Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ปฏิกิริยาเคมี

หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ปฏิกิริยาเคมี

Published by Oranut, 2020-09-19 06:49:57

Description: หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ปฏิกิริยาเคมี

Keywords: Chemistry Reaction

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการเรียน วชิ าวิทยาศาสตรเ์ ทคโนโลยสี ่งิ ทอ Science for Textile Technology รหัสวชิ า 30000-1307 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 เร่ือง ปฏกิ ริ ิยาเคมี อรนชุ กอสวัสดพิ์ ฒั น์

2 หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 2 ปฏิกิริยาเคมี แนวคิด ปฏกิ ิรยิ าเคมี คอื กระบวนการเปลยี่ นของสารตัง้ ต้นไปเปน็ สารใหม่ โดยปริมาณสารตงั้ ต้นจะ ลดลง และปรมิ าณสารใหม่จะเกิดขึน้ และเพ่ิมปรมิ าณขน้ึ เรื่อยๆ เมื่อเวลาผา่ นไป โดยสามารถเขียนให้เข้าใจ ง่ายขนึ้ ดว้ ยสมการเคมี ในทางเคมีสารอาหารทั่วไป ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตนี ไขมนั และน้ำมัน วติ ามิน และนำ้ จะมคี วามแตกตา่ งกนั ในแง่การทำปฏิกริ ยิ าเคมี ซึ่งจะนำไปสู่การแปรรูปหรือการถนอม อาหารได้ จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม เม่ือศึกษาจบแลว้ นกั ศกึ ษาสามารถ 1. อธบิ ายความหมายของปฏกิ ริ ิยาเคมีได้ 2. บอกชนิดของปฏิกิรยิ าเคมีได้ 3. ยกตวั อย่างปฏกิ ริ ยิ าเคมีในชีวติ ประจำวนั ได้ ความหมายของปฏิกิริยาเคมี คือ กระบวนการท่ีเกิดจากการท่ีสารเคมีเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วส่งผล ให้เกิดสาร ใหม่ข้ึนมา ซ่ึงมีคุณสมบัติเปล่ียนไปจากเดิม การเกิดปฏิกิริยาเคมีจำเป็นต้องมีสารเคมีก่อน เกิดปฏิกิริยา เรียกสารเคมีต้ังต้นเหล่าน้ีว่า \"สารตั้งต้น\" หรือ reactant และหลังเกิดปฏิกิริยาทำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงในคุณสมบัติทางเคมี ซึ่งก่อตัวข้ึนมาเป็นสารใหม่ท่ีเรียกว่า \"ผลิตภัณฑ์\" (product) ซึ่งสาร ผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติทางเคมีที่เปล่ียนไปจากเดิม กระบวนการเปลี่ยนของสารตั้งต้นไปเป็นสารใหม่น้ี ปริมาณสารตั้งต้นจะลดลง และปริมาณสารใหม่จะเกิดข้ึน และเพ่ิมปริมาณขึ้นเร่ือยๆ เมื่อเวลาผ่านไป โดย สามารถเขียนให้เข้าใจได้ด้วยสมการเคมี หลังจากการเกิดปฏิกิริยาเคมีอะตอมท้ังหมดของสารตั้งต้นไม่มีการ สูญหายไปไหนแตเ่ กิดการแลกเปลี่ยนจากสารหน่ึงไปสอู่ ีกสารหนึ่ง ซงึ่ จะเหน็ ได้จากผลรวมของอะตอมของสาร ตงั้ ต้นจะเท่ากบั ผลรวมของอะตอมของผลิตภัณฑ์ ชนดิ ของปฏิกริ ิยาเคมี โดยท่ัวไปสามารถแบ่งออกได้ 5 ชนดิ ได้แก่ 1. ปฏกิ ริ ิยาการรวมตัว A+Z -------> AZ 2. ปฏกิ ิริยาการสลายตวั AZ -------> A +Z 3. ปฏิกิริยาการแทนทเี่ ชงิ เด่ยี ว A + BZ -------> AZ + B 4. ปฏิกริ ยิ าการแทนทเี่ ชงิ คู่ AX+BZ -------> AZ + BX 5. ปฏกิ ิริยาสะเทนิ HX+BOH -------> BX + HOH

3 ข้อสงั เกตการเกดิ ปฏกิ ิริยา สารใหมท่ ่เี กิดขึ้นในปฏิกริ ิยาเคมี สามารถสังเกตได้ดังนี้ 1. สี เชน่ สารเดมิ ไม่มีสีเม่ือเกิดปฏกิ ิริยาเคมี จะมสี ีใหม่เกิดข้นึ (สารใหม่) 2. กลิน่ เชน่ เกดิ กล่ินฉุน กล่ินเหม็น กลิ่นหอม 3. ตะกอน เช่น สารละลายเลด (II) ไนเตรต และโพแทสเซียมไอโอไดด์ เปน็ ของเหลวใส ไม่มีสี เมื่อ ผสมกันแล้วเกิดตะกอนสเี หลอื ง 4. ฟองแกส๊ เช่น กรดไฮโดรคลอริก ผสมกับหนิ ปนู หรือแคลเซยี มคาร์บอเนตเกิดฟองแก๊สขึน้ 5. เกดิ การระเบิด หรอื เกดิ ประกายไฟ เช่น ใส่โลหะโซเดียมลงในน้ำจะเกิดประกายไฟขน้ึ 6. มีอุณหภูมเิ ปลี่ยน ซง่ึ สารโดยทัว่ ไปเมื่อเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมีจะเกดิ การเปลย่ี นแปลง พลังงาน ความรอ้ น ควบคไู่ ปดว้ ยเสมอ หมายเหตุ การเปลยี่ นแปลงต่อไปนี้เกิดปฏกิ ริ ิยาเคมแี น่นอน 1. การสนั ดาป หมายถึง การท่ีสารทำปฏิกิรยิ ากับแก็สออกซเิ จน 2. การหมัก เช่น การหมักแป้งเปน็ นำ้ ตาล 3. กระบวนการเมแทบอลิซมึ ( ปฏกิ ิรยิ าในสิ่งมีชวี ติ ) เชน่ การย่อยอาหาร การหายใจ เปน็ ต้น 4. การถลงุ แร่ การเกดิ สนมิ ปฏกิ ริ ยิ าในแบตเตอร่ี ปฏกิ ริ ยิ าเคมีในชวี ติ ประจำวนั สงิ่ ตา่ งๆในชีวิตประจำวันของเรามีปฏิกิรยิ าเคมีเกิดขึ้นจำนวนมากมายก ตวั อยา่ งทเ่ี หน็ ได้ใกล้ตัว ดงั น้ี 1. กระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสง (Photosynthesis) การสงั เคราะห์ด้วยแสงเปน็ ปฏิกริ ยิ าเคมีทเี่ กิดขน้ึ ในพชื โดยพชื จะดูดกลืนพลังงานแสงจากดวงอาทิตย์ มาใช้เพ่ือเปลย่ี นคารบ์ อนไดออกไซดแ์ ละน้ำให้เปน็ อาหาร ของพชื ซงึ่ ก็คือนำ้ ตาลกลโู คส และมีผลพลอยได้คอื ออกซเิ จน ออกมา ปฏกิ ิรยิ าน้ีเก่ียวข้องกับชีวิตประจำวนั ของเราโดยตรง เพราะนค่ี ือกระบวนการผลติ อาหารท่ี สำคญั ของโลก อกี ทั้งยังเปน็ การเปลยี่ นก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ให้เป็นกา๊ ซออกซิเจนท่เี ราสามารถใชห้ ายใจ

4 สมการเคมขี องกระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสง 6CO2 + 6H2O + light ----> C6H12O6 + 6O2 คารบ์ อนไดออกไซด์ + นำ้ + แสง ----> กลูโคส + ออกซเิ จน 2. การสนั ดาปหรอื การเผาไหมเ้ ช้ือเพลงิ ทุกครั้งทเ่ี ราจุดไมข้ ดี ไฟ ไฟแชก็ หรือก่อกองไฟ จะมปี ฏิกิรยิ าเคมีอยา่ งหนึ่งเกิดข้ึน นนั่ คือปฏกิ ิรยิ าการ สันดาปหรือการเผาไหมเ้ ชอื้ เพลิง ซ่งึ นอกจากจะมเี ช้ือเพลิงท่ตี ดิ ไฟ เช่น มีเทน โพรเพน ไฮโดรเจน แล้ว ยังต้อง มกี ๊าซออกซเิ จนเพ่อื ช่วยทำให้ไฟติด และความร้อนด้วย จึงจะทำให้ได้พลังงาน ตลอดจนน้ำและก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ออกมา สมการเคมีการสนั ดาป C3H8 + 5O2 + heat ----> 4H2O + 3CO2 + energy โพรเพน (เชื้อเพลิง) + ออกซิเจน + ความรอ้ น ----> น้ำ + คารบ์ อนไดออกไซด์ + พลังงาน 3. ปฏกิ ริ ิยาการเกดิ สนมิ เหล็ก หลายครัง้ ท่ีเราเห็นมีดในครวั ราวสะพานลอย มสี ีน้ำตาลแดงเพราะถกู สนมิ เหลก็ จบั มันคือตัวอยา่ งของ การเกดิ ปฏิกริ ยิ าออกซิเดชัน หรอื การสญู เสยี อเิ ลก็ ตรอนจากวงโคจรภายในอะตอมของมันให้กับโมเลกลุ อ่ืน ซ่ึง นอกจากปฏกิ ิริยาออกซเิ ดชนั ทีเ่ กิดขน้ึ กับเหล็กแล้ว ยังมปี ฏกิ ริ ิยาท่ีเกิดข้ึนกบั ทองแดง ทำใหเ้ กดิ เปน็ สนมิ สี เขยี ว และปฏิกิริยาท่ีเกดิ ขึ้นกับโลหะเงนิ ทำใหเ้ กดิ เปน็ รอยด่างดวงข้ึนมาดว้ ย

5 สมการเคมขี องการเกดิ สนิมเหล็ก 4Fe + 3O2 + 3H2O ----> 2Fe2O3.3H2O เหลก็ + ออกซเิ จน + น้ำ ----> เหลก็ ออกไซด์ (สนิมเหลก็ ) 4. ปฏกิ ิรยิ าการสะเทิน ปฏิกริ ิยาการสะเทนิ เกิดจากการท่กี รด และเบส เขา้ ทำปฏิกิรยิ ากันไดพ้ อดี เกิดเปน็ ผลิตภณั ฑ์ เกลอื และนำ้ ตัวอยา่ งกรดเช่น นำ้ ส้มสายชู น้ำมะนาว กรดซัลฟวิ ลกิ และตวั อยา่ งเบส เช่น เบกกิง้ โซดา สบู่ อะซโี ตน ทงั้ นี้เกลือทไี่ ด้ไมจ่ ำเปน็ ตอ้ งเปน็ เกลอื โซเดียมคลอไรดเ์ สมอไป ขึน้ กับสารต้งั ตน้ ซง่ึ อาจทำใหไ้ ด้ เปน็ เกลือโพแทสเซยี มคลอไรด์ ซ่ึงมรี สชาติเค็มเหมอื นกัน แต่มีอันตรายสำหรบั ผูป้ ่วยโรคไตมากกวา่ เกลอื โซเดียมคลอไรด์ สมการเคมีของปฏกิ ิริยาการสะเทิน HCl + KOH ----> KCl + H2O ไฮโดรเจนคลอไรด์ (กรด) + โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ (เบส) ----> โพแทสเซียมคลอไรด์ (เกลือ) + นำ้ 5. ปฏิกิริยาการสลายตัวของโซเดยี มไฮโดรเจนคารบ์ อเนตหรือเบกกิ้งโซดา เวลาท่ีเราทำขนมประเภทเค้กหรอื ขนมปงั จำเป็นต้องมเี บกกง้ิ โซดาหรือผงฟู เปน็ หน่ึงใน ส่วนผสม และเม่ืออุณหภมู สิ งู ขึ้น เบกกงิ้ โซดาซงึ่ มชี ือ่ ทางวิทยาศาสตร์ว่า โซเดยี มไฮโดรเจนคาร์บอนเนต หรือโซเดยี มไบคาร์บอเนต จะเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าการสลายตัวและไดค้ าร์บอนไดออกไซด์ออกมา ซงึ่ ก๊าซนเ้ี องที่ทำ ให้ขนมฟูนมุ่ นา่ รบั ประทาน สมการเคมีของปฏิกริ ยิ าการสลายตัวของโซเดียมไฮโดรเจนคารบ์ อเนตหรอื เบกกง้ิ โซดา NaHCO3 + heat ----> Na2CO3 + CO2 + H20 โซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต + ความร้อน ----> โซเดียมคารบ์ อเนต + คารบ์ อนไดออกไซด์ + น้ำ (โซเดียมไบคาร์บอเนต)

6 6. ปฏิกริ ยิ าการหายใจแบบใชอ้ อกซิเจน หรือ การหายใจแบบแอโรบิก ปฏกิ ริ ยิ าการหายใจแบบใชอ้ อกซเิ จน เปน็ การสลายสารอาหารโดยใช้ออกซเิ จน เพื่อใหเ้ กิดพลงั งานที่ เซลล์สามารถนำไปใชไ้ ด้ โดยปฏกิ ิริยาน้ีจะเกิดข้ึนที่เซลล์ในรา่ งกายของเรานั่นเอง ซง่ึ ในปฏิกิริยาน้ี สารอาหาร อยา่ งกลโู คสจะรวมกบั ออกซเิ จนทีเ่ ราหายใจเข้าไป เกดิ ปฏกิ ิริยาเคมแี ละปลดปล่อยพลังงานทจี่ ำเปน็ ต่อเซลล์ ออกมาในรปู ATP นอกจากน้ียงั มีคาร์บอนไดออกไซด์และนำ้ ท่ีถูกปล่อยออกมาด้วย สมการเคมกี ารหายใจแบบใช้ออกซเิ จน C6H12O6 + 6O2 ----> 6CO2 + 6H2O + energy (36 ATPs) กลูโคส + ออกซิเจน ----> คารบ์ อนไดออกไซด์ + นำ้ + พลังงาน (36 ATPs) 7. ปฏิกิริยาการหายใจแบบไม่ใชอ้ อกซเิ จน หรอื การหายใจแบบแอนาโรบกิ ปฏกิ ริ ยิ าการหายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจนเกิดข้นึ ทุกวนั แตก่ ารหายใจแบบไม่ใชอ้ อกซิเจนในสิ่งมีชวี ติ แต่ ละชนดิ จะให้ผลติ ภัณฑ์ท่ีต่างกนั จากกระบวนการบางอย่างทแ่ี ตกตา่ งกนั หากเปน็ พืช รา และยีสต์ ปฏิกริ ยิ า การหายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจนจะไดผ้ ลติ ภัณฑ์เป็นเอทานอล คารบ์ อนไดออกไซด์ และพลงั งานออกมา ส่วนใน กลา้ มเน้ือของคนเรา การหายใจแบบไมใ่ ชอ้ อกซิเจนจะเกิดข้นึ เม่ือรา่ งกายไม่สามารถนำออกซิเจนส่งไปยัง กลา้ มเนอ้ื ไดท้ นั และเพียงพอ เช่น กรณีทมี่ ีการออกกำลงั กายอย่างหนกั และยาวนาน ซึ่งจะทำให้การสลาย กลโู คสในเซลล์กลา้ มเน้ือไมส่ มบรู ณ์ และเกดิ เปน็ กรดแลกติกสะสมในกลา้ มเน้ือ ทำให้เกิดอาการปวดหรือ กลา้ มเนอ้ื ล้าได้ สมการเคมกี ารหายใจแบบไม่ใช้ออกซเิ จนในยีสต์ C6H12O6 ----> 2C2H5OH + 2CO2 + energy กลโู คส ----> เอทานอลหรือเอทลิ แอลกอฮอล์ + คารบ์ อนไดออกไซด์ + พลงั งาน 8. ปฏิกิริยาการเกิดฝนกรด โดยทว่ั ไป กรดมีคุณสมบตั ิในการกดั กรอ่ นโลหะ รวมถึงเนอื้ เยื่อของส่งิ มชี ีวิตด้วย ดังนัน้ มนั จงึ เป็น อนั ตรายต่อมนษุ ย์และสัตว์ และถา้ ฝนตกลงมาเป็นกรด หรอื ทเ่ี รียกวา่ ฝนกรด กจ็ ะทำให้เกดิ ผลกระทบในวง กวา้ งได้ ไมว่ า่ จะเป็นสง่ิ มชี ีวิตในน้ำที่อาจมจี ำนวนลดลง สภาพดินที่มคี วามเปน็ กรดมากขึ้นทำให้มีผลตอ่ การ เจริญเตบิ โตของพชื หรอื ส่ิงปลกู สร้างต่าง ๆ ผกุ รอ่ นเรว็ ข้ึน ฝนกรดเกดิ จากการละลายของก๊าซซลั เฟอร์ไดออกไซดห์ รือไนตรกิ ออกไซดใ์ นน้ำฝนท่ตี กลงมา โดย ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซดจ์ ะมาจากการเผาไหม้ถา่ นหิน สว่ นไนตรกิ ออกไซด์มาจากการเผาไหม้ในเคร่ืองยนตข์ อง ยานพาหนะตา่ ง ๆ

7 สมการเคมกี ารเกิดฝนกรดจากก๊าซซลั เฟอร์ไดออกไซด์ 2SO2 + O2 ----> 2SO3 กา๊ ซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ + ออกซิเจน ---> ก๊าซซลั เฟอร์ไตรออกไซด์ SO3 + H2O ----> H2SO4 กา๊ ซซัลเฟอร์ไตรออกไซด์ + นำ้ ----> กรดซัลฟิวรกิ สมการเคมีการเกิดฝนกรดจากออกไซด์ของไนโตรเจน 2NO + O2 ----> 2NO2 ไนตรกิ ออกไซด์ + ออกซิเจน ----> ไนโตรเจนไดออกไซด์ 3NO2 + H2O ----> 2HNO3 + NO ไนโตรเจนไดออกไซด์ + นำ้ ----> กรดไนตริก + ไนตริกออกไซด์ 9. ปฏกิ ริ ิยาการเกดิ หมอกพิษ หมอกพิษ เป็นกลมุ่ หมอกควันทีเ่ ปน็ อันตรายต่อมนุษย์ จึงนับเป็นมลพิษทางอากาศอย่างหน่งึ ส่วนใหญพ่ บใน เขตเมืองเน่ืองมาจากการปล่อยควันจากโรงงานและเคร่อื งยนต์ การเกิดหมอกพิษมีลกั ษณะคลา้ ยกับการเกิด ฝนกรด โดยหากมไี นตริกออกไซด์เปน็ สารตัง้ ตน้ จะได้ผลติ ภณั ฑ์จากปฏิกิรยิ าเคมีเปน็ ไนไตรเจนไดออกไซด์ และโอโซน ซ่ึงเป็นสาเหตุของอาการเจ็บคอ แสบตา แสบจมูก ทางเดนิ หายใจอักเสบ และหอบหดื ด้วย

8 สมการเคมกี ารเกิดหมอกพิษจากไนโตรเจนไดออกไซด์ 2NO + O2 ----> 2NO2 ไนตรกิ ออกไซด์ + ออกซิเจน ----> ไนโตรเจนไดออกไซด์ NO2 + UV radiation ----> O + NO ไนโตรเจนไดออกไซด์ + รังสยี วู ีจากดวงอาทติ ย์ ----> โมเลกุลออกซิเจน + ไนตริกออกไซด์ O + O2 ----> O3 โมเลกุลออกซเิ จน + ออกซิเจน ----> โอโซน 10. ปฏิกริ ิยาการสลายตวั ของหนิ ปนู แคลเซยี มคาร์บอเนต (Calcium Carbonate, CaCO3) เปน็ สารประกอบทไ่ี มล่ ะลายนำ้ พบได้ ทั่วไปตามธรรมชาติ ซึง่ รปู แบบทพ่ี บมากคือ หนิ ปนู การสลายตวั ของหนิ ปนู เกิดได้จากการสัมผสั กับความรอ้ น จะได้คารบ์ อนไดออกไซด์ และปนู ขาวท่ีนำมาใช้ในอตุ สาหกรรม นอกจากนหี้ ากหินปูนสมั ผัสกบั กรด เชน่ ฝน กรด ก็จะเกดิ การสลายตวั ไดเ้ ป็นแคลเซียมซลั เฟต ซง่ึ นำมาใชใ้ นอตุ สาหกรรมเป็นสว่ นประกอบของซเี มนต์ หรอื ในทางเกษตรกรรมเป็นสารเคมีสำหรับปรบั ปรุงดินได้ สมการเคมีการสลายตัวของหินปนู จากการสมั ผสั กับความรอ้ น CaCO3 + heat ----> CaO + CO2 แคลเซียมคาร์บอเนต + ความรอ้ น ----> แคลเซยี มออกไซด์ (ปนู ขาว) + คารบ์ อนไดออกไซด์ สมการเคมกี ารสลายตัวของหนิ ปนู จากการสัมผัสกับกรด CaCO3 + H2SO4 ----> CaSO4 + CO2 + H2O แคลเซยี มคารบ์ อเนต + กรดซลั ฟวิ ริก ----> แคลเซยี มซลั เฟต + คารบ์ อนไดออกไซด์ + นำ้

9 11. ปฏกิ ริ ยิ าในแบตเตอรี แบตเตอรี เปน็ อุปกรณ์เกบ็ พลงั งานไฟฟา้ ทเ่ี ราใชก้ ันอย่ทู ั่วไปในชีวิตประจำวัน ไมว่ า่ จะในรปู แบบของ ถา่ นไฟฉาย แบตเตอรีโทรศัพท์มอื ถอื หรือแบตเตอรีรถยนต์ เป็นต้น โดยภายในแบตเตอรจี ะมแี ผน่ โลหะที่ ตา่ งกนั 2 แผน่ เป็นขวั้ บวกและข้วั ลบ และสารละลายอเิ ลก็ โทรไลต์ ซ่งึ ทำใหเ้ กิดปฏิกิรยิ าเคมีและปล่อย พลังงานไฟฟา้ ท่ีถกู กักเกบ็ ไวอ้ อกมาได้ โดยอเิ ล็กตรอนจะเคล่อื นท่อี อกจากแผน่ โลหะท่ีเป็นขวั้ ลบไปยงั แผน่ โลหะทเี่ ปน็ ข้วั บวก ซึง่ จะเกิดกระแสไฟฟ้าเคลื่อนทีจ่ ากขวั้ บวกไปยงั ขวั้ ลบ ตัวอย่างแบตเตอรีรถยนต์ท่ีใช้แผน่ โลหะตะกว่ั (Pb) และตะกว่ั ออกไซด์ (PbO2) เปน็ ขวั้ ลบและข้ัวบวก โดยมี กรดซลั ฟวิ ริกเปน็ สารละลายอิเล็กโทรไลต์ เมอ่ื ถูกใช้ไปแล้วแผน่ โลหะทงั้ สองในแบตเตอรจี ะกลายเป็นตะก่วั ซลั เฟต ส่วนกรดซลั ฟวิ รกิ ก็จะเจือจางลงจนกลายเปน็ น้ำ สมการเคมีปฏกิ ริ ิยาในแบตเตอรี Pb + PbO2 + 2H2SO4 ----> 2PbSO4 + 2H2O ตะกั่ว + ตะกว่ั ออกไซด์ + กรดซลั ฟิวริก ----> ตะก่ัวซลั เฟต + น้ำ 12. ปฏกิ ิรยิ าการย่อยในร่างกาย ระบบย่อยอาหารเป็นระบบท่ีเกิดปฏิกิริยาเคมีทุก ๆ วัน เพราะมนุษย์เราต้องรับประทานอาหารเข้าไป เพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย ในทุก ๆ วัน มีปฏิกิริยามากมายเกิดข้ึนในระบบย่อยอาหาร เพียงแค่นำอาหาร เข้าปาก เอนไซม์อะไมเลสจากต่อมน้ำลายก็จะเริ่มย่อยคารโ์ บไฮเดรตให้มีขนาดเล็กลง และเมื่ออาหารถูกกลืน ลงสู่กระเพาะอาหาร ก็จะมีกรดไฮโดรคลอริกท่ีจะทำปฏิกิริยากับอาหารเพื่อให้มันแตกออกเป็นโมเลกุลเล็ก ๆ ขณะทีเ่ อนไซมจ์ ะยอ่ ยโปรตนี และไขมัน สำหรับการดดู ซึมเขา้ สู่ร่างกายโดยผนังของลำไส้เลก็ ต่อไป

10 สมการเคมปี ฏิกริ ยิ าการย่อยในร่างกาย C12H22O11 + H2O + Sucrase enzyme ----> C6H12O6 + C6H12O6 นำ้ ตาลโมเลกลุ คู่ + นำ้ + เอนไซม์ซูเครส ----> นำ้ ตาลโมเลกุลเดย่ี ว + น้ำตาลโมเลกลุ เดย่ี ว (ซโู ครส) (กลโู คส) (ฟรุกโทส) 13. ปฏิกริ ยิ าการเกดิ สบู่ สบูช่ ่วยกำจัดสงิ่ สกปรกออกจากร่างกายของเรา รวมถึงคราบมนั ตา่ ง ๆ ด้วย โดยท่ัวไปแล้วสบู่ก็คอื เกลือกรดไขมัน ซ่ึงอาจเปน็ เกลือโซเดียมหรือเกลือโพแทสเซียมก็ได้ ในกระบวนการทำสบ่จู ะมีปฏกิ ิรยิ าเคมี ที่เรียกวา่ สปอนนฟิ ิเคชั่น (Saponificatoin) เกิดข้ึน โดยเม่ือไตรกลีเซอรอลในไขมันทำปฏกิ ิรยิ ากบั ดา่ ง เช่น โซเดียมไฮดรอกไซด์หรือโพแทสเซยี มไฮดรอกไซด์ ก็จะไดผ้ ลิตภัณฑ์เป็นกลีเซอรอลและสบู่ออกมา สบู่ท่ไี ด้ เม่ือละลายในน้ำจะแตกตัวให้ไอออนบวก (Na+, K+) และไอออนลบ (RCOO-) ส่วนท่ีเป็นไอออนลบ แบง่ เปน็ สว่ นหัวท่มี ขี ั้ว (COO-) และส่วนหางทไี่ ม่มีข้ัว (R) สมการเคมปี ฏกิ ิรยิ าการเกิดสบู่ กรณที ำปฏิกริ ยิ ากบั เกลือโซเดียม สมการเคมีปฏกิ ิริยาการเกดิ สบู่ กรณีทำปฏกิ ิรยิ ากบั เกลือโพแทสเซียม

11 14. ปฏกิ ิริยาในนำ้ อัดลม ในน้ำอัดลมประกอบด้วยนำ้ กรดคาร์บอนกิ คารบ์ อนไดออกไซด์ น้ำตาลหรอื สารให้รสหวาน รสชาติ อรอ่ ย ๆ ของน้ำอัดลมเกิดจากการผสมผสานระหว่างรสหวานและรสเปรี้ยวอย่างลงตวั นอกจากน้ีกรดยังชว่ ย เพ่มิ รสชาติท่จี ัดจ้านและกระตนุ้ ให้น้ำลายไหลอีกด้วย ในกระบวนการทำน้ำอัดลม จะมีการอัดกา๊ ซ คาร์บอนไดออกไซด์ลงไป เพ่ือให้มันละลายในน้ำโดยการเพ่ิมความดัน เน่ืองจากในสภาพปกติก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์จะไม่ทำปฏิกิริยากับน้ำ ซ่ึงเมื่อคาร์บอนไดออกไซด์รวมกับน้ำแล้วก็จะกลายเป็นกรดคาร์ บอนิก แต่เมื่อบรรจุภัณฑ์ถูกเปดิ ออกเมื่อไรความดนั ภายในจะลดลง และกรดคารบ์ อนิกทไ่ี ม่เสถียรก็จะแตกตัว ออกเป็นคาร์บอนไดออกไซด์กบั นำ้ สมการเคมีปฏกิ ิริยาในนำ้ อัดลม CO2 + H2O ----> H2CO3 คารบ์ อนไดออกไซด์ + น้ำ ----> กรดคาร์บอนิก


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook