Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แนวทางพึ่งพาตนเองระดับไร่นาจากศาสตร์พระราชา

แนวทางพึ่งพาตนเองระดับไร่นาจากศาสตร์พระราชา

Published by nimit kaysuk, 2020-04-20 04:34:40

Description: แนวทางพึ่งพาตนเองระดับไร่นาจากศาสตร์พระราชา

Search

Read the Text Version

สำนกั พฒั นำพืน้ ทป่ี ฏิรปู ทด่ี ิน สำนักงำนกำรปฏิรูปที่ดินเพือ่ เกษตรกรรม (ส.ป.ก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แนวทำงกำรพึง่ พำตนเองในกำรจัดเก็บนำระดับไรน่ ำ ตำมแนวทำงศำสตรพ์ ระรำชำ ในเขตปฏิรปู ที่ดนิ

คำนำ “...หลกั สำคญั วำ่ ต้องมีนำบรโิ ภค นำใช้ นำเพ่ือกำรเพำะปลูก เพรำะว่ำชวี ิตอย่ทู ี่นน่ั ถ้ำมีนำคนอยไู่ ด้ ถ้ำไม่มีนำคนอยไู่ ม่ได้ ไม่มไี ฟฟำ้ คนอยไู่ ด้ แตถ่ ำ้ ไมม่ นี ำคนอย่ไู ม่ได.้ ..” พระราชดารสั ของพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ล บรมนาถบพติ ร พระราชทาน ณ พระตาหนักจิตรลดารโหฐาน เม่อื วนั ท่ี 17 มีนาคม 2529 นำ คือ ชวี ิต ปัจจัยทีส่ าคัญอนั ดับแรกของการเพาะปลกู และตอ้ งมีเพียงพอตลอดฤดูกาลอีก ด้วย จงึ จะทาให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ เพ่ือลดความเสียหายท่ีมีต่อพืช เกษตรกรจึงต้องมีความรู้ในการ คือจัดเก็บนา้ ในพื้นทีข่ องตนเองใหไ้ ดก้ อ่ น อกี ท้ังยงั ตอ้ งมคี วามร้ใู นเรอื่ งการบริหารจัดการน้า ดิน พืช เมื่อมี นา้ แลว้ ก็ต้องคานึงถึงวิธีการอนุรักษด์ ินและนา้ รวมไปถงึ การสรา้ งระบบนิเวศน์ในแปลง คือ ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ไวบ้ นโคกที่สูง เพือ่ ตอ้ งการเพิ่มความช้ืนในดินและระดับน้าใต้ดิน แต่สิ่งท่ีสาคัญท่ีสุด “เกษตรกรต้องปรบั เปลี่ยนวิถกี ารเกษตรไปสู่ระบบเกษตรกรรมธรรมชาติ” คือ การเลิกใช้สารเคมี เช่น ยาฆ่าหญ้า ย่าฆ่าแมลงต่าง ๆ ปุ๋ยเคมี เป็นต้น หันมาใช้ปุ๋ยหมัก น้าหมักชีวภาพ และสารไล่แมลงจาก ธรรมชาติ ก็จะเปน็ การแก้ปัญหาเรอื่ งการขาดแคลนน้าในระยะยาวได้ แนวทางการพ่ึงพาตนเองในการจัดเก็บน้าระดับไร่นา ตามแนวทางศาสตร์พระราชา ในเขตปฏิรูปที่ดิน ผู้เขียนได้จัดทาข้ึนเพ่ือต้องการเผยแพร่ความรู้ที่ได้รับมา และประสบการณ์จากการ ทางานในพนื้ ทจี่ ริง โดยการนอ้ มนาศาสตรพ์ ระราชา (พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลบรมนาถ บพิตร) ตัวอย่างโครงการพระราชดาริที่สาคัญมาเป็นหลักคิดและแนวทางในการดาเนินงาน คือ การ ประยุกต์ใช้เกษตรทฤษฎีใหม่บนฐานของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง รายละเอียดในเอกสารคู่มือจะ ประกอบด้วยหลกั ปรัชญาทนี่ ามาปรับใชท้ างทฤษฎี วิธีการคานวณการจัดเกบ็ น้าในพืน้ ที่ของตนเองอย่าง งา่ ย หลกั การออกแบบพ้ืนที่รูปแบบโคก หนอง นา โมเดล การนาไปประยุกต์ใช้ ตลอดจนตัวอย่างการ ดาเนินงานในพื้นท่ีจริง ซึ่งผู้เขียนหวังเป็นอย่างย่ิงว่าจะสามารถเป็นแนวทางให้เกษตรกรในเขตปฏิรูป ทดี่ ินและผสู้ นใจ สามารถศกึ ษาและนาไปประยกุ ต์ใช้ใหเ้ ป็นประโยชน์ได้ สานักพัฒนาพื้นที่ปฏิรูปที่ดิน (สพป.) ได้เล็งเห็นความสาคัญเรื่องศาสตร์พระราชาใน การนามาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน จึงได้นามาดาเนินการจัดการความรู้ในเรื่อง แนวทางการพึ่งพา ตนเองในการจดั เกบ็ นา้ ระดับไร่นา ตามแนวทางศาสตรพ์ ระราชา ในเขตปฏิรูปที่ดนิ โดยได้รวบรวมองค์ ความรู้จากหนังสือ ตารา และเอกสารวิชาการ ตลอดจนประสบการณ์จากการปฏิบัติในพื้นที่จริง เพ่ือ นามาจัดทาเปน็ เอกสารเผยแพร่ใหแ้ กบ่ คุ ลากรภายในหน่วยงานและบุคคลภายนอก เพื่อจักได้นาความรู้ มาต่อยอดและประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งข้ึนไป อีกทั้งเพื่อการขยายผล ศาสตรพ์ ระราชาอยา่ งเป็นรูปธรรมสูเ่ กษตรกรในเขตปฏริ ูปที่ดิน นายปราโมทย์ จิตตส์ กูล (ผ้จู ัดทาและรวบรวมองคค์ วามรู้) คณะทางานดา้ นการจดั การความรู้ (KM TEAM) สานักพฒั นาพ้นื ทป่ี ฏริ ปู ทีด่ นิ

สารบญั หน้า คานา บทที่ 1 นอ้ มนาศาสตร์พระราชา 1 1.1 หลักปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง 1 1.2 ทฤษฎใี หม่ 2 1.3 หลกั ทฤษฎีบันได 9 ข้ัน 6 บทที่ 2 หลกั การจดั เก็บนาระดบั ไรน่ าเพือ่ การพึง่ พาตนเอง 9 2.1 หลกั การจดั เก็บน้าระดับไรน่ า 9 2.2 หลกั การออกแบบพน้ื ที่ 11 บทที่ 3 ศาสตร์พระราชาสกู่ ารปฏบิ ตั ิ 31 3.1 วธิ กี ารปฏบิ ตั ิ สู่ ความส้าเร็จ 31 3.2 ผลการดา้ เนินงานในการขับเคลื่อนศาสตรพ์ ระราชา ปงี บประมาณ 2561 32 ภาคผนวก 1 1. หลกั ปรชั ญาและพระราชดา้ รสั 2. หลกั ทฤษฎีบันได 9 ขั้นส่คู วามพอเพยี ง 3. หลักการทรงงาน 23 ประการ ในพระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดช บรมนาถบพิตร ภาคผนวก 2 ปรมิ าณการใช้น้า ภาคผนวก 3 ปริมาณน้าฝนเฉลย่ี ตอ่ ปขี องประเทศไทย

1 บทที่ 1 น้อมนำศำสตร์พระรำชำ 1.1 หลักปรัชญำเศรษฐกจิ พอเพยี ง การพ่ึงพาตนเองของเกษตรกรในเขตปฏิรูปท่ีดิน อันดับแรก คือ เร่ืองน้า เมื่อมีน้าเพียงพอ ก็สามารถสร้างเศรษฐกิจพอเพียง ดังพระราชด้ารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล บรม นาถบพิตร ทรงมีพระราชดา้ รสั ท่เี ก่ยี วข้องกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นครังแรกในพิธีพระราชทาน ปรญิ ญาบัตร ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อวนั ที่ 18 มีนาคม 2517 ความวา่ ... “การพัฒนาประเทศจาเป็นต้องทาตามลาดับข้ัน ต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมี พอกิน พอใช้ ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบ้ืองต้นเสียก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ท่ีประหยัด แต่ถูกต้องตามหลัก วชิ า เมื่อไดพ้ ื้นฐานมัน่ คงพรอ้ มพอควรและปฏิบตั ไิ ดแ้ ลว้ จงึ ค่อยสรา้ งความเจริญและฐานะทางเศรษฐกิจ ขั้นที่สูงขึ้นโดยลาดับต่อไป หากมุ่งแต่จะสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจขึ้นให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศและของประชาชนโดยสอดคล้องด้วย ก็จะเกิด ความไม่สมดุลในเร่ืองต่างๆ ขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด ดังเห็นได้ท่ี อารยประเทศหลายประเทศกาลังประสบปัญหาทางเศรษฐกจิ อยา่ งรนุ แรงอยู่ในเวลานี้”

2 พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู ิพล บรมนาถบพิตร ทรงมีพระราชด้ารัสชัดเจนในวันที่ 4 ธันวาคม 2540 เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศจากวิกฤตต้มย้ากุ้งซ่ึงเร่ิมจาก เดือนกรกฎาคม 2540 ก่อความกังวลว่าอาจจะกลายเป็นการล่มสลายของเศรษฐกิจท่ัวโลก และในวันที่ 4 ธันวาคม 2541 ทรงพระราชทานหลักคิดและหลักปฏิบัติเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อเป็นแนวทางการ ด้าเนินชีวิต ของคนไทยและย้าถึงการท้าให้พอเพียงส้าหรับตนเอง (Self-Sufficiency) และแตกต่างกับ เศรษฐกิจพอเพียง (Self-Sufficiency of Economy) ท่ีหมายถึง การท้าอะไรให้เหมาะสมกับฐานะของตนเอง อีกครัง ณ พระต้าหนักเปี่ยมสุข เม่ือวันที่ 17 มกราคม 2544 พระองค์ทรงย้าว่า เศรษฐกิจพอเพียง (Self- Sufficiency of Economy) หมายถึง การท้าอะไรให้เหมาะสมกับฐานะของตนเอง ถ้ามุมมองระดับชาวบ้าน นันคอื การทา้ เองไดบ้ นพืนฐานของความมเี หตุผลแต่เรียบงา่ ย อาจารยย์ ักษ์1 ได้สรุปหลกั เศรษฐกจิ พอเพยี งไวว้ ่า คือ ความพอประมาณ ความมีเหตุผล มี ภูมิคุ้มกันในตนเอง ที่ส้าคัญคือ การท้าให้ “ความพอดี” นันเกิดขึนได้จริง และพระองค์ทรงย้าว่ามี เง่ือนไขส้าคัญที่จะน้ามาซึ่งความพอเพียงคือ “ความรู้” ประกอบด้วย รู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักตน รู้จัก ประมาณ รู้จักกาล รู้จักประชุมชน รู้จักบุคคล และที่ส้าคัญจะต้องรอบรู้ รอบคอบ และมีความ ระมัดระวังในการลงมอื ท้า และ “คุณธรรม” 1.2 ทฤษฎีใหม่ “ทฤษฎใี หม่” เป็นแนวพระราชดา้ รใิ นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล บรมนาถ บพิตร ที่ทรงพระราชทานไว้เป็นแนวคิดและแนวทางในการด้ารงชีวิตท่ีน้าไปสู่ความสามารถในการ พ่งึ ตนเองในระดับตา่ งๆ อยา่ งเปน็ ขันเป็นตอน บนพืนฐานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อลดความเส่ียง ในการเปลี่ยนแปลงของปจั จัยต่างๆ ตลอดจนความผันแปรของธรรมชาติ ทฤษฎีใหม่เป็นระบบการพัฒนาที่มีมากกว่า 40 ทฤษฎี ผ่านหลักการทรงงาน2 จนน้าไปสู่ การปฏิบตั ิไดจ้ ริงนัน เช่น ทฤษฎีการทา้ ฝนเทียมเพ่ือแก้ปัญหาความแห้งแล้ง ทฤษฎีการสร้างฝายชะลอ น้า ทฤษฎกี ารจัดการน้าท่วมดว้ ยแกม้ ลิงเพ่ือกักเก็บน้า ฯลฯ เหล่านีสามารถน้ามาใช้ร่วมกันเพื่อน้าไปสู่ เป้าหมายในการพึ่งตนเองได้ ให้เกษตรกรสามารถมีความพออยู่ พอกิน พอใช้ และก้าวไปสู่การร่วมกัน จัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นระบบ และการสร้างความร่วมมือระหว่างเครือข่าย จนสามารถ พัฒนาสู่ขันก้าวหน้าได้ พระองค์ทรงวางระบบทฤษฎีใหม่อย่างเป็นขันตอน ผ่านการวางแผน ทดลอง วจิ ัย จนกลายเปน็ โครงการอันเนือ่ งมาจากพระราชด้าริ 4,741 โครงการ (สา้ นกั งานคณะกรรมการพิเศษ เพ่ือประสานงานโครงการอันเน่ืองมาจากพระราชด้าริ : ส้านักงาน กปร., 2560) และท่ีเป็นโครงการ พระราชด้าริที่ส้าคัญในด้านโครงการทฤษฎีใหม่ด้านการจัดการน้า ตังอยู่ ณ วัดมงคลชัยพัฒนา ต้าบล ห้วยบง อ้าเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี สู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมที่เป็นต้นแบบการท้า เกษตรทฤษฎีใหมท่ วั่ ประเทศ 1 ดร.วิวฒั น์ ศลั ยก้าธร หรอื อ.ยกั ษ์ ผู้กอ่ ตงั มูลนิธกิ สกิ รรมธรรมชาติ 2 หลักการทรงงาน 23 ประการ รายละเอยี ดในภาคผนวก 1

3 “หลกั กำรกำรทรงงำนเกษตรทฤษฎีใหม่” แนวคดิ ทฤษฎใี หม่ ภาพท่ี 1.1 หลักการทรงงานเกษตรทฤษฎีใหม่ แนวพระราชด้าริเก่ียวกับทฤษฎีใหม่ในเร่ืองน้า เร่ิมต้น จาก ฝนหลวง หรือฝนเทียม (ล้าดับที่ 1) ในพืนที่ที่เกิดปัญหาความแห้งแล้ง ภูเขาหรือเขตป่า ปริมาณน้าฝนที่ตกลงมาในเขตป่ำไม้ (ลา้ ดับท่ี 2) จะถูกกักเก็บเป็นน้าใต้ดิน ส่วนน้าท่ีไหลผ่านล้าห้วยธรรมชาติในเขตป่า ก็สร้าง ฝำยต้นนำ หรอื ฝายแมว้ (ลา้ ดบั ที่ 3) เพ่ือสรา้ งความชุ่มชืนและช่วยฟ้ืนฟูป่า อีกทังยังเป็นการช่วยป้องกันไฟป่าได้ การใช้หญ้ำแฝก (ล้าดับที่ 4) ชว่ ยป้องกันการพังทลายหน้าดินลงไปทับถมยังแม่น้า ล้าธาร การก่อสร้าง

4 อ่ำงเกบ็ นำบรเิ วณเชงิ เขา (ล้าดับที่ 5) เป็นการเกบ็ กักและช่วยชะลอความแรงของน้า บริเวณจุดต่้าลงมา เป็นการสร้างเข่ือนกักเก็บน้าขนาดใหญ่ (ล้าดับท่ี 6) หลายแห่งใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า และใช้น้าเพื่อ การเกษตร เรียกว่า เขตชลประทาน ในส่วนแปลงเกษตรกรรมใช้ระบบเกษตรทฤษฎีใหม่ (ล้าดับท่ี 7) เป็นระบบท่ีเน้นการพ่ึงตนเอง ส่วนน้าท่ีล้นจากแปลงเกษตรจะไหลหลากลงท่ีต่้า ผันน้าเข้ามาเก็บใน แก้มลิง (ล้าดับที่ 8) เป็นการลดปริมาณน้าท่ีจะท้าให้เกิดความเสียหายในตัวเมืองท่ีอยู่ต้่า คันกันนำ (ลา้ ดบั ที่ 9) จะชว่ ยชะลอและกักเก็บน้าทจ่ี ะเขา้ ส่เู มอื ง ส่วนน้าท่ีไหลออกจากตัวเมืองจะเป็นน้าเสียท่ีทิง จากอาคาร บ้านเรือน ผ่านการจัดการโดยท้าทำงผ่ำนนำ (ล้าดับที่ 10) มายังระบบบ้าบัดด้วยกังหัน ชยั พัฒนำ (ล้าดบั ที่ 11) และระบบธรรมชาตบิ า้ บัด และการออกแบบคลองเร่งระบำยนำ (ล้าดับท่ี 12) ท่ีสามารถผันน้าลงทะเลได้อย่างรวดเร็ว ดังตัวอย่างท่ีคลองลัดโพธ์ิ เมื่อน้าที่ลงมาก่อนถึงทะเลให้ผ่าน ป่ำชำยเลน (ล้าดับท่ี 13) เพื่อกรองน้าเป็นขันสุดท้าย การรักษาป่าชายเลนจึงมีความส้าคัญมากต่อทัง การจัดการนา้ จดื และเป็นแหลง่ อนุบาลสตั ว์น้า ดงั ภาพท่ี 1.2 ภาพที่ 1.2 การจดั การน้าตามแนวพระราชดารทิ ฤษฎีใหม่ การจัดการน้าตามแนวทฤษฎีใหม่ เป็นการจัดสรรน้าจากอ่างเก็บน้า หรือ เข่ือน (อ่างใหญ่) ผ่านคลองสง่ น้ามายงั แปลงเกษตรกรรม หากในพืนท่ีมีแหล่งน้าสาธารณะของชุมชน (อ่างเล็ก) ก็เก็บน้า ไว้เพื่อส้ารองน้ายามขาดแคลน และจะต้องเช่ือมโยงอ่างเล็กนีไปยังสระน้าของเกษตรกร ซึ่งห าก เกษตรกรสามารถเกบ็ น้าไว้ในแปลงของตนเองไดแ้ ล้ว ก็ไมจ่ า้ เปน็ ตอ้ งเสียพืนท่ีในการสรา้ งแหลง่ นา้ ขนาด ใหญ่ วิธนี พี ระองคเ์ ปรยี บเทยี บว่าสามารถจะท้าใหไ้ ดพ้ นื ท่ีรบั นา้ มากกวา่ เดมิ ถึง 5 เท่า

5 กำรจดั กำรนำตำมแนวทำงเกษตรทฤษฎีใหมใ่ นรปู แบบ “อ่างใหญเ่ ตมิ อา่ งเลก็ อ่างเล็กเตมิ สระนา้ ” จะท้าใหไ้ ดพ้ ืนที่รับนา้ มากกวา่ ระบบเดิมถึง 5 เทา่ วิธกี ำรคำนวณกำรระเหยของนำจำกกำรขุดสระ การคา้ นวณปริมาณนา้ ฝนที่ตกลงมาในพืนท่ีและปริมาตรน้าที่เก็บไว้ได้จริง เป็นอีกหัวใจส้าคัญ ของทฤษฎีใหม่ โดยเฉพาะการระเหยของน้าในแต่ละวันและจ้านวนวันท่ีฝนไม่ตกทังปี นั่นคือส่ิงท่ีเป็น ลักษณะเฉพาะของทฤษฎใี หม่ ถา้ บอ่ นา้ ลกึ 4 เมตร นา้ เตม็ บ่อเกบ็ ได้ 19,000 ลกู บาศก์เมตร ควรพอใชท้ งั ปี (ถา้ นา้ ไมร่ ะเหย) ถา้ บอ่ นา้ ลึก 4 เมตร นา้ เต็มบอ่ เกบ็ ได้ 19,000 ลกู บาศก์เมตร น้าระเหยวันละ 1 ซม. 1 ปี ฝนไมต่ ก 300 วัน นา้ ลดลงไป 300 ซม. เท่ากบั 3 เมตร เหลือนา้ ปรมิ าณ ¼ ของบ่อ เท่ากับ 4,750 ลูกบาศก์เมตร พอใช้น้าแค่ทา้ นา 4.75 ไร่ ภาพท่ี 1.3 การคานวณการระเหยของนา้ จากการขุดสระตามแนวพระราชดารทิ ฤษฎใี หม่ จากภาพมีพนื ท่ีขดุ สระเก็บนา้ 3 ไร่ รปู สเี่ หลีย่ มผนื ผ้า อตั ราการระเหย3 ของนา้ (เฉลยี่ ) วันละ 1 ซม. และฝนไมต่ ก 300 วัน4 คดิ เปน็ พนื ท่ีผิว 3 x 1,600 ตร.ม. = 4,800 ตร.ม. = 300 ซม. (3 ม.) คิดเป็นความสูงของน้าท่ีระเหย 300 วัน x 1 ซม./วัน = 14,400 ลบ.ม. คิดเปน็ ปรมิ าณน้าท่ีระเหยไป 3 ม. x 4,800 ตร.ม. 3 ปัจจัยที่มีผลตอ่ การระเหย 1. ลมผวิ พืน 4. ความชืนของอากาศทผี่ วิ พืน 2. ปริมาณความชืนของพืนผิวนา้ 5. อุณหภูมขิ องพนื ผิวน้า 3. ธรรมชาตขิ องพนื ผวิ 4 แนวพระราชดาริเกีย่ วกบั ทฤษฎใี หม่ท่ีพระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภมู ิพลบรมนาถบพิตรพระราชทานไว้ในการขุดสระนา้

6 ขันตอนในการน้าทฤษฎใี หม่ไปท้าใหเ้ กิดความส้าเร็จนัน มสี ิง่ ทีต่ อ้ งค้านงึ หลายประการและต้อง ไมล่ มื เร่อื งของ “ความยืดหยุ่น” พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล บรมนาถบพิตร ทรงตรัสหลาย ครังวา่ “อย่าตดิ ตา้ รา” เพราะว่าเป็นทฤษฎใี หมน่ ันยังไมม่ ตี ้าราใดๆ และสิ่งต่างๆ ทีก่ ้าหนดขึนมาล้วนเป็นสูตร คร่าวๆ (Tentative Formula) และเม่ือน้าไปปฏิบัติแล้วจะต้องค้านึงถึงความเหมาะสมของพืนท่ีและปัจจัย อน่ื ๆ ท่แี ตกต่างตามแตล่ ะครอบครวั ซ่ึงมีความแตกต่างกนั ไปตามภูมสิ ังคมนนั่ เอง ลักษณะบริบทของพืนที่ปฏิรูปท่ีดินในแต่ละภูมิภาคจะมีความแตกต่างกันทังด้าน ภูมิศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรม เช่น ภาคเหนือ มีลักษณะของพืนที่เป็นภูเขาสูง มีความลาดชัน รปู แบบการท้าเกษตรจะใช้พึ่งพาน้าฝนเป็นหลัก วิถีชีวิตจึงอาศัยป่าไม้เป็นแหล่งอาหาร ส่วนภาคกลาง มีลักษณะของพืนท่ีเป็นที่ราบลุ่ม ประกอบอาชีพท้านาเป็นส่วนมาก อาหารส่วนใหญ่จึงมาจากการ เพาะปลกู เป็นต้น โมเดลตวั อย่างของการน้าไปใช้ มดี ังนี 1. พืนทเ่ี กษตรกรในจังหวัดนา่ น มีปริมาณฝนปานกลาง หา่ งไกลระบบชลประทานใช้ โมเดลในการแบง่ พนื ทแี่ บบทฤษฎีใหม่ เพ่อื ใหม้ นี า้ เพียงพอตอ่ การทา้ เกษตร ภาพที่ 1.4 ตัวอยา่ งการแบง่ พื้นที่ สาหรบั ทีด่ นิ จานวน 15 ไร่ (ฝนตกปานกลาง) 2. พืนท่ีเกษตรในจังหวัดชุมพร มีปริมาณฝนตกชุก ห่างไกลระบบชลประทาน ใชโ้ มเดลในการแบ่งพนื ทีแ่ บบทฤษฎีใหม่ เนือ่ งจากมีฝนตกชุกจึงลดพืนท่ีในการขุดสระเก็บน้า เพ่ิมพืนที่ ในการทา้ สวนและปลกู พืชท้องถิ่นที่เหมาะสมสร้างรายได้

7 ภาพที่ 1.5 ตัวอย่างการแบ่งพนื้ ที่ สาหรบั ทดี่ นิ จานวน 15 ไร่ (มฝี นตกบอ่ ย) จะเห็นไดว้ า่ การจัดแบ่งพืนที่ในส่วนต่างๆ สามารถปรับเปลี่ยนและยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม และ ความแตกตา่ งของการแบ่งพนื ทรี่ ะหว่างนายแสนยาและนายเหมืองซ่ึงอยู่คนละภาค มีปริมาณน้าฝนไม่ เท่ากนั ดงั นนั ความจ้าเปน็ ในการเก็บกกั นา้ ไวใ้ ชจ้ ึงแตกตา่ งกนั ตามไปดว้ ย 1.3 หลักทฤษฎีบนั ได 9 ขัน หลักทฤษฎีบันได 9 ขัน สู่การพึ่งตนเองเป็นการประยุกต์หลักการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพ่ือให้เกษตรกรน้อมน้าไปปฏิบัติในการด้ารงชีวิต โดยเน้นเศรษฐกิจพอเพียงขันพืนฐานก่อน (พอกิน พออยู่ พอใช้ พอรม่ เย็น) จงึ คอ่ ยพฒั นาไปส่ขู นั ก้าวหน้า (บญุ ทาน เก็บ ขาย) เพื่อสร้างความมั่นคงไปสู่ เศรษฐกจิ พอเพยี งระดบั ทใ่ี หญ่ขึน ดงั พระราชดา้ รัสของพระราชด้ารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภมู พิ ลอดุลยเดช บรมนาถบพติ ร เพอื่ เปน็ หลกั ในการทา้ งานให้สา้ เรจ็ ว่า “..... ถา้ ทาโครงการอะไรให้สอดคล้องกับภูมิประเทศ ก็จะสามารถสร้างความเจริญให้กับเขตที่ใหญ่ ข้ึนได้ เขตท่ีใหญ่ลงท้ายก็จะแผ่ท่ัวประเทศได้ แต่เพื่อการน้ีจะต้องมีความร่วมมืออย่างดีระหว่าง ทุกฝ่าย ท้ังนกั วิชาการ และนกั ปกครอง ดงั นี.้ . ถงึ บอกว่าเศรษฐกิจพอเพยี ง และทฤษฎใี หม่ สองอย่าง น้จี ะทาความเจริญแกป่ ระเทศได้ แต่ต้องมีความเพียร แล้วต้องอดทน ต้องไม่ใจร้อน ต้องไม่พูดมาก ตอ้ งไมท่ ะเลาะกัน ถา้ ทาโดยเขา้ ใจกัน เชอื่ วา่ ทุกคนจะมคี วามพอใจได.้ ...” (พระราชดา้ รสั ฯ เนื่องในโอกาสวนั เฉลมิ พระชนมพรรษา ศกุ ร์ที่ 4 ธนั วาคม 2541)

8 ภาพท่ี 1.6 ทฤษฎบี นั ได 9 ขนั สคู่ วามส้าเรจ็ “ทฤษฎีบันได 9 ขัน สู่ควำมพอเพียง5” อ.ยักษ์ ได้สรุปหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เพื่อให้มองเห็นภาพง่ายในการ น้าไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ ขันพืนฐาน และขันก้าวหน้า ซึ่งเกษตรกรจะต้องท้าขัน พืนฐานให้ม่ันคงก่อน ค่อยพัฒนาไปในขันก้าวหน้า โดยในเบืองต้นนันการขับเคล่ือนศาสตร์พระราชารูปแบบ โคก หนอง นา โมเดล เปน็ การเน้นพฒั นาเกษตรกรใน “ขันพืนฐาน” โดยการออกแบบพืนที่ให้สามารถเก็บน้าฝน ใหไ้ ด้ 100% หรือเกิน 100% ซ่ึงใช้หลกั การประยุกต์ เกษตรทฤษฎีใหม่ ดังทพ่ี ระองค์พระราชทานไว้ 5 ทฤษฎบี ันได 9 ขัน สู่ความพอเพยี ง รายละเอียดภาคผนวก 1

9 บทที่ 2 หลักการจัดเก็บนา้ ระดับไร่นาเพ่อื การพึ่งพาตนเอง เกบ็ เป็นนำ้ ใตด้ ิน 80% ภาพท่ี 2.1 ภาพวัฏจกั รของนา้ ฝน ที่มา : https://www.slideserve.com/quincy-collins/7024386 2.1 หลกั การจัดเก็บนา้ ในระดับไรน่ า การจดั เก็บนา้ ในระดบั ไร่นา ถือเปน็ หนว่ ยจัดการน้าที่เล็กที่สุด คือ ระดับแปลงเกษตรกรรม แตม่ ีความสา้ คัญมากท่สี ุด ในการขยายตอ่ ในระดับท่ีใหญข่ นึ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล บรม นาถบพิตร ไดพ้ ระราชทานแนวคิดการจัดการ “แบบคนจน1” เมือ่ ปี 2534 ถา้ หากพูดถึงการจดั การน้าแบบคน จนนันมีหลายวธิ ี หลกั คดิ คอื ต้องกระจายไม่กระจกุ ใชว้ ธิ ีกระจายการเก็บนา้ ไปให้ทั่วทกุ ต้าบลทุกหมูบ่ า้ น เก็บ น้าไวท้ ุกหลงั คาเรือนไดย้ ง่ิ ดี และใหไ้ ด้ท่ัวทังล่มุ น้า โดยการชักชวนชาวบ้านเข้ามาร่วมกันเก็บกันไว้เพ่ือตัวเขา เอง น้าส่วนใหญ่ก็มาจากน้าฝนที่ตกในพืนที่ ซ่ึงขันต้่าก็มีปริมาณไม่น้อยกว่า 800 มม.ต่อปี หมายถึง 1 แบบคนจน หมายถงึ ทา้ ตามก้าลงั ฐานะ เน้นการพง่ึ พาอาศยั กัน สร้างความสามคั คภี ายในชมุ ชน มีการเรียกแตกตา่ งกนั เช่น - ลงแขก (ภาคอีสาน, ภาคกลาง) - เอามือ เอาแฮง (ภาคเหนือ) - ซอมือ (ภาคใต้)

10 “ ฝนตกลงมาถา้ ไมม่ กี ารซมึ ไมร่ ะเหยจะสงู 80 ซม. จากพืนดิน น่คี ือพนื ทมี่ ฝี นนอ้ ย คอ่ นขา้ งแลง้ สว่ นพนื ท่ีท่ีมี ฝนตกหนกั มากๆ อาจมปี รมิ าณถงึ 1,800 – 2,000 มม.ตอ่ ปี หรือคดิ เป็นความสงู จากพนื ดนิ 1.80 – 2.00 ม. ” หำกว่ำเรำอยำกวัดน้ำฝนทีต่ กในพนื ทข่ี องเรำ ท้ำไดโ้ ดยแคน่ ำ้ กระปอ๋ งน้ำไปรองรบั น้ำฝนไว้ ทังปีแล้ววัดปริมำณนำ้ ฝนที่วัดแตล่ ะครังมำรวมกนั ก็จะรู้ว่ำนำ้ ทต่ี กในพืนที่ของเรำสงู เทำ่ ไร เชน่ ฝน ตกครงั ท่ี 1 น้ำสงู 10 ซม. (ปรมิ ำณน้ำฝนเท่ำกับ 100 มม.) เก็บครังท่ี 2, 3, 4 เก็บไป เร่อื ย ๆ จน ครบปกี จ็ ะสำมำรถไดค้ ้ำตอบว่ำในพืนทขี่ องเรำมนี ้ำฝนตกจำกฟ้ำลงมำเท่ำไร การเก็บน้าจึงท้าได้หลายวิธี ซึ่ง อ.ยักษ์2 ได้ประยุกต์หลักการทฤษฎีใหม่และปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง โดยการออกแบบพืนที่ผังแปลง โดยให้ชื่อโมเดลนี ว่า “โคก หนอง นา โมเดล” เป็น โมเดลต้นแบบที่สถาบันเศรษฐกิจพอเพียงและมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติน้อมน้าพระราชด้ารัส ในพระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภมู ิพล บรมนาถบพิตร ด้านการท้าเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวเศรษฐกิจ พอเพยี งมาประยุกตใ์ ชก้ บั การเกบ็ น้าและบริหารจัดการน้าในพืนที่การเกษตรระดับไร่นา ผสมผสานกับ ภูมิปัญญาพืนบ้านได้อย่างสอดคล้องกัน หรือเรียกว่า สอดคล้องกับภูมิศาสตร์ และสังคม (วัฒนธรรม ท้องถ่นิ ) โดยแบ่งพืนท่ี เปน็ สดั ส่วน 30 : 30 : 30 : 10 ดังนี - 30% สา้ หรับ แหลง่ น้า โดยการขดุ บ่อท้าหนองน้าและคลองไสไ้ ก่ - 30% สา้ หรบั ท้านา ปลกู ข้าว - 30% ส้าหรับ ท้าโคกหรือป่า ปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ก็คือ ปลูกไม้ใช้สอย ไม้กินไดแ้ ละไมเ้ ศรษฐกิจ เพอ่ื ให้ไดป้ ระโยชน์ คือ 1. พอกนิ คอื มผี ัก มอี าหารไว้กิน 2. พออยู่ คอื สามารถตัดไมไ้ ปสร้างบา้ น ท้าท่อี ยไู่ ด้ 3. พอใช้ คือ มไี วใ้ ช้สอยในครวั เรอื น ใช้เป็นยาและสมุนไพร ใชเ้ ปน็ ฟนื เป็นเครอื่ งมอื ใช้ สอยในบา้ น 4. พอร่มเย็น มีความสมบรู ณ์ และความรม่ เยน็ - 10% ส้าหรับที่อยู่อาศัย คอกสัตว์ ถนนในแปลง เปน็ ต้น เร่ิมต้นจากยกหัวคันนาให้สูงและใหญ่ (กว้างไม่น้อยกว่า 1 เมตร และสูงไม่น้อยกว่า 1 เมตร) เพอ่ื เป็นเสมือนเขอื่ นดนิ ขนาดเล็กกักเก็บนา้ ไว้ และป้องกันคันนาพังในกรณีท่ีน้าหลาก การขุดหนองน้า ควรให้โค้งเลียนแบบธรรมชาติ มีระดับความลึกหลายระดับเพ่ือเป็นท่ีอยู่อาศัยของปลาแต่ละชนิด ขุด คลองไส้ไก่เลาะเลียวไปท่ัวพืนที่เพิ่มความชุ่มชืน หรือหากว่าพืนที่ไหนอยู่ใกล้ล้าห้วย ล้าธาร ก็สามารถ กันฝายไวเ้ พมิ่ ยามนา้ หลากมา เพือ่ ช่วยชะลอน้าแล้วยังจะท้าให้มีน้าไว้ยามหน้าแล้ง ดินท่ีได้จากการขุด หนองและคลองไส้ไก่ให้น้ามาถมเป็นโคกเพิ่มพืนที่ปลูกต้นไม้ และสามารถท้าได้ด้วยตัวเองหรือการ ช่วยเหลอื กนั เป็นเครอื ข่าย และพอเริ่มมนี ้าก็สามารถสร้างป่าไว้บนโคก บนเขา บนท่ีสูง หรือรอบๆ บ้าน 2 ดร.วิวฒั น์ ศลั ยกา้ ธร ผกู้ อ่ ตงั มลู นธิ ิกสิกรรมธรรมชาติ

11 ซึง่ ปา่ จะชว่ ยเพม่ิ ความช่มุ ชืนและกกั เกบ็ น้าไว้ใตด้ นิ สามารถเก็บน้าไดม้ ากกวา่ บนดินหลายเท่า และหาก ชาวบา้ นชว่ ยกันเก็บน้าให้ได้ 10% ของพืนทล่ี ่มุ น้าก็สามารถหยดุ ทว่ ม หยดุ แล้งได้ ภาพท่ี 2.2 ภาพการแบง่ พนื ที่ตามรูปแบบเกษตรทฤษฎใี หม่ 2.2 หลกั การออกแบบพืนที่ 2.2.1 การพจิ ารณาตามหลกั ภูมสิ ังคม การออกแบบพืนที่แปลงเพ่ือจัดเก็บน้าในระดับไร่นานัน อาจารย์โก้3 ได้น้า หลักการออกแบบตามหลักภูมิสังคมมาประยุกต์กับการออกแบบผังแปลง โดยหลักการมีปัจจัยหลักท่ี สา้ คัญของการออกแบบพืนท่ี ภูมิ คือ สภาพทางกายภาพ เช่น สภาพดิน น้า ลม ไฟ สังคม วัฒนธรรม ความเชอื่ ภูมปิ ญั ญาดังเดิมท่ีอยู่ในพืนที่นัน ซึ่งในการออกแบบจะให้ความส้าคัญกับ “สังคม” มากกว่า “ภมู ิ” คือตอ้ งออกแบบตามสงั คมและวฒั นธรรมของคนที่อยู่ แมว้ ่าภูมิประเทศจะเหมือนกันก็ตาม หาก สงั คมตา่ งกันการออกแบบก็จะตา่ งกันออกไปมีหลกั พิจารณา ดงั นี 1) ปรมิ าณนา้ ฝนเฉลี่ยต่อปที ต่ี กในพนื ท่ี 2) ความสูงต่า้ ของพืนทแี่ ละทิศทางการไหลของนา้ ในแปลง 3) การวางองคป์ ระกอบของพนื ที่ - น้า : สระน้า ควรวางในต้าแหน่งที่ลมร้อนพัดผ่าน (จากทิศ ตะวันตกเฉยี งใต้ ไป ตะวันออกเฉยี งเหนอื ) และขุดเลียนแบบธรรมชาติ - ดนิ : ตา้ แหน่งโคก คือ ดนิ ทข่ี ดุ หนองนา้ มาปรับเป็นโคก ควรวาง ในต้าแหน่งทางทศิ ตะวันตก - ลม : การออกแบบบ้านใหม้ ชี ่องลม และควรวางต้าแหน่งบ้านให้ ขวางทางลมหนาว - ไฟ : ส้ารวจทศิ ทางแสงในการวางตา้ แหน่ง เช่น บ้านให้หน้าต่าง บ้านรับแสงตอนเช้า การวางตา้ แหน่งใหเ้ งาต้นไม้บังแดดในยามบ่าย การวางต้าแหน่งแปลงนาให้วางใน แนวทศิ ตะวนั ออก - ตะวนั ตก เป็นต้น - คอกสัตว์ : ไมค่ วรวางในตา้ แหน่งท่พี ดั พากลน่ิ เข้าบ้าน 3 ผศ.พเิ ชษ โสวิทยสกุล คณะบดคี ณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกล้าเจา้ คณุ ทหารลาดกระบงั

12 - คน : การออกแบบควรให้เหมาะสมกับฐานะและก้าลังของ เจา้ ของทด่ี ิน ภาพที่ 2.3 ภาพความสมั พันธ์การออกแบบพืนทต่ี ามลกั ษณะภมู ิสงั คม (ท่ีมา : คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจา้ คุณทหารลาดกระบงั ) 2.2.2 หลกั การออกแบบและค้านวณเบืองต้น 1) ก้าหนดพืนที่ในการออกแบบและตรวจสอบลักษณะภูมิสังคมของพืนท่ี ท่ีส้าคัญจะตอ้ งรู้ทศิ ทางการไหล หรือความสูงต้่าของพืนท่ี ซึ่งส่วนใหญ่เจ้าของแปลงจะสังเกตได้ชัดเจน ในช่วงหน้าฝน หรือ สังเกตจากร่องน้าเดิมในพืนที่อาจจะเป็นน้าที่ไหลหลากมาจากพืนที่ตอนบน ดา้ นขา้ งแปลง ก็สามารถหาวิธีเก็บน้ามาไว้ในแปลงของเราไดเ้ ชน่ กัน เส้นชนั้ ความสูง ทศิ ทางการไหล ภาพที่ 2.4 ภาพแสดงใหเ้ ห็นทิศทางการไหลจากเส้นชันความสงู

13 ภาพท่ี 2.5 ภาพแสดงให้เห็นทิศทางการไหลของน้าจากภาพถา่ ยทางอากาศ ปัจจุบันข้อมูลด้านภูมิศาสตร์มีการพัฒนาไปรวดเร็วมาก สามารถตรวจสอบและหา ข้อมูลเบืองต้นจากหลาย ๆ แหล่ง เช่น Google Earth, Google Map, แอพพลิเคชั่นเกี่ยวกับแผนที่ท่ี สามารถโหลดมาใชไ้ ด้ทว่ั ไป ซึง่ เมอ่ื ไดข้ อ้ มูลภาพถา่ ยทางอากาศท่ีเหน็ รายละเอียดต่าง ๆ เช่น กลุ่มต้นไม้ จะอยู่บริเวณท่ีเนิน โคก ล้าห้วย คลอง จะอยู่บริเวณท่ีต้่า ดังนันการพิจารณาเบืองต้น คือ น้าฝนที่ตก จากฟ้าจะไหลจากภูเขาลงตามรอ่ งนา้ ระหว่างหบุ เขา และไหลลงไปรวมกันในล้าห้วยเพื่อลงสู่แม่น้า ก็จะ ท้าให้สามารถวางแผนและตา้ แหนง่ ในการวางสระเกบ็ นา้ ในแปลงไดอ้ ยา่ งใกลเ้ คยี งความเป็นจรงิ ขอบเขตพืนที่รบั นา้ ฝน ภาพท่ี 2.6 ภาพแสดงการใช้ แผนท่ี 1 : 50,000 หาปรมิ าณพนื ที่รับนา้ ( กรณใี ช้ประโยชน์จากปริมาณ นา้ ภายนอกไหลผ่านแปลง ) (ทม่ี า : สมาคมศิษย์เก่าวิศวกรรมชลประทานในพระบรมราชปู ถัมภ)์

14 การหาพนื ทรี่ ับน้าฝนจากแผนท่ี 1 : 50,000 ของกรมแผนท่ีทหาร คือการหาอาณาเขต วงปิดด้วยแนวสนั ปนั น้า หรอื แนวสันเนนิ สงู สุด ภายในพนื ทวี่ งปดิ นเี ม่อื มฝี นตกจนไหลนอง น้าทังหมดจะ ไหลลงมายงั แนวร่องน้าท่เี ราสามารถน้ามาใช้ประโยชน์ เช่น กันฝาย ท้านบดิน หรือสระน้า หรือพัฒนา เปน็ โครงการขนาดใหญข่ ึน หากมปี ริมาณน้าผ่านมากพอ 2) ปรมิ าณนา้ ฝนที่ตกในพืนท่ี4 ค่าปริมาณน้าฝนรายปีมีหน่วยเป็น มิลลิเมตรต่อปี สามารถเลือกใช้ข้อมูลจาก เวบ็ ไซต์ของทางหน่วยงานราชการทรี่ บั ผิดชอบโดยตรง เช่น กรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน หรือใช้ วิธีเก็บด้วยตัวเองโดยการใช้กระป๋องน้ารองน้าฝนท่ีตกในพืนท่ีภายในเวลา 1 ปี ก็จะท้าให้ได้ข้อมูลท่ี แม่นยา้ ย่งิ ขนึ ภาพที่ 2.7 แผนที่น้าฝนเฉล่ียรายปี (ทม่ี า : สมาคมศษิ ยเ์ กา่ วิศวกรรมชลประทานในพระบรมราชปู ถมั ภ)์ 4 ภาคผนวก 3 ตารางและแผนท่แี สดงคา่ ปรมิ าณน้าฝนเฉลยี่ ต่อปี

15 ภาพที่ 2.8 ตารางน้าฝนเฉล่ยี รายปี (ท่มี า : สา้ นกั อทุ กวทิ ยา กรมชลประทาน) 3) กา้ หนดกิจกรรมและวางแผนการจดั เก็บนา้ การวางแผนกิจกรรมในการท้าเกษตร และวางแผนการจัดเก็บน้า จะเริ่มต้น จากการคดิ คา้ นวณที่นาใหพ้ อกินทังครอบครัวตลอดทังปี เพื่อจะได้วางแผนการใช้พืนที่ให้เหมาะสมกับ ทรัพยากรท่ีมีอยู่ เช่น แรงงานในครัวเรือน ต้นทุนการผลิต ฯลฯ และการแบ่งพืนที่เพื่อจัดเก็บน้า จะออกแบบให้เก็บใน หนองน้า นาข้าว และโคก (คือดินท่ีขุดจากสระน้ามาสร้าง เนินดินเพื่อปลูกป่า 3 อยา่ ง ประโยชน์ 4 อยา่ ง ) - สูตรที่ใช้คา้ นวณ (อย่างง่าย) ในการประมาณการเกบ็ นา้ ในไร่นา  ประมำณกำรเก็บน้ำจำกกำรขดุ หนองน้ำ การเกบ็ นา้ จากการขุดหนองนา้ (ลบ.ม.) = ขนาดพืนท(่ี ตร.ม.) x ความลึกสระ(ม.) **หกั ความลาดชันด้านข้างของสระและการระเหย ร้อยละ 50 ของความลกึ สระ** ตวั อย่าง ขุดสระขนาด 1 ไร่ ลกึ 4 เมตร จะเกบ็ นา้ ได้เทา่ ไร จาก สตู ร สระเกบ็ นา้ ได้ = 1 ไร่ x 1,600 x 4 ม. x 0.5 = 3,200 ลบ.ม. ดังนัน สระขนาด 1 ไร่ ลกึ 4 เมตร จะเกบ็ น้าไว้ใช้ได้ประมาณ 3,200 ลบ.ม.

16  ประมำณกำรเกบ็ น้ำจำกโคกปลูกป่ำปำ่ 3 อยำ่ ง ประโยชน์ 4 อย่ำง การเกบ็ น้าจากการสร้างโคก(ลบ.ม.) = ขนาดพนื ท(่ี ตร.ม.) x ปรมิ าณนา้ ฝนท่ตี กในพนื ท่ี(มม./ป)ี x 0.8 **คดิ ปรมิ าณนา้ ท่ซี ึมเก็บลงดนิ รอ้ ยละ 80 ของปริมาณนา้ ฝนท่ีตกในพืนท่ี** ตัวอยา่ ง เกษตรกรจงั หวดั ฉะเชิงเทราต้องการขดุ สระขนาด 1 ไร่ ลึก 4 เมตร และน้าดินไปท้าโคกปลูก ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อยา่ ง ขนาด 1 ไร่ จะสามารถเก็บเป็นนา้ ใตด้ นิ ไดเ้ ทา่ ไร ปริมาณนา้ ฝนเฉลยี่ ของจังหวดั ฉะเชิงเทรา 1,220.3 มม./ปี จาก สูตร โคกเก็บนา้ ได้ = 1 ไร่ x 1,600 ตร.ม. x 1.2203 ม./ปี x 0.8 = 1,561.98 ลบ.ม. ดังนนั ดนิ ท่ขี ดุ สระท้าโคกขนาด 1 ไร่ จะเกบ็ เป็นน้าใต้ดินได้ 1,561.98 ลบ.ม.  ประมำณกำรเก็บนำ้ จำกกำรเสรมิ คันนำ การเก็บนา้ จากการสรา้ งคันนา(ลบ.ม.) = ขนาดพืนท่ีนา(ตร.ม.) x ความสูงของคันนา(ม.) **หกั การสูญเสียจากการซมึ ลงดนิ รอ้ ยละ 25 ของความสูงคันนา** ตัวอยา่ ง เกษตรกรจังหวัดฉะเชิงเทราต้องการท้านาขนาด 1 ไร่ ยกคันนาสูง 2 เมตร จะสามารถเก็บ เปน็ นา้ ไดเ้ ทา่ ไร จาก สตู ร นาเกบ็ นา้ ได้ = 1 ไร่ x 1,600 ตร.ม. x 1.5 ม. = 2,400 ลบ.ม. ดังนนั นาขนาด 1 ไร่ จะสามารถเกบ็ น้าได้ประมาณ 2,400 ลบ.ม.

17 ภาพท่ี 2.9 ตัวอย่าง การคิดปรมิ าณน้าฝนตอ่ พืนที่ 1 ไร่ - ออกแบบพนื ท่โี ดยใช้สูตรของการออกแบบพนื ท่แี บบทฤษฎีใหมก่ รณีท่ี พนื ท่ี 10 ไร่ ขนึ ไปสามารถใช้สตู รการคดิ พนื ที่นีได้ ภาพท่ี 2.10 ตัวอย่างการแบง่ พืนที่ - กรณีพนื ท่นี อ้ ยกว่า 10 ไร่ ให้ใชห้ ลักออกแบบตามความเหมาะสม 4) กา้ หนดกจิ กรรมและประมาณน้าใช้การตามหลกั การทฤษฎีใหม่ จากการก้าหนดสตู รพนื ที่ 30% สา้ หรับแหลง่ นา้ โดยการขดุ บอ่ ท้าหนองน้าและคลองไสไ้ ก่ 30% สา้ หรบั ทา้ นา ปลูกข้าว 30% ส้าหรับท้าโคกหรือป่า ปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ก็คือปลูกไม้ ใชส้ อย ไมก้ ินไดแ้ ละไมเ้ ศรษฐกิจ 10% สา้ หรบั ทอ่ี ย่อู าศัย และเลียงสัตว์ เชน่ ไก่ ปลา ววั และควาย เป็นต้น

18 - การคิดค้านวณทีน่ าให้พอกินทังครอบครัวตลอดทังปี เพ่ือจะได้วางแผนการใช้ พืนที่ให้เหมาะสมกับทรัพยากรที่มีอยู่ เช่น แรงงานในครัวเรือน ต้นทุนการผลิต ฯลฯ หากเหลือจากแบ่งปัน แล้วจึงนา้ ไปขายผา่ นระบบสหกรณ์ หรือในปจั จุบันสามารถขายผ่านระบบออนไลน์ ตวั อยา่ งการค้านวณ ภาพที่ 2.11 ตัวอยา่ งการคิดค้านวณพนื ท่ีทา้ นาเพ่ือบรโิ ภคในครัวเรือน - ความต้องการน้าใช้ในการท้าเกษตร โดยเน้นการบริโภคในครัวเรือนก่อนนัน มีกิจกรรมท่ีจา้ เป็น ดังนี ภาพที่ 2.12 คา่ ประมาณการความตอ้ งการใช้นา้ เฉลย่ี ในการท้าการเกษตร

19 ตัวอย่างท่ี 1 ครอบครัวเกษตรกรมีสมาชิก 4 คน อยู่จังหวัดอ่างทอง เข้าร่วม โครงการปรับเปลี่ยนกับ ส.ป.ก. จากพืนที่ท้านาในเขตท่ีลุ่มพืนที่ขนาด 4 ไร่ เป็นเกษตรผสมผสาน ต้องการออกแบบพืนท่เี พ่ือเกบ็ น้าใหเ้ พยี งพอต่อการทา้ เกษตร ออกแบบพนื ทแี่ ละประมาณการจัดเกบ็ น้า ดงั นี  ปรมิ าณนา้ ฝนทังหมดท่ีตกในพนื ท่ี พืนท่ี 1 ไร่ = 1,600 ตร.ม. คดิ เปน็ 4 ไร่ x 1,600 ตร.ม. x 1.066 ม./ปี 1,000 มม. = 1 ม. = 6,822 ลบ.ม. *** เป้าหมาย ต้องเกบ็ นา้ ใหไ้ ดเ้ กิน 100% ***  ประมาณการใช้พนื ท่ี  โคก 1.5 ไร่ เก็บนา้ ได้ (1.5 ไร่ x 1,600 ตร.ม. x 1.066 ม./ป)ี x 0.8 = 2,046.62 ลบ.ม. = 2,046.62 ลบ.ม. (โคกดูดซับนา้ ฝนไว้ในดนิ 80%)  นาข้าว 1 ไร่ ยกคันนาสูง 2 เมตร เก็บน้าได้ 1 ไร่ x 1,600 ตร.ม. x 1.5 ม. = 2,400 ลบ.ม. (หักคา่ ซมึ ลงดินประมาณ 0.50 ม.)

20  หนอง 1 ไร่ ลึก 6 เมตร เก็บน้าได้ 1 ไร่ x 1,600 ตร.ม. x 6 ม. x (0.5) = 4,800 ลบ.ม. (หักความชันด้านข้างและระเหย 50%) รวมน้า 2,046.62 + 2,400 + 4,800 = 9,246.62 ลบ.ม. จะเห็นว่าเม่ือเปรียบเทียบกันกับน้าที่ตกลงในพืนที่ กับพืนที่ที่เราออกแบบรองรับน้า สามารถรองรบั น้าได้เกนิ 100%  ออกแบบกจิ กรรมการเกษตรในแปลง  คา้ นวณพนื ทนี่ าใหพ้ อกิน

21  ประมาณการน้าใช้จากหนองน้า จากปริมาณน้าส่วนท่ีเหลือสามารถน้ามาเลียงปลาได้ในบ่อขนาดเล็กหรือจะน้าไปใช้ ปลกู พืชผกั ได้ไมเ่ กนิ 1 ไร่ เพอ่ื เปน็ อาหารในครัวเรือนและสร้างรายได้เสรมิ อกี ทางหน่งึ

22  ออกแบบผงั แปลง

23

24

25 ตัวอยา่ งที่ 2 นายด้า มากเมือง เป็นเกษตรกรในเขตปฏิรูปท่ีดิน อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี มี ท่ีดิน 10 ไร่ สมาชิกในครอบครัว 6 คน ลักษณะพืนที่มีเป็นที่ราบลุ่ม เดิมเป็น พืนท่ีปลูกปาล์มน้ามัน ต้องการปรับเปล่ียนมาท้าเกษตรทฤษฎีใหม่ ต้องการ ออกแบบพนื ทเ่ี พ่ือเกบ็ นา้ และปลกู พชื ท่ีหลากหลาย เนื่องจาก อ.ชัยบุรี จังหวัดสุราษฎร์ธานี ติดเขตจังหวัดกระบ่ี จึงมีปริมาณปริมาณ น้าฝนเฉลยี่ ประมาณ 2,000 มม./ปี (เปรยี บเทยี บจากแผนทีน่ า้ ฝน) อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎรธ์ านี ออกแบบพืนท่แี ละประมาณการจดั เกบ็ นา้ ดังนี พนื ท่ี 1 ไร่ = 1,600 ตร.ม.  ปริมาณนา้ ฝนทังหมดที่ตกในพืนที่ คดิ เป็น 10 ไร่ x 1,600 ตร.ม. x 2.0 ม./ปี 1,000 มม. = 1 ม. = 32,200 ลบ.ม.

26 *** ต้องเก็บนา้ ใหไ้ ด้เกนิ 100% ***  ประมาณการใช้พืนที่ โดยใช้สตู ร หนอง 30% : โคก 30% : นา 30% : อื่น 10% ประกอบกับความต้องการของเกษตรกร  นาขา้ ว 3.7 ไร่ ยกคันนาสูง 1.5 เมตร เก็บนา้ ได้ = 3.7 ไร่ x 1,600 ตร.ม. x 1.20 ม. = 7,104 ลบ.ม. (หกั ค่าซมึ ลงดนิ ประมาณ 0.3 ม.)  โคก 4 ไร่ เก็บนา้ ได้ = 4 ไร่ x 1,600 ตร.ม. x 2 ม./ปี x 0.8 = 10,240 ลบ.ม. (โคกดูดซับนา้ ฝนไว้ 80%) เกบ็ นา้ ได้  หนอง 1.5 ไร่ ลกึ 4 เมตร - เก็บนา้ ได้ = 1.5 ไร่ x 1,600 ตร.ม. x 4 ม. x 0.5 = 4,800 ลบ.ม. (หกั ความชันด้านขา้ งและคา่ การระเหย 50%)  คลองไส้ไก่ 0.6 ไร่ ลกึ 2 ม. = 0.6 ไร่ x 1,600 ตร.ม. x 2 ม. = 1,920 ลบ.ม.

27 รวมนา้ 7,104 + 10,240 + 4,800 + 1,920 = 24,064 ลบ.ม. **คลองไส้ไกข่ ดุ เช่ือมกบั คลองจากภายนอกแปลงจึงทา้ ใหม้ นี ้ามาเติมเพื่อใช้ในกิจกรรม เกษตรในแปลงอยา่ งเพยี งพอ **  ออกแบบกจิ กรรมการเกษตรในแปลง จากกิจกรรมที่วางแผนไว้ ปริมาณน้าที่ใช้สามารถผันน้าจากภายนอกมาเสริมได้ เพียงพอ หรือจะน้าไปใช้ในการปศุสัตว์อื่นๆ เช่น เลียงไก่ เป็ดไข่ เป็นต้น เพื่อเป็นอาหารในครัวเรือน และสรา้ งรายไดเ้ สริมอกี ทางหนึ่ง

28

929

730 การออกแบบแผนผังแปลงเกษตรกรรม เพ่ือต้องการสร้างแหล่งกักเก็บน้าในไร่นาของ เกษตรกรให้ได้เต็มศักยภาพของพืนท่ี โดยเร่ิมจากยกหัวคันนาให้สูงและใหญ่เพื่อให้กลายเป็นเขื่อน ขนาดเล็ก ซ่ึงนอกจากจะช่วยเก็บน้าแล้วยังสามารถป้องกันการพังทลายของคันนาช่วงน้าหลาก และ หากขดุ ร่องนา้ ไว้ในนาข้าวจะเก็บน้าได้มากขึนและเป็นท่ีอยู่อาศัยของปลา โดยการเลียงแบบให้อาหาร ธรรมชาตชิ ่วยลดตน้ ทุนได้อีกทางหน่ึง ขุดคลองไส้ไก่เพื่อกระจายความชืนให้ทั่วพืนที่ หากพืนที่ไหนอยู่ ใกล้ล้าห้วย ล้าธาร ก็กันฝายเก็บน้าไว้เพิ่มยามน้าหลากมา โดยไม่ปล่อยน้าไปโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่ง จะตอ้ งออกแบบกจิ กรรมเกษตรใหเ้ หมาะสมกับปริมาณท่ีสามารถเก็บกักได้ เช่น หากวางแผนท่ีจะเลียง ปลาในสระน้า จะต้องมีน้าหล่อเลียงตลอดปี และควรจะมีน้าเหลือในสระคิดเป็นความลึกไม่ต่้ากว่า 1 เมตร วิธีการขุดควรขุดให้แคบคดเคียวเลียนแบบธรรมชาติ มีความลึกหลายระดับ ให้มีชานพักและ ลาดชันต้า่ เพ่ือลดพืนทีใ่ นการระเหยของน้า และปลกู ต้นไมใ้ นแนวทศิ ตะวันออก-ตะวันตก ตามแนวของ สระชว่ ยในการลดการสัมผัสของแสงแดดอีกทางหน่ึง ปลาจะได้มีชีวิตและสามารถเจริญเติบโตได้ และ ควรจะมีพืชน้าเพ่อื เปน็ ท่ีอยู่ของปลา เมอ่ื สามารถมีนา้ ไวเ้ พียงพอพอในพืนทีแ่ ลว้ กส็ ามารถสร้างป่าไว้บน โคก หรอื รอบ ๆ บ้านจะชว่ ยเพ่มิ ความชุ่มชืนและเกบ็ กกั นา้ ไว้ใต้ดนิ

31 บทที่ 3 ศาสตร์พระราชาสู่การปฏิบัติ การพึ่งพาตนเองในการจัดเก็บน้าระดับไร่นา ตามแนวทางศาสตร์พระราชา จะให้ ความส้าคัญในการจัดเก็บน้าฝนที่ตกลงมาในพืนที่ของเกษตรกร การน้อมน้าศาสตร์พระราชา มา ประยกุ ตใ์ ช้ในเขตปฏิรูปท่ีดิน จงึ มคี วามจา้ เปน็ และเหมาะสม เนื่องจากสภาพพืนทใี่ นเขตปฏิรูปท่ีดินส่วน ใหญย่ งั ยากต่อการพฒั นาใหเ้ ป็นเขตชลประทาน และมีความหลากหลาย ลักษณะการถือครองไม่เท่ากัน จะต้องพัฒนารายแปลงหรือกลุ่มแปลงขนาดเล็ก โดยเน้นการเก็บน้าและบริหารจัดการที่เกษตรกร สามารถพึ่งพาตนเองได้ และจะต้องท้าในแบบองค์รวมจึงจะเกิดผลสัมฤทธิ์ จากหลักการทรงงานของ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั ในหลวงรชั กาลท่ี 9 สรปุ ได้ ดังนี - เริม่ ตน้ ดว้ ยการแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหนา้ เพื่อใหพ้ อมี พอกิน และพอใช้ - การพัฒนาตอ้ งพ่ึงตนเอง และรว่ มมือกนั ไม่ติดตารา และสร้างคนให้มีความพร้อม ทั้ง ด้านความรู้ และจิตใจที่ดี - สง่ เสริมความรู้และเทคนิค วิธีการสมยั ใหม่ที่เหมาะสม เพื่อสามารถเชื่อมโยงเศรษฐกิจ พอเพยี งกบั เศรษฐกจิ การคา้ ไดอ้ ย่างดี - สง่ เสริมปรบั ปรงุ คุณภาพสงิ่ แวดล้อม รวมถงึ การพฒั นาทรัพยากรธรรมชาติ - การพฒั นาต้องเปน็ ไปตามข้ันตอน ตามลาดับความจาเป็น ประหยัด และสอดคล้องกับ สภาพภมู ิศาสตร์ วฒั นธรรม บนความเช่อื ทว่ี า่ ประโยชนส์ ่วนรวมคือประโยชน์ส่วนตน ด้วยพืนฐานสังคมไทยเป็นสังคมเกษตรกร เกษตรทฤษฎีใหม่ถือเป็นแนวคิดและสามารถ ประยกุ ต์ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพชีวิตคนไทยท่ีมีเกษตรกรเป็นฐานรากของสังคม หลักปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียงและหลักการทางวิชาการต่างๆ ถูกน้ามาปรับเป็นค้าพูดท่ีง่ายต่อการเข้าใจแล้วน้าไปสอนและ ถ่ายทอดแก่เกษตรกร เพื่อให้พวกเขาสามารถช่วยเหลือตนเองได้และมีชีวิตท่ีดีขึน เมื่อพืนฐานชีวิตมี มาตรฐานมคี วามมั่นคงแลว้ ชวี ิตคนไทยจงึ จะม่นั คง ม่ังคั่ง และยัง่ ยนื 3.1 วิธกี ารปฏบิ ัติ สู่ ความสาเร็จ - การลงแขก ถอื เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของระบบการเกษตรไทยมาแต่โบราณ ซึ่งวิธีนี พระองค์ท่านตรัสว่าเป็นวิธีการของ “คนจน” หมายถึง เป็นการประหยัด ไม่ต้องลงทุน ลงแรงมาก ส้าหรับคนท่ีไม่มีทุน น่ันคือ การใช้วิธี “ลงแขก” บวกกับการท้าเกษตรแบบโบราณ คือการพ่ึงพา ธรรมชาติ ซึ่งปัจจบุ นั เรียกวา่ ระบบกสกิ รรมธรรมชาติ หรอื เกษตรกรรมธรรมชาติ น่นั เอง - การสนบั สนุนภาคีเครือขา่ ย ภาคีเครือข่าย ท่ีมีส่วนผลักดันให้การด้าเนินงานโครงการเป็นไปอย่างรวดเร็ว และ ประสบความสา้ เร็จประกอบไปด้วย ภาคราชการ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา ภาคประชาสังคม ศาสนา ส่ือมวลชน มสี ว่ นส้าคัญมากในการขับเคล่อื นภาคเกษตรและชมุ ชน บนฐานปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง

32 3.2 ผลการดาเนินงานในการขบั เคล่ือนศาสตรพ์ ระราชา ปงี บประมาณ 2561 ภาพที่ 3.1 ภาพเอามื้อ เอาแฮง แปลงนางบัวรอง ปะทิ (เกษตรกรในเขตปฏิรปู ทีด่ นิ จ.น่าน)

33 ภาพที่ 3.2 ภาพแปลงหลงั ปรบั พืน้ ท่ี แปลงนายบุญชว่ ย สาทงุ่ (เกษตรกรในเขตปฏิรูปท่ีดนิ อ.สอง จ.แพร่)

34 ภาพที่ 3.3 ภาพแปลงหลงั ปรับพื้นที่ แปลงนางสุดหล้า สดุ ย่ิง และ นางเทยี น ตยุ้ ดี (เกษตรกรในเขตปฏริ ูปทด่ี ิน อ.บ้านหลวง จ.นา่ น) การจัดเกบ็ นา้ ระดบั ไร่นาเป็นเรอ่ื งสา้ คัญอยา่ งยง่ิ ในการพ่ึงพาตนเองของเกษตรกร ดังนันเง่ือนไข ความรู้ ดังท่ีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล บรมนาถบพิตร พระราชทานไว้ในหลักปรัชญา เศรษฐกจิ พอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหม่ เมื่อมีความรู้แล้วสามารถออกแบบแผนผังแปลงเกษตรกรรม เพื่อสร้างแหล่งกักเก็บน้าให้ได้เต็มศักยภาพของพืนท่ี โดยเริ่มจากยกหัวคันนาให้สูงและใหญ่เพ่ือให้ กลายเป็นเข่ือนขนาดเล็ก ขุดคลองไส้ไก่1เพ่ือกระจายความชืนให้ทั่วพืนท่ี หากพืนที่ไหนอยู่ใกล้ล้าห้วย ลา้ ธาร กก็ ันฝายเกบ็ น้าไว้เพมิ่ ยามน้าหลากมา โดยไมป่ ล่อยน้าไปโดยเปลา่ ประโยชน์ ซ่ึงจะต้องออกแบบ กิจกรรมเกษตรให้เหมาะสมกับปริมาณที่สามารถเก็บกักได้ เช่น หากวางแผนท่ีจะเลียงปลาในสระน้า จะตอ้ งมนี า้ หล่อเลียงตลอดปี และควรจะมีน้าเหลือในสระคิดเป็นความลึกไม่ต่้ากว่า 1 เมตร วิธีการขุด ควรขดุ ให้แคบคดเคียวเลยี นแบบธรรมชาติ มีความลึกหลายระดับ ให้มีชานพักและลาดชันน้อย เพื่อลด การพืนที่ในการระเหยของน้า และปลูกต้นไม้ในแนวทิศตะวันออก-ตะวันตก ตามแนวของสระช่วยใน การลดการสมั ผัสของแสงแดดอกี ทางหนึ่ง ปลาจะได้มีชีวิตและสามารถเจริญเติบโตได้ และควรจะมีพืช 1 หลกั การขดุ คลองไส้ไก่เพือ่ อนุรักษด์ นิ และนา้ (รูปแบบขนั บันได) รายละเอียดในภาคผนวก 4

35 นา้ เพอ่ื เปน็ ท่ีอยู่ของปลา เม่ือสามารถมีน้าไว้เพียงพอพอในพืนที่แล้ว ก็สามารถสร้างป่าไว้บนโคก หรือ รอบ ๆ บา้ นจะชว่ ยเพิ่มความช่มุ และเกบ็ กกั น้าไวใ้ ตด้ ิน

ภาคผนวก 1 1. หลักปรชั ญาและพระราชดารัส - หลกั การทาแบบคนจน....ไม่ยดึ ตดิ ตารา “แบบทีเ่ รียกว่าทาแบบคนจน คือ ทาวิธีการแบบคนจน ไม่ได้มีการลงทุนมากมายอย่างของเขา เรากท็ าไป กเ็ ลยบอกวา่ ถา้ จะแนะนาก็ทา แนะนาได้ทาแบบคนจน เพราะเรา เราไมไ่ ด้เปน็ ประเทศที่รวย เราก็รวยพอสมควรอยู่ได้ แต่ไม่ใช่เป็นประเทศท่ีก้าวหน้าอย่างมาก แล้วไม่อยากเป็นประเทศอย่าง กา้ วหนา้ อย่างมาก เพราะว่าถ้าเราเป็นประเทศอย่างกา้ วหน้าอย่างมากมีแต่ถอยหลัง ประเทศเหล่าน้ันท่ี เขาเปน็ ประเทศท่มี อี ตุ สาหกรรมสูง มีแตถ่ อยหลงั และถอยหลังอย่างนา่ กลวั ....... แตถ่ ้าเรามีการปกครองที่เรียกว่า “แบบคนจน” แบบท่ีไม่ติดกับตารามากเกินไป ทาอย่าง มีสามคั คีน่แี หล่ะ คือ เมตตากนั ก็จะอย่ไู ดต้ ลอดไป ไม่เหมอื นคนทที่ าตามบญั ชี ตามวชิ าการแลว้ ก็วันหนึ่ง วิชาการนั้นเราดูตาราแล้วพลิกไปหน้าสุดท้าย ในหน้าสุดท้ายนั้นเขาบอกอนาคตยังมี แต่ไม่บอกจะทา อยา่ งไร เวลาปิดเล่มแลว้ มนั กป็ ดิ ตารา ปดิ ตาราแล้วไม่รู้จะทาอะไร ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกใหม่ เปิด หน้าแรกกต็ ้องเรม่ิ ตน้ ใหม่ ถอยหลังเขา้ คลอง แตถ่ ้าเราใช้ตาราแบบทเี่ ราอะลุ่มอลว่ ยกัน ตารานั้นไมจ่ บ” 2. หลกั ทฤษฎบี นั ได 9 ข้นั สคู่ วามพอเพยี ง 1) เศรษฐกจิ พอเพียงขนั้ พนื้ ฐานแบ่งออกเปน็ 4 ข้ัน - ขั้นที่ 1 พอกิน เป็นพื้นฐานสาคัญท่สี ดุ ของมนุษย์ คือ ความต้องการปัจจัย 4 และส่ิงท่ีสาคัญท่ีสุดคือ อาหาร เป็นข้ันท่ี 1 ของแนวทางแก้ปัญหาที่ยั่งยืน โดยตอบคาถามให้ได้ว่า “ทาอย่างไรจึงจะพอกิน” ให้ความสาคัญ กบั ขา้ วปลาอาหาร มากกว่า เงนิ โดยยึดหลักคาวา่ “เงนิ ทองเป็นของมายาข้าวปลาสิของจริง” เกษตรกรต้องเริ่ม จากการอยูใ่ ห้ไดโ้ ดยไม่ใชเ้ งนิ มอี าหารพอมี พอกนิ ท้งั ปลูกพืชและเล้ียงสัตว์ เช่น ชาวนาต้องเก็บข้าวให้เพียงพอ สาหรับการมีกินทั้งปี ไม่ขายข้าวเปลือกเพ่ือนาเงินไปซ้ือข้าวสาร และหัวใจสาคัญของการ “พอกิน” หมาย รวมถึงความปลอดภัยในอาหาร การผลิตที่ปลอดภัยไปจนถึงกินอย่างไรให้มีสุขภาพดี น่ีคือบันไดข้ันที่ 1 ท่เี กษตรกรจะตอ้ งข้ามใหไ้ ด้ - ข้ันที่ 2 พอใช้ พออยู่ พอร่มเยน็ บันไดข้ันที่ 2-4 พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็น เกิดข้ึนได้พร้อมกัน ด้วยการ “ปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อยา่ ง” ซึง่ ป่า 3 อย่าง จะให้ท้ังอาหาร เครอื่ งนงุ่ ห่ม สมุนไพรสาหรบั รกั ษาโรค ท้ังโรค คน โรคพืช โรคสัตว์ ให้ไม้สาหรับทาบ้านพักที่อยู่อาศัย และให้ความร่มเย็นกับตัวบ้าน กับชุมชน และ โลกใบนี้ เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาความยากจนของเกษตรกรไทย ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่า สามารถแก้ปัญหาไดจ้ รงิ และแก้ปญั หาจากการทาเกษตรเชงิ เดี่ยว ปญั หาความเสือ่ มโทรมของทรัพยากร ปัญหาความขาดแคลนนา้ ภัยแล้ง ท้งั หมดล้วนแก้ปญั หาได้จากแนวคิด ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อยา่ ง

- บันไดขน้ั ที่ 5-9 คือ เศรษฐกิจพอเพยี งข้นั ก้าวหนา้ ข้ันที่ 5-6 บุญและทาน เครือข่ายเศรษฐกิจพอเพียงเป็นการสร้างสังคมบุญทาน ไม่เน้นการแลกเปล่ียนทางการค้า แต่เน้นการทาบุญ ให้ทาน โดยมอบให้เป็นทรัพย์สินส่วนร่วม เช่น ให้วัด หรือศาสนสถานแต่ละศาสนาเป็น ศูนย์กลาง เป็นการฝึกจิตใจให้ละซ่ึงความโลภ และกิเลสในการอยากได้ เป็นการลดช่องว่างและความเหล่ือมล้า ตามความหมายท่ีลึกซ้ึงว่า “Our Loss is Our Gain” หรือ “ย่ิงทาย่ิงได้ ยิ่งให้ยิ่งมี” การให้ไป คือ ได้มาและ เชื่อม่ันในฤทธ์ิของทานว่าทานมีฤทธ์ิจริง และจะส่งกลับคืนมาเป็นเพ่ือน เป็นกัลยาณมิตร เป็นเครือข่าย ท่ชี ว่ ยเหลือกนั ในทุกสถานการณ์ แมใ้ นวันทโี่ ลกนีป้ ระสบกับวิกฤตต่าง ๆ ขน้ั ที่ 7 เก็บรักษา หลงั จากพ่งึ ตนเองไดแ้ ล้ว พอมี พอเหลือทาบุญ ทาทานแล้ว คือ การรู้จักเก็บรักษาซ่ึง เป็นการตั้งอยู่ในความไม่ประมาท และการเก็บรักษาเป็นการเอาตัวรอดเม่ือยามเกิดวิกฤตการณ์ เช่น ชาวนาสมัยก่อนจะเก็บรักษาข้าวไว้ในยุ้งฉาง คัดเลือกและเก็บรักษาเมล็ดพันธ์ุ ไว้สาหรับเพาะปลูกใน ฤดูกาลต่อไป อีกท้ังยังต้องรู้จักการถนอมอาหาร เพื่อไว้บริโภคยามหน้าแล้งหรือยามเกิดภัยพิบัติ เช่น ปลารา้ ปลาแห้ง มะขามเปียก พรกิ แห้ง หอม กระเทียม ขนั้ ท่ี 8 ขาย เน่ืองจากเศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เพ่ือการค้า ไม่ใช่เศรษฐกิจหลังเขา การค้าขาย สามารถทาได้ แตค่ วรทาตามลาดับขั้น ภายใต้การรู้จักประมาณตน พอประมาณ โดยของท่ีขายคือ ของ ทีเ่ หลอื จากทกุ ขัน้ ตอนแล้วจงึ นามาขาย เช่น ทานาอินทรีย์ ปลอดสารเคมี ไมท่ าลายธรรมชาติ ได้ผลผลิต กจ็ ะเกบ็ ไว้ให้พอกิน เก็บไวท้ าพนั ธ์ุ ทาบญุ ทาทาน แลว้ จึงนามาขายด้วยความรู้สึกของการให้ เผื่อแผ่ให้ คนอืน่ ไดร้ บั สงิ่ ดี ๆ น้นั ดว้ ย ขั้นที่ 9 (เครอื ) ขา่ ย กองกาลังเกษตรโยธิน เป็นการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงทั้งประเทศ เพื่อขยายผลความสาเร็จตามแนว เศรษฐกิจพอเพียง สู่การปฏิวัติแนวความคิด และวิถีการดาเนินชีวิตของคนในสังคม ชุมชน เพื่อ แก้ปัญหาวิกฤต 4 ประการ ได้แก่ วิกฤตส่ิงแวดล้อม ภัยธรรมชาติ (Environmental Crisis) วิกฤตโรค ระบาดท้ังในคน สัตว์ พืช (Epidemic Crisis) วิกฤตเศรษฐกิจ ข้าวยากหมากแพง (Economic Crisis) วิกฤตความขดั แยง้ ทางสงั คม/สงคราม(Political Crisis)

3. หลักการทรงงาน 23 ประการ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรม นาถบพิตร 1) ศกึ ษาข้อมูลอย่างเปน็ ระบบ การท่ีจะพระราชทานโครงการใดโครงการหน่ึง จะ ทรงศึกษาข้อมูลรายละเอียดอย่างเป็นระบบ ทั้งจากข้อมูลเบ้ืองต้น จากเอกสาร แผนที่ สอบถามจาก เจ้าหน้าท่ี นักวิชาการและราษฎรในพื้นที่ ให้ได้รายละเอียดท่ีถูกต้อง เพ่ื อที่จะพระราชทานความ ชว่ ยเหลือไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง และรวดเร็ว ตรงตามความต้องการของประชาชน 2) ระเบิดจากข้างใน พระองค์ทรงมุ่งเน้นเร่ืองการพัฒนาคน โดยตรัสว่า “ต้อง ระเบดิ จากข้างใน” หมายความว่า ต้องสร้างความเข้มแข็งให้คนในชุมชนท่ีเราเข้าไปพัฒนา ให้มีสภาพ พรอ้ มที่จะรับการพฒั นาเสียกอ่ น แลว้ จึงคอ่ ยออกมาสสู่ ังคมภายนอก มิใช่นาเอาความเจริญ หรือบุคคล จากสงั คมภายนอกเข้าไปหาชุมชนหรือหมบู่ ้าน ที่ยังไมท่ ันได้มีโอกาสเตรียมตวั หรอื ต้งั ตวั 3) แก้ปัญหาทจ่ี ดุ เล็ก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถ บพิตร ทรงเปย่ี มดว้ ยพระอัจฉรยิ ภาพในการแกไ้ ขปญั หา ทรงมองปญั หาในภาพรวม (Macro) ก่อนเสมอ แต่การแก้ไขปัญหาของพระองค์จะเร่ิมจากจุดเล็ก ๆ (Micro) คือ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าท่ีคนส่วน ใหญจ่ ะมองข้าม ดงั พระราชดารสั ความตอนหนง่ึ ว่า “ ..ถ้าปวดหัวก็คิดอะไรไมอ่ อก เปน็ อย่างนน้ั ต้องแก้ไขอาการปวดหัวน้กี อ่ น.. มนั ไม่ได้ เป็นการแก้อาการจริง แต่ต้องแก้ปวดหัวก่อน เพื่อที่จะให้อยู่ในสภาพที่คิดได้.. แบบ (Macro) นี้ เขาจะทา แบบรื้อทั้งหมด ฉันไม่เห็นด้วย..อย่างบ้านคนอยู่ เราบอกบ้านนี้มันผุตรงน้ัน ผุตรงนี้ ไม่คุ้มที่จะไปซ่อม.. เอาตกลงรือ้ บา้ นน้ี ระเบิดเลย เราจะไปอย่ทู ไ่ี หน ไมม่ ีทอี่ ย.ู่ .วิธีทาตอ้ งคอ่ ย ๆ ทาจะไประเบิดหมดไมไ่ ด้..” 4) ทาตามลาดับขั้น ในการทรงงาน พระองคจ์ ะทรงเริ่มตน้ จากสงิ่ ที่จาเป็นท่ีสุดของ ประชาชนก่อน ได้แก่ สาธารณสุข เม่ือมีร่างกายท่ีสมบูรณ์แข็งแรงแล้ว ก็สามารถทาประโยชน์ในด้าน อื่น ๆ ตอ่ ไปได้ จากน้ัน จะเป็นเรื่องสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานและส่ิงจาเป็นในการประกอบอาชีพ อาทิ ถนน แหล่งน้าเพื่อการเกษตร การอุปโภคบริโภค ที่เอ้ือประโยชน์ต่อประชาชนโดยไม่ทาลาย ทรัพยากรธรรมชาติ รวมถงึ การให้ความรทู้ างวิชาการและเทคโนโลยีที่เรียบง่าย เน้นการปรับภูมิปัญญา ท้องถ่ิน ที่ราษฎรสามารถนาไปปฏิบัติได้และเกิดประโยชน์สูงสุด ดังพระบรมราโชวาทเมื่อวันท่ี 18 กรกฎาคม 2517 ความตอนหนึ่งวา่ “ การพัฒนาประเทศจาเป็นต้องทาตามลาดับขั้น ต้องสร้างพ้ืนฐาน คือ ความ พอมีพอกิน พอใชข้ องประชาชนสว่ นใหญเ่ ป็นเบื้องต้นก่อน ใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้อง ตามหลักวิชาการ เมอื่ ไดพ้ ้ืนฐานทมี่ ่ันคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความ เจริญ และฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้น โดยลาดับต่อไป หากมุ่งแต่มุ่งแต่สร้างความเจริญยกเศรษฐกิจให้ รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไมใ่ ห้แผนปฏิบัติการสัมพนั ธ์กับสภาวะของประเทศและของประชาชน โดย สอดคลอ้ งดว้ ย กจ็ ะเกิดความไม่สมดลุ ในเรอ่ื งตา่ ง ๆ ขึ้น ซ่ึงอาจกลายเปน็ ความยงุ่ ยากล้มเหลวได้ในท่ีสุด ดงั เห็นไดท้ ่อี ารยประเทศกาลงั ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรนุ แรงในเวลานี้ การช่วยเหลือสนับสนุน ประชาชนในการประกอบอาชีพ และตั้งตัวให้มีความพอกิน พอใช้ กอ่ นอื่นเป็นพื้นฐานน้ัน เป็นสิ่งสาคัญ

อยา่ งยิ่งยวด เพราะผ้ทู ม่ี อี าชีพและฐานะเพียงพอทจี่ ะพ่งึ ตนเอง ย่อมสามารถสร้างความเจรญิ กา้ วหนา้ ใน ระดับที่สูงได้ต่อไปโดยแน่นอน ส่วนการถือหลักที่จะส่งเสริมความเจริญให้ค่อยเป็นไปตามลาดับ ด้วย ความรอบคอบ ระมัดระวังและประหยัดนั้น ก็เพื่อป้องกันความผิดพลาดล้มเหลว และเพ่ือให้บรรลุผล สาเร็จไดแ้ น่นอนบรบิ ูรณ์ ” 5) ภูมิสังคม การพัฒนาใด ๆ ต้องคานึงถึงสภาพภูมิประเทศของบริเวณน้ันว่าเป็น อย่างไร และสังคมวิทยาเกี่ยวกับนิสัยใจคอของคน ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณีในแต่ละท้องถิ่นท่ีมี ความแตกต่างกัน ดงั พระราชดารัสความตอนหนง่ึ วา่ “ การพัฒนาจะต้องเป็นไปตามภูมิประเทศทางภูมิศาสตร์ และภูมิประเทศทาง สังคมศาสตร์ คอื นสิ ยั ใจคอของคนจะไปบังคับใหค้ นอื่นคิดอย่างอ่ืนไม่ได้ เราต้องแนะนา เราเข้าไปช่วย โดยที่คิดจะให้เขาเข้ากับเราไม่ได้ แต่ถ้าเราเข้าไปแล้ว เราเข้าไปดูว่าเขาต้องการอะไรจริง ๆ แล้วก็ อธบิ ายใหเ้ ขาเข้าใจหลกั การของการพัฒนานี้ กจ็ ะเกิดประโยชน์อย่างยงิ่ ” 6) องค์รวม ทรงมีวธิ คี ดิ อย่างองค์รวม (Holistic) หรือ มองอย่างครบวงจรในการท่ี จะพระราชทานพระราชดาริ เกี่ยวกับโครงการหนึ่งน้ัน จะทรงมองเหตุการณ์ที่จะเกิดข้ึนและแนว ทางแก้ไขอย่างเช่ือมโยง ดังเช่น กรณีของ “ทฤษฎีใหม่” ท่ีพระราชทานให้แก่ปวงชนชาวไทย เป็น แนวทางในการประกอบอาชพี แนวทางหนง่ึ ทพ่ี ระองค์ทรงมองอยา่ งองค์รวม ตง้ั แตก่ ารถือครองท่ีดินโดย เฉล่ียของประชาชนคนไทย ประมาณ 10 – 15 ไร่ การบริหารจัดการท่ีดินและแหล่งน้า อันเป็น ปจั จยั พื้นฐานท่ีสาคัญในการประกอบอาชีพ เมื่อมีน้าในการทาเกษตรแล้วจะส่งผลให้ผลผลิตดีข้ึน และ หากมีผลผลิตเพิ่มมากขึ้น เกษตรกรจะต้องรู้จักวิธีการจัดการและการตลาด รวมถึงการรวมกลุ่ม รวม พลังชุมชนให้มีความเขม้ แข็ง เพ่ือพร้อมที่จะออกสูก่ ารเปลย่ี นแปลงของสงั คมภายนอกได้อย่างครบวงจร นั่นคอื ทฤษฎีใหมข่ ้นั ท่ี 1, 2 และ 3 7) ไม่ติดตารา การพัฒนาตามแนวพระราชดาริ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภมู ิพลอดลุ ยเดช บรมนาถบพิตร มกี ารพัฒนาในลักษณะท่ีอนุโลม และรอมชอมกับสภาพธรรมชาติ สิง่ แวดลอ้ ม และสภาพสังคมจติ วทิ ยาของชุมชน คอื “ไมต่ ิดตารา” ไมผ่ ูกมัดติดวิชาการและเทคโนโลยีที่ ไมเ่ หมาะสมกบั สภาพชวี ติ ความเปน็ อยูท่ ี่แทจ้ รงิ ของคนไทย 8) ประหยัด เรียบง่าย ได้ประโยชน์สูงสุด ในเร่ืองของความประหยัดนี้ประชาชน ชาวไทยทราบกนั ดีว่า เรื่องส่วนพระองค์ก็ทรงประหยัดมาก ดังที่เราเคยเห็นว่า หลอดยาสีพระทนต์น้ัน ทรงใชอ้ ย่างคมุ้ ค่าอย่างไร หรอื ฉลองพระองคแ์ ตล่ ะองคท์ รงใชอ้ ยู่เป็นเวลานาน ดังที่ นายสุเมธ ตันติเวช กุล เลขาธิการมลู นธิ ชิ ัยพัฒนา เคยเลา่ วา่ “ กองงานในพระองค์ โดยท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ บอกว่า ปีหนึ่งพระองค์เบิก ดนิ สอ 12 แท่ง เดือนละแท่ง ใช้จนกระทั่งกุด ใครอย่าไปท้ิงของท่านนะ จะกร้ิวเลย ประหยัดทุกอย่าง เปน็ ต้นแบบทุกอย่าง ทุกอย่างมคี ่าสาหรับพระองค์หมด ทุกบาททุกสตางค์จะใช้อย่างระมัดระวัง จะสั่ง ใหเ้ ราปฏิบตั ิงานอยา่ งรอบคอบ ”

ขณะเดียวกันการพัฒนาและช่วยเหลือราษฎร ทรงใช้หลักการแก้ไขปัญหาด้วยความ เรียบงา่ ยและประหยดั ราษฎรสามารถทาไดเ้ อง หาได้ในท้องถิ่นและประยุกตใ์ ชส้ ่งิ ที่มีอยู่ในภูมิภาคนั้นๆ มาแกไ้ ขปญั หาโดยไม่ตอ้ งลงทุนหรือใชเ้ ทคโนโลยีทีไ่ มย่ งุ่ ยากนกั ดงั พระราชดารัสความตอนหนง่ึ ว่า “ ให้ปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก โดยปล่อยให้ข้ึนเองตามธรรมชาติ จะได้ประหยัด งบประมาณ...” 9) ทาให้ง่าย (Simplicity) ด้วยพระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถใน พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทาให้การคิดค้น ดัดแปลง ปรับปรุง และแก้ไขงานการพัฒนาประเทศตามแนวพระราชดาริดาเนินไปได้โดยง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน และท่ี สาคัญอย่างยิ่ง คือ สอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่และระบบนิเวศโดยส่วนรวม ตลอดจนสภาพทาง สังคมของชุมชนน้ันๆ ทรงโปรดท่ีจะทาสิ่งท่ียากให้กลายเป็นง่าย ทาสิ่งที่สลับซับซ้อนให้เข้าใจง่าย อัน เป็นการแก้ปญั หาด้วยการใชก้ ฎแห่งธรรมชาติเป็นแนวทางนั่นเอง แต่การทาส่ิงยากให้กลายเป็นง่ายน้ัน เป็นของยาก ฉะน้ันคาว่า “ทาให้ง่าย” หรือ “Simplicity” จึงเป็นหลักคิดสาคัญที่สุดของการพัฒนา ประเทศในรปู แบบของโครงการอันเนอื่ งมาจากพระราชดาริ 10) การมีส่วนร่วม พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถ บพิตร ทรงเป็นนักประชาธิปไตย จึงทรงนา “ประชาพิจารณ์” มาใช้ในการบริหาร เพ่ือเปิดโอกาสให้ สาธารณชน ประชาชน หรือเจ้าหน้าท่ีทุกระดับ ได้มาร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่จะต้อง คานึงถึงความคดิ เห็นของประชาชน หรือความตอ้ งการของสาธารณชน ดังพระราชดารัสความตอนหน่ึง วา่ “ ..สาคัญที่สุดคือจะต้องทาใจให้กว้างขวาง หนักแน่น รู้จักรับฟังความคิดเห็น แม้กระทั่งความวิพากษ์วิจารณจ์ ากผู้อ่นื อย่างชาญฉลาด เพราะการรูจ้ ักรับฟังอย่างชาญฉลาดนั้น แท้จริง คือ การระดมสติปัญญาและประสบการณ์อันหลากหลาย มาอานวยการปฏิบัติบริหารงานให้ประสบ ความสาเร็จทส่ี มบูรณน์ ัน่ เอง.. ” 11) ประโยชน์ส่วนรวม การปฏิบัติพระราชกรณียกิจ และการพระราชทาน พระราชดาริในการพัฒนาและช่วยเหลือพสกนิกร พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพติ ร ทรงระลกึ ถึงประโยชนส์ ว่ นรวมเป็นสาคญั ดังพระราชดารสั ความตอนหนึง่ วา่ “.. ใครต่อใครบอกว่าขอใหเ้ สียสละส่วนตัวเพื่อส่วนรวม อันนี้ฟังจนเบ่ืออาจจะราคาญ ด้วยซ้าว่าใครตอ่ ใครกบ็ อกวา่ ขอใหค้ ดิ ถึงประโยชนส์ ่วนรวม อาจมานกึ ในใจวา่ ใหๆ้ อยู่เร่ือยแล้ว ส่วนตัว จะได้อะไร ขอให้คิดว่า คนท่ีให้เพ่ือส่วนรวมนั้นมิได้ให้ส่วนรวมแต่อย่างเดียว เป็นการให้เ พื่อตัวเอง สามารถทจี่ ะมสี ่วนรวมท่ีจะอาศัยได.้ .” พระบรมราโชวาท มหาวิทยาลยั ขอนแก่น 2514 12) บริการรวมท่ีจุดเดียว (One Stop Service) การบริการรวมที่จุดเดียวเป็น รูปแบบการบริการแบบเบ็ดเสร็จ หรือ One Stop Service ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในระบบบริหาร ราชการแผน่ ดินของประเทศไทย โดยให้ศูนยศ์ ึกษาการพัฒนาอนั เน่ืองมาจากพระราชดาริเป็นต้นแบบใน การบริการรวมท่ีจุดเดียว เพ่ือประโยชน์ต่อประชาชนที่มาขอใช้บริการจะประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย

โดยมีหน่วยงานราชการต่างๆ มาร่วมดาเนินการและให้บริการประชาชน ณ ท่ีแห่งเดียว ดังพระราช ดารัสความตอนหน่งึ ว่า “..กรม กองต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประชาชนทุกด้านได้สามารถแลกเปลี่ยน ความคิดเหน็ ปรองดองกัน ประสานกัน ตามธรรมดาแต่ละฝ่ายต้องมีศูนย์ของตนเอง แต่ว่ามีงานถือว่า เป็นศูนย์ของตนเอง คนอ่ืนไม่เก่ียวข้อง และศูนย์ศึกษาการพัฒนาเป็นศูนย์ที่รวบรวมกังท้ังหมดของ เจา้ หนา้ ท่ที กุ กรม กอง ท้ังในด้านเกษตรหรือด้านสังคม ท้ังในด้านหางาน การส่งเสริม การศึกษามาอยู่ ดว้ ยกนั กห็ มายความว่าประชาชน ซึง่ จะตอ้ งใช้วิชาการทั้งหลายก็สามารถท่ีจะมาดู ส่วนเจ้าหน้าที่จะให้ ความอนุเคราะหแ์ กป่ ระชาชน ก็มาอยู่พร้อมกันในทเ่ี ดียวกนั เหมือนกนั ซง่ึ เป็น สองด้าน ก็หมายถึงว่า ท่ี สาคญั ปลายทาง คอื ประชาชนไดร้ บั ประโยชน์ และตน้ ทางของผเู้ ปน็ เจ้าหน้าท่ี จะให้ประโยชน.์ .” 13) ทรงใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ ทรงเขา้ ใจถงึ ธรรมชาตแิ ละต้องการให้ประชาชน ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ทรงมองอย่างละเอียดถึงปัญหาธรรมชาติ หากเราต้องการแก้ไขปัญหาธรรมชาติ จะต้องใช้ธรรมชาติเข้าชาติเข้าช่วยเหลือ อาทิ การแก้ไขปัญหาป่าเส่ือมโทรม ได้พระราชทาน พระราชดาริ การปลกู ปา่ โดยไมต่ อ้ งปลูก ปลอ่ ยใหธ้ รรมชาติช่วยฟื้นฟูธรรมชาติ หรือแม้กระทั่งการปลูก ปา่ 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อยา่ ง ไดแ้ ก่ ปลกู ไมเ้ ศรษฐกิจ ไม้ผล และไมฟ้ ืน นอกจากได้ประโยชน์ตามช่ือไม้ แลว้ ยังช่วยรักษาความชุ่มช้ืนให้แก่พ้ืนดินด้วย เห็นได้ว่าทรงเข้าใจธรรมชาติและมนุษย์อย่างเกื้อกูลกัน ทาให้คนอยู่รว่ มกบั ปา่ ได้อยา่ งย่ังยืน 14) ใช้อธรรมปราบอธรรม ทรงนาความจริงในเรื่องความเป็นไปแห่งธรรมชาติ และ กฎเกณฑ์ของธรรมชาติมาเป็นหลักการ แนวทางปฏิบัติที่สาคัญในการแก้ปัญหาและปรับปรุง เปลีย่ นแปลงสภาวะทีไ่ ม่ปกติ เขา้ ส่รู ะบบทเ่ี ปน็ ปกติ เช่น การทาน้าดีขับไล่น้าเสีย หรือเจือจางน้าเสียให้ กลับเป็นน้าดี ตามจังหวะข้ึนลงตามธรรมชาติของน้า การบาบัดน้าเน่าเสียโดยใช้ผักตบชวา ซึ่งมีตาม ธรรมชาติใหด้ ูดซึมสิ่งสกปรกปนเป้อื นในน้า ดังพระราชดารัสความวา่ “ใชอ้ ธรรมปราบอธรรม” 15) ปลูกป่าในใจคน เป็นการปลูกป่าลงบนแผ่นดินด้วยความต้องการอยู่รอดของ มนุษย์ ทาให้ต้องมกี ารบรโิ ภค และใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลืองเพื่อประโยชน์ของตนเอง และ สร้างเสียหายให้แก่สิ่งแวดล้อม ปัญหาความไม่สมดุลจึงเกิดขึ้น ดังน้ันในการท่ีจะฟื้นฟู ทรัพยากรธรรมชาติให้กลับคืนมา จะต้องปลูกจิตสานึกในการรักผืนป่าให้แก่คนเสียก่อน ดังพระราช ดารัสความตอนหนง่ึ วา่ “..เจ้าหน้าท่ีป่าไม้ควรจะปลูกต้นไม้ ลงในใจคนเสียก่อน แล้วคนเหล่าน้ันก็จะพากัน ปลูกตน้ ไมล้ งบนแผ่นดนิ และรักษาตน้ ไมด้ ว้ ยตนเอง..” 16) ขาดทุน คือ กาไร “..ขาดทนุ คือ กาไร (Our loss is our gain) การเสีย คือ การได้ ประเทศชาติก็ จะก้าวหนา้ และการท่คี นอยู่ดมี ีสุขนน้ั เป็นการนับท่เี ป็นมูลคา่ เงินไมไ่ ด้..” จากพระราชดารัสดังกลา่ ว คือ หลักการใน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิ พลอดลุ ยเดช บรมนาถบพติ ร ท่ีมีต่อพสกนิกรไทย “การให้” และ “การเสียสละ” เป็นการกระทาอันมี

ผลเปน็ กาไร คือ ความอยดู่ ีมสี ุขของราษฎร ซ่งึ สามารถสะทอ้ นให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนได้ ดังพระราช ดารัสทพ่ี ระราชทานแก่ตวั แทนของปวงชนชาวไทย ท่ีไดเ้ ขา้ เฝ้าฯ ถวายพระพรเน่ืองในวโรกาสเฉลิมพระ ชนมพรรษา เมือ่ วนั ท่ี 4 ธันวาคม 2534 ณ ศาลาดสุ ดิ าลัย พระตาหนกั จติ รลารโหฐาน ความตอนหนึ่งว่า “..ประเทศต่างๆ ในโลกในระยะ 3 ปี มานี้ คนที่ก่อตั้งประเทศที่มีหลักทฤษฎีใน อุดมคตทิ ีใ่ ชใ้ นการปกครองประเทศล้วนแต่ลม่ สลายลงไปแล้ว เมอื งไทยเราจะสลายลงไป หรือ เมืองไทย เรานับว่าอยูไ่ ดม้ าอย่างดี เมื่อประมาณ 10 วันก่อน มีชาวต่างประเทศมาขอพบ เพื่อขอโอวาทเกี่ยวกับ การปกครองประเทศ วา่ จะทาอย่างไร จึงแนะนาวา่ ใหป้ กครองแบบคนจน แบบท่ีไม่ติดตารามากเกินไป ทาอยา่ งมคี วามสามคั คเี มตตากัน กจ็ ะอยูไ่ ดต้ ลอด ไม่เหมือนกับคนที่ทาตามวิชาการ ท่ีเวลาปิดตาราแล้ว ไม่รู้จะทาอย่างไร ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกเร่ิมใหม่ ถอยหลังเข้าคลอง ถ้าเราใช้ตาราแบบอะลุ้มอล่วย กันในทสี่ ดุ ไดก้ ็เป็นการดี ให้โอวาทเขาไปว่าขาดทุน เป็นการได้กาไรของเรา นักเศรษฐศาสตร์คงค้านว่า ไม่ใช่ แต่เราอธิบายได้ว่า ถ้าเราทาอะไรท่ีเราเสีย แต่ในท่ีสุดเราเสียนั้น เป็นการได้ทางอ้อมตรงกับงาน ของรัฐบาลโดยตรง เงินของรฐั บาล หรืออกี นยั หนงึ่ คือ เงนิ ของประชาชน ถ้าอยากให้ประชาชนอยู่ดีกิน ดี กต็ ้องลงทุน ต้องสร้างโครงสรา้ ง ซ่ึงต้องใช้เงิน เป็นร้อย พัน หมื่น ล้าน ถ้าทาไปเป็นการจ่ายเงินของ รัฐบาล แตใ่ นไม่ชา้ ประชาชนกจ็ ะได้รับผล ราษฎรอยูด่ ีกนิ ดี ราษฎรได้กาไรไป ถา้ ราษฎรมีรายได้ รัฐบาล ก็เก็บภาษีได้สะดวก เพ่ือให้รัฐบาลได้ทาโครงการต่อไป เพ่ือความก้าวหน้าของประเทศชาติ ถ้ารู้รัก สามัคคี รู้เสียสละ คือ การได้ ประเทศชาติก็จะก้าวหน้า และการท่ีคนอยู่ดีมีสุขน้ัน เป็นการนับที่เป็น มลู คา่ เงนิ ไมไ่ ด้..” 17) การพง่ึ พาตนเอง การพัฒนาตามแนวพระราชดารัสเพ่ือแก้ไขปัญหาในเบื้องต้น ด้วยการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อให้มีความแข็งแรงพอทีจ่ ะดารงชวี ิตไดต้ ่อไปแล้ว ข้ันต่อไปก็คือ การ พฒั นาให้ประชาชนสามารถอยใู่ นสงั คมได้ตามสภาพแวดล้อม และสามารถ “พ่ึงตนเองได้” ในท่ีสุด ดัง พระราชดารัสความตอนหน่ึงวา่ “..การช่วยเหลือสนับสนุนประชาชนในการประกอบอาชีพและตั้งตัวให้มีความพอกิน พอใช้ กอ่ นอื่นเป็นส่งิ สาคญั ยิ่งยวด เพราะผ้มู อี าชพี และฐานะเพยี งพอทจ่ี ะพงึ่ พาตนเองได้ ย่อมสามารถ สร้างความเจริญในระดบั สงู ข้นั ตอ่ ไป..” 18) พออยู่พอกนิ การพฒั นาเพ่ือให้พสกนิกรท้ังหลายประสบความสุขสมบรู ณ์ในชีวิต ได้ เร่ิมจากการเสด็จฯ ไปเยี่ยมประชาชนทุกหมู่เหล่าในทุกภูมิภาคของประเทศไทย ได้ทอดพระเนตร ความเปน็ อย่ขู องราษฎรดว้ ยพระองค์เอง จึงทรงสามารถเขา้ พระราชหฤทัยในสภาพปัญหาได้อย่างลึกซึ้ง วา่ มีเหตผุ ลมากมายท่ที าให้ราษฎรตกอย่ใู นวงจรแห่งทกุ ขเ์ ข็ญ จากน้ันได้พระราชทานความช่วยเหลือให้ พสกนิกรมีความกินดีอยู่ดี มีชีวิตอยู่ในขั้น “พออยู่พอกิน” ก่อน แล้วจึงขยับขยายให้มีขีดสมรรถนะที่ กา้ วหน้าต่อไป ในการพัฒนานั้นหากมองในภาพรวมของประเทศ มิใช่งานเล็กน้อย แต่ต้องใช้ความคิด และกาลังของคนทง้ั ชาติ จงึ จะบรรลุผลสาเรจ็ ด้วยพระปรีชาญาณใน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา ภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จึงทาให้คนทั้งหลายได้ประจักษ์ว่า แนวพระราชดาริในพระองค์น้ัน “เรยี บงา่ ย ปฏิบตั ไิ ด้ผล” เป็นท่ยี อมรบั โดยทัว่ กัน ดงั พระราชดารัสความตอนหนึ่งว่า

“..ถ้าโครงการดี ในไม่ช้า ประชาชนก็ได้กาไร จะได้ผล ราษฎรจะอยู่ดีกินดีขึ้น จะได้ ประโยชน์ไป..” 19) เศรษฐกจิ พอเพียง เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลย เดช บรมนาถบพิตร พระราชดารัสชี้แนะแนวทางการดาเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอด ยาวนานกวา่ 30 ปี ตงั้ แต่กอ่ นเกดิ วกิ ฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังทรงย้าแนวทางการแก้ไข เพ่ือให้รอดพ้นและดารงอยู่ได้อย่างมั่นคงและย่ังยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ และความเปล่ียนแปลง ต่างๆ ดังปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ได้พระราชทานไว้ดังน้ี “เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาช้ีถึงการ ดารงอยแู่ ละปฏิบัติตนของประชาชนทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชนจนถึงระดับรัฐ ทั้งใน การพฒั นาและบรหิ ารประเทศให้ดาเนนิ ไปทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ เพ่ือให้ก้าวทัน ตอ่ โลกยคุ โลกาภวิ ัตน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจาเป็นท่ี จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวท่ีดีพอสมควร ต่อผลกระทบใดๆ อันเกิดผลจากความเปลี่ยนแปลงทั้ง ภายนอกและภายใน ทงั้ นีจ้ ะตอ้ งอาศยั ความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างย่ิงในการ นาวชิ าการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการดาเนนิ การทุกขน้ั ตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้าง พื้นฐานจิตใจของคนในชาติโดยเฉพาะ เจ้าหน้าที่รัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุระดับให้มีสานึกใน คณุ ธรรม ความซือ่ สตั ย์สุจริต และให้มีความรอบรทู้ ีเ่ หมาะสม ดาเนนิ ชีวติ ดว้ ยความอดทน ความเพียร มี สตปิ ัญญา และความรอบคอบเพื่อใหส้ มดลุ และพร้อมต่อการรองรับการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว และ กวา้ งขวางทั้งดา้ นวัตถุ สงั คม ส่ิงแวดลอ้ ม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอก ไดเ้ ป็นอยา่ งดี ประมวลและกล่ันกรองจากพระบรมราโชวาทและพระราชดารัสของ พระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งพระราชทานไว้ในโอกาส ต่างๆ รวมท้ังพระราชดารัสอ่ืนๆ โดยสานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้รับพระบรมราชานุญาตให้นาไปเผยแพร่ เพ่ือเป็นแนวทางปฏิบัติของทุกฝ่ายและประชาชน โดยทว่ั ไป เมื่อวนั ที่ 29 พฤศจกิ ายน 2542 20) ความซ่ือสัตย์สุจริต และจริงใจต่อกัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิ พลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระราชทานความซ่ือสัตย์สุจริต จริงใจต่อกันอย่างต่อเน่ืองตลอดมา เพราะเห็นว่าหากคนไทยทุกคน ได้ร่วมมือกันช่วยชาติ พัฒนาชาติด้วยความซื่อสัตย์สุจริตจริงใจต่อกัน แลว้ ประเทศไทยจะเจริญกา้ วหน้าอยา่ งมาก ดังพระราชดารสั ดงั น้ี “..คนที่ไม่มีความสุจริต คนท่ีไม่มีความม่ันคง ชอบแต่มักง่าย ไม่มีวันจะสร้างสรรค์ ประโยชนส์ ว่ นรวมที่สาคัญอันใดได้ ผู้มีความสุจริตและความมุ่งม่ันเท่าน้ัน จึงจะทางานสาคัญย่ิงใหญ่ท่ี เป็นคุณ เป็นประโยชน์แทจ้ รงิ ไดส้ าเรจ็ ..” พระราชดารสั เม่ือวันท่ี 12 กรกฎาคม 2522 “..ผู้มีความสุจริตและความบริสุทธิ์ใจ แม้จะมีความรู้น้อยก็ย่อมทาประโยชน์ต่อ ส่วนรวมได้ มากกว่าผมู้ คี วามรู้มากแต่ไมม่ คี วามสุจริตไม่มคี วามบริสทุ ธใ์ิ จ..” พระราชดารสั เมอ่ื วันท่ี 18 มนี าคม 2533

“..ผู้ว่า CEO ต้องเปน็ คนที่สุจริต ทุจริตไม่ได้ ถ้าทุจริตแม้แต่นิดเดียว ก็ขอแช่งให้มีอัน เป็นไป..” “..ข้าราชการหรือประชาชนมกี ารทุจริต ถ้ามที ุจริตแลว้ บ้านเมืองพัง ท่ีเมืองไทยพังมา เพราะมที จุ รติ ..” พระราชดารสั เม่ือวันที่ 3 ตลุ าคม 2546 21) ทางานอย่างมคี วามสุข พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรม นาถบพิตร ทรงพระเกษมสาราญและทรงมีความสุขทุกคราท่ีจะช่วยเหลือประชาชน ซึ่งเคยมีพระราช ดารัสคร้งั หนงึ่ วา่ “..ทางานกับฉัน ฉนั ไม่มีอะไรจะให้ นอกจากการมคี วามสุขร่วมกนั ในการทาประโยชน์ ให้กบั ผูอ้ ่ืน..” 22) ความเพยี ร : พระมหาชนก จากพระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” เป็นพระราช นิพนธ์ที่พระองคใ์ ช้เวลาค่อนข้างนานในการคิดประดษิ ฐ์ ทาให้เข้าใจง่าย และปรับเปล่ียนให้เข้ากับสังคม ปัจจุบัน อีกทั้งภาพประกอบ และคติธรรมต่างๆ ได้ส่งเสริมให้หนังสือเล่มน้ีมีความศักดิ์สิทธิ์ ท่ีหากคน ไทยน้อมรับมาศึกษา วิเคราะห์และปฏิบตั ติ ามรอยพระมหาชนกกษัตริย์ ผู้เพียรพยายาม แม้จะไม่เห็นฝ่ัง ก็ยงั ว่ายนา้ ต่อไป เพราะถา้ ไมเ่ พียรวา่ ยก็จะตกเป็นอาหารปู ปลา และมิได้พบกับเทวดาท่ีมาช่วยเหลือมิ ให้จมน้าไป เช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ท่ีทรงริเริ่ม ทาโครงการต่างๆในระยะแรก ที่ไม่มีความพร้อมในการทางานมากนัก และทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วน พระองค์ท้ังส้ิน แตก่ ไ็ มไ่ ดท้ อ้ พระราชหฤทัย มุง่ ม่ันพัฒนาบา้ นเมืองใหบ้ ังเกดิ ความร่มเย็นเป็นสุข 23) รู้ รัก สามคั คี พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร มีพระราชดารัสในเร่ือง “รู้ รกั สามัคคี” มาอย่างต่อเน่ือง ซึ่งเป็นคาสามคาท่ีมีค่าและความหมายลึกซ้ึง พร้อมทั้งสามารถปรับใชไ้ ด้กับทุกยุคทกุ สมยั รู้ : การที่เราจะลงมอื ทาสิง่ ใดนัน้ จะตอ้ งร้เู สียกอ่ น รูถ้ งึ ปัจจยั ท้งั หมด รู้ถงึ ปญั หา และรู้ วิธแี กไ้ ขปัญหา รัก : ความรัก เม่ือเรารู้ครบถ้วนกระบวนความแล้ว จะต้องมีความรักการพิจารณาใน การจะเข้าไปแก้ไขปญั หานัน้ ๆ สามคั คี : การทีจ่ ะลงมือปฏบิ ัติน้นั ควรคานึงเสมอว่า เราจะทางานคนเดียวไม่ได้ ต้อง ทางานรว่ มมอื ร่วมใจเปน็ องค์กร เปน็ หม่คู ณะ จึงจะมีพลังเข้าไปแก้ปัญหาใหล้ ลุ ่วงไปได้ด้วยดี ทม่ี า : สานักงานคณะกรรมการพิเศษเพือ่ ประสานงานโครงการอนั เน่ืองมาจากพระราชดาริ (2560)

ภาคผนวก 2 ปรมิ าณการใช้นา้ ตารางท่ี ผ.2-1 ข้อมูลปรมิ าณการใชน้ ้าของพืชไร่/พชื สวน/พชื ผกั




Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook