บทที 1 ความรู้เบืองต้นเกยี วกบั ภาษาไทย ภาษา คือระบบสญั ลกั ษณ์ทีมนษุ ย์สร้างขึนเพือสือความหมาย และมีระบบกฎเกณฑ์ทีแน่นอน ด้วยเหตนุ ีการศกึ ษาภาษาใดใดก็ตามจาํ เป็นทีผ้เู รียนต้องศึกษาระบบกฎเกณฑ์ของภาษานนั ๆ เพือให้ใช้ภาษาได้ถกู ต้อง เชน่(1) ปลา กิน มด(2) มด กิน ปลา(3) *กิน มด ปลา จากประโยคตวั อยา่ ง 3 ประโยค จะเหน็ วา่ ทงั 3 ประโยคมีจํานวนคําเท่ากัน และเหมือนกนั คือคาํ ว่า ปลา กิน และมด ประโยคที 1กบั ประโยคที 2 เรียงลําดบั คําวา่ ปลา กบั มด ตา่ งกนั ส่งผลให้ความหมายของประโยคทงั สองต่างกนั ไปด้วย กลา่ วคือประโยคที 1 คาํ วา่ “ปลา”อยตู่ ้นประโยค จงึ เป็นประธานของประโยค กระทํากริยาอาการกิน สว่ นคําว่า “มด” ปรากฏหลงั คํากริยา “กิน” จงึ เป็นกรรม ทถี กู ปลากิน ส่วนประโยคที 2 คําวา่ “มด” ปรากฏต้นประโยค จงึ กลายมาเป็นประธานของประโยค กระทํากริยาอาการกินปลา ซงึ ปรากฏเป็นกรรมทที ้ายประโยคและสดุ ท้ายประโยคที 3 ผู้ใช้ภาษาไทยทุกคนจะตัดสินให้เป็นประโยคทีผิด ไม่ใช้สือสารกัน เนืองจากมีการเรียงลําดับทีผิดไปจากระบบกฎเกณฑ์ของภาษาไทย ด้วยเหตนุ ี ผู้เรียนภาษา ไม่วา่ จะภาษาใดใดก็ตาม จาํ เป็นต้องศกึ ษาระบบกฎเกณฑ์ของภาษานนั ด้วย เพือทจี ะเข้าใจระบบกฎเกณฑ์ของภาษานนั ๆ และใช้ภาษาได้อยา่ งสมั ฤทธิผล1. ลกั ษณะทวั ไปของภาษา 1.1 ภาษาพดู (spoken language) เป็นภาษาทีแท้จริงของมนษุ ย์ ดงั จะเห็นได้จากภาษาทกุ ภาษาในโลกนี ต่างมีเสียงพดู แตม่ ีอยู่ไมก่ ีภาษาทีมีอกั ษร หรือระบบตวั เขียน หรือแม้แตเ่ ด็กแรกเกิด เมอื โตขึน ก็จะพดู ได้กอ่ นเขียน คนทไี มไ่ ด้เรียนหนงั สือหรืออ่านหนงั สือไมอ่ อก ก็ยงั สามารถทีจะพดู ติดตอ่ กบั บคุ คลอนื ได้ สว่ นอกั ษรหรือตวั เขียนเป็นสิงทมี นษุ ย์ประดษิ ฐ์ขึนมาภายหลงั เพอื ใช้แทนเสียงพดู เพอื มใิ ห้เสียงพดู นนัสญู หายไป ดงั นนั อกั ษรหรือสญั ลกั ษณ์ทปี ระดิษฐ์ขึนนีจงึ ไมใ่ ชภ่ าษาทแี ท้จริง หากเป็นตวั แทนของภาษาพดู อนั เป็นภาษาทแี ท้จริง 1.2 ภาษามีโครงสร้าง โดยโครงสร้ างของภาษาประกอบด้วยรูป (form) ซึงในทีนีหมายถึงเสียงกับ ความหมาย (meaning) เช่น หมา ออกเสียงว่า หมายถึง สัตว์เลียงลกู ด้วยนมชนิดหนึง ลําตวั มีขน มีเขียว มี 4 เท้า มกั เลียงไว้เป็นสตั ว์บ้าน เป็นต้น พึงสงั เกตวา่ ถ้ามีแต่รูป แต่ไม่มีความหมายหรือสือความหมายไม่ได้ รูปนันก็ไมเ่ ป็นภาษา ในทางกลบั กนั ถ้ามีแตค่ วามหมาย แต่ไม่มีรูป ก็เป็นเพียงความคิด ไมใ่ ชภ่ าษาหรือเป็นภาษาทีไมส่ มบรู ณ์ เพราะไมส่ ามารถสือความคิดนนั ได้ 1.3 ภาษาเป็นสิงสมมติ ทีไมส่ ามารถอธิบายความสมั พนั ธ์ระหวา่ งรูป (form) กบั ความหมาย (meaning)อยา่ งเป็นเหตเุ ป็นผลได้ เราไมส่ ามารถอธิบายได้วา่ ทําไม ในภาษาไทยจึงเรียกว่า หมา [หมา] ในภาษาองั กฤษจึงเรียกว่า dog ในภาษาฝรังเศสจงึ เรียกว่า chienในภาษาเยอรมนั เรียกวา่ hund หรือในภาษาจีนเรียกว่า 狗 เป็นต้น ทําไมในภาษาไทยจงึ ไมเ่ รียกสตั ว์ชนิดนีวา่ แมว หรือ นก ดงั นันรูปและความหมายในภาษาจงึ เป็นเพียงสิงสมมติ ทีมนษุ ย์กําหนดขึนเพือใช้สือความหมายระหว่างกัน คนทีเป็นผ้ใู ช้ภาษาของแตล่ ะสงั คมจึงเป็นผ้กู ําหนดความสมั พนั ธ์ระหวา่ งรูปกบั ความหมายนนั ๆ ขนึ มา1.4 ภาษามีระบบกฎเกณฑ์ทีแน่นอนภาษาแตล่ ะภาษามีระบบกฎเกณฑ์ของตนเอง กฎเกณฑ์ตา่ งๆ นนั อาจเหมอื นหรือแตกต่างกนัก็ได้ ระบบกฎเกณฑ์ทีว่านีเกิดจากคนในสงั คมทีพดู ภาษาเดียวกันนันตกลงและทําความเข้าใจระบบกฎเกณฑ์นนั อนั จะทําให้การใช้ภาษาสือสารเข้าใจตรงกัน เชน่ ในสงั คมไทย คนทีพดู ภาษาไทยตกลงกนั วา่ เรียกว่า หมา [หมา] หรือการสร้างประโยคนนั จะเรียงลําดบั แบบประธาน กริยา กรรม ดงั ประโยค แม่ กิน ข้าว แตถ่ ้าเรียงใหมเ่ ป็น *กิน แม่ ข้าว ด้วยการเรียง กริยา ประธาน กรรม ก็จะได้ประโยคทีไมถ่ กู ต้อง เป็นต้น 1.5 ภาษาเป็นสิงทีต้องเรียนรู้ ไม่ใช่สญั ชาตญาณ สญั ชาตญาณหมายถึงความรู้ทตี ิดตวั มาตงั แต่เกิดโดยไม่มใี ครสงั สอน เชน่ เมือเราเอาลกู สนุ ัขมาเลียง โดยไม่ให้มันพบเจอสนุ ัขตัวอืนๆ เลย เมือโตขึน เวลามันขับถ่าย ก็จะแสดงพฤติกรรมเขียกลบฉีหรือมลู ของมนั เฉกเชน่ เดียวกบั สนุ ขั ตวั อนื ๆ พฤติกรรมทีตดิ ตวั มาแตเ่ กิดเชน่ นี เราเรียกวา่ สญั ชาตญาณ ตา่ งจากภาษา ทีเป็นสิงทมี นษุ ย์สร้างและตกลงกนั ดงั นนั
2106101 Thai Grammar and Thai Language Usage 2ภาษาจึงไม่ได้ถกู ถ่ายทอดทางพนั ธ์ุกรรม แต่เมือเกิดมาแล้ว มนุษย์ต้องเรียนรู้ภาษาจากสงั คมมนษุ ย์ด้วยกัน หลายกรณ๊ทีมนษุ ย์เกิดมา และไมไ่ ด้เข้าสงั คม คือไมพ่ บเจอมนษุ ย์ด้วยกนั เอง มนษุ ย์คนนันก็จะไม่ได้เรียนรู้ภาษา และไมส่ ามารถสือสารได้ หรือเด็กแรกเกิดทีพอ่ แม่เป็นคนไทย แต่ไปเติบโตทีอเมริกาตงั แต่เกิดในความดูแลของพ่อแม่บุญธรรมทีเป็นคนอเมริกาและพูดภาษาอังกฤษ เมือโตขึน เด็กคนนีก็จะพูดภาษาองั กฤษ เพราะเขาได้เรียนรู้ระบบกฎเกณฑ์ภาษาองั กฤษจากสงั คมทีเขาเตบิ โต 1.6 ภาษามลี กั ษณะเป็นผลติ สภาวะ กลา่ วคือภาษาใดใดก็ตาม ผู้ใช้ภาษาสามารถสร้างประโยคใหมไ่ ด้อยา่ งไมจ่ ํากดั ประโยคบางประโยคทเี ราพดู ในขณะนี อาจเป็นประโยคทีเราหรือใครก็ตามทีพดู ภาษาเดียวกบั เรายงั ไมเ่ คยพดู มาก่อน หรือเราสามารถสร้างคาํ ใหมเ่ พอื ใช้เรียกสิงประดษิ ฐ์ หรือแนวคิดใหมๆ่ ทีเกิดขึนได้อยา่ งไมจ่ ํากัด ด้วยวธิ ีการสร้างคําทีมีอยใู่ นภาษา เชน่ ในสมยั ก่อนไมม่ ีต้เู ย็น แตพ่ อมาในสมยั ทีสิงประดิษฐ์นีเกิดขึน เราก็สร้างคาํ ใหมใ่ ช้เรียก ด้วยการนําคําว่า “ต้”ู มาประสมกบั คําว่า “เย็น” กลายเป็น “ต้เู ย็น” หมายถึงเครืองใช้ไฟฟา้ ทีมีลกั ษณะเป็นตู้ ภายในมีอณุ หภมู ิตาํ ใช้เก็บรักษาอาหาร เป็นต้น 1.7 ภาษาเป็นวฒั นธรรม วฒั นธรรมคอื สิงทมี นษุ ย์สร้างขึน อนั นํามาซงึ ความเจริญงอกงาม ดงั นนั ภาษาจงึ เป็นวฒั นธรรมอยา่ งหนึงของมนษุ ย์ ทีมนุษย์สร้ างเพือสือสารระหวา่ งกันในทางกลับกนั วฒั นธรรมอืนๆ จะดํารงอยู่ได้ก็ด้วยภาษาเป็นตวั ถ่ายทอดวฒั นธรรม ดงั เช่นบนั ทึก พงศาวดาร จดหมายเหตุ หรือวรรณคดีวรรณกรรมต่างๆ ทีบนั ทึกด้วยภาษาเขียนหรือมขุ ปาฐะต่างๆ ก็ตาม ต่างอาศยั ภาษาเป็นตัวถา่ ยทอดจากรุ่นสรู่ ุ่นทงั สิน 1.8 ภาษามีการเปลียนแปลง เฉกเช่นเดียวกับวฒั นธรรมอนื ๆ ทีมีการเปลียนแปลงไป ภาษาก็เชน่ เดียวกนั ทีมีการเปลียนแปลงไปตามกาลเวลา หากให้คนในปัจจุบันสนทนากบั คนในสมัยสโุ ขทยั แม้จะพดู ภาษาไทยเหมือนกัน แต่ก็จะสือสารได้อย่างยากลําบาก เพราะภาษาไทยในสมยั สโุ ขทยั กับภาษาไทยในปัจจบุ นั นันแตกตา่ งกัน เช่น คําว่า แพ้ ทีในสมยั สโุ ขทยั หมายถึง ชนะ แต่ปัจจบุ นั หมายถึง แพ้ ซงึ สู้ไมไ่ ด้2. ลักษณะของภาษาไทย 2.1 ภาษาไทยเป็นภาษาคําโดด (Isolating language) ภาษาคําโดด ไม่ได้หมายถึงภาษาทีมีคําในภาษาเป็นคําพยางค์เดียว แต่หมายถงึ ภาษาทีคาํ ในภาษาไมม่ กี ารเปลยี นแปลงรูปคาํ เพอื บอกความหมายทางไวยากรณ์ หรือบอกความคล้อยตามกนั กบั คําอนื ๆ ดงั ตวั อยา่ งประโยค “เด็กว่ายนํา” นัน คําว่า “เด็ก” อาจหมายความถึงเด็กคนเดียว หรือเด็กหลายคนก็ได้ ดังจะเห็นได้ว่าคําว่า “เด็ก” นัน ไม่มีการเปลียนแปลงรูปคําเพอื บอกความหมายทางไวยากรณ์หรือพจน์แต่อยา่ งใด เฉกเชน่ เดยี วกบั คาํ กริยา “วา่ ยนํา” ทีอาจจะเกิดขนึ ในอดีต ปัจจบุ นัหรืออนาคตก็ได้ แตร่ ูปคําก็ไมม่ กี ารเปลียนแปลงเพอื บอกกาลหรือเวลาทเี กิดขึนแตอ่ ยา่ งใด 2.2 ภาษาไทยไม่มีการเปลียนแปลงรูปคําเพือแสดงประเภททางไวยากรณ์ (grammatical categories) ประเภททางไวยากรณ์หมายถึงลกั ษณะใดใด ก็ตามทีเกียวข้องกบั คําแตล่ ะชนิด โดยเฉพาะคาํ นามและคํากริยา เชน่ บรุ ุษ เพศ พจน์ การชีเฉพาะ การนับได้หรือนบัไมไ่ ด้ กาล การณ์ลกั ษณะ มาลา วาจก เป็นต้น ดงั เชน่ ในภาษาองั กฤษ คํานามทนี ับได้ หากมจี ํานวนมากกวา่ หนึง ก็จะเปลียนแปลงรูปคาํ ด้วยการเติม -s เพอื แสดงพหพู จน์เอกพจน์ พหพู จน์ a dog two dogs a cat two cats a boy two boys แตส่ ําหรับในภาษาไทย คาํ นามไมม่ กี ารเปลียนแปลงรูปคาํ เพือบอกพจน์ แตจ่ ะใช้บริบทของการสือสาร เชน่ ประโยคทวี า่ “พ่อกําลงัให้อาหารหมา” คําว่า “หมา” อาจหมายถึงหมาตวั เดยี ว หรือหมาหลายตวั ก็ได้ แตถ่ ้าต้องการใช้ชดั เจน ก็จะใช้วิธีการขยายคํานามด้วยคําบอกปริมาณ หรือคําบอกจํานวน เชน่ “พอ่ กําลงั ให้อาหารหมาหลายตวั ” “พอ่ กําลงั ให้อาหารหมาสองตวั ” เป็นต้น 2.3 ภาษาไทยให้ความสําคญั กบั การเรียงลําดบั หน่วยตา่ งๆ โดยหน่วยหลกั ต้องมากอ่ นหนว่ ยขยาย เพราะถ้าเรียงลําดบั ไมถ่ กู ต้องก็อาจทําให้ความแตกตา่ ง หรือไม่สามารถใช้สือสารได้ เชน่ คําวา่ “งพู ิษ” มคี ําวา่ “ง”ู เป็นสว่ นหลกั และมีคาํ ว่า “พิษ” เป็นสว่ นขยาย หมายถึง งูซงึ สตั ว์เลอื ยคลาน ทมี ีพษิ อนั เป็นอนั ตรายแกร่ ่างกาย ในทางตรงกนั ข้าม คําวา่ “พษิ ง”ู นนั มคี าํ วา่ “พษิ ” เป็นสว่ นหลกั และมคี าํ วา่ “ง”ู เป็นสว่ น
2106101 Thai Grammar and Thai Language Usage 3ขยาย หมายถึง สิงทีเป็นอนั ตรายแก่ร่างกายอนั เกิดจากสตั ว์ประเภทงู เป็นต้น นอกจากนี ในการเรียงลําดบั ส่วนตา่ งๆ ในประโยค ภาษาไทยมีการเรียงลําดบั แบบ ประธาน กริยา กรรม หรือ SVO ดังตวั อย่างประโยค “หมากดั แมว” มีการเรียงลําดบั ประธาน คือ “หมา” กริยา คือ “กดั ”และกรรม คือ “แมว” หากเรียงลําดับใหม่เป็น “แมวกัดหมา” ความหมายของประโยคก็เปลียนไปเป็น “แมว” เป็นประธาน ส่วน “หมา”กลายเป็นกรรม หรือเรียงใหมเ่ ป็น “หมาแมวกดั ” ก็จะได้ประโยคทีผิดไวยากรณ์ของภาษาไทย 2.4 ภาษาไทยมคี ําพ้องจาํ นวนมาก คาํ วา่ “พ้อง” หมายถึง เหมอื นกัน คําพ้องจงึ หมายถึงคําทีมีลกั ษณะใดลกั ษณะหนึงเหมอื นกนัโดยเฉพาะคําพ้องรูปพ้องเสียง กล่าวคือเป็นคําทีมีรูปเขียนและรูปเสียงเหมือนกนั แต่ความหมายต่างกนั อกี ทังความหมายทีต่างกันนนั ไม่มีความสมั พนั ธ์กนั ด้วยเหตนุ ี คําทีพ้องกนั นีจงึ เป็นคนละคํากนั แตบ่ งั เอญิ มีรูปและเสียงเหมอื นกนั ดงั ตวั อยา่ ง ขนั 1 น. ภาชนะสําหรับตกั หรือใสน่ ํา ขนั 2 ก. ทาํ ให้ตงึ หรือให้แน่นด้วยวิธีหมนุ กวดเร่งเข้าไป เชน่ ขันชะเนาะ ขนั เกลยี ว ขนั 3 ก. อาการร้องอยา่ งหนึงของไกห่ รือนกบางชนิด ขนั 4 ก. หวั เราะ นึกอยากหวั เราะ ขนั 5 ว. แข็งแรง กล้าหาญ เชน่ กนู ีคนขนั จะขามคนใด (สมทุ รโฆษ) 2.5 ภาษาไทยมคี ําลกั ษณนาม ลกั ษณนามเป็นคาํ นามชนิดหนึง ทีตามหลงั คาํ นามชนิดอนื เพอื บอกลกั ษณะของคาํ นามนนั เชน่ คํานามทมี ีรูปร่างกลม ก็มกั จะใช้คําลกั ษณนาม “ลกู ” เชน่ ลกู ไม้ ลกู หนิ ลกู ฟตุ บอล ลกู แก้ว เป็นต้น คาํ นามทมี ีรูปร่างเป็นวง ก็มกั จะใช้คาํ ลกั ษณนาม “วง” เชน่ แหวน กําไล เป็นต้น คํานามทมี ีรูปร่างเป็นทางยาว ก็มกั จะใช้คาํ ลกั ษณนาม “สาย” เชน่ ถนน ทาง ลํานํา เป็นต้น 2.6 ภาษาไทยมีเสยี งวรรณยกุ ต์ ซงึ เป็นเสยี งสงู ตําอยา่ งเสียงดนตรี เสยี งวรรณยกุ ต์แตล่ ะเสียงจะมเี สียงสงู ตาํ ทีแตกตา่ งกนั อนั สง่ ผลตอ่ ความหมายของคาํ เชน่ คาํ วา่ “ป่ า” มีเสยี งวรรณยกุ ต์เอก ซงึ เป็นเสียงตํา หมายถึงพืนทีทีมตี ้นไม้ตา่ งๆ ขึนมา แตห่ ากเปลยี นเสยี งวรรณยกุ ต์เป็นเสยี งโท ซงึ เป็นเสียงสงู ตก ก็จะเป็นอกี คําทีหมายถงึ พสี าวของพอ่ หรือแม่ เป็นต้น ด้วยลกั ษณะนีเอง จงึ ทาํ ให้ภาษาไทยมคี าํ ใช้จาํ นวนมาก 2.7 ภาษาไทยมีระดบั ภาษา ระดบั ภาษาหมายถึงการเลือกใช้ภาษาให้เหมาะกับปัจจัยของการสือสาร อันได้แก่ ความสมั พันธ์ระหวา่ งผู้สง่ สารกับผ้รู ับสาร (ผ้ฟู ังหรือผู้อา่ น) ทงั ในประเด็นของสถานภาพและความใกล้ชิดสนิทสนม และกาลเทศะ ยกตวั อยา่ ง คําบรุ ุษสรรพนามในภาษาไทย ซงึ แบง่ ออกเป็น 3 บุรุษ ดงั นี บรุ ุษที 1 แทนผ้พู ดู เชน่ กู เค้า เรา ข้า ผม กระผม อาตมา ข้าพเจ้า หนู ดฉิ ัน อวั ข้าพระพทุ ธเจ้า เป็นต้น บรุ ุษที 2 แทนผ้ฟู ัง เชน่ มงึ แก ตวั เอง เธอ เอง็ คณุ ทา่ น โยม ใต้เท้า ใต้ฝ่ าละอองธลุ ีพระบาท เป็นต้น บรุ ุษที 3 แทนผ้ทู ถี กู กลา่ วถึง เชน่ มนั แก ทา่ น เป็นต้น พงึ สงั เกตวา่ คําบรุ ุษสรรพนามในแตล่ ะบรุ ุษในภาษาไทย มีหลายคําด้วยกนั ทงั นีเพอื เลือกใช้ให้แก่ทงั คสู่ นทนา เวลาและสถานทีทีสือสารกัน ดงั เช่น หากต้องสนทนากับเพือนสนิท เราก็อาจจะแทนตัวเองด้วยคําบุรุษสรรพนามที 1 กู เรา หรือ ข้า แต่หากต้องสนทนากับอาจารย์ เราต้องแทนตวั เองด้วยคําบรุ ุษสรรพนามที 1 คาํ วา่ ผม ดิฉัน หนู เป็นต้น ทงั นีเนืองจากสถานภาพของผู้ฟังทีแตกตา่ งกนั3. การศึกษาหลกั ภาษาไทย 3.1 ความหมายของหลักภาษา กําชยั ทองหลอ่ (2550: 1) ได้ให้ความหมายของ หลกั ภาษา ไว้วา่ “วชิ าทีวา่ ด้วยระเบียบการใช้อกั ษร การเขียนอา่ น การใช้คาํ ความหมายของคํา การเรียงคํา และทีมาของภาษา ซงึ มวี วิ ฒั นาการไปในลกั ษณะตา่ งๆ” พจนานุกรม ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้ความหมายของคําว่า “หลกั ” ไว้หลายความหมาย แต่ทีน่าจะเกียวข้องคือความหมายแรกทีให้ไว้ว่า “หลกั น. หมายถึง เสาทีปักไว้, ทีผูก, ทีมนั เชน่ เอาเรือไปผูกไว้กับหลัก; เครืองหมาย เช่น หลกั เขต;
2106101 Thai Grammar and Thai Language Usage 4เครืองยึดเหนียว เชน่ มีธรรมะเป็นหลกั ในการดํารงชีวิต, เครืองจบั ยึด เชน่ หลกั แจว; สาระทีมนั คง เช่น พูดจาไมม่ ีหลกั หลกั กฎหมาย หลักเศรษฐศาสตร์” ดงั นนั จึงอาจสรุปความหมายของคําวา่ หลกั ภาษา ได้ว่า เครืองหรือสาระทีเป็นแนวทางในกําหนดการใช้ภาษาทงั การพดู หรือการเขียนให้ถกู ต้องตามทกี ําหนดไว้ นอกจากนี ผ้เู รียนทางด้านภาษามกั จะพบกบั คําวา่ ไวยากรณ์ หรือ grammar บางครังก็พบการใช้ร่วมกนั ในคําวา่ “หลกัไวยากรณ์” อมรา ประสิทธิรัฐสินธ์ุ ยพุ าพรรณ หนุ่ จําลอง และสรัญญา เศวตมาลย์ (2546) ได้กล่าวถึงคําวา่ ไวยากรณ์นันมีความหมายหลายนยั ความหมายแรก หมายถึงตําราหรือหนงั สอื ไวยากรณ์ ความหมายทีสอง หมายถึงระบบหรือองค์ประกอบของภาษาทีไม่ใชร่ ะบบเสียงและความหมาย และความหมายทีสาม หมายถึงทฤษฎภี าษาใดภาษาหนึง จากทีกลา่ วมานี จงึ ทําให้เห็นวา่ หลกั ภาษา เป็นสว่ นหนึงของการศกึ ษาไวยากรณ์ แตม่ ีขอบเขตทีกว้างกวา่ คือนอกจากจะศกึ ษาองค์ประกอบตา่ งๆ ของภาษา อนั ได้แก่ เสยี ง พยางค์ คํา วลี และประโยคแล้ว ยงั รวมไปถึงการศกึ ษาแนวทางการใช้ภาษาทีถกู แบบแผนทงั ในการพดู และการเขียน และการประพนั ธ์ประเภทตา่ งๆ แตก่ ระนนั ก็ดี แนวทางของการศกึ ษาหลกั ภาษาไทย ได้รับอิทธิพลจากทฤษฎีไวยากรณ์ทฤษฎีหนึง ซงึ ก็คือ ทฤษฎไี วยากรณ์ดงั เดิม (Traditional Grammar) ทีมมี านาน ดงั จะได้กลา่ วตอ่ ไป 3.2 หลกั ภาษากับความถูกผิดในการใช้ภาษา อาจกล่าวได้ว่า การศึกษาไวยากรณ์แบ่งออกเป็น 2 แนวทางใหญ่ คือ ไวยากรณ์เชิงกําหนด (Prescriptive Grammar)และไวยากรณ์เชิงพรรณนา (Descriptive Grammar) ไวยากรณ์เชิงกําหนด คือไวยากรณ์ทีม่งุ กํากับ ควบคมุ การใช้ภาษาของผ้ใู ช้ให้เป็นไปตามหลกั หรือไวยากรณ์ตามทีนกั ไวยากรณ์กําหนด โดยมคี วามเชือว่าหลกั หรือไวยากรณ์ทีนกั ไวยากรณ์กําหนดนันเป็นสิงทีถกู ต้อง เป็นสิงทีดีมีค่า สูงส่ง ควรแก่การปฏิบัติตาม หากภาษาเปลียนแปลงหรือไม่เป็นไปตามหลักหรือไวยากรณ์ทีกําหนดไว้ ก็จะถือว่าภาษาวิบัติ เช่นกําหนดให้พดู วา่ It’s I. ทงั ๆ ทีคนทวั ไปพดู ว่า It’s me. หรือในภาษาไทย กําหนดให้พดู ให้ของขวญั แก่น้องสาว ทงั ๆ ทีคนทวั ไปมักพูดว่า ให้ของขวญั กบั น้องสาว หรือให้ของขวญั น้องสาว เป็นต้นในทางตรงกันข้าม ไวยากรณ์เชิงพรรณนา เป็นไวยากรณ์ทีพยายามจะอธิบายลกั ษณะการใช้ภาษาของคนทีใช้ภาษานนั วา่ มีลกั ษณะอยา่ งไร ทงั ในเรืองของเสียง คํา ประโยค ความหมาย เป็นต้น ทงั นีเพอื เข้าใจกฎเกณฑข์ องภาษาจากลกั ษณะของภาษาทีอธิบายได้ แตจ่ ะไม่เข้าไปกําหนดกฎเกณฑ์ให้แก่ผู้ใช้ภาษา ดงั นันหนังสือหลกั และการใช้ภาษาทีมีอย่ใู นท้องตลาดหรือในรายวิชานีเองก็ตาม จงึ เป็นการศกึ ษาภาษาตามแนวไวยากรณ์เชงิ กําหนดทงั สิน 3.3 กาํ เนิดไวยากรณ์ดังเดิม: ทมี าของหลกั ภาษาไทยในปัจจุบัน ดงั ทีได้กล่าวแล้ววา่ ตําราหรือเอกสารทีเกียวข้องกบั หลกั ภาษาไทยส่วนใหญ่ หรือแม้กระทงั ทีสอนกนั ในโรงเรียน ต่างได้รับอิทธิพลจากไวยากรณ์เชิงกําหนด โดยเฉพาะแนวคิดทฤษฎีไวยากรณ์ดังเดิม ซึงเป็นชือทีบัญญัติมาจากภาษาอังกฤษว่า TraditionalGrammar คําว่า tradition แปลวา่ สิงทที ําสืบตอ่ กนั มาเป็นเวลาช้านาน ไวยากรณ์ดงั เดิม จงึ เป็นไวยากรณ์ทีมปี ระวตั ิถอยหลงั ไปยาวนาน และเป็นไวยากรณ์ทีใช้สืบตอ่ กนั มาเป็นเวลาช้านานโดยไมม่ ีการเปลียนรูปแบบหรือแนวคดิ หลกั ๆ จนกระทงั การศกึ ษาภาษาแบบวทิ ยาศาสตร์หรือภาษาศาสตร์ถือกําเนิดขึน ในรูปของไวยากรณ์โครงสร้างราวต้นศตวรรษที 20 ไวยากรณ์ดงั เดิมมกี ําเนิดมาจากไวยากรณ์กรีกและไวยากรณ์ละตนิ จดุ กําเนิดเริมแรกคือการวเิ คราะห์ภาษาของปราชญ์ชาวกรีก ซงึ ศกึ ษาภาษาโดยเริมจาก คํา และจาํ แนกคาํ ตามความหมาย จากคําจะศกึ ษาการนําคํามารวมกนั เป็นประโยค ในการวิเคราะห์มกั ใช้ตวั เขียนเป็นหลกั หนว่ ยทเี ลก็ ทีสดุ ในภาษาไมใ่ ช่ หน่วยเสียง แตเ่ ป็นตวั อกั ษร ตอ่ มาในสมยั โรมนั เรืองอํานาจ ไวยากรณ์ละตินจงึ มอี ิทธิพลอยา่ งมากในยโุ รป ไวยากรณ์ละตนิ เตม็ ไปด้วยกฎระเบยี บ และจดุ เน้นคงเป็นเชน่ เดยี วกบั กรีก คอื เน้นคาํ เป็นหลกั และใช้ภาษาเขียนหรือตวั เขียนเป็นหลัก เนืองด้วยภาษาละตินมีอิทธิพลทัวยุโรป และเป็นภาษาของผู้มีการศึกษาไวยากรณ์ของทกุ ภาษาจงึ มีลักษณะเหมือนไวยากรณ์ภาษาละติน นอกจากนันเนืองด้วยภาษาละตินเป็นวิชาหนึงในหลกั สตู รของแทบทกุ มหาวิทยาลัยในยโุ รป รวมทงั องั กฤษด้วย แนวความคิด ศัพท์เฉพาะ และวิธีการอธิบายภาษาละติน จึงเป็นแบบอย่างของทกุ ภาษา ผู้เขียนตําราไวยากรณ์ของทกุ ภาษาในยุโรปและครูสอนภาษาจะยึดไวยากรณ์ละตนิ เป็นหลกั แม้ในปัจจบุ นั ก็ยงั มีไวยากรณ์ภาษายโุ รปบางเล่มทยี ดึ แนวทางไวยากรณ์ละตนิ ถึงแม้จะไมเ่ ป็นทีนิยมเท่าในสมยั กอ่ นก็ตาม ไวยากรณ์ภาษาไทยในปัจจุบนั หลายเล่มก็ยงั ถือเป็นไวยากรณ์ดงั เดิม โดยมีลักษณะหลายลักษณะทีสอดคล้องกับไวยากรณ์ดงั เดมิ โดยทวั ไป ดงั ในหนงั สือ หลกั ภาษาไทย (อกั ขรวิธี วจีวิภาค วากยสมั พนั ธ์ ฉันทลกั ษณ์) ของพระยาอปุ กิตศิลปสาร (2546) ทีวา่ด้วยกฎระเบียบของภาษาไทยใน 4 ภาคใหญ่ๆ ได้แก่ ภาคที 1 อกั ขวธิ ีทีวา่ ด้วยลกั ษณะของอกั ษรทีใช้แทนเสียงพยญั ชนะ สระ และวรรณยกุ ต์การประสมอกั ษร การใช้อกั ษรประเภทต่างๆ การเขียนและการอา่ นคาํ ให้ถกู ต้อง ภาคที 2 วจีวิภาค ทีกลา่ วถึงคํา ประเภทของคํา การสร้างคํา
2106101 Thai Grammar and Thai Language Usage 5ชนิดของคํา และประเภททางไวยากรณ์ ภาคที 3 วากยสมั พนั ธ์ ภาคนีวา่ ด้วยหน่วยทางภาษาทีสงู กวา่ คําคอื วลีและประโยค กลา่ วถึงชนิและหน้าทีของวลี ความหมายของประโยค สว่ นประกอบของประโยค และชนิดของประโยค ภาคที 4 ฉันทลกั ษณ์ ทวี า่ ด้วยคําประพนั ธ์ประเภทร้อยกรอง ฉันทลกั ษณ์ของคาํ ประพนั ธ์ประเภทตา่ งๆ เป็นต้นเอกสารอ้างอิงกําชยั ทองหลอ่ . 2550. หลักภาษาไทย. กรุงเทพมหานคร: บริษัทรวมสาส์น จาํ กดั .วโิ รจน์ อรุณมานะกลุ . 2555. ทฤษฎีภาษาศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: ภาควชิ าภาษาศาสตร์ คณะอกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั .อมรา ประสิทธิรัฐสินธ์ุ ยพุ าพรรณ หนุ่ จาํ ลอง และสรัญญา เศวตมาลย์. 2546. ทฤษฎีไวยากรณ์. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลยั .อปุ กิตศิลปสาร, พระยา. 2546. หลกั ภาษาไทย (อกั ขรวิธี วจวี ภิ าค วากยสัมพันธ์ ฉันทลกั ษณ์). กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์ไทยวฒั นา พานิช จาํ กดั .
Search
Read the Text Version
- 1 - 5
Pages: