แผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรทู ี่ 8 “รูส ึกอยา งไร”
แผนการจดั กิจกรรมการเรียนรูที่ 8 รูส กึ อยา งไร สาระสําคัญ การรจู้ กั อารมณ์ตนเองจะนาํ ไปสู่การควบคมุ อารมณ์และการแสดงออกที่เหมาะสม การทบทวนถึง สถานการณท์ ท่ี าํ ใหเ้ ราเกดิ อารมณต์ ่างๆ พจิ ารณาว่าเรามักแสดงออกในรูปแบบไหน ผลทีเ่ กดิ ข้นึ และประเมนิ ถงึ ความเหมาะสมตอ่ การแสดงอารมณใ์ นลกั ษณะน้นั ๆ จะชว่ ยในการฝึกการจัดการกบั อารมณต์ นเองได้มากข้ึน วตั ถปุ ระสงคก ารเรียนรู 1) เพือ่ ให้นกั เรยี นอธิบายความรสู้ กึ ท่เี กดิ ขึ้นขณะมีอารมณแ์ บบตา่ ง ๆ ได้ 2) เพือ่ ให้นักเรยี นบอกผลกระทบของการแสดงอารมณ์ และวิธกี ารควบคุมอารมณต์ นเองได้ แผนการเรียนรูน้ ี้ มงุ่ สรา้ งเสรมิ คุณลกั ษณะและทักษะสาํ คญั ดงั นี้ Core Values Core Skills • การเคารพความแตกต่าง • การรูจ้ ักตวั เอง • การรแู้ ละเคารพสทิ ธิ • การควบคมุ อารมณ์ • ความมัน่ ใจในตนเอง • การปรบั ตัวในการอยู่รว่ มกับคนอ่ืน • การส่อื สาร บอกความตอ้ งการของตนเอง • การประเมินผลกระทบ อปุ กรณและสื่อ • ภาพอารมณ์ตา่ งๆ 15 ภาพ ขนาด A3 บนฟิวเจอร์บอร์ด • แผน่ กจิ กรรม “รจู้ กั อารมณ”์ • แผ่นการบ้าน
ประเมนิ ผลการเรยี นรู 1. สังเกตการมสี ว่ นร่วมและความสนใจในการทํากิจกรรมรว่ มกัน 2. สงั เกตการยกตัวอยา่ งเหตุการณ์ทีส่ อดคล้องกับอารมณ์ 3. สังเกตการตอบคําถาม และการตั้งใจฟงั ข้ันตอนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู 1. ครูชวนนกั เรยี นรอ้ งเพลงประกอบท่าทาง “หากวา่ เรากํา ลงั สบาย ......” เพลงหากวา่ เรากําลงั สบาย https://youtu.be/WSA3wm7Y3xE หากพวกเรากํา ลงั สบาย จงตบมอื พลนั หากพวกเรากํา ลังสบาย จงตบมือพลนั หากพวกเรากํา ลงั มีสุข ปลดเปล้ืองทุกข์ใดๆ ทุกสิ่ง มัวประวงิ อะไรกันเลา่ จงตบมอื พลัน และเปล่ยี นสงิ่ ทีใ่ ห้ทํา ในแตล่ ะรอบ เชน่ : “กระทบื เทา้ ” | “ผงกหวั ” | “สง่ เสยี งพลนั ” – ฮ่า ฮา่ ฮา่ ” 2. ชวนนักเรียนคุยเรื่องอารมณต์ ่างๆ ดังน้ี • ตอนไหนบา้ ง ทเี่ รารูส้ ึก “สบาย” “มคี วามสุข” ขออาสาสมคั ร 2-3 คน ยกตวั อย่าง เหตกุ ารณห์ รอื สิ่งทีเ่ คยเกดิ ขึ้นทีท่ าํ ให้เรารสู้ กึ “สบาย” หรอื “มคี วามสขุ ” • นอกจาก รสู้ กึ มีความสุข สบาย คนเรามอี ารมณ์อะไรอีกไดบ้ า้ ง o เชน่ โกรธ กลัว อาย เหงา คบั ข้องใจ กลมุ้ ใจ กงั วล ตืน่ เต้น ดใี จ เสียใจ ฯลฯ 3. วันนีเ้ ราจะชวนกนั สาํ รวจอารมณต์ า่ งๆ ครูนําภาพแสดงอารมณ์ 15 ภาพ ชวนนักเรยี นดูทลี ะภาพ อธบิ ายและถามวา่ ใครเคยมีอารมณ์แบบนน้ั ๆ บา้ ง ตอนทมี่ ีอารมณ์แบบนั้นๆ เราสงั เกตว่าร่างกายมีปฏกิ ริ ยิ า หรืออาการอะไร อยา่ งไรบา้ ง 4. แจกแผ่นกิจกรรม “รจู้ ักอารมณ”์ ใหน้ กั เรียนคนละ 1 แผ่น ใหแ้ ตล่ ะคนยกตวั อยา่ งเหตกุ ารณ์ทเ่ี คย เจอหรอื เร่ืองท่ที าํ ใหเ้ รารูส้ กึ “โกรธ” และ “ภมู ิใจ” วา่ เกิดอะไรขนึ้ และเราแสดงออกอยา่ งไร ให้เวลา 7 นาที 5. ขออาสาสมคั ร 3-4 คน นาํ เสนอสง่ิ ท่ตี วั เองวาด/เขยี น ในเรื่องความร้สู กึ “โกรธ” และอีก 3-4 คน ในเรอ่ื งความรู้สกึ “ภูมิใจ” 6. ครใู ชค้ าํ ถามชวนคุย ดังนี้ • แต่ละคนมวี ิธีแสดงอารมณเ์ หมอื นหรอื ตา่ งกนั อย่างไร • นักเรยี นเหน็ ดว้ ยหรอื ไม่ หากเราแสดงความโกรธหรือความหงดุ หงดิ ของเรา ดว้ ยการไป ทํารา้ ยคนอน่ื เพราะเหตใุ ด
• เราบอกได้หรอื ไมว่ า่ ใครกาํ ลังรูส้ ึกโกรธ บอกได้อยา่ งไร • เราจะมวี ธิ ีจดั การอารมณโ์ กรธของตัวเองอย่างไร 7. ครสู รปุ การเรียนรู้ และเพิม่ เติมประเดน็ สาํ คัญดงั น้ี • อารมณเ์ ป็นปฏิกิรยิ าทเ่ี ราเกดิ ความรู้สึกต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดขน้ึ ซง่ึ เราอาจไม่ สามารถเลือกไดว้ า่ เราจะมีอารมณ์ความรูส้ กึ แบบใดแต่เราสามารถเลือกไดว้ ่า เราจดั การและแสดงออกถงึ อารมณ์ความรูส้ ึกเหลา่ นน้ั อย่างไร ทจ่ี ะไมเ่ ปน็ การส่งผลกระทบในทางลบท้งั ตอ่ ตัวเองและคนอืน่ • ครูสรุปเรอ่ื งอารมณโ์ กรธว่า ไม่มใี ครไม่เคยโกรธ เพราะอาการโกรธเป็นอารมณห์ นง่ึ ของ มนษุ ย์ ทส่ี าํ คญั คอื เมอื่ โกรธแลว้ เราร้ตู ัวหรือไมแ่ ละมีวธิ คี วบคมุ จัดการอารมณ์โกรธของตัวเองอยา่ งไร ครอู าจ เสริมเร่ืองการจัดการอารมณ์โกรธใหน้ ักเรยี นเข้าใจสัน้ ๆ การจัดการอารมณโ์ กรธ • ฝึกสงั เกตอารมณข์ องตวั เอง ให้สงั เกตว่าอะไรคือสัญญาณเร่มิ ตน้ ของอารมณโ์ กรธของตัวเอง เช่น อดึ อดั หายใจแรง กล้ามเนอ้ื เกร็งตามสว่ นตา่ งๆ ของรา่ งกาย มือเยน็ เหงือ่ แตก ฯลฯ และเม่อื พบว่ามอี าการ เหลา่ น้ี ให้พยายามหายใจเขา้ ลกึ ๆ และฝกึ ใหผ้ อ่ นอารมณ์ เช่น นบั หน่ึงถงึ รอ้ ย หรอื ให้นกึ ถึงเรอื่ งทีค่ ิดถึง แล้วสบายใจ • ฝึกระบายความรูส้ ึกเมอื่ เกิดอารมณโ์ กรธหรือไมพ่ อใจ เช่น ใหเ้ ล่าเรือ่ งราวตา่ ง ๆ ให้พอ่ แม่ ครู เพือ่ น หรอื คนที่เราสนทิ /ไวใ้ จฟงั เมื่อได้เล่าระบายแลว้ ลองสาํ รวจอารมณค์ วามรสู้ กึ ตวั เองว่ากาํ ลังรู้สึก อย่างไร ให้ลองเรียกชอื่ อารมณน์ ั้นๆ • ออกจากบรรยากาศที่ทาํ ใหเ้ ราเกดิ ภาวะอารมณโ์ กรธ หรอื ไม่พอใจ เพ่อื เบ่ียงเบนสถานการณ์ หรือหากจิ กรรมอืน่ ๆ ทําทจ่ี ะช่วยใหร้ ้สู ึกผ่อนคลาย เชน่ ไปเดินเล่น วาดรปู กินไอศกรมี เพอื่ ให้อารมณ์ สงบขึน้ • เมอ่ื อารมณ์พุ่งพล่านสงบเข้าสูส่ ภาวะปกติแลว้ ลองสาํ รวจวา่ ตน้ ตอของความโกรธเกิดจากอะไร และหากเจอกบั สถานการณ์น้ันๆ อกี เราจะทาํ อย่างไร และหากพบว่าพอเราโกรธแล้วแสดงออกในส่ิงที่ ส่งผลกระทบตอ่ คนรอบข้าง ใหล้ องคดิ ว่าผลทตี่ ามมาเป็นอย่างไร 8. แจกการบา้ นใหน้ ักเรียนแตล่ ะคนทาํ และนัดหมายวันสง่ การบา้ น* (* การบ้านเป็นการทบทวนและสงั เกตอารมณข์ องตวั เอง 15 แบบ อาจให้เวลานักเรียนทาํ 1 สปั ดาห์ และการบ้านนจ้ี ะช่วยใหค้ รูไดเ้ รียนรู้ และเขา้ ใจเด็กมากขึ้น รวมทง้ั สามารถตดิ ตามพฒั นาการในด้านอารมณ์ ของเดก็ ได้ด้วย)
อารมณตางๆ (จดั ทาํ ขนาด A3 ติดบนฟวเจอรบอรด) 1. กลัว 2. โกรธ 3. ละอายใจ รูส้ กึ หวาดกลัว ร้สู กึ โมโหตอ่ คน รู้สึกไมด่ ีหลังจาก และมคี วามกงั วล การกระทําความคิด ทท่ี าํ ผิด 4. มัน่ ใจ 5. สบั สน 6. หดหู่ รสู้ กึ ว่าตนเองสามารถ รสู้ กึ ไม่สามารถคิดอะไร รสู้ ึกเศร้า หม่นหมอง ทําบางส่ิงบางอยา่ งได้ ได้อยา่ งชัดเจน หมดกาํ ลงั ใจ ไมม่ ีความสขุ 7. ประหม่า 8. กระตอื รือรน้ 9. ต่ืนเต้น รสู้ ึกกังวลวา่ คนอน่ื กําลงั คดิ ร้สู ึกเตม็ ไปดว้ ยพลัง รสู้ ึกมีความสขุ อะไร ขาดความม่นั ใจ พรอ้ มจะลงมือทาํ อะไร และต่ืนตัว
(จดั ทําขนาด A3 ตดิ บนฟวเจอรบ อรด) 10. ดใี จ 11. อจิ ฉา 12. เหงา ร้สู กึ ปิติ เบกิ บานใจ รสู้ ึกอารมณ์เสยี ผดิ หวังท่ีคน รู้สึกโดดเดยี่ ว รู้สกึ ไมม่ ี ร่นื รมย์ อนื่ มีในสิ่งทตี่ วั เองอยากได้ ใครสนใจ หรือคนอื่นได้ทําส่งิ ทตี่ วั เอง อยากทาํ 13. ภูมิใจ 14. ผ่อนคลาย 15. กดดนั รู้สกึ พึงพอใจในสงิ่ ท่ี รสู้ กึ สบาย สงบ รสู้ กึ ตึงเครยี ด เหนอื่ ยล้า ตวั เองทาํ ได้ดี ปราศจากความกงั วล อดึ อดั ทว่ มทน้ เกนิ รับไหว
แผน กจิ กรรม : รจู ักอารมณ ให้นกั เรยี นยกตัวอย่างเหตุการณ์ทีเ่ คยเจอและทาํ ให้รู้สึกถงึ อารมณใ์ นแบบนั้นๆ และให้บอกว่า เราแสดงออกอยา่ งไร “โกรธ” ภมู ิใจ/ดใี จ รูส้ ึกโมโหตอ่ คน การกระทาํ ความคดิ รู้สึกพึงพอใจในสง่ิ ที่ตัวเองทาํ ได้ดี ลองวาดภาพการ์ตนู ท่แี สดงความรสู้ กึ โกรธ ลองวาดภาพการ์ตนู ที่แสดงความรสู้ กึ ภมู ิใจ เร่ืองท่ที าํ ใหโ้ กรธ | เหตุการณท์ เ่ี กดิ ขน้ึ เรื่องทีท่ าํ ให้ภมู ใิ จ/ดใี จ | เหตกุ ารณ์ทเ่ี กิดข้นึ เราแสดงออกอยา่ งไร เราแสดงออกอย่างไร
การบาน – รูจ กั อารมณ ให้นักเรียนเขยี นเหตกุ ารณ์ท่ีทํา ใหเ้ รารู้สึกถงึ อารมณ์ในแบบน้นั ๆ ในชอ่ งว่าง ด้านขวามอื อารมณ์ อะไรทีท่ าํ ให้รสู้ กึ แบบนนั้ เราแสดงออกอย่างไร เหตกุ ารณ์ทเ่ี กดิ ขนึ้ 1. กลัว รู้สึกหวาดกลัว และมคี วามกังวล 2. โกรธ รสู้ ึกโมโหต่อคน การกระทาํ ความคดิ 3. ละอายใจ รสู้ ึกไมด่ ีหลังจากท่ีทาํ ผิด 4. มั่นใจ รู้สึกว่าตนเองสามารถทาํ บางสงิ่ บางอยา่ งได้ 5. สบั สน รสู้ กึ ไม่สามารถคิดอะไร ได้อย่างชัดเจน 6. หดหู่ รู้สึกเศร้า หม่นหมอง หมดกําลงั ใจ ไมม่ ีความสขุ 7. ประหม่า รู้สึกกังวลวา่ คนอนื่ กําลงั คิด อะไร ขาดความม่นั ใจ
อารมณ์ อะไรทท่ี าํ ใหร้ สู้ ึกแบบนน้ั เราแสดงออกอยา่ งไร เหตุการณท์ ่เี กดิ ขน้ึ 8. กระตือรอื รน้ รู้สกึ เต็มไปดว้ ยพลัง พรอ้ มจะลงมือทํา อะไร 9. ต่นื เตน้ รสู้ กึ มีความสขุ และตน่ื ตวั 10. ดีใจ รู้สกึ ปิติ เบกิ บานใจ รืน่ รมย์ 11. อิจฉา รสู้ ึกอารมณเ์ สยี ผิดหวังทค่ี นอื่น มีในสงิ่ ทต่ี ัวเองอยากได้ หรือคน อื่นได้ทํา ส่งิ ท่ีตัวเองอยากทํา 12. เหงา รสู้ ึกโดดเด่ียว รู้สึกไม่มใี ครสนใจ 13. ภมู ิใจ รูส้ ึกพึงพอใจในสง่ิ ที่ตัวเองทํา ได้ดี 14. ผอ่ นคลาย รู้สึกสบาย สงบ ปราศจากความกงั วล 15. กดดนั รสู้ กึ ตงึ เครยี ด เหน่ือยล้า อดึ อัด ท่วมท้นเกนิ รบั ไหว
• อารมณแ์ บบไหนท่เี ราไม่ชอบมากทสี่ ุด ตามลําดบั เพราะเหตใุ ด 1) …………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2) …………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 3) …………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. • หากเราเปน็ คนทาํ ใหเ้ พอ่ื นเสยี ใจ เราจะทาํ อย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. • นกั เรยี นเคยเห็นคนที่แสดงอารมณโ์ กรธ หรอื ไม่พอใจกบั คนรอบขา้ ง โดยทําใหค้ นอน่ื เดือด รอ้ น เสยี ใจหรอื ไม่ ใหเ้ ล่าสง่ิ ทเ่ี กดิ ข้นึ สน้ั ๆ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
แผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรทู ี่ 9 “หยอกลอ รงั แก ใครสนกุ ?”
แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรูที่ 9 หยอกลอ รังแก ใครสนุก? สาระสําคัญ การหยอกลอ้ อาจเกดิ ขึ้นระหว่างเพื่อน หรือคนทม่ี ีความสัมพันธท์ ดี่ ตี อ่ กนั ได้ เปน็ การหยอกลอ้ ด้วย ความรกั ความสนุก ไม่ไดม้ ีเจตนารา้ ย แตจ่ ําเปน็ ตอ้ งคาํ นึงถึงความรสู้ ึกของคนทถ่ี ูกหยอกล้อด้วย หากฝ่ายท่ี ถกู หยอกลอ้ ไมร่ ู้สึกสนกุ ดว้ ยการหยอกลอ้ นน้ั กเ็ ป็นส่ิงทไี่ มค่ วรทํา และกลายเป็นการรงั แก ซงึ่ การรงั แกเปน็ การ กระทาํ ที่ทาํ ใหอ้ ีกฝา่ ยรสู้ กึ ไมด่ ี ร้สู ึกเจ็บปวด และเป็นความตั้งใจจะทาํ รา้ ยอีกฝา่ ยหนึ่งหากเราไมช่ อบที่คนอน่ื หยอกลอ้ ล้อเลียน หรอื รงั แกเรา เราตอ้ งไม่ทํากบั คนอืน่ ด้วยเช่นกัน และการรังแกกนั เปน็ เรอ่ื งท่ีไมค่ วรเกิดข้นึ ไม่ว่ากบั ใคร วตั ถปุ ระสงคก ารเรยี นรู 1) เพ่อื ให้นกั เรยี นบอกความรู้สึกของคนที่ถูกหยอกล้อ และถูกรังแกได้ 2) เพอ่ื ให้นกั เรยี นบอกลกั ษณะสําคญั ของ “การรงั แกกนั ” ท่ีแตกตา่ งจาก “การหยอกล้อ” 3) เพื่อให้นักเรยี นอธิบายถงึ เหตุผลท่ีเราไมค่ วร “หยอกลอ้ ” หรอื “รงั แก” ผ้อู น่ื ได้ แผนการเรียนรูน้ ้ี มงุ่ สรา้ งเสรมิ คุณลักษณะและทกั ษะสาํ คัญ ดังนี้ Core Values Core Skills • การเคารพความแตกตา่ ง • การปรับตัว • การรแู้ ละเคารพสิทธิ • การอยรู่ ว่ มกนั • การเหน็ อกเหน็ ใจ เข้าใจคนอืน่ • การวิเคราะห์แยกแยะ • การไมเ่ อาเปรียบผอู้ ื่น • การตดั สนิ ใจ • การไมใ่ ช้ความรุนแรง • การประเมนิ ผลกระทบ • ความเทา่ เทยี ม • การหาความช่วยเหลอื • สาํ นึกพลเมือง
อุปกรณและสือ่ • แผน่ กจิ กรรม “หยอกลอ้ หรือรงั แก” • เตรยี มเขียนพฤติกรรม 5 ขอ้ ในกระดาษ A4 แผ่นละ 1 ข้อ (ผลกั , หยิบของโดยไมไ่ ด้รับอนญุ าต, เรียกเพ่ือนวา่ “ไอ้อ้วน” หรอื “ไอด้ าํ ” ไมพ่ ดู ด้วยหรอื กีดกันไม่ใหเ้ ล่นดว้ ย, กลา่ วหา ให้ร้าย) • เตรยี มเขียนตารางตามแผน่ กิจกรรม “หยอกลอ้ หรอื รงั แก” บนกระดานหรือชาร์ทล่วงหนา้ เพอ่ื ใช้ รวบรวมคะแนนคําตอบของนักเรยี น ประเมนิ ผลการเรียนรู 1. เพ่อื ให้นกั เรยี นสังเกตความสนใจและการมีสว่ นร่วมในการทํากจิ กรรม 2. เพ่อื ใหน้ กั เรยี นสงั เกตการแสดงเหตุผลในการตอบคาํ ถามหรอื แสดงความคดิ เหน็ ขนั้ ตอนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู 1. ถามนักเรียนวา่ ใครเคยหยอกล้อกับเพอื่ นๆ บ้าง • ขออาสาสมัคร 3-4 คน ยกตวั อยา่ งวา่ ทําอะไรทเี่ ปน็ การหยอกล้อกันและชวนคุยดงั น้ี o เหตุใดเราจึงหยอกลอ้ เพื่อนๆ แบบนัน้ o เรารูส้ ึกอยา่ งไร และเพอื่ นท่ีถกู ล้อร้สู ึกอยา่ งไร 2. แจกแผ่นกจิ กรรม “หยอกลอ้ หรอื รงั แก” ให้นกั เรียนแต่ละคนทาํ อธบิ ายว่า ให้นักเรียนอ่าน พฤติกรรมทัง้ 5 ขอ้ และใหค้ วามเห็นวา่ พฤติกรรมแตล่ ะขอ้ ถือเปน็ การหยอกล้อ หรือการรังแก หรอื เปน็ ได้ ทั้งสองอย่าง ใหน้ กั เรียนขดี เครอื่ งหมายถูกในช่องตามความเห็นของนักเรยี น และเราควรทาํ พฤตกิ รรมเหล่าน้นั หรอื ไม่ใหเ้ วลา 5 นาที เม่อื ทาํ เสรจ็ แล้วใหท้ กุ คนสง่ ครู 3. แบง่ กลมุ่ ย่อย 5 กลุม่ แจกบัตรพฤติกรรมทเี่ ขียนบนกระดาษ A4 ท่เี ตรียมไว้ให้แตล่ ะกล่มุ ดังน้ี กลุ่ม 1 ผลกั กลุม่ 2 หยิบของโดยไมไ่ ด้รบั อนุญาต กลุม่ 3 เรียกเพ่อื นวา่ “ไออ้ ้วน” หรอื “ไอ้ดาํ ” หรือล้อเลยี นรปู ลักษณอ์ ่ืนๆ ของเพ่อื น กล่มุ 4 ไม่พูดดว้ ย หรอื กีดกนั ไม่ให้เล่นด้วย กลมุ่ 5 กล่าวหา ให้ร้าย อธบิ ายวา่ ให้แตล่ ะกลมุ่ แลกเปลย่ี นในประเดน็ ตอ่ ไปนี้ ในเวลา 10 นาที • หากเราเป็นคนทีถ่ กู กระทําแบบนนั้ เราจะรู้สึกอยา่ งไร (เชน่ ถกู ผลกั ) • ถา้ เราเจอการกระทาํ แบบนัน้ เราจะทําอะไรไดบ้ า้ ง
ระหว่างทน่ี กั เรยี นคยุ กลุ่มย่อย ใหค้ รรู วบรวมคะแนนจากแผ่นกิจกรรมทแี่ ต่ละคนทาํ และ แสดงผลคะแนนตามตารางแผ่นกิจกรรมบนกระดานหรือกระดาษชาร์ท พฤติกรรม หยอกล้อ รังแก เราควรทาํ หรอื ไมค่ วรทาํ 1. ผลกั ควรทาํ ไม่ควรทาํ ควรทํา ไม่ควรทาํ 2. หยิบของโดยไมไ่ ดร้ ับอนุญาต ควรทํา ไมค่ วรทาํ 3. เรียกเพอื่ นวา่ “ไออ้ ว้ น” ควรทาํ ไมค่ วรทาํ หรอื “ไอด้ ํา ” 4. ไม่พดู ด้วย หรือกีดกัน ควรทํา ไม่ควรทาํ ไม่ให้เลน่ ดว้ ย 5. กล่าวหา ใหร้ า้ ย ๔. ใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ นาํ เสนอ และครจู ดประเด็นคําตอบบนกระดาน โดยแยกเป็น ความรสู้ ึก สิง่ ที่จะทํา ๕. เม่อื ทกุ กลมุ่ นาํ เสนอแล้ว ครูชวนดูคําตอบบนกระดาน และชวนคุย ดังน้ี • เมือ่ ดูความรู้สึกทเ่ี กดิ ขึน้ เมอ่ื เราเป็นผู้ถูกกระทาํ เช่น ถกู ผลัก ถกู เพื่อนเรียก “ไออ้ ว้ น” “ไอ้ดํา” นักเรยี นเหน็ ว่าส่วนใหญร่ สู้ กึ อยา่ งไร ดี หรอื ไม่ดี เพราะเหตุใด • นกั เรยี นคดิ ว่าหากผู้กระทํารบั รู้ถงึ ความรสู้ ึกของผถู้ กู กระทาํ จะร้สู กึ อย่างไร o ครยู ้ําใหเ้ ห็นวา่ ผู้ถกู กระทาํ สว่ นใหญ่หรอื ทง้ั หมดรู้สึกไมด่ ีหรือร้สู กึ เสยี ใจ • เมอื่ ถกู กระทาํ พวกเราส่วนใหญเ่ ลอื กทาํ แบบใดแบบหน่งึ เพราะเหตุใดและคดิ ว่าจะส่งผล อย่างไร o ครูเสรมิ ว่า หากเราถกู กระทาํ ส่ิงทีเ่ ราทาํ ได้ มีทง้ั การบอกใหเ้ พื่อนหยุดการ กระทํานัน้ เดินหนอี อกไป หรอื บอกผู้ใหญ่วา่ เกิดอะไรข้ึนหากเรามีการตอบโต้กลับอาจทําให้เกิดการปะทะ และมปี ญั หามากข้นึ ได้ ๖. ชวนดูคะแนนท่ีรวบรวมความเหน็ ของทกุ คนตอ่ พฤติกรรมเหล่านว้ี า่ เปน็ การหยอกล้อ หรือรงั แกกนั และอธบิ ายเพ่ิมเติม ดงั น้ี • การหยอกลอ้ อาจเกิดข้ึนระหว่างคนท่สี นทิ หรือมีความสมั พันธ์ทดี่ ีต่อกันและหยอกลอ้ ด้วย ความรักไมไ่ ด้มเี จตนารา้ ยแต่ตอ้ งคาํ นงึ ถึงความรสู้ ึกของคนทถ่ี ูกหยอกลอ้ ด้วย • คนทเ่ี ป็นฝ่ายหยอกล้อเพื่อนอาจรสู้ ึกเป็นการล้อเล่น รูส้ กึ สนกุ ไมม่ เี จตนาทาํ ให้อกี ฝ่ายรสู้ กึ ไม่ดี แต่หากฝา่ ยท่ถี ูกหยอกล้อไม่ร้สู ึกสนกุ ดว้ ยการหยอกลอ้ นนั้ กเ็ ป็นสิง่ ทไ่ี มค่ วรทํา และกลายเปน็ การรงั แกกนั
• การรงั แก มกั เป็นการกระทาํ ทตี่ ้ังใจจะทาํ ร้ายอกี ฝา่ ยหนงึ่ ให้อีกฝ่ายรสู้ กึ ไม่ดี รสู้ กึ เจ็บปวด ๗. จากนนั้ ชวนดวู ่า พฤตกิ รรมทั้ง ๕ ข้อเปน็ ส่ิงท่คี วรทาํ หรือไม่ • ขออาสาสมัครบอกเหตผุ ลว่า ทาํ ไมเราจงึ ไม่ควรทาํ พฤติกรรมเหล่าน้กี ับเพื่อนๆ ๘. ครชู วนคยุ โดยใชค้ ําถามเพอ่ื สรุปการเรียนรู้ และเพ่ิมประเดน็ สาํ คัญ ดังนี้ • หากเราไมช่ อบหรือรู้สึกไม่ดที ่คี นอ่นื หยอกลอ้ ล้อเลยี น หรอื ไม่อยากใหค้ นอนื่ รังแกเรา เราควรทาํ แบบนัน้ กบั เพื่อนหรอื คนอน่ื ๆ หรือไม่ • หากเราเคยหยอกลอ้ ลอ้ เลยี น รังแกเพ่อื น และไมเ่ คยสนใจวา่ เพอ่ื นรูส้ กึ อย่างไรเราควร ทาํ อยา่ งไร • หากเราถูกรงั แก ลอ้ เลียน หรอื หากเราพบเหน็ เพื่อนถกู กระทาํ แบบนี้ และเราไดบ้ อกให้ หยุดการกระทาํ นนั้ แลว้ แต่คนท่ีทาํ ยังไม่หยุดเราจะทาํ อยา่ งไรได้บ้าง o ครสู รุปยํ้าวา่ การรงั แกไม่ควรเกิดขึน้ กบั ใคร และหากเราไม่สามารถจดั การไดเ้ รา ควรไปบอกผใู้ หญใ่ หท้ ราบและช่วยหาทางจดั การเพ่ือแกป้ ัญหา
แผน กจิ กรรม : หยอกลอ หรือรังแก นกั เรยี นคดิ วา่ พฤติกรรมเหลา่ นกี้ บั เพือ่ นหรือคนอ่นื ๆ ถือเป็นการหยอกลอ้ เป็นการรังแกกนั หรอื เป็น ท้งั สองอย่าง และนักเรยี นคิดว่าเราควรทาํ สงิ่ เหล่าน้กี บั เพื่อนหรอื ไม่ ใหน้ กั เรยี นใสเ่ ครอ่ื งหมาย ในชอ่ งตาม ความคดิ เหน็ ของนกั เรียน พฤตกิ รรม หยอกล้อ รงั แก เราควรทาํ หรอื ไมค่ วรทํา ควรทํา ไม่ควรทาํ 1. ผลกั ควรทาํ ไมค่ วรทาํ 2. หยบิ ของโดยไม่ได้รบั อนญุ าต ควรทํา ไม่ควรทาํ 3. เรยี กเพ่อื นวา่ “ไอ้อว้ น” หรอื “ไอ้ดํา ” ควรทาํ ไม่ควรทาํ 4. ไมพ่ ดู ด้วย หรอื กดี กนั ไมใ่ ห้เล่นด้วย ควรทํา ไมค่ วรทาํ 5. กลา่ วหา ใหร้ า้ ย
แผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรูท ่ี 10 “ขอโทษ”
แผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรูท่ี 10 ขอโทษ สาระสําคญั ทกุ คนมโี อกาสทาํ ผดิ พลาดได้ หากรูว้ ่าตวั เองทาํ ผดิ เพราะทําให้เพือ่ นเสยี ใจเจบ็ ตัว หรอื โกรธ การร้จู ัก “ขอโทษ” เป็นการแสดงใหเ้ หน็ ถงึ การเข้าใจความร้สู กึ ของเพื่อน อันเปน็ ผลมาจากสิ่งทเ่ี รากระทําและแสดง ความรบั ผดิ ชอบตอ่ สง่ิ ท่ตี วั เองทําการขอโทษเป็นส่วนหนง่ึ ของการรักษาความสมั พนั ธ์ทีด่ กี บั เพ่ือนและควร กระทาํ ด้วยความเต็มใจ วตั ถุประสงคการเรยี นรู 1) เพือ่ ใหน้ ักเรยี นบอกความหมายและความสําคญั ของการ “ขอโทษ” 2) เพอ่ื ให้นกั เรยี นเปรยี บเทียบการขอโทษแบบจริงใจ และการขอโทษแบบขอไปที 3) เพ่อื ใหน้ ักเรยี นฝกึ การพดู “ขอโทษ” แผนการเรยี นรนู้ ้ี มุ่งสรา้ งเสริมคุณลกั ษณะและทกั ษะสาํ คัญ ดังนี้ Core Values Core Skills • การรกั เคารพ และเหน็ คณุ ค่าตวั เอง • การร้จู กั ตัวเอง • การเคารพความแตกต่าง • การตัดสินใจ • การรูแ้ ละเคารพสทิ ธิ • การสื่อสาร • การเหน็ อกเห็นใจ เข้าใจคนอ่ืน • การแยกแยะถูกผดิ • ความรบั ผิดชอบ • การแก้ปญั หา • การไม่เอาเปรียบผู้อน่ื • การประเมินผลกระทบ • การอยรู่ ่วมกนั อปุ กรณแ ละสอ่ื • ไม่มี
ประเมินผลการเรียนรู 1. สงั เกตความสนใจและการมสี ว่ นรว่ มในการทํากจิ กรรมรว่ มกนั ขัน้ ตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู 1. ครเู ขียนคําวา่ “ขอโทษ” ไวบ้ นกระดาน แลว้ ถามนกั เรยี น ดังนี้ • นักเรียนรู้จกั คําว่า “ขอโทษ” หรอื ไม่ • เราพูดคําว่า “ขอโทษ” เพ่ืออะไร • คาํ วา่ “ขอโทษ” ควรใช้พูดตอนไหน 2. แบ่งกล่มุ 5-7 คน ใหแ้ ต่ละกลุ่มช่วยกันตอบคาํ ถาม “การเลน่ กันแบบไหนท่ีทําให้เรา ไมช่ อบ | โกรธ | เสยี ใจ” ใหไ้ ดม้ ากทีส่ ุด ในเวลา 3 นาที ครูเขียนคาํ ตอบไว้บนกระดาน 3. เม่อื ครบ 3 นาที ครูชวนดคู ําตอบบนกระดาน และถามนักเรียนดงั นี้ • เราไมช่ อบการเลน่ แบบนั้น เพราะอะไร • เวลาเลน่ กัน เรารู้ไหมวา่ เพื่อนไม่ชอบ | โกรธ | เสยี ใจ o รู้ไดอ้ ยา่ งไร (สังเกต หรือเหน็ อาการการแสดงออกของเพ่ือนอย่างไร) o เมือ่ ร้วู ่าเพอ่ื นไม่ชอบ | โกรธ | เสยี ใจ เรารูส้ ึกอย่างไร o ถา้ เราทําใหเ้ พ่อื นไม่ชอบ | โกรธ | เสียใจ เราควรทําอยา่ งไร • ถ้าเพอื่ นเราทาํ ใหเ้ ราไมช่ อบ | โกรธ | เสียใจ แลว้ มา “ขอโทษ” เรารู้สกึ อย่างไร 4. ครูสรุปใหเ้ ห็นวา่ แตล่ ะคนชอบ/ไมช่ อบส่ิงตา่ งๆ ไม่เหมือนกนั การเลน่ กนั หรืออยดู่ ้วยกนั อาจมกี าร กระทบกนั หรอื ทําบางอย่างที่ทาํ ใหเ้ พือ่ นไม่ชอบ | โกรธ | เสียใจ ท้งั โดยตง้ั ใจและไม่ต้ังใจ หากร้วู า่ เราทาํ ให้ เพ่ือนไม่ชอบ | โกรธ | เสียใจ เราควรจะแสดงความรบั ผิดชอบดว้ ยการขอโทษ 5. ครูอธิบายวา่ การขอโทษ มีทง้ั แบบทแี่ สดงความจรงิ ใจวา่ เรารสู้ ึกผดิ จรงิ ๆ และแบบขอไปที ครูยกตัวอย่างเป็นคาํ พูดเพอ่ื ให้นกั เรียนเหน็ ความแตกตา่ ง • การพดู แบบขอไปที หรือประชด เช่น “ขอโทษ” “ขอโทษกไ็ ด”้ “เออ โทษท”ี • การพูดแบบจริงใจ แสดงความรูส้ กึ ผดิ วา่ เราทาํ ใหเ้ พอื่ นเสยี ใจ เชน่ “ขอโทษนะท่ีทาํ ให้ ร้องไห้” “ขอโทษนะที่ผลกั เธอล้ม” “ขอโทษนะที่ไปล้อเธอ” 6. ใหน้ กั เรียนแต่ละคนลองพดู “ขอโทษ” ท้งั 2 แบบ • รอบที่ 1 - แบบขอไปที/ประชด • รอบท่ี 2 - แบบรูส้ ึกผิด จรงิ ใจ โดยใช้การเล่นหรือกระทาํ ท่นี กั เรียนไมช่ อบ | โกรธ | เสียใจ บนกระดาน เพอ่ื ฝึกการพูด “ขอโทษนะท่.ี ......” 7. จากน้นั ถามนักเรยี นวา่ • นักเรียนชอบการพูด “ขอโทษ” แบบไหน เพราะอะไร • นกั เรยี นคดิ ว่าการขอโทษเพอื่ นมีประโยชนอ์ ย่างไร • การพูด “ขอโทษ” กบั เพือ่ นเปน็ เรือ่ งยากหรอื ง่าย ถา้ ยาก เพราะเหตใุ ด
• เราจะมวี ธิ ีการขอโทษเพือ่ นแบบไหนได้อีก 8. ครูชวนดู การเล่น/การกระทาํ ตา่ งๆ บนกระดาน และถามนกั เรียนว่า ท่ีผ่านมาใครเคยเลน่ หรือทาํ แบบน้ีกบั เพือ่ นๆ แล้วทาํ ให้เพ่ือนไมช่ อบ | โกรธ | เสยี ใจ | รอ้ งไห้ บ้างหรือไม่ • ขออาสาสมัคร 2-3 คน เลา่ เหตุการณ์ และให้พดู คําว่า “ขอโทษนะท่ีทาํ ให.้ .........” • ถามต่อวา่ มใี ครทเี่ คยทาํ ให้เพ่ือนรูส้ กึ ไม่ชอบ | โกรธ | เสียใจ | รอ้ งไห้ แล้วยงั ไม่ไดข้ อโทษ เพือ่ นและอยากจะขอโทษเพือ่ นตอนนบี้ า้ ง (ถา้ มี ใหน้ กั เรยี นเดินไปขอโทษเพอื่ น และครกู ล่าวชมนกั เรยี น) 9. ครสู รปุ ใหเ้ ห็นวา่ การขอโทษเปน็ การแสดงถงึ การรับผดิ ชอบอยา่ งหน่ึง ตอ่ ส่ิงท่ีตนเองทาํ และแสดง ถึงการใสใ่ จความรู้สึกคนอน่ื ถามนกั เรียนวา่ • นอกจากเพื่อนแลว้ เรายัง “ขอโทษ” ใครได้อกี บ้าง 10. ครฝู ากใหน้ กั เรียนคดิ วา่ หากนกั เรียนเคยทาํ ใหค้ นรอบข้างรูส้ ึกเสียใจหรอื รูส้ ึกโกรธ แล้วเรา ยงั ไม่ได้ขอโทษให้ลองกลับไปบอกคน ๆ นัน้ การขอโทษเปนการแสดงถึง การรบั ผดิ ชอบอยางหนงึ่ ตอสงิ่ ท่ีตนเองทําและแสดง ถงึ การใสใ จความรสู กึ คนอน่ื
แผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรูท ่ี 11 “รูส ึก บอกได”
แผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรูที่ 11 รูสึก บอกได สาระสําคญั ร่างกายเปน็ พ้ืนที่ส่วนตัว การสมั ผสั จะตอ้ งไดร้ บั การยนิ ยอมจากเจา้ ของ ร่างกายเทา่ นัน้ การเรยี นรู้ เรอ่ื งสิทธใิ นเนื้อตัวร่างกายซ่ึงเปน็ สิทธิขนั้ พ้นื ฐานนจี้ ะ เป็นการปลกู ฝงั การเคารพในตนเองและผู้อืน่ นอกจากนน้ั การเรียนรวู้ ่าการสัมผสั ร่างกายท่ที ําใหเ้ ราไมช่ อบ อึดอดั หรือจากคนที่เราไม่อยากให้ สมั ผสั หากเราไม่ สามารถจดั การได้ ให้บอกพอ่ แม่ ครู หรอื ผใู้ หญท่ ีไ่ วใ้ จได้ทนั ที เพื่อเปน็ การป้องกันและขอ ความช่วยเหลือ วัตถุประสงคก ารเรยี นรู 1) เพอ่ื ให้นักเรยี นระบอุ วัยวะที่เป็นพื้นทส่ี ว่ นตัวได้ 2) เพอ่ื ให้นกั เรยี นตระหนักถึงสทิ ธใิ นเนอ้ื ตวั รา่ งกาย 3) เพือ่ ใหน้ ักเรยี นบอกวิธกี ารจดั การหากมีคนมาสมั ผสั รา่ งกายโดยเราไม่ยินยอม แผนการเรียนรนู้ ี้ มงุ่ สรา้ งเสริมคุณลกั ษณะและทักษะสาํ คัญ ดงั น้ี Core Values Core Skills • การรกั เคารพ และเหน็ คณุ ค่าตนเอง • การคดิ วิเคราะห์ แยกแยะ • การเคารพความแตกตา่ ง • การแกป้ ัญหา • การรู้และเคารพสทิ ธิ • การตัดสนิ ใจ • ความปลอดภยั • การประเมนิ ผลกระทบ • การไม่เอาเปรียบผอู้ ่ืน • การหาความชว่ ยเหลอื อุปกรณและสอื่ • แผ่นกจิ กรรม เราอนุญาตใหใ้ ครทาํ แบบน้ีกบั เราได้บ้าง • แผ่นกิจกรรม ผู้ใหญร่ อบตวั ทีฉ่ ันไว้ใจ
ประเมนิ ผลการเรียนรู 1. สังเกตความสนใจและการมีสว่ นรว่ มในการทาํ กิจกรรม 2. สงั เกตการแสดงเหตุผลในการตอบคาํ ถามหรือแสดงความคดิ เห็น ขนั้ ตอนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู ช่วั โมงท่ี 1 : (วัตถปุ ระสงคท์ ี่ 1 และ 2) 1. ครอู ธิบายว่าวนั นีเ้ ราจะคุยกันเรื่องรา่ งกายของเรา ใครสมั ผัสไดบ้ า้ ง เร่ิมด้วยการใชค้ ําถามชวน นักเรยี นแลกเปล่ยี น ดังน้ี (รอฟงั คาํ ตอบ 3-4 คนและ จดคาํ ตอบบนกระดาน) • สว่ นไหนของร่างกายทเ่ี ราอนญุ าตใหค้ นอน่ื ๆ จับหรือสมั ผสั ได้บา้ ง และเมอ่ื นักเรียนตอบ ให้ถามนักเรียนต่อไปว่า o เราอนญุ าตใหใ้ ครจับ/สมั ผสั ไดบ้ ้าง เชน่ ถา้ ตอบวา่ มือ “เราอนุญาตให้ใครจับมอื เราได้บ้าง ?” ถา้ ตอบวา่ หวั “เราอนุญาตใหใ้ ครจบั หวั เราได้บา้ ง ?” (เพ่ือดวู า่ เด็ก ๆ อนุญาตใครบ้างและทําใหเ้ ห็นว่าเราไมไ่ ด้ให้ทกุ คน จับไดเ้ หมือนกัน รวมท้งั ได้ยนิ ว่าแตล่ ะคนอนุญาตแตกตา่ งกนั อย่างไร) o หากมีคนมาจับโดยเราไมอ่ นญุ าต เรารสู้ ึกอยา่ งไร o แต่ละคาํ ถามขอฟงั คาํ ตอบหลากหลาย 3-5 คน เม่อื ได้คาํ ตอบท่ีหลากหลาย จาํ นวนหน่ึง ครสู รุปให้นกั เรยี นเหน็ ว่าบางส่วนของรา่ งกาย เราอนญุ าตใหบ้ างคนสมั ผสั ไดแ้ ตไ่ ม่ใช่ทุกคนและ แตล่ ะคนอนญุ าตใหค้ นสมั ผสั ไดแ้ ตกต่างกัน (ยกตวั อยา่ งจากคําตอบนักเรียนบางคนทีต่ า่ งกนั ) o หากเราร้สู กึ ไม่ชอบ หรอื ร้สู กึ ไมด่ ีทคี่ นมาจบั หรือสมั ผสั ตัวเรา เราสามารถบอก และควรบอกความรสู้ กึ เราใหค้ นๆ น้นั ทราบและบอกใหห้ ยดุ • ส่วนไหนของร่างกายเราที่คนอนื่ ไม่สามารถจับหรือสมั ผสั ได้ เม่อื นกั เรยี นตอบคาํ ถามแล้ว ให้ถามต่อไปอกี ว่า o เพราะเหตุใด จึงไมใ่ หส้ มั ผสั หรือจบั ได้ o ถามความเหน็ คนอ่นื ๆ วา่ เหน็ ด้วยหรือไม่อย่างไร เมื่อไดค้ ําตอบทีห่ ลากหลาย จาํ นวนหนึ่ง ครูสรุปให้เหน็ วา่ > รา่ งกายเปน็ พ้นื ทีส่ ว่ นตัวและไม่มีใครมีสทิ ธมิ าสมั ผสั หรอื จับได้ หากเราไม่ อนญุ าต > ในทางกลับกนั เราไมค่ วรไปสมั ผัสร่างกายคนอ่ืนโดยไมไ่ ดร้ ับอนุญาต เช่นกัน > อาจมบี างคนทีเ่ ราใหส้ ัมผสั รา่ งกายได้ เช่น พอ่ แม่ หรือเพ่อื นบางคน > อยา่ งไรก็ดีมีอวัยวะบางส่วนที่ถอื ว่าเปน็ “พ้ืนที่สว่ นตวั ” ทเ่ี ราจะไม่ให้ใคร สมั ผสั และไม่ไปสมั ผสั คนอน่ื
2. แบง่ กลุม่ ยอ่ ยแยกเพศ กลมุ่ ละ 4-5 คน ให้ระดมสมองตามโจทย์ ดงั นี้ • กลมุ่ หญงิ - อวยั วะทีเ่ ปน็ \"พ้นื ที่ส่วนตวั \" ของผู้หญงิ มีอะไรบ้าง • กลุ่มชาย - อวัยวะที่เปน็ “พ้ืนท่ีส่วนตัว” ของผชู้ ายมีอะไรบ้าง 3. ขอฟงั คําตอบจากนักเรยี นและครูสรปุ โดยอาจเพ่มิ เติมและขยายความใหเ้ หน็ ว่า • “พน้ื ทีส่ ว่ นตัว” มักจะอยู่ในท่ีปกปดิ หรือมเี สอื้ ผา้ ปกปดิ เสมอ • พนื้ ที่ส่วนตัวของผู้หญงิ คือ อวยั วะเพศหญงิ หนา้ อก กน้ • พืน้ ที่ส่วนตัวของผูช้ าย คอื อวัยวะเพศชาย ก้น • นอกจากนั้น ปาก ก็ถอื วา่ เป็นพ้ืนทส่ี ว่ นตัวเชน่ กัน 4. ถามนกั เรียนว่า • คนอน่ื ไมม่ สี ทิ ธมิ าสมั ผสั พนื้ ที่สว่ นตวั ของเรา ถ้าเราไม่อนุญาต นกั เรยี นคดิ ว่ามขี ้อยกเว้น หรือไม่ (รอฟังคําตอบ 3-4 คน) • หากมีคนมาขอจบั “พืน้ ท่สี ่วนตวั ” หรอื ขอให้นักเรียนไปจับ “พืน้ ท่ีสว่ นตวั ” ของคน ๆ นนั้ นักเรยี นจะทาํ อย่างไร (รอฟังคาํ ตอบ 3-4 คน) 5. ครูสรปุ ประเด็นสําคญั ดังนี้ • พืน้ ทสี่ ว่ นตวั ท่ีเราเรียนร้วู ันนีเ้ พือ่ ให้เรารวู้ า่ เป็นสว่ นร่างกายท่เี ราจะไม่ใหใ้ ครสมั ผสั และจะไม่ ไปสัมผสั คนอนื่ แมว้ า่ จะมกี ารขอให้สมั ผสั ก็ตาม • หากมคี นมาจบั หรือสัมผสั โดยเราไม่อนญุ าตหรือมีคนบอกให้เราไป สมั ผัส/จับพ้นื ทส่ี ่วนตัว ของเขา ให้นักเรยี นบอกคนทท่ี ําวา่ เราไมช่ อบ และให้รีบเดินหนไี ปและใหบ้ อกพ่อแม/่ ครู หรอื ผใู้ หญท่ เี่ ราไว้ใจ ให้ทราบทันที • การสมั ผสั พนื้ ทสี่ ่วนตัวมขี ้อยกเว้น กรณีท่ตี ้องเข้ารับการตรวจรักษาหากมอี าการผิดปกติที่ อวัยวะสว่ นน้ัน ๆ ซ่งึ คนทจ่ี ะสมั ผสั ได้ คอื หมอ หรอื พยาบาลที่ทําการรักษาเทา่ นน้ั ชวั่ โมงที่ 2 : (วัตถุประสงคท์ ่ี 2 และ 3) 1. ครทู วนเรือ่ งพนื้ ที่สว่ นตัวจากคาบเรียนท่แี ลว้ 2. แจกแผน่ กจิ กรรม “ใครทาํ แบบนก้ี บั เราได้บ้าง” ให้ทุกคน อธบิ ายว่า ให้นกั เรยี นเขยี นใตภ้ าพ เหลา่ นนั้ วา่ ใครท่เี ราอนุญาตให้ทาํ แบบนน้ั กับเราไดบ้ ้าง เชน่ พอ่ แม่ หรอื หากเปน็ คนอืน่ ๆ ให้ระบุช่อื ใหเ้ วลา ทํา 7 นาที 3. เมอ่ื ทําเสรจ็ แลว้ ขออาสาสมคั รในแตล่ ะเรือ่ ง บอกว่าเราให้ใครทาํ แบบนน้ั ได้บ้าง 4. ครูอธิบายเพ่ิมเติมวา่ พฤติกรรมเหลา่ น้ี จงู มือ ลูบหวั โอบไหล่ กอด หอมแก้ม อาจใหค้ วามรสู้ ึกท่ดี ี หากเป็นคนทเี่ รารักทาํ กับเราแตไ่ มไ่ ด้แปลวา่ เราอนุญาตให้ทกุ คนทําได้ เพราะเราอาจร้สู ึกไมด่ ี ไม่ชอบ เวลามี บางคนมากอดเรา เช่น คนทเี่ ราไมร่ จู้ กั คนทเี่ ราไมอ่ ยากใหก้ อด เปน็ ตน้ ดังน้ัน หากเรารสู้ กึ ไมด่ ีหรอื ไมช่ อบ ให้บอกว่า “หนูไม่ชอบ” หรอื ใหบ้ อกพ่อแม่ ครูหรือผ้ใู หญท่ ีเ่ ราไว้ใจ นอกจากนัน้ หากมีการสัมผัสรา่ งกายท่ที าํ ให้เรารสู้ กึ ไมช่ อบ อดึ อัด ถอื ว่าเป็นสัมผัสทไี่ ม่ดี เพราะเราเป็นเจา้ ของร่างกายสมั ผสั ทีไ่ มด่ ี เชน่
o เป็นสมั ผสั ทไ่ี ม่ดี ถ้ามีคนมาจบั สว่ นทเ่ี ราไม่อยากให้จับ o เปน็ สัมผสั ทไ่ี ม่ดี ถ้ามีคนมาจบั สว่ นทอ่ี ยู่ภายใต้เสื้อผ้าเรา/พ้นื ท่ี ส่วนตัว (จู๋ จิม๋ ก้น) o เป็นสมั ผสั ทไ่ี มด่ ี ถา้ มคี นมาจับรา่ งกายเราและทําให้เรารู้สกึ อึดอัด ไมส่ ะดวกใจ กลัว สบั สน o เป็นสัมผสั ทไ่ี ม่ดี ถ้ามคี นมาบงั คับใหเ้ ราไปจับร่างกายของเขา o เป็นสมั ผสั ทไี่ มด่ ี ถ้ามคี นมาจับร่างกายเรา หรอื ให้เราจบั แล้วบอก วา่ อย่าไปบอกใคร 5. ครูย้าํ ว่าหากมเี หตกุ ารณท์ ที่ าํ ให้เรารู้สกึ ไม่ดี เราควรบอกผ้ใู หญท่ ่เี ราไวใ้ จ เพื่อให้ทุกคนได้สํารวจวา่ เรามีผใู้ หญ่คนไหนบา้ งทเ่ี ราสามารถพูดคุยปรกึ ษาดว้ ย ได้ ขอให้ทกุ คนสาํ รวจและตอบคาํ ถามในแผน่ กจิ กรรม “ผู้ใหญร่ อบตัวทฉี่ นั ไว้ใจ” แจกใหน้ กั เรยี นทกุ คนทาํ 6. เมอื่ ทกุ คนทาํ เสร็จแลว้ ครถู ามย้ําว่าทกุ คนมีผ้ใู หญท่ เ่ี ราสามารถคุยดว้ ยได้หรอื ไมแ่ ละสรปุ ว่าหาก เราถกู กระทาํ หรอื รสู้ กึ ไม่ดี เมอื่ มคี นมาสมั ผสั ร่างกายหรือรังแก เชน่ ถูกตี ถูกเตะ ถกู ดงึ ผม ถูกแกลง้ ผลกั ใหล้ ้ม ถูกแอบเปดิ กระโปรง ถูกจบั ก้น ให้บอกคนทท่ี ําว่าเราไม่ชอบและให้บอกพอ่ แม/่ ครู หรอื ผู้ใหญ่ท่เี ราไว้ใจ นอกจากน้นั หากเราเหน็ มีคนถูกแกล้ง เช่น คนตัวโตกวา่ แกลง้ นอ้ งที่เลก็ กว่าหรือหลายคนรมุ แกลง้ อีกคนให้ บอกครูหรอื ผู้ใหญท่ ีอ่ ยู่ใกล้ ๆ 7. ขอให้นกั เรยี นส่งแผน่ “ผู้ใหญร่ อบตวั ทฉ่ี นั ไว้ใจ”
แผน กิจกรรม เราอนุญาตใหใ ครทําแบบน้ีกบั เราไดบ า ง ? ลูบหวั จงู มอื .......................... .......................... โอบไหล หอมแกม .......................... .......................... กอด ..........................
ผใู หญร อบตวั ที่ฉนั ไวใ จ ใหน้ ักเรียนเขยี นช่อื ของ “ผู้ใหญ”่ รอบ ๆ ตวั (ผูใ้ หญใ่ นครอบครวั , ญาติ, เพ่ือนบ้าน, ผู้ใหญท่ ี่โรงเรียน หรือในชมุ ชน) ท่ีเราไวใ้ จและสามารถคยุ ดว้ ยไดใ้ นเรือ่ งความกังวลใจเร่ืองเพ่อื นๆ เรอื่ งปญั หาต่าง ๆ ทเ่ี รามี และสามารถชว่ ยเราได้ โรงเรยี น ญาติ ครอบครวั ฉนั ชอื่ ............... หากมีปญั หาหรอื ร้สู ึกอยากพูดคุย ปรกึ ษาเรื่องตา่ ง ๆ คนท่ฉี ันรสู้ กึ อยากคุยด้วยมาก ที่สุด 2 คน คอื 1) ......................................................................................................................................................... 2) .........................................................................................................................................................
แผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรทู ี่ 12 “ฉลาดใชอ นิ เทอรเ น็ต”
แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรูที่ 12 ฉลาดใชอ นิ เทอรเ น็ต สาระสาํ คญั ในปัจจบุ นั อนิ เทอร์เน็ตและสอ่ื ออนไลน์มบี ทบาทตอ่ คนทุกวัย ไม่วา่ จะเป็นการใช้อินเทอรเ์ น็ตจาก โทรศพั ท์มอื ถอื คอมพิวเตอร์ หรอื แทบ็ เล็ตในดา้ นบวก อนิ เทอรเ์ น็ต/สอ่ื ออนไลนม์ ีบทบาทสาํ คญั ต่อการเรยี นรู้ และการเตบิ โตของเด็ก ในขณะเดยี วกันการทอ่ งโลกออนไลน์กอ็ าจมีความเสีย่ งและอันตรายทเี่ ดก็ ๆ พึงเรยี นรู้ และเท่าทัน รวมทัง้ รู้วธิ ที จี่ ะใช้อนิ เทอรเ์ นต็ /สือ่ ออนไลน์อยา่ งปลอดภยั วัตถุประสงคการเรยี นรู 1) เพ่ือใหน้ กั เรยี นบอกขอ้ ดแี ละขอ้ เสยี ของอินเทอร์เน็ต/สือ่ ออนไลนท์ ีม่ ีตอ่ การใชช้ วี ิตได้ 2) เพ่อื ให้นักเรยี นระบุอนั ตรายทีอ่ าจเกดิ ขน้ึ กับเด็ก/วยั รนุ่ จากการใช้อนิ เทอร์เนต็ /ส่อื ออนไลน์ 2 เรอื่ ง 3) เพอ่ื ใหน้ ักเรยี นบอกวิธีการใชอ้ ินเทอร์เนต็ /ส่ือออนไลนอ์ ย่างปลอดภัย 2 เรือ่ ง แผนการเรียนรนู้ ้ี ม่งุ สรา้ งเสรมิ คุณลักษณะและทกั ษะสาํ คัญ ดังนี้ Core Values Core Skills • การรแู้ ละเคารพสทิ ธิ • การเท่าทันสอื่ • เสรีภาพในการเลือก • การสืบค้นขอ้ มลู • ความรบั ผดิ ชอบ • การคิด วิเคราะห์ แยกแยะ • ความปลอดภยั • การส่ือสาร อุปกรณแ ละสือ่ • กระดาษ A4 ตัดเป็น 8 ส่วน สาํ หรบั นกั เรยี นแตล่ ะคนๆ ละ 2 แผ่น • เตรียมบตั รคาํ ขอ้ ด/ี ข้อเสยี ของอนิ เทอรเ์ น็ต บตั รละ 1 คาํ เพื่อใชอ้ ธิบาย เพ่ิมเติม
ใชก้ ระดาษน้อยลง, สามารถติดตอ่ กับคนได้ทวั่ โลก, ค้นหาข้อมลู ไดง้ ่ายและ รวดเรว็ , มีผลต่อสายตา, การกล่ันแกล้ง หลอกลวง, สง่ ผลตอ่ การเรียน, มีเพือ่ นใหม่ ทางอนิ เตอร์เน็ต, ดหู นงั ฟังเพลง, มีเกมหลากหลาย, ซือ้ ของออนไลน์, มคี ่าใช้จา่ ยเพ่มิ ฯลฯ • คลปิ “การใชอ้ ินเทอรเ์ นต็ อยา่ งปลอดภัย” (2.31 นาที) https://www.youtube.com/watch?v=UbdZ8iw5_Ts ประเมนิ ผลการเรียนรู 1. นกั เรียนสามารถอธิบายข้อดีและข้อเสียของการใชอ้ นิ เทอรเ์ น็ต 2. นักเรียนสะทอ้ นความคดิ เห็นของตนเองต่อการใชอ้ ินเทอร์เนต็ 3. นกั เรยี นระบุวิธีที่จะทาํ ให้ตวั เองใชอ้ ินเทอรเ์ นต็ อยา่ งปลอดภยั ข้นั ตอนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู ชว่ั โมงที่ 1-2 1. ครถู ามประสบการณ์นกั เรยี นในเร่ืองการใชอ้ ินเทอร์เน็ต/สือ่ ออนไลน์ว่า (5 นาท)ี • ใครไมเ่ คยใชอ้ นิ เทอร์เนต็ หรอื ส่ือออนไลนเ์ ลยบ้าง • นกั เรยี นใช้อนิ เทอรเ์ น็ตจากอะไร (โทรศพั ท,์ คอมพิวเตอร์ที่บา้ นโรงเรียน ร้านคอมฯ ฯลฯ) • สว่ นใหญน่ ักเรยี นใช้อนิ เทอร์เนต็ ทําอะไรบ้าง 2. แจกกระดาษขนาด A4 ตัด 8 สว่ นใหน้ ักเรยี น คนละ 2 แผ่น และอธิบายว่า (10 นาที) • ใหน้ กั เรียนเขยี นข้อดีและข้อเสียของอนิ เทอร์เน็ตและส่ือออนไลนอ์ ยา่ งละ 1 ข้อลงบน กระดาษ • ให้เวลา 5 นาทใี นการเขียนกระดาษ และนําไปติดบนกระดาน (ครูเขยี น “ข้อดี” และ “ขอ้ เสยี ” ตดิ ไวบ้ นกระดาน) 3. เมอ่ื ทุกคนตดิ กระดาษเสร็จแล้ว ครขู ออาสาสมัคร 2 คน อ่านข้อดี และขอ้ เสียบนกระดาน • หากมีข้อไหนท่ีไมช่ ัดเจน หรอื นา่ สนใจ ใหช้ วนนกั เรียนคุย และยกตัวอย่างเพิ่มเติม • เมือ่ อา่ นครบทั้งหมดแลว้ ครชู วนดูเพม่ิ เติมโดยใชบ้ ตั รคาํ “ข้อด/ี ข้อเสยี ” ของอินเตอรเ์ นต็ / สื่อออนไลน์ทเ่ี ตรยี มไว้ โดยถามนกั เรียนวา่ เปน็ ข้อดหี รือขอ้ เสีย (เลือกท่ไี ม่ซาํ้ คําตอบของนักเรยี น) ใชก้ ระดาษนอ้ ยลง, สามารถติดต่อกบั คนได้ทัว่ โลก, ค้นหาขอ้ มลู ไดง้ า่ ยและรวดเรว็ , มีผลตอ่ สายตา, การกลนั่ แกลง้ หลอกลวง, ส่งผลต่อการเรยี น, มเี พอ่ื นใหม่ทางอนิ เทอร์เนต็ , ดหู นงั -ฟังเพลง, มีเกมหลากหลาย, ซอ้ื ของออนไลน,์ มคี ่าใช้จ่ายเพิ่ม ฯลฯ
• ครสู รปุ ให้เหน็ วา่ อนิ เทอรเ์ น็ตและสอ่ื ออนไลน์มีขอ้ ดหี ลายอยา่ ง แต่ในขณะเดียวกันก็อาจเปน็ อนั ตรายไดห้ ากเราใช้อย่างไม่เทา่ ทนั เช่น การแชทออนไลนเ์ ป็นเรื่องสนกุ แตเ่ ราแนใ่ จหรอื ไมว่ ่าเราร้จู กั คนทเี่ ราแชทดว้ ย เปน็ ตน้ 4. เปดิ คลปิ เรอ่ื ง “การใช้อนิ เทอรเ์ นต็ อยา่ งปลอดภยั ” (2.31 นาท)ี บอกใหน้ ักเรียนดูอยา่ งต้งั ใจ เพ่ือดวู า่ มเี รือ่ งอะไรบ้างที่เราควรร้เู พ่ือใชอ้ ินเทอร์เน็ตไดอ้ ย่างปลอดภัย (5 นาที) 5. เม่ือดคู ลปิ จบแล้ว ครูถามว่า สง่ิ ทีเ่ ราตอ้ งระวงั และวธิ ีใชอ้ นิ เทอร์เนต็ อย่างปลอดภัยมอี ะไรบ้าง ใหน้ ักเรียนช่วยกนั ตอบ คนละ 1 ขอ้ (20-25 นาท)ี • ครูอธิบาย/เสริมความสําคญั ของแต่ละขอ้ เพม่ิ เติม และเพ่ิมข้อทน่ี ักเรยี นอาจจาํ ไม่ได้ o การไม่บอก/ไมใ่ ช้รหสั ส่วนตัวของตนเองกบั ผอู้ ่ืน (วิธกี ารตง้ั รหสั สว่ นตัว, การไม่ให้เคร่ืองสาธารณะ บันทึกรหัสสว่ นตวั อตั โนมตั ิ, การใช้คอมพิวเตอร์สาธารณะควรลงชือ่ ออก (log out) จากโปรแกรมทุกคร้งั หากมีการลงชือ่ เขา้ (log in) และใสร่ หสั ผ่าน (password)รวมทงั้ ปิดโปรแกรมนัน้ ๆ เมอ่ื ใชเ้ สรจ็ ) o การไมใ่ ห้/เปิดเผยข้อมูลสว่ นตวั เชน่ ช่อื /นามสกลุ จริง วันเดอื นปเี กิด ทีอ่ ยู่ เบอรโ์ ทรศัพท์ ชอ่ื โรงเรยี น ภาพถา่ ย เป็นต้น เพราะอาจมคี นนําไปใชใ้ นทางทไ่ี มด่ ี หากมโี ปรแกรมทขี่ อข้อมูลสว่ นตวั เหล่าน้ี ควรปรึกษาพ่อแม่หรือผใู้ หญก่ ่อน o ไม่นดั พบคนทร่ี ้จู กั บนอินเทอรเ์ นต็ หรอื ออนไลน์ o ต้องระวังในการดาวน์โหลด (download) ข้อมลู ต่างๆ จากอินเทอรเ์ น็ต เพราะอาจตดิ ไวรสั ที่มาทําลายข้อมูลในคอมพวิ เตอร์ไดห้ รอื ทาํ ใหเ้ ข้าถึงข้อมลู ต่างๆ ของเรา o ระวงั การเปิดอเี มล (email) ท่ไี มร่ ้จู ัก ทสี่ ว่ นใหญ่เปน็ อีเมลขยะ หรอื การหลอกลวงขายของ ทีส่ ง่ ต่อ ๆ กันมา หรอื ภาพทไี่ มเ่ หมาะสมและไม่ควรสง่ ตอ่ อเี มล (email) เหลา่ น้ีให้กบั คนอ่นื ๆ o ไม่ใชอ้ ินเทอร์เนต็ หรอื สอื่ ออนไลนร์ บกวน หรอื ก่อกวนคนอื่น o ไมเ่ อาข้อมลู ของคนอื่นมาใช้ หรอื มาดดั แปลง o ไม่ส่งต่อภาพที่ไมเ่ หมาะสม หรือภาพทเ่ี ปน็ การละเมิดผอู้ น่ื o ไม่ดว่ นเช่ือข้อมูลตา่ งๆ ในอนิ เทอรเ์ นต็ ควรตรวจสอบแหลง่ ขอ้ มลู ใหแ้ นช่ ดั ว่าเปน็ แหลง่ ขอ้ มูล ท่เี ชอื่ ถือได้ o ฯลฯ (เรอ่ื งอืน่ ๆ ท่ีหากพบวา่ เปน็ ปัญหาการใชอ้ ินเทอร์เนต็ ของนักเรียน)
แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรทู ่ี 13 “รสนิยมที่แตกตา ง”
แผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรูท่ี 13 รสนยิ มท่ีแตกตาง สาระสาํ คัญ ความร้สู กึ ชอบหรือรักทม่ี ีต่อสงิ่ ต่างๆ หรอื ต่อบคุ คลเปน็ เรอ่ื งยากอธบิ าย และความชอบหรอื ความรกั ของแตล่ ะคนอาจแตกตา่ งกัน เช่นเดยี วกับรสนิยมทางเพศเมือ่ เติบโตเขา้ สู่วัยรุ่น มนุษยจ์ ะเรมิ่ มีความรสู้ กึ รกั ใคร่ ชอบพอ และรสู้ ึกดงึ ดดู ใจทางเพศต่อบคุ คลอื่นทอ่ี าจเปน็ เพศเดียวกันหรือต่างเพศ ซ่ึงเปน็ เรื่องปกติ แตส่ ังคม บางสว่ นยงั ยึดถือการแบง่ เพศตามสรรี ะ และไมใ่ หก้ ารยอมรับคนทม่ี ีรสนิยมทางเพศทีแ่ ตกต่างการเคารพความ แตกตา่ งหลากหลายของบุคคล และไม่ใชค้ วามเป็นเพศมาตัดสนิ จงึ เปน็ เรื่องสําคัญท่ตี ้องเรยี นรู้ วัตถปุ ระสงคก ารเรียนรู 1) เพ่ือใหน้ ักเรยี นตระหนกั วา่ แตล่ ะคนอาจมคี วามชอบหรือความรกั ต่อสงิ่ ตา่ งๆ ต่างกนั และความ รู้สึกชอบ/รักเปน็ เรอื่ งส่วนบุคคล 2) เพือ่ ใหน้ ักเรยี นอธิบายรสนยิ มทางเพศไดว้ ่า เปน็ ความร้สู ึกพเิ ศษที่มีต่อบุคคลตา่ งเพศหรอื เพศ เดียวกนั และเป็นเพียงด้านหนึ่งของคนๆ น้ันเทา่ นนั้ 3) เพ่ือให้นักเรยี นบอกวธิ ีปฏิบตั ิตอ่ กันของคนที่ชอบกนั หรอื รักกนั ไมว่ า่ จะมีรสนยิ มทางเพศแบบใด แผนการเรยี นร้นู ้ี มงุ่ สรา้ งเสริมคุณลักษณะและทักษะสาํ คญั ดงั น้ี Core Values Core Skills • การรกั เคารพ และเหน็ คณุ คา่ ในตนเอง • การรู้จักตนเอง • การเคารพความแตกตา่ ง • การปรับตวั • การร้แู ละเคารพสทิ ธิ • การสื่อสารและยืนยันความรู้สึกตนเอง • ความม่ันใจในตนเอง • การเขา้ ใจคนอ่ืน • เสรภี าพในการเลอื ก • ความรับผิดชอบ • ความเท่าเทยี ม
อุปกรณแ ละสือ่ • ภาพคนรักกนั /แตง่ งานกัน (หญงิ -ชาย, ชาย-ชาย, หญิง-หญงิ หลากหลายวยั ) • กระดาษ A4 เท่าจาํ นวนนกั เรียน หรือใหน้ กั เรียนใชส้ มุด (ถ้ามี) ประเมินผลการเรียนรู 1. สังเกตความสนใจและการมสี ว่ นร่วมในการทํากิจกรรม 2. สังเกตการตอบคําถามและการใหเ้ หตผุ ล ข้นั ตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู 1. ครูบอกนักเรยี นวา่ วนั นเ้ี ราจะคยุ กนั เรือ่ ง “ความรู้สกึ พเิ ศษ” และถามนกั เรียนว่า • ใครอยากอธบิ ายว่าความรู้สกึ พเิ ศษเป็นอยา่ งไร • ใครมคี วามรสู้ กึ พเิ ศษแล้วบา้ ง เปน็ อยา่ งไร 2. ครูเขียนตารางบนกระดานและอธิบายให้นักเรียนแตล่ ะคนเขยี นลงบนสมดุ หรอื กระดาษ A4 1) สิง่ ของ/สถานท/่ี กจิ กรรม 2) คน รกั ชอบ รกั ชอบ 3. รอบที่ 1 - บอกนักเรยี นว่า ในเวลา 2 นาที ในแผน่ (1) ให้นกั เรียน • เขียนสิง่ ทีน่ กั เรยี น “ชอบ” ในช่องชอบ เช่น ส่งิ ของ สถานที่ กิจกรรม ฯลฯ ให้ไดม้ ากท่สี ดุ และอย่างนอ้ ยตอ้ งได้ 5 อย่าง จบั เวลา 2 นาที • เมือ่ หมดเวลาบอกนกั เรยี นวา่ ในอกี 2 นาที ให้นกั เรยี นเขียนส่งิ ท่ีนกั เรยี น “รกั ” ในช่องรัก และตอ้ งเป็นสิง่ ของเท่านน้ั เช่นกนั ไม่ใช่คน 4. เม่ือหมดเวลา ขออาสาสมัคร 5-7 คนใหบ้ อกสิ่งทตี่ ัวเองชอบคนละ 1 อย่าง และอกี 5-7 คนบอกสิ่ง ทตี่ วั เองรักคนละ 1 อย่าง และครเู ขียนคาํ ตอบบนกระดาน • กอ่ นฟงั คําตอบจากอาสาสมัคร ครยู ้ําวา่ เรอ่ื งชอบอะไร รกั อะไรเป็นเรอื่ งของแตล่ ะคน ไมจ่ ําเป็นต้องเหมอื นกัน ส่งิ ทเี่ พื่อนชอบ หรอื รักอาจเป็นสง่ิ ทเี่ ราไม่ชอบ ไม่รกั กไ็ ด้ ซง่ึ ไมใ่ ชเ่ รอื่ งแปลกและเรา ไม่ควรตัดสินหรอื ลอ้ เลยี นคนทช่ี อบหรอื รกั ในสิง่ ทต่ี า่ งจากเรา 5. เมือ่ ระดมได้จาํ นวนหนง่ึ แล้ว ชวนนกั เรยี นอภปิ ราย ดังนี้ • เมอื่ ดูสิง่ ทีเ่ ราชอบ และสงิ่ ที่เรารกั แลว้ พวกเราสงั เกตเห็นอะไรบา้ ง (คาํ ตอบอาจเปน็ คลา้ ยๆ กนั , ตา่ งกัน ในเรอ่ื งเดียวกัน บางคนชอบ บางคนรัก ฯลฯ)
• เราเหน็ ความเหมือน ความต่างของสิง่ ทชี่ อบ และสงิ่ ทร่ี กั อย่างไรบ้าง • เป็นเร่อื งยากหรืองา่ ย ที่จะบอกถงึ สงิ่ ทเ่ี รา “ชอบ” และสิง่ ท่ีเรา “รกั ” เพราะเหตุใด • เราแยกสิ่งที่ “ชอบ” กับส่ิงที่ “รัก” อยา่ งไร (ครจู ดคําตอบสําคญั เชน่ เร่อื งความถี่ในการทําบางอย่าง เช่น ถา้ รกั จะทําบ่อยกวา่ , ระยะเวลาทใ่ี ชก้ ับสง่ิ น้นั , ความผกู พันกับสิ่งนัน้ ๆ เชน่ เปน็ ของทคี่ นทีร่ ักให,้ สง่ิ ทท่ี ําไดด้ ี เป็นตน้ ) 6. รอบ 2 - ในแผ่น (2) ใหน้ กั เรยี นนกึ ถึง “คน” ทเ่ี รารูจ้ กั จรงิ ๆ ให้นกั เรียนเขียนว่า คนที่เราชอบ และคนทเี่ รารกั มีใครบ้าง ใหเ้ วลา 2 นาที • อาจมคี ําถามวา่ ในกรณคี นเดยี วกันเราชอบด้วยรักด้วยใหเ้ ขยี นไว้ทั้ง 2 ดา้ น 7. เมื่อครบ 2 นาที ครูชวนคุยว่า เรารู้ไดอ้ ย่างไรวา่ เราชอบคนนี้ หรอื เรารกั คนนัน้ • รอฟงั ความเหน็ จากนักเรียนจํานวนหน่งึ กอ่ นอธบิ ายเสรมิ ว่า การทีเ่ ราชอบหรือรกั ใครเปน็ ความรสู้ กึ ท่เี กดิ ข้ึน และอธบิ ายยาก 8. ครสู รุปใหเ้ หน็ ว่า จากทเี่ ราลองคดิ ถงึ สิง่ ท่ีเราชอบและรัก ไมว่ า่ จะเปน็ ส่ิงของ สถานที่ กิจกรรมต่างๆ หรือคน เราจะสังเกตเหน็ วา่ • สงิ่ ทเี่ ราแตล่ ะคนชอบ หรอื รักอาจแตกตา่ งกนั และไมจ่ ําเปน็ ต้องเหมือนกนั ส่งิ ทเ่ี พื่อนชอบ หรอื รกั อาจเปน็ สิง่ ท่เี ราไมช่ อบ ไม่รักกไ็ ด้ซึ่งไมใ่ ชเ่ รอื่ งแปลก • การท่เี ราแตล่ ะคนชอบในเร่ืองตา่ งๆ แตกต่างกนั ไป เราเรยี กวา่ “รสนิยมสว่ นบุคคล” ซ่งึ เปน็ เรือ่ งเฉพาะคน ไม่ใชเ่ รอื่ งถกู /ผดิ ด/ี ไม่ดี เช่น เราชอบสแี ดง เพ่อื นชอบสเี ขียว เราชอบกินขา้ ว เพื่อนชอบกินก๋วยเตี๋ยว ไมม่ ีใครผิดหรือถกู เราเพยี งแตช่ อบในสงิ่ ทไ่ี มเ่ หมือนกัน • เราจึงไมค่ วรตัดสนิ หรอื ล้อเลียนคนท่ีชอบหรือรกั ในสง่ิ ทต่ี ่างจากเราหรือไปบังคับให้คนอื่น มาชอบเหมอื นเรา • ความรู้สึกชอบหรือรักอาจเปลยี่ นได้ เชน่ เราอาจจะเคยไม่ชอบคนนีห้ รือกิจกรรมนี้ แตเ่ ม่อื เรารจู้ กั หรือใช้เวลาด้วยมากข้ึน เราอาจเปล่ยี นมารู้สึกชอบได้ และเราไมส่ ามารถบงั คบั หรอื สั่งให้ตวั เองชอบ หรอื รกั ใครหรอื อะไรได้ 9. ครนู ําเสนอภาพครู่ ักเพศต่างๆ ให้นักเรยี นดู และถามนกั เรียนวา่ • นักเรียนเคยเหน็ หรอื เคยได้ยินไหมวา่ คนที่รักกนั เป็นแฟนกัน หรอื แตง่ งานกัน อาจเปน็ คนต่างเพศ (ชาย-หญิง) หรือ เพศเดยี วกันกไ็ ด้(ชาย-ชาย หรือหญงิ -หญิง) • นกั เรยี นรู้สกึ อย่างไรกบั คนรักกันทเ่ี ปน็ เพศเดยี วกนั รอฟังคําตอบ 3-4 คน 10. จากน้นั ครตู ิดกระดาษชารท์ ทม่ี ภี าพครู่ กั 6 คู่ รอบๆ หอ้ ง และอธิบายวา่ ครูจะแบง่ กลมุ่ นักเรียน เปน็ 6 กลมุ่ และให้แต่ละกลมุ่ ช่วยกนั บอกว่า ค่รู ักแต่ละคจู่ ะแสดงออก หรอื ปฏบิ ตั ิต่อกันอยา่ งไรบา้ ง ให้เขียน ลงบนกระดาษชารท์ (ให้เวลา 7 นาท)ี o กลุ่ม 1-2 ครู่ กั หญิง-หญงิ วัยรุ่น / วัยผูใ้ หญ่ o กล่มุ 3-4 ครู่ กั ชาย-ชาย วยั รุน่ / วัยผใู้ หญ่ o กล่มุ 5-6 ครู่ กั ชาย-หญิง วยั รุ่น / วยั ผูใ้ หญ่
11. จากนนั้ ให้แตล่ ะกล่มุ บอกสิ่งที่คู่รกั ในภาพของตนจะแสดงออกตอ่ กนั กลุ่มละ 1 ขอ้ เมื่อกลมุ่ บอก ใหค้ รูถามอีก 5 กล่มุ วา่ มกี ารแสดงออกแบบเดยี วกนั หรอื ไม่ ถ้ามใี ห้ขีดออก กอ่ นจะวนไปกลมุ่ ถดั ไป ใหบ้ อก การแสดงออกที่ตา่ งออกไปและครูถามความเหน็ กลุ่มอื่น จนกว่าจะหมดคําตอบที่แต่ละกลุ่มมี 12. ครถู ามคําถามชวนคดิ และชวนนักเรียนสรุปการเรียนรู้ ดังนี้ • นักเรียนคดิ วา่ คนรักกัน ไมว่ า่ เพศเดยี วกัน หรือตา่ งเพศแสดงออก หรอื อยากปฏิบัตติ ่อกนั เหมือนหรอื ต่างกนั อย่างไร ครเู สรมิ จากคาํ ตอบวา่ • คนท่ีรู้สึกรัก รสู้ ึกดีๆ ตอ่ กนั ลว้ นอยากปฏิบตั ิ หรือได้รับการปฏบิ ตั ทิ ีด่ ีต่อกันเหมือนกันไม่ว่า คนค่นู ้ันจะเปน็ เพศอะไร หรืออย่ใู นวยั ไหน • สิง่ ทแ่ี สดงถงึ ความรกั หรอื ความรสู้ ึกพเิ ศษที่มีต่อกัน คือ (ยกตวั อยา่ งจากคาํ ตอบนกั เรยี น และอาจเพ่มิ เติม) การใส่ใจหรอื แคร์ความรสู้ กึ ของอีกฝ่าย การรับฟงั การเคารพความรูส้ ึกหรอื ความเห็นของ อกี ฝา่ ยการไมเ่ อาเปรียบ หรอื บังคบั ความรูส้ กึ กนั เปน็ ต้น • ดังนน้ั แล้ว ความเปน็ เพศ จงึ ไม่ไดเ้ ปน็ ข้อจํากัดในการทีเ่ รารสู้ กึ ชอบ/รักคนอีกคนหนึ่ง และเป็นรสนิยมสว่ นบุคคล เหมอื นท่ีเราชอบสงิ่ ต่างๆ ไมเ่ หมอื นกนั และไม่ใชเ่ รอื่ งผิดปกติ • ความรกั หรอื รสู้ กึ พิเศษกบั คนพิเศษ กเ็ ปน็ รสนยิ มสว่ นบุคคล เราเรยี กวา่ “รสนยิ มทาง เพศ” บางคนชอบกนิ หวาน บางคนชอบกินเคม็ บางคนชอบกนิ เผด็ รสนยิ มทางเพศก็เชน่ กนั บางคนชอบคน ตา่ งเพศ (หญงิ ชอบชาย ชายชอบหญิง) บางคนชอบคนเพศเดยี วกัน บางคนชอบทัง้ สองเพศ • รสนยิ มทางเพศเป็นเรื่องแต่ละบคุ คล ไมส่ ามารถใชว้ ัดความเป็นคนดหี รือไมด่ ี การยอมรบั ตวั ตนทางเพศของแตล่ ะคนเปน็ พ้ืนฐานสําคญั อีกประการหนึ่งที่จะช่วยให้ทกุ คนอยรู่ ่วมกันในสังคมได้อย่างมี ความสขุ
แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรทู ่ี 14 “เอชไอวี อยรู วมกันได”
แผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรูที่ 14 เอชไอวี อยูรวมกันได สาระสําคญั การใช้ชีวติ ร่วมกบั ผตู้ ดิ เชอ้ื เอชไอวี เชน่ การกินขา้ ว การเลน่ กฬี า การจบั มือ ฯลฯ ไมส่ ามารถติดเชือ้ ได้ แตส่ ังคมยงั มีการตีตรา รังเกียจ และเลอื กปฏิบตั ติ อ่ ผูต้ ิดเชื้อ การทําใหน้ ักเรยี นเข้าใจช่องทางการติดตอ่ และ รับรถู้ งึ ความรสู้ ึกของผู้ติดเช้อื ท่ีถกู เลอื กปฏิบัติ จะชว่ ยให้นักเรียนเขา้ ใจและสามารถยอมรับการอยรู่ ่วมกนั ได้ วัตถุประสงคการเรียนรู 1) เพอ่ื ใหน้ ักเรยี นรบั ฟงั ความร้สู กึ และความคิดเห็นที่หลากหลายตอ่ คนที่มเี ชื้อเอชไอวี 2) เพ่ือใหน้ กั เรยี นอธบิ ายได้ว่าเอชไอวีไมส่ ามารถตดิ ต่อได้ทางใดบา้ ง 3) เพื่อให้นกั เรยี นบอกสง่ิ ทค่ี วรปฏิบตั ติ ่อผ้ตู ิดเชื้อเอชไอวี แผนการเรียนรนู้ ้ี มงุ่ สรา้ งเสริมคุณลักษณะและทักษะสาํ คญั ดังนี้ Core Values Core Skills • การเคารพความแตกตา่ ง • การวิเคราะห์ แยกแยะ • การรแู้ ละเคารพสทิ ธิ • การคดิ ตอ่ ยอด • การเห็นอกเห็นใจ เข้าใจคนอ่นื • การรับฟงั ความคิดเห็น/ความรู้สึก • ความปลอดภยั • การแก้ปัญหา • ความเท่าเทียม อปุ กรณแ ละสือ่ • เตรียมภาพประกอบการอธิบายเร่ือง HIV/AIDS • เขยี นเรือ่ งของเกง่ และคําถาม 3 ข้อเตรยี มไวบ้ นชารท์ • เขยี นคําตอบ 4 ขอ้ ของแตล่ ะคําถามบนกระดาษ A4 (แยกสลี ะขอ้ เพอื่ งา่ ยตอ่ การใช)้ เพอื่ ใช้ ติดรอบๆ หอ้ ง
ประเมนิ ผลการเรียนรู 1. สงั เกตความสนใจและการมสี ่วนร่วมในการทาํ กิจกรรม 2. สังเกตการแสดงเหตผุ ลในการตอบคําถามหรอื แสดงความคิดเห็น ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู 1. ถามนกั เรียนวา่ • ใครเคยไดย้ นิ เรือ่ งเอดสบ์ ้าง ขออาสาสมัครเล่าว่า ได้ยินเรอ่ื งอะไรมาบา้ งเกี่ยวกับเอดส์ • ใครเคยได้ยนิ เรื่อง HIV บ้าง ขออาสาสมคั รเล่าว่า ได้ยนิ เรือ่ งอะไรมาบ้างเกยี่ วกับ HIV • HIV กับ เอดส์ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร 2. ครูอธบิ ายความแตกตา่ งของ HIV กบั เอดส์สัน้ ๆ โดยใชภ้ าพประกอบ ดงั น้ี • HIV ตา่ งจากเอดส์ • HIV เปน็ ไวรัสชนดิ หนึ่ง ที่เมอื่ อยู่ในร่างกายของคนจะทาํ ลายระบบค้มุ กนั โรคของเรา • คนที่มเี ชือ้ HIV เปน็ เพยี งคนทีม่ ีเช้ือไวรัส HIV อยู่ในตัว แข็งแรงไดเ้ หมอื นคนทั่วไป หากกนิ ยาต้านไวรสั สมํ่าเสมอเพ่อื ควบคุมเชอ้ื • เราไมส่ ามารถบอกได้จากการดูภายนอกว่าใครมเี ชอื้ HIV บา้ ง • เอดส์ คอื ภาวะทภี่ ูมคิ ุ้มกนั บกพร่อง เน่อื งจากเชอื้ HIV ไปทําลายเมด็ เลือดขาว ทําใหผ้ ู้ ติดเชอ้ื ป่วยด้วยโรคฉวยโอกาส ซ่ึงปอ้ งกนั ไดเ้ ชน่ กัน • คนทีม่ ี HIV ไม่จําเป็นตอ้ งกลายเปน็ ผ้ปู ว่ ยเอดส์ • สิ่งสําคญั สาํ หรับคนทม่ี ี HIV คอื การกนิ ยาตา้ นไวรสั สม่าํ เสมอ
(* ภาพประกอบการอธิบายเรือ่ ง HIV และเอดส์จาก Facebook.com/pg/ducklingmedstd) • เราสามารถใชช้ ีวิตร่วมกับผู้มีเช้ือ HIV ไดต้ ามปกติ สามารถทํากิจกรรมในชวี ติ ประจาํ วัน ร่วมกนั ได้ เช่น จบั มอื กนิ ขา้ ว ดืม่ น้ํากอดกัน เพราะ HIV ไม่สามารถติดต่อไดจ้ ากการใช้ชวี ติ ประจําวันร่วมกัน • เชื้อไวรสั HIV ไมส่ ามารถตดิ ตอ่ ทางอากาศ นา้ํ ตา นาํ้ ลาย หรือเหงือ่ ได้ 3. ครนู าํ เรือ่ งของเกง่ ทเ่ี ขียนเตรยี มไวบ้ นกระดาษชารท์ ติดไว้บนกระดาน และขออาสาสมคั รอ่าน มขี ่าวลอื ในโรงเรยี นและในหมู่ผู้ปกครองวา่ มนี ักเรยี น ป.5 มเี ชื้อ เอชไอวี และลอื กนั วา่ นา่ จะเปน็ “เกง่ ” เก่งเหมอื นเดก็ ทวั่ ไปในโรงเรยี นมีเพอ่ื นเยอะ เพราะคุยเกง่ ชอบรอ้ งเพลงและเลน่ ดนตรี ต้ังแต่เปดิ เทอมมาเก่งลาหยดุ ทุกเดือนเพือ่ ไปรบั ยา จึงเป็นทม่ี าของขา่ วลอื 4. ครูอธบิ ายวา่ ครูมีคําถาม 3 ขอ้ ท่ีจะให้นักเรยี นแสดงความคิดเหน็ โดยแต่ละขอ้ มคี าํ ตอบ ให้เลอื กทั้งหมด 4 แบบ • ครูอา่ นคาํ ถามทีละข้อ และอา่ นคาํ ตอบทเ่ี ตรยี มไว้ ซงึ่ ตดิ แผน่ คําตอบตามมมุ ตา่ ง ๆ ของห้อง 4 มมุ
• ครูอธิบายคาํ ตอบ ข้อ (ง) เพิ่มเติมว่า หากนกั เรียนไมเ่ หน็ ด้วยกบั คําตอบ ข้อ ก/ข/ค และมีคาํ ตอบอื่น ๆ ใหย้ ืนทขี่ อ้ (ง) • ใหน้ ักเรยี นเลอื กยนื ตามความเห็นของตนและย้ําว่าเป็นการแสดงความคดิ เหน็ และเรา ไมจ่ าํ เปน็ ตอ้ งเห็นเหมือนกับเพอื่ น • ในแตล่ ะข้อ เมอ่ื นักเรยี นทกุ คนเลือกคําตอบของตวั เองได้แล้ว o ให้คนที่เลือกคาํ ตอบเดยี วกัน แลกเปล่ยี นกนั ว่า เพราะเหตุใดจงึ เลอื กทาํ แบบนน้ั ให้เวลา 5 นาที o ขอฟงั ตวั แทนกล่มุ อธิบายเหตผุ ล • ทําทลี ะข้อ จนครบท้ัง 3 ขอ้ ขอ้ 1 หากมีเพื่อนๆ ให้นักเรยี นช่วยเชค็ วา่ เกง่ ติดเชอื้ เอชไอวีจรงิ หรอื ไม่ เพราะทราบวา่ นกั เรยี นค่อนข้างสนิทกับเกง่ นักเรียนจะทําอยา่ งไร ก) ไมท่ ําอะไร ข) จะพยายามไปหาวา่ เกง่ ติดเชื้อจรงิ หรอื ไม่ ค) บอกเพอ่ื นๆ ทถ่ี ามว่า เกง่ ตดิ เชื้อหรือไมก่ ็เป็นเรือ่ งของเกง่ ง) อน่ื ๆ ท่ีนักเรยี นจะทํา คอื .................. ข้อ 2 ทา้ ยท่สี ดุ ข่าวลือกเ็ ปน็ จรงิ ว่า เกง่ ตดิ เชื้อ HIV นักเรยี นจะทาํ อย่างไร เม่อื ทราบเรอ่ื งนี้ ก) ทาํ ทกุ อย่างเหมือนเดมิ ข) บอกทกุ คนวา่ เก่งมเี ช้อื เอชไอวี ทุกคนจะไดท้ ราบและระวัง ค) พยายามหลกี เลย่ี งไมไ่ ปไหนมาไหน ไมก่ นิ ข้าว ไม่เลน่ กบั เกง่ ง) อนื่ ๆ ท่นี ักเรยี นจะทาํ คอื .................. ขอ้ 3 เม่อื ผ้บู รหิ ารโรงเรียนทราบเรอื่ งเก่งติดเชื้อ HIV โรงเรยี นได้ทํา แบบสอบถามว่า นกั เรยี นคิดวา่ โรงเรียนควรจดั การอย่างไร นกั เรียน จะเลอื กข้อใด ก) ให้เกง่ เรยี นตอ่ ไปเหมือนเดิม ข) ให้เกง่ ไมต่ ้องมาโรงเรยี น และให้ครนู ําการบา้ นไปใหท้ ี่บ้าน ค) ใหเ้ ก่งออกจากโรงเรียน เพือ่ ไปรกั ษาตัว ง) อ่นื ๆ ขอ้ เสนอของนักเรยี น คือ ..................
5. เมือ่ ทําครบทั้ง 3 ขอ้ ชวนนกั เรยี นพดู คยุ โดยใช้คําถามดงั นี้ (แตล่ ะข้อรอฟงั คําตอบ 3-4 คน) • เกง่ จาํ เปน็ ต้องบอกให้คนอื่นรู้หรือไม่วา่ ตวั เองติดเชื้อ เพราะเหตุใด • เกง่ จะร้สู กึ อย่างไร หากเพื่อนๆ ไม่ยอมเลน่ ดว้ ยเหมือนเดมิ เมอ่ื รูว้ ่าเก่งติดเชื้อ • การมีเชอื้ HIV เกยี่ วกับความสามารถในการเรียนหนงั สือ เลน่ กีฬาเลน่ ดนตรหี รอื ไม่ เพราะเหตใุ ด • การรูว้ ่า เก่งตดิ เชอ้ื จะมีผลกับการเปน็ เพื่อนกบั เกง่ หรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด • ถ้าเด็กๆ แบบเกง่ ถูกให้ออกจากโรงเรยี น หรือโรงเรียนไมร่ บั เขา้ เรยี นเพยี งเพราะติดเชอ้ื นกั เรยี นรสู้ ึกอยา่ งไร เพราะเหตใุ ด • เรอ่ื งแบบเกง่ นักเรยี นคิดว่ามีจริงๆ หรอื ไม่ และเกง่ ในชีวิตจริงถกู ปฏบิ ตั ิอย่างไร • หากเราเปน็ เก่ง เราอยากให้คนอนื่ ปฏบิ ตั ิกับเราอยา่ งไร • จากเรอื่ งของ “เก่ง” นักเรียนมคี ําถามอะไรอกี บา้ ง 6. ครสู รปุ การเรียนรู้วันน้ี โดยการถามเดก็ ๆ ว่าไดเ้ รียนรู้อะไร และย้าํ ประเด็นสําคญั ดังน้ี • คนมเี ชอ้ื เอชไอวสี ามารถมีชวี ิตไดเ้ หมอื นคนอ่นื ๆ แข็งแรง ใชช้ วี ิตได้ตามปกติ เพยี งแต่ตอ้ ง กินยาตา้ นไวรัสสมา่ํ เสมอ • เราสามารถใชช้ วี ิตประจําวันรว่ มกบั คนทมี่ เี ชื้อเอชไอวไี ดต้ ามปกตเิ พราะเราไม่สามารถรับ เชอ้ื ไดจ้ ากการใชช้ วี ติ รว่ มกนั ไม่ว่าการกินข้าวด่ืมนํา้ เล่นกฬี า เรียนหนังสอื จับมือ กอดคอกนั ฯลฯ • การมีเช้ือเอชไอวี ไมไ่ ดท้ าํ ให้เราเปน็ เพ่อื นกับคนๆ นน้ั ไมไ่ ด้ และคน ๆ นัน้ ยังมีสิทธิเหมือน คนอน่ื ๆ ในการไปโรงเรียน เรียนหนังสือและทํากจิ กรรมตา่ งๆ ในโรงเรียนในสังคม
แผน ภาพสาํ หรบั อธบิ ายเร่อื ง HIV และ เอดส (ท่มี าภาพประกอบการอธิบายเรือ่ ง HIV และเอดส์ จาก Facebook.com/pg/ducklingmedstd)
แผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรูท่ี 15 “ถุงวิเศษ”
แผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรูท่ี 15 ถงุ วิเศษ สาระสาํ คัญ ถุงยางอนามัยเปน็ อุปกรณ์คุมกําเนิดชนดิ เดียวท่ีช่วยปอ้ งกันโรคตดิ ต่อทางเพศสมั พนั ธแ์ ละการติดเชื้อ เอชไอวี รวมทง้ั ยังเป็นอปุ กรณ์ที่ไมน่ ําสารเคมีเขา้ ส่รู า่ งกายการสร้างทัศนคติในเชงิ บวกต่อถุงยางอนามัยจะชว่ ย ให้เดก็ รสู้ กึ ดีและมนั่ ใจเมอ่ื จาํ เป็นตอ้ งใช้ เพือ่ รับผดิ ชอบต่อความปลอดภยั ของตนเองและผู้อน่ื วตั ถปุ ระสงคการเรยี นรู 1) เพอื่ ให้นกั เรยี นแสดงความรสู้ กึ สะดวกใจในการสัมผสั ถงุ ยางอนามยั 2) เพื่อให้นักเรยี นบอกประสิทธิภาพและประโยชน์ของถงุ ยางอนามยั 3) เพือ่ ใหน้ ักเรยี นอธบิ ายได้ว่าถุงยางเปน็ ความรบั ผดิ ชอบของทั้งชายและหญงิ แผนการเรยี นรู้น้ี มงุ่ สรา้ งเสริมคุณลกั ษณะและทกั ษะสาํ คญั ดังน้ี Core Values Core Skills • ความปลอดภยั • การตดั สนิ ใจ • ความรับผดิ ชอบ • การสืบคน้ ขอ้ มลู • ความมนั่ ใจในตนเอง • การคิด วเิ คราะห์ อุปกรณและสอ่ื • ตัวอยา่ งถุงยางอนามยั • อวยั วะเพศชายจําลอง (ดิวโด้) หรือแตงลา้ น หรอื แครอท หรือมะเขือยาว • แกว้ น้ําใสน่ ํ้า ประเมินผลการเรยี นรู 1. สังเกตความสนใจในการทํากจิ กรรมร่วมกัน 2. สังเกตความม่นั ใจในการแลกเปล่ยี นต้ังคําถามและตอบคําถามถามในเรอื่ งถงุ ยาง
ขนั้ ตอนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู 1. ครฉู ายสไลด์ หรอื ตดิ ภาพถงุ ยางอนามยั บนกระดาน และถามนกั เรยี นวา่ • ใครบอกได้บ้างวา่ นี่คอื อะไร • เราเคยไดย้ นิ อะไรบ้างเกยี่ วกับถุงยางอนามยั และไดย้ นิ จากท่ีไหน • ครูจดประเด็นสําคัญท่นี กั เรยี นบอก หากมบี างเรื่องทเี่ ปน็ ขอ้ มูลท่ีไมถ่ กู ตอ้ งหรอื ความเชอ่ื ที่ไมถ่ กู ต้อง เก็บไวเ้ ตรียมแกไ้ ขตอนท้ายช่ัวโมง • ใครเคยจบั ถุงยางอนามยั บา้ งในแตล่ ะคาํ ถาม ขอฟังคาํ ตอบ 3-4 คน 2. ครบู อกวา่ วนั น้ีครจู ะมาชวนนกั เรยี นรู้จกั ถุงยางอนามยั • หากมีนักเรียนตอบเรอื่ งถงุ ยางอนามัยปอ้ งกันทอ้ งหรือป้องกันโรคครทู วนคําตอบให้เหน็ ประโยชน์ของถุงยางอกี ครั้ง • หากยงั ไม่มคี าํ ตอบเรอื่ งน้ี ครูถามนักเรยี นว่า นกั เรยี นทราบหรอื ไม่ว่าถุงยางอนามัยมไี ว้ เพอ่ื อะไร และสรุปให้ชัดเจนอีกครงั้ วา่ • ถงุ ยางอนามัยเป็นอุปกรณ์คุมกาํ เนิดชนิดเดยี วทช่ี ว่ ยป้องกนั โรคตดิ ต่อทางเพศสมั พันธ์และ การติดเชอื้ เอชไอวี 3. เราจะชว่ ยกันทาํ การทดลองประสิทธภิ าพของถุงยาง ตามข้นั ตอนดังนี้ 1) ทดลองจบั ถุงยางอนามยั o ขออาสาสมคั ร 1 คน แกะถงุ ยาง ลองจับ และส่งต่อใหเ้ พอื่ นๆ ลองจับทกุ คน o เมอ่ื ทุกคนได้จบั แลว้ ถามนกั เรียนว่ารสู้ ึกอย่างไร 2) ทดลองการร่ัวซมึ ของถงุ ยาง o ขออาสาสมคั ร 2 คน สวมถงุ ยางในอวยั วะเพศจําลอง (คนหนึง่ ถือดิวโด้ คนหน่ึง สวมถุงยาง) และแชท่ ง้ิ ไวใ้ นแกว้ นา้ํ 30 นาที แล้วเราจะมาดูวา่ น้าํ จะซึมผ่านถุงยางอนามยั หรือไม่ o ครูอธบิ ายขัน้ ตอนการสวมถุงยางอนามยั แบบถกู วธิ ี - ฉกี ซอง บบี ปลาย แล้วสวม ถุงยางรูดใหส้ ดุ 3) ทดลองความยดื หยนุ่ ของถงุ ยาง (โอกาสฉีกขาด) o ครใู ห้นกั เรยี นทายวา่ คดิ ว่าถงุ ยางจะสามารถยืดไดย้ าวกี่เซนติเมตร โดยไมข่ าด ให้นักเรียนเขียนความยาวท่นี ักเรยี นคิดบนกระดาษ จากนนั้ ครูสมุ่ ถาม และเขียนขนาดความ ยาวท่มี ากและน้อยทส่ี ดุ ทนี่ กั เรียนคาดประมาณไว้บนกระดาน o ขออาสาสมคั ร 2 คนคลถี่ งุ ยาง และให้ลองดึงถงุ ยางใหย้ ดื มากทสี่ ดุ โดยไมข่ าด o เมอื่ คดิ วา่ ได้ในระดับทมี่ ากท่สี ดุ แลว้ ให้วดั วา่ ยาวเท่าไร (ดูขนาดวา่ ใครตอบได้ ใกล้เคียงทสี่ ุด) o จากนน้ั ขออาสาสมคั รอกี 2 คน ช่วยเป่าถุงยางอนามัยให้ใหญท่ ส่ี ุด o สมั ภาษณอ์ าสาสมัครวา่ รสู้ กึ อย่างไรท่ไี ด้ลองยืดถุงยาง และเป่าถุงยาง
4) จากนน้ั ขออาสาสมคั รกลบั ไปดถู งุ ยางที่แชน่ ้าํ ไว้วา่ มกี ารซึมผา่ นหรือไมอ่ ย่างไร 4. ครสู รุปเรอ่ื งถุงยางอนามัย ดงั น้ี • จากทเ่ี ราไดท้ ดลองท้งั เรือ่ งการรวั่ ซึม ความเหนยี ว และการยืดหยนุ่ ของถงุ ยางจะเหน็ ว่า ถุงยางไม่ได้รว่ั ซึมหรอื มีโอกาสแตกงา่ ย จึงมปี ระสทิ ธิภาพในการช่วยปอ้ งกันการท้องและป้องกนั การติดโรคได้ • แมถ้ งุ ยางจะใชส้ วมอวัยวะเพศชายเมอ่ื มีเพศสมั พันธ์ แตถ่ งุ ยางสามารถชว่ ยป้องกนั ได้ทัง้ เพศชายและเพศหญงิ และเปน็ อปุ กรณ์คมุ กําเนดิ ชนิดเดียวทไ่ี มไ่ ดน้ ําสารเคมเี ข้าสู่รา่ งกายผูห้ ญงิ ดงั น้นั ถุงยาง จงึ เปน็ ทางเลอื กสาํ หรับผหู้ ญงิ ด้วย และเป็นเรื่องที่ทง้ั ชายและหญงิ สามารถเรียนร้ดู ว้ ยกัน เพราะการทํา ให้ ตัวเองและคู่ปลอดภยั เป็นความรบั ผิดชอบของทั้งชายและหญิง • ทกุ คนได้ลองสมั ผสั ถงุ ยาง ซง่ึ เปน็ อปุ กรณช์ ่วยป้องกนั และเรียนรู้ วธิ ีการใชท้ ถ่ี กู ต้องซง่ึ จะ เปน็ ประโยชนเ์ ม่อื ถงึ เวลาทเ่ี ราจําเป็นต้องใช้ 5. ครูชวนถามเพ่มิ เติม ดงั นี้ • ถามนกั เรียนวา่ ทราบหรอื ไม่วา่ เราหาถุงยางอนามัยได้ทไี่ หน • หากตอ้ งไปซ้ือหรอื ไปขอถุงยางอนามยั นกั เรยี นจะรู้สกึ อย่างไร • นกั เรยี นมคี าํ ถามอ่ืนๆ เกีย่ วกบั ถงุ ยางหรอื ไม่ o (หากมเี วลา ให้นักเรยี นถามในหอ้ ง หากหมดเวลา ให้นกั เรยี นเขยี น คาํ ถามและสง่ ครหู าเวลาเพือ่ ตอบคําถามนกั เรยี น)
แผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรูท่ี 16 “นคี่ ือฉนั ”
แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรูท่ี 16 นคี่ ือฉนั สาระสาํ คญั การมองเห็นคุณสมบตั ิดา้ นบวก ความสามารถ และความสาํ เรจ็ ของตนเองเป็นการทําให้เด็กมีทศั นคติ ในแงบ่ วกตอ่ ตนเอง และเห็นคณุ คา่ ในตนเอง (Self Esteem) ซงึ่ จะนําไปส่คู วามเชือ่ มนั่ และการยอมรบั นับถือ ตนเอง อันเปน็ พื้นฐานของการดาํ รงชีวิตไดอ้ ย่างมคี วามสขุ วตั ถุประสงคก ารเรยี นรู 1) เพอ่ื ใหน้ ักเรยี นบอกข้อดี ความสามารถ หรอื คณุ สมบัตดิ ้านบวกของตนเองไดอ้ ย่างนอ้ ย 3 ข้อ 2) เพ่ือใหน้ กั เรยี นระบุสง่ิ ทตี่ นเองอยากพฒั นาให้ดขี ้นึ แผนการเรียนร้นู ี้ มุ่งสรา้ งเสรมิ คณุ ลักษณะและทกั ษะสาํ คญั ดงั นี้ Core Values Core Skills • การรัก เคารพ เหน็ คุณค่าในตนเอง • การรจู้ กั ตนเอง • การเคารพความแตกตา่ ง • การพัฒนาตนเอง • ความมน่ั ใจในตนเอง • การปรับตัว • การเข้าใจคนอื่น อุปกรณแ ละสอื่ • กลอ่ งทม่ี ีกระจกอยู่ภายใน (เพือ่ ให้นักเรียนมองเห็นหนา้ ตนเอง) 3 กล่อง • แผน่ กิจกรรม “ขอ้ ด/ี จุดแข็งของฉนั ” และ “สง่ิ ท่ฉี ันอยากทาํ ให้ดีขึน้ หรอื พฒั นามากขึ้น คือ....” สาํ หรับนักเรียนทกุ คน ประเมินผลการเรียนรู 1. สังเกตคาํ ตอบทแ่ี สดงถงึ ขอ้ ดีของตนเองของนกั เรียนแตล่ ะคน 2. สงั เกตความสนใจและการมีสว่ นร่วมในการทํากจิ กรรมรว่ มกนั
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104