Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานการวิจัย การนำหลักการสมคบกันกระทำความผิดมาใช้เพื่อประมวลผลทางการข่าว

รายงานการวิจัย การนำหลักการสมคบกันกระทำความผิดมาใช้เพื่อประมวลผลทางการข่าว

Published by sakdinan.lata, 2022-03-24 14:04:48

Description: รายงานการวิจัย การนำหลักการสมคบกันกระทำความผิดมาใช้เพื่อประมวลผลทางการข่าว

Search

Read the Text Version

43 ท่ีจะสรุปได้ว่า การกระทาของผู้ใดเข้าข่ายท่ีเป็นผู้สมคบกันกระทาความผิด ซ่ึงมีโทษทางอาญาตามที่กฎหมาย ได้บญั ญัติไว้ เน่อื งจากข้อมูลขา่ วสารที่สานักการข่าวและกิจการพิเศษ สานักงาน ป.ป.ช. ได้รับมีหลายรูปแบบ เช่น เร่ืองกล่าวหาร้องเรียน บัตรสนเท่ห์ ข้อมูลข่าวสารจากหนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร จุลสารหรือแหล่งข่าว เป็นตน้ นน้ั บางกรณีกเ็ ป็นข้อเท็จจริงหรือเร่ืองราวที่เกิดขึ้นและจบลงไปแล้ว บางกรณีก็เป็นกรณีที่ยังไม่เกิดข้ึน แต่ปรากฏวา่ มีขา่ วลือหรอื เปน็ ข่าวทปี่ รากฏในสื่อสารมวลชน เชน่ การใหส้ มั ภาษณ์ การให้ข่าวหรือเป็นกรณีที่มี การอภปิ รายในสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นเรื่องกรายหรือข่าวคราวที่ไม่มีการยืนยันแหล่งที่มาถ่ายทอดกันโดยการ โจษจัน ซึง่ อาจไม่มีท่มี าทช่ี ัดเจนแน่นอน หรอื สบื หาความจริงไม่ไดใ้ นทันที การนาทฤษฏีสมคบกันกระทาความผิดมาใช้ในการประมวลผลทางการข่าว น้ันจะต้องเป็นการ ดาเนินการตามแผนภาพวงรอบข่าวกรอง (ภาพที่ 6) ดงั นี้ ภาพที่ 6 : การนาหลักการสบคบกันกระทาความผดิ มาปรบั ใช้ในวงรอบขา่ วกรอง 6 1 2 การประเมินผล การวางแผนและ การรวบรวม ขา่ ว สะทอ้ นกลับจาก การบริหารภารกจิ การนาเสนอ กรอง ภารกิจท่ีไดร้ บั มอบหมาย ขา่ วกรอง นาหลักการสมคบกนั กระทา 4 ความผิดมาปรับใช้ 5 การวเิ คราะหแ์ ละ การเผยแพร่ ขา่ ว ผลิตข่าวกรอง 3 การประมวลผล กรอง และใชป้ ระโยชน์ จากข่าวกรอง 4.1 การวางแผนและการบรหิ ารภารกจิ ในการประมวลผลทางการข่าว จึงจาเป็นต้องกาหนดเป้าหมายในการประมวลผล เช่นเดียวกับการทา ความเห็นทางกฎหมายที่จะต้องมีการกาหนดประเด็นทางกฎหมายว่าการกระทาใด อย่างไร เพียงใด จึงจะถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมายและมีบุคคลใดเก่ียวข้องบ้าง ซ่ึงการวางแผนและการบริหารภารกิจน้ี

44 ผู้วิจัยได้กล่าวไว้แล้วในบทท่ี 2 ว่า ท่ีมาของข้อมูลข่าวสารหรือข่าวกรองน้ันมีที่มาจากแหล่งข่าวเปิดหรือข่าว กรองจากแหลง่ ปดิ ในส่วนการแสวงหาข้อมูลข่าวสารท่ีเกี่ยวกับการทุจริตจะมีลักษณะพิเศษบางอย่าง คล้ายกับงานด้าน การข่าวหรือข่าวกรองท่ีเกี่ยวกับความมั่นคง คือ มักจะปรากฏในรูปแบบของข่าวลือ ซ่ึงอาจเป็นข่าวลือก่อนที่ จะเกิดการทุจริต ข่าวลือในขณะที่มีการดาเนินการและข่าวลือภายหลังจากการมีการทุจริตเสร็จส้ินแล้ว ท้ังน้ี เจ้าหน้าที่การข่าวหรือข่าวกรองจะต้องมีการดาเนินการโดยกาหนด เป้าหมายให้ชัดเจนว่าจะกาหนดขอบเขต ของขอ้ มูลข่าวสารเพื่อไมเ่ ป็นการสร้างภาระกับหน้าที่ท่ีได้รับมอบหมายจนมากเกินไป เช่น กรณี มีข่าวลือว่ามีการ ทุจริตในโครงการหน่ึง เจ้าหน้าที่การข่าวหรือข่าวกรอง จะต้องพิจารณาว่า ข่าวที่ได้รับน้ันเป็นเรื่อง ที่มีการพูดการลอย ๆ ยังไม่ปรากฏหลักฐาน ซึ่งเป็นลักษณะเป็นข่าวลือ ทั้งนี้ เพราะข่าวลือ คือ ส่ิงท่ีมาแทนข่าว ซึ่งเป็นการรายงานข้อเท็จจริง แต่เม่ือยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงออกมา จึงเป็นข่าวที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน และ พฒั นาในช่องทางการสือ่ สารท่ีเป็นสถาบัน จึงไม่มีที่มาแน่นอน สืบหาความจริงยังไม่ได้ ความต้องการข่าวไม่ได้ รับการตอบสนองอย่างเพียงพอ เกิดข้อสงสัยขัดข้องระหว่างความต้องการข่าวสารท่ีนาไปสู่สาระของ สิ่งแวดล้อมท่ีกาลังเปลี่ยนแปลงกับข่าวสารที่ได้รับจากช่องทางที่เป็นการทางการ จึงมีความอยากรู้เรื่องต่าง ๆ แต่ไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับส่ิงที่เช่ือถือได้ ข่าวลือมักจะเริ่มต้นด้วยรายงานท่ีไม่แน่นอนและบิดเบือน แล้วกระจายออกไปอย่างรวดเร็วโดยบิดเบือนไม่ตรงกับความเป็นจริงมากย่ิงข้ึน ซ่ึงข่าวลือมักจะได้รับอิทธิพล ของอารมณ์มนุษย์ในสถานการณ์ที่เคร่งเครียด ทาให้ความสามารถของบุคคลในการสังเกต หรือตัดสินความ ถกู ตอ้ งของสิ่งตา่ ง ๆ จะลดน้อยลง ในขน้ั ตอนนีเ้ จ้าหน้าที่การข่าว หรอื ข่าวกรอง จะตอ้ งคดั แยกข่าวลอื หรือข่าวลวง ซึ่งไม่มีความเก่ียวข้อง ออกไป เช่น การท่ีมีผู้นาข่าวลือมาเล่าและมีผู้เชื่อตามนั้น ไม่ใช่เพราะเป็นความจริงมีการพิสูจน์ว่าจริง หรือ เพราะจงใจหลอกลวงผู้ฟัง แต่เป็นเพราะข่าวลือสนองความสนใจใคร่รู้ของผู้เล่าและผู้ฟังเม่ือเกิดวิกฤติการณ์ หรือภาวะคับขันขึ้นในสังคม ระบบข่าวสารที่มีอยู่เดิมในสังคมจะถูกทาลายหรือล่าช้า ข่าวลือจะเข้ามาแทนที่ ทันที เช่นในภาวะท่ีผู้ที่เก่ียวข้องกับเหตุการณ์น้ันไม่ได้แถลง ชี้แจงหรือการส่ือสารไม่สามารถกระทาได้ จึงเกิด การกระจายข่าวต่อไปเร่ือย ๆ และแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในเหตุการณ์ประท้วงหรือจลาจล ข่าว ลือจะมีบทบาทสาคัญมาก โดยข่าวลือที่ตรงกับความต้องการอยากรู้อยากเห็นของ ผู้ฟังจะกระจายและ บดิ เบือนไปจากความจรงิ นอกจากนี้ ข่าวลือ หรอื เรอื่ งราวท่ีเล่าต่อ ๆ กันมา อาจถูกทาขึ้น ก็ได้จากการต่อต้าน ข่าวกรองของฝา่ ยตรงขา้ ม เม่ือเจ้าหน้าที่การข่าว หรือข่าวกรอง คัดแยกข่าวท่ีไม่เก่ียวข้องออกไปได้แล้ว จะต้องพิจาณาลักษณะ ทางกายภาพของข่าวลือว่า ข่าวลือเป็นกิจกรรมทางปัญญา และกิจกรรมการส่ือสารอันเกิดจากการรับเอา สถานการณ์ที่น่าเคลือบแคลงสงสัยมาสร้างเป็นเร่ืองท่ีตีความให้มีความหมายได้โดยเกิดขึ้นจากปัจจัย 2 ประการ คือ (1) ปริมาณความสนใจ คือ ประชาชนมีความสนใจในเน้ือหาของเร่ืองนั้น ๆ มากน้อยเพียงใด เพราะ เรอ่ื งที่ไดร้ บั ความสนใจน้อย ยอ่ มมคี วามเปน็ ไปได้วา่ อาจเป็นเพียงเรื่องท่แี ต่งขน้ึ หรือคิดกนั ไปเอง (2) ปริมาณความคลุมเครือในสถานการณ์โดยท่ีความคลุมเครือนั้นอาจบ่งบอกถึงความยุ่งยากด้าน การตรวจตราเร่อื งความแนน่ อนของเรื่องราวหรือขา่ ว เนอื่ งจากความไม่สมบูรณข์ องขา่ วสาร ดังนั้น เจ้าหน้าท่ีการข่าวหรือข่าวกรอง ต้องป้องกันความคิดของตนเองเพ่ือไม่ให้มีความคล้อย ตามข่าวสารท่ีได้รับ ด้วยการจับโน่นผสมนี่กลายเป็นโฆษณาชวนเชื่อได้อีกรูปแบบหน่ึง ซึ่งถือเป็นการทาลาย วงรอบขา่ วกรองและกระบวนการประมวลผลทางการขา่ ว

45 4.2 การศึกษาข้อมูลข่าวสาร เจ้าหน้าทีก่ ารขา่ ว หรือข่าวกรอง จะต้องศึกษาและพิจาณาว่า ข่าวสารท่ีได้รับมาน้ันมาจากช่องทางใด หากเป็นข้อมูลข่าวสารที่มาจากทางราชการหรือข้อมูลข่าวสารท่ีปรากฏโดยมีทฤษฏีเชิงวิทยาศาสตร์ท่ีสามารถ พิสูจน์ได้แล้ว ย่อมมีความน่าเชื่อถือมาก และลดทอนลงไปเร่ือย ๆ ตามน้าหนักของแหล่งที่มาของข้อมูล ข่าวสาร สิง่ ท่ีเจา้ หนา้ ท่ีด้านการข่าวหรือขา่ วกรองจะพบในชน้ั นีไ้ ด้แก่ 4.2.1 ขา่ วลือ ความสลับซับซ้อนและความยุ่งยากในการปฏิบัติงานด้านการข่าวจะมีมากหากเป็นกรณีที่เป็น ขา่ วลอื ซง่ึ ขา่ วลือทไี่ ดร้ บั นี้เจ้าหน้าท่ีการข่าวหรือข่าวกรองจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการพิจารณา ว่าขา่ วลือนั้นมีความน่าเชื่อมากเพียงใด แต่ก็มีหลักวิชาการข่าวท่ีจะใช้ในการพิจารณาข่าวลือได้บ้าง แม้ว่าข่าว ลือจะยังไม่มีหลักเกณฑ์ใด ๆ ที่จะควบคุมให้อยู่ภายใต้ความถูกต้องได้แต่ข่าวลือกลับสามารถกระจายโดยผ่าน ชอ่ งทางการแพร่ข่าวลอื มี 2 วธิ ี คือ (1) การแพร่ข่าวลือทางปาก อันเป็นการเปล่งออกมาจากปากต่อปากของผู้ปล่อยข่าวลือไปสู่ บคุ คลอื่นทเี่ ปน็ เปา้ หมายของการกระจายขา่ วลือ (2) การแพร่ข่าวลือโดยอาศัยสื่อสารมวลชน วิธีการเช่นน้ีจะเห็นได้จากประกาศต่าง ๆ ส่ิงตีพิมพ์ ทเี่ ป็นเอกสาร หนงั สอื พิมพ์ วทิ ยุ โทรทัศน์ ระบบสอื่ สารออนไลนใ์ นรูปแบบสังคมออนไลน์ เช่น เฟสต์บุ๊ค (facebook) ทวติ เตอร์ (twitter) กเู กิล้ พลสั (google plus) และไลน์ (line) เป็นต้น เม่ือได้รบั ขอ้ มลู ขา่ วสาร หรือเม่อื ใดก็ตามท่ีขา่ วลือแพรม่ าถึง เจา้ หนา้ ท่กี ารขา่ วหรอื ขา่ วกรอง จะตอ้ ง พิจารณาว่าข้อมูลท่ีได้รับมานั้นเป็นข่าวสารชนิดใด หากเป็นข้อมูลข่าวสารท่ีมีความชัดเจนและแหล่งท่ีมา แน่นอนแล้วย่อมไม่ใช่ข่าวลือจึงสามารถก้าวข้ามกระบวนการตรวจสอบข่าวลือได้แต่ถ้ายังไม่มีความชัดเจน เกีย่ วกบั รายละเอียดแล้วต้องพจิ ารณาตามองคป์ ระกอบของข่าวลือ ดังต่อไปนี้ องคป์ ระกอบของขา่ วลือ มี 5 ประการ คอื (1) ขา่ วลือเปน็ กจิ กรรมหน่ึงของการสอื่ สาร ซ่งึ เปน็ เร่ืองของสังคมมนุษย์ (2) ข่าวลอื จะเก่ียวข้องกบั บุคคลหรือมีผลต่อคนจานวนมาก ซ่ึงหากเป็นเร่ืองบุคคลหนึ่งบุคคล ใดกจ็ ะกลายเปน็ เร่ืองซปุ ซปิ นนิ ทา ซึ่งไมใ่ ชง่ านด้านการขา่ ว โดยท่ีเจา้ หนา้ ท่ีการข่าวหรือข่าวกรองจะต้องบันทึก รายละเอียดบุคคลท่ีมีส่วนเก่ียวข้องระหว่างผู้ใดกับผู้ใดบ้าง ซึ่งจะเป็นต้นทางของการพิจารณาคัดแยกบุคคล ตามพยานหลักฐานที่ได้รับในภายหลังว่ามีความเก่ียวข้องในระดับใด ซ่ึงอาจจะเป็นผู้กระทาความผิด อันเป็นตวั การ ผใู้ ช้ ผูส้ นับสนนุ หรือผู้สมคบกันกระทาความผิด (3) ข่าวลือจะเกิดภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ปกติ เช่น มีอภิปราย โต้เถียง หรือความขัดแย้งของ สงั คม หรือองคก์ ร หรอื การดาเนินกจิ กรรมใด ๆ ซง่ึ เป็นท่จี ับตาหรอื ผ้คู นรอรบั ข่าวสารจากเร่ืองดังกลา่ ว (4) ข่าวลือจะต้องนาเสนอผ่านช่องทางการส่ือสารท่ีไม่เป็นทางการ แม้ว่าจะเป็นการสื่อสาร ผ่านสื่อสารมวลชนก็ตาม แต่จะปรากฏคาเหล่าน้ี เช่น แหล่งข่าวเล่าว่า เป็นท่ีโจษจันกันว่า เล่ากันว่า ว่ากันว่า คนในองค์กรนี้ต่างก็พูดว่า คนแถวน้ีพูดกันว่า คนแถวน้ีรู้ดีว่า เป็นต้น ซ่ึงการถ่ายทอดข่าวลือน้ีอาจปรากฏใน รูปแบบบันเทิงคดี เกิดจากการเขียน การเรียบเรียงตามทัศนะของผู้ที่อยู่หรือไม่อยู่ในเหตุการณ์ทาให้เกิดการ ผดิ เพ้ียนไปจากความจริง (5) ข่าวลือต้องเป็นเร่ืองท่ีเกี่ยวกับเหตุการณ์ของความเสียหายและการเปลี่ยนแปลง สภาพแวดล้อม ทั้งนี้ อาจเกิดจากสภาวะต่าง ๆ ท่ีไม่จาเป็นต้องมีความเสียหายเสมอไป อาจเป็นเหตุการณ์ ทไ่ี มป่ กตหิ รอื ไม่ค้นุ เคย เชน่ อคั คภี ัย หรือเหตุการณ์ใดกต็ ามท่เี กิดจากธรรมชาติ และความขัดแย้งกันของมนุษย์ ทาให้เกิดการหยิบฉวยข้อมูลมาผสมกัน เพื่อช่วยคลายความวิตกกังวลลงไป ซ่ึงอาจเป็นการบอกกล่าวตรง ๆ และ

46 การบอกกล่าวอย่างเป็นนัย ๆ หรืออาจถูกละไว้ ไม่มีการพูดท้ังหมด และการเปล่ียนเน้ือหาของข่าวลือ หรือท่ี เรยี กวา่ “การบดิ เบอื น” เมื่อพิจารณาว่าข้อมูลข่าวสารที่ได้รับมาน้ัน มีครบองค์ประกอบของการเป็นข่าวลือแล้วจะต้อง พิจารณาด้วยว่า สภาวะที่เอ้ืออานวยต่อข่าวลือ ได้แก่ ความรู้สึกเอนเอียงที่เกิดขึ้น และย่ิงเร่ืองน้ัน ๆ ดูสมเหตุผลอาจได้รับความเช่ือถือ แต่ถ้ามีหลายเร่ืองที่สมเหตุสมผลพอ ๆ กัน เร่ืองที่สร้างความพึงพอใจมาก ที่สุดก็จะได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย หรือหากไม่เป็นท่ีพอใจผู้ฟังก็จะไม่ชอบและแสวงหาเหตุผลอ่ืน ๆ ต่อไป และข่าวลือจะสิ้นสุดกระบวนการของมันเองด้วยการที่ไม่มีการถ่ายทอดข่าวลือต่อไป ทั้งนี้ อาจเป็น เพราะผู้คนเร่ิมเบ่ือหน่ายเกี่ยวกับเรื่องท่ีเกิดขึ้นและจะหยุดพูดหรือคิดเก่ียวกับข่าวลือ ดังนั้น ข่าวลือจึงเป็น ปรากฏการณท์ างสงั คมที่เกิดข้นึ ไดท้ กุ แห่งและทกุ องค์กรในทกุ วงการ ซงึ่ เจา้ หน้าทกี่ ารข่าวหรือข่าวกรองจะต้อง มีความเข้าใจลกั ษณะของขา่ วลือเพ่อื ไมใ่ ห้คล้อยตามกบั สง่ิ เหล่านนั้ และต้องใช้ข่าวลือที่ได้มานั้นเป็นช่องทางใน การประมวลผลการขา่ ว เพื่อให้ได้มาซึง่ ขา่ วกรองตอ่ ไป เม่ือเจ้าหน้าที่การข่าวหรือข่าวกรองได้รับข้อมูลข่าวสารจากแหล่งข่าวท้ัง แหล่งข่าวปิดและ แหล่งข่าวเปิด รวมทั้งข่าวลือท่ีได้รับในรูปแบบต่าง ๆ แล้วจะต้องพิจารณาพิสูจน์หาพยานหลักฐานว่า ข้อมูลข่าวสารที่ได้รับมานั้นมีความน่าเช่ือถือมากหรือน้อยเพียงใด ซึ่งกระบวนการในขั้นตอนนี้มีความ จาเป็นต้องใช้หลักทฤษฏีทางกฎหมายมาเป็นเคร่ืองมือในการประมวลผลทางการข่าว เพราะวัตถุประสงค์ท่ี ต้องการทาการข่าวนั้น ก็เพ่ือท่ีจะเป็นช่องทางแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อใช้สนับสนุน ข้อกล่าวหาว่าผู้ถูก กล่าวหาได้กระทาความผิดจริงตามข้อกล่าวหาท่ีได้รับมานั้น เป็นความจริงหรือไม่เพียงใด ซ่ึงหากจะจากัด เฉพาะตัวบคุ คลที่มีส่วนเกย่ี วขอ้ งโดยตรงกับเรือ่ งหนง่ึ ๆ แล้วย่อมเปน็ การขีดกรอบที่จากัดตัวผู้กระทาความผิดที่ ปรากฏหลักฐานชัดเจนเท่าน้ัน และไม่สามารถสืบสวนขยายผลการไต่สวนไปยังบุคคลอื่น ๆ ที่อาจมีส่วน เกี่ยวข้องกับการกระทาความผิดแต่ยังไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า ได้มีส่วนร่วมในการกระทาความผิด ซ่ึงเรา เรยี กบคุ คลในกลมุ่ นีว้ า่ ผูส้ มคบกันกระทาความผิด (conspirator) ซึ่งมีความจาเป็นต้องใช้เป็นฐานข้อมูลในการ รวบรวมพยานหลักฐานเพ่ือดาเนินการตามกฎหมายต่อไป ซ่ึงหากนาหลักในเรื่องการสมคบกันกระทาความผิด มาใชเ้ ปน็ หลกั ในการคัดกรองพยานหลักฐาน รวมทั้งข้อมูลข่าวสาร หรือข่าวกรองแล้ว ก็จะลดปัญหาการได้รับ ข้อมูลข่าวสารท่ีไม่เกี่ยวข้อง หรือเป็นประโยชน์แก่สานวนคดี และเป็นการประหยัดทรัพยากรทั้งเวลา และ งบประมาณไดอ้ ีกทางหน่งึ ด้วย 4.2.2 พยานหลักฐาน พยานหลักฐานทไี่ ด้มาจากแหล่งข่าวนั้นมีความยงุ่ ยากและสลับซบั ซอ้ น เพราะเป็นพยานหลักฐาน ท่ีเจ้าหน้าท่ีการข่าวหรือข่าวกรองจะต้องใช้ยืนยันเรื่องท่ีเกิดขึ้นให้กระจ่างเพ่ือทราบความจริง พยานหลักฐาน บางส่วนจะต้องถูกนาไปแสดงเพื่อให้ศาลพิจารณาตัดสินเรื่องราวตามที่เจ้าหน้า ที่การข่าวหรือข่าวกรองที่เชื่อ อีกทัง้ พยานหลักฐานบางส่วนทางการข่าวถอื วา่ ไมจ่ าเป็น แต่กลับจาเป็นต่อการพิจารณาในชั้นศาล ทาให้การค้นคว้า หารวบรวมพยานหลักฐานและข้อมูลข่าวสารท่ีได้ต้องคานึงถึงกฎเกณฑ์ตามแนวทางพิจารณาของศาลด้วยว่า ส่ิงใดศาลรบั ฟังเป็นพยานหลักฐานได้หรอื ไม่ เนื่องจากศาลใช้การพิจารณาคดีและสืบพยาน โดยหลักการผสมผสานระหว่างระบบกล่าวหา และระบบไต่สวน แต่บทบาทของผู้พิพากษาและการสืบพยานหลักฐานส่วนใหญ่จะยึดระบบกล่าวหาโจทก์จะ นาพยานหลกั ฐานมาพิสจู นค์ วามผิดของจาเลย จาเลยมีหน้าท่ีสืบหักลา้ งพยานหลักฐานของโจทก์ ศาลจะวางตัว เป็นกลาง หากหลักฐานน้ันมีข้อพิรุธ หรือน่าสงสัย ศาลจะยกประโยชน์แห่งความสงสัยน้ันให้จาเลยก็ได้ ความสาคัญของพยานหลักฐานจึงอยู่ท่ีการยอมรับของศาล หากศาลยอมรับรวมเข้าไว้ในสานวนการพิจารณาคดี ก็ถือวา่ มีอิทธพิ ลหรอื มผี ลตอ่ คดี หลกั ฐานชน้ิ เดียวอาจมคี วามสาคัญพอทจ่ี ะยนื ยันเรื่องราวได้ในตัวเอง หรืออาจ

47 เปน็ หลักฐานหลาย ๆ อย่างประกอบกัน จึงจะยนื ยันเรื่องราวได้ ข้อเท็จจริงท่ีสืบสวนมาได้บางประการศาลอาจ ไม่รับฟังก็ได้ จึงกลายเป็นไม่ใช่หลักฐานทางคดีที่จะใช้ลงโทษจาเลย เจ้าหน้าท่ีการข่าวหรือข่าวกรองจึงต้องใช้ ความพยายามเพิ่มมากขึ้นแม้จะรู้ข้อเท็จจริงแล้ว เมื่อเป็นเช่นน้ีเจ้าหน้าท่ีจึงต้องทาความเข้าใจให้ดีถึงความ แตกต่างระหว่างหลักฐานและขอ้ เท็จจริง เปรยี บเสมือนเป็นกติกาท่ีต้องยอมรับโดยไม่มีข้อแม้ โดยท่ัวไปจะแบ่ง พยานหลักฐานเป็น 3 ประเภท ดังต่อไปนี้ โดยน้าหนักความสาคัญของพยานหลักฐานแต่ละประเภทข้ึนอยู่กับ ความน่าเชือ่ ถือของพยานหลกั ฐาน มิได้ขึ้นอยู่กบั ประเภทของพยานหลกั ฐาน ซงึ่ จะไดอ้ ธบิ าย ดงั ต่อไปน้ี (1) พยานวัตถุ คือ ส่ิงที่บอกเร่ืองราวเก่ียวกับคดีโดยการตรวจดู แต่มิใช่โดยการอ่านหรือ พิจารณาข้อความที่บันทึกไว้ บางกรณีอาจเป็นส่ิงมีชีวิตก็ได้ พยานวัตถุที่พบเห็นในคดีอาจเป็นสิ่งท่ีต้องมีการ พสิ ูจน์ทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือต้องใช้ผู้เช่ียวชาญในด้านน้ัน ๆ เป็นผู้พิสูจน์ เช่น พันธ์ุไม้ พันธ์ุสัตว์ หรือสารเคมีต่างๆ ท่ีผสมเข้าดว้ ยกนั (2) พยานบุคคล คือ บุคคลผู้เล่าเร่ืองราวให้เจ้าหน้าท่ีการข่าว หรือข่าวกรอง และศาลฟังใน ระหว่างการพจิ ารณาคดี เปน็ พยานสนับสนนุ ทง้ั พยานเอกสารและพยานวตั ถุ ทาใหศ้ าลนาพยานวัตถุและพยาน เอกสารเข้าในระบบการพิจารณาคดีได้ ปัญหาของพยานบุคคลมักจะเกิดขึ้น เพราะการหลบหนี ไม่ไปศาล ถึงแก่ความตาย หลงลืม พูดไม่ตรงกับความจริง พูดกลับไปมา เพราะคนมักจะไม่มีความสมบูรณ์ มีความ บกพร่องในการจดจา รับรู้ และมีปัญหาเกี่ยวกับการถ่ายทอดเหตุการณ์ที่พบเห็น เน่ืองจากมีส่ิงแวดล้อมมา รบกวน หรือบางทีก็เป็นเพราะระยะเวลาที่ยาวนาน เจ้าหน้าที่การข่าวหรือข่าวกรอง จึงมีความจาเป็นต้องรับ บนั ทกึ ถอ้ ยคาทไี่ ด้มาโดยทนั ที หลงั เกดิ เหตุการณ์ จะทาให้มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งข้ึน หากสามารถเลือกพยาน บุคคลได้ในเบื้องต้น พึงสันนิษฐานโดยพิจารณาเลือกบุคคลท่ีมีความน่าเช่ือถือ โดยพิจารณาจากส่ิงต่าง ๆ มาประกอบกัน โดยใช้ประสบการณ์เป็นเครื่องตัดสิน เช่น คาให้การของนักบวชในศาสนา กานัน ผู้ใหญ่บ้าน ย่อมมีความน่าเชอ่ื ถอื มากกวา่ บุคคลท่ีไมม่ คี วามรู้หรืออาชพี ทแ่ี น่นอนเปน็ ตน้ (3) พยานเอกสาร คอื วัตถใุ ด ๆ ซึ่งได้ทาใหป้ รากฏความหมายด้วยอักษร ตัวเลข ผัง หรือแผน แบบ อาจเป็นจดหมาย บันทึกเจ้าหน้าที่หรือพนักงาน โดยมีข้อความปรากฏในที่ต่าง ๆ โดยปกติแล้วพยาน เอกสารจะน่าเช่ือถือถ้าเป็นต้นฉบับ หรือสาเนาท่ีเจ้าของเอกสารลงลายมือชื่อรับรอง บันทึกต่าง ๆ ที่นามา พิจารณานี้จะต้องเป็นการบันทึกด้วยหมึกปากกาซึ่งมีความคงทนถาวร มากกว่าดินสอซึ่งสามารถแก้ไขปลอม แปลงได้ ท้ังนี้ ในเบ้ืองต้นพึงสันนิษฐานไว้ว่าเอกสารทางราชการหรือเอกสารมหาชนมีความถูกต้องน่าเชื่อถือ เป็นอย่างดี 4.2.3 การพิจารณาพยานหลกั ฐานทเ่ี ก่ยี วกบั การสมคบกันเพ่อื กระทาความผิด พยานหลักฐานท่ีไดม้ าจากการรวบรวมข่าวสาร ขอ้ มลู ทางการข่าว รวมไปถึงแหล่งข่าวเปิด และ แหล่งขา่ วปิด แต่ในการประมวลผลทางการข่าวน้ีจาเป็นต้องคัดแยก หรือเลือกเอาเฉพาะในส่วนท่ีเก่ียวข้องกับ องค์ประกอบการกระทาความผิดในทางอาญาเป็นสาคัญ เพอ่ื จะได้นาไปใช้ต่อได้ หรือนาไปใช้เป็นพยานหลักฐาน ในการดาเนินการตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้มีข้อพิจารณาว่า ความผิดฐานสมคบน้ันแตกต่างจากความผิดอาญา ทั่วไป โดยลักษณะการสมคบกันกระทาความผิดขาดองค์ประกอบในส่วนผลของการกระทาและลักษณะการ กระทาความผดิ ยากแกบ่ ุคคลภายนอกจะรู้ได้ จึงเป็นการยากที่จะหาพยานหลักฐานโดยตรงเพื่อพิสูจน์ความผิด ในประเทศที่มีการใช้ระบบกฎหมาย Common Law จะมีบทบัญญัติให้ศาลต้องรับฟังพยานหลักฐานที่เป็นพยาน

48 พฤตเิ หตุแวดลอ้ มกรณี (circumstantial evidence) และยกเว้นหลักหา้ มรับฟงั พยานบอกเล่า (hearsay exception)1 ซึ่งจะได้อธิบายในหวั ขอ้ ตอ่ ไปน้ี (1) พยานหลักฐานพฤติเหตุแวดล้อมกรณี (circumstantial evidence) หมายถึง พยานซึ่งแสดง ข้อเทจ็ จริงอนั อาจทาให้ศาลพึงอนุมานหรอื สนั นษิ ฐานถึงข้อเท็จจริงในประเด็นได้ ดังน้ัน พยานพฤติเหตุแวดล้อม กรณีจึงไม่ใช่พยานที่พิสูจน์ข้อเท็จจริงท่ีเป็นประเด็นแห่งคดีโดยตรง หากแต่พิสูจน์ข้อเท็จจริงอื่นท่ีบ่งชี้ว่า ข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นแห่งคดีน่าจะเกิดข้ึนอันทาให้ศาลอนุมานหรือสันนิษฐานได้ว่ามีการสมคบกันกระทา ความผิดตามฟ้อง เพราะการสมคบกันกระทาความผิดมีลักษณะของการปกปิดการกระทาความผิดอันเป็น สาระสาคัญของการกระทาความผิดฐานสมคบกันกระทาความผิด ยิ่งมีการปกปิด ซ่อนเร้น อาพราง วางแผน การกระทาความผิดมากเท่าใด ก็ย่ิงเป็นการบ่งชี้ว่ามีการกระทาความผิดฐานสมคบ โดยไม่จาเป็นต้องพิสูจน์ว่า ได้รู้ขั้นตอน แผนการกระทาความผดิ โดยละเอยี ด ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของขนั้ ตอน วธิ ีการ หรอื บุคคลท่ีเกย่ี วขอ้ ง (2) การรับฟังพยานหลักฐานอันเป็นการยกเว้นหลักการห้ามรับฟังพยานบอกเล่า (hearsay) หมายถึง การรับฟังพยานหลักฐานท่ีไม่ใช่พยานโดยตรงท่ีเก่ียวกับการกระทาความผิดนั้น เช่น การส่ือสารด้วย วิธีการอื่นท่ีไม่ใช่การพูด แต่เป็นการส่งสัญญาณ ส่งรหัส หรือรูปภาพ หรือการสื่อสารที่ไม่ใช่รูปแบบของ ตัวอักษร แต่มีเจตนาท่ีจะส่ือสารเป็นความหมายเข้าใจได้ระหว่างกัน ซ่ึงโดยปกติทั่วไปศาลจะไม่รับฟังพยาน เหล่านเ้ี ลย ตัวอย่างพยานหลักฐานในเร่ืองน้ี คือ การท่ีพยานบุคคล หรือพยานเอกสารพาดพิงไปถึงบุคคล อีกคนหน่งึ หรือคารับสารภาพของจาเลย หรือผู้ถูกกล่าวหา แล้วนามาใช้ยืนยันกับจาเลย หรือผู้ถูกกล่าวหาอีก คนหนึ่ง หรือการซัดทอดปากคาวา่ มีบุคคลทีเ่ กีย่ วขอ้ งกับการกระทาความผิดด้วย เปน็ ต้น ทั้งนี้ ในการประมวลผลการข่าว ต้องพิจารณาว่า ผู้ร่วมกระทาความผิดทุกคนต่างก็เป็น ผู้สมรู้ร่วมคิด หรือผู้สมคบกันกระทาความผิดด้วยกันท้ังส้ิน จากนั้น หากได้ข้อมูลข่าวกรองหรือการให้ถ้อยคา ของผู้ท่ีเกี่ยวข้องว่ามีการกระทาประกอบกับการพาดพิงหรือซัดทอดก็จะเป็นเคร่ืองพิสูจน์ความผิดที่ชัดเจนว่า ไดม้ กี ารสมคบกนั กระทาความผิดแลว้ นอกจากนี้ ในความผิดฐานหน่ึงจะมีการสมคบกันกระทาความผิดได้เพียงช้ันเดียวจะไม่มีการ สมคบกันกระทาความผิดซา้ ซ้อนกันไปอีก กลา่ วคอื การเข้าร่วมของผู้สมคบกันกระทาความผิดใหม่ไม่ทาให้เกิด ความผิดฐานสมคบขึ้นอีก ดังน้ัน การเข้าร่วมสมคบกันกระทาความผิดอาจเป็นการกระทาท่ีเกิดขึ้นก่อนหรือ หลังกระทาความผิดแล้วก็ได้ แต่จะต้องไม่มีลักษณะเป็นการเข้าไปกระทาความผิดโดยตรง ซึ่งจะต้องคัดแยก ข่าวกรอง หรือการข่าวออกไปอีกประเภทหน่ึงเพราะเป็นเร่ืองของพยานหลักฐานในการกระทาความผิดน้ัน ๆ โดยตรง ซึ่งในต่างประเทศนน้ั ขา่ วกรองหรอื ข้อมูลข่าวสารท่ีได้มาจากแหล่งข่าวนั้น จะต้องเป็นแหล่งข่าวท่ีเกิด จากความสมัครใจของผู้ให้ข่าว หรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐต้องไปได้ข่าวมาเอง เพื่อป้องกันมิให้เป็นพยานหลักฐานท่ี มิชอบด้วยกฎหมายอันเกิดจากการข่มขู่ ขู่เข็ญ การยุยง การสัญญาว่าจะกระทาการอย่างใดอย่างหน่ึงเป็นการ ตอบแทนแต่อย่างใด 4.3 กระบวนการสรปุ สานวนคดี ตามท่ีได้กล่าวไว้ในบทที่ 3 แล้วว่า การสรุปสานวนคดี (case building) คือ ขั้นตอนการทาสานวนท่ี จะต้องระบุว่าในเร่ืองนี้มีบุคคลหรือส่ิงใดเก่ียวข้องบ้าง และเป็นความเก่ียวข้องสัมพันธ์กันในช่วงระยะเวลาใด ในสภาพแวดล้อมอยา่ งไร มีเหตุปัจจยั ทเ่ี ก่ยี วข้องหรอื ไม่อย่างไร และมีความเก่ียวข้องแนน่ แฟ้นในทางเครือญาติ 1 ไวทยา สามิบตั ิ, “การนาหลักการสมคบกนั กระทาความผิดมาใช้เพื่อป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในประเทศ ไทย,” (วทิ ยานพิ นธป์ ริญญามหาบัณฑิต คณะนิติศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั , 2535), หน้า 64.

49 หรือไม่อย่างไรน้ัน เจ้าหน้าท่ีการข่าวหรือข่าวกรองต้องแยกบุคคลบางจาพวกออกจากผู้สมคบกันกระทา ความผิดในเบื้องต้นเสียก่อนเพื่อความง่ายในการประมวลผล คือ ตัวการผู้กระทาความผิด และผู้ใช้ให้กระทา ความผดิ ส่วนผ้โู ฆษณาให้กระทาความผิดย่อมไม่มีแน่ เพราะการกระทาความผิดด้วยการสมคบกันน้ันเป็นการ กระทาความผิดที่มีการปกปิดรายละเอียด รูปแบบ วิธีการ ขั้นตอน และบุคคลที่เก่ียวข้องข้องอยู่แล้ว และเมื่อ ตัดบุคคลทั้งสองประเภทดังกล่าวได้แล้ว จึงต้องพิจารณาต่อไปว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีการนาหลักเรื่อง การลงโทษผู้สมคบกันกระทาความผิดมาลงโทษเก่ียวกับการทุจริตคอร์รัปชัน แต่ที่มีอยู่บ้างก็เป็นความผิดท่ี เกี่ยวกับยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทาความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 8 และความผดิ เก่ียวกบั การคา้ มนุษยต์ ามพระราชบัญญัตมิ าตรการในการปอ้ งกนั และปราบปรามการค้า หญิงและเด็ก พ.ศ. 2540 มาตรา 7 รวมไปถึงความผิดท่ีเก่ียวกับการฟอกเงินตามพระราชบัญญัติป้องกันและ ปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 9 ซ่ึงความผิดฐานฟอกเงินน้ีได้นาหลักความรับผิดในการกระทา ของบุคคลอ่ืนและหลักการถอนตัวจากการกระทาความผิดมาบัญญัติไว้เหมือนกับพระราชบัญญัติมาตรการ ป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ. 2540 แต่กฎหมายฉบับน้ีมีความพิเศษขึ้นคือในพระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ได้มีการกาหนดให้มีเคร่ืองมือในการแสวงหาพยานหลักฐาน เก่ียวกับพฤติการณ์การฟอกเงิน เพ่ือดาเนินมาตรการทางแพ่ง ตามที่กาหนดไว้ในพระราชบัญญัติฉบับนี้ซ่ึง พยานหลักฐานทีไ่ ด้จากเครื่องมือดงั กลา่ ว สามารถนาไปใช้พสิ จู นค์ วามผดิ ในคดอี าญาได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะ อยา่ งย่งิ ความผิดฐานสมคบกันกระทาการฟอกเงินนี้ จึงถือเป็นบทบัญญัติในส่วนกฎหมายวิธีสบัญญัติที่เก่ียวข้อง กับการแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์การกระทาความผิดซึ่งมีความจาเป็นอย่างมากในการแสวงหาพยานหลักฐาน โดยเฉพาะในความผิดฐานสมคบ2 ข้อพจิ าณาเพมิ่ เติม คอื ในประเทศท่ีใช้ระบบกฎหมายแบบ Common Law ได้มีการพิจารณารูปแบบ การสมคบกันกระทาความผิด เพ่ือให้ทราบความแตกต่างของแต่ละการสมคบกันกระทาความผิดที่เกิดข้ึนเพื่อ ใช้ประโยชน์ในการปราบปรามผู้กระทาความผิดที่กระทาเป็นขบวนการ หรือรูปแบบองค์กรอาชญากรรมโดย แบง่ ประเภทการสมคบกันกระทาความผดิ ตามรปู แบบการตกลงกระทาความผดิ 3 ดังน้ี (1) กรณีการสมคบกันกระทาความผดิ กรรมเดยี ว คือ การสมคบกันกระทาความผิดที่มีวัตถุประสงค์มิ ชอบด้วยกฎหมายหลายอย่าง แต่ถ้าได้ตกลงกระทาความผิดแล้วเพียงครั้งเดียว ถือว่ามีการสมคบกันกระทา ความผดิ เพยี งกระทงเดียว (2) กรณีการสมคบกันกระทาความผิดโดยมีการติดต่อท่ีมีรูปแบบเหมือนลูกโซ่ คือ ผู้สมคบท้ังหมด ตดิ ต่อกันได้รับผลประโยชน์จากความสาเร็จของการกระทาแต่ละส่วนหรือรู้ถึงการติดต่อกันได้รับผลประโยชน์ จากความสาเร็จของการกระทาแต่ละส่วนหรือรู้ถึงการติดต่อตกลงในแต่ละส่วน ถือว่า การสมคบกันกระทาความผิด แบบลกู โซ่เป็นความผิดฐานสมคบกระทงเดียวฐานเดียว แต่ความผิดที่เกิดขึ้นน้ันสาเร็จได้โดยการกระทาหลาย ๆ การกระทาจงึ จะเปน็ ความผดิ สาเร็จได้ (3) กรณีการสมคบกันกระทาความผิดโดยมีติดต่อตกลงกับคนกลาง คือ มีการสมคบกันโดยผู้ตกลง แต่ละคนไม่ได้ติดต่อสัมพันธ์กันเองเลย แต่ละคนได้ติดต่อกับคนกลางเท่านั้น ซ่ึงลักษณะการติดต่อกันเช่นน้ี มีลักษณะเหมือนล้อรถ คนกลางเปรียบเสมือนคนคุมล้อรถเท่านั้น ซ่ึงในการดาเนินคดีความผิด เมื่อสามารถ ดาเนินการกับผู้สมคบท่มี ีลักษณะเป็นซี่ล้อรถ กส็ ามารถเก่ียวโยงดาเนินคดีกับคนกลางซ่ึงทาหน้าท่ีเป็นดุมล้อรถ 2 ปรางทิพย์ โพธิ์แก้ววรางกูล, “การนาเอามาตรการสมคบกันกระทาความผิดมาบังคับใช้กับพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนญู วา่ ด้วยการป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ พ.ศ.2542,” (วิทยานิพนธ์ปริญญานิพนธ์มหาบัณฑิต คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , 2550), หนา้ 189. 3 ไวทยา สามบิ ตั ิ, หน้า 111.

50 และในลักษณะเช่นเดียวกัน ก็อาศัยความเกี่ยวพันของคนกลางน้ี ดาเนินคดีกับผู้สมคบกระทาความผิดอ่ืน ทเี่ ปรียบเสมอื นซี่ลอ้ รถท้ังหมดได้ ลักษณะคดีของประเทศไทยส่วนใหญ่จะมีการสมคบกันกระทาความผิดแบบไม่มีคณะบุคคลเป็น ศูนย์กลางไม่มีสมาชิก ไม่มีวิธีการและความมุ่งหมายอันถาวร ทุกคนอยู่ในสถานะที่เท่าเทียมกัน ด้วยเหตุนี้ใน การแยกแต่ละการสมคบกันกระทาความผิดจึงพิจารณาจากเจตนาในการตกลงกันกระทาความผิดเป็นกรรม ๆ ไป กล่าวคือ ความผิดฐานสมคบจะเป็นกรรมเดียวกับความผิดท่ีกระทาข้ึนตามท่ีได้สมคบกันหรือไม่คงต้องแล้วแต่ เจตนาในการสมคบกันกระทาความผิดตามที่ได้กระทาข้ึน4 เช่น ในการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างหนึ่งครั้งก็เป็น ความผิดเพียงหนึ่งกรรม ไม่ได้แยกออกจากกันออกไปเป็นความผิดอ่ืนต่างหากจึงเป็นการตกลงเป็นเรื่องๆ ไป ซ่ึงในปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายที่เก่ียวกับการลงโทษผู้สมคบกันกระทาความผิดในความผิดท่ีเก่ียวกับการทุจริต คอรร์ ัปชัน ทาให้ความผิดท่ีปรากฏเป็นความผิดเพียงกรรมเดียว ซึ่งส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพ การบังคับใช้ กฎหมายทม่ี ีวตั ถปุ ระสงค์ป้องกนั และปราบปรามการทจุ รติ ดงั นนั้ การทา case building น้ัน เจ้าหน้าท่ีการข่าวหรือข่าวกรองจะต้องสรุปพยานหลักฐาน เหตุผล ความสัมพันธ์ต่าง ๆ ให้ได้ว่า ได้มีการกระทาความผิดเป็นประจาถาวร หรือผู้กระทาความผิดแต่ละคนต้องรู้ถึง การกระทาของตนเองว่าเป็นความผิดแต่ละส่วน หรือได้รับผลประโยชน์ตอบแทนในความผิดสาเร็จของการ ติดต่อประสานการทางานทั้งหมด ว่าไม่สามารถแยกขาดการกระทาอย่างหนึ่งได้มิเช่นน้ันแล้วการกระทา ความผิดจะไม่สาเร็จเลย เพราะบางกรณีหากแยกพิจารณาเฉพาะการกระทาบางอย่างแล้วก็ยังไม่ถือว่าเป็น ความผดิ ตามกฎหมาย แต่ผลสาเรจ็ ของการกระทาหลาย ๆ อยา่ ง มารวมกนั เสมือนกับการเป็นลูกโซ่ต่อเน่ืองกัน จึงทาให้ความผิดสาเร็จได้และเมื่อสามารถพิสูจน์ได้ดังน้ีแล้วย่อมเป็นฐานข้อมูลเบ้ืองต้นเพื่อใช้ในการพิจารณา ว่า สมควรจะนาพยานหลักฐานที่ได้จากการประมวลผลทางการข่าวหรือข่าวกรองน้ีไปใช้ในการประเมินคุณค่า ข่าวกรอง (evaluation) ว่าสิง่ ที่ได้มาในช้ันน้ีสามารถพิสูจน์ให้ศาลเห็นได้ว่ามีการสมคบกันกระทาความผิดของ แต่ละคนทง้ั หมดในกระบวนการลูกโซ่น้ี ซงึ่ เปน็ ขนั้ ตอนตอ่ ไป จะเห็นได้ว่า ในการประมวลข้อมูลข่าวสารออกมาเป็นเรื่องราวหรือเหตุการณ์ ซ่ึงต้องใช้มนุษย์ ดาเนินการ หลักการดาเนินการจะเหมือนกับการดาเนินกรรมวิธีในการผลิตข่าวกรองทั่วไป ได้แก่ การนาเอา ข้อมูลข่าวสารท่ีได้มารวบรวมปะติดปะต่อประมวลเป็นเร่ืองราวหรือเหตุการณ์ ซ่ึงต้องอาศัยความละเอียดของ เจ้าหน้าที่ด้านการข่าวหรือข่าวกรองเป็นสาคัญ โดยแยกข่าวที่ไม่เป็นประโยชน์หรือข่าวที่ขาดความน่าเชื่อถือ ออกไป ต้องสามารถดึงเอาเร่ืองท่ีต้องการจะใช้ หรือมีความสาคัญออกมาให้ใช้เป็นประโยชน์และผูกเร่ืองราว ต่าง ๆ เข้าด้วยกันออกมาเป็นภาพใหญ่ ด้วยเหตุน้ีเองเจ้าหน้าที่ด้านการข่าวหรือข่าวกรอง จึงต้องนาหลักใน เรอื่ งการสมคบกันกระทาความผดิ มาใชเ้ ป็นเครือ่ งมอื ในการประมวลผลขา่ วกรอง คัดแยกส่ิงที่สาคัญออกมาโดย พิจารณาจากลาดับการกระทาความผิดมาถึงขั้นลงมือกระทาความผิด และเมื่อหลักของการสมคบกันกระทา ความผดิ อยูใ่ นขน้ั ตกลงใจอนั เปน็ การเร่มิ ต้นของความผิดแลว้ การนาหลักในเรื่องการสมคบกันกระทาความผิด มาใช้ในการประมวลผลทางด้านการขา่ วหรอื ขา่ วกรอง จงึ เปน็ กระบวนการกาหนดกรอบความคิดของเจ้าหน้าที่ ด้านการข่าวหรือข่าวกรอง ให้สามารถนาข้อมูลข่าวสารหรือข่าวกรองมาใช้เป็นเครื่องมือในการประกอบการ พิจาณาประเมินคุณค่าทางการข่าวหรือข่าวกรองของพยานหลักฐานในคดีทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งมีโทษทางอาญา มาใช้เป็นประโยชน์ และยังเป็นการส่งเสริมประสิทธิภาพ การบังคับใช้กฎหมายในการดาเนินการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต และเป็นการกาหนดกรอบความคิดในการประมวลข้อมูลข่าวสารท่ีได้รับจากแหล่งข่าว ตา่ ง ๆ ให้มีขอบเขตท่เี หมาะสมต่อไป 4 เรื่องเดยี วกนั , หนา้ 112-113.

บทท่ี 5 สรปุ และข้อเสนอแนะ 5.1 สรุปผลการศกึ ษา จากท่ีได้ศึกษาหลักกฎหมายในเร่ืองการสมคบกันกระทาความผิด (conspiracy) นั้น มีท่ีมาจากหลัก กฎหมาย Common Law ทต่ี ้องการนาพยานหลกั ฐานแวดลอ้ มตา่ ง ๆ ที่มคี ุณค่า และมีน้าหนักมากพอที่จะเช่ือมโยง การกระทาของบุคคลที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทาความผิดโดยตรง ซึ่งได้แก่ ตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน การกระทาความผดิ ในทางอาญามาลงโทษ เน่ืองจากการกระทาความผิดบางอย่างมีลักษณะเป็นการร่วมมือกัน ทา ลาพงั แตก่ ารกระทานัน้ ยังไมส่ ามารถรับฟังเพียงพอได้ว่าการกระทาเช่นน้ันเป็นการกระทาความผิด แต่ต้อง เป็นการสืบให้เห็นว่า องค์ประกอบความผิดอาญาท่ัวไปที่เน้นไปท่ีการกระทาหรือละเว้นการกระทา น้ันก็เป็น ความผิดท่ีชัดเจนในตัวเอง และยังมีความผิดแวดล้อมอ่ืน ๆ ซึ่งเรียกว่าความผิดฐานสมคบโดยบุคคลท่ีเข้ามา เกี่ยวข้องด้วย คือ ผู้สมคบกันกระทาความผิด โดยมีเจตนาและวัตถุประสงค์อันเป็นการกระทาความละเมิดต่อ กฎหมายท่ีมีโทษทางอาญา ซึ่งความผิดฐานสมคบน้ี ถือเป็นการกระทาในข้ันตอนการตกลงใจเป็นการเริ่มต้น ความผิด โดยไมจ่ าเป็นตอ้ งมผี ลของการกระทาความผิดเกิดขน้ึ แม้ว่าการลงโทษผู้สมคบกันกระทาความผิดจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นการขยายขอบข่ายการบังคับ ใช้กฎหมายเพื่อให้บุคคลต้องรับโทษจากการคิดตัดสินใจของบุคคล ซึ่งยังไม่มีพฤติกรรมการกระทาภายนอก ออกมากต็ าม ความผดิ ฐานสมคบจึงเปน็ ความผดิ ที่ยังไมช่ ัดเจนและแน่นอน เนื่องจากต้องมีการพิสูจน์ให้เห็นถึง พยานหลักฐานต่าง ๆ พร้อมกับความเช่ือมโยงกับการกระทาความผิดหลัก ดังนั้นในต่างประเทศจึงได้มีการ กาหนดให้ความผิดอาญาเรื่องใดบ้างท่ีมีความผิดฐานสมคบได้เพ่ือทาให้ความผิดฐานสมคบนั้นมีความชัดเจน มากย่ิงย่งิ ขน้ึ โดยกาหนดไว้เปน็ เร่อื งเฉพาะความผดิ น้ัน ๆ แต่อย่างไรก็ตามความผิดที่มีความร้ายแรงบางอย่าง กฎหมายต่างประเทศก็ไม่ได้กาหนดไว้ แต่ก็มีการนาเอาหลักกฎหมายในเรื่องนี้มาใช้ด้วย เช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น กฎหมายท่ีเกี่ยวกับการรักษาไว้ซ่ึงความสงบเรียบร้อยของรัฐ กฎหมายที่เก่ียวกับความม่ันคงทาง เศรษฐกิจ กฎหมายที่เก่ียวกับยาเสพติด กฎหมายที่เกี่ยวกับการดาเนินการจับกุมบุคคลในองค์กรอาชญากรรม และกฎหมายที่เกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชันทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน เป็นต้น ซึ่งในส่วนนี้ประเทศไทยก็ ได้รับอิทธิพล เรื่องดังกล่าวด้วยเช่นเดียวกัน จึงได้มีการนาหลักในเรื่องความผิดเก่ียวกับการสมคบกันนี้มา บัญญัติไว้เป็นกฎหมายเฉพาะกรณี เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กฎหมาย เกยี่ วกบั การปอ้ งกันและปราบปรามยาเสพติด และกฎหมายเกีย่ วกับการค้ามนษุ ย์ ในส่วนนี้ จะเห็นได้ว่ายังไม่มีการนาหลักการ เรื่อง การสมคบกันกระทาความผิด มาบัญญัติไว้ใน กฎหมายท่ีเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และหากจะมีข้ึนในอนาคต การเสาะแสวงหาและ รวบรวมพยานหลกั ฐานที่เก่ียวกับการสมคบกันกระทาความผิด จะเป็นเรื่องท่ีไม่สามารถดาเนินการด้วยวิธีการ ไต่สวนตามปกติได้ แต่ต้องนางานด้านการข่าวมาใช้เป็นเครื่องมือผสมผสานเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ และสรุปให้เหน็ ถึงความเชื่อมโยงระหว่างเหตุการณ์ บุคคล พยานหลักฐานต่าง ๆ เข้าด้วยกัน และเมื่อพิจารณา ในทางกลับกัน ในกระบวนงานด้านการข่าวทั้งหมดก็เป็นกระบวนการท่ีเปิดรับข้อมูลข่าวสารจานวนมาก ทง้ั แหล่งขา่ วปิดและแหล่งข่าวเปิด ซ่ึงทาให้การคัดกรองข้อมูลข่าวสารที่มากอยู่แล้วนั้น กลายเป็นภาระแก่การ ปฏิบัติงานด้านการข่าวหรือข่าวกรองด้วยเช่นเดียวกัน ดังน้ัน จึงสมควรที่จะนาเอาหลักกฎหมายในเร่ืองการ สมคบกนั กระทาความผิดมาเป็นเคร่อื งมือ เพอื่ ช่วยเจ้าหน้าทดี่ ้านการข่าวหรือข่าวกรองในการทางานในข้ันตอน การประมวลผลการข่าว เพื่อคัดกรองนาข้อมูลข่าวสารท่ีได้มาน้ันนาไปใช้ในการประเมินคุณค่าของข่าวกรองต่อไป

52 และหากเมื่อได้มีการประเมินคุณค่าของข่าวกรองแล้ว จึงจะได้นามาใช้เป็นประโยชน์ในแง่พยานหลักฐาน เพ่ือใชใ้ นการดาเนนิ คดีกับผู้กระทาความผิดฐานสมคบกนั กระทาความผิดทเ่ี กีย่ วกับการทจุ ริตคอรร์ ัปชันตอ่ ไป 5.2 ขอ้ เสนอแนะ จากการที่ได้ศึกษาถึงหลักเกณฑ์ แนวความคิดเกี่ยวกับการสมคบกันกระทาความผิด และการ ประมวลผลทางการข่าวดังที่ได้กล่าวมาในบทที่ 1 ถึงบทที่ 4 แล้วนั้น ในส่วนนี้ผู้ศึกษาวิจัยขอนาประเด็นท่ีควร แก่การพิจารณามาเป็นข้อเสนอแนะ เพ่ือจะได้เป็นแนวทางในการส่งเสริมประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ด้านการข่าวในข้ันตอนการประมวลผลการข่าว และเป็นแนวทางในการพิจารณาและวางหลักเกณฑ์ในการ ปฏิบตั หิ น้าท่ีราชการทเ่ี หมาะสมกบั สานักงาน ป.ป.ช. ต่อไปดงั น้ี ผู้ศกึ ษาวิจัยขอสนับสนุนให้มีการบัญญัติให้การสมคบกันกระทาความผิดเป็นองค์ประกอบความรับผิด อย่างหนึ่งเพ่ิมเติมในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม ไว้เป็นความผิดเฉพาะเนื่องจากในปัจจุบันยังคงยึดหลักดาเนินการตามประมวลกฎหมาย อาญาท่ีบัญญัติให้ ตัวการ ผู้ใช้ และผู้สนับสนุนต้องรับผิดเท่าน้ัน แต่ยังปรากฏว่ามีผู้สมคบกันกระทาความผิด ยังหลุดพ้นความรับผิดในทางอาญาอันเกิดจากการทุจริตคอร์รัปชัน ทั้งน้ี สานักการข่าวและกิจการพิเศษ ซึ่งมี หน้าทีท่ างดา้ นปฏิบัติการข่าว และดาเนนิ การตามภารกจิ ท่ีไดร้ บั มอบหมายจากผู้บังคับบญั ชาน้ันต้องปฏิบัติงาน ตามกระบวนงานด้านการข่าวอยู่แล้ว การนาแนวความคิดและหลักกฎหมายในเร่ืองการสมคบกันกระทา ความผดิ มาเป็นเคร่ืองมือในการกลั่นกรองข้อมูลข่าวสาร ท่ีได้รับจากแหล่งข่าวเปิดและแหล่งข่าวปิด เนื่องจาก บุคลากรของสานักการข่าวและกิจการพิเศษมีความรู้ความสามารถด้านการข่าวเป็นเบ้ืองต้นอยู่แล้วการนา แนวความคิดในเร่ืองการสมคบกันเพื่อกระทาความผิดมาใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาพยานหลักฐาน อันเกี่ยวกบั การทจุ ริตและสนับสนุนภารกิจของสานักงาน ป.ป.ช. ได้โดยงา่ ย อีกท้งั ยงั เป็นการสง่ เสรมิ การปฏิบัติ หนา้ ทร่ี าชการมคี วามกระชับและใช้ทรัพยากรที่มอี ย่ใู หเ้ กดิ ประโยชนส์ ูงสุดด้วย

53 บรรณานุกรม หนังสือ ก่ิงอ้อ เล่าฮง. (2549). การปฏิบัตกิ ารขา่ วสาร ข่าวลือ และแบบแผนพฤติกรรมฝูงชนวุ่นวาย: กรณีศึกษา เปรียบเทยี บเหตุการณโ์ จรนนิ จาและเหตุการณ์จับนาวกิ โยธินในภาคใตข้ องประเทศไทย. วิทยานพิ นธ์ปรญิ ญามหาบัณฑิต สาขารฐั ศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลยั . กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . ฉตั รพงศ์ ฉัตราคม. (2552). ข่าวกรองจากแหลง่ เปิด. จุลสารความมั่นคงศกึ ษา. กรงุ เทพมหานคร: สถาบัน การข่าวกรอง สานกั ข่าวกรองแห่งชาต.ิ ฉตั รพงศ์ ฉัตราคม. (2553). การผลติ ขา่ วกรองจากแหล่งเปดิ . จุลสารความม่ันคงศึกษา. กรงุ เทพมหานคร: สถาบนั การข่าวกรอง สานักข่าวกรองแหง่ ชาติ. ฉนั ทิมา อ่องสุรักษ์. (2550). เครอื่ งมือดาเนนิ นโยบายตา่ งประเทศ: งานข่าวกรอง. กรุงเทพมหานคร: บริษทั สอ่ งศยามจากัด. ไทพีศรีนิวัติ ภกั ดีกลุ . (2534). การสบื สวนสอบสวนทางอาญา. เอกสารประกอบคาสอนคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์. (2537). ความรูเ้ บ้ืองตน้ การสืบสวนอาชญากรรม. กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพว์ ันใหม่. ไวทยา สมิบตั .ิ (2535). การนาหลักการสมคบกนั กระทาความผิดมาใชเ้ พื่อป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ในประเทศไทย. วิทยานพิ นธป์ รญิ ญามหาบณั ฑิต สาขานิติศาสตร์ บณั ฑิตวทิ ยาลัย. กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ปรางทิพย์ โพธแ์ิ กว้ วรางกลู . (2550). การนาเอามาตรการสมคบกระทาความผิดมาบังคบั ใช้กับ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนญู ว่าดว้ ยการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ รติ พ.ศ.2542. วทิ ยานิพนธป์ ริญญามหาบัณฑิต สาขานติ ศิ าสตร์ บณั ฑติ วิทยาลยั . กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย. สมยศ จันทรสมบัติ. (2538). ผู้รว่ มในความผิดท่ีมใิ ช่ตัวการ ผใู้ ช้ ผสู้ นบั สนุน. วทิ ยานพิ นธ์ปริญญา มหาบัณฑติ สาขานิตศิ าสตร์ บัณฑติ วิทยาลัย. กรงุ เทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. สุรพล ไตรเวทย.์ (2523). conspiracy กบั กฎหมายยาเสพตดิ . กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์นุกลู กิจ. สนุ ีย์ มัลลิกะมาลย์. (2540). วิทยาการวจิ ัยทางนติ ิศาสตร์. กรงุ เทพมหานคร: สานกั พิมพน์ ติ ธิ รรม. อนันต์ เพชรใหม่ และคณะ. (2553). การนาเทคนคิ การสบื สวนสอบสวนพเิ ศษมาใชก้ บั สานักงาน ป.ป.ช.. นนทบรุ ี: สานกั งาน ป.ป.ช.. Website (Online) Available HTTP :http://www.nacc.go.th (Online) Available HTTP :http://www.oncb.go.th (Online) Available HTTP :http://www.nsc.go.th (Online) Available HTTP :http://www.dsi.go.th