ หลงั เรยี นด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใชส้ มองเปน็ ฐานร่วมกับบทเรียนมัลติมเี ดีย สงู กว่าก่อนเรียน อย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติทร่ี ะดับ .05 3.ผลการวิเคราะห์ความคิดสร้างสรรค์จากชนิ้ งานด้วยการจัดการเรียนร้โู ดยใช้สมองเป็นฐานรว่ มกับ บทเรียนมลั ติมีเดีย เรื่องโรคน่ารู้ กบั เกณฑร์ ้อยละ 70 ตารางท่ี 5 เปรยี บเทียบความคดิ สร้างสรรคจ์ ากช้ินงานด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใชส้ มองเป็นฐาน ร่วมกับบทเรยี นมัลติมีเดีย เรอ่ื งโรคน่ารู้ กับเกณฑ์ร้อยละ 70 คะแนนการสรา้ งช้ินงานกบั เกณฑ์ รายชอ่ื นกั เรยี น คะแนน (16) รอ้ ยละ70 สรปุ ด.ช. นพรตั น์ แปน้ ตระกลู 13 81 ผา่ นเกณฑ์ ด.ช. นภสกร สขุ มัน 15 94 ผา่ นเกณฑ์ ด.ช. พชั รพล จันทรมณฑล 15 94 ผา่ นเกณฑ์ ด.ช. สริ ทิ รัพย์ สมแพง 15 94 ผ่านเกณฑ์ ด.ญ. กฤติยา ฤกษด์ ี 15 94 ผา่ นเกณฑ์ ด.ญ. ณฐั ณิชา บญุ โต 13 81 ผ่านเกณฑ์ ด.ญ. วริศรา เมนไทยสงค์ 13 81 ผ่านเกณฑ์ ด.ช. กติ ตกิ ุล ยม้ิ ศรี 13 81 ผ่านเกณฑ์ ด.ช. อนุชิต พรมธิดา 14 88 ผา่ นเกณฑ์ ด.ช. จริ เดช กองเอย้ 15 94 ผ่านเกณฑ์ ด.ช. วโรดมภ์ พาฤทธ์ิ 14 88 ผ่านเกณฑ์ ด.ญ. แสงดาว สุริยา 13 81 ผา่ นเกณฑ์ ด.ช. รพีภัทร โคตรปัจจิม 14 88 ผา่ นเกณฑ์ ด.ญ. เขมนจิ คลายทุกข์ 15 94 ผ่านเกณฑ์ ด.ญ. จติ ตมิ า ฤทธนิ์ วล 14 88 ผ่านเกณฑ์

64 คะแนนการสร้างชิน้ งานกับเกณฑ์ รายช่ือนกั เรียน คะแนน (16) ร้อยละ70 สรปุ ด.ญ. พชั รนิ ทร์ วิชาคา 15 94 ผ่านเกณฑ์ ด.ญ. บุษยามาส ดนพุ งค์ลิขติ 13 81 ผ่านเกณฑ์ ด.ญ. ธันยพร เณรกลู 13 81 ผ่านเกณฑ์ ด.ญ. ซากีนะ หลเี จริญ 15 94 ผ่านเกณฑ์ ด.ช. พัฒนพงศ์ ชยั มงคลไพศาล 15 94 ผา่ นเกณฑ์ ด.ญ. นัฐธิดา พาสุวรรณ์ 15 94 ผา่ นเกณฑ์ ด.ช. พัทรนิ ศลิ า 13 81 ผ่านเกณฑ์ ด.ช. ย่ิงคุณ เพชรกูล 13 81 ผา่ นเกณฑ์ ด.ญ. สินีนชุ เซีย่ งฉี่ 15 94 ผา่ นเกณฑ์ ด.ช. เสกสรร พงษส์ มี า 15 94 ผ่านเกณฑ์ จากตารางที่ 5 พบวา่ นักเรยี นมคี วามคิดสรา้ งสรรค์จากการสรา้ งช้นิ งาน เมอ่ื เรยี นร้ดู ว้ ยการจดั การ เรยี นรู้โดยใชส้ มองเป็นฐานรว่ มกบั บทเรียนมัลติมเี ดีย เร่ืองโรคนา่ รู้ ตามเกณฑ์ร้อยละ 70 คิดเปน็ รอ้ ยละ 100

65 บทที่ 5 สรปุ อภปิ รายผล ข้อเสนอแนะ การวิจัยเร่ืองนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง เร่ืองการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์โดยใช้รูปแบบการจัดการ เรียนรู้สมองเป็นฐาน ร่วมกับบทเรียนมัลติมีเดีย เร่ืองโรคน่ารู้ สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 โดยมี วัตถุประสงค์การวิจัย ดังน้ี 1) เพ่ือพัฒนาและหาคุณภาพแผนการจัดการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐานร่วมกับ บทเรียนมัลติมีเดียเร่ืองโรคน่ารู้ สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 2)เพ่ือพัฒนาบทเรียนมัลติมีเดีย เร่ือง โรคน่ารู้ ร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพ สาหรับนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปีท่ี 5 3)เพื่อเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ เร่ือง โรคน่ารู้ ของนักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียน มัลติมเี ดีย ร่วมกับการจดั การเรียนรโู้ ดยใชส้ มองเป็นฐาน สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปที ่ี 5 ก่อนเรียนและ หลังเรียน 4)เพ่ือเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ เรื่อง โรคน่ารู้ ของนักเรียนท่ีเรียนด้วยบทเรียนมัลติมีเดีย ร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 มีความคิดสร้างสรรค์ใน การสร้างผลงานกับเกณฑ์รอ้ ยละ 70 เครื่องมือที่ใชใ้ นการวจิ ยั ไดแ้ ก่ 1)แผนการจัดการเรียนรู้แบบสมองเปน็ ฐานร่วมกบั บทเรียนมัลติมีเดีย เร่ือง โรคน่ารจู้ านวน 8 ชว่ั โมง 2)บทเรยี นมลั ติมเี ดยี เรือ่ ง โรคน่ารู้ นกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 5 3)แบบทดสอบวัดความคดิ สร้างสรรค์ สรปุ ผลการวิจัย 1. แผนการจัดการเรยี นรแู้ บบสมองเปน็ ฐานร่วมกับบทเรียนมัลตมิ ีเดีย เร่อื งโรคน่ารู้ มีคณุ ภาพใน ระดับดี ( ������̅= 4.36, S.D. = 0.17) 2. บทเรียนมัลติมีเดีย เร่ืองโรคน่ารู้ โดยภาพรวมมีคุณภาพอยู่ในระดับดี ( ������̅= 4.49, S.D. = 0.12) พิจารณารายด้านพบว่าด้านเน้ือหามีคุณภาพอยู่ในระดับดี ( = 4.43,S.D.=0.25) ด้านเทคโนโลยีมัลติมีเดียมี คุณภาพอยู่ในระดับดีมาก ( ������̅= 4.60, S.D.=0.20) ด้านคุณภาพการนาเสนอ มีคุณภาพอยู่ในระดับดี ( ������̅= 4.48, S.D.=0.16) และมีประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) ต่อประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) เท่ากับ 81.97/83.41 ซึง่ สูงกวา่ เกณฑ์ทก่ี าหนดคือ 80/80 3. นกั เรยี นทเ่ี รยี นร้ดู ้วยการจัดการเรียนรโู้ ดยใชส้ มองเป็นฐานรว่ มกับบทเรียนมัลติมเี ดีย เร่ืองโรคน่ารู้ มีความคิดสรา้ งสรรคท์ างการเรยี นหลงั เรยี นสูงกวา่ ก่อนเรียนอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถติ ิทรี่ ะดบั .05 4. นกั เรียนมีความคิดสรา้ งสรรคจ์ ากชน้ิ งานด้วยการจัดการเรยี นรู้โดยใช้สมองเป็นฐานรว่ มกับบทเรยี น มลั ติมเี ดีย เรอื่ งโรคน่ารู้ กับเกณฑ์รอ้ ยละ 70 อภิปรายผล 1.การพัฒนาแผนการจดั การเรียนร้แู บบสมองเปน็ ฐานรว่ มกับบทเรยี นมลั ติมเี ดยี เร่ืองโรคนา่ รู้ ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรยี นประตชู ยั ท่ีมคี ณุ ภาพ แผนการจัดการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐานร่วมกับบทเรียนมัลติมีเดีย เร่ืองโรคน่ารู้ ท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึนมี คณุ ภาพอยู่ในระดบั ดี ( ������̅= 4.36, S.D. = 0.17) เนอ่ื งจากผู้วิจยั ได้ดาเนินการสร้างและพฒั นาอย่างเป็นระบบ

66 โดยเร่ิมจากการศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 โครงสร้าง เวลาเรียน วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล เอกสารการพัฒนาการเรียนรู้ตาม หลักการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ซึ่งสอดคล้องกับประกาย วอ่ งวิการณ์ ท่ีได้ทาวิจัย เรื่อง ผลการสอนตาม แนวการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานท่ีมีต่อความสามารถในการอ่านจับใจความและความพึงพอใจต่อการเรียน วิชาภาษาไทยของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ได้พัฒนาแผนการสอนอ่านจับใจความตามแนวการเรียนรู้ โดยใช้สมองเป็นฐานวิชาภาษาไทยของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 มีคุณภาพอยู่ในระดับความเหมาะสม มากท่ีสุด และสอดคล้องกับงานวิจัยของทนงศักดิ์ ใจชื่นแสง ที่ได้ทาวิจัยเร่ือง การพัฒนาการเรียนรู้แบบ ผสมผสานโดยใชบ้ ทเรียนมลั ติมเี ดียบนเครือข่ายอนิ เทอรเ์ น็ต มคี ุณภาพดา้ นแผนการจัดการเรยี นรู้ แบบผสมผสานอยูใ่ นระดับดมี าก (������̅= 4.46, S = 0.40) 2.1 คุณภาพของบทเรียนมัลตมิ เี ดยี เรอ่ื งโรคน่ารู้ รว่ มกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน บทเรียนมัลติมีเดีย เรื่องโรคน่ารู้ ร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน มีคุณภาพด้านเน้ือหา อยู่ในระดับดี ( ������̅= 4.49, S.D. = 0.12) เน่ืองจากผู้วิจัยได้วิเคราะห์หลักสูตรและเนื้อหาของบทเรียน แบ่ง เนื้อหาออกเป็นหน่วยย่อย โดยมีปริมาณเนื้อหาที่เหมาะสม มีรูปภาพประกอบสอดคล้องกับเน้ือหา และด้าน เทคโนโลยีมัลติมเี ดยี มีคุณภาพอยู่ในระดับดี ( ������̅= 4.60, S.D.=0.20) เน่ืองจากการออกแบบบทเรียนมัลติมีเดีย ผู้วิจัยได้ศึกษาและทาการออกแบบบทเรียนตามหลักการออกแบบส่ือการเรียนการสอน ซ่ึงสอดคล้องกับเทวัญ ก้ันเขตต์ ท่ีได้ทาวิจัย เร่ืองการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียบนแท็บเล็ต เร่ือง สนุกคิดคณิตศาสตร์ สาหรบั นักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 1 พบว่าบทเรียนมคี ุณภาพโดยรวมอย่ใู นระดับดี (������̅ = 4.34, S.D. = 0.49) และสอดสอดคล้องกับงานวิจัยของศันสนีย์ ธระจิตรเสน ที่ได้ทาวิจัย เรื่อง การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอนมัลติมีเดีย เร่ืองลอจิกเกตเบ้ืองต้น สาหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย พบว่าบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอนมัลติมีเดีย เรื่องลอจิกเกตเบ้ืองต้น มีคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับดี (������̅= 4.43, S.D. = 0.49) 2.2 ประสทิ ธิภาพของบทเรียนมลั ติมีเดยี เร่อื งโรคนา่ รู้ รว่ มกบั การจัดการเรียนรูโ้ ดยใช้สมองเป็นฐาน ผลการหาประสทิ ธิภาพของบทเรียนมัลติมเี ดีย เรอื่ งโรคนา่ รู้ รว่ มกบั การจดั การเรยี นรู้โดยใชส้ มองเป็น ฐาน ท่ีผู้วิจัยพัฒนาข้ึนนั้นได้ยึดหลักการของชัยยงค์ พรหมวงศ์ มาเป็นกรอบแนวคิดในการหาประสิทธิภาพ ของบทเรียนมัลติมีเดียพบว่า บทเรียนมัลติมีเดีย เรื่องโรคน่ารู้ มีประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) กับ ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) เท่ากับ 80.29/83.41 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ถือว่ามีประสิทธิภาพสามารถ นาไปใช้ประกอบการจัดการเรียนรู้ได้จริง ทั้งนี้เน่ืองจากบทเรียนมัลติมีเดีย เร่ืองโรคน่ารู้ ได้ผา่ นการตรวจสอบ คุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งด้านเนื้อหา ด้านเทคโนโลยีมัลติมีเดีย ด้านคุณภาพการนาเสนออีกทั้งได้รับ คาแนะนาจากผู้อานวยการโรงเรียน นาไปสู่การปรับปรุงแก้ไขให้ดีย่ิงขึ้น ซ่ึงสอดคล้องกับงานวิจัยของประภา ศรี แสงอนุศาสน์ ทไ่ี ด้ทาวจิ ัย เรื่อง การพัฒนาบทเรียนมัลตมิ ีเดียบนแท็บเล็ต โดยใชร้ ปู แบบการจัดการเรียนรู้ แบบการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ พบว่าบทเรียนมัลติมีเดียบนแท็บเล็ตที่ พัฒนาข้ึนมีประสิทธิภาพ 83.68/87.76 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ และสอดคล้องกับงานวิจัยของศรัญญา

67 หลวงจานงค์ ทไี่ ด้ทาวิจัย เร่ือง ผลการใช้บทเรียนมัลติมีเดียบนแท็บเล็ต ตามแนวคิดการเรียนรู้สมองเป็นฐาน วิชาภาษาอังกฤษ เรื่อง All about me สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 พบว่าบทเรียนมัลติมีเดียบน แท็บเล็ต ตามแนวคิดการเรียนรู้สมองเป็นฐาน วิชาภาษาอังกฤษ เรื่อง All about me ท่ีพัฒนาข้ึน ประสทิ ธภิ าพ 83.42/82.22 ซ่ึงเปน็ ไปตามเกณฑ์ 80/80 ทีต่ ั้งไว้ 3. การเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ก่อนกบั หลังเรียนดว้ ยการจดั การเรยี นรโู้ ดยใช้สมองเปน็ ฐานรว่ มกบั บทเรยี นมัลติมีเดีย เร่อื งโรคนา่ รู้ ผลของการเปรียบเทียบความคิดสรา้ งสรรค์ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานรว่ มกับบทเรยี น มลั ติมีเดีย เร่อื งโรคน่ารู้ พบวา่ ความคิดสร้างสรรค์หลังเรยี นสงู กว่าก่อนเรียน อยา่ งมีนัยสาคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดับ .05 ทั้งน้ี เนื่องจากบทเรียนมัลติมีเดียเร่ืองโรคน่ารู้ ได้ผ่านการหาประสิทธิภาพอย่างเป็นระบบ และแผนการ จดั การเรียนรู้แบบสมองเป็นฐานรว่ มกับบทเรียนมัลตมิ ีเดยี ผ่านการตรวจสอบคุณภาพจากผูท้ รงคณุ วุฒทิ ั้งดา้ น เนอ้ื หา ดา้ นเทคโนโลยีมลั ตมิ เี ดีย ดา้ นคณุ ภาพการนาเสนอ และในการสรา้ งแบบทดสอบวดั ความคดิ สรา้ งสรรค์ นาข้อสอบไปหาดัชนีความสอดคล้อง (index of congruency :IOC) โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จึงส่งผลให้นักเรียนมี ความคิดสร้างสรรค์สูงข้ึน ซ่ึงสอดคล้องกับพรทิพย์ เล่หงส์ ที่ได้ทาวิจัย เร่ือง การพัฒนาบทเรียนแบบการ์ตูน แอนิเมชั่นบนแท็บเล็ตเพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านเขียนภาษาไทย ของนักเรียนช่วงชั้นท่ี 1 พบว่า นักเรียนที่เรียนโดยใช้บทเรียนแบบการ์ตูนแอนิเมชั่นบนแท็บเล็ตมีผลสัมฤทธ์ิการอ่านหลังเรียนสู งกว่าก่อน เรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสอดคล้องกับงานวิจัยของภาณุมาศ นักษัตรมณฑล ที่ได้ทา วิจัย เรื่อง การพัฒนาเลิร์นนิ่งออบเจ็กต์บนแท็บเล็ต วิชาคณิตศาสตร์ เร่ือง รูปสามเหล่ียม สาหรบั นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังจากเรียนด้วยเลิร์นน่ิงออบเจ็กต์บนแท็บเล็ต เรื่อง รูป สามเหลย่ี ม สงู กว่าคะแนนก่อนเรียน อยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิตทิ รี่ ะดบั .05 4. ความคดิ สรา้ งสรรค์จากชิ้นงานด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานร่วมกับบทเรยี นมลั ติมเี ดยี เรื่องโรคน่ารู้ กบั เกณฑร์ ้อยละ 70 ผลของการวดั ความคิดสรา้ งสรรค์ด้วยการจดั การเรยี นรูโ้ ดยใชส้ มองเป็นฐานร่วมกบั บทเรยี นมัลตมิ เี ดีย เร่อื งโรคน่ารู้ พบวา่ ความคดิ สร้างสรรค์ในการสร้างผลงาน กบั เกณฑร์ ้อยละ 70 คิดเป็นร้อยละ 100 แสดงให้ เห็นว่าการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนมีการพัฒนาขึ้นตามลาดับ ท้ังน้ีอาจเป็นเพราะว่า การจัด กจิ กรรมพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ไดจ้ ัดข้ึนตามความต้องการของผู้เรียน สอดคล้องกับบริบท สภาพแวดล้อม ซึง่ ตรงกบั ความเป็นอยู่ในสภาพจริงของผเู้ รียน มีการฝกึ ปฏิบัติกิจกรรม โดยผู้เรียนเป็นสาคัญอย่างต่อเนื่อง จึง ทาให้ผู้เรียนมีพัฒนาการด้านความคิดสร้างสรรค์เพ่ิมขึ้น จนสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้ผ่านเกณฑ์ดังกล่าว สอดคล้องกับงานวิจัยของ Kaewlar (2008) ได้ทาการวิจัยเร่ือง การใช้ชุดกิจกรรมพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผลการศึกษา พบว่า นักเรียนท่ีใช้ชุด กิจกรรมพัฒนาความคิดสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมการเขียนเชิงสร้างสรรค์มีคะแนนเฉล่ียทางการ เขียนเชิง สร้างสรรค์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และนักเรียนส่วนใหญ่มีพฤติกรรมคือ มีความสนุกสนาน ร่าเริง ในการ เขียนและรองลงมาคือ แสดงความรู้สึกผ่านงานเขียนด้วยอารมณ์ขัน เศร้า ยินดี พิศวง ซาบซึ้ง คิดเป็นร้อยละ 71.85 และ Papakum (2010) ไดท้ าการวิจยั เรอ่ื ง การพัฒนาความคดิ สร้างสรรค์ทางวทิ ยาศาสตรข์ องนักเรียน

68 ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 3 ด้วยกิจกรรมโครงงานวิทยาศาสตร์สาหรบั การเรียนรู้เรื่องอิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้น จานวน 39 คน ผลการวิจัยพบว่า กิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงานวิทยาศาสตร์พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทาง วิทยาศาสตร์ของนักเรียน ดังนี้ ด้านความคิดคล่องแคล่ว พบว่า คะแนนเฉล่ียร้อยละ 88.11 ด้านความคิด ละเอียดลออ ความคิดยืดหยุ่นและความคิดริเร่ิม มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 92.36, 79.97 และ 77.78 ตามลาดับ ซ่ึงสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 และนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 มีความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้แบบ โครงงานวทิ ยาศาสตร์อยใู่ นระดบั มาก ข้อเสนอแนะ 1 ข้อเสนอเพ่ือการนาผลวิจัยไปใช้ 1.1 ในการเรยี นด้วยบทเรยี นมัลติมีเดีย ควรให้ผเู้ รียนเรยี นดว้ ยตนเอง เพือ่ ตอบสนองความแตกต่าง ระหว่างบคุ คลและควรเปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รยี นเรียนไดต้ ามความพร้อมของผู้เรยี น 2 ข้อเสนอแนะในการวจิ ยั ครงั้ ตอ่ ไป 2.1 ควรพัฒนาบทเรยี นมัลติมีเดยี ในเน้อื หาวิชาอ่นื ๆต่อไป 2.2 ควรมีการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานกับการ จดั การเรยี นรแู้ บบอ่ืน

69 บรรณานกุ รม สมศักด์ิ ภู่วิภาดาวรรธน์. 2537. เทคนิคการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ:ไทย วัฒนาพาณชิ จากัด. ผดุงยศ ดวงมาลา. 2546. . 2546. . 2546. . 2546. . 2546. . 2546. . 2546. ผลของการใช้แบบฝึกกิจกรรม ต่อความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ของ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตร์ มหาบัณฑติ . สาขาวชิ าหลักสตู ร และการสอน, มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร.์ บัวรวย หม่องกี. 2549. การออกแบบกิจกรรมสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพ่ือส่งเสริมความ สามารถทาง ความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4.วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตร์ มหาบัณฑิต.สาขาวิชา หลกั สูตรและการสอน., มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่. กรมวชิ าการ.(2547).ความคิดสรา้ งสรรค์ หลกั การ ทฤษฎกี ารเรยี นการสอน การวัดประเมินผล.กรุงเทพฯ: กรมวชิ าการ นายธีรพงษ์ แสงสิทธ์ิ. การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain Based Learning). โรงเรียนบ้านท่ามะปริง, 2550 ริชมน กาลพัฒน์. การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain Based Learning). นักศึกษาปริญญาเอกสาขาวิชา นวัตกรรมหลกั สตู รและการเรียนรู้ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม, 2554

70 ภาคผนวก

71 ภาคผนวก ก รายนามผู้เชย่ี วชาญ

72 ช่ือสกุล รายนามผเู้ ชี่ยวชาญ 1.นายดนพุ ล นิโอ๊ะ สถานท่ีทางาน 2.นางสาวสุชาดา วนั สี 3.นางสาวเสาวลกั ษณ์ แกว้ เกตุ ครโู รงเรียนประเทียบวทิ ยาคม ครูโรงเรยี นวัดมงคล ครโู รงเรยี นราชมนตรี (ปล้มื -เชอื่ มนุกลู )

73 ภาคผนวก ข เคร่อื งมอื ท่ใี ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล

74 แบบประเมนิ แผนการจัดการเรยี นรโู้ ดยใช้สมองเปน็ ฐาน ชอ่ื ผู้ประเมิน......................................................................................................ตาแหน่ง....................... รายการ ระดับความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ 1.การกาหนดองคป์ ระกอบของแผนการจดั การเรยี นรู้ ดีมาก ดี ปานกลาง พอใช้ ปรับปรุง 2.สาระสาคัญ 54 3 2 1 2.1 การระบุความรทู้ ่ีตอ้ งการให้เกดิ ข้นึ กับผเู้ รยี น 2.2 การระบุเจตคตทิ ต่ี ้องการใหเ้ กิดขนึ้ กับผ้เู รยี น 2.3 การระบทุ ักษะทตี่ ้องการให้เกดิ ขึน้ กบั ผู้เรียน 3.จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 3.1 สอดคล้องกบั เนื้อหาสาระการเรยี นรู้ 3.2 สอดคล้องกบั กิจกรรมการเรียนการสอน 3.3 สอดคล้องกับส่ือการเรียนการสอนและการ ประเมินผล 4.กิจกรรมการเรียนการสอน 4.1 สอดคล้องกบั จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 4.2 สอดคล้องกบั เนอ้ื หา 4.3 สอดคลอ้ งกบั การประเมินผล 4.4 ขั้นตอนการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน 5.สอ่ื การเรยี นการสอน 6.ชิ้นงาน/ ภาระงาน 7. การประเมินผล 7.1 สอดคลอ้ งกบั จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 7.2 สอดคล้องกับกิจกรรมการเรยี นการสอน ลงชอ่ื ...................................................... (................................................................) ผู้ประเมิน

75 แบบประเมินบทเรยี นมลั ติมเี ดยี ชอ่ื ผปู้ ระเมิน......................................................................................................ตาแหนง่ ....................... รายการ ระดับความคิดเหน็ ของผเู้ ช่ียวชาญ ดีมาก ดี ปานกลาง พอใช้ ปรับปรงุ 1.ด้านเน้อื หา 1.1 เนือ้ หามคี วามสอดคล้องกบั จดุ ประสงค์ 54 3 2 1 1.2 เนอ้ื หามีความถูกตอ้ ง 1.3 ลาดบั ข้นั ในการนาเสนอเนอ้ื หา 1.4 ความเหมาะสมของปรมิ าณเนือ้ หา 1.5 ความชดั เจนในการนาเสนอเนือ้ หา 1,6 ความเหมาะสมของเน้อื หากบั ระดบั ของผูเ้ รียน 1.7 ระยะเวลาในการนาเสนอเนื้อหา 2.ด้านเทคโนโลยมี ลั ติมเี ดยี 2.1 คุณภาพของภาพนิ่ง 2.2 คุณภาพของภาพเคล่ือนไหว 2.3 ความเหมาะสมของขนาดตัวอักษร 2.4 ความเหมาะสมของจังหวะในการปรากฏตัวอกั ษร 2.5 ความเหมาะสมของสีตวั อักษรกับพื้นหลัง 3.ด้านคุณภาพการนาเสนอ 3.1 ความเหมาะสมของวิธีการนาเสนอ 3.2 ความเหมาะสมของโครงสรา้ งการนาเสนอ 3.3 ส่วนนาเขา้ สูบ่ ทเรียน 3.4 ส่วนเน้ือเร่อื ง 3.5 สว่ นสรุป 3.6 ความเหมาะสมของการออกแบบบทเรยี นโดย ภาพรวม 3.7 ความเหมาะสมของวิธีการนาเสนอ ลงช่อื ...................................................... (................................................................) ผปู้ ระเมนิ

76 แบบวัดความคิดสร้างสรรค์ ชอ่ื ผ้ปู ระเมิน......................................................................................................ตาแหน่ง....................... รายการ ระดบั ความคิดเหน็ ของผู้เชี่ยวชาญ 1. ความคดิ ริเร่ิม ดีมาก ดี พอใช้ ปรับปรงุ 2. ความคดิ คล่องแคล่ว 3. ความคิดยดื หย่นุ 43 2 1 4. ความคดิ ละเอียดลออ รวม ลงช่ือ...................................................... (................................................................) ผู้ประเมิน

77 เกณฑ์การให้คะแนนแบบวัดความคิดสร้างสรรค์ ประเดน็ การประเมิน ระดับคณุ ภาพ ดมี าก (4) ดี (3) พอใช้ (2) ปรับปรุง (1) พัฒนาชน้ิ งาน พฒั นาช้ินงาน พฒั นาชิน้ งาน พฒั นาชิ้นงาน หรอื วธิ ีการเพื่อ หรอื วธิ กี ารเพื่อ หรอื วธิ ีการเพื่อ หรือวธิ ีการเพ่ือ ความคดิ ริเร่มิ แกป้ ัญหาดว้ ย แก้ปญั หาดว้ ย แกป้ ญั หาดว้ ยการ แก้ปญั หาโดยไมม่ ี ความคดิ ท่ีแปลก ความคดิ ที่แปลก ผสมผสานและ ความคดิ แปลก ใหม่เหมาะสมตอ่ ใหม่ ดดั แปลงจาก ใหม่ การใชง้ านจริง ความคดิ เดิม ความคดิ คล่องแคลว่ มีการคิดหา มีการคิดหา มีการคิดหา ไมส่ ามารถคดิ หา วธิ ีการแกป้ ญั หา วธิ ีการแกป้ ัญหา วธิ ีการ แกป้ ัญหา วิธกี ารแก้ปัญหา ได้มากกวา่ 2 วิธี ได้ 2 วธิ ีในเวลาท่ี ได้เพยี ง1 วธิ ี ใน ได้ในเวลากาหนด ในเวลาทีก่ าหนด กาหนด เวลาท่ีกาหนด ความคดิ ยดื หยุ่น มีการคดิ หา มีการคิดหา มีการคิดหา ไมส่ ามารถคิดหา วธิ กี ารแก้ปัญหา วิธีการแก้ปญั หา วธิ ีการ แกป้ ัญหา วธิ กี ารแก้ปัญหา โดยดดั แปลงส่งิ ที่ โดย ดดั แปลงสิ่งที่ โดยดดั แปลงส่งิ ที่ โดยดัดแปลงสง่ิ มีอยู่ หรอื นาสงิ่ มอี ยู่ หรือนาส่ิง มีอยู่ หรือนาส่งิ ทม่ี ีอยู่ หรือนาสิง่ อ่นื มาทดแทนส่งิ อ่นื มาทดแทนสงิ่ อื่นมาทดแทนส่งิ อ่นื มาทดแทนส่ิง ทขี่ าดได้อยา่ ง ท่ขี าดได้ ทข่ี าดไดแ้ ตย่ งั ไม่ ทข่ี าดได้ หลากหลาย เหมาะสมกบั งาน ความคดิ ละเอยี ดลออ มีการคิดแจกแจง มีการคดิ แจกแจง มกี ารคดิ แจกแจง ไม่มีการคดิ แจก รายละเอียดของ รายละเอยี ด รายละเอียดของ แจง รายละเอียด วิธีการแก้ปัญหา ของวธิ กี าร วิธีการแกป้ ัญหา ของ วธิ ีการ หรือขยายความ แก้ปัญหาหรือ หรือขยายความ แกป้ ญั หาหรือ คดิ ได้อยา่ งครบ ขยายความคิดได้ คดิ แต่ขาดความ ขยายความคิด ถ้วน และมีราย ชดั เจน ละเอยี ดท่ีสมบรู ณ์

78 แบบทดสอบความคดิ สร้างสรรค์ เร่ืองโรคน่ารู้ ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 5 คาช้แี จง ใหน้ ักเรยี นออกแบบนวตั กรรมใส่สบเู่ หลว สาหรับใช้งานในโรงเรยี น โดยประดิษฐ์จากวัสดุธรรมชาติ ในชุมชนหรอื วสั ดเุ หลือใช้

79 ภาคผนวก ค คุณภาพของเครอื่ งมือ

80 ตารางที่ 6 แสดงคา่ ความเชอ่ื มนั่ ของแบบวดั ความคิดสรา้ งสรรค์โดยใช้วธิ กี ารสัมประสิทธแ์ิ อลฟาของ ครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient: α) การใหค้ ะแนนเปน็ แบบมาตรประมาณคา่ 4 ระดับ นักเรยี นคนที่ ขอ้ 1 ข้อ 2 ข้อ 3 ขอ้ 4 รวม 1 2322 9 2 3 4 4 4 15 3 2 3 3 2 10 4 2 4 3 2 11 5 4 3 3 2 12 6 3 4 4 3 14 7 4 4 4 4 16 8 2 2 3 4 11 9 2232 9 10 3 4 4 3 14 11 3 3 3 2 11 12 4 4 4 4 16 13 3 2 3 2 10 14 2 3 3 2 10 15 4 4 4 4 16 16 2 2 4 2 10 17 3 4 4 4 15 18 2 3 2 3 10 19 4 4 4 4 16 20 3 3 3 2 11 21 2 4 3 2 11 22 4 4 4 3 15 23 3 4 4 4 15 24 4 3 4 3 14 25 2 3 3 3 11 26 3 4 4 4 15 ความแปรปรวนรายข้อ 0.64 0.53 0.40 0.76 2.34 ความแปรปรวนของคะแนนรวม 6.01 ความเชือ่ ม่นั 0.82

81 ตารางที่ 7 แสดงคา่ เฉล่ียความสอดคล้องระหว่างขอ้ คาถามกบั จุดประสงค์ (คา่ IOC) ค่าเฉล่ยี IOC ขอ้ ที่ ผ้เู ชีย่ วชาญ 1 คนที่ 1 คนท่ี 2 คนท่ี 3 1 1 1111 1 2111 3111 4111

82 ภาคผนวก ง ประสิทธภิ าพและคณุ ภาพของแผนการจดั การเรยี นร้โู ดยใช้สมองเปน็ ฐาน ร่วมกับบทเรียนมลั ตมิ เี ดีย

83 ตารางที่ 8 ผลการประเมินคุณภาพของแผนการจดั การเรียนรู้โดยใชส้ มองเปน็ ฐานรว่ มกับบทเรยี นมัลติมเี ดีย เร่อื งโรคน่ารู้ รายการ ���̅��� S.D. ระดับคุณภาพ 1.การกาหนดองค์ประกอบของแผนการจดั การเรยี นรู้ 2.สาระสาคัญ 4.33 0.58 ดี 2.1 การระบุความร้ทู ี่ตอ้ งการให้เกดิ ข้นึ กับผู้เรยี น 4.67 0.58 ดีมาก 2.2 การระบเุ จตคติทีต่ อ้ งการใหเ้ กิดขนึ้ กบั ผเู้ รียน 3.67 0.58 ดี 2.3 การระบุทักษะทตี่ ้องการให้เกิดขึ้นกับผ้เู รียน 3.67 0.58 ดี 3.จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 3.1 สอดคล้องกับเน้ือหาสาระการเรยี นรู้ 5.00 0.00 ดมี าก 3.2 สอดคล้องกับกิจกรรมการเรยี นการสอน 4.67 0.58 ดมี าก 3.3 สอดคลอ้ งกบั สือ่ การเรยี นการสอนและการประเมนิ ผล 4.67 0.58 ดมี าก 4.กิจกรรมการเรยี นการสอน 4.1 สอดคล้องกับจดุ ประสงค์การเรียนรู้ 4.33 0.58 ดี 4.2 สอดคล้องกับเนื้อหา 4.67 0.58 ดมี าก 4.3 สอดคล้องกบั การประเมนิ ผล 4.33 0.58 4.4 ขั้นตอนการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน 4.33 0.58 ดี 5.สอ่ื การเรยี นการสอน 4.33 0.58 ดี 6.ชิน้ งาน/ ภาระงาน 4.67 0.58 ดี 7. การประเมินผล ดีมาก 7.1 สอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 7.2 สอดคลอ้ งกับกจิ กรรมการเรียนการสอน 4.33 0.58 ดี 4.67 0.58 ดี รวม 4.36 0.17 ดี จากตารางที่ 8 พบว่า คณุ ภาพแผนการจดั การเรียนรโู้ ดยใช้สมองเปน็ ฐานรว่ มกับบทเรียนมลั ติมเี ดยี เรอ่ื ง โรคน่ารู้ มีคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดบั ดี

84 ตารางท่ี 9 ผลการประเมนิ คุณภาพบทเรียนมลั ตมิ ีเดยี เร่อื งโรคน่ารู้ ร่วมกบั การจดั การเรยี นร้โู ดยใชส้ มองเปน็ ฐานดา้ นเนอ้ื หา ดา้ นเทคโนโลยีมลั ติมเี ดีย และด้านคุณภาพการนาเสนอ รายการ ���̅��� S.D. ระดับคุณภาพ 1.ดา้ นเนอื้ หา 4.33 0.58 ดี 1.1 เนอ้ื หามคี วามสอดคล้องกับจุดประสงค์ 5.00 0.00 ดีมาก 1.2 เนอ้ื หามีความถูกตอ้ ง 4.33 0.58 1.3 ลาดับขั้นในการนาเสนอเนือ้ หา 3.33 0.58 ดี 1.4 ความเหมาะสมของปริมาณเนือ้ หา 4.67 0.58 ปานกลาง 1.5 ความชดั เจนในการนาเสนอเน้ือหา 5.00 0.00 1,6 ความเหมาะสมของเนื้อหากบั ระดับของผเู้ รียน 4.33 0.58 ดมี าก 1.7 ระยะเวลาในการนาเสนอเนอ้ื หา ดีมาก 2.ดา้ นเทคโนโลยมี ัลติมเี ดีย 2.1 คณุ ภาพของภาพน่งิ ดี 2.2 คุณภาพของภาพเคล่ือนไหว 2.3 ความเหมาะสมของขนาดตวั อกั ษร 4.67 0.58 ดมี าก 2.4 ความเหมาะสมของจังหวะในการปรากฏตัวอกั ษร 4.67 0.58 ดีมาก 2.5 ความเหมาะสมของสีตัวอักษรกับพนื้ หลัง 5.00 0.00 ดีมาก 3.ด้านคุณภาพการนาเสนอ 4.33 0.58 3.1 ความเหมาะสมของวิธีการนาเสนอ 4.33 0.58 ดี 3.2 ความเหมาะสมของโครงสรา้ งการนาเสนอ ดี 3.3 ส่วนนาเขา้ สูบ่ ทเรยี น 3.4 ส่วนเนื้อเรอ่ื ง 4.67 0.58 ดีมาก 3.5 ส่วนสรุป 4.67 0.58 ดมี าก 3.6 ความเหมาะสมของการออกแบบบทเรียนโดยภาพรวม 4.67 0.58 ดมี าก 3.7 ความเหมาะสมของวิธีการนาเสนอ 4.67 0.58 ดมี าก 4.33 0.58 รวม 4.33 0.58 ดี รวมทั้ง 3 ด้าน 4.00 0.00 ดี 4.48 0.16 ดี 4.49 0.12 ดี ดี จากตารางท่ี 9 พบวา่ คณุ ภาพของบทเรียนมลั ตมิ ีเดยี เรือ่ งโรคน่ารู้ รว่ มกับการจัดการเรยี นรโู้ ดยใช้ สมองเป็นฐาน ภาพรวมมคี ณุ ภาพอยใู่ นระดบั ดี

85 ตารางท่ี 10 ผลการทดลองหาประสทิ ธภิ าพของบทเรียนมัลติมเี ดีย เรื่องโรคน่ารู้ แบบฝึกหดั แบบทดสอบ ประสิทธภิ าพ ขอ้ คะแนน คา่ เฉลี่ย ������������ คะแนน คา่ เฉลยี่ ������������ ������������/������������ เตม็ เตม็ 1 16 12.33 77.08 16 13.00 81.25 รวม 16 12.33 77.08 16 13.00 81.25 77.08/81.25 จากตารางท่ี 10 ผลการหาประสิทธภิ าพของบทเรียนมลั ติมีเดีย เรือ่ งโรคน่ารู้ จากการทดสอบรายบคุ คล ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า บทเรียนประสิทธิภาพต่ากว่าเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ คือมีประสิทธิภาพเท่ากับ 77.08/81.25 ผู้รายงานไดน้ าบทเรียนไปปรบั ปรงุ แกไ้ ข หลังจากนั้นนาไปทดลองกับกลมุ่ ยอ่ ยตอ่ ไป ตารางที่ 11 ผลการทดลองหาประสิทธภิ าพของบทเรียนมัลติมเี ดยี เรอื่ งโรคนา่ รู้ แบบฝกึ หัด แบบทดสอบ ประสทิ ธภิ าพ ข้อ คะแนน คา่ เฉลีย่ ������������ คะแนน คา่ เฉล่ีย ������������ ������������/������������ เตม็ เตม็ 1 16 13.10 81.88 16 13.30 83.13 รวม 16 13.10 81.88 16 13.30 83.13 81.88/83.13 จากตารางท่ี 11 ผลการหาประสิทธิภาพของบทเรียนมัลตมิ เี ดยี เรอ่ื งโรคน่ารู้ จากการทดสอบข้นั ทดลอง กับกลุ่มยอ่ ย ผลการวิเคราะหข์ ้อมูลพบวา่ บทเรียนประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ที่กาหนดไว้ คือมีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.88/83.13 เพ่ือใหป้ ระสทิ ธภิ าพของบทเรียนมคี วามเช่อื มัน่ เพยี งพอ ผู้รายงานไดน้ าไปทดลองกบั กลุ่มใหญ่

86 ตารางท่ี 12 ผลการทดลองหาประสิทธภิ าพของบทเรยี นมัลติมเี ดยี เร่ืองโรคน่ารู้ แบบฝกึ หัด แบบทดสอบ ประสิทธภิ าพ ข้อ คะแนน ค่าเฉลย่ี ������������ คะแนน ค่าเฉลีย่ ������������ ������������/������������ เตม็ เต็ม 1 16 13.12 81.97 16 13.35 83.41 รวม 16 13.12 81.97 16 13.35 83.41 81.97/83.41 จากตารางที่ 11 ผลการหาประสทิ ธิภาพของบทเรยี นมลั ตมิ เี ดยี เร่ืองโรคนา่ รู้ จากการทดสอบขนั้ ทดลอง ภาคสนาม ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า บทเรียนประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กาหนดไว้ คือมีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.97/83.41 ตารางที่ 13 การเปรยี บเทียบความคิดสร้างสรรค์ก่อนเรียนและหลงั เรยี นดว้ ยการจดั การเรียนรูโ้ ดยใชส้ มอง เปน็ ฐานรว่ มกบั บทเรยี นมลั ติมเี ดยี เรื่องโรคนา่ รู้ คะแนนสอบ นกั เรยี น คะแนนเต็ม ������̅ S.D. T sig 25 16 6.12 1.09 21.98 0.0000 กอ่ นเรียน 25 16 13.52 1.36 หลังเรียน จากตารางที่ 13 พบวา่ นักเรยี นมีความคดิ สร้างสรรค์ เรอื่ งโรคนา่ รู้ หลงั เรียนด้วยแผนการจัดการ เรยี นรู้ โดยใชส้ มองเป็นฐานรว่ มกบั บทเรียนมลั ติมีเดยี สงู กวา่ ก่อนเรียน อยา่ งมีนยั สาคัญทางสถติ ิทีร่ ะดบั .05

87 ตารางที่ 14 คะแนนการทาแบบทดสอบวดั ความคิดสร้างสรรค์ทางการเรียนก่อนเรยี นและหลงั เรียนของกลมุ่ ตวั อยา่ ง นักเรยี น คะแนนก่อนเรียน คะแนนหลังเรียน คะแนนผลตา่ ง คนที่ Pre-test Post-test D 1 7 13 6 2 7 13 6 3 8 16 8 4 5 13 8 5 7 11 4 6 5 13 8 7 6 13 7 8 5 14 9 9 7 13 6 10 5 13 8 11 5 12 7 12 5 13 8 13 6 13 7 14 6 16 10 15 5 13 8 16 5 16 11 17 6 12 6 18 5 12 7 19 5 15 10 20 7 13 6 21 7 15 8 22 8 13 5 23 8 13 5 24 6 15 9 25 7 15 8

88 ตารางที่ 15 คะแนนความคดิ สรา้ งสรรค์จากช้นิ งานด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใชส้ มองเป็นฐานร่วมกบั บทเรยี น มลั ติมเี ดีย เร่ืองโรคน่ารู้ กับเกณฑ์ร้อยละ 70 คะแนนการสร้างชน้ิ งานกับเกณฑ์ รายช่ือนักเรยี น คะแนน (16) รอ้ ยละ70 สรปุ ด.ช. นพรตั น์ แป้นตระกูล 13 81 ผา่ นเกณฑ์ ด.ช. นภสกร สขุ มนั 15 94 ผา่ นเกณฑ์ ด.ช. พัชรพล จนั ทรมณฑล 15 94 ผา่ นเกณฑ์ ด.ช. สิรทิ รัพย์ สมแพง 15 94 ผา่ นเกณฑ์ ด.ญ. กฤติยา ฤกษ์ดี 15 94 ผ่านเกณฑ์ ด.ญ. ณฐั ณิชา บุญโต 13 81 ผ่านเกณฑ์ ด.ญ. วริศรา เมนไทยสงค์ 13 81 ผ่านเกณฑ์ ด.ช. กิตติกุล ย้ิมศรี 13 81 ผ่านเกณฑ์ ด.ช. อนุชติ พรมธดิ า 14 88 ผ่านเกณฑ์ ด.ช. จิรเดช กองเอ้ย 15 94 ผ่านเกณฑ์ ด.ช. วโรดมภ์ พาฤทธ์ิ 14 88 ผ่านเกณฑ์ ด.ญ. แสงดาว สรุ ยิ า 13 81 ผ่านเกณฑ์ ด.ช. รพีภัทร โคตรปัจจมิ 14 88 ผ่านเกณฑ์ ด.ญ. เขมนจิ คลายทุกข์ 15 94 ผา่ นเกณฑ์ ด.ญ. จิตติมา ฤทธนิ์ วล 14 88 ผา่ นเกณฑ์ ด.ญ. พัชรินทร์ วิชาคา 15 94 ผา่ นเกณฑ์ ด.ญ. บุษยามาส ดนุพงค์ลิขิต 13 81 ผา่ นเกณฑ์ ด.ญ. ธนั ยพร เณรกลู 13 81 ผา่ นเกณฑ์ ด.ญ. ซากนี ะ หลีเจรญิ 15 94 ผ่านเกณฑ์ ด.ช. พัฒนพงศ์ ชัยมงคลไพศาล 15 94 ผ่านเกณฑ์ ด.ญ. นฐั ธดิ า พาสวุ รรณ์ 15 94 ผ่านเกณฑ์ ด.ช. พัทริน ศลิ า 13 81 ผา่ นเกณฑ์ ด.ช. ยง่ิ คณุ เพชรกลู 13 81 ผา่ นเกณฑ์ ด.ญ. สนิ นี ชุ เซย่ี งฉ่ี 15 94 ผ่านเกณฑ์ ด.ช. เสกสรร พงษ์สีมา 15 94 ผ่านเกณฑ์ จากตารางท่ี 15 พบว่า นักเรียนมคี วามคดิ สร้างสรรค์จากการสรา้ งช้นิ งาน เมอ่ื เรียนรูด้ ว้ ยการจัดการ เรียนรู้โดยใชส้ มองเป็นฐานรว่ มกบั บทเรยี นมัลติมีเดีย เรื่องโรคนา่ รู้ ตามเกณฑ์ร้อยละ 70

89 ภาคผนวก จ แผนการจดั การเรยี นร้โู ดยใชส้ มองเปน็ ฐาน รว่ มกับบทเรียนมัลติมเี ดยี

90

91 ภาคผนวก ฉ บทเรยี นมลั ติมีเดีย เรอื่ งโรคน่ารู้

92

93 ภาคผนวก ช หนงั สือราชการเชิญผู้เชยี่ วชาญ

94

95

96

97 ภาคผนวก ซ ผลงานนกั เรียน

98

ช่อื -ชือ่ สกุล 99 วัน เดอื น ปเี กิด สถานทีเ่ กดิ ประวตั ผิ ้รู ายงาน สถานท่อี ยู่ปัจจุบนั นางสาววรรณนิษา พ่มุ อไุ ร ตาแหน่งหน้าท่ปี ัจจบุ นั 29 ธันวาคม 2536 สถานที่ทางานปัจจบุ นั จงั หวดั นนทบรุ ี ประวตั ดิ ารศึกษา 41/4 หมู่ 3 ตาบลบอ่ เงิน อาเภอลาดหลุมแกว้ จงั หวัดปทมุ ธานี พ.ศ.2554 ครู โรงเรยี นวัดพืชนมิ ิต (คาสวสั ดิ์ราษฎรบ์ ารงุ ) พ.ศ.2559 มัธยมศกึ ษาตอนปลาย โรงเรียนคณะราษฎร์บารงุ ปทุมธานี ปริญญาตรี มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook