Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โรคปากและเท้าเปื่อยและการเก็บ-ส่งตัวอย่างชันสูตร

โรคปากและเท้าเปื่อยและการเก็บ-ส่งตัวอย่างชันสูตร

Description: โรคปากและเท้าเปื่อยและการเก็บ-ส่งตัวอย่างชันสูตร

Search

Read the Text Version

โรคปากและเทา้ เป่อื ย และการเกบ็ -สง่ ตัวอยา่ ง ชันสูตร FOOT-AND-MOUTH DISEASE AND SAMPLE COLLECTION - TRANSFER FOR DIAGNOSIS สั ต ว แ พ ท ย์ ห ญิ ง ป ร า ณี ร อ ด เ ที ย น ศู น ย์ อ้ า ง อิ ง โ ร ค ป า ก แ ล ะ เ ท้ า เ ป่ื อ ย ภู มิ ภ า ค เ อ เ ชี ย ต ะ วั น อ อ ก เ ฉี ย ง ใ ต้ ส ถ า บั น สุ ข ภ า พ สั ต ว์ แ ห่ ง ช า ติ ก ร ม ป ศุ สั ต ว์ ก ร ะ ท ร ว ง เ ก ษ ต ร แ ล ะ ส ห ก ร ณ์

บทนา โรคปากและเทา้ เปอ่ื ยเปน็ โรคท่ีมีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ เป็นอย่างมาก ดังนั้นความไวและความจาเพาะของการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ และการระบุชนิดของซีโร ไทป์ของไวรัสท่ีก่อให้เกิดการระบาดเป็นสิ่งที่จาเป็นที่ต้องทาอย่างรวดเร็วท่ีสุด โรคน้ีสามารถบ่งช้ีหรือวินิจฉัย เบื้องต้นได้จากการประมวลอาการทางคลินิก เช่น ไข้สูง น้าลายไหลมากผิดปกติ เดินกะเผลก พบตุ่มพองท่ีบริเวณ เย่อื บุช่องปาก เหงอื ก เพดานปาก ล้ิน หัวนม เต้านม จมูก ไรกีบ อย่างไรก็ตามอาการทางคลินิกท่ีพบอาจคล้ายคลึง กับโรคไวรัสชนิดอ่ืนๆ ได้แก่ Vesicular stomatitis, Swine vesicular disease, Vesicular exanthema, Senecavirus เป็นต้น ดงั น้ันการตรวจวนิ จิ ฉัยโรคทางหอ้ งปฏิบตั ิการเพ่อื หาสาเหตุของโรค จึงมีความจาเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนยี้ งั พบวา่ โรคปากและเทา้ เป่ือยแต่ละซีโรไทป์จะไม่มีภูมิคุ้มกันข้ามสายพันธุ์กัน และอาการทางคลินิกที่พบ ในการระบาดแต่ละคร้ัง ก็ไม่มีความจาเพาะของแต่ละซีโรไทป์ ดังนั้นการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการจึงมีความ จาเป็นอย่างยิ่งในการจาแนกซีโรไทป์ของไวรัสที่พบการระบาดในแต่ละพื้นที่เพ่ือประโยชน์ในการควบคุมโรค โดยเฉพาะการเลอื กใช้วัคซนี ที่เหมาะสมใหม้ ีประสทิ ธิภาพสงู สุดในการควบคมุ โรค ศูนย์อา้ งอิงโรคปากและเทา้ เปื่อยภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กรมปศุสัตว์ มีบทบาทหน้าที่สาคัญใน การให้บริการทางห้องปฏิบัติการในการตรวจชันสูตร ยืนยันและตรวจวิเคราะห์ ในฐานะเป็นห้องปฏิบัติการอ้างอิง โรคปากและเท้าเป่ือยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การท่ีจะได้มาซ่ึงผลการตรวจท่ีมีความถูกต้องนั้นจะต้อง ขึ้นอยู่กับคุณภาพของตัวอย่างที่เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ในพื้นท่ีได้เก็บและจัดส่งมาตรวจ จึงมีความจาเป็นที่ผู้ส่งตัวอย่าง ต้องทราบข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจน โดยเฉพาะความรู้เก่ียวกับโรคปากและเท้าเป่ือยในปศุสัตว์ กระบวนการเก็บ ตัวอยา่ ง ชนิดตวั อย่างท่เี หมาะสมกับวิธีการทดสอบ จนถงึ การนาส่งตัวอย่างให้ห้องปฏิบัติการอย่างถูกต้องเหมาะสม และปลอดภยั อย่างไรกต็ ามการเกบ็ ตวั อย่างทีม่ คี ุณภาพ เจ้าหน้าที่ควรมีพ้ืนฐานความรู้เกี่ยวกับไวรัสและการก่อโรค จะทาให้เข้าใจเหตุผลและมีวิธีการปฏิบัติท่ีดีในการเก็บ ดูแลรักษา และส่งตัวอย่างที่มีคุณภาพถึงห้องปฏิบัติการเพื่อ ทาการวเิ คราะห์ ทดสอบ ได้ถกู ตอ้ งแม่นยา รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ดังนั้น เอกสารวิชาการเร่ือง “โรคปากและ เท้าเปื่อยและการเก็บ-ส่งตัวอย่างชันสูตร” ฉบับน้ี จึงถูกจัดทาข้ึนเพ่ือเป็นแนวทางและข้อมูลให้เจ้าหน้าที่ผู้ส่ง ตัวอย่างและผ้เู กี่ยวข้องนาไปเก็บและส่งตวั อยา่ ง อนึ่ง ในฐานะเป็นศูนย์อ้างอิงฯ ระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงได้รวบรวมข้ันตอนการรับส่ง ตวั อย่างระหว่างประเทศ ไวต้ อนทา้ ยเพอ่ื เปน็ ขอ้ แนะนาในการปฏิบัติสาหรบั เจา้ หน้าที่ทเ่ี กี่ยวข้อง ขอขอบคุณผู้เก่ียวข้องท่ีให้คาแนะนาในการเรียบเรียง รวมท้ังผู้เอื้อเฟ้ือข้อมูล รูปภาพประกอบ สนับสนนุ ให้คูม่ ือฉบบั น้ีเสรจ็ สมบรู ณ์ ปราณี รอดเทียน มิถนุ ายน พ.ศ 2560 โรคปากและเทา้ เป่ือยและการเก็บ-สง่ ตัวอย่างชนั สตู ร 2

สารบญั เร่ือง 2 บทนา 6 6 ตอนท่ี 1. โรคปากและเทา้ เป่ือย 7 ไวรัสโรคปากและเท้าเปื่อย 8 ระบาดวิทยา 9 พยาธิวิทยา 10 ระยะฟกั ตัว 10 ชนิดสัตว์ท่ไี วตอ่ การเปน็ โรคปากและเทา้ เป่ือย 13 อาการ 18 เหตุผลที่ต้องพจิ ารณาอายขุ องรอยโรค 18 ภมู คิ ุ้มกันโรคท่รี ับมาหรือติดตัวมาแตก่ าเนิด 19 ภูมิคุ้มกนั ทกี่ ่อเองหรือเกิดขน้ึ ภายหลังกาเนดิ 20 การขับและการแพร่กระจายของไวรัส 23 การกระจายของไวรัส 23 ปรมิ าณไวรสั ท่ีกอ่ โรค 24 ความทนทานหรือการคงชีพของไวรสั นอกตัวสตั ว์ 25 การคงชพี ของไวรสั ในผลิตภณั ฑ์จากสัตว์ ภาวะอมเชื้อและการแพร่ 26 27 ตอนที่ 2. การเก็บและสง่ ตัวอยา่ งชันสูตร 28 จานวนสัตว์ที่เหมาะสมในการเก็บตวั อยา่ ง 30 ชนิด ตาแหน่ง และปริมาณตัวอยา่ ง 33 การเก็บตัวอยา่ งซีรัมเพื่อตรวจระดับแอนตบิ อดี และ Non-structural Protein (NSP) 33 การบ่งชแ้ี ละบนั ทึกรายละเอยี ดสิ่งสง่ ตรวจ 36 การจัดสง่ ตัวอย่างเพ่ือตรวจหาไวรสั โรคปากและเท้าเปื่อย 37 แบบรายละเอยี ดส่ิงส่งตรวจโรคปากและเทา้ เป่ือย 37 ส่ิงสง่ ตรวจและห้องปฏบิ ตั ิการวนิ ิจฉัยโรคปากและเท้าเป่อื ย 37 การรายงานผลการตรวจวินจิ ฉัย กรณีท่หี ้องปฏบิ ตั ิการจาเปน็ ต้องปฎิเสธรับสง่ิ สง่ ตรวจ 39 เอกสารอา้ งอิง โรคปากและเทา้ เปื่อยและการเกบ็ -สง่ ตวั อยา่ งชันสตู ร 3

สารบญั ภาพ ภาพท่ี หน้า 1 อนุภาคไวรสั โรคปากและเท้าเปอ่ื ย 6 2 โครงสรา้ งสารพนั ธกุ รรม (genomic RNA) 7 3 แผนที่แสดงการระบาดของโรคปากและเท้าเป่ือย 7 4 แผนท่ีแสดงการกระจายของโรคปากและเท้าเปื่อยซโี รไทป์ตา่ งๆ 8 5 แผนภูมแิ สดงระยะเวลาในการวินจิ ฉัยไวรัสโรคปากและเท้าเป่อื ย 9 6 อาการน้าลายไหล ยนื ซมึ ในระยะแรก 10 7 รอยโรคตมุ่ พองหรือแผน่ พองที่ลิน้ แตกออก 10 8 แผลเยอ่ื บทุ ่เี หงือกลอกหลุด 10 9 รอยโรคในชอ่ งปากบรเิ วณเหงือกและลิ้น 10 10 รอยโรคเนอื้ ตายท่ีเหงือก ลกั ษณะคล้ายเนย 10 11 รอยโรคตมุ่ พองทห่ี ัวนมแมโ่ คนม 10 12 รอยโรคแผลตามซอกกบี 10 13 ลูกโคทม่ี ักตายเฉียบพลัน 10 14 ตาแหน่งรอยโรคตุ่มพองท่ีพบบอ่ ยในสกุ รและโค 11 15 รอยโรคตุ่มพองขาวขุน่ ที่ดั้งจมูกสุกร 12 16 รอยโรคตุ่มพองท่ีหัวนมและผื่นแดงตามราวนมแมส่ กุ ร 12 17 กีบลอกหลดุ ในลกู สกุ ร 12 18 รอยโรคแถบป้ืนเนื้อตายสีขาวบนกลา้ มเนือ้ หวั ใจลูกสุกร 12 19 รอยโรคทเ่ี พดานปาก เหงือก และแผลซอกกีบ ที่อาจพบได้ในแกะ 13 20 วนั แรกของการติดไวรัส มกั ไม่พบรอยโรคใดๆ ที่เดน่ ชัดในช่องปาก เหงือกและลน้ิ 14 21 รอยโรคท่สี ามวัน พบตุ่มพองชดั เจนบริเวณเหงอื ก ลิ้น ไรกีบและซอกกีบ 14 22 รอยโรคที่สามถึงเจด็ วัน พบตุ่มพองแตก ขอบรอยโรคไมช่ ดั เจน มปี ืน้ แดงทเี่ หงือกและลน้ิ 15 23 รอยโรคท่ีเจ็ดวนั พบตุ่มพองแตกลอกหลุดเปน็ แผลหลุมตามเหงอื ก ล้นิ ไรกบี และซอกกบี 15 24 รอยโรคทสี่ บิ วัน ไฟบรนิ สะสมตามขอบแผลบรเิ วณเหงือก ลิ้น และซอกกบี 16 16 25 การสมานตัวของรอยโรคท่ีสบิ สี่วัน พบลกั ษณะของแผลเป็นขอบนนู ทเี่ หงอื ก ลน้ิ ไรกีบ และซอกกีบ 17 26 การสมานตัวของรอยโรคที่สบิ แปดวัน แผลตามเหงอื ก ลน้ิ ซอกกีบ และไรกีบ สมานตวั อยา่ งสมบูรณ์ 21 27 ปริมาณไวรัสที่กอ่ โรคและปริมาตรลมหายใจในโค แกะ และสุกร 21 28 ปรมิ าณไวรัสโรคปากและเทา้ เปอ่ื ยท่ถี ูกขบั จากโค แกะ และสกุ ร 26 29 การตรวจหาไวรสั โรคปากและเทา้ เปอื่ ยด้วยวธิ ตี า่ งๆ จากรอยโรค ตามระยะเวลาหลงั เรม่ิ อาการ 27 30 แผนภูมแิ สดงวธิ กี ารวนิ จิ ฉยั โรค หลงั โคติดเชอ้ื จนถงึ ระยะที่หายปว่ ย 28 31 รอยโรคตุ่มพองท่ีจมกู สุกร 28 32 วิธีการเกบ็ ตวั อย่างเน้ือเย่ือ 28 33 วิธีการเก็บตวั อย่างเน้ือเย่ือแช่ใน 50% glycerin buffer 29 34 วิธีสวอปจากชอ่ งจมกู สุกร 29 35 อปุ กรณ์ Probang cup สาหรับสตั ว์ขนาดตา่ งๆ โรคปากและเท้าเปื่อยและการเก็บ-สง่ ตวั อยา่ งชนั สูตร 4

สารบญั ภาพ (ต่อ) ภาพที่ หนา้ 36 วธิ กี ารสอด Probang cup เกบ็ ตัวอย่างในโค และการทาความสะอาดอปุ กรณ์ 30 37 การเกบ็ ตวั อย่างเลอื ดในโคและกระบือ 31 38 การเก็บตวั อย่างเลอื ดในแพะแกะ และสุกร 31 39 วธิ กี ารพลกิ หลอดเกบ็ เลอื ดท่ีมีสารกนั การแข็งตวั ของเลือด 32 40 วธิ ีการแยกซรี มั ให้ได้คุณภาพดี 32 41 วิธีการแยกซรี ัมจากไซรนิ จ์ 33 42 ขนั้ ตอนการแยกตวั อย่างซรี ัมและการรักษาตัวอยา่ งระหวา่ งนาส่งห้องปฏบิ ัติการ 33 43 บันทึกข้อมลู ส่งิ ส่งตรวจ 33 44 ตวั อย่างเนอื้ เย่ือ และภาชนะสาหรับบรรจุ อยา่ งนอ้ ยสองชน้ั กอ่ นใส่ลงในบรรจุภัณฑ์มาตรฐาน 34 45 วิธีการบรรจหุ ลอดเกบ็ ตัวอยา่ งใส่ถุงพลาสติกแยกรายตวั อย่างในกล่องภาชนะ 35 46 การบรรจุตัวอยา่ งซรี ัมเรียงตามลาดับใสถ่ ุง 35 ภาคผนวกท่ี 1 แบบรายละเอียดสิ่งส่งตรวจโรคปากและเท้าเปือ่ ย 36 ภาคผนวกท่ี 2 ส่งิ ส่งตรวจและหอ้ งปฏบิ ตั ิการวินจิ ฉยั โรคปากและเท้าเป่ือย 37 ภาคผนวกท่ี 3 หอ้ งปฏิบตั ิการวินจิ ฉยั โรคปากและเท้าเปอื่ ย และสถานทตี่ ั้ง 38 สารบญั ตาราง ตารางที่ หนา้ 1 2 รอยโรคทป่ี รากฏในช่วงระยะเวลาที่พบอาการ 13 3 4 การคาดคะเนชว่ งเวลาของการปลอ่ ยไวรสั หลังพบรอยโรคคร้งั แรกในสกุ ร โค และแกะ 13 5 6 ระยะเวลาการขับเช้ือในตวั อย่างตา่ งชนิดในสารคดั หลั่ง และส่ิงขบั ถ่าย 19 7 8 ความเข้มขน้ และปริมาณไวรัสโรคปากและเทา้ เป่ือยในตวั อยา่ งต่างชนดิ 20 9 10 ปริมาณไวรัสโรคปากและเทา้ เป่ือยของแตล่ ะซีโรไทป์ทถ่ี ูกขับออกในโค แกะ และสุกร 20 11 12 ปัจจยั ทเี่ กี่ยวข้องกบั การระบาดของโรคปากและเทา้ เป่ือยในเขต 9 22 13 14 ปริมาณต่าสุดของไวรสั โรคปากและเทา้ เป่ือยทีก่ ่อโรคในโค สกุ ร แพะ แกะ 23 อตั ราการป่วยในสัตวแ์ ตล่ ะชนดิ ที่ได้รับไวรัสดว้ ยวธิ ีและขนาดทแี่ ตกตา่ งกันของแตล่ ะซีโรไทป์ 23 ระยะเวลาคงชีพของไวรสั โรคปากและเท้าเปื่อยในสิง่ ขบั ถา่ ยจากสัตว์ 24 ระยะเวลาคงชีพของ ไวรสั โรคปากและเทา้ เปื่อยในอวยั วะสกุ ร 24 ระยะเวลาเปน็ พาหะอมเชื้อ ในโค กระบือ แพะ แกะ และสุกร 25 ระยะเวลาและรอยโรค/อาการของโรคปากและเทา้ เปื่อยในโค 26 ตาแหนง่ และขนาดเข็มที่ใช้เก็บตัวอย่างเลือดสตั ว์ 31 ชนิดตวั อย่างที่เก็บและวิธกี ารตรวจวนิ ิจฉัยโรคปากและเท้าเป่ือย 35 โรคปากและเทา้ เปอื่ ยและการเก็บ-สง่ ตัวอยา่ งชนั สตู ร 5

ตอนท่ี 1. โรคปากและเทา้ เปื่อย โรคปากและเท้าเปอื่ ย (Foot-and-Mouth Disease; FMD) เปน็ โรคระบาดชนิดรุนแรง เฉียบพลัน และ แพร่กระจายได้รวดเร็วในสัตว์กีบคู่ทุกชนิด โดยเฉพาะโค กระบือ สุกร แพะ แกะ และสัตว์ป่าอีกมากกว่า 70 ชนิด (Jamal and Belsham, 2013) มีความสาคัญต่อเศรษฐกิจและสังคม โดยก่อให้เกิดความสูญเสียต่อผลผลิตและมี ผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าปศุสัตว์คิดเป็นมูลค่ามหาศาล จึงถูกประกาศอยู่ในบัญชี A ขององค์การโรคระบาด สัตว์ระหว่างประเทศ (Office International des Epizooties: OIE) นับเป็นโรคท่ีเป็นอุปสรรคสาคัญต่อการสินค้า ปศุสตั วแ์ ละผลิตภณั ฑ์ (trade barrier) ปัจจุบนั พบการแพร่ระบาดของโรคนี้ในปศสุ ตั ว์มากกวา่ 100 ประเทศท่ัวโลก ในหลายภูมิภาค โรคนี้มีอัตราการตายต่าในสัตว์โตเต็มวัย อัตราการตายสูงในลูกสัตว์ (ร้อยละ 50) จากกล้ามเนื้อ หวั ใจอกั เสบ ตดิ เช้ือแทรกซ้อนและจากการกนิ อาหารไมไ่ ด้ สตั ว์ทีเ่ คยสัมผัสไวรสั สามารถเป็นพาหะนาโรคได้หลายปี ไวรัสโรคปากและเท้าเปอื่ ย (Foot-and-Mouth Disease Virus: FMDV) เป็นไวรัส RNA (ribonucleic acid) สายเดี่ยว (genus Aphthovirus, สกุล Picornaviridae “pico” คือ ขนาดเล็ก ส่วน“rna” หมายถึง ribonucleic acid) มีความยาวประมาณ 8,400 nucleotides (nt) เป็น ลกู บาศกท์ รงกลมแบบไม่สมมาตร (Icosahedral asymmetric unit) เสน้ ผ่าศูนยก์ ลางขนาด 30 นาโนเมตร (ภาพท่ี 1) ประกอบจาก 60 protomers ของโครงสร้างโปรตีน (structural protein) “VP1-4” ซ่ึง VP1-3 เรียงตัวกันอยู่ เป็นเปลือกหุ้ม (capsid) และ VP4 เกาะอยู่ด้านในเชื่อมต่อกับโครงสร้างท่ีไม่ใช่โปรตีน (non-structural protein) ซ่ึงอยู่ขา้ งในเปลอื กหุ้ม ภาพที่ 1. อนภุ าคไวรัสปากและเท้าเปื่อย (146S) มีโครงสร้างพื้นฐานในส่วนท่ีเป็นโปรตีน (VP1-4) โดย VP1-3 เรียงตัว (A) กันเป็น protomer (5S) จาก protomers 5 ชุดประกอบกัน (B) เป็น pentamer (12S) ซึ่งเม่ือ 12 ชุดประกบกัน (C) เป็น capsid (75S) โดยมี VP4 หลบอยู่ข้างในต่อเชื่อมโยงกับโครงสร้างในส่วนที่ไม่ใช่โปรตีน (non-structural protein) (ท่มี า: Clavijo et al., 2004; Jamal and Belsham, 2013) ลาดับเบส (nucleotide sequences) ของรหัสพ้ืนที่โปรตีน VP1 แสดงคุณลักษณะสาคัญทางยีนของ สายพันธ์ุไวรัส ในขบวนการเกาะติดและเข้าสู่เซลล์รวมท้ังกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน และความจาเพาะต่อสายพันธ์ุ ของไวรัส (Jackson et al., 2003) อีกท้ังเกี่ยวข้องกับการก่อเกิดโรค (Mason et al., 1994; McKenna et al., 1995) จึงนิยมใช้ในการวิเคราะห์ phylogenetic tree เพื่ออนุมานวิวัฒนาการเปล่ียนแปลง (evolutionary dynamics) และสัมพันธภาพทางระบาดวิทยาในสายพันธุ์ (lineages) ตลอดจนติดตามแหล่งที่มาและการ ปรับเปล่ียนของสายพนั ธุ์ไวรสั ที่มีการระบาดในแต่ละทอ้ งทไ่ี ดอ้ ีกด้วย (Jamal and Belsham, 2013) โรคปากและเทา้ เปอื่ ยและการเก็บ-สง่ ตวั อย่างชนั สูตร 6

ภาพที่ 2. โครงสรา้ งสารพันธุกรรม (genomic RNA) และโปรตนี ทไี่ ดจ้ ากการแปลรหสั บน genome ของ FMDV โดย viral RNA จะ ถูกแปลรหัสเป็นโปรตีนสายยาว (polyprotein) จากปลาย 5’UTR คอื L protein ตามด้วยกลุ่มโปรตีนโครงสร้างหรือ structural proteins (VP1-VP4) และกลุ่ม non-structural proteins (ทีม่ า: Buenz and Howe, 2006; Jamal and Belsham, 2013) ไวรสั โรคปากและเท้าเป่ือย มีการปรับเปลี่ยนพันธุกรรมตลอดและรวดเร็ว ปัจจุบันสามารถจาแนกได้ 7 serotypes คือ O, A, C, Asia 1, SAT (Southern African Territories: SAT) 1, 2 และ 3 ท่ีมีปฏิกิริยาจาเพาะที่ แตกตา่ งกัน (antigenic) ระบาดวทิ ยา โรคปากและเทา้ เป่อื ยถูกพบครั้งแรกในประเทศอิตาลีเมือ่ ปี 1514 เมอื่ Fracastorius พบโคแสดงอาการ เบื่ออาหาร เย่ือเมือกในปากแดงอักเสบ บางตัวพบตุ่มพองในช่องปากและบริเวณเท้า โคส่วนใหญ่ท่ีติดเช้ือนั้น สามารถหายป่วยได้เอง (Fracastorius, 1546) แต่มีรายงานอย่างเป็นทางการครั้งแรกของการค้นพบไวรัสโรคปาก และเท้าเป่ือยในอกี ประมาณ 400 ปีตอ่ มา (Loeffler and Frosch, 1897) โรคปากและเท้าเปื่อยเป็นโรคประจาถิ่น (endemic) ในหลายพื้นท่ีของโลก เช่น ประเทศในแถบทวีป เอเชีย อัฟริกาใต้ และอเมริกาใต้ เป็นต้น อย่างไรก็ตามหลายประเทศ เช่น นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย กรีนแลนด์ ไอซ์แลนด์ และพื้นท่ีของทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือ ได้รับรองการปลอดโรคปากและเท้าเป่ือยโดยองค์การโรค ระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (ภาพที่ 3) ภาพที่ 3. แผนท่ีแสดงสถานภาพของโรคปากและเทา้ เป่อื ยจากขอ้ มูล OIE ในปี 2016, พ้ืนทไี่ มพ่ บโรคโดยไม่ได้ฉีดวัคซีน (สีแดง), พื้นที่ ปลอดโรคโดยไม่ได้ฉีดวัคซีน (สีเขียวแก่), พื้นที่ปลอดโรคโดยฉีดวัคซีน (สีเขียวอ่อน) และพื้นที่ท่ียังไม่ประกาศอย่างเป็น ทางการโดย OIE สาหรบั โรคปากและเทา้ เป่อื ย (สีเทา) (ท่ีมา: http://www.oie.int/en/animal-health-in-the-world/official-disease-status/fmd/en-fmd-carte/) โรคปากและเท้าเปื่อยและการเก็บ-สง่ ตัวอยา่ งชันสตู ร 7

ภาพที่ 4. แผนท่แี สดงการกระจายของโรคปากและเท้าเปอ่ื ยซโี รไทปต์ า่ งๆ โดยแยกกลมุ่ สายพนั ธต์ุ ามภมู ิประเทศเป็น 7 กลุม่ (ท่มี า: Hammond, 2012) ท่ัวโลกได้มีการจัดกลุ่มการเกิดโรคปากและเท้าเป่ือยตามภูมิประเทศเป็น 7 กลุ่มหรือ pool (ภาพที่ 4) โดยประเทศในภูมิภาคเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้รวมทงั้ ประเทศจีนถกู จัดอย่ใู น pool ท่ี 1 ซ่งึ มีการระบาดของโรคปาก และเท้าเปือ่ ยไทยจานวน 3 ซโี รไทป์ คอื O, A และ Asia-1 (Hammond, 2012) ในประเทศไทย ซีโรไทป์ A ถูกตรวจพบคร้ังแรกในปี พ.ศ. 2496 และ Asia-1 ในปีพ.ศ. 2497 ทาให้โรค ปากและเท้าเป่ือยเร่ิมถูกประกาศในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ปีพ.ศ. 2499 ตราบจนปี พ.ศ. 2558 (สานักงาน คณะกรรมการกฤษฎกี า, 2558) เพ่อื ใช้เปน็ เคร่ืองมอื และมาตรการควบคุมโรค ศูนย์ปฏิบัติการโรคปากและเท้าเป่ือย ได้รับการก่อตั้งข้ึนในปี พ.ศ. 2499 (Chaisrisongkram, 1993) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทาการตรวจยืนยันและแยก ชนิดของไวรัสโรคปากและเท้าเป่ือย ต่อมาปีพ.ศ. 2500 แยกพบซีโรไทป์โอ จากน้ันศูนย์ผลิตวัคซีนโรคปากและเท้า เปอ่ื ยได้ถกู ก่อต้งั ขนึ้ ในปี พ.ศ. 2503 และมีศกั ยภาพในการผลิตวคั ซีน (สมใจ และนพดล, 2535) พยาธวิ ิทยา ความรุนแรงของพยาธิสภาพอาจแตกต่างกันข้ึนอยู่กับสายพันธุ์ไวรัสและชนิดสัตว์ ส่วนใหญ่ไวรัสโรค ปากและเท้าเปื่อยเข้าสู่ร่างกายสัตว์โดยการหายใจ หรือกินสิ่งปนเป้ือนไวรัส เช่น อาหารหรือน้า ไวรัสแบ่งตัวเพ่ิม จานวนอย่างรวดเร็วทเ่ี ยื่อบผุ วิ (epithelium) เพดานอ่อน (soft palate) และคอหอย (pharynx) ซ่ึงระยะแรกท่ีติด เช้ือสามารถตรวจพบไวรัสที่บริเวณน้ีได้ภายใน 1-3 วัน กรณีท่ีไวรัสเข้าสู่ร่างกายผ่านบาดแผลท่ีผิวหนังหรือฉีดไวรัส เขา้ ทลี่ ิ้น ไวรสั จะเพมิ่ จานวนในบริเวณที่ติดไวรัสก่อนทีจ่ ะกระจายไปทางตอ่ มนา้ เหลืองและแพร่กระจายไปยังอวัยวะ อ่ืนๆ ซ่ึงจะแสดงรอยโรคอย่างเด่นชัด บริเวณเท้า รอยต่อของกีบ และร่องกีบเท้า (Alexandersen et al., 2001; Alexandersen et al., 2003) โรคปากและเท้าเป่ือยและการเก็บ-สง่ ตัวอย่างชนั สตู ร 8

ระยะฟักตัว ส่วนใหญส่ ัตวแ์ สดงอาการหลงั สัมผสั ไวรสั โรคปากและเทา้ เป่ือยเพียง 2–3 วัน แต่อาจนาน 7–10 วัน โค กระบอื เฉลี่ย 3-5 วัน สุกร 4–9 วัน แพะและแกะ 3-8 วัน ขึ้นกับสายพันธุ์ ชนิด ปริมาณและทางท่ีได้รับไวรัส หาก พบสตั วป์ ่วยแสดงวา่ สตั ว์ต้องติดหรอื สมั ผสั ไวรัสมาประมาณ 2–5 วันกอ่ น ซงึ่ ใชเ้ ปน็ หลกั ในการสอบสวนตามรอยโรค (tracing purpose) และหาแหล่งท่ีมาของการนาโรคย้อนหลังไปเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ (ระยะฟักตัวหนึ่งสัปดาห์) เพอื่ คาดการณถ์ งึ แหล่งทีม่ าของการปนเป้ือนหรือติดไวรัสได้ถูกต้อง และช่วยในการพิจารณาวางแผนระยะเวลาของ การควบคุมโรค (regulation purpose) คือเม่ือเกิดอุบัติการณ์โรค จะเฝ้าสังเกตจนกระท่ังไม่พบสัตว์ป่วยใหม่เป็น เวลาอยา่ งนอ้ ยสองสปั ดาห์ (OIE, 2011) ไวรัสโรคปากและเทา้ เปื่อยเขา้ สรู่ ะบบไหลเวยี นท่ัวร่างกายภายใน 4–5 วนั หลังการติดเชื้อ มีการแบ่งตัว และเพิ่มจานวนในต่อมน้าเหลือง เต้านม ต่อมไทรอยด์ ไตและต่อมหมวกไต โดยพบไวรัสมากที่สุดในของเหลวใส ภายในรอยโรคตุ่มพอง และสามารถกระจายไปกับสิ่งคัดหล่ังและขับถ่าย ได้แก่ น้าลาย น้านม ปัสสาวะ อุจจาระ และน้าอสุจิ สตั วท์ แ่ี สดงอาการป่วยจะขับไวรัสปริมาณมาก แต่สุกรขับไวรัสปริมาณออกสูงสุดก่อนแสดงอาการป่วย และจะตรวจพบแอนติบอดีในซีรัมอันเป็นผลจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายภายใน 4-7 วัน พร้อมกับปริมาณไวรัส ในกระแสเลือดก็จะเร่ิมลดลงภายในหน่ึงสัปดาห์หลังติดไวรัส โดยทั่วไปสามารถตรวจพบไวรัสจากรอยโรคท่ีพบไม่ เกนิ 5 วัน โอกาสน้อยมากท่ีจะตรวจพบไวรัสในรอยโรคท่ีปรากฏหลังแสดงอาการมากกว่า 11 วัน ดังน้ันตัวอย่างที่ เก็บตรวจเพ่อื วินิจฉัยโรคควรมาจากรอยโรคระยะแรก เชน่ vesicular fluid หรือรอยโรคที่ไม่เกินห้าวัน หลังจากน้ัน ต้องอาศยั การตรวจวินิจฉัยจากแอนติบอดีในสัตว์ที่สัมผัสไวรัส (ภาพท่ี 5) แม้กระน้ันสัตว์อาจมีการขับไวรัสได้แม้ไม่ แสดงอาการ สัตวท์ ม่ี ีภมู คิ ุม้ กนั ตา้ นไวรัสซโี รไทป์เดียวกันอาจคงอยนู่ าน 2–4 ปี ภาพท่ี 5. แผนภูมแิ สดงระยะเวลาในการวินจิ ฉัยโรคปากและเทา้ เปอ่ื ย 1) เบอื้ งต้นจากการยืนยันไวรัสในรอยโรค (เริ่มแรก) และอาการ ทางคลินิกในช่วงระยะสั้นๆ 2 ถึง 5 วัน ของการแสดงอาการเริ่มแรก 2) การเฝ้าระวังเชิกรุก สามารถตรวจพบไวรัสใน ตวั อยา่ งเลือดในสัตว์ทตี่ ิดไวรสั แต่ยังไม่แสดงอาการ จากน้ันปริมาณไวรสั ในกระแสเลือดก็จะเร่ิมลดลงภายในหน่ึงสัปดาห์ (เสน้ สีเขยี ว) 3) จาเป็นต้องเฝ้าระวังทางซรี มั วทิ ยาในสตั วท์ ี่สัมผสั ไวรสั เกินกว่าหนงึ่ สัปดาห์ (ทีม่ า: FAO, 2016) โรคปากและเทา้ เป่อื ยและการเกบ็ -สง่ ตัวอยา่ งชนั สตู ร 9

ชนิดสัตว์ท่ไี วตอ่ โรคปากและเท้าเป่ือย ธรรมชาติของปศุสัตว์กีบคู่ทุกชนิด (โค กระบือ แพะ แกะ สุกร) รวมท้ังสัตว์ป่ามากกว่า 70 ชนิด (เช่น อูฐ กวาง ละม่ัง กระทิง ช้าง รวมทั้งควายอัฟริกา) จะไวต่อการติดโรคปากและเท้าเป่ือย ในปี 2532 มีรายงานการ เกดิ โรคปากและเทา้ เปอ่ื ยในช้างท่ีเล้ียงในสวนสัตว์แห่งหน่ึงที่จังหวัดนครปฐม ในคร้ังน้ันมีการตรวจสอบพบว่าช้างมี การติดเช้ือไวรัสโรคปากและเทา้ เป่ือยซีโรไทป์โอ (ชิต และประทีป, 2536) ในขณะท่ีม้าไม่เป็นโรคปากและเท้าเปื่อย สัตว์ชนิดอ่ืนอาจเป็นโรคในการทดลอง ได้แก่ หนูตะเภา กระต่าย ไก่และไข่ฟัก (Grubman and Baxt, 2004; Thomson et al., 2003) โรคปากและเท้าเปื่อยในปศุสัตว์ไม่ถือว่าเป็นปัญหาทางสาธารณสุข ด้วยไวรัสของโรคน้ียากที่จะก่อโรค ในมนุษย์ ส่วนโรคมือเท้าปากในมนุษย์ (Hand foot mouth disease) เกิดจาก Coxsackie virus type A16 ซึ่ง เป็นไวรัสใน Family Enteroviridae อาการ โคและกระบือ เกษตรกรมักสังเกตพบสัตว์ในฝูงหลายตัวแสดงอาการน้าลายไหล (ภาพที่ 6) ยืนซึมใน ระยะเวลา 24-48 ชั่วโมง ช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ตามด้วยอาการขากะเผลกแบบฉับพลัน ไม่อยากยืน หรือไม่ร่วมฝูง อาจมไี ข้ ในโคนมมักพบสภาวะนา้ นมลด ระยะแรก พบรอยโรคตุ่มพอง (มีของเหลวเต็มไปด้วยไวรัส) ตามตาแหน่ง (ภาพท่ี 14) ได้แก่ ช่องปาก ลิ้น แก้ม เหงือก ริมฝีปาก เพดานปาก หัวนม (ภาพท่ี 11A, 11B) หรือเต้านม ตุ่มพองอาจขยายใหญ่ถึง 3 เซนติเมตร และอาจรวมตวั กันเปน็ แผ่นพอง (blisters) แผ่กวา้ งประมาณครึ่งหน่ึงของขนาดลนิ้ แผน่ พองจะแตก (ภาพท่ี 7) และ เน้อื เยอื่ จะหลุดได้งา่ ยภายใน 24 ชวั่ โมง เหลอื แต่พื้นผิวของเย่ือบุลิ้นชั้นล่าง (ภาพท่ี 8, 9A, 9B) หากไม่มีการติดเชื้อ รอยโรคมักสมานตวั อยา่ งรวดเรว็ ในเวลาไมก่ ว่ี นั อาจพบรอยโรคเปน็ เน้ือตายสภาพคล้ายเนย (รปู ท่ี 10) ภาพที่ 6. อาการน้าลายไหล ยนื ซึม ในระยะแรก ภาพท่ี 7. รอยโรคตมุ่ พองหรือแผน่ พองทีล่ นิ้ แตกออก (2-3 วนั ) ภาพที่ 8. แผลเยอ่ื บทุ ่ีเหงือกลอกหลดุ AB ภาพท่ี 10. รอยโรคเนอ้ื ตายทีเ่ หงอื ก ลกั ษณะคลา้ ยเนย (4-5 วัน) ภาพที่ 9. รอยโรคในชอ่ งปากบริเวณเหงอื ก (A) ลน้ิ (B) หลงั จากตมุ่ พองแตก AB ภาพที่ 12. รอยโรคแผลตามซอกกีบ - ภาพท่ี 11. รอยโรคตมุ่ พองท่ีหัวนมแมโ่ คนม (A, B) ภาพท่ี 13. ลกู โคมกั ตายเฉยี บพลัน โรคปากและเทา้ เปือ่ ยและการเกบ็ -สง่ ตัวอย่างชันสูตร 10

อาการท่ีมักพบควบคู่กับน้าลายไหล คือ มีไข้ 40–41°C ซึม กินอาหารน้อย เม่ือไวรัสลงกีบอาจพบเย่ือบุผิว เป็นสีขาวตามแนวไรกีบเท้า (สังเกตพบในระยะแรก) แต่ส่วนใหญ่มักเป็นแผลท่ีซอกกีบ (ภาพท่ี 12) สัตว์มักเดิน กะเผลกหรือสะบัดเท้า ไม่อยากยืน แยกตัวออกจากฝูง หลังจากติดไวรัสเรื้อรัง 2–6 สัปดาห์ กีบอาจแตกหรือหลุด ออกจากเนื้อเยื่อชั้นล่าง โคนมมักพบเต้านมอักเสบ น้านมลด โคท้องอาจแท้งลูก สัตว์โตเต็มวัยมีอัตราการตายต่า จากภาวะแบคทีเรียแทรกซ้อน สัตว์มักมีสุขภาพทรุดโทรม น้าหนักลด จากสภาพเจ็บปากเจ็บเท้าเดินไปกินอาหาร ไม่ได้ อตั ราตายสูงในลูกสัตว์ถึงร้อยละ 50 (ภาพท่ี 13) เนื่องจากกล้ามเน้ือหัวใจอักเสบเฉียบพลัน โดยท่ัวไปโคท่ีติด เชื้อจะแสดงอาการป่วย แต่ในฝูงโคท่ีฉีดวัคซีนและสัตว์พันธ์ุพ้ืนเมืองในประเทศที่มีโรคปากและเท้าเปื่อยเป็นโรค ประจาถ่ิน (endemic) อาจแสดงอาการเพียงเล็กน้อย จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทาให้ไวรัสแพร่กระจายไปโดยไม่ทัน สังเกตหรือพบอาการ (Kitching, 2002) ภาพท่ี 14. ตาแหน่งรอยโรคตุ่มพองท่ีพบบ่อยในสุกรและโคทปี่ ่วยดว้ ยโรคปากและเทา้ เปอ่ื ย (ทม่ี า: http://homepage.usask.ca/~vim458/virology/studpages2010/fmd/fmdsmppath/fmdsigns.html) สุกร หลังติดไวรัสภายใน 24– 48 ชั่วโมง ไวรัสจะเพิ่มจานวนได้ดีบริเวณ palatine tonsil แล้วแพร่สู่ระบบ น้าเหลือง เซลล์ของเน้ือเยื่อบริเวณต่างๆ เช่น เน้ือเย่ือคอหอย ต่อมน้าเหลืองใต้คาง ม้าม และไรกีบ ใต้ชั้นผิวหนัง (dermal papillae) เปลี่ยนแปลงพยาธิสภาพเกิดเป็นตุ่มพอง (vesicle) น้าใสในรอยโรคตุ่มพองเป็นตัวอย่างท่ี เหมาะสมในการสง่ ตรวจทางหอ้ งปฏบิ ัติการ ซ่งึ ในระยะแรกสามารถตรวจพบ RNA ของไวรัสได้ และอาจตรวจไม่พบ ภายหลังติดเชอ้ื นาน 48–72 ชัว่ โมง (Murphy et al., 2010) โดยปกติการติดไวรสั วนั แรกอาจสงั เกตรอยโรคและอาการได้ยาก วันต่อมาสุกรอาจแสดงอาการซึม เบื่อ อาหาร ไข้สูงถึง 40.5°C และอาจพบรอยโรคตุ่มพองน้าใสเด่นชัด หรือเย่ือผิวขาวขุ่นท่ีด้ังจมูก (ภาพที่ 15A, B, C) หรอื รมิ ฝปี าก ส่วนในชอ่ งปากและลิ้นอาจเห็นได้ยาก รอยโรคพบบ่อยสดุ คือทีเ่ ท้าและไรกบี (ภาพที่ 14) แม่สุกรเล้ียง ลูกมักพบตุ่มพองที่หัวนม (ภาพท่ี 16A) ผ่ืนแดงตามราวนม (ภาพท่ี 16B) มักส่งผลให้ลูกสุกรดูดนมติดไวรัสได้ง่าย และป่วยด้วยอัตราการตายสูงจากภาวะกล้ามเน้อื หวั ใจอกั เสบ ตุ่มพองจะแตกออกภายใน 24 ชั่วโมง เนื้อเยื่อลอกหลุด หากมีเช้ือแทรกซ้อนจะเป็นบาดแผลรุนแรงถึง ข้ันกีบหลุด (ภาพท่ี 17) สุกรมักไม่อยากลุกยืน เดินขากะเผลก ส่งเสียงร้องเจ็บปวดมากเวลาเดิน มักยืนด้วยข้อเข่า เพื่อหลีกเลย่ี งการถา่ ยนา้ หนักลงบนกบี จงึ พบแผลถลอกตรงดา้ นหนา้ ของขอ้ ขาหน้าและด้านหลังของข้อขาหลัง รอย โรคทีก่ ีบอาจกนิ เวลาหลายสปั ดาหก์ ว่าจะกลบั สูส่ ภาพปกติ หลายวันหลังจากนั้นกีบจะงอกใหม่ แต่กีบท่ีงอกใหม่อาจ บิดเบ้ียว อาจพบการแท้งได้ในแม่สุกรท้อง ส่วนใหญ่สุกรสามารถกาจัดไวรัสในร่างกายออกได้หมดภายใน 3–4 สปั ดาห์ สกุ รจึงไมม่ ีภาวะติดไวรัสแฝง หรือเป็นพาหะโรค (Arzt et al., 2011) ส่วนการแยกโรคจากรอยโรคตุ่มพอง โรคปากและเท้าเป่ือยและการเก็บ-สง่ ตัวอย่างชันสูตร 11

ของโรคปากและเท้าเปื่อยออกจากไวรัสท่ีก่อโรคชนิดอ่ืนๆ เช่น Vesicular stomatitis และ Vesicular exanthema ในสุกรค่อนข้างยาก นอกจากการตรวจวนิ ิจฉัยทางหอ้ งปฏบิ ตั ิการ (Bachrach, 1968) A BC ภาพที่ 15. รอยโรคตมุ่ พองขาวขุ่นที่จมูกสกุ ร (A, B, C) AB ภาพท่ี 16. รอยโรคตมุ่ พองทหี่ วั นมแมส่ กุ ร (A), และผื่นแดงตามราวนม (B); ภาพที่ 17 กบี ลอกหลุดในลูกสกุ ร ทมี่ า: นายสัตวแพทยป์ ระสทิ ธ์ิ เซยี่ งจ๊ง อาเภอบ้านโปง่ จงั หวัดราชบุรี เอื้อเฟือ้ ภาพ ในสัตว์อายุน้อย อาจพบผนังกล้ามเน้ือหัวใจเป็นลายขาว (tiger–heart) จากลักษณะเน้ือตายบน กล้ามเน้ือหัวใจ (ภาพท่ี 18A-C) A BC ภาพท่ี 18. รอยโรคแถบป้ืนเน้อื ตายสขี าว (ลกู ศรสีแดง) ท่ีกลา้ มเนอ้ื หัวใจ (tiger heart) (A, B) (ท่ีมา: http://www.osp.mans.edu.eg/elsawalhy/Inf–Dis/FMD.htm) หัวใจลกู สกุ รป่วยตายด้วยโรคปากและเทา้ เป่ือย (C) (ทม่ี า: นายสัตวแพทย์ประสทิ ธิ์ เซย่ี งจ๊ง อาเภอบ้านโปง่ จังหวดั ราชบรุ ี เออ้ื เฟื้อภาพ) แพะ มักไม่แสดงอาการ อาจพบเพียง อาการซึม ไม่กินอาหาร ตัวสั่น มีไข้ น้านมลด แท้งลูก คล้ายอาการ ป่วยทั่วไป แต่หากสังเกตในระยะเริ่มต้นอาจพบรอยโรคตุ่มพองท่ีไรกีบ ระหว่างกีบเท้าและส้นเท้า หากรุนแรงรอย โรคตุ่มพองจะแตกออกและติดแบคทีเรียแทรกซ้อน ทาให้เกิดแผลหลุมท่ีเจ็บปวดมาก ไม่อยากยืนหรือเคล่ือนตัว เช่นเดียวกบั ในโคและกระบือ ถ้ามีรอยโรคในช่องปาก สัตว์อาจแสดงอาการเลียริมฝีปากและน้าลายไหล เกิดหย่อม รอยโรคแดงท่ีช่องปาก เหงือก ล้ิน เพดานปาก รอยโรคที่หัวนมก็อาจพบได้เช่นกัน ลูกแพะมักจะแสดงอาการท่ี ชัดเจนกว่า สังเกตได้จากอาการเดินกะเผลก จะพบรอยโรคที่กีบเท้ามากกว่าในช่องปาก (Smith and Sherman, 1994) โรคปากและเทา้ เปอ่ื ยและการเกบ็ -สง่ ตวั อย่างชนั สตู ร 12

แกะ ไวต่อการตดิ และแพร่ไวรสั ทางลมหายใจ แต่มักตดิ โดยสัมผัสกับสัตว์ป่วย พบอาการป่วยได้ยากและอาจ พบรอยโรคเพียงแหง่ เดียว รอยโรคตุ่มพองในช่องปากยากที่จะตรวจพบในระยะต้น มักแตกออกหรืออาจเหลือเพียง รอยโรคแผลหลุมต้ืนที่ลิ้นและเหงือก (ภาพที่ 19A) ส่วนอาการขากะเผลกมักพบรอยโรคที่ซอกกีบ (ภาพท่ี 19B) อาการทั่วไปได้แก่ มีน้ามูก ไข้ อาจพบน้านมแห้งในแม่แกะ และการตายของลูกแกะอายุน้อย (Hughes et al., 2002) AB ภาพท่ี 19. รอยโรคทเี่ พดานปาก เหงอื ก (A) และแผลซอกกบี (B) ที่อาจพบได้ในแกะ เหตุผลทต่ี ้องพิจารณาอายุของรอยโรค การประมาณอายุของรอยโรค (estimating the age of lesions) (ตารางที่ 1) โดยเฉพาะรอยโรคท่ีเก่า สุด (oldest lesion) มีประโยชน์ในการสอบย้อนประวัติการสัมผัสไวรัสของสัตว์ป่วย ตลอดจนการรายงานทาง ระบาดวทิ ยา (Mann and Sellers, 1990) ตารางที่ 1. รอยโรคท่ีปรากฏในช่วงระยะเวลาที่พบอาการ วนั แรก เยอ่ื บุผวิ ขาวขนุ่ ก่อตวั เป็นตมุ่ พองมีน้าใสสีฟาง วนั ทส่ี อง ต่มุ พองแตกระยะแรก มีเย่ือบุผิวสด ขอบเขตชดั เจน และไฟบรนิ ยงั ไม่เกาะ วันที่สาม ขอบรอยโรคไมช่ ดั เจน มสี ภาวะอักเสบแดงและไฟบรนิ สะสม วนั ท่ีสี่ ไฟบรนิ เด่นชัดและเยื่อบผุ วิ งอกใหมร่ อบขอบรอยโรค วันท่ีเจด็ เยอ่ื แผลหลุมก่อและสมานตวั ไฟบรนิ ยงั ปรากฏฝังอยู่ การคาดคะเนวันท่ีสัมผัสเชื้อมีความสาคัญมาก สอบย้อนจากระยะเวลาฟักตัว 1-14 วัน โดยทั่วไป 2 – 5 วัน ก่อนพบรอยโรค ช่วยในการสอบสวนถึงแหล่งท่ีมาของการติดไวรัสในฟาร์มที่เกิดการระบาดของโรค ย้อนได้ถึง ชว่ งเวลาท่พี บปริมาณของไวรัสทถ่ี กู ขับออกมา (ตารางที่ 2) โดยปกตไิ วรัสสามารถถูกขับออกก่อนที่อาการจะปรากฏ เชน่ สามารถตรวจพบไวรสั ในนา้ นม 4 วนั ก่อนสังเกตเหน็ รอยโรคหรอื แสดงอาการป่วย ซึ่งบอกได้ว่าสัตว์ในฝูงสัมผัส ไวรัสหรือมีการเคลอื่ นย้ายพาหะที่ติดหรอื ปนเปอ้ื นเช้ือเขา้ มาในฝูงในระยะเวลา 2–5 วันก่อนหน้าน้ันเมื่อใด สามารถ คาดเดาจากรอยโรคทเี่ ปล่ยี นไปในชว่ งหนงึ่ ถึงสองสัปดาห์ (ภาพท่ี 20-26) ตารางท่ี 2. การคาดคะเนช่วงเวลา (วัน) ของการปลอ่ ยไวรสั หลังพบรอยโรคครง้ั แรกในสกุ ร โค และแกะ (ปรมิ าณไวรสั สูง: สีแดง, ปานกลาง: สเี หลอื ง และ ต่า: สีเหลอื งอ่อน) ชนิดสตั ว์/วนั -8 -7 -6 -5 -4 -3 -2 -1 0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 สกุ ร โค แกะ (ทมี่ า: http://slideplayer.com/slide/4686325/Pirbright%20outbreak%20investigation%20procedures_KenyaFMD.ppt) โรคปากและเทา้ เปื่อยและการเกบ็ -สง่ ตัวอยา่ งชนั สูตร 13

วนั ท่ี 1: ปาก ลน้ิ กีบ และส้นเทา้ AB CD ภาพที่ 20. วนั แรกของการตดิ ไวรสั มักไม่พบรอยโรคใดๆ ทเ่ี ดน่ ชัด ในช่องปาก เหงือก (A) และลิน้ (B) อาจพบ รอ่ งรอยหลดุ ลอกบรเิ วณไรกีบดา้ นข้าง (C) แต่ไม่พบรอยโรคดา้ นหลงั กีบ (D) (ทม่ี า: http://www.cfsph.iastate.edu/pdf/foot-and-mouth-disease-pocket-guide-cattle) วนั ท่ี 3: เหงอื ก ลิ้น ไรกบี และซอกกีบ AB CD ภาพท่ี 21. รอยโรคทส่ี ามวนั พบตมุ่ พองชัดเจนบริเวณเหงอื ก (A) ลนิ้ (B) ไรกบี (C) และซอกกีบ (D) (ท่ีมา: http://www.cfsph.iastate.edu/pdf/foot-and-mouth-disease-pocket-guide-cattle) โรคปากและเท้าเป่อื ยและการเกบ็ -สง่ ตวั อย่างชนั สตู ร 14

ภาพที่ 22. รอยโรคท่สี ามถงึ เจด็ วนั พบตมุ่ พองแตก ขอบรอยโรคไมช่ ัดเจน ปื้นแดงทเ่ี หงอื ก (A, B, C) ล้นิ (D) (ที่มา: http://www.defra.gov.uk/animalh/diseases/fmd/about/clinical.htm) วนั ที่ 7: เหงือก ลน้ิ ไรกีบ และซอกกบี AB CD EF ภาพที่ 23. รอยโรคทเ่ี จด็ วัน พบตมุ่ พองแตก ลอกหลดุ เป็นแผลหลมุ ตามเหงอื ก (A), ล้ิน (B), ซอกกีบ (C, D, F) และ ไรกีบ (E) (ทมี่ า: http://www.cfsph.iastate.edu/pdf/foot-and-mouth-disease-pocket-guide-cattle) โรคปากและเทา้ เปือ่ ยและการเกบ็ -สง่ ตวั อยา่ งชันสตู ร 15

วันท่ี 10: เหงอื ก ลิน้ และซอกกีบ AB CD ภาพท่ี 24. รอยโรคทส่ี บิ วัน ไฟบรนิ สะสมตาม ขอบแผลบรเิ วณเหงือก (A) ล้ิน (B) และซอกกีบ (C, D) วนั ที่ 14: เหงือก ลน้ิ ไรกบี และซอกกีบ AB CD ภาพที่ 25. การสมานตัวของรอยโรคที่สิบส่ีวัน พบลักษณะของแผลเป็นขอบนูนที่ เหงือก (A) ล้ิน (B) ไรกีบ (C) และ ซอกกีบ (D, E, F) EF (ทีม่ า: http://www.cfsph.iastate.edu/pdf/foot-and-mouth-disease-pocket-guide-cattle) โรคปากและเท้าเปอื่ ยและการเกบ็ -สง่ ตวั อย่างชันสูตร 16

วนั ท่ี 18: เหงอื ก ล้นิ ไรกบี และซอกกีบ A AB CD F E ภาพท่ี 26. การสมานตัวของรอยโรคทสี่ บิ แปดวนั แผลตามเหงอื ก (A) ลิ้น (B) ซอกกีบ (C, D, F) และไรกีบ (E) สมานตวั อยา่ งสมบรู ณ์ (ท่ีมา: http://www.cfsph.iastate.edu/pdf/foot-and-mouth-disease-pocket-guide-cattle) โรคปากและเท้าเป่ือยและการเก็บ-สง่ ตัวอย่างชนั สตู ร 17

ภูมิค้มุ กันที่รบั มา (Passive immunity) หรือติดตัวมาแตก่ าเนดิ (Innate Immunity) ลกู สตั ว์ทไ่ี ดร้ บั นมน้าเหลืองจานวนมากพอจากแม่ท่เี คยสัมผัสเชอ้ื หรอื วัคซีน จะมีภูมิคุ้มกันโดยธรรมชาติ จากนมน้าเหลืองของแม่ ซ่ึงจะคงอยู่นาน 3-4 เดือน แต่ระดับภูมิคุ้มกันนี้อาจไม่เพียงพอต่อการป้องกันการติดไวรัส สัตว์อาจมคี วามไวสูงตอ่ การติดโรค และมผี ลตา้ นการสร้างภูมิคุ้มกันจากการฉีดวคั ซีน อย่างไรก็ตามระดับภูมิคุ้มกันท่ี ได้รับจากแม่โคหรอื แมส่ ุกรจะลดลงเหลอื ครงึ่ หน่ึงในระยะ 21–22 วันหลังคลอด (Kitching and Salt, 1995) ดังนั้น การฉดี วคั ซีนในลูกสัตวอ์ ายุนอ้ ยซง่ึ ยังมภี มู คิ ุ้มกันจากแม่อยู่ในระดบั สูงจึงไม่เป็นผลดี วธิ ที ี่เหมาะสมในการป้องกันโรค ในลูกสัตวค์ อื แยกตัวลูกออกจากแหล่งท่มี ีการติดไวรสั ภูมคิ มุ้ กันทกี่ ่อเอง (Active immunity) หรอื เกิดขนึ้ ภายหลังกาเนดิ (Acquired Immunity) เป็นภูมิคุ้มกันที่เกิดหลังจากการติดไวรัสหรือการฉีดวัคซีน สัตว์ที่ติดไวรัสร่างกายจะสร้างแอนติบอดีที่ จาเพาะตอ่ structural protein (SP) และ non-structural protein (NSP) ในขณะท่สี ัตว์ท่ีได้รับวัคซีนซ่ึงมีแต่ส่วน ของ SP และถูกตดั สว่ นของ NSP ออกไป รา่ งกายก็จะสร้างแอนตบิ อดที จี่ าเพาะต่อ SP เทา่ น้นั สตั ว์สามารถติดไวรัส ได้หลายซโี รไทป์ การติดโรคปากและเท้าเปอื่ ยตา่ งสายพันธ์ุมกั ไมม่ ีภูมิคุ้มกันข้ามซโี รไทป์ (no cross immunity) ภมู ิคุ้มกนั จากการติดไวรัส  โค หลังตดิ ไวรัสเพยี ง 4 วันจะพบระดบั แอนติบอดี IgM กลมุ่ แรก และสูงสุดท่ี 7–14 วัน แล้วค่อยๆ ลดลงจน ตรวจไมพ่ บที่ 30 วนั ส่วน IgM จะ neutralize กบั ไวรัส หลงั จากน้ันระดับแอนตบิ อดี IgG จะเร่ิมสูงขึ้นที่ 10-14 วัน สูงสุดที่ประมาณ 28 วัน ภูมิคุ้มกันต่อไวรัสชนิดเดียวกันคงอยู่นานเต็มท่ี 3–4 เดือน และลดลงเหลือเพียงบางส่วน จึงอาจติดไวรัสซ้าได้แต่มักพบรอยโรคเฉพาะท่ี บางตัวอาจมีภูมิคุ้มกันนานถึง 4.5 ปี การลดลงของภูมิคุ้มกันข้ึนกับ อายุ และพันธ์สุ ตั ว์ ตลอดจนโภชนาการ (Mann and Sellers, 1990)  สกุ ร ระยะแรกจะพบแอนตบิ อดีกลมุ่ IgM ต่อมาท่ี 14–25 วัน จึงตรวจพบกลุ่ม IgG ซ่ึงมีความจาเพาะต่อซีโร ไทป์ โดยพบปริมาณสูงสุดท่ีประมาณ 28 วัน และลดลงในช่วง 5–7 เดือน ซ่ึงอาจทาให้สุกรไวต่อการติดเชื้อซ้าได้ สุกรทฟ่ี ้ืนจากโรคจะไม่เป็น carrier บ่งชวี้ ่ากลไกของร่างกายในสุกรสามารถกาจัดไวรัสได้อย่างสมบูรณ์ (Mann and Sellers, 1989)  แพะ แกะ ท่ีติดไวรัสมักไม่แสดงอาการ จึงอาจมีความสาคัญในการเก็บและกระจายไวรัส (Ganter et al., 2001) ถ้าป่วยมักพบไวรัสทั่วร่างกายเพียงช่วงส้ันๆ (3–7 วัน) เฉลี่ยที่ 7 วันหลังติดไวรัส การแพร่กระจายของไวรัส โรคปากและเท้าเปอื่ ยคอ่ นขา้ งชา้ พบระดับแอนติบอดใี นซรี ัมแพะตั้งแต่วันท่ี 6 หลังติดไวรัส ปริมาณสูงสุดที่ 14–16 วัน และคงอยู่นานไม่น้อยกว่า 120–140 วัน ในแกะตรวจพบแอนติบอดีได้รวดเร็วกว่า (3-7 วัน) และคงอยู่นาน ปริมาณแอนติบอดีโดยค่า SN titer ที่ 1.9–2.8 เป็นระดับที่ถือว่ามีสภาพติดไวรัสในแพะและแกะ (Smith and Sherman, 1994) ซง่ึ ชว่ ยในการคน้ หาโรค (Hughes et al., 2002) ภมู ิค้มุ กนั จากการฉดี วคั ซนี  โค กระบอื และสุกร ข้ึนกับชนิดของส่ือ (adjuvant) ที่ใช้ทาวัคซีน ปัจจุบันวัคซีนกรมปศุสัตว์ เป็นวัคซีนเชื้อ ตาย ใชส้ ือ่ นา้ (aqueous vaccines) สาหรับโคกระบือ และใช้สื่อน้ามันอีมัลช่ัน (oil emulsion vaccines) สาหรับ สุกร วิไล และคณะ (2544) รายงานระดับภูมิคุ้มกันจากการทดสอบโดยวิธี ELISA จากการฉีดวัคซีนป้องกันโรค ปากและเท้าเปื่อยชนิด Trivalent ที่ผลิตโดยกรมปศุสัตว์ พบว่าในโคมีภูมิคุ้มกันต่อไทป์ O, A และ Asia1 เท่ากับ โรคปากและเทา้ เปื่อยและการเกบ็ -สง่ ตวั อย่างชนั สูตร 18

1.9 ± 0.6 (1:96), 2.3 ± 0.4 (1:214) และ 2.0 ± 0.5 (1:100) ตามลาดับ ในขณะท่ี สุกร มีภูมิคุ้มกันต่อไทป์ O, A และ Asia1 เทา่ กบั 1.9 ± 0.5 (1:84), 1.9 ± 0.4 (1:90) และ 1.8± 0.5 (1:72) ตามลาดบั  แพะแกะ ตอบสนองตอ่ วัคซีนโดยให้ค่าเฉล่ียระดับแอนติบอดีท่ีต่ากว่าในโคกระบือ การฉีดวัคซีนสองครั้งตาม ด้วยการฉีดซ้าทุก 6 เดือนจะให้ผลตอบสนองดีที่สุด (Smith and Sherman, 1994) การฉีดสองครั้งจะมีระดับ แอนติบอดีสูงกว่าการฉีดคร้ังเดียว การฉีดด้วยขนาดต่างกันท่ี 1, 1.5 และ 2 มิลลิลิตร จะมีระดับแอนติบอดีไม่ แตกต่างกัน (สมเกยี รติ และลักษณา, 2542) โดยทั่วไปพบว่าภูมิคุ้มกันจากการฉดี วัคซีนจะสัน้ และมีความจาเพาะตอ่ ซโี รไทปน์ ้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบ ภูมคิ ุ้มกันจากการตดิ ไวรัสหรือปว่ ยเป็นโรค (Salt, 1993) การขบั และแพร่กระจายของไวรัส โดยธรรมชาติ ส่วนใหญ่การระบาดมักเกี่ยวข้องกับการเคล่ือนย้ายสัตว์หรือพาหะท่ีปนเปื้อนไวรัสจาก แหล่งอน่ื เขา้ มาในพนื้ ที่ การแพร่กระจายของไวรัสโดยทางตรง ไวรัสที่ถูกขับจากการแตกของรอยโรคตุ่มพอง น้าลาย ลมหายใจ น้านม อุจจาระ และปัสสาวะ (ตารางท่ี 3) ซ่ึงไวรัสคงอยู่และถูกขับออกในระยะเวลาที่แตกต่างกันไป พบว่าถูกขับ ทางน้าลายยาวนานท่ีสุดถึง 11 วัน รองลงมาคือ ซีรัมนาน 10 วัน และสามารถแพร่กระจายไปกับส่ิงขับถ่ายท้ังมูล สตั ว์และปสั สาวะ ดงั น้ันการตดิ ตอ่ จึงเกิดได้จากการรบั เชอ้ื โดยตรงจากการ ไอ จาม การหายใจ หรือกินสารคัดหลั่งท่ี ปนไปกบั น้าและอาหาร ตารางท่ี 3. ระยะเวลาการขบั เช้ือในตัวอยา่ งต่างชนดิ ในสารคัดหลง่ั และสง่ิ ขบั ถา่ ย สารคดั หลงั่ และสง่ิ ขับถ่าย ระยะเวลาทข่ี บั เช้ือ (วนั ) เลอื ด 5 ซีรัม 10 ปสั สาวะ 7 น้านม 5 น้าลาย 11 ละอองหายใจ 5 น้ามกู 7 มูลสตั ว์ 5 (ทม่ี า: Sellers, 1971) ปริมาณไวรัสในตวั อยา่ งและในสตั วต์ ่างชนิดก็มคี วามแตกต่างกนั (ตารางท่ี 4) อีกท้งั ปริมาณไวรัสต่างซีโร ไทป์ท่ีขับออกในสัตว์ต่างชนิดก็ต่างกันไป โดยสุกรมีความสามารถในการขับเช้ือได้ดีกว่าเม่ือเทียบกับโคและแกะ (ตารางท่ี 5) เช้ือไวรัสมีความคงทน สามารถคงอยู่นอกเซลล์ได้หลายชั่วโมง ทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดี โดยเฉพาะบรรยากาศที่มีความช้ืนสัมพัทธ์สูง (มากกว่าร้อยละ 60) และอุณหภูมิเย็นท่ีเหมาะสม เมื่อละอองถูกขับ ออกจากการไอ จาม ละอองขนาดใหญ่จะตกลงสพู่ นื้ ภายในช่ัวนาที ละอองท่ีเล็กระดับขนาดไมครอนจะมีการระเหย และขนาดลดลงใกล้เคียงกับไวรัส ทาให้แขวนลอยในอากาศได้เป็นช่ัวโมง และจะกระจายไปในอากาศ (Kowalski and Bahnfleth, 1998) โรคปากและเท้าเปือ่ ยและการเก็บ-สง่ ตัวอย่างชนั สตู ร 19

ตารางที่ 4. ความเขม้ ข้นและปริมาณไวรสั โรคปากและเทา้ เป่ือยในตวั อยา่ งตา่ งชนดิ ของโค สุกร และแกะ ชนดิ สัตว์ แหล่งไวรสั ความเขม้ ขน้ สูงสดุ ของไวรัส ปริมาณไวรัสทงั้ หมด* (log10 IU) เลือด 30 ลิตร 5.6 /มิลลลิ ิตร 10.1 เยอ่ื บลุ ิน้ 100 กรมั 9.0 /กรมั 11.0 ตบั 5.5 กิโลกรัม 3.6 /กรมั 7.3 โค นา้ นมตอ่ วัน 15 ลิตร 5.5 /มิลลลิ ิตร 9.7 ปัสสาวะตอ่ วัน 8.8-22 ลิตร 4.9 /มลิ ลิลิตร 9.7 อุจจาระต่อวนั 15-45 กิโลกรัม 5.5 /กรัม 9.7-10.2 ลมหายใจตอ่ วนั 3.7 /30 นาที 5.4 เลอื ด 2.5 ลติ ร 7.2 /มิลลลิ ิตร 10.6 เยอ่ื บผุ วิ กีบเทา้ 10 กรัม 9.6 /กรัม 10.6 สุกร ตบั 2 กิโลกรมั 6.1 /กรมั 8.9 อจุ จาระต่อวัน 0.5-3 กิโลกรัม 2.9 /กรมั 5.6-6.4 8.0 ลมหายใจตอ่ วัน 6.3 /30 นาที เลือด 1.5 ลติ ร 105.0 /มิลลิลิตร 8.2 แกะ อจุ จาระต่อวัน 0.5-3 กิโลกรมั 2.7 /กรมั 6.2 ลมหายใจต่อวนั 3.7 /30 นาที 5.4 * หน่วยวดั ปรมิ าณไวรสั คือ log10 infectious unit (IU) โดย 1 log10 IU=1.4 TCID50 (tissue culture infective dose หรอื ปริมาณไวรสั ทที่ าให้เซลลเ์ พาะเลย้ี งคร่งึ หนงึ่ ตดิ ไวรสั ) (ที่มา: Sellers, 1971) ตารางท่ี 5. ปริมาณไวรัสโรคปากและเท้าเป่ือยของแต่ละซีโรไทป์ทีถ่ กู ขบั ออก ในโค แกะ และสกุ ร ซโี รไทป์ ปริมาณไวรัสท่ีขับออก (log10 IU/นาท)ี โค แกะ สกุ ร O1 1.8 1.6 3.9 O2 0.6 0.1 3.2 A5 1.9 <0 2.8 A22 0.8 <0 2.3 (ทีม่ า: AUSVETPLAN, 2000) การกระจายของไวรสั การกระจายของไวรัสในอากาศ (Bioaerosols) โคและกระบือมีสภาพทางสรีระของปริมาตรลมหายใจต่อวันมากที่สุด (86–167 ลูกบาศก์เมตร/วัน) รองลงมาคือแกะ (7–10 ลูกบาศก์เมตร/วัน) ดังนั้นโคและกระบือ (ภาพที่ 27) จึงมักเป็นตัวเริ่มโรคและใช้ปริมาณ ไวรัสต่าในการก่อโรค (1–2 log10 IU) ส่วนสุกรมักติดไวรัสโดยการกินและขับไวรัสออกมาในอากาศ (2.8±108 IU โรคปากและเท้าเปอ่ื ยและการเกบ็ -สง่ ตัวอยา่ งชนั สูตร 20

ต่อวัน) มากกว่าโค กระบือ และแกะ (มากที่สุดในโคเพียง 1.8±105 IU ต่อวัน หรือ 3–8 log10 IU ต่อวัน) สุกรจึง เป็นตัวผลติ ไวรัสทางระบบหายใจท่ีสามารถกระจายไวรัสได้มาก แต่เป็นสัตว์ท่ีทนทานต่อการติดเชื้อทางการหายใจ (4–20 ลูกบาศก์เมตร/วัน) (Sellers, 1971; AVIS, 2002; Donaldson and Alexanderson, 2002) สุกรขับไวรัส ปรมิ าณสูง 1,000 – 3,000 เท่าของโค ทาให้การควบคุมโรคปากและเท้าเปื่อยในสุกรยากกว่าสัตว์ชนิดอ่ืนๆ (ภาพท่ี 28) ภาพท่ี 27. ปริมาณไวรสั ทกี่ อ่ โรคและปรมิ าตรลมหายใจในโค แกะ และสกุ ร (ทมี่ า: AVIS, 2002) ภาพที่ 28. ปรมิ าณไวรัสโรคปากและเท้าเปอื่ ยทถ่ี กู ขับจากโค แกะ และสุกร (ที่มา: http://www.merial.co.th/SiteCollectionDocuments/LA_FMD_01-08-08.pdf) การแพร่กระจายทางอากาศเกิดไม่ได้โดยลาพัง ต้องอาศัยการรวมตัวกับอนุภาคต่างๆ (particles) หรือ ละอองของเหลว (droplets) ท่ีฟุ้งกระจาย ซึ่งเรียกรวมกันว่า “bioaerosols” หลายกิจกรรมท่ีสร้าง bioaerosols เช่น ล้างคอกโดยใช้น้าฉีด พ่นสารเคมี/สารละลายแบบมีแรงดันสูง แม้ว่าไวรัสจะไม่เพิ่มจานวนนอกเซลล์ แต่ก็ สามารถถูกเคลอื่ นย้ายทางอากาศ (Stetzenbach, 1997) และเมอื่ โอกาสอานวย เชน่ ลม ฝน เป็นต้น อนุภาคขนาด โรคปากและเทา้ เปอ่ื ยและการเก็บ-สง่ ตัวอย่างชนั สูตร 21

1–5 µm สามารถปลิวตามแนวกระแสลม ส่วนอนุภาคท่ีใหญ่มีโมเมนตัมจะตกลงเกาะตามพ้ืนผิวร่างกายสัตว์ เป็น ผลให้สัตวไ์ ด้รบั droplet nuclei ของไวรัส (อนุภาคท่ีมีขนาดเล็กกว่า 5 µm) โดยการหายใจ (Sattar et al., 1997) ไวรัสสามารถคงทนและมีโอกาสที่จะกระจายไปกับลมภายใต้สภาพภูมิอากาศเฉพาะ ในยุโรปมีสภาพ อากาศเย็นทาให้ไวรัสสามารถกระจายไปได้ไกลถึง 10 กิโลเมตร เม่ือประกอบกับภูมิประเทศที่เป็นห้วยและเนินเขา จะทาให้ไวรัสกระจายได้ไกลย่ิงข้ึน (Mann and Sellers, 1989) แต่ในเขตร้อนการแพร่กระจายไปทางลมมีโอกาส นอ้ ยท่จี ะเกิดข้ึน ไวรสั ในอากาศจะถกู ทาลายอยา่ งรวดเร็วเนอ่ื งจากความร้อนและแสงแดด ดังน้ันการติดโรคโดยทาง อากาศในพ้นื ท่เี ขตร้อนจงึ ไม่มีความสาคญั (วไิ ล, 2545) รูปแบบที่ใช้ในการเลี้ยงสัตว์ เช่น ขังในโรงเรือน มักมี Bioaerosols เป็นส่ือของไวรัสในปริมาณสูงกว่า การเล้ียงในที่เปิดโล่ง อัตราการป่วยย่อมมากกว่า แต่การเลี้ยงในท่ีเปิดโล่งจะยากต่อการสังเกตสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าการเกิดอุบัติการณ์ของโรคในแต่ละครั้ง อาจไม่ใช่จุดปฐมภูมิ แต่เป็นการระบาด ลกุ ลามจากพน้ื ทข่ี ้างเคยี ง การแพร่กระจายของไวรัสโดยทางอ้อม โดยผ่านคน (เช่น มือ เสื้อผ้า รองเท้า เป็นต้น) สัตว์พาหะ (สุนัข แมว หนู เป็ด ไก่ รวมทั้งแมลง) ยานพาหนะ อาหาร น้า และอุปกรณ์ ส่ิงของที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่งหรือสิ่งขับถ่าย (อุจจาระ มลู ฝอย ปสั สาวะ น้าลาย) ตลอดเสน้ ทางที่สตั ว์ปว่ ยเดินผ่าน เชน่ แปลงหญา้ เป็นตน้ คนทสี่ มั ผัสสัตว์ปว่ ย สามารถนาไวรัสติดไปกับเส้นผม ผิวหนังและเส้ือผ้า ไวรัสสามารถอยู่ในจมูก ลาคอ และน้าลาย โดยไม่แสดงอาการป่วย อาจตรวจพบไวรัสปริมาณ 100-1,000 IU ในคน บางรายสูงถึง 10,000 IU (Sutmoller et al., 2003) ในช่องจมูกของผู้ที่ตรวจอาการบริเวณหัวสุกรท่ีป่วย และไวรัสอยู่ได้นานถึง 36 ช่ัวโมง (Pharo, 2002) และท่ี 48 ช่ัวโมงอาจตรวจไม่พบไวรัส (Sutmoller et al., 2003) มีรายงานพบไวรัสปากและเท้า เป่ือยได้นาน 9 ถึง 14 สัปดาห์ (GAO, 2002) การส่ังน้ามูกทิ้งแต่ละคร้ังสามารถช่วยลดปริมาณไวรัสได้ 0.5 log10 IU แต่ถึงจะสั่งน้ามูกท้ิงถึง 10 ครั้งก็ยังอาจมีไวรัสหลงเหลือ ดังน้ันการใส่ผ้าปิดจมูก (surgical mask) ช่วยลด ปริมาณไวรัสที่หายใจเข้าได้ 0.9 หรือ 0.8 log10 IU นอกจากน้ีแม้ไวรัสไม่มีการแบ่งตัวเพิ่มจานวนในแมลง แต่อาจ ติดตวั แมลงได้ การกระจายของไวรัสอาจติดไปกบั ฝุ่นละอองทปี่ ลวิ ตามกระแสลม อย่างไรก็ตาม พบว่ารูปแบบการเล้ียงสัตว์ปล่อยแทะเล็มในพ้ืนที่สาธารณะ หรือการเลี้ยงสัตว์รายย่อย อย่างหนาแน่นในหมู่บ้าน ทาให้มีโอกาสติดโรคจากพื้นที่ข้างเคียง รวมถึงการเคล่ือนย้ายสัตว์ก็มีความเส่ียงสูงต่อการ ระบาดของโรคปากและเทา้ เปอ่ื ย (ตารางท่ี 6) ตารางท่ี 6. ปจั จยั ทเี่ กี่ยวข้องกับการระบาดของโรคปากและเทา้ เป่ือยในเขต 9 ปัจจยั การระบาด: คร้ัง (รอ้ ยละ) 1. ติดโรคจากพื้นท่ีข้างเคยี ง 10 (43.5 %) 2 การเคลอ่ื นย้ายสัตว์ สัตว์ลักลอบ 7 (30.4 %) โคชน เคล่อื นย้ายทั่วไป 3. แหล่งฆา่ สัตว์ 2 (8.7 %) 4. ไมท่ ราบสาเหตุ 4 (17.4 %) (1) หมายถงึ การติดโรคจากการระบาดลกุ ลามจากพน้ื ท่ีต่อเน่อื งกนั (2) หมายถงึ การตดิ โรคจากการเคลอื่ นยา้ ยสัตวข์ า้ มพืน้ ท่ีเปน็ ระยะทางไกล (ท่ีมา: วนั ทนีย,์ 2541) โรคปากและเท้าเปือ่ ยและการเก็บ-สง่ ตัวอยา่ งชันสตู ร 22

ปริมาณไวรสั ท่กี ่อโรค ปริมาณไวรสั โรคปากและเทา้ เปื่อยทกี่ ่อโรค (infectious dose) ในสตั ว์แตล่ ะชนดิ มไี ม่เทา่ กัน ขึ้นกับทาง ที่ได้รับไวรัสและชนิดของซีโรไทป์ (ตารางที่ 8) เช่น ปริมาณไวรัสในขนาดเพียง 1.1–2.6 log10 IU เข้าทางลม หายใจเพียงเล็กน้อยสามารถทาให้โคทดลองร้อยละ 50 แสดงอาการป่วย ในแกะใช้ปริมาณไวรัสโรคปากและเท้า เปื่อยใกล้เคียงกับโค (Gale, 2002) ส่วนสุกรจะต้องได้รับปริมาณไวรัสโรคปากและเท้าเป่ือยทางลมหายใจมากกว่า โคประมาณ 1,000 เทา่ จึงเกดิ โรคได้ โดยทางลมหายใจสกุ รจงึ ไวต่อโรคน้อยกว่าโค สกุ ร และแกะ (ตารางที่ 7) ตารางที่ 7. ปริมาณต่าสุดของไวรสั โรคปากและเทา้ เป่ือยทก่ี ่อโรคในโค สกุ ร แพะ แกะ ชนิดสัตว์ ปริมาณไวรัส (log10IU) การหายใจ การกนิ โค 1.1 - 2.6 5.8 สกุ ร 4.1 - 5.6 6.0 แพะ 1 - 3 ไม่มีข้อมลู แกะ 1.1 - 2.6 5.8 (ทม่ี า: Gale, 2002; AVIS, 2002) ตารางที่ 8. อตั ราการปว่ ยในสัตวแ์ ต่ละชนิดที่ได้รับไวรสั โรคปากและเทา้ เปื่อย ดว้ ยวธิ ตี า่ งๆ ในขนาดแตกตา่ งกันของแต่ละซีโรไทป์ สัตว์ วธิ ี ซโี รไทป์ ขนาด (log10 IU) อตั ราการปว่ ย หายใจ O1 1.0 1/1 โค A 2.0 2/6 O1 6.5 0/6 กิน A 4.0 2/2 สกุ ร หายใจ O 6.4 0/3 กนิ O38 5.2 1/5 แกะ หายใจ O 4.0 3/4 A 4.0 3/4 (ทม่ี า: AVIS, 2002) ความทนทานหรือการคงชีพของไวรสั นอกตัวสัตว์ ไวรสั โรคปากและเทา้ เปือ่ ยเป็นไวรัสที่ไมท่ นตอ่ แสงแดด ความรอ้ น ความแห้ง และสภาพกรดด่าง แต่ คงชีพอยู่ได้ท่ี pH ระหว่าง 7.4 ถึง 7.6 และทนปานกลางที่ pH 6.7–9.5 แต่ตายรวดเร็วท่ี pH < 5 และท่ี pH> 11 และทแี่ หง้ แตค่ งชพี ไดด้ ีในสภาวะอากาศที่มคี วามชื้นสัมพัทธร์ อ้ ยละ 60 ข้ึนไป ถ้าอุณหภูมิลดถึง 4°C หรือต่ากว่าจะ ช่วยใหไ้ วรสั คงทนข้นึ 1 ปี และตา่ กว่าจุดเยอื กแขง็ ไวรสั จะคงอยู่นานยง่ิ ขนึ้ อุณหภูมิท่ีสูงข้ึนจะลดระยะเวลาการรอด ชีวิต โดยที่อุณหภูมิ 22°C อยู่ได้นาน 8-10 สัปดาห์ ที่ 37°C อยู่ได้นาน 10 วัน หากใช้ความร้อนท่ี 56° C เป็นเวลา 30 นาที เพียงพอที่จะทาลายไวรัสส่วนใหญ่ (AVIS, 2002) ไวรัสถูกทาลายง่ายโดยโซดาไฟ (2% sodium hydroxide), ปนู ขาว (calcium hydroxide), โซดาซักผ้า (soda ash หรือ 4% sodium carbonate), กรดมะนาว (citric acid), น้าส้มสายชู (2% acetic acid), 3% sodium hypochlorite, potassium peroxymonosulfate, 1% sodium chloride และ chlorine dioxide หรือสารเคมีที่มีส่วนผสมของformalin หรือ glutaraldehyde หรือ cresol หรือ iodine แต่กลุ่ม iodophores, quaternary ammonium compounds และ phenol จะมี ฤทธท์ิ าลายไวรัสลดลงหากไวรัสอยูใ่ นสารอินทรีย์ (organic matter) เชน่ เน้ือเยื่อ นา้ ลาย เปน็ ต้น (OIE, 2013) โรคปากและเทา้ เป่อื ยและการเกบ็ -สง่ ตัวอย่างชันสูตร 23

ไวรัสโรคปากและเท้าเปื่อยสามารถคงชีพในกองฟางนานถึง 20 สัปดาห์ มูลแห้งในหน้าร้อนนานสอง สัปดาห์ และมูลเปียกในหน้าหนาวถึง 6 เดือน และดิน 3 วัน (ฤดูร้อน) ถึง 28 วัน (ฤดูหนาว) (Ashford, 2016) ซ่ึง ระยะเวลาในการคงชพี ของไวรัสแตกตา่ งกันไปตามสภาพ อณุ หภูมิ และความชนื้ (ตารางที่ 9) ตารางท่ี 9. ระยะเวลาคงชพี ของไวรัสโรคปากและเท้าเปื่อยในส่งิ ขบั ถา่ ยจากสตั ว์ สภาพ ระยะเวลาในการคงชีพ ใตก้ องส่ิงปฏกิ ูล 30 ซ่ัวโมง < 6 วัน กองสงิ่ ปฏกิ ลู เปยี ก 8 วัน กองสงิ่ ปฏิกลู แห้ง 14 วัน นา้ ล้างคอก ท่ี 17-21 °C 21 วนั สิ่งปฏกิ ลู เหลว ท่ี 12-22 °C 34-42 วนั แผ่นไม้กระดาน โลหะทีป่ นเป้ือนซีรัม เลอื ด เนื้อเย่ือ 35 วัน ปัสสาวะ 39 วัน น้า 50 วัน ในแปลงหญ้า ท่ี 8-18 °C และความช้นื สมั พัทธส์ งู 6 เดอื น ดนิ กระสอบป่าน หญา้ แหง้ ฟางแหง้ (การเก็บและสภาพอากาศ) 26-200 วนั (ท่ีมา: AUSVETPLAN, 2000) การคงชีพของไวรัสในผลิตภัณฑจ์ ากสตั ว์ เน้อื และอวยั วะ ไวรัสโรคปากและเท้าเปื่อยในเนื้อและกล้ามเน้ือหัวใจถูกทาลายอย่างรวดเร็วโดย pH จากซากสัตว์ที่ ลดลง (ไวรัสจะคงชีพอยู่ได้หาก pH ไม่ลดต่าลงกว่า 6.2) สภาพกรดจะไม่เกิดขึ้นจากเปล่ียนแปลงสภาพซาก (rigor mortis) หากเนื้อสัตว์ได้รับการแช่แข็งอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อละลาย lactic acid จะเกิดขึ้นทาให้เกิดสภาวะที่ไม่ เหมาะต่อการคงชีพของไวรัส โดยท่ี pH 6 และ pH 5 ไวรัสจะหมดฤทธิ์ภายในหนึ่งนาทีและหน่ึงวินาทีตามลาดับ อย่างไรก็ตาม ไวรัสอยู่ได้นานในเลือด ต่อมน้าเหลือง ไขกระดูก และเครื่องใน สัตว์ที่ติดไวรัสมีโอกาสก่อโรคได้มาก แม้ถูกแช่แข็ง เพราะเนื้อเยื่อเหล่าน้ีถูกแยกออกจากซากทาให้ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง pH ในกระบวนการ rigor mortis เป็นผลให้การเกิด lactic acid ไม่อยู่ในระดับเดียวกับท่ีเกิดในกล้ามเน้ือ (ตารางท่ี 10) นอกจากนี้ยังมี รายงานการคงชีพของไวรัสถึง 2 สัปดาห์ในขนแกะ นาน 4 สัปดาห์ในขนโคและ 11 สัปดาห์บนหนังสัตว์ (AUSVETPLAN, 2000) ตารางที่ 10. ระยะเวลาคงชีพของ ไวรสั โรคปากและเทา้ เป่ือย ในอวัยวะสุกร สภาวะ อวัยวะ ระยะเวลาคงชพี แชเ่ ยน็ (chilled) ปอด กระเพาะ ลน้ิ ลาไส้ 30 วัน ม้าม ตบั ไต 24 ช่ัวโมง แช่แข็ง (frozen) ปอด ลาไส้ กระเพาะ ลิ้น ไต ม้าม ตบั 210 วนั อุณหภูมหิ อ้ ง ลนิ้ 10 วัน กล้ามเนอ้ื 1 วนั (ทมี่ า: Gale, 2002) โรคปากและเท้าเปอื่ ยและการเกบ็ -สง่ ตวั อย่างชนั สตู ร 24

นา้ นม สามารถพบไวรสั โรคปากและเทา้ เปือ่ ยในน้านม 4 วันก่อนสัตว์แสดงอาการปว่ ย (อาจมีไวรัสได้ถึง 106.6 TCID50 ต่อมิลลิลิตร) มีรายงานพบไวรัสปริมาณ 102.2 TCID50 ต่อมิลลิลิตรในถังน้านมรวมในฟาร์ม จากการ ระบาดที่สหราชอาณาจักรเม่ือปี ค.ศ. 1981 การคงชีพของไวรัสในน้านมขึ้นกับอุณหภูมิและปริมาณแบคทีเรียในถัง นมท่ีทาให้เกิดสภาพกรดหรือด่าง อย่างไรก็ตามการพาสเจอไรซ์น้านมที่ปนเปื้อนไวรัสที่อุณหภูมิ 61-65°C นาน 30 นาที หรือ 72-95°C เพียง 15-17 วินาที ก็ยังพบไวรัสหลงเหลือ ไขมันนมสามารถปกป้องไวรัสขณะโดนความร้อน ทัง้ นขี้ ึน้ กับกรรมวิธีในการฆ่าเชื้อที่ถูกต้อง แต่น้านมที่อุณหภูมิสูงกว่า 120°C ระยะเวลา 2-3 วินาทีหรือ ultra high temp หรือ sterilization หรือการปรุงอาหารท่ีอุณหภูมิ 80°C ข้ึนไปนาน 2-3 นาที หรือที่ 70°C นาน 25 นาที สามารถทาลายไวรัสไดท้ ัง้ หมด (AUSVETPLAN, 1996; AVIS, 2002; Gale, 2002) ภาวะอมเชือ้ และการแพร่ (Carrier) ในสัตวเ์ คีย้ วเอ้ืองท่ีตดิ ไวรสั ปากและเทา้ เป่อื ยในระยะเฉยี บพลนั หากรา่ งกายสัตว์ไม่สามารถขจัดไวรัสได้ หมด หรือสัตว์ได้รับการฉีดวัคซีนท่ีสร้างความคุ้มจะทนโรคได้ดีแม้ได้รับไวรัสปริมาณมาก โดยสัตว์อาจไม่แสดง อาการป่วย แต่สามารถขับไวรัสได้ (Donaldson and Kitching, 1989) ท้ังนี้ประเด็นดังกล่าวเป็นเพียงสมมติฐาน เทา่ นั้น (Watkins, 2001; Geering et al., 1999) โดยทั่วไปแล้ว ปริมาณไวรัสในตัวสัตว์จะลดลงตามระยะเวลา จึง อาจไม่เพียงพอในการก่อโรค แม้บางสถานการณ์การระบาดมีรายงานบ่งชี้ว่าโคกระบือที่เคยป่วยเป็นโรคเป็นตัวนา ไวรัสไปสู่สัตวท์ ่ีไวตอ่ โรค (Hughes et al., 2002) แต่ยังไม่สามารถพิสูจน์ไดจ้ ากการทดลอง มเี พียงตรวจยืนยันภาวะ อมเชื้อโดยสามารถแยกไวรัสได้จากของเหลวในหลอดอาหาร–คอหอย (oesophageal–pharyngeal fluid) โดยท่ัวไปสามารถแยกไวรัสออกมาได้ตั้งแต่ระยะ 28 วันหลังจากติดไวรัส (Sutmoller et al., 1968; Woodbury, 1995) และจากสัตว์ที่เคยป่วย (Mann and Sellers, 1990) ซึ่งยังให้ผลเพียงระดับหนึ่ง ยากที่จะพิสูจน์สาเหตุของ อุบัตกิ ารณ์โรคจากสัตวท์ ี่เปน็ carrier ไดแ้ น่นอน แม้ตรวจภายในวันเดียวกัน (Hughes et al., 2002) อย่างไรก็ตาม สัตว์เครียดจากการเคลื่อนย้าย (shipping stress) หรือเครียดจากพฤติกรรมรวมฝูง (social stress) ของสัตว์ต่าง แหล่งต่างสายพันธุ์กัน อาจทาให้สัตว์ไวต่อการรับและแพร่กระจายไวรัสได้อย่างรวดเร็ว (AVIS, 2002) ปริมาณ แอนติบอดีในสัตว์ท่ีเป็นพาหะอมเช้ือ มักมีระดับท่ีสูงกว่าสัตว์ที่ได้รับวัคซีนปกติ ดังน้ันค่าเฉลี่ยระดับแอนติบอดี จึง อาจใช้บ่งบอกภาวะอมเชื้อและแพร่โรคในฝูง (Salt, 1993) ท้ังนี้ Mann and Sellers (1990) ได้รวบรวมรายงาน พบว่า ไวรัสคงอยูใ่ นโคได้นาน 3.5 ปี กระบือที่อัฟริกานานถึง 5 ปี และแพะแกะประมาณ 9 เดือน ในขณะท่ีสุกรไม่ มภี าวะอมเชอ้ื (Woodbury, 1995) ดงั ตารางท่ี 11 ตารางที่ 11. ระยะเวลาเปน็ พาหะอมเชอื้ ในโค กระบือ แพะ แกะ และสกุ ร ชนดิ สตั ว์ ระยะเวลาเปน็ พาหะอมเช้ือ (carrier) ประมาณ ร้อยละ 50* บางส่วน** โคกระบือ 2.5 ปี 9 เดอื น >2 ปี (3.5 – 5 ปี) แพะแกะ 9 เดือน 9 สปั ดาห์ 9–11 เดือน สุกร 1 เดอื น ไมม่ ีภาวะอมเช้ือ*** *ร้อยละ 50 ของสตั ว์ทีห่ ายปว่ ยหรือเคยสัมผสั ไวรัส **บางส่วนของสัตวห์ ายป่วยหรอื เคยสมั ผสั ไวรสั (ทมี่ า: Mann and Sellers, 1990; ***Woodbury, 1995) โรคปากและเทา้ เปื่อยและการเก็บ-สง่ ตัวอย่างชนั สูตร 25

ตอนท่ี 2. การเกบ็ และสง่ ตวั อยา่ งชนั สูตร การตรวจวนิ ิจฉยั โรคปากและเทา้ เป่ือยทางห้องปฏิบัติการ สามารถจาแนกชนิดของไวรัสได้อย่างถูกต้อง จาเป็นตอ้ งทาร่วมกบั การสอบสวนโรคทางคลนิ กิ การวินิจฉัยต้องแยกจากโรคอ่ืนๆ ที่มีอาการและรอยโรคคล้ายคลึง กันโดยเฉพาะโรคในกลุ่มโรคตมุ่ พอง (vesicular diseases) ผลจากการตรวจวินิจฉัย เช่น ชนิดของซีโรไทป์หรือสาย พันธไ์ุ วรสั ถือเป็นส่วนสาคัญในการเลือกใช้วัคซีนท่ีเหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการควบคุมโรค ดังน้ันสิ่งที่ สาคัญคือ การเก็บตัวอย่างต้องเหมาะสม ถูกวิธี มีข้อมูลของประวัติสัตว์ป่วย เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการสอบสวนทาง ระบาดวทิ ยา และนาสง่ ห้องปฏบิ ตั กิ ารโดยเร็วท่ีสุด หีบหอ่ บรรจุตัวอย่างต้องเป็นไปตามหลักการความปลอดภัยและ ความม่ันคงทางชีวภาพ (biosafety and biosecurity) และอยู่ในสภาพสมบูรณ์ขณะส่งต้ังแต่ต้นทางจนถึง ปลายทาง เพื่อป้องกนั ไมใ่ ห้ร่วั ไหลของไวรสั ไปสู่บรเิ วณใกล้เคยี งหรอื ส่งิ แวดลอ้ ม โดยทว่ั ไปสามารถตรวจพบไวรัสโรคปากและเท้าเป่ือยในกระแสเลือดประมาณ 1-2 วันก่อนท่ีสัตว์แสดง อาการทางคลนิ กิ หรอื ปรากฏรอยโรค และพบไวรัสได้ง่ายในน้าใสจากตุ่มพอง เน้ือเยื่อสดจากรอยโรคของสัตว์ที่ป่วย ระยะแรก รวมทั้งสารคัดหลั่งต่างๆ ได้แก่ น้านม น้าอสุจิ ปัสสาวะ น้าเมือก แยกไวรัสโดยใช้การเพาะเซล จาแนก ชนิดไวรัสโดยใช้วิธี ELISA และตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสโดยวิธี PCR ปริมาณไวรัสจะลดลงเมื่อสัตว์เริ่มมี ภูมิคมุ้ กนั ในรา่ งกายตามระยะเวลาและรอยโรคจะค่อยๆ หายไป หลังการป่วยสี่วันจะตรวจพบระดับแอนติบอดีและ non-structural protein ในซีรมั โดยวธิ ี ELISA หรอื VNT หลังสมั ผสั ไวรสั ประมาณ 1-2 สปั ดาห์ขน้ึ ไป (ภาพที่ 29) ภาพท่ี 29. การตรวจหาไวรสั โรคปากและเท้าเปอ่ื ยด้วยวิธตี ่างๆ จากรอยโรคตามระยะเวลา (วนั ) หลงั เริม่ แสดงอาการ (ทมี่ า: http://slideplayer.com/slide/4686325/Pirbright%20outbreak%20investigation%20procedures_KenyaFMD.ppt) การตรวจหาและจาแนกชนิดของไวรัสทาได้โดยตรงจากตัวอยา่ งซึ่งมีไวรัสจานวนมากพอ โดยเฉพาะจาก น้าใสในตุ่มพองและเน้ือเยื่อตุ่มพองตามบริเวณปาก จมูก กีบ หัวนม เป็นต้น ในระยะแรกไม่เกิน 5 วัน ที่สัตว์เริ่ม แสดงอาการ (ตารางที่ 12) ตารางที่ 12. ระยะเวลาและรอยโรค/อาการของโรคปากและเทา้ เปื่อยในโค รอยโรค/อาการ ระยะเวลา (วนั ) เม็ดตุ่มใสบนล้ิน 1-2 เมด็ ตมุ่ ใสแตก เริ่มลอก 2-3 การลอกหลุดของเน้ือเยื่อ 4 - 5 รอยแผลเร่ิมหาย ~7 โรคปากและเท้าเปอื่ ยและการเก็บ-สง่ ตวั อยา่ งชันสตู ร 26

สาหรับระยะเวลาในการทดสอบโรค การแยกเช้ือไวรัสโดยเซลล์เพาะเลี้ยงใช้เวลาประมาณ 1 – 4 วัน การตรวจหาแอนติเจนโดยวธิ ี ELISA ใชเ้ วลา 4 ช่ัวโมง และตรวจหาสารพันธุกรรมโดยวิธี PCR ใช้เวลาไม่เกิน 1 วัน ซึ่งโดยท่ัวไปปริมาณไวรัสจะลดลงเม่ือเริ่มมีภูมิคุ้มกันในร่างกายสัตว์และรอยโรคจะจางหายไปตามระยะเวลา จึง จาเป็นต้องตรวจวินิจฉัยจากแอนติบอดีและ non-structural protein ในซีรัม โดยเทคนิคทางซีรัมวิทยา ได้แก่ วิธี Liquid Phase Enzyme-Linked Immunosorbent Assay (LP-ELISA) ซึ่งใช้เวลาทดสอบ 5-18 ช่ัวโมงหรือด้วย วิธี Virus neutralization test (VNT) ซ่ึงอาจกินเวลาอย่างน้อย 2-3 วันหรืออาจถึงหน่ึงสัปดาห์โดยตรวจหลังสัตว์ แสดงอาการป่วย 3-4 วันข้ึนไป หากตรวจหาแอนติบอดีต่อ non-structural protein (NSP) ให้ผลบวกควร พจิ ารณาเกบ็ ตัวอยา่ ง probang จากคอหอย เพอ่ื จาแนกหาไวรัสหรือแอนติเจนจากวิธีการท่ีกล่าวมาข้างต้น (ภาพที่ 30) ดงั น้ันการเก็บตวั อยา่ งท่ีถูกต้องและมีคุณภาพ รวมถึงข้ันตอนการจดั ส่งตัวอย่างไปยังห้องปฏิบัติการอย่างถูกต้อง ตามหลักความปลอดภัยทางชีวภาพเป็นสิ่งสาคัญ เนื่องจากคุณภาพของตัวอย่างเป็นปัจจัยสาคัญต่อผลการตรวจ วนิ ิจฉัยทางหอ้ งปฏบิ ัตกิ าร ภาพท่ี 30. แผนภูมแิ สดงวิธกี ารวนิ จิ ฉัยโรค หลังโคตดิ เชือ้ จนถึงระยะทหี่ ายป่วย (ที่มา: FAO, 2016) จานวนสัตวท์ เี่ หมาะสมในการเกบ็ ตัวอยา่ ง ในกรณีที่ฝูงมีสัตว์แสดงอาการทางคลินิกในระยะแรกหลายตัว ให้สุ่มเก็บตัวอย่างจากสัตว์จานวน 5 ตัว โดยแยกเก็บเป็นรายตัว เพ่ือการตรวจวินิจฉัยท่ีมีประสิทธิภาพ ส่วนในกรณีที่พบสัตว์แสดงอาการหลายระยะในฝูง ใหเ้ ก็บตวั อย่างจากสัตวท์ ี่แสดงอาการล่าสดุ ส่วนในสัตว์ทห่ี ายปว่ ยหรอื กรณสี งสัยว่าจะเปน็ โรคปากและเท้าเปื่อย แต่ ไมม่ รี อยโรคชัดเจน ไมส่ ามารถเก็บตวั อย่างเนอื้ เยอ่ื หรือของเหลวจากตุ่มพองได้ ให้ใช้สาลีพันปลายไม้ป้ายหรือสวอป จากรอยโรคทพ่ี บหรือในช่องปากและจมูก โดยเก็บตัวอย่างจากสัตว์จานวน 10 ตัวที่เคยแสดงอาการทางคลินิก เช่น มีไข้ ผลผลิตลดลง หรอื พบการหายของแผลในปากหรอื กีบ โรคปากและเทา้ เป่อื ยและการเก็บ-สง่ ตัวอยา่ งชนั สูตร 27

ชนิด ตาแหน่ง และปริมาณตัวอยา่ ง ตัวอย่างเพ่ือการชันสูตรโรคปากและเท้าเปื่อยที่ให้ความจาเพาะ ความไว และความแม่นยาสูง คือ ตัวอย่างทีเ่ กบ็ จากเนอ้ื เยอ่ื บรเิ วณรอยโรคจากสัตวเ์ พ่ิงปว่ ยหรือสงสัยวา่ ตดิ เชื้อ รวมทัง้ การเกบ็ ตัวอยา่ งซีรมั รอยโรคท่ีพบในระยะแรกและรุนแรงในสัตว์เพ่ิงป่วยเป็นโรค ทั้งที่พบจากจมูก ในช่องปาก ไรกีบ ซอก กีบ หรือหัวนม รวมท้ังกล้ามเนื้อหัวใจลูกสัตว์ เป็นตัวอย่างท่ีเหมาะสมในการตรวจวินิจฉัย โดยเฉพาะของเหลวจาก ตมุ่ พอง ชิน้ เนื้อเย่อื สวอป พร้อมทงั้ เกบ็ เลอื ดและซีรมั ด้วยทกุ ครง้ั การเก็บตัวอย่างจากร่างกายสัตว์ควรใช้ซองบังคับ สตั ว์ และทาความสะอาดบริเวณทจี่ ะเก็บตวั อย่างและรอยโรคด้วยนา้ สะอาดก่อน (ห้ามใชน้ า้ ยาฆา่ เชอ้ื ทกุ ชนิด) 1. ของเหลว/น้าใสจากตุ่มพอง (vesicular fluid) สัตว์ที่เพิ่งป่วย อาจพบตุ่ม ภาพที่ 31. ต่มุ พองทด่ี งั้ จมูกสกุ ร พองท่ียังไม่แตก ตามด้ังจมูก (ภาพท่ี 31) ลิ้น ช่องปาก เต้านม และกีบ ให้ใช้ เข็มปลอดเชอื้ ขนาด 19-23 Gx1 นิว้ เจาะตุ่มพองเพื่อดูดน้าใสเหลืองอ่อน ด้วย ไซรินจ์ปลอดเช้ือขนาด 1-5 มิลลิลิตร เก็บในขวดที่สะอาดแล้วจึงแช่เย็น หรือ ผสม 50% glycerin buffer (glycerol และ phosphate buffer saline, pH 7.2-7.6) ในอตั ราส่วน 1:1 กอ่ นบรรจุลงในภาชนะเพอ่ื นาส่งห้องปฏิบตั กิ าร 2. เนอื้ เยอื่ (tissue) ของขอบแผล จากรอยโรคตมุ่ พองท่ีเพิ่งแตกทุกแห่ง ให้ใช้ผ้า สะอาดหรือปากคีบจับดึงเน้ือเยื่อ (ภาพที่ 32A, C) และกรรไกรที่สะอาดตัดเน้ือเยื่อรอยโรคตามลิ้น ดั้งจมูก ปากของสัตว์ป่วย (ภาพท่ี 32B, C) ปริมาณของเน้ือเย่ือที่เก็บ (ภาพท่ี 32D) ควรมีขนาดใหญ่กว่า 2 ตาราง เซนติเมตรหรือน้าหนักไม่ต่ากว่า 2-5 กรัม หากสัตว์เริ่มเดินกะเผลกแสดงว่าเชื้อแพร่กระจายไปถึงกีบแล้ว และไม่สามารถเก็บเนื้อเย่ือลิ้นได้ ควรเก็บตัวอย่างจากบริเวณไรกีบ ซอกกีบ หรืออุ้งกีบแทน โดยเก็บเนื้อเย่ือ บรรจุในขวด เขย่าใหร้ ะดับ 50% glycerin buffer ท่วมเนอื้ เย่ือ (ภาพท่ี 33) หากเก็บเน้ือเยื่อจากสัตว์ตัวหนึ่ง ไดน้ อ้ ย กค็ วรเก็บจากตวั อื่นเพมิ่ ดว้ ย โดยแยกเกบ็ บรรจุขวดเปน็ รายตัว A BC D ภาพท่ี 32. วธิ กี ารเก็บตวั อย่างเนอื้ เยอ่ื โดยใช้ผ้าสะอาดจับล้ิน (A) หรอื ใช้ปากคีบดึงเน้อื เยอ่ื หลุดลอก และใชก้ รรไกรตดั (B, C) เพือ่ ให้ไดเ้ นือ้ เยอื่ (D) ปรมิ าณน้าหนักไม่ตา่ กวา่ 2 – 5 กรมั หรือมากท่สี ดุ ภาพที่ 33. วิธีการเก็บตัวอย่างเนื้อเย่ือโดยแช่ใน 50% glycerin buffer ใหท้ ว่ มช้ินเน้อื และปิดฝาให้สนิท โรคปากและเท้าเปอื่ ยและการเกบ็ -สง่ ตวั อยา่ งชันสตู ร 28

3. ของเหลวหรือเย่ือจากคอหอย (oesophago-pharyngeal fluid หรอื probang) ในโค กระบือ แพะ แกะ ซง่ึ มขี ั้นตอนเฉพาะ จะกลา่ วตอ่ ไปในหัวข้อการเก็บตัวอย่าง probang 4. สวอป จากตุ่มพอง/แผล หรือรอยโรค โดยใช้สาลีพันปลายไม้ ท่ีสะอาดปราศจากเช้ือ ป้ายรอยโรค หรือแผล แตกของตุ่มพอง หรือป้ายช่องจมูก (nasal swab: ภาพท่ี 34A, B) หรือภายในลาคอ (throat swab) ในสุกร แล้วเก็บในขวด/ภาชนะที่บรรจุ 50% glycerin buffer หรือ transport medium เช่น phosphate buffered gelatin saline (PBGS) และส่งมายังห้องปฏิบัติการศูนย์อ้างอิงโรคปากและเท้าเป่ือยภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ ในกรณีฉุกเฉินที่ไม่สามารถหา PBGS ได้ ให้นาสวอปใส่ลงในหลอดที่มี sterile normal saline ปรมิ าตร 1 มลิ ลลิ ติ ร และสง่ มายังหอ้ งปฏิบัตกิ ารทนั ที AB Aภาพที่ 34. วธิ ีสวอปจากชอ่ งจมูกสุกร (A, B) 5. เลือด/ซีรัม สัตว์ทุกตัวท่ีติดเช้ือหรือมีประวัติสัมผัสสัตว์ป่วยเพ่ือทาการตรวจหาไวรัสและแอนติบอดี โดยเก็บ เลอื ดในปรมิ าตร 10-12 มลิ ลิลิตร ซ่งึ จะกลา่ วรายละเอยี ดต่อไป 6. เน้ือเยื่อและอวัยวะของสัตวท์ ต่ี าย นอกจากเน้ือเย่ือที่กล่าวมาข้างต้น ควรเก็บอวัยวะอื่นๆ ได้แก่ ต่อมทอนซิล ตอ่ มน้าเหลอื งใตค้ าง ตอ่ มไทรอยด์ มา้ ม ไต เลือด และเนื้อเยื่อซอกกีบ สาหรับตัวอย่างหัวใจควรเก็บในลูกสัตว์ หรือสัตว์ท่ีมีอาการของกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ นาตัวอย่างแบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกบรรจุลงใน PBGS และอีกสว่ นนาบรรจลุ งใน 10% formalin การเก็บตัวอย่าง Probang ตัวอย่าง probang หรือ oesophago-pharyngeal (O/P) fluid เก็บจากบริเวณรอยต่อของหลอด อาหารและคอหอย ซง่ึ เป็นบริเวณท่ไี วรสั ปากและเท้าเปอื่ ย เพมิ่ จานวนในระยะแรกของการติดเช้ือและมักคงอยู่นาน เป็นวิธีการตรวจหาสัตว์ทีเ่ ปน็ พาหะอมเช้ือ (carrier) โดยสัตว์ติดเช้ือคงนาน (persistent infection) อาจเป็นสัตว์ที่ เคยปว่ ยหรอื ตดิ เช้อื แต่ไม่แสดงอาการปว่ ย นยิ มเกบ็ ในโค กระบือ แพะ แกะ อปุ กรณ์ 1) มีลักษณะเป็นถ้วยต่อกับเสน้ ลวดท่ีดัดโคง้ (ภาพที่ 35A) ขนาดถ้วย (ภาพที่ 35B) ตามชนดิ และขนาดสัตว์ AB ภาพที่ 35. อุปกรณ์ probang (A) และ probang cup สาหรบั สัตวข์ นาดตา่ งๆ (B) (ทม่ี า: สมใจ, 2554) โรคปากและเทา้ เปอ่ื ยและการเกบ็ -สง่ ตวั อย่างชันสตู ร 29

2) หลอดฝาเกลียวสาหรบั บรรจตุ ัวอย่างขนาดปริมาตร 50 มลิ ลลิ ิตร ติดฉลากสาหรับเขยี นข้อมลู ตวั อย่าง 3) อาหารเล้ยี งเชือ้ (transport medium) pH 7.4 ปริมาตร 2-3 มิลลิลิตร ซง่ึ มสี ว่ นผสมของ 0.08 M phosphate buffer saline, 1% bovine serum albumin (BSA) และยาปฏิชวี นะ (antibiotics) 4) ถงั ใส่นา้ ยาฆา่ เชอื้ ขนาด 10 ลติ ร จานวน 3 ถงั 5) น้ายาฆา่ เช้อื เช่น speedyn (2.5% w/v Iodophor as iodine) ขน้ั ตอนการเกบ็ ตัวอยา่ ง Probang 1) ควบคมุ สตั ว์ให้นิ่ง ดึงหัวสตั ว์ขึ้นโดยใช้คมี ดงึ จมูก สอดนิว้ เข้าบรเิ วณมมุ ปากเข้าช่องท่ีไมม่ ีฟันบด เข่ียล้นิ เบาๆ สัตวจ์ ะเปดิ ปากออก ให้สอด probang cup (ภาพท่ี 36A) เขา้ ไปบริเวณเหนือโคนลนิ้ (ภาพที่ 36B) สตั วจ์ ะ กลนื ถว้ ยเข้าลาคอโดยอตั โนมัติ 2) ในขณะเดียวกนั ให้ใช้มืออกี ข้างหนงึ่ คลาหาตาแหน่งของคอหอย แลว้ ค่อยๆ สอด probang cup จนสมั ผัส กบั ส่วนบนของหลอดอาหาร 3) ดงึ probang cup ขนึ้ ลงรดู ติดผนังคอหอยเบาๆ ประมาณ 5-10 ครัง้ 4) แล้วคอ่ ยๆ ดงึ probang cup ออกในแนวต้ัง เพ่ือให้แนใ่ จว่า O/P fluid ยังอยู่ขา้ งในถว้ ย 5) เทของเหลวจากถว้ ยลงในหลอดเกบ็ (ภาพท่ี 36C) ท่มี ีอาหารเล้ยี งเชอ้ื โดยอตั ราสว่ นปรมิ าตรของตวั อยา่ ง และ transport medium ท่เี ท่ากัน (1:1) ปดิ ฝาใหส้ นทิ แช่เย็นจัด เชน่ ในนา้ แข็งแห้ง เพ่ือลดปฏิกิรยิ าของ เอนไซม์ lysozyme จากนา้ ลายท่ีอาจทาลายไวรสั ได้ A BC D ภาพที่ 36. วิธีการสอด probang cup เก็บตวั อย่างในโค โดยสอดเข้าทางมมุ ปาก (A) วาง probang cup ในบริเวณคอ หอย รูดข้นึ ลงเบาๆ (B) จากน้นั เทน้าเมือกลงในหลอดเก็บตัวอย่าง (C) และทาความสะอาดอปุ กรณ์ (D) 6) การทาความสะอาด probang cup ท่ใี ช้งานแล้วให้แชล่ งในถงั ตามลาดบั จานวน 3-4 ถงั (ภาพที่ 36D) ดังนี้ - ถงั ท่ี 1 ลา้ งน้าเปล่า - ถังท่ี 2 แช่นา้ ยาฆา่ เชื้อ speedyn อยา่ งน้อย 5 นาที - ถงั ที่ 3 และ 4 ลา้ งด้วยน้าเปล่า กรณีที่อุปกรณ์ probang cup มีจานวนชุดน้อยกว่าสัตว์ที่ต้องการเก็บตัวอย่าง เมื่อแช่น้ายาฆ่าเชื้อแล้ว ควรล้าง probang cup ดว้ ยนา้ เปล่าอยา่ งน้อย 2-3 ครงั้ เพือ่ ล้างนา้ ยาฆ่าเชื้อใหห้ มด การเกบ็ ตัวอยา่ งซีรัมเพื่อตรวจระดับแอนติบอดี และ Non-Structural Protein (NSP) วสั ดุและอุปกรณ์ 1) กระบอกฉีดยาหรอื ไซรนิ จท์ ี่ปลอดเชอ้ื ใชแ้ ล้วทง้ิ (disposable syringe) 2) เขม็ ฉีดยาปลอดเชอ้ื ใชแ้ ลว้ ทง้ิ (disposable needle) 3) สาลชี ุบ 70% อลั กอฮอล์ 4) หลอดปลอดเชือ้ ฝาเกลยี วหรอื จกุ ยางปิดแนน่ สาหรบั เกบ็ เลอื ดและซรี ัม 5) ทว่ี างหลอดเลอื ด (rack) โรคปากและเท้าเปอ่ื ยและการเกบ็ -สง่ ตวั อย่างชันสูตร 30

ข้นั ตอนการเกบ็ ตวั อยา่ งซีรมั 1) บังคบั สัตวใ์ หน้ ิง่ และอยู่ในทา่ ทเี่ หมาะสม 2) ใช้สาลีชบุ อลั กอฮอล์เช็ดบริเวณตาแหน่งทเี่ จาะเลือด (ตารางท่ี 13) 3) ใชเ้ ชอื กรัด (tourniquet) รอบคอหรือใช้นว้ิ กดบรเิ วณดา้ นลา่ งของแนวเส้นเลือดดาบริเวณคอ ในโค กระบือ หรือใบหู/หาง (ภาพที่ 37A, B, C) แพะ แกะ (ภาพที่ 38A, B) และสกุ ร (ภาพท่ี 38C, D) ตามตาแหน่งที่ เหมาะสมของสัตว์แต่ละชนดิ 4) แทงเข็มปักตรงเขา้ ผ่านผนังเส้นเลือดและคอ่ ยๆ วางปลายเข็มตามแนวเส้นเลือด พร้อมทั้งดดู เลอื ดอย่าง ระมัดระวัง ไม่เร็วหรือช้าเกินไป ตารางท่ี 13. ตาแหน่งและขนาดเขม็ ท่ใี ชเ้ ก็บตัวอยา่ งเลอื ดสตั ว์ ชนิดสตั ว์ ตาแหน่งทเี่ จาะเลอื ด เบอร์เข็ม ความยาวเขม็ (นิ้ว) โค เส้นเลอื ดดาทีค่ อ (jugular vein) 16 - 19 1.5 - 2 เสน้ เลือดดาทโ่ี คนหาง (coccygeal vein) แกะ แพะ เสน้ เลือดดาท่ใี บหู (ear vein) 18 - 20 1.5 - 2 สุกร 18 - 20 1.5 - 4 เส้นเลอื ดดาท่ีคอ (jugular vein) 20 1 เส้นเลอื ดดาท่ีบรเิ วณระหว่างคอและหนา้ อกตอนบน (anterior vena cava) เส้นเลือดดาทใ่ี บหู (ear vein) A C B ภาพที่ 37. การเกบ็ ตัวอยา่ งเลอื ดในโคและกระบือจากเสน้ เลือดดาทค่ี อ (A) ใบหู (B) และโคนหาง (C) A BC D ภาพท่ี 38. ตาแหน่งเจาะเลือดดาเทค่ี อในแพะแกะ (A, B) และสกุ รท่ถี ูกบงั คบั ให้คอเหยียดตรง แทงเข็ม (เบอร1์ 8 ยาว 1.5 นว้ิ ขนึ้ ไป) แนวต้งั ฉากกบั บริเวณรอ่ งคอ (C, D) 5) ดูดเลือดช้าๆ (เพ่ือไม่ให้เม็ดเลือดแดงแตกง่าย) ประมาณ 10 มิลลิลิตร จากเส้นเลือดดา คลายเชือกท่ีรัดหรือ ปล่อยนิ้วที่กด แล้วใชส้ าลกี ดผวิ หนงั เบาๆ ประมาณ 5-7 วนิ าที ตรงตาแหนง่ ทด่ี ึงเข็มออก 6) ถอดปลายเข็มออก แล้วดันเลือดประมาณ 1 มิลลลิ ิตรลงในหลอดเกบ็ เลอื ดทม่ี สี ารกนั เลือดแข็งตัว พลิกหลอด กลบั ไปมาเบาๆ (ภาพที่ 39) เพื่อให้เลอื ดผสมกันกับสารปอ้ งกันการแขง็ ตัวของเลือด โรคปากและเทา้ เปอ่ื ยและการเกบ็ -สง่ ตวั อย่างชันสตู ร 31

7) สว่ นเลือดท่ีเหลือนาไปแยกซีรัม (หากใชไ้ ซรินจ์ดดู เลอื ด ควรถ่ายเทลงหลอดเก็บเลือด) โดยวางหลอดเลือดใน แนวเอียง จะทาให้เพ่ิมผิวการแยกชั้นของซีรัมเต็มท่ี (ภาพท่ี 40A) และปล่อยให้เลือดแข็งตัวท่ีอุณหภูมิห้อง ท้ิงไว้อย่างนอ้ ยประมาณ 1 – 2 ชวั่ โมง เพอื่ ให้ซีรัมแยกจากเกล็ดเลือดได้มากท่ีสุด (ภาพที่ 40B) แล้วจึงนาไป เทหรอื ปนั่ แยกซีรมั หลงั เจาะเลือดไม่ควรนาหลอดใส่เลอื ดแช่เยน็ เพราะทาใหไ้ ดซ้ รี ัมปริมาณน้อย AB C ภาพท่ี 40. วิธีแยกซีรัมให้ได้คุณภาพดี โดยวางหลอดเลือดในแนวเอียง ที่อุณหภูมิห้องนาน 1-2 ชั่วโมง (A) จะได้ซีรัม แยกตวั เป็นชน้ั อย่างชัดเจน (B) และลักษณะซรี มั คณุ ภาพดี (C) 8) การแยกซีรัมใส่หลอดใหม่ก่อนป่ัน จะช่วยลดโอกาสเม็ดเลือดแดงแตก (hemolysis) ซึ่งอาจเกิดได้จากหลาย สาเหตุ เช่น เข็มเจาะเล็กเกินไป แรงดันจากการเจาะดูดเลือดเร็ว หรือถ่ายเลือดจากไซรินจ์ โดยไม่ถอดเข็ม เกบ็ เลือดท่อี ุณหภูมิสูง แช่แข็งเลอื ดกอ่ นแยกซีรมั ทงิ้ เลือดไวน้ านก่อนแยกซีรัม หลอดเลือดถูกกระแทก เลือด ปนน้าหรืออัลกอฮอล์ หรือปนเป้ือนแบคทีเรีย จะทาให้ซีรัมแดง ซ่ึงอาจส่งผลกระทบต่อการตรวจวินิจฉัยได้ และอาจทาใหซ้ ีรัมเน่าเสียง่าย หากไม่สามารถเทแยกซีรัม สามารถเก็บตัวอย่างเลือดที่ซีรัมแยกตัวแล้วไว้ที่ 4 องศาเซลเซยี ส ไดไ้ มเ่ กินหนงึ่ คนื อย่างไรก็ตามไม่จาเป็นอย่าปลอ่ ยเลอื ดให้แข็งตัวในกระบอกดูดเลือด (ภาพท่ี 41A) ท่อี าจเกิดความย่งุ ยากในการแยกซรี มั (ภาพที่ 41B) AB ภาพท่ี 41. วธิ ีการแยกซรี มั จากไซรินจ์ (A, B) โรคปากและเทา้ เป่อื ยและการเกบ็ -สง่ ตวั อยา่ งชนั สูตร 32

9) ในกรณีที่แยกซีรัมแล้วมีเม็ดเลือดแดงปนอยู่มาก (ภาพที่ 41B) ควรทาการปั่นเหวี่ยงด้วยเครื่องปั่น 2,000- 3,000 รอบต่อนาที นาน 10-20 นาที ตามแผนภาพท่ี 42 ขวามอื ภาพท่ี 42. ขนั้ ตอนการแยกตวั อยา่ งซีรัมและการรักษาตวั อยา่ งระหวา่ งนาสง่ ห้องปฏิบตั ิการ 10) เม่ือแยกซีรัม (ปริมาณ 2-5 มิลลิลิตร) เหลวใสเหลืองอ่อน (ภาพที่ 40C) บรรจุลงในหลอดท่ีมีฝาเกลียวปิดฝา ใหส้ นิท ควรปดิ ทบั ดว้ ยเทปหรอื แผน่ parafilm เพอื่ ปอ้ งกันตัวอย่างรัว่ ไหล การบง่ ช้ีและบันทึกรายละเอียดส่งิ ส่งตรวจ 1) หลอดเก็บตัวอย่างที่มีฝาจุกที่ปิดแน่นสนิท พันทับด้วยเทปกันการร่ัวไหล (ภาพท่ี 44A) ควรเช็ดทาความ สะอาดรอบขวดหรอื หลอดหรือภาชนะบรรจุตัวอยา่ งดว้ ยน้ายาฆ่าเชือ้ เพือ่ ป้องกันการปนเปื้อนและซับให้แห้ง 2) ตดิ ฉลากหมายเลขหรือรหสั เครือ่ งหมายหรอื ระบชุ อ่ื แยกรายตวั เพ่ือบ่งช้ีตัวอย่าง (labeling) แยกแยะตัวอย่าง สัตว์แต่ละตัว เขียนด้วยปากกาหมึกถาวรกันน้าบนขวดหรือหลอดเก็บ ตัวอย่างต้องชัดเจน (ให้เชื่อมโยงหรือสอดคล้องกับรายละเอียดในใบนาส่ง ตัวอยา่ ง สามารถระบุสงิ่ ส่งตรวจไดอ้ ยา่ งถูกต้อง) แล้วปดิ ทบั ฉลากด้วยเทปใส กันน้าซึม ป้องกนั การลบเลือนหรือลอกหลุด 3) บันทึกข้อมูลรายละเอียดสาคัญและเกี่ยวข้อง (ภาพท่ี 43) ได้แก่ หมายเลข ตัวอย่าง ช่ือและหมายเลขสัตว์ ชนิด ประวัติสัตว์ การเคล่ือนย้ายสัตว์ วันที่ นาเข้าสัตว์ใหม่ วันทีส่ ัตวเ์ ร่มิ ป่วย/ตาย จานวน/ป่วย/ตาย วันที่ฉีดวัคซีนล่าสุด ภาพที่ 43. บันทึกขอ้ มูลสง่ิ ส่งตรวจ ชนิดและชุดวัคซีน อาการป่วย รอยโรค การรักษา ชื่อเจ้าของ ที่อยู่ โทรศัพท์ วันท่ีเก็บตัวอย่าง ชนิดส่ิงส่ง ตรวจ ฯลฯ ตามแบบรายละเอียดส่ิงส่งตรวจโรคปากและเท้าเปื่อย (ภาคผนวกท่ื 1) ให้ครบถ้วน หากถ่ายรูป รอยโรคได้สามารถแนบมาพร้อมด้วยจะย่งิ เป็นประโยชน์ในการชนั สตู รและแปรผล 4) ระบุจุดประสงค์หรอื กจิ กรรมดาเนินการ เช่น ชนั สตู ร ทดสอบโรค ตรวจสุขภาพ โครงการวจิ ยั เป็นต้น การจัดสง่ ตวั อย่างเพ่ือตรวจหาไวรสั โรคปากและเท้าเป่ือย การจัดส่งตัวอย่างไปยังห้องปฏิบัติการต้องดาเนินการตามหลักของความปลอดภัยทางชีวภาพ (biosafety) เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการร่ัวไหลของเช้ือ และเป็นการรักษาคุณภาพของตัวอย่างต้ังแต่ต้นทางจนถึง ห้องปฏิบตั กิ ารปลายทาง การบรรจุภณั ฑ์และเอกสารนาสง่ ตัวอย่าง ต้องเป็นไปตามข้อปฏิบตั ิความปลอดภัยในการ ส่งสินค้าและการขนส่งสินค้าอันตราย เพ่ือให้ม่ันใจว่าการนาส่งตัวอย่างที่มีคุณภาพถึงห้องปฏิบัติการ ผู้ส่งควร ดาเนินการดงั ตอ่ ไปนี้ 1) ส่งิ ส่งตรวจไวรัสทกุ ชนดิ (เนอ้ื เยือ่ เลือด ซีรมั และสวอป) ไมค่ วรใหถ้ กู แสงแดด โรคปากและเทา้ เป่ือยและการเกบ็ -สง่ ตัวอย่างชนั สูตร 33

2) หลอดหรือขวดเก็บตัวอย่างไวรัสใน 50% glycerin buffer ซึ่งได้ติดฉลากระบุรายละเอียดของตัวอย่าง เรียบร้อยแล้ว จะต้องห่อหุ้มด้วยวัสดุที่สามารถซับของเหลวเพ่ือป้องกันการปนเปื้อนและกันกระแทก แล้วจึง บรรจลุ งในกระบอกหรอื ภาชนะทมี่ ฝี าเกลยี วปดิ สนิทอย่างน้อยสองถงึ สามชน้ั (ภาพที่ 44B-D) ก. กรณีนาส่งห้องปฏิบัติการภายในประเทศ บรรจุขวดตัวอย่างท่ีห่อหุ้มด้วยกระดาษซับหลายช้ัน ลงใน กล่องพัสดทุ ี่แข็งแรง (ภาพท่ี 44C) จัดส่งทางไปรษณยี ์เร่งดว่ น (EMS) ใหถ้ ึงห้องปฏิบตั กิ ารโดยเรว็ ท่ีสดุ ข. กรณีส่งตรวจต่างประเทศ จะต้องใช้บรรจุภัณฑ์ท่ีผ่านการรับรองมาตรฐาน (ภาพที่ 44D, E, F, G) ตาม เกณฑ์กาหนดของสหประชาชาติ (The United Nation; UN) โดยเฉพาะกรณีตัวอย่างติดเชื้อ ตาม กาหนดการบรรจุภัณฑ์วัตถุอันตรายของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (The International Air Transport Association; IATA) หรือเทียบเท่า มีเคร่ืองหมายแสดงหรือบ่งชี้เป้าประสงค์ตามแบบ บรรจภุ ณั ฑ์มาตรฐานสากลของ IAEA (ภาพที่ 44F, G) AB C D EF G Aภาพท่ี 44. ตัวอยา่ งเนอื้ เย่ือ (A) และภาชนะสาหรบั บรรจุ อยา่ งน้อยสองชัน้ (B, C, D) ก่อนใสล่ งในบรรจภุ ณั ฑม์ าตรฐาน (D, E, F, G) ค. กรณีตัวอยา่ ง probang เมอ่ื ตดิ ฉลากหมายเลขตัวอย่างแล้วให้แยกใส่ถุงมัดปากถุงให้แน่น (ภาพที่ 45A) และรวมบรรจุในถุงพลาสติกใหญ่อีกชั้น (ภาพที่ 45B) ผนึกปากถุงให้สนิทเพ่ือป้องกันน้าซึมเข้าในถุง ก่อนบรรจุลงในกระติกหรือกล่องโฟมที่มีน้าแข็งแห้งบรรจุอยู่ (ภาพที่ 45C) นาส่งตรวจทาง หอ้ งปฏิบัติการโดยรวดเรว็ ทส่ี ุดภายใน 12-24 ชว่ั โมง A BC ภาพท่ี 45. วิธีการบรรจุหลอดเกบ็ ตวั อยา่ งใส่ถุงพลาสตกิ แยกรายตวั อยา่ งในกล่องภาชนะ (A) แล้วใส่ถงุ พลาสตกิ มดั ปากถงุ ให้แนน่ (B) รวบรวมเกบ็ ในกล่องเก็บความเย็นเพ่ือนาส่งห้องปฏิบัตกิ าร (C) โรคปากและเท้าเปื่อยและการเก็บ-สง่ ตวั อยา่ งชนั สตู ร 34

3) กรณีเป็นหลอดเก็บซีรัม หลังจากติดฉลากระบุรายละเอียดของตัวอย่างเรียบร้อยแล้ว ให้รวบรวมใส่ใน ถุงพลาสติก (ไม่ควรเกิน 50 ตัวอย่างต่อถุง) เรียงตามลาดับเลขท่ีตัวอย่าง รีดปิดหรือรัดปากถุงให้สนิท หรือมัด ปากถุงให้แน่น เขียนลาดับของซีรัมที่มีอยู่ในถุง แล้วรวมถุงบรรจุในถุงพลาสติกใหญ่ มัดปากถุงให้แน่น เพื่อ ป้องกันน้าซึมเข้าในถุง (ภาพท่ี 46A) ก่อนบรรจุลงในกระติกหรือกล่องโฟมท่ีมีน้าแข็งหรือ ice pack บรรจุอยู่ เพ่ือรักษาคุณภาพของตัวอย่าง ผนึกฝากล่องด้วยเทปกาวให้แน่น (ภาพท่ี 46B, C) กรณีไม่สามารถนาส่ง ห้องปฏิบัติการได้ทันที ใหเ้ ก็บในตแู้ ช่แข็ง (-20°C) ท้ังนเี้ พื่อเป็นการเกบ็ รกั ษาคณุ ภาพซีรัมให้คงท่ีตลอดการขนส่ง จนถงึ ห้องปฏบิ ตั กิ าร โดยแนบรายละเอียดของตัวอย่างบนฝาหรือดา้ นขา้ งกระติกหรอื กลอ่ งโฟม AB ภาพที่ 46. การบรรจุตวั อยา่ งซรี ัมเรยี งตามลาดับ ใสถ่ ุง ในกลอ่ งโฟมท่ีมีแพคน้าแข็งรักษาความเยน็ (A) และ ปดิ ฝาผนึกด้วยเทปกาวอยา่ งแน่นหนา (B) 4) ปิดฉลากด้านนอกกล่องบรรจภุ ัณฑอ์ ย่างถกู ตอ้ ง ระบุแจง้ ความเร่งด่วนพรอ้ มบนั ทกึ ประวตั สิ ตั ว์ป่วย 5) ส่งตัวอย่างให้ถึงห้องปฏิบัติการเร็วท่ีสุดโดยเส้นทางตรงที่สุด พร้อมเบอร์โทรศัพท์/Email/โทรสารให้ หอ้ งปฏบิ ัติการปลายทางเพื่อยนั ยนั การไดร้ บั ตัวอย่างแลว้ 6) แจ้งห้องปฏิบัติการในการส่งตัวอย่างล่วงหน้าเสมอ ระบุวิธีการนาส่งตัวอย่าง เช่น รถโดยสาร ไปรษณีย์ เครอื่ งบนิ รถยนต์ โดยระบรุ ายละเอียดให้พร้อม ไดแ้ ก่ เทีย่ วบิน เทยี่ วรถ บรษิ ทั เวลาออก เวลาท่ีคาดว่าจะไปถึง บุคคลหรือสถานที่ที่จะติดต่อรับตัวอย่าง พร้อมแนบเอกสารสาเนาแบบรายละเอียดส่ิงส่งตรวจฯ รูปตัวอย่าง หรอื package สง่ ทาง Email: [email protected] หรือทางโทรสาร 044-314889 ชนิดตัวอยา่ งที่เก็บและวิธีการตรวจวนิ ิจฉยั โรคปากและเท้าเปื่อย รายละเอียดดังตารางท่ี 14 ตารางท่ี 14. ชนิดตวั อย่างทเี่ กบ็ และวิธกี ารตรวจวินจิ ฉยั โรคปากและเทา้ เปื่อย ชนิดตวั อย่าง สารและภาชนะเก็บสง่ ตวั อยา่ ง วิธกี ารตรวจ  เนอื้ เย่อื /ของเหลวจากตุม่ พอง 50% glycerin buffer/transport PCR, Antigen ELISA,  ปา้ ยสวอปจากคอ ในปาก และจมูก medium เช่น phosphate Virus isolation  Probang buffered gelatin saline (PBGS)  ซรี มั กอ้ นเลือด หลอด PCR, Antibody LP ELISA  เน้ือเยอ่ื อวัยวะ 10% formalin Immunohistochem โรคปากและเทา้ เปื่อยและการเก็บ-สง่ ตวั อย่างชันสูตร 35

ภาคผนวกที่ 1 แบบรายละเอยี ดสงิ่ สง่ ตรวจโรคปากและเทา้ เป่อื ย *วนั ท่ีเกบ็ ตัวอยาง ....../......../....... วนั ที่สง่ ตัวอยาง ....../......../....... วนั ทีร่ บั ตัวอยาง ....../......../....... เลขที่ตัวอยาง ...................... ชอื่ เจาของ/ฟาร์ม.......... .............. .............. .............. .............. ชอื่ ผูสง...................................................................................... เลขที่......หม.ู่ .....ตาบล..................อาเภอ ...............จงั หวัด..... ..................... เลขท่ี......หม.ู่ ...ตาบล................อาเภอ ...............จังหวัด..... .............. โทร...................................................... มอื ถือ... .............. โทร............................................. มอื ถือ... .............. พิกดั .............. .............. .............. ............. .............. .............. Email address.......................................................................................... ชนดิ สัตว ( ) โคเนอื้ ( ) โคนม ( ) กระบอื ( ) สกุ ร ( ) แพะ ( ) แกะ ( ) อืน่ ๆ ................................... สงิ่ สง่ ตรวจ ( ) เยื่อแผล ล้ิน/เหงอื ก/กีบ/จมูก/อน่ื ๆ.............. ( ) ซีรัม…………ตย ( ) Swab...........ตย ( ) Nasal ( ) อืน่ ๆ....... วันเกบ็ *...../....../..... ( ) นา้ ใส จมูก/ปาก/หวั นม/อน่ื ๆ.................. ( ) เลอื ด........ตย ( ) probang.......ตย ( ) Throat ……….....ตย ประวัตกิ ารนาเขา ( ) สัตวทมี่ ีอยูเดมิ …………..ตัว ( ) นาเขาใหม.่ ........ตวั จาก.................................... เมอ่ื ......../............/......... ประวตั วิ ัคซีน.... .. ครง้ั ( ) ลา่ สุดเม่ือ ...../............/....... ชนิดวคั ซนี ( ) สามชนิด ( ) สองชนดิ ( ) ชนดิ เดียว... ชดุ ที่ .............. พืน้ คอก แห้ง แฉะ ( ) สะอาดดี ( ) พอใจ ( ) ตอ้ งปรับปรุง โรคท่ีเคยระบาด ( ) ไมม่ ี ( ) มี ( ) ระยะเวลา........ เดือน..........วนั จัดการ /โรงเรือน ( ) ปล่อยสาธารณะ ( ) ยนื โรง ( ) กึ่งขงั กงึ่ ปล่อย ( ) ระบุ ..........โรงเรอื นอนบุ าล........................................................................... จานวนสตั วท้ังฟารม/ฝูง.... ............ตวั **เรม่ิ ปวยวนั แรก......./......./...... รวมปวย ............ตัว. ตาย ……..ตัว อายตุ ัวท่ีตาย........ปี ........เดือน กรณสี ่ิงส่งตรวจจากสัตว์ปว่ ยมหี ลากหลายรายการทมี่ ีประวตั ิและรายละเอยี ดแตกตา่ ง ให้บันทึกตามตาราง หมายเลขสัตว์ สงิ่ ส่งตรวจ ชนดิ สตั ว์ อายุ เพศ **วนั ที่เร่ิมปว่ ย อาการ/วกิ ารทพ่ี บ *วนั ทเี่ ก็บตัวอยา่ ง ...../............/......... ...../............/......... ...../............/......... ...../............/......... ...../............/......... ...../............/......... ...../............/......... ...../............/......... ...../............/......... ...../............/......... กรณีส่ิงสง่ ตรวจเปน็ ซีรัมให้บนั ทกึ ตามตารางข้างลา่ ง ใหบ้ นั ทึกตามตาราง หมายเลข วคั ซนี ครงั้ ก่อน ชนดิ สัตว์ อายุ เพศ วคั ซีนครง้ั ล่าสดุ ชดุ วคั ซีน เก็บตัวอย่าง ...../............/......... ...../............/......... ...../............/......... ...../............/......... ...../............/......... ...../............/......... ...../............/......... ...../............/......... ...../............/......... ...../............/......... ...../............/......... ...../............/......... ...../............/......... ...../............/......... ...../............/......... ...../............/......... ...../............/......... ...../............/......... ...../............/......... ...../............/......... ...../............/......... โปรดบนั ทกึ **วนั ทีเ่ ริ่มป่วย และ*วนั ที่เก็บตัวอย่าง ทกุ คร้งั โรคปากและเท้าเป่อื ยและการเกบ็ -สง่ ตัวอยา่ งชันสูตร 36

ภาคผนวกที่ 2 ส่งิ ส่งตรวจและห้องปฏบิ ตั ิการวินจิ ฉัยโรคปากและเท้าเปือ่ ย ตัวอย่างเนือ้ เยอ่ื ศูนย์อ้างองิ โรคปากและเท้าเปื่ อยฯ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา 30130 ศูนย์วจิ ัยและพฒั นาการสัตวแพทย์ ลาปาง พษิ ณุโลก ราชบุรี ตัวอย่างซีรัม ศูนย์วจิ ัยและพฒั นาการสัตวแพทย์ประจาภูมิภาคต่างๆ สถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ การรายงานผลการตรวจวินิจฉัย 1) แจง้ ผลโดยเอกสาร 2) กรณมี ีข้อสงสยั สามารถติดต่อกลบั ท่ี หมายเลขโทรศัพท์: 044-279112. Email address: [email protected] กรณที ี่ห้องปฏบิ ัตกิ ารจาเปน็ ต้องปฎิเสธรับสิง่ สง่ ตรวจ หอ้ งปฏบิ ัติการอาจจาเปน็ ต้องปฏิเสธรับสิ่งส่งตรวจ หรอื ไม่สามารถรบั ประกนั ผลการชันสตู รได้ กรณสี ิง่ ส่งตรวจไมผ่ ่านการประเมนิ ตัวอย่างเบือ้ งตน้ ดังน้ี 1) ไมม่ ีเอกสารหรือรายละเอยี ดมาพร้อมสง่ิ ส่งตรวจ และไม่สามารถตดิ ต่อกลับผ้สู ่งตวั อย่างได้ 2) ข้อความบนฉลากหรือบนภาชนะบรรจตุ ัวอยา่ งไม่ชดั เจน หรือไม่สอดคล้องกับรายการหรือละเอียดในเอกสาร หรอื ขอ้ มลู ในเอกสารไม่ครบถ้วน 3) สิง่ ส่งตรวจมีปริมาณน้อยไม่เพียงพอ หรือคณุ ภาพไม่เหมาะสม เชน่ ขุย ตะกอน ขนุ่ แดง หนอง เหนยี ว หนืด เนา่ มกี ลนิ่ เหมน็ มีน้ายาฆา่ เชื้อ หรือมีการรัว่ ซมึ ของส่ิงสง่ ตรวจซ่ึงอาจเป็นผลทาให้การทดสอบคลาดเคลอ่ื น 4) ภาชนะบรรจุภัณฑ์ไม่อยู่ในสภาพสมบรู ณ์ เชน่ แตก หัก บิดเบีย้ ว เปน็ ต้น 5) สง่ิ สง่ ตรวจใชเ้ วลาขนสง่ มายังหอ้ งปฏบิ ัติการนานเกนิ ไป 6) ชนิดของส่งิ สง่ ตรวจไมเ่ หมาะสมกับการตรวจวเิ คราะห์ หรอื เกบ็ ในน้ายารกั ษาสภาพที่ไม่เหมาะสม โรคปากและเท้าเปือ่ ยและการเกบ็ -สง่ ตัวอย่างชันสูตร 37

ภาคผนวกที่ 3 ห้องปฏิบัตกิ ารและสถานทต่ี ั้ง โรคปากและเทา้ เป่อื ยและการเกบ็ -สง่ ตวั อย่างชนั สูตร 38

เอกสารอา้ งองิ ชิต ศิริวรรณ์ และ ประทีป เปมะโยธิน. 2536. โรคปากและเท้าเปื่อยไทป์โอในช้างไทย: ประมวลเร่ืองการประชุม วิชาการปศุสัตว์. ครั้งท่ี 12. ประจาปี 2536. ระหว่างวันท่ี 21-24 กรกฎาคม 2536. ณ โรงแรมเมเล่ย์ อ. หวั หิน. ประจวบครี ขี นั ธ:์ กรมปศุสัตว์. กระทรวงเกษตรและสหกรณ.์ หนา้ 237-241. วิไล ลินจงสุบงกช, อนุโรจน์ ภู่ศิริมงคล, สมเกียรติ เพชรวาณิชกุล และ ร่มพฤกษ์ อุดล. 2544. ศึกษาระดับ แอนติบอดีที่ให้ความคุ้มโรคในโคและสุกร ภายหลังการฉีดวัคซีนโรคปากและเท้าเป่ือยโดยวิธี ลิควิดเฟส บล็อคกิงอีไลซา. รายงานฉบับพิเศษ การเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา. ปีที่ 7 ฉบับพิเศษ กันยายน 2544. กองควบคมุ โรคระบาด. กรมปศุสตั ว์. หนา้ 2-11. วิไล ลินจงสุบงกช. 2545. โรคปากและเท้าเป่ือย. ใน: เอกสารประกอบการประชุมสัมมนาเพิ่มประสิทธิภาพการ ทางานด้านสขุ ภาพสตั ว์ 31 มีนาคม–6 เมษายน 2545. โรงแรมรอยัลซติ ้ี กรงุ เทพฯ กองผลิตชีวภัณฑ์ กรม ปศุสัตว์. วันทนีย์ กัลล์ประวิทธ์. 2541. ระบาดวิทยาและการควบคุมโรคปากและเท้าเป่ือย. การประชุมเพ่ือเพ่ิม ประสทิ ธิภาพการควบคุมโรคปากและเท้าเปือ่ ย เขต 9 จ.สงขลา. สมเกยี รติ เพชรวาณชิ กุล และ ลักษณา นิลฉวี. 2542. เปรียบเทียบระดับแอนติบอดีของแพะอายุ 3 เดือน ที่ได้รับ วคั ซนี โรคปากและเทา้ เปื่อยในขนาดตา่ งกัน. วารสารชวี ผลิตภัณฑ์ 9. (1-2): 36-44. สมใจ ศรีหาคิม และ นพดล มีมาก. 2535. การวิเคราะห์ทางระบาดวิทยาโรคปากและเทาเปื่อยโคกระบือใน ประเทศไทยและมาตรการป องกันและควบคุมโรค. ศูนย์ วิจัยและชันสูตรโรคสัตว์ ภาค ตะวันออกเฉยี งเหนอื . กรมปศุสตั ว. ขอนแกน. สานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. 2558. พระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558. [Online]. Available: http://aqi.dld.go.th/th/images/stories/document/act2558.pdf. Accessed May 15, 2016. Alexandersen, S., Oleksiewicz, M.B. and Donaldson, A.I. 2001. The early pathogenesis of foot- and-mouth disease in pigs infected by contact: a quantitative time-course study using TaqMan RT-PCR. Journal General of Virology. 82: 747–755. Alexandersen, S., Zhang, Z., Donaldson, A.I. and Garland, A.J. 2003. The pathogenesis and diagnosis of foot-and-mouth disease. Journal of Comparative Pathology. 129: 1–36. Arzt, J., Baxt, B., Grubman, M.J., Jackson, T., Juleff, N. et al. 2011. The pathogenesis of foot-and- mouth disease II: viral pathways in swine, small ruminants, and wildlife; myotropism, chronic syndromes, and molecular virus-host interactions. Transbound Emerg Dis. 58: 305–326. Ashford, D.A. 2016. Overview of Foot-and-Mouth Disease Merck vet manual. [Online]. Available: http://www.merckvetmanual.com/generalized-conditions/foot-and-mouth- disease/overview-of-foot-and-mouth-disease. Accessed May 15, 2016. AUSVETPLAN. 2000. The Australian Veterinary Emergency Plan, Disease strategy, Foot-and-mouth Disease. Common wealth of Australia/States/Territories. [Online]. Available: http:// www. aahc.com.au/ausvetplan/index.html. Accessed May 15, 2016. โรคปากและเท้าเป่อื ยและการเก็บ-สง่ ตวั อยา่ งชนั สตู ร 39

AVIS, 2002. Foot and Mouth Disease. [Online]. Available: http://www.aleffgroup.com/avisfmd. Accessed May 15, 2016. Bachrach, H.L. 1968. Foot-and-Mouth Disease. In: Annual Reviews of Microbiologym, Clifton, C.E. (ed.). Ann. Reviews Inc. Palto Alto, Cal., 22: 201-244. Bannister, B. and Begg, N.T. 1990. Virus vaccines and antisera. In: Parker, M.T. and Collier, L.H. (ed.). Topley and Wilson's principles of bacteriology, virology and immunity. B.C. Decker Inc., Philadelphia. 8thed. 4: 186. Buenz, E.J. and Howe, C.L. 2006. Picornaviruses and cell death. Trends Microbiol. 14 (1): 28-36. Chaisrisongkram, W. 1993. An overview of Foot and mouth disease control in Thailand. ACIAR Proceeding. 51: 23-25. Clavijo, A., Wright, P. and Kitching, P. 2004. Developments in diagnostic techniques for differentiating infection from vaccination in foot-and-mouth disease. Vet J. 167(1): 9-22. Donaldson, A.I. and Kitching, R.P. 1989. Transmission of foot-and-mouth disease by vaccinated cattle following natural challenge. Research in Veterinary Science. 46: 9-14. Donaldson, A.I. and Alexandersen, S. 2002. Predicting the spread of foot-and-mouth disease by airborne virus. Rev Sci Tech Off IntEpiz. 21(3): 569-575. Food and Agriculture Organization. (FAO). 2016. EuFMD-Real Time Training-Foot-and-Mouth Disease. [Online]. Available: http://www.fao.org/fileadmin/user_upload/eufmd/Training/ KenyaManualJan2016.pdf. Accessed May 15, 2016. Fracastorius, H. 1546. De sympathia et antipathiarerum liber unus. De contagione et contagiosis morbis et eorum curatione liber I, Venice, Heirs of L. A. Junta. In: Foot and Mouth Disease Virus, Mahy, B.W.J. (ed). Introduction and history of Foot-and-Mouth Disease Virus. Springer-Verlag. USA. CTMI (2005) 288:1-8. p. 2. Gale, P. 2002. Risk Assessement: Use of Composting and Biogas Treatment to Dispose of Catering Waste Containing Meat. Final Report to the Department for Environment, Food and Rural Affairs. UK.May 2002. [Online]. Available: http://www.defra.gov.uk/animalh/by- prods/publicat/reports.pdf. Accessed May 15, 2016. Ganter, M., Graunke, W.D., Steng, G. and Worbes, H. 2001. Foot and mouth disease in sheep and goats. Dtsch Tierarztl Wochenschr. 108 (12): 499-503. Government Accountability Office. (GAO). 2002. Foot and Mouth Disease, To Protect U.S. Livestock, USDA Must Remain Vigilant and Resolve Outstanding Issues. GAO Report, Washington, D.C., GAO-02–808. 110p. Geering, W.A., Roeder, P.L. and Obi, T.U. 1999. Manual of the Preparation of National Animal Disease, Emergency Preparedness Plans. FAO, Rome. 91p. Grubman, M.J. and Baxt, B. 2004. Foot-and-mouth disease. Clinical Microbiology Review. 17(2): 465-493. โรคปากและเท้าเปื่อยและการเก็บ-สง่ ตัวอย่างชันสูตร 40

Hammond, J.M. 2012. OIE/FAO FMD Reference Laboratory Network Annual Report 2011. [Online]. Available: http://www.wrlfmd.org/ref_labs/fmd_ref_lab_reports.htm. Accessed May 15, 2016. Hughes, G.J., Mioulet, V., Kitching, R.P., Woolhouse, M.E.J., Alexandersen, S. and Donaldson, A.I. 2002. Foot-and-mouth disease virus infection of sheep: implications for diagnosis and control. Vet Rec. 150:724-727. Jamal, S.M. and Belsham, G.J. 2013. Foot-and-mouth disease: past, present, and future. Veterinary Research. 44: 116. Jackson, T., King, A.M.Q., Stuart, D.I. and Fry, E. 2003. Structure and receptor binding. Virus Res. 91: 33-46. Kitching, R.P. 2002. Clinical variation in foot-and-mouth disease: Cattle. Rev.Sci.Tech. Off.Int.Epiz. 21(3): 499-504. Kitching, R.P. and Salt, J.S. 1995. The interference by maternal-derived antibody with active immunization of farm animals against foot-and-mouth disease. Br Vet J. 151: 379-389. Kowalski, W.J. and Bahnfleth, W.P. 1998. Airborne respiratory diseases and mechnical systems for control of microbes. [Online]. Available: http://www.engr.psu.edu. Accessed May 15, 2016. Loeffler, F. and Frosch, P. 1897. Summarischer Berichtuber die Ergebnisse der Untersuchungenzur Erforschung der Maul- und Klauenseuche. Zentbl. Bakteriol. Parasitenkd. Abt. I 22: 257-259. In: Foot and Mouth Disease Virus, Mahy, B.W.J. (ed). Introduction and history of Foot-and-Mouth Disease Virus. (Abstract) Springer-Verlag. USA. CTMI (2005) 288:1-8. p. 2. Mason, P.W., Rieder, E. and Baxt, B. 1994. RGD sequence of foot-and-mouth disease virus is essential for infecting cells via the natural receptor but can be by passed by an antibody dependent enhancement pathway. Proc. Natl. Acad. Sci. 91: 1932-1936. Mann, J.A. and Sellers, R.F. 1989. Foot-and-mouth disease virus. In: M.B. Pensaert (ed.). Virus infections of Porcines. Elsevier, Amsterdam. p. 251-258. Mann, J.A. and Sellers, R.F. 1990. Foot-and-mouth disease virus. In: Z. Dinter and B. Morein (ed.). Virus infections of Ruminants. Elsevier, Amsterdam. p. 503-512. McKenna, T.S., Lubroth, J., Rieder, E., Baxt, B. and Mason, P.W. 1995. Receptor-binding site deleted foot-and-mouth disease (FMD) virus protects cattle from FMD. J. Virol. 69: 5787- 5790. Murphy, C., Bashiruddin, J.B., Quan, M., Zhang, Z. and Alexandersen, S. 2010. Foot-and-mouth disease viral loads in pigs in the early, acute stage of disease. Vet. Rec. 166: 10–14. Office International des Epizooties. (OIE). 2011. Terrestrial Animal Health Code. Chapter 8.5. FOOT AND MOUTH DISEASE. [Online]. Available: http://www.oie.int/eng/A_FMD2012/ docs/en_chapitre_1.8.5.pdf. Accessed June 15, 2016. โรคปากและเทา้ เปอ่ื ยและการเก็บ-สง่ ตวั อย่างชนั สตู ร 41

Office International des Epizooties. (OIE). 2013. Foot and Mouth Disease. [Online]. Available:http://www.oie.int/fileadmin/Home/eng/Animal_Health_in_the_World/docs/pdf /Disease_cards/FOOT_AND_MOUTH_DISEASE.pdf. Accessed May 15, 2016. Pharo, H.J. 2002. Foot-and-mouth disease: an assessment of the risks facing New Zealand. N Z Vet J. 50(2): 46-55. Salt, J.S. 1993. The carrier state in foot-and-mouth disease-An immunological review. Br Vet J. 149: 207-223. Sattar, S.A., Bhardwaj, N. and Ijaz, M.K. 1997. Chapter 3.2.7: Airborne viruses. In: C.J. Hurst. Manual of Environmental Microbiology. 4th (ed.). American Society for Microbiology Press, Washington D.C. p. 682-689. Sellers, R.F. 1971. Quantitative aspects of the spread of foot- and -mouth disease. Vet Bulletin. 41: 431-439. Smith, M.C. and Sherman, D.M. 1994. Goat Medicine. Lea & Febiger, Philadelphia. p. 81-82. Stetzenbach, L. 1997. Introduction to aerobiology. In: C.J. Hurst. Manual of Environmental Microbiology. ASM Press, Washington D.C. p. 619-624. Sutmoller, P., Barteling S.S., Olascoaga R.C. and Sumption, K.J. 2003. Control and eradication of foot-and-mouth disease. Virus research. 91 (1): 101-44. Sutmoller, P., McVicar J.W. and Cottral, G.E. 1968. The epizootiological importance of foot-and- mouth disease carriers. I. Experimentally produced foot-and-mouth disease carriers in susceptible and immune cattle. Arch fur ges Virusforsch. 23: 227-235. Thomson, G.R., Vosloo, W. and Bastos, A.D. 2003. Foot and mouth disease in wildlife. Virus Res. 91: 145-161. Watkins, R. 2001. Vaccination against viral disease as applied to foot-and-mouth disease. ELM farm research center. [Online]. Available: http://www.pighealth.com. Accessed May 15, 2016. Woodbury, E.L. 1995. A review of the possible mechanisms for the persistence of foot-and- mouth disease virus. Epidemiol Infect. 114: 1-13. โรคปากและเทา้ เปอ่ื ยและการเกบ็ -สง่ ตวั อย่างชนั สูตร 42

ชื่อหนังสอื : โรคปากและเทา้ เปอื่ ยและการเกบ็ -สง่ ตวั อยา่ งชนั สูตร ทะเบยี นผลงานวิชาการ หมายเลขที่: 6 0 ( 2 ) - 0 1 1 5 - 0 5 5 โรคปากและเท้าเป่อื ยและการเกบ็ -สง่ ตวั อยา่ งชนั สตู ร 43