Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม

คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม

Published by chalardpalas2561, 2020-05-26 03:07:17

Description: คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม

Search

Read the Text Version

หน่วยที่ 1 ความรเู้ กี่ยวกับคอมพวิ เตอร์และอุปกรณโ์ ทรคมนาคม หนว่ ยท่ี 1 ความรเู้ กย่ี วกบั คอมพวิ เตอรแ์ ละอปุ กรณ์โทรคมนาคม ความหมายของคอมพวิ เตอร์ คอมพิวเตอร์ หมายถึง เครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างข้ึนเพ่ือใช้ทางานแทนมนุษย์ ในด้านการคิด คานวณและสามารถจาข้อมูลท้ังตัวเลข และตัวอักษรได้เพื่อการเรียกใช้งานใน ครั้งต่อไป นอกจากน้ียังสามารถ จัดการกับสัญลักษณ์ได้ด้วยความเร็วสูงโดยปฏิบัติตามขั้นตอน ของโปรแกรม คอมพิวเตอร์ยังมีความสามารถใน ด้านต่าง ๆ อีกมาก เช่น การเปรียบเทียบทาง ตรรกศาสตร์ การรับส่งข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลในตัวเครื่องและ สามารถประมวลผลจากขอ้ มูล ต่าง ๆ ได้ ระบบคอมพวิ เตอร์ ระบบคอมพิวเตอร์ คือ องค์ประกอบหลักที่จะทาให้เคร่ืองคอมพิวเตอร์สามารถทางาน ได้อย่างสมบูรณ์ ถ้าขาดองค์ประกอบส่วนใดส่วนหนึ่งคอมพิวเตอร์ก็ไม่สามารถท่ีจะทางานได้ ระบบของคอมพิวเตอร์นี้ประกอบไป ด้วยองคป์ ระกอบหลกั ทส่ี าคญั 3 สว่ น คือ 1) ฮาร์ดแวร์ (Hardware) คือ อุปกรณ์หรือช้ินส่วนของคอมพิวเตอร์ ที่มีวงจรไฟฟ้า อยู่ภายในเป็นส่วน ใหญ่ สามารถจับต้องได้ เช่น กล่องซีพียู (Case) จอภาพ (Monitor) แป้นพิมพ์(Keyboard) เมาส์ (Mouse) เครอื่ งพมิ พ์ (Printer) เคร่อื งสแกนภาพ (Scanner) เปน็ ตน้ 2) ซอฟต์แวร์ (Software) คือ โปรแกรมหรือชุดคาส่ังทาหน้าท่ีควบคุมให้ฮาร์ดแวร์ และเครื่อง คอมพิวเตอร์ทางานตามผู้ใช้ต้องการ ซอฟต์แวร์จะถูกบรรจุอยู่ในส่ือหรือวัสดุที่ใช้ในการเก็บข้อมูล เช่น ฮาร์ดดิสก์ ซีดรี อม ดวี ีดีรอม แฮนดไี้ ดรฟ์ เปน็ ต้น 3) พีเพิลแวร์ (People ware) คือ บุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทางานของเคร่ือง คอมพิวเตอร์ เช่น ผู้จัดการระบบ (System Manager) นักวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) ผู้เขียนโปรแกรม (Programmer) ผใู้ ช้โปรแกรม(User) เปน็ ตน้ องคป์ ระกอบคอมพวิ เตอร์ องค์ประกอบคอมพิวเตอร์ คือ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ท่ีนามาประกอบกันแล้วจะได้ คอมพิวเตอร์ที่สมบูรณ์ 1 เคร่ือง ประกอบด้วยองค์ประกอบทีส่ าคญั หลายสว่ นดงั นี้ 1. กล่องซีพียู (Case) เป็นองค์ประกอบคอมพิวเตอร์ที่สาคัญมาก ภายในบรรจุแผง เมนบอร์ด แหล่งจ่ายไฟ และหน่วยความจาต่างๆ เช่น รอม แรม ฮาร์ดดิสก์ ดิสก์ไดร์ฟ และ ซีดีรอม เป็นต้น ท่ีเรียกว่ากล่อง ซีพียูเพราะภายในเคร่ือง บริเวณแผงเมนบอร์ดเป็นที่ติดตั้งซีพียู (CPU) ซ่ึงถือว่าเป็นมันสมองของเคร่ือง คอมพิวเตอร์ 2. แป้นพิมพ์ (Keyboard) คืออุปกรณ์ที่ใช้ในการพิมพ์ข้อมูลเข้าสู่เคร่ืองคอมพิวเตอร์ เพ่ือส่งให้หน่วย ประมวลผลข้อมูลกลาง (CPU) ทาการประมวลผล แปน้ พิมพจ์ ัดเปน็ อุปกรณ์ ด้านหนว่ ยปอ้ นข้อมลู (Input Unit) ท่ี ทาหนา้ ท่ใี นการป้อนข้อมลู เขา้ สู่เคร่อื งคอมพิวเตอร์ 3. เมาส์ (Mouse) คืออปุ กรณท์ ใ่ี ชใ้ นการคลิก ดบั เบล้ิ คลิก และเล่ือนตาแหนง่ เพื่อ ส่ังงานใหค้ อมพิวเตอร์ ทางาน ในกรณีท่ีไม่สามารถส่ังงานทางแป้นพิมพ์ได้ เมาส์จัดเป็นอุปกรณ์ ด้านหน่วยป้อนข้อมูลเช่นเดียวกับ แปน้ พมิ พแ์ ต่ใช้งานในลักษณะทแ่ี ตกตา่ งกนั รหสั วิชา 3001 – 2001 รายวชิ าเทคโนโลยสี ารสนเทศเพื่อการจดั การอาชีพ ครโู ชตริ ส แน่นอุดร

หน่วยที่ 1 ความร้เู ก่ยี วกับคอมพิวเตอรแ์ ละอปุ กรณโ์ ทรคมนาคม 4. จอภาพ (Monitor) คอื อปุ กรณ์ที่ใช้ในการแสดงผลขอ้ มูลทีผ่ ่านการประมวลผล ของซีพยี ูเพอ่ื ทาใหผ้ ใู้ ช้ มองเห็นผลลัพธ์และสามารถติดต่อกับเคร่ืองคอมพิวเตอร์ได้ จอภาพจัดเป็นอุปกรณ์ด้านหน่วยแสดงผล (Output Unit) ทาหนา้ ทใ่ี นการแสดงผลขอ้ มลู 5. ลาโพง (Speaker) คืออุปกรณ์ที่ใช้ในการแปลงสัญญาณไฟฟ้าเป็นสัญญาณเสียง และแสดงเสียงออก ทางลาโพงทาให้ผู้ใช้ได้ยินสัญญาณเสียงในแบบต่างๆ เช่น เสียงเพลง และ เสียงพูดต่างๆ ลาโพงจัดเป็นอุปกรณ์ ด้านหนว่ ยแสดงผล (Output Unit) ทาหนา้ ท่ีในการแสดง ผลขอ้ มลู หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit) และหนว่ ยความจา (Memory Unit) เป็นส่วนท่ีสาคัญท่ีสุดของเครื่องคอมพิวเตอร์ ควบคุมการทางานของระบบท้ังหมดเป็น ส่วนที่เรียก โปรแกรมต่างๆ เพ่ือส่ังการให้หน่วยประมวลผลกลางทางานตามลาดับ ปัจจุบันหน่วย ประมวลผลกลางถูก ออกแบบให้มีมากกวา่ 1 core หรอื เรียกวา่ Multi core หน่วยความจาจะทาหน้าที่เกบ็ คาสัง่ ทตี่ ้องใชใ้ นการประมวลผล หนว่ ยความจามี 2 ชนดิ คอื หนว่ ยความจาอ่านอยา่ งเดยี ว ROM (Read Only Memory) เป็นหน่วยความจาลักษณะหนึ่งทาหน้าที่อ่านข้อมูลเพียงอ่านเดียว ถูกกาหนดไว้อย่าง ถาวรใน หนว่ ยความจาคงอยู่ในเครื่องตลอดถงึ แมป้ ิดเคร่ืองไป หนว่ ยความจาเข้าถึงโดยการสุ่ม (Random Access Memory) เป็นหน่วยความจาประเภทหน่ึงท่ีสามารถเข้าถึงโดยการสมุ่ แรม (Ram) เป็นหนว่ ย ความจาทอ่ี ยู่ ในคอมพิวเตอร์ วัดขนาดเป็นกิโลไบต์หรือ เมกะไบต์ ทางานได้เร็วมาก แต่เมื่อ ปิดเครื่องไปแล้วข้อมูลในแรมจะ หายไปหมด การ์ดแสดงผล (Graphic Card) เปน็ อุปกรณ์ที่ประมวลผลสญั ญาณดจิ ติ อล ใหเ้ ปน็ สัญญาณทตี่ อ้ งการแสดงผล เช่น การใช้ โปรแกรมสร้าง งาน 3 มิติ หรอื เล่นเกม 3 มติ ิ ท่ี ต้องการความละเอียดที่ใชใ้ นการแสดงผลสงู การด์ เสียง (Sound Card) เปน็ อปุ กรณท์ ่ปี ระมวลผลทางด้านเสยี ง เพ่ือเสียงทีไ่ ด้ออกมาน้นั มีความไพเราะมากขึน้ กวา่ เดมิ การด์ แลน (LAN Card) เป็นอุปกรณ์ท่ีใช้ในระบบเครือข่าย (Network) ทาให้เคร่ืองแต่ละเคร่ืองสามารถส่ือสาร และแลกเปลี่ยน ข้อมลู กนั ได้ ฮาร์ดดสิ ก์ (Hard Disk) ฮาร์ดดิสก์เป็นสื่อบันทึกข้อมูลที่ใช้จานแม่เหล็กในการเก็บข้อมูล สามารถจุข้อมูลได้สูง ที่สุดในบรรดาสื่อ บันทึกข้อมูล ใช้เป็นหน่วยข้อมูลหลักของเครื่องคอมพิวเตอร์เลยก็ได้ เพราะ จะต้องติดต้ังระบบปฏิบัติการลงใน ฮารด์ ดิสก์ ทีส่ าคัญคอื สามารถเข้าถึงขอ้ มลู ดว้ ยความเรว็ สูง รหสั วชิ า 3001 – 2001 รายวิชาเทคโนโลยสี ารสนเทศเพอื่ การจดั การอาชพี ครโู ชตริ ส แน่นอดุ ร

หนว่ ยท่ี 1 ความรูเ้ ก่ยี วกบั คอมพวิ เตอรแ์ ละอปุ กรณโ์ ทรคมนาคม ประเภทของคอมพวิ เตอร์ แบง่ ตามความสามารถของระบบ 1. ซุปเปอรค์ อมพิวเตอร์ (Super Computer) หมายถึง เครอ่ื งประมวลผล ข้อมูลท่ีมีความสามารถใน การประมวลผล สูงทส่ี ดุ โดยทั่วไปสร้างข้นึ เปน็ การเฉพาะ เพื่องานดา้ นวทิ ยาศาสตรท์ ี่ต้องการ การประมวลผล ซบั ซ้อนและตอ้ งการ ความเรว็ สงู เชน่ งานวิจยั ขปี นาวธุ งานโครงการอวกาศสหรฐั ฯ (NASA) งานสอ่ื สารดาวเทยี ม หรอื งานพยากรณ์ อากาศ เป็นตน้ 2. เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe Computer) หมายถึง เคร่ืองประมวลผล ข้อมูลที่มีส่วน ความจาและความเร็วน้อยลงสามารถใช้ข้อมูลและคาสั่งของเคร่ืองร่นุ อน่ื ในตระกูล (Family) เดยี วกันได้โดยไม่ตอ้ ง ดัดแปลงแก้ไขใดๆ นอกจากน้ันยังสามารถทางานในระบบเครือข่าย (Network) ได้เป็นอย่างดี โดยสามารถเชื่อม ต่อไปยังอุปกรณ์ท่ีเรียกว่า เคร่ืองปลายทาง (Terminal) จานวนมากได้ สามารถทางานได้พร้อมกันหลายงาน (Multi Tasking) และใช้งานได้พร้อมกันหลายคน (Multi User) ปกติเคร่ืองชนิดน้ี นิยมใช้ในธุรกิจขนาดใหญ่มี ราคาตั้งแต่สิบลา้ นบาทไปจนถงึ หลายร้อยล้านบาทตวั อยา่ งของเครื่องเมนเฟรมทใี่ ช้กนั แพร่หลายก็คอื คอมพิวเตอร์ ของธนาคารทีเ่ ชอ่ื มตอ่ ไปยังตู้ ATM และสาขาของธนาคารทั่วประเทศ 3. มินิคอมพิวเตอร์ (Mini Computer) ธุรกิจและหน่วยงานที่มีขนาดเล็กไม่จาเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ ขนาดเมนเฟรมซึ่งมีราคาแพง ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์จึงพัฒนาคอมพิวเตอร์ให้มีขนาดเล็กและมีราคาถูกลง เรียกว่า เครอื่ งมินิคอมพวิ เตอร์โดยมีลักษณะพิเศษในการทางานร่วมกับอุปกรณ์ประกอบรอบข้างที่มคี วามเรว็ สูงไดม้ ีการใช้ แผ่นจานแม่เหล็กความจุสูงชนิดแข็ง (Harddisk) ในการเก็บรักษาข้อมูลสามารถอ่านเขียนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว หน่วยงานและบริษัททใ่ี ช้คอมพิวเตอร์ขนาดนี้ ไดแ้ ก่ กรม กอง มหาวิทยาลยั ห้างสรรพสินคา้ โรงแรม โรงพยาบาล และโรงงานอุตสาหกรรมตา่ งๆ 4. ไมโครคอมพิวเตอร์ (Micro Computer) หมายถึง เคร่ืองประมวลผลข้อมูลขนาดเล็ก มีส่วนของ หน่วยความจาและความเร็วในการประมวลผลน้อยที่สุดสามารถใช้งานได้ด้วย คนเดียว จึงมักถูกเรียกว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer : PC) ปัจจุบัน ไมโครคอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพสูงกว่าใน สมัยก่อนมากอาจเทา่ กับหรือมากกวา่ เคร่ือง เมนเฟรมในยุคก่อน นอกจากน้ันยังราคาถูกลงมากดงั นั้นจึงเป็นท่ีนยิ ม ใช้มาก ทั้งตามหน่วย งานและบริษัทห้างร้าน ตลอดจนตามโรงเรียนสถานศึกษา และบ้านเรือนบริษัทท่ีผลิต ไมโครคอมพิวเตอร์ออกจาหน่ายจนประสบความสาเร็จเป็นบริษัทแรก คือบริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์ เครื่อง ไมโครคอมพิวเตอร์ จาแนกออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ แบบติดต้ังใช้งานอยู่กับที่ บนโต๊ะทางาน (Desktop Computer) และแบบเคล่ือนย้ายได้ (Portable Computer) สามารถ พกพาติดตัวอาศัยพลังงานไฟฟ้าจาก แบตเตอร่ีจากภายนอก ส่วนใหญ่มักเรียกตามลักษณะของ การใช้งานว่า Laptop Computer หรือ Notebook Computer รหสั วชิ า 3001 – 2001 รายวชิ าเทคโนโลยสี ารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ ครโู ชติรส แนน่ อุดร

หน่วยที่ 1 ความร้เู ก่ียวกบั คอมพวิ เตอรแ์ ละอปุ กรณโ์ ทรคมนาคม แบ่งตามหลักการประมวลผล 1. คอมพิวเตอร์แบบอนาล็อก (Analog Computer) หมายถึง เครื่องมือประมวล ผลข้อมูลท่ีอาศัย หลักการวัด (Measuring Principle) ทางานโดยใช้ข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลง แบบต่อเนื่อง (Continuous Data) แสดงออกมาในลักษณะสัญญาณที่เรียกว่า Analog Signal เครื่องคอมพิวเตอร์ประเภทน้ีมักแสดงผลด้วยสเกล หน้าปัทม์ และเข็มชี้ เช่น การวดั ค่าความยาว โดยเปรียบเทียบกับสเกลบนไม้บรรทัด การวัดค่าความรอ้ นจากการ ขยายตัวของปรอทเปรียบ เทยี บกับสเกลข้างหลอดแก้ว นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างของ Analog Computer ท่ใี ช้การ ประมวล ผลแบบเป็นข้ันตอน เช่น เคร่ืองวัด ปริมาณการใช้น้าด้วยมาตรวัดน้าที่ เปลี่ยนการไหลของน้าให้เป็น ตัวเลข แสดงปริมาณ อุปกรณว์ ดั ความเรว็ ของรถยนต์ในลักษณะเข็มช้ี หรอื เครอ่ื งตรวจคลน่ื สมองทีแ่ สดงผล เป็น รูปกราฟ เปน็ ตน้ 2. คอมพิวเตอร์แบบดิจิทัล (Digital Computer) ซ่ึงก็คือคอมพิวเตอร์ท่ีใช้ในการ ทางานทั่วๆ ไป นั่นเอง เป็นเครื่องมือประมวลผลข้อมูลท่ีอาศัยหลักการนับทางานกับข้อมูลท่ีมี ลักษณะการเปลี่ยนแปลงแบบไม่ ต่อเน่ือง (Discrete Data) ในลักษณะของสัญญาณไฟฟ้า หรือ Digital Signal อาศัยการนับสัญญาณข้อมูลท่ีเป็น จังหวะด้วยตัวนบั (Counter) ภายใต้ระบบ ฐานเวลามาตรฐาน ทาใหผ้ ลลัพธ์เป็นที่นา่ เช่ือถอื ทงั้ สามารถนับขอ้ มูล ให้ค่าความละเอียดสูง เช่นแสดงผลลัพธ์เป็นทศนิยมได้หลายตาแหน่ง เป็นต้น เน่ืองจาก Digital Computer ต้อง อาศยั ขอ้ มูลท่ีเป็นสัญญาณไฟฟา้ (มนษุ ย์สัมผัสไม่ได้) ทาใหไ้ ม่สามารถรับข้อมูลจากแหล่งข้อมูล ต้นทางไดโ้ ดยตรง จึงจาเป็นต้องเปลี่ยนข้อมูล ต้นทางท่ีรับเข้า (Analog Signal) เป็นสัญญาณ ไฟฟ้า (Digital Signal) เสียก่อน เม่ือ ประมวลผล เรียบร้อยแล้วจึงเปล่ียนสัญญาณไฟฟ้ากลับไปเป็น Analog Signal เพ่อื สื่อความหมายกับมนุษย์ต่อไป โดยส่วนประกอบสาคัญทีเ่ รยี กว่า ตวั เปล่ยี น สญั ญาณขอ้ มลู (Converter) คอยทาหน้าทีใ่ นการ เปล่ยี นรูปแบบของ สญั ญาณขอ้ มลู ระหวา่ ง Digital Signal กับ Analog Signal 3. คอมพิวเตอร์แบบลูกผสม (Hybrid Computer) เครื่องประมวลผลข้อมูลท่ีอาศัย เทคนิคการ ทางานแบบผสมผสาน ระหว่าง Analog Computer และ Digital Computer โดยท่ัวไปมักใช้ใน งานเฉพาะกิจ โดยเฉพาะงานด้าน วิทยาศาสตร์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ ในยานอวกาศ ที่ใช้ Analog Computer ควบคุมการ หมุนของ ตัวยาน และใช้ Digital Computer ในการ คานวณระยะทาง เป็นต้น การทางาน แบบผสมผสานของ คอมพิวเตอร์ชนดิ น้ี ยังคงจาเป็นตอ้ งอาศยั ตวั เปลี่ยน สัญญาณ (Converter) เช่นเดมิ แบ่งตามวตั ถปุ ระสงคข์ องการใชง้ าน 1. เคร่ืองคอมพิวเตอรเ์ พื่องานเฉพาะกิจ (Special Purpose Computer) หมายถึงเคร่ืองประมวลผล ข้อมูลท่ีถูกออกแบบตัวเคร่ืองและโปรแกรมควบคุมให้ทางานอย่าง ใดอย่างหน่ึงเป็นการเฉพาะ (Inflexible) โดยทั่วไปมักใช้ในงานควบคุมหรืองานอุตสาหกรรม ท่ีเน้นการประมวลผลแบบรวดเร็วเช่นเครื่องคอมพิวเตอร์ ควบคุมสัญญาณไฟจราจร คอมพิวเตอร์ ควบคมุ ลฟิ ท์หรอื คอมพิวเตอร์ควบคุมระบบอตั โนมัตใิ นรถยนต์ เป็นต้น 2.เค ร่ือ ง ค อ มพิ ว เต อร์ เ พื่อ ง าน อเ น กป ระ ส งค์ ( General Purpose Computer) หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลท่ีมีความยืดหยุ่นในการทางาน (Flexible) โดยได้รับการ ออกแบบให้สามารถประยุกต์ใช้ ในงานประเภทต่างๆ ได้โดยสะดวกโดยระบบจะทางานตาม คาส่ังในโปรแกรมท่ีเขียนขนึ้ มาและเมอ่ื ผใู้ ช้ต้องการให้ เคร่ืองคอมพิวเตอร์ทางานอะไรก็เพียงแต่ ออกคาสั่งเรียกโปรแกรมที่เหมาะสมเข้ามาใช้งานโดยเราสามารถเก็บ โปรแกรมไว้หลาย โปรแกรมในเคร่ืองเดียวกันได้ เช่นในขณะหนึ่งเราอาจใช้เครื่องนี้ในงานประมวลผลเก่ียวกับ ระบบบัญชแี ละในขณะหน่งึ กส็ ามารถใช้ในการออกเชค็ เงินเดือนได้ เป็นตน้ รหสั วชิ า 3001 – 2001 รายวชิ าเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ ครโู ชตริ ส แน่นอดุ ร

หน่วยที่ 1 ความรูเ้ กยี่ วกบั คอมพิวเตอร์และอุปกรณโ์ ทรคมนาคม หลักการทางานของคอมพิวเตอร์ การทางานของคอมพิวเตอร์ เร่ิมจากการป้อนข้อมูลเข้าทางหน่วยป้อนข้อมูล (Input Unit) ผ่านไปยัง หน่วยประมวลผลข้อมูล (CPU: Central Processing Unit) โดยหน่วยประมวล ผลข้อมูลกลางจะทางานร่วมกับ หนว่ ยความจา(Memory Unit) เมอ่ื ไดผ้ ลลพั ธท์ ตี่ อ้ งการ จะสง่ ข้อมลู ไปยงั หนว่ ยแสดงผล (Output Unit) ประโยชนข์ องคอมพวิ เตอร์ คอมพวิ เตอร์ถกู นามาใช้ประโยชนต์ อ่ การดาเนินชวี ิตประจาวนั ในสงั คมเป็นอย่างมาก ทพี่ บเห็นได้บอ่ ย ท่สี ดุ ก็คือ การใช้ในการพมิ พเ์ อกสารตา่ งๆ เช่น พิมพจ์ ดหมาย รายงาน เอกสาร ตา่ งๆ ซึง่ เรียกวา่ งานประมวลผล (word processing) นอกจากน้ียงั มกี ารประยุกตใ์ ช้ คอมพิวเตอรใ์ นดา้ นต่างๆ อีกหลายดา้ น ดงั ต่อไปน้ี 1. งานธุรกิจ เช่น บริษัท ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ตลอดจนโรงงานต่าง ๆ ใชค้ อมพิวเตอร์ในการทาบัญชี งานประมวลคาและติดตอ่ กับหนว่ ยงานภายนอกผ่านระบบ โทรคมนาคม นอกจากนี้งานอตุ สาหกรรมสว่ นใหญ่กใ็ ช้ คอมพิวเตอร์มาช่วยในการควบคุม การผลิต และการประกอบช้ินส่วนของอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น โรงงานประกอบ รถยนต์ ซึ่งทาให้ การผลติ มีคุณภาพดขี ้ึน หรืองานธนาคาร ท่ใี ห้บริการถอนเงินผ่านตู้ฝากถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) และใช้คอมพิวเตอรค์ ดิ ดอกเบีย้ ใหก้ ับผูฝ้ ากเงนิ และการโอนเงินระหว่างบัญชี เชอ่ื ม โยงกันเปน็ ระบบเครอื ขา่ ย 2. งานวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และงานสาธารณสุข สามารถนาคอมพิวเตอร์มาใช้ ในส่วนของการ คานวณที่ค่อนข้างซับซ้อน เช่น งานศึกษาโมเลกุลสารเคมี วิถีการโคจรของการ ส่งจรวดไปสู่อวกาศ หรืองาน ทะเบียน การเงิน สถิติ และเป็นอุปกรณ์สาหรับการตรวจรักษา โรคได้ ซึ่งจะให้ผลท่ีแม่นยากว่าการตรวจด้วยวิธี เคมแี บบเดิม และให้การรกั ษาได้รวดเร็วขน้ึ 3. งานคมนาคมและสื่อสาร ในสว่ นท่ีเก่ียวกบั การเดินทาง จะใช้คอมพวิ เตอร์ในการ จองวันเวลา ท่ีนง่ั ซ่ึง มีการเช่ือมโยงไปยังทุกสถานีหรือทุกสายการบินได้ ทาให้สะดวกต่อ ผู้เดินทางที่ไม่ต้องเสียเวลารอ อีกท้ังยังใช้ใน การควบคุมระบบการจราจร เช่น ไฟสัญญาณ จราจร และการจราจรทางอากาศ หรือในการส่ือสารก็ใช้ควบคุมวง โคจรของดาวเทยี มเพื่อให้ อยูใ่ นวงโคจร ซึ่งจะชว่ ยสง่ ผลต่อการสง่ สัญญาณให้ระบบการส่ือสารมคี วามชัดเจน 4. งานวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม สถาปนิกและวิศวกรสามารถใช้คอมพวิ เตอร์ใน การออกแบบ หรือ จาลองสภาวการณ์ต่างๆ เช่น การรับแรงสั่นสะเทือนของอาคารเมื่อเกิด แผ่นดินไหว โดยคอมพิวเตอร์จะคานวณ และแสดงภาพสถานการณ์ใกล้เคียงความจริง รวมท้ัง การใช้ควบคุมและติดตามความก้าวหน้าของโครงการต่างๆ เชน่ คนงาน เคร่อื งมือ ผลการ ทางาน 5. งานราชการ เปน็ หน่วยงานทม่ี ีการใช้คอมพิวเตอร์มากท่ีสุด โดยมีการใช้หลายรูป แบบ ท้ังน้ีขึ้นอยู่กับ บทบาทและหน้าที่ของหน่วยงานนั้นๆ เช่น กระทรวงศึกษาธิการมีการใช้ ระบบประชุมทางไกลผ่านคอมพิวเตอร์ , กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้จัดระบบ เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพ่ือเช่ือมโยงไปยังสถาบันต่าง ๆ , กรมสรรพากร ใชจ้ ัดในการจดั เกบ็ ภาษี บันทกึ การเสยี ภาษี เปน็ ตน้ 6. การศึกษาได้แก่ การใช้คอมพิวเตอร์ทางด้านการเรียนการสอน ซึ่งมีการนาคอมพิวเตอร์มาช่วยการ สอนในลักษณะบทเรียน CAI หรืองานดา้ นทะเบียน ซง่ึ ทาให้สะดวก ตอ่ การค้นหาขอ้ มูลนักเรยี น การเก็บข้อมลู ยืม และการส่งคนื หนังสอื หอ้ งสมดุ รหสั วิชา 3001 – 2001 รายวิชาเทคโนโลยสี ารสนเทศเพือ่ การจดั การอาชีพ ครโู ชติรส แน่นอุดร

หน่วยที่ 1 ความรู้เกย่ี วกับคอมพิวเตอร์และอปุ กรณโ์ ทรคมนาคม ความหมายของโทรคมนาคม โทรคมนาคม (Telecommunications) เป็นการส่งสารสนเทศในรูปแบบของตัวอักษร ภาพและเสียง โดยใช้คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ หรอื การติดต่อสารจากทห่ี น่ึงไปยงั อีก ทีห่ น่งึ ไปยงั อกี ท่ี หนึง่ โดยใช้พลังงานไฟฟา้ ใหไ้ หลไป ตามสายเคเบิลทองแดง เคเบิลเส้นใยแก้วนาแสง หรือโดย อาศัยคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าในการส่งสัญญาณไปใน บรรยากาศ เชน่ การส่งวทิ ยุ โทรทศั น์ การส่งคลืน่ ไมโครเวฟ และการส่งสัญญาณผา่ นดาวเทียม โดยจุดทส่ี ง่ ข่าวสาร กับจุดรับจะอยู่ ห่างไกลกัน และข่าวสารทีส่ ง่ จะเฉพาะเจาะจงผูร้ ับคนใดคนหนึง่ หรือส่งให้ผู้รบั ทัว่ ไปกไ็ ด้ โทรคมนาคมเป็นการใช้ส่ืออุปกรณ์รับไฟฟ้าต่าง ๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร และโทรพิมพ์ เพื่อการสื่อสารในระยะไกล โดยอุปกรณ์เหล่านี้จะแปลงข้อมูลรูปแบบ ต่าง ๆ เช่น เสียงและภาพไปเป็น สญั ญาณไฟฟ้า สัญญาณเหล่านจี้ ะถูกส่งไปโดยสื่อ เช่น สาย โทรศัพท์ หรอื คลื่นวิทยุเมื่อสญั ญาณไปถงึ จุดปลายทาง อุปกรณ์ด้านผู้รับจะรับและแปลงกลับ สัญญาณไฟฟ้าเหล่านี้ให้เป็นข้อมูลที่สามารถเข้าใจได้ เช่น เป็นเสียงทาง โทรศพั ท์ หรือภาพบน จอโทรทัศน์ หรือขอ้ ความและภาพบนจอคอมพิวเตอร์ โทรคมนาคมจะช่วยให้บคุ คลสามารถ ติดตอ่ สารกนั ไดไ้ ม่วา่ จะอย่ทู ่ใี ด ๆ ในโลกในรูปแบบของขา่ วสาร ความรู้ และความบันเทงิ การติดต่อเพ่ือการส่ือความหมายระหว่างผู้ส่งข่าวสาร และผูร้ ับข่าวสาร แตผ่ ู้ส่งข่าวสาร และผูร้ ับข่าวสาร อาจจะอยูใ่ นสถานท่เี ดียวกันหรืออยูต่ ่างสถานท่ีกนั ก็ได้ หากอยู่ต่างสถานทกี่ ัน อาจจะตอ้ งใช้ระบบการสื่อสาร เช่น โทรเลข โทรศพั ท์ หรอื โทรสาร เพือ่ การตดิ ต่อสื่อสาร ระหว่างผูส้ ง่ ขา่ วสารและผู้รับขา่ วสาร คาว่า“Tele” เป็นรากศัพท์ที่มาจากภาษากรีก หมายความว่า“ไกล” หรือ “อยู่ไกลออกไป” Telecommunications สามารถให้ความหมายอย่างกว้าง ๆ ตามรูปศัพท์ได้ ว่าหมายถึง “การสื่อสารไปยังผู้รับ ปลายทางท่ีอยู่ไกลออกไป” สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunications Union:ITU) ได้ใหค้ า จากดั ความว่า “Telecommunications” หมายถึง “การส่งขา่ วสารทุก รปู แบบไมว่ า่ จะเป็นเสยี งพูด ตัวอกั ษร สัญลักษณ์ ภาพถา่ ย graphics ภาพเคลื่อนไหว (Video) ฯลฯ ไปยงั ปลายทาง โดยอาศัยสัญญาณไฟฟ้าหรอื สัญญาณ แม่เหลก็ ไฟฟ้าไม่วา่ รูปแบบใดและ ไมจ่ ากดั ว่าจะไปใชส้ ื่อชนิดใด (เชน่ ระบบวิทยุ คูส่ ายทองแดง หรือ optical fiber ฯลฯ)” อปุ กรณ์โทรคมนาคม (Telecommunication Device) อุปกรณ์โทรคมนาคม (Telecommunication Device) จะหมายถึง อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ท่ีทาให้เกิด การสือ่ สารแบบอเิ ล็กทรอนกิ สเ์ กิดขน้ึ ได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ หน่วยความเรว็ ในการรับส่งข่าวสารของอปุ กรณ์โทรคมนาคม มกี ารวดั ทใ่ี ชห้ น่วยท่เี รยี กว่า bit per second (bps) คือ ข่าวสาร 1 bit ต่อการส่งใน 1 วนิ าที thousand of bits per second (Kbps) คอื ข่าวสาร 1,000 bits ต่อการส่งใน 1 วนิ าที million of bits per second (Mbps) คอื ขา่ วสาร 1,000,000 bits ตอ่ การสง่ ใน 1 วนิ าที giga of bits per second (Gbps) คือ ข่าวสาร 1,000,000,000 bits ต่อการส่งใน 1 วินาที รหัสวชิ า 3001 – 2001 รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศเพือ่ การจดั การอาชพี ครโู ชตริ ส แนน่ อุดร

หน่วยที่ 1 ความรู้เก่ียวกับคอมพิวเตอร์และอปุ กรณ์โทรคมนาคม อุปกรณ์โทรคมนาคม ประกอบด้วย ปัจจุบันมีระบบส่ือสารโทรคมนาคมหลายประเภท ต้ังแต่โทรเลข โทรศัพท์ โทรสาร วิทยุ โทรทัศน์ และ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีรูปแบบของสื่อหลายอย่าง เช่น สายโทรศัพท์ เส้นใยแก้วนาแสง เคเบิลใต้น้าคล่ืนวิทยุ ไมโครเวฟ และดาวเทียม อปุ กรณโ์ ทรคมนาคมระบบสื่อสารโทรคมนาคม 1. โทรศพั ท์มอื ถอื หรือ โทรศพั ทเ์ คลอ่ื นที่ (และมีการเรียก วทิ ยโุ ทรศพั ท์) คอื อุปกรณอ์ ิเล็กทรอนิกสท์ ใี่ ช้ ในการสื่อสารสองทางผ่าน โทรศัพท์มือถือใช้คล่ืนวทิ ยุในการตดิ ต่อ กับเครือข่ายโทรศัพท์มือถือโดยผ่านสถานีฐาน โดยเครือข่ายของโทรศัพท์มือถือแต่ละผู้ให้ บริการจะเช่ือมต่อกับเครือข่ายของ โทรศัพท์บ้านและเครือข่าย โทรศัพท์มือถือของผู้ให้บริการ อื่น โทรศัพท์มือถือท่ีมีความสามารถเพิ่มข้ึนในลักษณะคอมพิวเตอร์พกพาจะถูก กล่าว ถึงในชื่อ สมาร์ตโฟน โทรศัพท์มือถือในปัจจุบันนอกจากจากความสามารถพื้นฐานของโทรศัพท์แล้ว ยังมี คุณสมบัติพ้ืนฐานของโทรศัพท์มือถือท่ีเพิ่มข้ึนมา เช่น การส่งข้อความ ปฏิทิน นาฬิกาปลุก ตารางนัดหมาย เกม การใชง้ านอินเทอร์เน็ต บลทู ธู อินฟราเรด กล้องถ่ายภาพ SMS วิทยุ เคร่ืองเลน่ เพลง และ GPS 2. โทรสาร หรือแฟกซ์ (Fax) เป็นส่ือคมนาคมประเภทหนึ่ง ราชบัณฑิตยสถาน บัญญัติศัพท์ใช้คาว่าโทร ภาพ เพราะเดิมหมายถงึ ภาพหรือรูปที่ส่งมาโดยทางไกล ตลอดจนหมาย ถึงกรรมวิธีในการถอดแบบเอกสารตีพิมพ์ หรือรูปภาพ โดยทางคลื่นวิทยุหรือทางสาย เช่นสาย โทรศัพท์ ในสังคมสารนิเทศปัจจุบันนิยมใช้คาว่า โทรสาร แทนโทรภาพ เพราะครอบคลุม ประเภทของการส่งสารสนเทศได้มากกว่าภาพ เครื่องโทรสารมาจากคาใน ภาษาอังกฤษวา่ Facsimile หรือที่นิยมเรียกกันส้ันๆว่า Fax (แฟกซ์) หมายถึง อุปกรณ์การถ่ายเอกสาร ภาพ และ วัสดุกราฟิกด้วยคลื่นอากาศความถ่ีสูง ผา่ นระบบโทรศัพทท์ าให้ผสู้ ่งและผูร้ ับท่ีแมอ้ ยู่ห่างกนั แค่ไหนก็ตาม เป็นการ สง่ สัญญาณดว้ ย แสงท่ีมาแปลงเป็นเสียงแล้วย้อนกลับไปเป็นกระแสไฟฟ้า แล้วแปลงกลับมาเป็นเสียงและแสง อีก คร้ังหน่ึง การสง่ เอกสารผ่านทางโทรสารต้องมีหมายเลขของเคร่ืองรบั (เบอร์โทรศัพท์) และ ต้นฉบับท่ีเป็นเอกสาร และการสง่ แฟกซ์แต่ละคร้ัง คิดค่าบริการตามอัตราคา่ ใช้โทรศัพท์ ถ้าใน พ้ืนท่เี ดียวกันก็คร้ังละ 3 บาท ตา่ งจังหวัด คิดตามอัตราค่าบริการโทรศัพท์ทางไกล แต่ในความ จริงสถานท่ีรับบริการส่งแฟกซ์จะคิดค่าบริการแพงกว่า ค่าใช้จ่ายจริงหลายเท่าตัว ปัจจุบันเคร่ืองโทรสารได้รับความนิยมใช้ในสานักงานกันอย่างแพร่หลาย เน่ืองจากให้ ความสะดวก รวดเร็ว และให้ความแม่นยาในการส่งข้อมูลข่าวสารด้วยสีที่เหมือนกับต้นฉบับ ใช้ถ่ายเอกสารนาไป พว่ งต่อกบั เคร่ืองคอมพิวเตอร์ เพอื่ ใช้เป็นพรินเตอร์ (Printer) ช่วยลดปญั หา การส่อื สารขอ้ ความผดิ พลาด และชว่ ย ใหก้ ารตดิ ตอ่ สือ่ สารระหว่างกนั สะดวกและรวดเร็วยงิ่ ขึ้น 3. วิทยุ–โทรทัศน์ วิทยุ-โทรทัศน์ ดิจิตอล (Digital Broadcasting) หมายถึง การส่งผ่านภาพและเสียง โดยสัญญาณดิจิตอลท่ีมีประสิทธิภาพสูง ภาพและเสียงคมชัด สามารถส่งข้อมูลได้มากกว่าแบบ อนาล็อกในหน่ึ ง ช่องสัญญาณ และทาให้ได้คุณภาพของภาพและเสียงดีกว่าการเปล่ียนระบบจากอนาล็อกเป็นดิจิตอล เป็นกระแส ของโลก ท้ังในกจิ การวิทยุ- โทรทัศน์ตา่ งๆ ดังนี้ 1. ระบบแพร่ภาพดิจิตอลผ่านดาวเทียม (The Digital Video Broadcasting - Satel lite System) หรือ DVB-S 2. ระบบแพร่ภาพดิจิตอลผ่านสายเคเบลิ้ (The Digital Video Broadcasting - Cable System) หรอื DVB-C 3. ระบบแพรภ่ าพดจิ ิตอลภาคพ้นื ดนิ (The Digital Video Broadcasting - Terres trial System) หรือ DVB-T จุดใหญ่ที่จะทาให้ดิจิตอลทีวีต่างจากอนาล็อกทีวีมากคือเทคนคิ ในด้านนี้ ซ่ึงกจ็ ะเร่ิมเห็น จากตัวอย่างของ ระบบโทรศัพทท์ ี่เปล่ยี นจากอนาลอ็ กมา เป็นดิจิตอล ในทานองคลา้ ยกนั โทรทัศน์ดจิ ิตอลจะกลายเป็นสือ่ ผสมชนิด รหสั วิชา 3001 – 2001 รายวิชาเทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่ือการจดั การอาชพี ครโู ชตริ ส แน่นอดุ ร

หน่วยที่ 1 ความรู้เกย่ี วกับคอมพวิ เตอร์และอุปกรณโ์ ทรคมนาคม หน่ึง (Multimedia) โดยเป็นสื่อผสมที่มีความเร็วสูงสุด สอื่ ผสมในที่น้จี ะประกอบด้วยภาพ เสียงและข้อมูลภาพจะ เห็นไดจ้ าก ดจิ ิตอลทวี กี จ็ ะข้นึ เป็น ระดับความคมชดั สงู (HDTV) ภาพทร่ี ับชมกส็ ามารถโตต้ อบ (Interactive) ได้ 4. จีพีเอส (GPS) Global Positioning System หมายถึง ระบบกาหนดตาแหน่ง บนโลก โดยใช้วิธีการ คานวณตาแหน่งพิกัดภูมิศาสตร์ของอุปกรณ์รับสัญญาณ จากค่าตาแหน่ง พิกัดจากดาวเทียมท่ีโคจรอยู่รอบโลก ท่ี ส่งผ่านสัญญาณนาฬิกามายังโลก จีพี เอส เป็นระบบนาร่องโดยอาศัยคล่ืนวิทยุ และรหัสท่ีส่งมาจากดาวเทียม NAVSTAR (NAVigation Satellite Timing and Ranging) จานวน 24 ดวงที่โคจรอยู่เหนือพื้นโลก สามารถ ใช้ใน การหาตาแหน่งบนพ้ืนโลกได้ตลอด 24 ช่ัวโมงทุกๆ จุดบนผิวโลก GPS (Global Positioning System) เป็นระบบ ดาวเทียม NAVSTAR ท่ีออกแบบและ จัดสร้างโดยกองทัพสหรัฐอเมริกา เพ่ือใช้ในการนาทาง (Navigation) มี วตั ถุประสงค์ในการ ออกแบบคอื 1) เพอื่ ใหม้ ีผู้ใชป้ ระโยชนท์ ง้ั ฝ่ายทหารและพลเรอื นไดเ้ ป็นจานวนมาก 2) เพอื่ เคร่ืองรบั และอุปกรณ์ใช้งานได้ง่ายและมีราคาตา่ 3) เพ่ือใช้ได้สะดวกไม่มีข้อจากัด นั่นคือ ใช้ได้ตลอด 24 ช่ัวโมง โดยไม่ข้ึนกับ สภาพ ภูมิอากาศและ สถานท่ี 4) ให้ความถูกต้องทางตาแหน่งตามเง่ือนไขที่ฝ่ายทหารกาหนด GPS เป็นเพียงระบบหนึ่งของ สหรัฐอเมริกา ท่ีเรียกระบบน้ีว่า GNSS หรือ Global Navigation Satellite System ซึ่งยังมีอีกหลายระบบที่อยู่ ในกลุ่มนี้ เช่น GPS เป็นเพียงระบบหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ท่ีเรียกระบบนี้ว่า GNSS หรือ Global Navigation Satellite System ซงึ่ ยงั มีอีกหลายระบบทอ่ี ยูใ่ นกลมุ่ น้ี เชน่ NAVSTAR - USA นยิ มเรยี กว่าGPS GLONASS - Russia Galileo - European Union Beidou - China QZSS - Japanese IRNSS - Indian Regional Navigational Satellite System – India องคป์ ระกอบของ GPS จพี เี อส (GPS) มีหลักการทางานโดยอาศยั คล่ืนวิทยุ และรหัสท่ีสง่ มาจากดาวเทยี ม NAVSTAR จานวน 24 ดวง ท่ีโคจรอยู่รอบโลกวันละ 2 รอบและมตี าแหน่งอยู่เหนือพน้ื โลกท่ี ความสูง 20,200 กิโลเมตร สามารถใช้ในการ หาตาแหนง่ บนพน้ื โลกได้ตลอด 24 ช่ัวโมง ทุกๆ จุดบนผิวโลก ใช้นาร่องจากท่ีหนง่ึ ไปท่ีอนื่ ตามต้องการ ใชต้ ิดตาม การเคล่ือนท่ีของคนและ สิ่งของตา่ งๆ การทาแผนท่ี การทางานรงั วัด (Surveying) ตลอดจนใช้อา้ งอิงการวัดเวลาที่ เท่ยี ง ตรงท่สี ดุ ในโลก องคป์ ระกอบของระบบกาหนดตาแหนง่ บนโลก (GPS) ประกอบด้วย 3 ส่วนหลกั คอื 1. ส่วนอวกาศ (Space segment ) 2. ส่วนสถานีควบคมุ (Control segment) 3. ส่วนผูใ้ ช้ (User segment) รหัสวิชา 3001 – 2001 รายวชิ าเทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่ือการจัดการอาชพี ครโู ชติรส แน่นอุดร

หน่วยที่ 1 ความรูเ้ ก่ียวกับคอมพวิ เตอรแ์ ละอปุ กรณ์โทรคมนาคม อปุ กรณโ์ ทรคมนาคมเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ 1. สายโทรศัพท์ ทาหน้าท่ีเช่ือมผู้เช่าเข้ากับชุมสายเป็นตัวนาสัญญาณเสียงของคู่สนทนา ให้ถึงกันสาย เคเบิลที่จะนามาใช้งานในกิจการโทรศัพท์ ต้องคานึงถึงคุณสมบัติหลายประการ เช่น ขนาดลวดทองแดง ความ ต้านทานของฉนวน ค่าคาปาซิเตอร์ในคู่สาย การทนความร้อน ของฉนวน ค่าความต้านทานและการลดทอนของ ลวดตัวนาเหล่าน้ีต้องคานึงถึง ซ่ึงจะมีค่าที่ กาหนดไว้ ให้ พิจารณาก่อนการนาไปใช้ งาน นอกจากน้ันเคเบิลที่ จะ นาไปใช้งานต้องมีการฟอร์มเพ่ือลดค่า CROSS TALK และทาให้แยกคู่ได้ชัดเจน สายโทรศัพท์แบ่งได้สองประเภท คือวางในอากาศและวางใต้ดนิ ชนิดท่ีวางในอากาศ ยังแบ่งออกไดเ้ ปน็ วางในอาคารและวางนอก อาคาร สว่ นวางใต้ ดนิ นน้ั ก็แบ่งออกเปน็ วาง ใตด้ ินและวางใต้น้าซึ่งเคเบิลแต่ละชนิดจะทาโครงสรา้ งแตกตา่ งกันและราคากแ็ ตกต่างกัน ดว้ ยนอกจากนั้นเพ่ือความสะดวกในการใช้ งานของเคเบลิ โทรศัพท์ยังเคลอื บสีหุ้มคู่สาย ไว้อีก เรียกว่ารหสั สีของคู่ สายโทรศัพท์ ซ่ึง สะดวกในการแยกคสู่ ายใช้งานมากยิง่ ขึ้น 2. สายใยแก้วนาแสง หรือ ออปติกไฟเบอร์ หรือ ไฟเบอร์ออปติก เป็นแก้วหรือ พลาสติกคุณภาพสูง ยืดหยุ่นโค้งงอได้ เส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 8-10 ไมครอน (10 ไมครอน = 10 ในล้านส่วนของเมตร =10x10^- 6=0.00001 เมตร = 0.01 มม.) เล็กกว่าเส้นผมท่ีมีขนาด 40-120 ไมครอน, กระดาษ 100 ไมครอน ใยแก้วนาแสง ทาหน้าท่ีเป็นตัวกลางในการส่งแสง จากด้านหน่ึงไปอีกด้านหนึ่ง ด้วยความเร็วเกือบเท่า แสง เมื่อนามาใช้ในการ สื่อสารโทรคมนาคม ทาให้ สามารถส่ง-รับขอ้ มลู ได้เร็วมาก ไดร้ ะยะทางเกนิ 100 กม.ในหนึ่งช่วง และเนือ่ งจากแสง เป็นตัวนาสง่ ข้อมูล ทาให้สัญญาณแมเ่ หล็กไฟฟ้าภายนอก ไม่ สามารถรบกวนความชัดเจนของข้อมูลได้ ใยแก้วนา แสงจงึ ถูกนามาใชแ้ ทนตัวกลางอนื่ ๆในการส่งข้อมลู 3. เคเบลิ ใต้นา (submarine communications cable) เป็นสื่ออีกอย่างหนึ่งท่ีมี การใช้ในการสอื่ สาร โทรคมนาคมระหวา่ งประเทศ มีการรับส่งสัญญาณทุกชนิดได้อยา่ งมี ประสิทธิภาพ ไดม้ ีการพัฒนาเทคโนโลยีเรือ่ ยๆ มาเป็นลาดับตั้งแต่ยุคของเคเบิลใต้น้าชนิดแกน (coaxial cable) มาจนถึง สายเคเบิลชนิดใยแก้ว (optical fiber cable) ซ่ึงมีใช้แพร่หลายท่ัว โลกเพราะเหมาะกับสภาวการณ์ปัจจุบัน และมีการพัฒนาความสามารถให้ทันสมัย โครงข่าย เคเบิลใต้น้า(submarine cable networks) มีประวัติที่น่าสนใจ นับต้ังแต่ พ.ศ. 2393 มีการ วางสาย เคเบิลใต้น้าท่ีช่องแคบอังกฤษ ในขณะท่ีสายเคเบิลโทรเลขทางทรานสแอตแลนติค เส้น แรกวางใน พ.ศ. 2410 ปจั จุบันสายเคเบิลใต้น้าสามารถวางได้เร็วกว่าในอดีตเนื่องจาก ความ ก้าวหน้าของเทคโนโลยี ทาให้มีการวางสาย เคเบลิ ใต้ น้าในภูมภิ าคเอเชีย-แปซฟิ ิก นานกว่า 10 ปีแลว้ และมีปรมิ าณทราฟฟกิ โทรศัพท์ระหวา่ งประเทศเพมิ่ ข้ึน ถึง 10 เท่าตัว ท่ัวโลกจะมีการลงทุนทางด้าน เคเบิลใต้น้าใยแก้วมากกว่า 15 พันล้านดอลลาร์ สหรัฐ ใน จานวน หนึ่งกว่าครึ่งเป็นของภูมิภาค เอเชีย-แปซิฟิกเน่ืองจากมีความเจริญเติบโตทางด้าน เศรษฐกิจ ทาให้ความต้องการ เพ่ิมขนึ้ อยา่ งรวดเร็ว 4. คลื่นวิทยุ เป็นคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าความถ่ีสูง ซ่ึงมีคุณสมบัติกระจายไปได้เป็นระยะ ทางไกล ด้วย ความเร็วเท่ากับแสงคือ 300 ล้านเมตรต่อวินาที เคร่ืองส่งวิทยุจะทาหน้าที่สร้าง คลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ ความถี่สูงหรือ คลื่นวิทยุ (RF) ผสมกับคลื่นเสียง (Audio Frequency -AF) แล้วส่งกระจายออกไป ลาพังคลื่นเสียงซ่ึงมีความถ่ีต่า ไม่สามารถส่งไปไกลๆ ได้ ต้องอาศัย คลนื่ วิทยุเป็นพาหะจึงเรียกคล่ืนวิทยุว่า คล่ืนพาหะ (Carier Wave) เคร่ืองรับ วทิ ยุ จะทาหนา้ ท่ี รับคลืน่ วิทยุและแยกคลืน่ เสียงออกจากคลื่นวทิ ยุใหร้ บั ฟังเปน็ เสียงปกติได้ รหัสวชิ า 3001 – 2001 รายวชิ าเทคโนโลยสี ารสนเทศเพอ่ื การจดั การอาชพี ครูโชตริ ส แนน่ อดุ ร

หน่วยที่ 1 ความรเู้ กี่ยวกับคอมพิวเตอรแ์ ละอุปกรณโ์ ทรคมนาคม 5. คล่ืนไมโครเวฟ เป็นคลื่นความถี่วิทยุชนิดหน่ึงท่ีมีความถ่ีอยู่ระหว่าง 0.3 GHz - 300 GHz การใช้งาน นั้นส่วนมากนิยมใช้ความถี่ระหว่าง 1 GHz - 60 GHz เพราะเป็น ย่านความถ่ีท่ีสามารถผลิตขึ้นได้ด้วยอุปกรณ์ อิเลก็ ทรอนกิ ส์ 6. ดาวเทียม คือ ส่ิงประดิษฐ์ที่มนุษย์คิดค้นขึ้น ที่สามารถโคจรรอบโลก โดยอาศัย แรงดึงดูดของโลก ส่งผลให้สามารถโคจรรอบโลกได้ในลักษณะเดียวกันกับท่ีดวงจันทร์โคจรรอบ โลก และโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ วัตถุประสงค์ของส่ิงประดิษฐ์นี้เพ่ือใช้ทางการทหาร การ ส่ือสาร การรายงานสภาพอากาศ การวิจัยทาง วทิ ยาศาสตร์ ส่วนประกอบของโทรคมนาคม Transmission Media หมายถึง ตัวกลางในการส่งสัญญาณ มีลักษณะข้อดีและข้อเสีย แตกต่างกันไป ใน การพัฒนาระบบโทรคมนาคม การเลือกใช้ตัวกลาง ควรเลือกให้เหมาะกับ จุดประสงค์ของการสร้างระบบ สารสนเทศขององค์กร และจุดประสงค์โดยรวมของการดาเนิน ธุรกรรมขององค์กร ด้วยต้นทุนที่ต่าท่ีสุด แต่ สามารถปรบั เปล่ียนระบบดงั กลา่ วให้ทนั สมยั ได้ เปน็ ระยะๆ ดว้ ย ชนดิ ของตัวกลาง คาอธิบาย ขอ้ ดี ขอ้ เสีย Twisted-pair wire cable (สาย เส้นทองแดง 2 เสน้ มาบดิ เปน็ ใชใ้ นการใหบ้ ริการโทรศัพท์ มีอยู่ ความเรว็ และระยะทางในการสง่ มี ทองแดงบิดคู)่ เกลยี วๆ มที ง้ั แบบห้มุ ฉนวนและ มาก (เพราะราคาไม่แพง) จากดั แบบไมห่ มุ้ ฉนวน Coaxial Cable (สายเคเบิลหมุ้ สายไฟท่ีมกี ารหมุ้ ฉนวน การส่งสญั ญาณชัดเกว่าและเร็ว ราคาแพงกว่า Twisted-pair ฉนวน) กวา่ Twisted-pair wire cable wire cable. Fiber-optic cable (สายใยแกว้ เสน้ ใยแก้วขนาดเลก็ มากๆ นามามัด ขนาดเลก็ กว่า สง่ ขอ้ มลู ไดด้ ีกว่า มี มรี าคาแพงในการซอื้ และตดิ ต้งั นาแสง) รวมกัน สญั ญาณรบกวนไดน้ อ้ ยกว่า Coaxial Cable Microwave Transmission สัญญาณของคลน่ื วทิ ยคุ วามถส่ี ูง ไม่ต้องเสียต้นทนุ ในการวาง ต้องไมม่ สี ง่ิ กีดขวางในการสง่ (สญั ญาณไมโครเวฟ) ส่งผา่ นในบรรยากาศและอวกาศ สายไฟให้ยุง่ ยาก และสามารถส่ง สญั ญาณระหวา่ งผสู้ ่งและผรู้ บั สัญญาณความเร็วสูงได้ Cellular Transmission มีการแบง่ อาณาเขตในการสง่ แต่ละ ใช้ในโทรศัพท์มือถือราคาต่าลง สัญญาณสามารถมคี ลนื่ รบกวนได้ (สญั ญาณเซลลลู ่าร์) อาณาเขตข้ึนอยู่ในความรับผดิ ชอบ เรอ่ื ยๆ ของแตล่ ะบรษิ ทั เจา้ ของมือถือ Infrared Transmission สัญญาณสง่ ผา่ นอากาศเปน็ ลาแสง สามารถเคลอ่ื นยา้ ยอปุ กรณ์ที่ ต้องไม่มสี ง่ิ กดี ขวางระหว่าง (สัญญาณอินฟาเรด) ใชไ้ ดง้ ่ายไมต่ ้องมีการตอ่ สายไฟ อปุ กรณ์ส่งและอุปกรณร์ บั เลย ใหย้ ่งุ ยาก ตารางแสดงรายละเอยี ดชนดิ ของตวั กลาง รหัสวิชา 3001 – 2001 รายวิชาเทคโนโลยสี ารสนเทศเพอื่ การจัดการอาชพี ครโู ชตริ ส แน่นอุดร

หนว่ ยที่ 1 ความรเู้ กี่ยวกบั คอมพวิ เตอร์และอุปกรณโ์ ทรคมนาคม ประเภทของขอ้ มลู ข้อมูลในการส่อื สารโทรคมนาคมสามารถแยกได้เป็น 4 ประเภท คือ 1. ประเภทเสียง เชน่ เสียงพดู เสียงดนตรี 2. ประเภทตวั อกั ษร เช่น อักษร ตวั เลข สญั ลักษณ์ 3. ประเภทภาพ ทั้งภาพน่ิงและภาพเคล่ือนไหว 4. ประเภทรวม เปน็ การสอ่ื สารทั้งตัวอักขระ ภาพและเสยี ง องค์ประกอบของการสอ่ื สารในระบบโทรคมนาคม องคป์ ระกอบของการสื่อสารในระบบโทรคมนาคม แบ่งได้ 2 สว่ น ซ่ึงทาหนา้ ทดี่ ังน้ี 1. สื่อ หรือพาหะ เพ่ือนาข่าวสารนั้นไปถึงกันโดยใช้เคล่ือนวิทยุท่ีมีความถี่สูงเป็น คล่ืนพาห์ ช่วยนา สัญญาณทางไฟฟ้าทส่ี ่งมานั้นแพรก่ ระจายไปในบรรยากาศไปยังเคร่ืองรบั ได้โดยสะดวก 2.เคร่ืองส่งและเครื่องรับ จุดส่งและจุดแต่ละจุดจะต้องมีเครื่องเข้ารหัส เพื่อเปลี่ยน ข่าวสารน้ันให้เป็น สญั ญาณทางไฟฟ้าเสยี กอ่ น เพ่ือฝากสญั ญาณไปกับคลน่ื พาห์ ด้วยการกลา้ สญั ญาณ โดยเคร่ืองมอื ทเ่ี รียกว่า มอดูเล เตอร์ เม่อื สัญญาณน้ัน เสมอื นเคร่ืองถ่ายสาเนาเอกสาร เพียงแต่ตน้ ฉบับที่ส่งมานั้นอยหู่ ่างไกลจากผรู้ ับโทรสารเป็น อปุ กรณท์ ี่นามา ใช้แทนเครือ่ ง โทรสาร (photo telegraph) ทเี่ คยใช้ในการสง่ ภาพนง่ิ มาแต่เดิม ซ่ึงลา้ สมยั ไปแล้ว อปุ กรณโ์ ทรคมนาคมโดยทัว่ ไป อุปกรณ์ หน้าทกี่ ารใช้งาน Model (โมเดม็ ) เปลีย่ นขอ้ มูลจากรปู แบบดจิ ิตอลใหเ้ ปน็ รปู แบบอนาลอ็ ก ขั้นน้ีเรียกวา่ Mudulation (โม ดูเรช่ัน) แล้วส่งผา่ น สายโทรศัพท์ จากนัน้ เม่ือถงึ จุดหมายก็แปลงข้อมลู ในรูป แบบ Fax Modem อนาลอ็ กให้กลบั เป็นรูปแบบดิจิตอล ขั้นนีเ้ รียกว่า Demulation (ดโี มดเู รช่ัน) (แฟกซ์ โมเดม็ ) Multiplexer สามารถสง่ เอกสาร รูปภาพ แผนภูมิตา่ งๆ ผ่าน สายโทรศพั ท์ได้ PBX สามารถใหส้ ญั ญาณโทรคมนาคมรปู แบบต่างๆ สง่ ผ่าน ช่องทางการส่ือสารช่องทางเดียวกัน ในเวลาเดียวกันได้ เปน็ ระบบสอ่ื สารท่จี ัดการการสง่ ขอ้ มลู และเสยี งภายใน อาคารขององคก์ ร และการส่ง ขอ้ มูลและเสียงจากองค์กร ไปยงั สถานทีอ่ ่ืนๆ ภายนอกองค์กร ตารางแสดงอปุ กรณ์โทรคมนาคมโดยท่วั ไป รหสั วชิ า 3001 – 2001 รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจดั การอาชีพ ครูโชติรส แน่นอุดร

หน่วยที่ 1 ความรู้เก่ยี วกบั คอมพวิ เตอร์และอุปกรณโ์ ทรคมนาคม Dedicated Line (สายเช่ือมต่อทางกายภาพ) หรือบางครง้ั เรยี กว่า leased line (สายใหเ้ ชา่ ) คือ การ เชื่อมต่อสญั ญาณระหว่าง 2 สถานทท่ี างกายภาพ โดยไมต่ ้องมีการใช้ โทรศพั ทใ์ นการหมนุ เข้าเพื่อต่อเหมือนการใช้ โมเด็มเลย อปุ กรณ์ ณ 2 สถานทจ่ี ะเชื่อมต่อกัน เสมอ ส่วนใหญม่ ักใช้กบั การเชือ่ มต่อระหวา่ งสานักงานใหญ่ของ องค์กรใดองค์กรหนง่ึ Digital Subscriber Line (DSL) (ผเู้ ช่าสายสัญญาณแบบดจิ ติ อล) เช่อื มต่อโดย การใชส้ ายโทรศพั ท์ท่ี มีอยใู่ นปจั จบุ ัน ให้ความเรว็ ในการส่งสัญญาณถึง 500 Kbps ในราคา ประมาณ 20 เหรียญสหรัฐฯ Computer Network หมายถงึ การเชื่อมต่อโดยใช้ ตัวกลาง อุปกรณ์ และโปรแกรม คอมพิวเตอร์ ในการ เชอื่ มต่อเคร่ืองคอมพิวเตอรม์ ากกว่า 2 เคร่ืองเขา้ ดว้ ยกนั เม่อื เครอื่ ง คอมพิวเตอรเ์ ชื่อมต่อกนั แลว้ แต่ละเครื่อง สามารถแบ่งปันการใชง้ านต่างๆ ได้ เชน่ การแบ่ง ปันการใชข้ ้อมูลระหวา่ งกันและกนั ได้ องคป์ ระกอบขนั พนื ฐานของการสื่อสารข้อมูล 1. ผู้ส่งสาร (Transmitter) คือ ส่ิงที่ทาหน้าที่ส่งข้อมูลในการส่ือสาร เช่น ผู้พูด คอมพิวเตอร์ เครื่องส่ง รหสั มอส เป็นต้น 2. ผู้รับสาร (Receiver) คือ ส่งิ ที่ทาหนา้ ท่ีรบั ขอ้ มูลที่ถกู สง่ มา เชน่ ผู้ฟงั เคร่ืองรบั วทิ ยุ เป็นต้น 3. ข้อมูล (Message) คือ สิ่งท่ีผู้ส่งสารต้องการส่งให้ผู้รับสาร รับทราบ เช่น ข้อความ ประกาศ รหัสลับ เปน็ ต้น 4. สญั ญาณรบกวน (Noise) คอื สิ่งท่ที าให้เกดิ การรบกวน ต่อระบบและข่าวสาร 5. ส่ือ (Medium) คือ ตัวกลางท่ีใช้ในการส่งข้อมูลระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร เช่น อากาศ สายไฟฟ้า สายโทรศัพท์ เปน็ ต้น 6. โปรโตคอล (Protocol) คือ กระบวนการ วิธีการ ประเภท หรือข้อกาหนดต่างๆ ที่ตกลงกันระหว่างผู้ ส่งและผู้รบั สารเพ่อื ใช้ในการ สือ่ สารข้อมูล เชน่ การเขียนจ่าหน้าซองจดหมาย การเข้ารหัสและการถอดรหสั ข้อมูล การใช้ภาษา เดียวกันในท่ีทางานร่วมกัน เช่น โทรสาร วิทยุ ติดตามตัว โทรศัพท์เคลื่อนท่ี อินเทอร์เน็ต วิทยุ กระจายและโทรทศั น์ Remote Control เปน็ ต้น กลยุทธ์พนื ฐานในการประมวลผลมี 3 กลยทุ ธห์ ลักๆ ดังนี 1. Centralized Processing (การประมวลผลแบบมีศูนย์กลาง) หมายถึง อุปกรณ์ ท่ีใช้ในการ ประมวลผลมีอยู่ ณ สถานท่ีเพยี งแห่งเดียว เพื่อให้มีลักษณะการควบคุมได้ดีทส่ี ุด เช่น สถาบันการเงินต่างๆ มักจะ ใช้การประมวลผลวธิ นี ี้เพราะสามารถรักษาความปลอดภัย ณ สถานทเ่ี ดยี วได้ 2. Decentralized Processing (การประมวลผลแบบกระจาย) หมายถึง อุปกรณ์ ที่ใช้ในการ ประมวลผลมีอยู่หลายสถานท่ี และระบบคอมพิวเตอร์แต่ละที่ไม่มีการเช่ือมต่อเพื่อ ติดต่อสื่อสารกัน เช่น ร้าน วิดีโอซทึ าย่า 3. Distributed Processing (การประมวลแบบแบ่งปัน) อุปกรณ์ที่ใช้ในการประมวล ผลมีอยู่หลาย สถานที่ แตร่ ะบบคอมพิวเตอรแ์ ตล่ ะท่ีมีการเชอื่ มต่อเพ่อื ติดตอ่ ส่ือสารกนั เช่น ศูนยโ์ ทรศพั ท์มือถอื AIS รหัสวิชา 3001 – 2001 รายวชิ าเทคโนโลยสี ารสนเทศเพอื่ การจดั การอาชีพ ครโู ชตริ ส แนน่ อุดร

หนว่ ยที่ 1 ความร้เู ก่ียวกบั คอมพิวเตอรแ์ ละอุปกรณ์โทรคมนาคม ชนิดของการเชอื่ มต่อ (Network Types) 1. LAN (Local Area Network) หมายถึง การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ภายใน สานักงานหรือโรงงาน การ เช่ือมต่อแบบน้ีมักใช้สายไฟแบบสายทองแดงบิดคู่แบบไม่มีฉนวน (Unshielded twisted-pair – UTP) เป็นส่วนมาก แต่การเชื่อมต่อด้วยสายใยแก้วนาแสง ก็มีการนามาใช้ด้วย การเชื่อมต่อแบบน้ีต้องใช้อุปกรณ์ท่ีเรียกว่า Network Interface Card (NIC) 2. Wide Area Network (WAN) เป็นการเช่ือมต่อในพ้ืนท่ีท่ีกว้างกว่า LAN มักครอบคลุมประเทศใด ประเทศหนึง่ สามารถเชื่อมต่อโดยใชส้ ญั ญาณไมโครเวฟ ดาวเทียม หรือสายโทรศัพท์กไ็ ด้ 3. International Networks เป็นการเชื่อมต่อระหว่างประเทศต่างๆ ซึ่งต้องใช้ อุปกรณ์ และโปรแกรม ที่มีความสลับซับซ้อนเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ของแต่ละประเทศท่ีต้องการเชื่อมต่อกัน ถ้า ประเทศใดประเทศหน่ึงมีกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับของประเทศตนเก่ียวกับการใช้อุปกรณ์ โทรคมนาคม และ ฐานข้อมูลแบบเข้มงวดจะ เรียกการเช่ือมต่อว่ามีอุปสรรค คือ Trans border Data Flow แต่ถ้าไม่เข้มงวดจะ เรียกว่าประเทศ นนั้ เป็น Data Havens หรอื สวรรคข์ องข้อมลู ขา่ วสาร เทคโนโลยโี ทรคมนาคม ใช้เพื่อติดต่อส่ือสารรับ/ส่งข้อมูลจากที่ไกลออกไป เป็นการส่งของข้อมูลระหว่าง คอมพิวเตอร์ หรือ อุปกรณ์ต่าง ๆ ท่ีอยู่ห่างไกลกัน ซ่ึงจะช่วยให้การเผยแพร่ข้อมูล หรือ สารสนเทศไปยังผู้ใช้ในแหล่งต่าง ๆ เป็นไป อย่างสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง ครบถ้วนและทัน เหตุการณ์ (Up-to-Date) ซึ่งรูปแบบของข้อมูลที่รับ/ส่งอาจเป็น ตวั เลข (Numeric Data) ตัวอักษร (Text) ภาพ (Image) และเสียง (Voice) ตัวอย่างเช่น การส่งขอ้ มูลต่าง ๆ ของ ยานอวกาศที่อยู่นอกโลกมายังเครื่องคอมพิวเตอร์บนโลก เพ่ือทาการคานวณ และ ประมวลผล ทาให้ทราบ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว หน้าทีข่ องระบบโทรคมนาคม ทาหน้าที่ในการส่งและรับข้อมูลระหว่างจุดสองจุด ได้แก่ ผู้ส่งข่าวสาร (Sender) และ ผู้รับข่าวสาร (Receiver) จะดาเนินการจัดการลาเลียงข้อมูลผ่านเส้นทางที่มีประสิทธิภาพที่สุด จัดการตรวจสอบความถูกต้อง ของขอ้ มูลท่จี ะส่งและรบั เข้ามา สามารถปรับเปลย่ี นรูปแบบขอ้ มลู ให้ทง้ั สองฝ่ายสามารถเข้าใจไดต้ รงกัน สว่ นใหญ่ ใช้คอมพิวเตอร์เป็นตัวจัดการ ในระบบ โทรคมนาคมส่วนใหญ่ใช้อุปกรณ์ในการรับส่งข้อมูลข่าวสารต่างชนิด ต่าง ยห่ี ้อกนั แต่สามารถ แลกเปลี่ยนข้อมูลระหวา่ งกันได้เพราะใช้ชุดคาส่ังมาตรฐานชุดเดยี วกัน กฎเกณฑ์มาตรฐานใน การสื่อสารนี้เรียกว่า “โปรโตคอล (Protocol)” อุปกรณ์แต่ละชนิดในเครือข่ายเดียวกันต้องใช้ โปรโตคอลอย่าง เดียวกัน จึงจะสามารถสือ่ สารถึงกันและกันได้ หน้าท่พี ื้นฐานของโปรโตคอล คือ การทาความรู้จักกับอปุ กรณ์ตวั อื่น ที่อยใู่ นเส้นทางการถ่ายทอดข้อมลู การตกลงเงื่อนไขใน การรบั ส่งขอ้ มูล การตรวจสอบความถูกต้องของขอ้ มูล การ แก้ไขปัญหาข้อมูลที่เกิดการผิดพลาด ในขณะท่ีส่งออกไปและการแก้ปัญหาการส่ือสารขัดข้องท่ีอาจเกิดข้ึน โปรโตคอลที่รู้จักกันมาก ได้แก่ โปรโตคอลในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เช่น Internet Protocol ; TCP/IP, IP Address ที่ใช้กนั อยู่ รหัสวิชา 3001 – 2001 รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศเพือ่ การจัดการอาชพี ครูโชติรส แนน่ อดุ ร

หนว่ ยท่ี 1 ความรเู้ กี่ยวกบั คอมพิวเตอร์และอุปกรณโ์ ทรคมนาคม องคป์ ระกอบและหน้าทข่ี องระบบโทรคมนาคม ดงั ต่อไปนี ตน้ กาเนิดข่าวสาร (Source of Information) ส่วนน้ีเป็นส่วนแรกในระบบการส่ือสารโทรคมนาคม เป็นแหล่งที่มาของข่าวสารต่างๆ ท่ีผู้ส่งต้องการที่จะ ส่งไปยังผู้รับที่ปลายทาง ตัวอย่างในระบบโทรศพั ท์หรือระบบวิทยุกระจาย เสียง ส่วนนี้ก็คือเสียงพูดของผู้พูดท่ีต้น ทาง ซึ่งจะถูกไมโครโฟนเปล่ียนให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ เหมาะสม และส่งเข้าไปในระบบ หรือในกรณีระบบการ สือ่ สารขอ้ มูล (Data Communication) สว่ นน้อี าจจะเป็นเครอ่ื งคอมพวิ เตอรห์ รอื Data Terminal ประเภทต่างๆ เครอื่ งสง่ (Transmitter) เคร่ืองส่งหรือตัวส่งน้ีทาหน้าท่ีในการแปลงหรือเปล่ียนสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้แทนข่าวสาร จากต้นกาเนิด ข่าวสาร ให้เป็นสัญญาณหรือคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าท่ีเหมาะสมในการส่งต่อไปยัง ปลายทาง เช่น ระบบโทรศัพท์ตัว เครอื่ งโทรศัพท์จะแปลงสญั ญาณไฟฟ้าทใ่ี ช้แทนเสียงพดู ให้ เป็นสญั ญาณแม่เหล็กไฟฟา้ ท่ีเหมาะสมและส่งตอ่ ไปยัง ปลายทาง หรือในระบบวิทยุกระจายเสยี ง ส่วนน้ี ได้แก่ เครื่องส่งวิทยุ สาหรับในระบบการสื่อสารข้อมูล ส่วนน้ีจะ เปน็ MODEM หรอื อปุ กรณ์อื่นที่เหมาะสมในการเปล่ียนสัญญาณไฟฟ้าท่มี าจากคอมพวิ เตอรห์ รอื Data Terminal เพ่ือใหเ้ ป็นสญั ญาณแม่เหลก็ ไฟฟ้าท่ีเหมาะสมในการผา่ นระบบสือ่ สัญญาณ (Transmissions) ไปยงั ปลายทาง ระบบการส่งผา่ นสญั ญาณ (Transmissions) เมื่อเครื่องส่งได้เปล่ียนหรือแปลงสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้แทนข่าวสารต่างๆ ให้เป็นสัญญาณ หรือคล่ืน แม่เหล็กไฟฟ้าที่เหมาะสมแล้ว สัญญาณก็จะถูกส่งผ่านระบบระบบการส่งผ่านสัญญาณ เพ่ือส่งต่อไปยังเครื่องรับ และผู้รับที่ปลายทาง ดังน้ันระบบการส่งผ่านสัญญาณจึงถือได้ว่านับ เป็นส่วนที่สาคัญและจาเป็นมากในระบบการ สื่อสารโทรคมนาคม เนื่องจากหากปราศจากระบบ การส่งผ่านสัญญาณหรือมรี ะบบการส่งผ่านสัญญาณท่ีคุณภาพ ไม่ดแี ล้ว ระบบการสื่อสาร โทรคมนาคมที่มีประสิทธิภาพก็ไมส่ ามารถจะเกดิ ข้นึ ได้ เครอื่ งรบั (Receiver) ส่วนน้ีเป็นส่วนท่ีทาการแปลงหรือเปล่ียนสัญญาณหรือคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า ที่ถูกส่งผ่าน ระบบการส่งผ่าน สัญญาณจากต้นทาง เพ่ือให้กลับมาเป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้แทนข่าวสารท่ีถูก ส่งมาจากต้นทางทั้งน้ีเพ่ือส่งให้ อุปกรณ์ปลายทางทาการแปลงหรือเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้านั้น ให้ กลับมาเป็นข่าวสารท่ีผู้รับสามารถเข้าใจ ความหมายได้ ในระบบโทรศัพท์ส่วนน้ีก็คือตัวเครอื่ ง รับเครื่องโทรศัพท์ ท่ีจะทาการเปลี่ยนสัญญาณแม่เหลก็ ไฟฟ้า ท่ีรับได้น้ัน ให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า ท่ีเหมาะสมสาหรับการส่งต่อให้หูฟัง หรือในระบบวิทยุกระจายเสียงส่วนน้ีก็คือ เคร่อื งรับวทิ ยุที่ จะแยกสญั ญาณเสียงออกจากคลื่นวทิ ยุเพ่อื ส่งต่อให้ลาโพงสาหรับระบบการส่ือสารขอ้ มลู ส่วนนจี้ ะ เป็น MODEM หรืออุปกรณ์ที่เหมาะสมในการเปล่ียนสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าท่ีรับมาน้ัน ให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้ ข้อมูลในรูปแบบที่ถกู ตอ้ ง และเหมาะสมสาหรบั การสง่ ต่อให้เคร่อื ง คอมพวิ เตอรห์ รือ Data Terminal อปุ กรณ์ปลายทางและผรู้ บั ที่ปลายทาง (Destination) ระบบการสื่อสารโทรคมนาคม เช่นในระบบโทรศัพท์ ก็คือหูฟังท่ีจะเปลี่ยนสัญญาณ ไฟฟ้าใหเ้ ป็นเสียงพูด ที่เหมือนต้นทาง และผู้รับที่ปลายทางก็คือผู้ใช้โทรศัพท์ที่ปลายทาง ใน ระบบวิทยุกระจายเสียงส่วนนี้ คือลาโพง และผู้รับฟังการรายการวิทยุกระจายเสียงน้ัน ส่วน ระบบการส่ือสารข้อมูลน้ัน ในส่วนนี้ได้แก่เครื่องคอมพิวเตอร์ หรือ Data terminal ประเภท ต่างๆ ที่มา หนงั สอื เรียนวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศเพอ่ื การจัดการอาชพี ผแู้ ต่ง บญุ สืบ โพธ์ิศรี สานกั พมิ พ์ศนู ย์สง่ เสรมิ อาชีวศกึ ษา รหัสวชิ า 3001 – 2001 รายวิชาเทคโนโลยสี ารสนเทศเพื่อการจัดการอาชพี ครูโชติรส แนน่ อุดร


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook