1. แหล่งฟอสซิล ได้แก่.... ถ่านพีท ถา่ นหนิ นา้ มนั ดิบ หินนา้ มนั นา้ มนั ปิโตรเลียม และแก๊สธรรมชาติ โดยท่วั ไป แบง่ ออกเป็ น 3 กลุ่ม 1. เชือ้ เพลิงแขง็ 2. เชือ้ เพลิงเหลว 3. แก๊สธรรมชาติ
ผลติ ภณั ฑจ์ ากปิ โตรเลียม เกดิ จากสารอนิ ทรียใ์ นพชื และ สัตวท์ ตี่ ายทบั ถมหลายล้านปี โดยนา้ มันถูกค้นพบ ระหว่าง ปี พ.ศ. 2393-2493 ซง่ึ เป็ นช่วงทม่ี ี วิวัฒนาการในการใช้พลังงานมาก ทส่ี ุด โดยได้มกี ารนานา้ มันดบิ มา กล่ันเป็ น นา้ มันดเี ซล และ นา้ มัน เบนซนิ เพอ่ื ใช้ในการขนส่ง
พที ลกิ ไนต์ ซบั บทิ มู นิ ัส บทิ ูมนิ ัส แอนทราไซต (Peat) (Lignite) (Sub-bituminus) (Anthracite) ถ่านหนิ คุณสมบตั แิ ละการใช้งาน 1. แอนทราไซต์ มลี กั ษณะดาเป็ นเงามัน มคี วามวาวสงู มคี วนั นอ้ ยแตจ่ ดุ ไฟตดิ ยาก สว่ นใหญม่ กั ใชเ้ ป็ นแหลง่ เชอื้ เพลงิ เพอื่ ใหค้ วามรอ้ นภายในบา้ น และ 2. บทิ มู นิ ัส ในอตุ สาหกรรมแกว้ อตุ สาหกรรมเคมี เป็ นตน้ 3. ซบั บทิ มู นิ ัส เป็ นถา่ นหนิ เนอ้ื แน่น มลี กั ษณะแข็ง และมกั จะประกอบดว้ ยชนั้ ถา่ น หนิ สดี าสนทิ ทม่ี ลี กั ษณะเป็ นมนั วาว เหมาะสาหรับการถลงุ โลหะ หรอื 4. ลกิ ไนต์ อาจใชเ้ ป็ นเชอ้ื เพลงิ ผลติ กระแสไฟฟ้า มลี กั ษณะสนี ้าตาลเขม้ จนถงึ ดา เนอื้ ถา่ นหนิ จะมคี วามออ่ นตวั คลา้ ย ขผ้ี ง้ึ ไมแ่ ขง็ มาก สว่ นมากใชเ้ ป็ นเชอื้ เพลงิ ในการผลติ กระแสไฟฟ้า หรอื ใชใ้ นอตุ สาหกรรม เป็ นถา่ นหนิ ทยี่ ังพอมซี ากพชื เหลอื ปรากฏใหเ้ ห็นอยเู่ ล็กนอ้ ย มสี ี น้าตาลเขม้ จนถงึ ดา สว่ นใหญถ่ กู ใชเ้ ป็ นเชอื้ เพลงิ และถอื วา่ เป็ นถา่ น หนิ ทม่ี คี ณุ ภาพตา่
1.เชอื้ เพลงิ แขง็ ไดแ้ ก่ ถ่านหนิ และหนิ นา้ มัน หินนา้ มนั ถา่ นหนิ ปริมาณคารบ์ อนและความร้อน 1. แอนทราไซต์ มปี รมิ าณคารบ์ อนสงู ถงึ รอ้ ยละ 90 ขนึ้ ไป มปี รมิ าณความชนื้ ตา่ มาก 2. บทิ มู นิ ัส และ มคี า่ ความรอ้ นสงู 3. ซบั บทิ มู นิ ัส มปี รมิ าณคารบ์ อนประมาณรอ้ ยละ 80-90 และมคี วามชนื้ รอ้ ยละ 2-7 มคี า่ ความรอ้ นสงู มปี รมิ าณคารบ์ อนประมาณรอ้ ยละ 71-77 และมคี วามชนื้ ประมาณรอ้ ยละ 10- 20 มคี า่ ความรอ้ นสงู -ปานกลาง 4. ลกิ ไนต์ มปี รมิ าณคารบ์ อนคอ่ นขา้ งนอ้ ย และมปี รมิ าณความชนื้ สงู ถงึ รอ้ ยละ 30-70 มี คา่ ความรอ้ นปานกลาง-ตา่
แหล่งกาเนิดของ ถ่านหนิ และหนิ นา้ มัน เกดิ จากพชื ขนาดใหญ่ ทับถมกันเป็ นเวลา หลายล้านปี และลกึ ลงไปหลายพนั เมตร ก่อนจะถูกกลบจากการเคลอื่ นตัวของเปลอื ก โลก นา้ ทว่ ม และธารนา้ แขง็ และถูกบบี อัด และความร้อนมหาศาล จนเปลยี่ นเป็ น ถ่านหนิ
แหล่งลกิ ไนต์ ในประเทศไทย - บา้ นบางปดู า อาเภอคลองท่อม จงั หวดั กระบ่ี - อาเภอแมเ่ มาะ จงั หวดั ลาปาง แหลง่ นีเ้ ป็นถ่านหนิ ท่ีใหพ้ ลงั งานความรอ้ นต่า - อาเภอลี้ จงั หวดั ลาพนู เป็นแหลง่ สารองลิกไนตม์ าก ท่ีสดุ และคณุ ภาพดที ่ีสดุ
ปริมาณถ่านหนิ สารองของโลก • ปริมาณถ่านหินสารองท่ัว โลกรวม 860,938 ล้านตนั • มีมากที่สุดอยู่ในภูมิภาค ยุโรปและยูเรเซีย รองลงมา คือ เอเชียแปซิฟิ ก อเมริกา เหนือ ตะวันออกกลาง และ แอฟริกา และอเมริกาใต้ และกลางตามลาดับ
หนิ นา้ มันหรือหนิ ตดิ ไฟ หนิ นา้ มัน คอื หนิ ดนิ ดานมเี นือ้ ละเอยี ดเกดิ จากการ ทบั ทมของสารอนิ ทรียท์ เี่ รียกว่า เคโรเจน อย่ใู นทที่ เี่ คย เป็ นแอ่งนา้ ขนาดใหญ่หรือทะเลสาบ สะสมรวมกับเศษ หนิ ดนิ ทรายต่างๆ และถูกอัดแน่นภายใต้ผิวโลกเป็ น เวลาหลายล้านปี มลี ักษณะเป็ นสนี า้ ตาลหรือสนี า้ ตาล ไหม้ สามารถนาไปกล่ัน เป็ นผลิตภณั ฑน์ า้ มันหลาย ประเภทเช่นเดยี วกับการกล่ัน นา้ มันดบิ
แหล่งหินนา้ มัน “เราคาดว่าหนิ นา้ มันตนั หนึ่งผลติ นา้ มันดบิ ได้ 10 บารเรล หนิ นา้ มัน สารองทแ่ี ม่สอด 19,000 ล้านตันเท่ากับเรามนี า้ มันดบิ สารอง 6,100 ล้าน บารเรล หากไดพ้ ัฒนาศักยภาพทสี่ ูงขนึ้ เราอาจใช้ประโยชนจากแหล่ง หนิ นา้ มันแม่สอดได้เกอื บ 60 ปี ” 1. หน่วยบารเ์ รลมาตรฐานของน้ามนั = 42 แกลลอน หรือ = 158.9873 ลิตร
แหล่งหนิ นา้ มัน ทอ่ี าเภอแม่สอด จงั หวดั ตาก
การใชง้ านหนิ นา้ มนั แบง่ เป็น 2 ลกั ษณะ 1. ถา้ ปรมิ าณนา้ มนั ต่ากวา่ รอ้ ยละ 15 โดยนา้ หนกั ตอ่ 1 กิโลกรมั นา้ มาบดใหล้ ะเอยี ดและใชเ้ ป็นเชือ้ เพลงิ โดยตรง 2. ถา้ สงู กวา่ รอ้ ยละ 15 โดยนา้ หนกั ตอ่ 1 กิโลกรมั นามากล่นั ได้ ดีเซลสว่ นมาก รองลงมาเป็นนา้ มนั เตา และเบนซีน ท่ีเหลอื เป็นยางมะตอย และถ่านโคก้ นอกจากนีย้ งั ไดแ้ อมโมเนีย และสารประกอบของกามะถนั ละลายปน ไอนา้ ออกมา ซง่ึ สามารถนามาทาป๋ ยุ แอมโมเนียซลั เฟตได้
2.เชือ้ เพลิงเหลว หมายถงึ ปิ โตรเลยี ม ไดแ้ ก่ นา้ มันดบิ แก๊สธรรมชาติ และแก๊สธรรมชาตเิ หลว เกดิ ขนึ้ เองตามธรรมชาตใิ นสภาพ อิสระ เกดิ จากสารอนิ ทรียจากซาก พชื ซากสัตวทตี่ ายทบั ถม เป็ น ระยะเวลานานนับล้านปี ทอ่ี ุณหภมู ิ และความกดดนั สูง
ปิ โตรเลียมทเี่ กดิ ขึน้ ตามธรรมชจิ ะถูกกักเกบ็ อยู่ในช่องว่าง ของชั้นหนิ ทมี่ โี ครงสร้างรูปกระทะควา่ หรืออาจเป็ นรูปแบบ อน่ื ๆ โดยลึกลงไปนับพนั เมตร สารวจไดโ้ ดยการศกึ ษา ลักษณะของหนิ ว่ามีสมบตั กิ ักเกบ็ ปิ โตรเลียมได้หรือไม่ วัด จากคลนื่ สะทอ้ นทแ่ี ตกตา่ งเพอื่ วเิ คราะหโครงสร้างของหนิ
ในประเทศไทยเริ่มมีการ สารวจมาตงั้ แต่ พ.ศ. 2464 -พบแหล่งนา้ มันดบิ ที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ -ตอ่ มาพบที่ จงั หวดั กาแพงเพชร แหล่งสริ ิกติ ิ์ - แหล่งนา้ มันดบิ นางนวลใน อ่าวไทย จงั หวัดชุมพร แตล่ ะแหล่งลักษณะนา้ มันดบิ มี ความแตกตา่ งกันสัดส่วนของ องคประกอบก็แตกต่างกัน
นา้ มันดบิ นา้ มันดบิ โดยท่วั ไปจะมีสีดาหรอื สี นา้ ตาล มีลักษณะข้น มกี ล่ินเหมน็ บางชนิดมีกลิน่ ของกามะถัน และ กลน่ิ H2S Cประกอบด้วย 85-90% H 10-15% S 0.001-7% O 0.001-5%
การกล่ันลาดบั ส่วน น้ามันดบิ ประกอบด้วย สารประกอบไฮโดรคารบ์ อนจานวน มากมายปนกัน สารพวกนีม้ จี ุดเดอื ด แตกตา่ งน้อย จงึ แยกดว้ ยวธิ ีการกล่นั ลาดบั ส่วน
ปริมาณนา้ มันสารองของโลก • นา้ มันปิ โตรเลียม • ปริมาณน้ามันสารองท่ัวโลก รวม 1,652.6 พนั ล้านบารเ์ รล • ปริมาณนา้ มันสารองของโลก มีมากท่ีสุ ดอยู่ในภูมิภาค ตะวันออกกลาง รองลงมา คือ บริเวณอเมริกาใต้และ กลาง ยุ โรปและ ยูเร เซีย แอฟริกา อเมริกาเหนือ และ เอเชยี แปซฟิ ิ ก ตามลาดับ 1 บารเ์ รลเทา่ กับ 159 ลติ ร
3.แก๊สธรรมชาติ ในประเทศไทย ส่วนใหญ่พบ แก๊สมีเทน แหล่งทพ่ี บครั้งแรก ได้แก่อาเภอนา้ พอง จังหวัด ขอนแก่น ตัง้ แต่ พ.ศ. 2513 ตอ่ มาพบมากขนึ้ และรัฐบาลจงึ ได้สร้างโรงแยกแก๊สทต่ี าบลมาบตาพุด จังหวดั ระยอง
ก๊าซธรรมชาติ ประกอบดว้ ย สารประกอบไฮโดรคารบ์ อน ไดแ้ ก่ มีเทน (CH4), อีเทน(C2H6), โพรเพน(C3H8), บวิ เทน (C4H10)
การแยกกา๊ ซธรรมชาติ คือ การแยกสารประกอบ ไฮโดรคารบ์ อน ซง่ึ ปะปนกนั หลายชนิดตาม ธรรมชาติ ออกจากก๊าซธรรมชาติมาเป็นก๊าซชนิด ตา่ งๆ เพ่ือนาไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชนส์ งู สดุ ตามคณุ คา่ ของก๊าซนนั้ ๆ องคประกอบของก๊าซธรรมชาติ
องคประกอบของกา๊ ซหงุ ตม้
พลงั งานจากชีวมวล พลงั งานท่ีไดจ้ ากพืชและสตั ว์ สว่ นใหญ่เป็นของท่ี เหลอื จากการผา่ นกระบวนการเกษตร
พลงั งานจากชีวมวล • ชีวมวลของประเทศไทย มีปรมิ าณ 26,449,250 ตนั คิดเป็นศกั ยภาพในการผลติ พลงั งานไฟฟ้า 2,909 เมกะวตั ต์ และศกั ยภาพในการผลติ พลงั งานความ รอ้ น 10,340 พนั ตนั เทยี บเทา่ นา้ มนั ดบิ ไดแ้ ก่
• แกลบ • ฟางขา้ ว • กากออ้ ย ยอดและใบออ้ ย • ทะลายปาลม์ เปลา่ กากใยปาลม์ กะลาปาลม์ ทาง ใบและกา้ นปาลม์ • ซงั ขา้ วโพด
• ลาตน้ มนั สาปะหลงั เหงา้ มนั สาปะหลงั • ขีเ้ ล่อื ย • เศษไมย้ างพารา • ไมฟ้ ืนยคู าลปิ ตสั เปลอื กไมย้ คู าลปิ ตสั • เศษไมจ้ ากสวนป่ า
• ลาตน้ มนั สาปะหลงั เหงา้ มนั สาปะหลงั • ขีเ้ ล่อื ย • เศษไมย้ างพารา • ไมฟ้ ืนยคู าลปิ ตสั เปลอื กไมย้ คู าลปิ ตสั • เศษไมจ้ ากสวนป่ า
เป็ นแหล่งพลังงานทม่ี ีตน้ กาเนิดจากดวงอาทติ ย์
การเผาถา่ นไม้ในทจี่ ากัดอากาศ เรียกวา่ การกล่ันสลายไม้ นอกจากถา่ นแล้วยังไดส้ าร ระเหย ทาร์ กรดแอซีตกิ เมทลิ แอลกอฮอล์ และอะซโี ตน
ก๊าซชวี ภาพ เป็ นก๊าซทไี่ ดจ้ ากมูลสัตว์ พชื และวัสดุทเ่ี หลอื จาก การเกษตร นามาหมกั โดยใช้จุลนิ ทรียย์ อ่ ยสลาย จะได้กา๊ ซ ชวี ภาพ แล้วนาไปเป็ น เชือ้ เพลิงในการใหค้ วามร้อน เช่น หุงตม้ อาหาร และผลติ กระแสไฟฟ้า
นา้ มันพชื เป็นเชือ้ เพลิงท่ีไดจ้ ากผลิตผลทางการเกษตร เชน่ ตน้ สบ่ดู า ตน้ ปาลม์ เป็นตน้ สามารถนาไปผสมกบั นา้ มนั ดีเซล เพ่ือผลิตเป็น พลงั งานทดแทน เชน่ ไบโอดเี ซล B5 (มีสดั สว่ นการผสมนา้ มนั ท่ีได้ จากพืช 5% กบั นา้ มนั ดเี ซล 95%)
เอทานอล (Ethanol) คอื แอลกอฮอลช์ นิดหน่งึ เป็นเชือ้ เพลิงท่ีไดจ้ าก ผลติ ผลทางการเกษตร เช่น ออ้ ย มนั สาปะลงั สามารถนาไปผสมกบั นา้ มนั เบนซนิ เพ่ือผลิตเป็น พลงั งานทดแทน เชน่ แก๊สโซฮอล์ 91 (มีสดั สว่ นการ ผสมเอทานอล 10% กบั นา้ มนั เบนซนิ 90%)
กระบวนการ ผลิตแอลกอฮอล์
พลังงานความร้อนใตพ้ ภิ พ พลังงานจากความ ร้อนใตพ้ ภิ พ เป็ นความร้อนท่ีถูก เก็บและสะสมไว้ ใต้ผิวโลก
พลังงานจากความร้อนใตพ้ ภิ พ ❑ความร้อนทถ่ี ูกเกบ็ และสะสมไว้ใต้ผิวโลก ❑ความร้อนใต้พิภพใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า โดยการนา นา้ ผ่านความร้อนจากใต้พภิ พ จนน้ากลายเป็ นไอนา้ นาไปไปหมุนกงั หนั (Turbine) เพอื่ ผลติ ไฟฟ้า
พลังงานจากความร้อนใตพ้ ภิ พ ❑กลุ่มประเทศทม่ี ีแหล่งพลังงานความร้อนใตพ้ ภิ พแล้ว นามาใช้ประโยชน เช่น อิตาลี สหรัฐอเมริกา เป็ นตน้ ❑ประเทศท่ีสามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานใต้พิภพมาก ทส่ี ุดในโลก คอื ประเทศสหรัฐอเมริกา
พลังงานนิวเคลียร พลังงานท่ีเกิดจากการปล่อย ออกมาเม่ือ มีการแยก รวม หรือแปลงนิวเคลียสของ ปรมาณู ในรูปของกมั มันตรังสี
พลังงานนิวเคลียร์ และยังให้ผลตามมาเป็ นพลังงานในรูปอ่ืน ๆ อีกด้วย เช่น พลังงานแสง พลังงานความร้อน พลังงานของ คลื่น แม่เหล็ก และกระแสไฟฟ้า เป็ นต้น บางครั้งเรียกว่า “พลังงานปรมาณู”
แหลง่ พลังงานนิวเคลยี ร ประเทศท่ีมีโรงไฟฟ้านิวเคลียรม์ ากท่ีสดุ ในปี 2006 คอื สหรฐั อเมรกิ า มีมากถงึ 104 โรง รองลงมา คือ ฝร่งั เศส และญ่ีป่ นุ ตามลาดบั
ประโยชนของกฎการอนุรักษพลังงาน เราสามารถนากฎการอนรุ กั ษพ์ ลงั งานไปใชป้ ระโยชน์ ในชีวติ ประจาวนั ไดด้ งั นี้ 1. การคมนาคมทางอากาศ การเคล่อื นท่ีและการขนึ้ ลงของเครอื่ งบินจะเก่ียวขอ้ งกบั การลดระดบั หรือเพ่มิ ระดบั ความสงู ของเครอ่ื งบนิ 2. ระบบการจา่ ยนา้ ประปาไปตามบา้ นเรือน จะ ปลอ่ ยนา้ จากถงั พกั นา้ ซง่ึ ตงั้ อยใู่ นระดบั สงู ใหไ้ หลจากท่ี สงู ลงสทู่ ่ีต่ากวา่ ตามแรง โนม้ ถว่ งของโลก
3. การเกบ็ กักนา้ ในอา่ งเกบ็ นา้ เพ่อื ระบายนา้ ไปสู่ ทอ้ งท่ที ท่ี าการเกษตรในยามขาดแคลนนา้ 4. การทางานของลฟิ ต ซงึ่ ใชข้ นลาเลยี งคนและ สิง่ ของขนึ้ ลงในตกึ สงู ๆ 5. กระเช้าไฟฟ้า ซงึ่ ใชข้ า้ มแมน่ า้ ใชเ้ ดินทางระหวา่ ง อาคาร หรอื น่งั พกั ผอ่ นชมทวิ ทศั นใ์ นสวนสนกุ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144