Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานวิจัยชั้นเรียน ประจำภาคเรียนที่ 2_2564 Pjbl

รายงานวิจัยชั้นเรียน ประจำภาคเรียนที่ 2_2564 Pjbl

Published by Oranut, 2022-03-29 04:02:20

Description: รายงานวิจัยชั้นเรียน ประจำภาคเรียนที่ 2_2564 Pjbl

Keywords: Project Base

Search

Read the Text Version

รายงานการวิจยั ชน้ั เรยี น เร่อื ง การพัฒนาผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นเรอื่ ง สารละลาย คอลลอยดแ์ ละอิมลั ช่นั รายวชิ าวทิ ยาศาสตรเ์ พื่อพฒั นาอาชีพศลิ ปกรรม โดยการจัดการเรยี นรู้ แบบใช้โครงงานเป็นฐานของนกั เรยี นประภทวชิ าศิลปกรรม ระดบั ปวช 3 วทิ ยาลยั อาชีวศึกษาเพชรบุรี โดย นางสาวอรนุช กอสวัสด์พิ ฒั น์ ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2564 แผนกวิชาสามญั สมั พันธ์ วิทยาลยั อาชวี ศึกษาเพชรบุรี สถาบนั การอาชีวศึกษาภาคกลาง 5 สำนกั งานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ

ก บทคดั ยอ่ การวจิ ัยครัง้ นี้ มวี ัตถุประสงค์คอื 1) เพอ่ื ออกแบบการสอนและใช้แนวทางการจัดการ การจัดการเรยี นร้แู บบใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน เรอ่ื ง สารละลาย คอลลอยด์และอิมลั ชั่น ในรายวชิ า วิทยาศาสตรเ์ พอื่ พัฒนาอาชพี ศลิ ปกรรม และ 2) เพ่ือพฒั นาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนของนักเรียน ระดบั ช้ัน ปวช.3 แผนกวิชา คอมพิวเตอรก์ ราฟิก และแผนกวชิ าวิจิตรศิลป์ รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ เพื่อพฒั นาอาชพี ศลิ ปกรรม โดยศึกษาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนระหวา่ งเรยี นและหลงั เรยี น ตาม รูปแบบทผี่ ู้วจิ ัยออกแบบไว้ สำหรบั การจัดการเรยี นการสอน ในหน่วยการเรยี นเรอ่ื ง สารละลาย คอลลอยด์และอมิ ัลชัน รายวทิ ยาศาสตร์เพอ่ื พัฒนาอาชพี ศลิ ปกรรม จากการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ โดยใช้โครงงานเป็นฐาน กลมุ่ เป้าหมายเป็นนกั เรยี นระดบั ปวช.3 ประเภทวชิ าศิลปกรรม สาขาวชิ า คอมพวิ เตอรก์ ราฟกิ จำนวน 29 คน และสาขาวชิ าวิจติ รศิลป์ จำนวน 4 คน วทิ ยาลัยอาชวี ศกึ ษา เพชรบรุ ี ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2564 รวม จำนวน 33 คน โดยไดจ้ ดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ภาคทฤษฎีและปฏิบตั คิ วบคู่กัน กบั การทำกจิ กรรมเพ่ือฝึกทกั ษะปฏบิ ัตกิ ารคำนวณ และได้ประเมนิ จากทักษะปฏบิ ตั งิ านคำนวณโจทย์ปญั หา เรอื่ ง ความเข้มขน้ ของสารละลาย และทกั ษะการเตรียม สารละลายตามความเขม้ ข้นท่ีกำหนด มกี ารทำกิจกรรมระหว่างเรยี นดว้ ยการตอบปญั หาออนไลน์ และการฝึกทักษะการคำนวณตามโจทยท์ ่คี รูสร้างขนึ้ และนกั เรียนสรา้ งขนึ้ สลับกัน ใช้ฝกึ ปฏิบัตกิ าร คำนวณ โดยใหน้ กั เรียนจบั คู่กัน เพื่อแลกเปล่ยี นเรยี นรดู้ ้วยการแก้ปัญหาโจทยค์ ำนวณของเพอื่ นและ สลบั กนั ประเมนิ ผลตามทตี่ นเป็นผสู้ ร้างโจทย์ไวเ้ พอื่ พฒั นาทกั ษะดา้ นการคำนวณ โดยมีการสอบหลงั เรยี น เมอ่ื จบหนว่ ยการเรยี นรู้ในรปู แบบออนไลน์ ผลทีไ่ ด้พบวา่ นกั ศึกษามีผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นท่ี สูงกว่าเกณฑ์ท่ีกำหนด ไว้ ตามดงั คา่ ประสทิ ธภิ าพของรปู แบบการจัดการเรียนการสอน E1/E2 คดิ เป็นรอ้ ยละ 76.51/82.48 จากการดำเนนิ การจดั การเรียนการสอนตามรปู แบบโครงงานเป็นฐาน ทำ ให้ผ้เู รียนสามารถคดิ พฒั นาโจทย์ปญั หา เรื่องความเขม้ ขน้ สารละลาย พรอ้ มท้งั สามารถคำนวณหา ปริมาณต่างๆ สำหรบั การเตรยี มสารละลายตามทก่ี ำหนดความเข้มข้นได้ และยงั พบว่าผเู้ รียนทงั้ 2 สาขาวชิ ามีทัศนคตคิ อ่ นข้างเห็นดว้ ย และมีความมงุ่ ม่นั ในการฝกึ ทกั ษะการคำนวณมากขนึ้ กวา่ การ เรยี นแบบปกติ โดยเฉพาะอย่างย่งิ ในส่วนของหวั ขอ้ การคำนวณหาค่าความเข้มขน้ ของสารละลาย และยงั ใหผ้ เู้ รียนเกิดความสนใจเรียนรายวิชาวิทยาศาสตรเ์ พอื่ งานศิลปกรรมเพ่มิ มากขึน้ อีกด้วย

ข กติ ติกรรมประกาศ งานวิจยั เรอื่ ง การพฒั นาผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นเรื่อง สารละลาย คอลลอยดแ์ ละอมิ ัลช่นั รายวิชาวิทยาศาสตร์เพ่อื พฒั นาอาชพี ศลิ ปกรรม โดยการจดั การเรยี นรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐานของ นักเรียนประภทวชิ าศลิ ปกรรม ระดับ ปวช 3 แผนกวิชาคอมพวิ เตอรก์ ราฟกิ และวิจิตรศิลป์ วิทยาลยั อาชวี ศึกษาเพชรบุรี ท่ีลงทะเบยี นเรยี นวิชาวทิ ยาศาสตรเ์ พอ่ื พัฒนาอาชพี ศิลปกรรม (20000-1304) ในภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564 จำนวน 2 หอ้ ง 34 คน ซงึ่ มีพืน้ ฐานการคำนวณแตกตา่ งกัน บางคนสามารถเขา้ ใจไดใ้ นการสอนเพียงคร้ังเดียว แต่บางคนไม่สามารถเข้าใจได้ แมว้ ่าครูจะสอนซ้ำ หลายรอบ ดังนน้ั การใหเ้ พ่ือนรุ่นเดยี วกัน อายใุ กลเ้ คยี งกนั และสนิทสนมกัน ชว่ ยกันสอน และใช้ กิจกรรมเสริมคือ การกำหนดโจทย์คำนวณ และการตั้งคำถามท่เี กี่ยวข้องกับเรื่องทเี่ รยี น สามารถทำ ใหส้ ามารถเรียนรไู้ ดด้ ขี ้นึ เนอื่ งจากได้มีการฝกึ ฝนซ้ำ และไดท้ ำโจทยท์ ีต่ นเองและเพื่อนสร้างกจิ กรรม ขนึ้ มีความชัดเจนและใกล้ชิดกวา่ และสามารถเรยี นรจู้ ากการทเ่ี พอ่ื นชว่ ยสอนไปทลี ะขัน้ ตอน ทา้ ยน้ีผวู้ ิจัยหวังเป็นอย่างยงิ่ วา่ วิจัยเรื่องนี้จะเปน็ ประโยชน์แกท่ กุ ทา่ นทสี่ นใจ ทจี่ ะนำวิธีการ ให้เพ่อื นทม่ี ี ความเขา้ ใจ ให้ชว่ ยตวิ เพื่อนทยี่ ังไม่เข้าใจเนื้อหา ซึ่งจะเป็นประโยชนต์ อ่ ไป อรนุช กอสวสั ด์ิพฒั น์ มีนาคม 2565

ค สารบัญ เรือ่ ง หนา้ บทคัดย่อ ก กติ ติกรรมประกาศ ข สารบัญ ค บทท่ี 1 ความเปน็ มาของปญั หาการวจิ ัย.………………………………………………………………………………..……………1 คำถามการวจิ ยั ....................................................................................................................................2 วัตถปุ ระสงค์........................................................................................................................................2 สมมตฐิ าน............................................................................................................................................3 กรอบแนวคิดการวิจัย..........................................................................................................................3 ขอบเขตของการวจิ ัย...........................................................................................................................3 นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ................................................................................................................................4 ประโยชนท์ ีค่ าดว่าจะไดร้ บั ..................................................................................................................4 บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ ก่ียวขอ้ ง……………………………….…………………………………….………….……………6 การจดั การเรยี นการสอนแบบ Active Learning................................................................................6 การเรียนรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน (Project-based Learning : PBL)..............................................8 หลักสตู รประกาศนยี บัตรวชิ าชพี ชั้น พุทธศักราช2562วชิ าวิทยาศาสตร์ศลิ ปกรรม..........................17 งานวิจยั ที่เกยี่ วข้อง.............................................................................................................................19 บทท่ี 3 วิธดี ำเนนิ การวจิ ัย..................……………………………..………………………………………………….……………..23 ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง.................................................................................................................23 เครือ่ งมือทใี่ ชใ้ นการวจิ ัย......................................................................................................................23 ข้ันตอนการดำเนินการวจิ ยั และสถติ ทิ ่ีใชใ้ นการวิเคราะหข์ อ้ มลู ..........................................................25 แผนกการจดั การเรียนรแู้ ละส่ือการสอน.............................................................................................26 กจิ กรรมการจัดการเรยี นรู้เรอื่ งความเข้มขน้ ของสารละลายและคอลลอยด์........................................27 แบบวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนเร่อื งสารละลายและคอลลอยด์..........................................................29 บทที่ 4 ผลการวิจยั ............................……………………………..…………………………………………………..………………30 บทที่ 5 สรปุ ผลการวจิ ยั อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ......................………….…………..………….…..…..………....36 สรปุ ผลการวิจัย....................................................................................................................................36 อภปิ รายผล..........................................................................................................................................38 ข้อเสนอแนะ.........................................................................................................................................40 บรรณานุกรม.....................................................................................................................................................41 ภาคผนวก...................................................................................................................... .....................................42

บทท่ี 1 บทนำ 1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา วิทยาศาสตร์ เป็นศาสตร์ทม่ี ีความสำคญั ตอ่ ความเจรญิ กา้ วหนา้ ของสงั คมโลก ทง้ั ในปจั จบุ ัน และในอนาคต ซงึ่ เปน็ ท่ียอมรบั วา่ วทิ ยาศาสตรม์ ีบทบาทตอ่ การพฒั นาประเทศ ในท้ังดา้ นเศรษฐกจิ การศึกษา โทรคมนาคม การแพทย์ สาธารณสขุ ฯลฯ รวมท้ังสิ่งอำนวยความสะดวกตา่ ง ๆ ในชีวิตประจำวันล้วนเป็นผลมาจากความรทู้ างวิทยาศาสตร์ ตลอดจน เป็นเคร่อื งมอื สำคญั ทจี่ ะช่วย ยกระดบั มาตรฐานความเป็นอยูข่ องประชาชนให้สงู ขน้ึ ดังที่มรี ายงานจาก สถาบนั ส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2546 : 1) ได้กล่าวว่า วทิ ยาศาสตรเ์ ป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ ซ่ึงเป็นสงั คมแหง่ การเรียนรู้ (Knowledge based socicty) ทกุ คนจงึ จำเป็นตอ้ งไดร้ บั การพฒั นาใหม้ ี ความรู้วิทยาศาสตร์ (Society literacy for all) เพอื่ ทจ่ี ะไดเ้ ขา้ ใจเกย่ี วกับในโลกธรรมชาติ และ เทคโนโลยีท่มี นษุ ยส์ ร้างข้นึ และสามารถนำความรู้นน้ั ไปใช้ไดอ้ ย่างมเี หตุผลเกิดประโยชน์ และมีความ สรา้ งสรรคม์ คี ุณธรรมดงั เห็นไดจ้ ากประเทศทมี่ คี วามเจริญกา้ วหน้าทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีสงู มกั จะเป็นประเทศผู้นำทางด้านเศรษฐกจิ และยังมีอำนาจตอ่ รองกับนานาอารยประเทศ ดังนนั้ จึงทำ ให้ประเทศที่กำลงั พฒั นาทง้ั หลายรวมทงั้ ประเทศไทย จงึ ไดพ้ ยายามนำเอาความรู้ดา้ นวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยมี าใชใ้ นการพฒั นาประเทศให้เจรญิ กา้ วหนา้ ทดั เทยี มกับนานาอารยประเทศ การจดั การสอนหลักสตู รประกาศนยี บัตรวิชาชีพ พุทธศกั ราช 2562 จัดเป็นหลกั สตู รระดบั ผ้เู รียนหลังจบมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ หรือเทยี บเท่าดา้ นวิชาชีพมีความสอดคล้องกบั แผนพฒั นาเศรษฐกิจ และสงั คมแหง่ ชาติ แผนการศกึ ษาแห่งชาตเิ ปน็ ไปตามกรอบคุณวฒุ ิแหง่ ชาติ มาตรฐานการศึกษา ของชาติ และกรอบคุณวุฒอิ าชวี ศึกษาแห่งชาติ เพ่อื ผลิตและพัฒนากำลงั คนระดับฝมี ือใหม้ สี มรรถนะ มคี ุณธรรม จรยิ ธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ สามารถประกอบอาชีพได้ตรงตามความตอ้ งการของ สถานประกอบการ รวมทง้ั การประกอบอาชีพอสิ ระได้ จดั เปน็ หลักสตู รทเ่ี ปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นไดเ้ ลอื ก เรยี นไดอ้ ยา่ งกว้างขวาง เนน้ สมรรถนะเฉพาะดา้ น ด้วยการฝึกปฏิบตั จิ ริง สามารถเลือกวิธีการเรยี น ไดต้ ามศกั ยภาพและโอกาสของผูเ้ รียนโดยเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนสามารถเทยี บโอนผลการเรียนสะสมผล การเรียน เทยี บโอนความรูแ้ ละประสบการณจ์ ากแหลง่ วทิ ยาการ สถานประกอบการ รวมทัง้ สถาน ประกอบอาชพี อสิ ระ สำหรบั รายวิชาวทิ ยาศาสตรเ์ พ่ือพัฒนาอาชพี ศิลปกรรม น้ันเป็นรายวชิ าหนึง่ ใน โครงสร้างของหลักสตู รประกาศนียบัตรวชิ าชีพ พุทธศกั ราช 2562 จดั อยู่ในหมวดวิชาสมรรถนะ แกนกลางมกี ารประเมนิ เน้นตามสภาพจรงิ ทั้งน้ี ให้เปน็ ไปตามระเบยี บสํานักงานคณะกรรมการการ

2 อาชวี ศกึ ษาวา่ ด้วยการจัดการศึกษาและการประเมนิ ผลการเรยี นตามหลักสูตรประกาศนียบตั รวชิ าชีพ สำหรบั หนว่ ยการเรยี นร้เู รือ่ ง สารละลาย คอลลอยด์ และสารอมิ ลั ชนั จากผลการประเมินทผ่ี า่ นมา ประสบกบั ปัญหาด้านผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นของนักเรียนคอ่ นขา้ งต่ำ เน่ืองจากมสี ว่ นทต่ี อ้ งมีการ คำนวณ ค่าความเข้มขน้ สารละลาย การทำความเขา้ ใจคอลลอยด์เฟสต่างๆ ซ่ึงเป็นเนอื้ หาที่มีความ ยาก ผเู้ รียนตอ้ งใชจ้ นิ ตนาการ รวมทงั้ ทักษะการคำนวณ โดยหน่วยการเรียนนี้ เปน็ เนื้อหาส่วนหนง่ึ ของในรายวชิ า วทิ ยาศาสตรเ์ พือ่ พัฒนาอาชีพศิลปกรรม ซึง่ จัดเปน็ วชิ าบังคบั ที่ผเู้ รียนประเภทวชิ า ศิลปกรรม โดยในภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2564 น้ี ผ้เู รยี นกลุ่มนี้ของวทิ ยาลัยอาชวี ศกึ ษาเพชรบรุ ี ประกอบด้วยแผนกวชิ าคอมพวิ เตอร์กราฟิกจำนวน 29 คน และแผนกวชิ าวิจิตรศลิ ป์จำนวน 4 คน รวม 2 หอ้ งเรยี นทง้ั หมด 33 คน นอกจากนี้ ผสู้ อนได้ศึกษาแนวคดิ ท่ีสำคญั เกย่ี วกบั การจัดการเรียนรู้ แบบโครงงานเปน็ ฐานนนั้ วา่ เป็นการเนน้ การจัดการเรยี นรทู้ ใี่ ห้ผู้เรยี นไดร้ บั ประสบการณ์ชวี ติ ในขณะท่ี เรยี น ชว่ ยให้ผู้เรยี นได้พัฒนาทกั ษะตา่ งๆ ซึ่งสอดคล้องกับหลักพัฒนาการคิดของ Bloom ทงั้ 6 ข้ัน คือ ความรคู้ วามจำ (Remembering) ความเขา้ ใจ (understanding) การประยกุ ตใ์ ช้ (Applying) การวิเคราะห์ (Analyzing) การประเมนิ ค่า (Evaluating) และ การคิดสร้างสรรค์ (Creating) ซง่ึ การ จดั การเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน น้ีจัดเป็นเป็นอกี รปู แบบหนงึ่ ที่ถือได้ว่าเป็น การจดั การเรยี นรทู้ ่ี เน้นผเู้ รียนเป็นสำคัญ เนื่องจากผ้เู รยี นไดล้ งมือปฏิบัตเิ พอ่ื ฝกึ ทกั ษะตา่ งๆ ด้วยตนเองทกุ ขนั้ ตอน โดยมี ครูเปน็ ผู้จัดประสบการณก์ ารเรยี นรู้ จากเหตผุ ลดงั กล่าว ผวู้ จิ ยั จงึ สนใจท่ีจะใช้พัฒนาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนเรอ่ื ง สารละลาย คอลลอยด์และอมิ ลั ชน่ั รายวชิ าวิทยาศาสตรเ์ พ่อื พฒั นาอาชพี ศลิ ปกรรม โดยการจัดการเรยี นรู้แบบ ใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน ของนกั เรยี นชน้ั ปวช 3แผนกคอมพิวเตอรก์ ราฟกิ และแผนกวชิ าวจิ ิตรศลิ ป์ ที่ส่งผลใหน้ กั เรียนมผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนสงู ข้นึ และผา่ นเกณฑม์ าตรฐานอาชวี ศกึ ษารวมถึงส่งเสรมิ ใหผ้ ู้เรยี นมคี วามสนใจใฝ่รู้ มจี ิตวทิ ยาศาสตร์ 2. คำถามการวิจัย การจัดการเรยี นรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน เรื่อง สารละลาย คอลลอยดแ์ ละอมิ ลั ชน่ั รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์เพอื่ พฒั นาอาชพี ศลิ ปกรรมสามารถพฒั นาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นของนักเรียนระดบั ชนั้ ปวช.3 ประเภทวิชาศลิ ปกรรม แผนกวชิ าคอมพวิ เตอรก์ ราฟกิ และแผนกวชิ าวจิ ติ รศลิ ป์ ได้ 3. วัตถุประสงค์ 3.1 เพือ่ ออกแบบการสอนและใช้แนวทางการจดั การเรยี นร้แู บบใช้โครงงานเป็นฐาน เร่ือง สารละลาย คอลลอยด์และอมิ ลั ชั่น ในรายวิชาวทิ ยาศาสตรเ์ พอ่ื พฒั นาอาชพี ศิลปกรรม

3 3.2 เพอื่ พฒั นาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของนกั เรยี นระดบั ช้นั ปวช.3 แผนกวิชา คอมพิวเตอรก์ ราฟกิ และแผนกวชิ าวิจติ รศิลปร์ ายวิชาวทิ ยาศาสตร์เพอ่ื พัฒนาอาชพี ศิลปกรรม เรือ่ ง สารละลาย คอลลอยดแ์ ละอมิ ัลชนั่ 4. สมมติฐาน 4.1 ไดร้ ูปแบบแนวทางของวิธีการจดั การเรยี นรู้ แบบใชโ้ ครงงานเป็นฐาน เร่อื ง สารละลาย คอลลอยด์และอมิ ลั ชัน่ ในรายวิชาวทิ ยาศาสตรเ์ พอื่ พฒั นาอาชพี ศลิ ปกรรม ท่มี ีความเหมาะสม สำหรับใชพ้ ัฒนาผเู้ รยี นระดบั ประกาศนียบัตรวชิ าชพี ชัน้ ปีท่ี 3 ประเภทวิชาศลิ ปกรรม 4.2 ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น เรอ่ื ง สารละลาย คอลลอยดแ์ ละอิมลั ช่ัน รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ เพอื่ พฒั นาอาชพี ศิลปกรรมของนกั เรยี น ระดบั ช้ันปวช.3 แผนกวชิ าคอมพิวเตอร์กราฟิก และแผนก วชิ าวจิ ติ รศิลป์หลังเรียนสงู กวา่ ก่อนเรียน 5. กรอบแนวคดิ การวจิ ัย จากการศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ัยท่ีเก่ียวขอ้ ง ผูว้ จิ ัยไดก้ ำหนดกรอบแนวคดิ ดังน้ี วิธกี ารสอนแบบโครงงานเป็น ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น ฐานเรือ่ ง สารละลาย คอลลอยดแ์ ละอมิ ลั ช่ัน รายวชิ าวิทยาศาสตรเ์ พือ่ พฒั นาอาชพี ศิลปกรรม ตวั แปรอสิ ระ ตัวแปรตาม 6. ขอบเขตการวิจยั (ประชากร / กลุ่มตัวอยา่ ง ตวั แปรทศี่ ึกษา ระยะเวลา) 6.1 ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง ประชากร ไดแ้ ก่ ผู้เรยี นประเภทวิชาศิลปกรรม ระดบั ประกาศนยี บัตรวิชาชีพชน้ั ปที ี่ 3 ของวทิ ยาลยั อาชีวศึกษาเพชรบรุ ี ท่เี รียนรายวิชาวทิ ยาศาสตรเ์ พ่ือพฒั นาอาชีพศลิ ปกรรม ประจำ ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2564 จำนวน 33 คน ประกอบดว้ ยผเู้ รียนแผนกวิชาคอมพิวเตอร์ กราฟกิ 29 คน และ แผนกวชิ าวจิ ติ รศิลป์ 4 คน

4 6.2 ตวั แปรทศ่ี กึ ษา ตัวแปรอสิ ระ ได้แก่ วิธีสอนแบบโครงงานเป็นฐาน เรือ่ ง สารละลาย คอลลอยด์ และอมิ ลั ชัน วชิ าวิทยาศาสตร์เพอื่ พฒั นาอาชพี ศลิ ปกรรม ตวั แปรตาม ไดแ้ ก่ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น เรอ่ื ง สารละลาย คอลลอยดแ์ ละอมิ ลั ชนั ของนักเรียนทเี่ รียนดว้ ยวิธีการสอนแบบโครงงานเปน็ ฐาน 6.3 ระยะเวลาท่ใี ช้ในการวจิ ัย ดำเนนิ การในเดอื นพฤศจิกายน พ.ศ.2564 ถงึ เดือนกุมภาพนั ธ์ พ.ศ.2565 6.4 เนอื้ หาทที่ ำวจิ ัย เนือ้ หาทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัยครง้ั น้ี คือ สารละลาย คอลลอยด์ และอมิ ลั ชันเรือ่ ง ดงั นี้ 6.4.1 ความหมายของสารละลาย 6.4.2 การคำนวณความเขม้ ข้นของสารละลาย 6.4.3 พลงั งานกบั การละลาย 6.4.4 คอลลอยด์ 6.4.5 ระบบของคอลลอยดเ์ ฟสต่างๆ 6.4.6 อมิ ลั ชนั 6.4.7 การทำงานของสารสร้างอมิ ลั ชนั 7. นิยามศพั ท์เฉพาะ 7.1 การจดั การเรยี นการสอนแบบโครงานเป็นฐาน หมายถงึ การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน ท่ีเน้นทกี่ ารจัดประสบการณใ์ หแ้ ก่ผเู้ รียนเหมือนกบั การทำงานในชีวติ จริง ทีน่ ำความสนใจ ซง่ึ เกดิ มา จากตัวผู้เรียนมาใชใ้ นการทำกิจกรรมคน้ คว้าหาความรู้ด้วยตวั ขอผู้เรียนเองนำไปสกู่ ารเพมิ่ ความรทู้ ไี่ ด้ จากการลงมือปฏิบตั ิ การฟงั และการสังเกตุจากผเู้ ชี่ยวชาญ 7.2 ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น หมายถงึ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นก่อนและหลังเรยี นเร่อื งสารละลาย คอลลอยด์ และอิมลั ชนั ดว้ ยวิธกี ารสอนแบบโครงงานเปน็ ฐาน 8. ประโยชนท์ คี่ าดวา่ จะไดร้ บั 8.1 ผเู้ รยี นมผี ลสัมฤทธท์ิ างการเรียนสงู ขน้ึ 8.2 ผู้เรยี นพึงพอใจวธิ กี ารสอนแบบโครงงานเปน็ ฐานสามารถนำไปใชใ้ นการพฒั นาผเู้ รยี น ในวทิ ยาลยั อาชวี ศกึ ษาเพชรบรุ ี และสามารถทำให้ผเู้ รียนมที กั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์

5 8.3 ผเู้ รยี นสาขาคอมพิวเตอรก์ ราฟกิ ระดบั ประกาศนยี บัตรวชิ าชีพ ชั้นปที ่ี 3 ของวิทยาลยั อาชีวศกึ ษาเพชรบุรมี ีทกั ษะปฏิบัติและความรใู้ น เร่ืองสารละลาย คอลลอยดแ์ ละสารแขวนลอย และสามารถพฒั นาตนเองใหเ้ กดิ ทักษะ และมีเจตคตทิ ี่ดตี อ่ การเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์ 8.4 ได้แนวทางในการพฒั นาทกั ษะทางการเรียนวิทยาศาสตร์ท่ีสะทอ้ นคุณภาพของการเรยี น และชว่ ยให้มแี นวทางในการพฒั นาการจัดการเรยี นรู้วิชาวทิ ยาศาสตรต์ ลอดจนสามารถปรบั เปลย่ี น เจตคตขิ องผ้เู รยี นทม่ี ีตอ่ การเรียนวิชาวทิ ยาศาสตร์ในทางทด่ี ขี ึ้น

บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยทเ่ี กยี่ วข้อง ในการดำเนนิ การวิจัย เรื่อง การพฒั นาผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นเรื่อง สารละลาย คอลลอยด์ และ อมิ ลั ชั่น รายวชิ าวิทยาศาสตรเ์ พื่อพัฒนาอาชพี ศิลปกรรม โดยการจดั การเรยี นรูแ้ บบใช้โครงงานเปน็ ฐาน ของผู้เรยี นประเภทวชิ าศิลปกรรมระดบั ช้นั ปวช 3 วทิ ยาลยั อาชีวศึกษาเพชรบรุ ี ผูว้ ิจัยไดศ้ ึกษาและคน้ คว้า ข้อมลู พรอ้ มทงั้ สบื คน้ และรวบรวมสาระสำคญั ท่ีเกย่ี วกบั การพัฒนาผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน เร่ืองสารละลาย คอลลอยดแ์ ละอมิ ัลชน่ั และงานวจิ ัยท่เี กีย่ วข้อง ดงั น้ี 1. การจัดการเรยี นการสอนแบบ Active Learning 1.1 การจัดการเรียนประสบการณ์ (Experiential Learning) 1.2 การสอนแบบโครงงานเปน็ ฐาน (Project Based Learning) 1.3 การสอนแบบใช้ปญั หาเป็นฐาน (Problem Based Learning) 1.4 การสอนท่เี นน้ ทกั ษะกระบวนการคิด (Thinking BasedLearning) 2. การเรียนรู้โดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน (Project-based Learning : PBL) 2.1 แนวคิดสำคัญของการสอนแบบใช้ปญั หาเป็นฐาน (Problem Based Learning) 2.2 ขน้ั ตอนการจดั การเรยี นรูแ้ บบใช้โครงงานเป็นฐาน 3. หลกั สตู รรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์เพื่อพัฒนาอาชีพศิลปกรรม 3.1 จุดประสงค์ สมรรถนะและคำอธบิ ายรายวิชาวทิ ยาศาสตรเ์ พอื่ พฒั นาอาชีพศิลปกรรม 3.2 ความสำคัญของรายวชิ าวทิ ยาศาสตรเ์ พ่ือพฒั นาอาชีพศลิ ปกรรม 3.3 หลักการสอนรายวิชาวิทยาศาสตรเ์ พ่อื พฒั นาอาชพี ศิลปกรรม 4. งานวจิ ัยท่เี กี่ยวข้อง 1. การจดั การเรียนการสอนแบบ Active Learning มดี ังนี้ 1) การจัดการเรียนรู้แบบเน้นประสบการณ์ (Experiential Learning) เป็นการสอนที่ส่งเสริมให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากประสบการณท์ ่ีเป็นรูปธรรมเพ่ือนำไปสู่ความรู้ความเข้าใจเชงิ นามธรรม เหมาะกบั รายวิชาที่เนน้ ปฏบิ ัติ หรือเนน้ การฝกึ ทกั ษะ สามารถใช้จดั การเรยี นการสอนได้ทงั้ เปน็ กลุ่ม และเปน็ รายบุคคล หลักการสอนคอื ผู้สอนวางแผนจดั สถานการณ์ให้ผ้เู รยี นมปี ระสบการณ์จำเปน็ ต่อการเรยี นรู้กระตุ้นให้ผู้เรียน สะท้อนความคิด อภิปราย สิ่งท่ีได้รับจากสถานการณ์ ตัวอย่างเทคนคิ การสอนทีใ่ ช้ในการจดั การเรียนร้แู บบ เน้นประสบการณ์ ไดแ้ ก่ เทคนิคการสาธิต และเทคนิคเนน้ การฝึกปฏิบัติ ข้นั ตอนดังนี้ 1.1) เทคนิคการสอนแบบการสาธิต ผู้สอนวางแผนการสอนและออกแบบกิจกรรมการเรยี นรู้ โดยแบง่ สดั ส่วนเวลาสำหรับการบรรยายและการสาธิต พร้อมกบั คดั เลือกวธิ ีการทีจ่ ะลงมือปฏิบัติให้ผู้เรียนได้ เรยี นรู้ โดยถ้าเปน็ กิจกรรมกลมุ่ จะต้องมีการวางโครงสร้างการทำงานกลุ่ม การแบง่ หน้าที่ จากน้ันดำเนินการ

7 บรรยายเนื้อหาและสาธติ โดยขณะสาธิตจะเปดิ โอกาสให้ผูเ้ รยี นซกั ถาม ผ้สู อนแนะนำเทคนิค จากน้นั ใหผ้ เู้ รยี น ลงมือปฏิบตั แิ ละผสู้ อนประเมนิ ผ้เู รยี นโดยการสงั เกตพรอ้ มกบั ให้คำแนะนำ ในจุดทบ่ี กพร่องเป็นรายบุคคลหรอื เป็นรายกลุ่ม เมอื่ เสรจ็ สนิ้ การปฏิบตั ิกจิ กรรม ผู้สอนและผู้เรยี นรว่ มกนั อภิปราย สรปุ ผลส่ิงทไี่ ดเ้ รียนรู้จากการ ลงมอื ปฏิบัติ 1.2) เทคนิคการสอนแบบเนน้ ฝกึ ปฏิบตั ิ ผสู้ อนวางแผนและออกแบบกิจกรรมท่ีเน้นการฝกึ ทกั ษะ เช่น การฝกึ ทกั ษะทางภาษา โดยจัดกิจกรรมท่ีกระต้นุ ใหผ้ เู้ รียนได้ฝึกทกั ษะซ้ำ ๆ อาจเป็นในลกั ษณะใช้ โปรแกรมช่วยสอนสำหรับการฝึก โดยผู้สอนมีบทบาทให้คำแนะนำ อำนวยความสะดวก กระตุ้นให้ผู้เรียนมี สว่ นร่วมในชน้ั เรยี น 2) การสอนแบบโครงงาน (Project Based Learning) การสอนแบบโครงงานสามารถจัดเป็นกจิ กรรม กลมุ่ หรือกิจกรรมเดย่ี ว โดยพิจารณาจากความยากงา่ ย และความเหมาะสมของโจทย์งาน และคุณลักษณะที่ ต้องการพัฒนา วางแผนและกำหนดเกณฑ์อย่างกว้างๆ แล้วให้นักศึกษาวางแผนดำเนินการ ศึกษาค้นคว้า ข้อมูลด้วยตนเอง โดยผู้สอนมีบทบาทเป็นผู้ให้คำปรึกษา จากนั้นให้นักศึกษานำเสนอแนวคิด การออกแบบ ชิ้นงาน พร้อมให้เหตุผลประกอบจากการคน้ คว้า ให้ผู้สอนพิจารณาร่วมกับการอภปิ รายในชั้นเรียน จากน้ัน ผู้เรยี นลงมือปฏบิ ตั ิทำช้ินงาน และสง่ ความคืบหน้าตามกำหนด การประเมินผลจะประเมนิ ตามสภาพจรงิ โดยมี เกณฑ์การประเมินกำหนดไว้ลว่ งหน้าและแจง้ ใหผ้ ้เู รียนทราบก่อนลงมือทำโครงการและมีการเชิญผทู้ รงคณุ วุฒิ จากหน่วยงานภายนอกมาร่วมประเมนิ ผล 3) การสอนแบบใช้ปญั หาเปน็ ฐาน (Problem Based Learning) เปน็ การสอนทสี่ ่งเสริมให้ผเู้ รยี นเกดิ จากเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด ด้วยการศึกษาปัญหาที่สมมุติขึ้นจากความจริง แล้วผู้สอนกับผู้เรียน ร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาเสนอวิธีแก้ปัญหา หลักของการสอนแบบใช้ปัญหาเป็นฐานคือการเลือกปัญหาที่ สอดคล้องกับเนื้อหาการสอนและกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดคำถาม วิเคราะห์ วางแผนกำหนดวิธีแก้ปัญหาด้วย ตนเอง โดยผู้สอนมีบทบาทให้คำแนะนำแก่ผู้เรียนขณะลงมือแก้ปัญหา สุดท้ายเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ แก้ปัญหาผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันสรุปผลการแก้ปัญหา และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ถึงสิ่งที่ได้จากการลงมือ แก้ปญั หา 4) การสอนที่เนน้ ทักษะกระบวนการคดิ (Thinking Based Learning) เปน็ กระบวนการสอนท่ีผู้สอน ใช้เทคนิค วิธีการกระตุ้นให้ผู้เรียน คิดเป็นลำดับขั้นแล้วขยายความคิดต่อเนื่องจากความคิดเดิม พิจารณา แยกแยะอย่างรอบด้าน ด้วยให้เหตุผลและเชื่อมโยงกับความรู้เดิมที่มี จนสามารถสร้างสิ่งใหม่หรือตัดสิน ประเมนิ หาขอ้ สรุปแลว้ นำไปแกป้ ัญหาอย่างมีหลักการ โดยการสอนที่เนน้ กระบวนการคิดนี้แบ่งออกเป็นการ สอนทเ่ี น้นทกั ษะกระบวนการคดิ คำนวนและการสอนทีเ่ นน้ กระบวนการคิดอยา่ งมวี ิจารณญาณ มขี ัน้ ตอนดังนี้ 4.1) การสอนทีเ่ น้นกระบวนการคดิ คำนวณ เริ่มจากผู้สอนทบทวนเนื้อหาเดิม โดยแสดงวธิ ีการ คิดคำนวณเป็นลำดับขั้น จากนั้นกำหนดโจทยใ์ ห้ผูเ้ รียนฝึกคิด วิเคราะห์ เป็นลำดับขัน้ เน้นการฝึกคำนวณซ้ำ กบั โจทย์ใหม่ และสดุ ทา้ ยผ้สู อนและผู้เรียนรว่ มกันสรุปขัน้ ตอนการคิด การประเมินผลการเรยี นรู้ประเมินจาก ขน้ั ตอนกระบวนการคิดเป็นลำดบั ข้นั ที่นกั ศกึ ษาแสดงไวใ้ นการแกโ้ จทยค์ ำนวณ

8 4.2) การสอนทเ่ี นน้ กระบวนการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ จากการอภิปรายและแสดงความคิดเห็น เป็นหัวใจสำคัญของการสอนทีเ่ น้นกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดยเริ่มจากผู้สอนกระตุ้นผู้เรียนเกิด คำถามหรอื ตง้ั คำถาม จากนัน้ ผู้สอนโน้มนา้ ว สร้างสถานการณใ์ ห้ผู้เรียนขยายความคดิ และเช่อื มโยงองคค์ วามรู้ จากน้ันเปดิ โอกาสให้ผู้เรียนรว่ มกนั แสดงความคดิ เห็น อภปิ รายในชั้นเรยี น โดยผูส้ อนมบี ทบาทชว่ ยชี้แนะและ สรุปความคิดตามหลักการ สุดทา้ ยให้ผ้เู รียนพัฒนาชิน้ งาน หรอื ทำแบบฝกึ หัด เพ่ือประเมินผลการเรียนรู้ 2. การเรยี นรูโ้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน (Project-based Learning : PBL) 2.1 แนวคิดสำคัญของการสอนแบบใชป้ ัญหาเปน็ ฐาน (Problem Based Learning) แนวคดิ เก่ียวกับการจดั การเรยี นรูแ้ บบโครงงานเป็นฐาน นบั เป็นแนวคิดทีน่ ักการศึกษาส่วนใหญ่ให้ ความสนใจและเหน็ วา่ มคี วามสอดคลอ้ งกบั การจัดการศกึ ษา ในศตวรรษที่ 21มากทส่ี ุด คอื ทฤษฎีการเรยี นรู้ แบบสร้างสรรคน์ ยิ ม (Constructivist Learning Theory) ซ่งึ ได้แก่ ทฤษฎกี ารสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) และทฤษฎกี ารสร้างความรดู้ ้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ชนิ้ งาน (Constructionism) ซึ่งมคี วามเช่อื ว่าการเรียนรจู้ ะเกดิ ขึ้นเมือ่ ผ้เู รียนได้สร้างความรู้ทเ่ี ปน็ ของตนเอง สรา้ งความรทู้ เ่ี กดิ จากความ เขา้ ใจของตนเอง และมสี ่วนรว่ มในการเรียน (Active Learning) มากขนึ้ รปู แบบจากการเรียนรู้ทเี่ กิดจาก แนวคิดนี้มีหลายรปู แบบ ไดแ้ ก่ การเรยี นรแู้ บบรว่ มมือ (Cooperative Learning) การเรียนรู้แบบชว่ ยเหลือกัน (Collaborative Learning) การเรยี นร้โู ดยการคน้ คว้าอย่างอสิ ระ (Independent Investigation Method) รวมท้ัง การเรียนรู้โดยใชป้ ญั หาเป็นฐาน (Problem–Based Learning) (ยรรยง สินธงุ์ าม, 2556) การจดั การ เรียนรูแ้ บบโครงงานเปน็ ฐาน (Project-Based Learning: PjBL) เป็นการส่งเสริมการเรยี นรู้ตลอดชวี ติ มคี วาม สอดคล้องกบั ทฤษฎกี ารสร้างความรู้ด้วยตนเอง ทฤษฎีการสร้างความรดู้ ้วยตนเอง โดยการสร้างสรรค์ช้นิ งาน และการเรียนรแู้ บบร่วมมือ ซึ่งมีขั้นตอนการเรียนรู้ทเี่ กยี่ วขอ้ ง กบั การแสวงหาความรู้การใช้กระบวนคิด และ ทกั ษะในการแกป้ ัญหา ผู้เรยี นจะเรียนรโู้ ดยสรา้ ง องคค์ วามร้ดู ้วยตนเองโดยใช้โครงงานเป็นฐาน ซงึ่ การจัดการ เรียนรลู้ กั ษณะนี้ ผเู้ รียนตอ้ งศกึ ษา ค้นคว้า ทดลอง ปฏิบัติและแก้ปญั หา เพอื่ สรา้ งผลงานหรอื ชิน้ งาน เป็นการ ฝกึ ใหผ้ ้เู รียนไดเ้ รยี นรจู้ าก การกระทำ เพอ่ื สร้างองค์ความรทู้ ถ่ี าวรด้วยตวั ผู้เรยี นเอง ท้ังนี้ผู้เรียนอาจทำเปน็ กลมุ่ เลก็ หรือเปน็ กลมุ่ ใหญก่ ็ได้ ซ่งึ จะเป็นการฝึกใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ทกั ษะการทำงานเปน็ ทีม ได้รว่ มมอื รว่ มใจ ใน การทำงานรว่ มกัน เพอื่ ให้บรรลเุ ปา้ หมายของกลมุ่ และเกดิ ผลสำเรจ็ ร่วมกัน สำนักงานคณะกรรมการการ อาชีวศกึ ษา ตระหนกั ถึงความสำคญั ของการจดั การเรียนรูแ้ บบ โครงงานเป็นฐาน ในการพัฒนาคุณภาพ ผู้เรยี นใหม้ ที ักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 จงึ ไดก้ ำหนดเป็นนโยบาย หลักในการขบั เคล่ือนสสู่ ถานศึกษา โดยการ จดั การเรียนรแู้ บบนเี้ ปน็ การเรียนรู้ทผ่ี ู้เรยี นรว่ มกันศึกษา คน้ ควา้ ทดลอง ปฏิบตั ิ และแกป้ ัญหา เป็นการพฒั นา ความสามารถในการเรยี นรูท้ เ่ี ปิดโอกาสให้ ผเู้ รียนได้สบื ค้น เพมิ่ ทักษะการคดิ และการพง่ึ พาตนเอง โดยท่ีมี วัตถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ให้ผเู้ รยี นได้ใช้ความรู้ ทกั ษะและประสบการณ์ของตนเอง ไดแ้ สดงออกถึงผลลัพธท์ ่ีได้จาก การศกึ ษาเรียนรู้ และความคดิ สรา้ งสรรค์ ดว้ ยการเรยี นรู้ทเ่ี นน้ การมสี ว่ นร่วม การแลกเปล่ยี นประสบการณ์ การฝกึ ฝนทักษะ การสง่ เสรมิ คณุ ธรรมจริยธรรมและ ความเป็นประชาธิปไตย กระบวนการเรียนรปู้ ระกอบดว้ ย

9 การกำหนดประเด็นปัญหา การกำหนดวธิ หี าคำตอบและการสรุปองค์ความร้จู ากโครงงาน (หนว่ ย ศกึ ษานเิ ทศก์, 2556) 2.2 ขน้ั ตอนการจดั การเรยี นรู้แบบใช้โครงงานเปน็ ฐาน การจัดการเรียนรแู้ บบโครงงานเป็นฐาน (Project-based Learning: PjBL) หมายถงึ กระบวนการ จัดการเรียนการสอนทเี่ นน้ การใชก้ จิ กรรมโครงงาน ประกอบดว้ ย 6 ข้ันตอน คอื ข้นั เตรียมความพร้อม ขนั้ กำหนดและเลอื กหวั ข้อ ขัน้ เขยี นเคา้ โครงของโครงงาน ขัน้ ปฏิบตั งิ านโครงงาน ข้นั นำเสนอผลงาน และขน้ั ประเมนิ โครงงาน การเรียนรูแ้ บบโครงงานเป็นฐาน (Project-based Learning: PjBL) เป็นวธิ กี ารจดั การ เรียนรทู้ ี่เน้น ผ้เู รียนเป็นสำคญั วิธีหนงึ่ ทจ่ี ะช่วยพัฒนาผู้เรียนทงั้ ดา้ นความรูแ้ ละทกั ษะ ผา่ นกระบวนการศึกษาคน้ คว้าและ การใชค้ วามร้ใู นชีวติ จริง ขบั เคลือ่ นผา่ นกจิ กรรมและการแกป้ ัญหา ทที่ ้าทายร่วมกัน โดยมีผลงานที่แสดงถึง ศักยภาพ และความสำเรจ็ ของผเู้ รยี น การจดั การเรียนรู้ในระดบั อาชีวศกึ ษา จำเปน็ ตอ้ งเตรียมผู้เรียนเขา้ สู่ ศตวรรษท่ี 21 เพื่อใหเ้ ปน็ ผปู้ ฏิบตั ิงานบนพน้ื ฐานความรู้ (Knowledge Worker) ทสี่ ามารถคดิ เป็น ทำเปน็ มีวิธีการหาความรู้ สร้างความรดู้ ้วยตนเองตลอดชวี ิต และนำความรมู้ าประยุกต์ใช้ในการทำงานได้ ดงั นัน้ ครู จำเปน็ ตอ้ งจดั กจิ กรรมการเรียนรทู้ หี่ ลากหลาย เพือ่ ใหผ้ เู้ รียนมกี ระบวนการเรียนร้รู ่วมกัน (Colearning Process) ศึกษาการแกป้ ญั หา (Problem Solving) ฝกึ ดา้ นความคดิ สรา้ งสรรค์ ประยกุ ต์ความรสู้ รา้ งสรรค์ ช้นิ งานโครงงาน เรยี นรโู้ ดยการกระทำ (Learning by Doing) รวมท้งั อื่น ๆ เพอ่ื เตรยี มความพร้อมใหผ้ ูเ้ รียน เข้าสู่ทกั ษะในศตวรรษท่ี 21 โดยใช้วิธีการสอนแบบโครงงาน ซ่ึงถือเปน็ เครอื่ งมอื ในการเรยี นรเู้ พ่ือสะทอ้ น ผลสมั ฤทธิ์ที่คาดหวังดงั กลา่ วขา้ งต้น จึงต้องดำเนินการ 6 ขนั้ ตอน ดังน้ี

10 ขน้ั ตอนที่ 1 การเตรียมความพร้อม การเตรยี มความพรอ้ ม เปน็ ขนั้ ตอนทส่ี ำคัญสำหรบั ผู้สอนและผ้เู รยี น เป็นการเตรียมความพรอ้ ม ผสู้ อนเพอื่ ใหเ้ ขา้ ใจบทบาทผสู้ อนในการทบทวนสรา้ งความเข้าใจกับกจิ กรรมในแผนการจัดการเรียนรู้และ แหล่งเรียนรู้ต่างๆ ใหพ้ รอ้ มต่อการจดั การเรียนรแู้ บบโครงงานเปน็ ฐาน (PjBL) ใหป้ ระสบความสำเรจ็ สว่ น การเตรียมความพร้อมผเู้ รียนเป็นการสร้างความเขา้ ใจในบทบาทผเู้ รยี น ใหเ้ กิดความตระหนักถงึ เป้าหมาย การเรียนรแู้ ละบทบาทผเู้ รียนที่ตอ้ งมสี ่วนรว่ มในการเรียนรู้ รวมไปถงึ การเตรียมแหลง่ ข้อมลู วสั ดุอปุ กรณ์ งบประมาณ ระยะเวลา ความปลอดภัย และปจั จยั ด้านอ่ืนๆ ทเี่ กี่ยวข้องในการทำโครงงาน ซึง่ ครผู สู้ อนและ ผเู้ รียนมีบทบาท ดงั นี้ บทบาทผสู้ อน 1. กำหนดขอบเขตการจดั การเรยี นรแู้ บบโครงงานเป็นฐาน ประกอบดว้ ย 1.1 การวเิ คราะห์วัตถุประสงค์รายวิชา 1.2 การกำหนดผลสมั ฤทธ์ทิ ่ีคาดหวงั 1.3 การกำหนดประเดน็ ปญั หา/สมมติฐาน/ประเภทโครงงาน 1.4 การค้นควา้ /ทดลอง 1.5 การสรุป/การประเมินตนเอง 1.6 การหาความรู้เพ่ิมเติม 1.7 การนำเสนอ เผยแพร่ 1.8 การประเมินความก้าวหนา้ 2. กำหนดแหลง่ เรียนรู้/คน้ ควา้ 2.1 ชมุ ชน ท้องถิน่ 2.2 การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสาร (ICT) 2.3 ครู/ผ้เู ช่ียวชาญ/ปราชญช์ าวบา้ น 2.4 แหลง่ วิทยาการ เช่น หอ้ งสมุด ศนู ย์วิทยบรกิ าร ศนู ย์การเรียนรู้ เป็นตน้ 2.5 สถานทเี่ รยี นรู้ เชน่ สถานประกอบการ สถานท่ีภาครัฐและเอกชน เป็นตน้ บทบาทผเู้ รยี น 1. มสี ่วนร่วมในการกำหนดเง่อื นไขและเกณฑก์ ารประเมนิ ผลการปฏิบตั งิ านโครงงาน 2. กำหนดปญั หา ความตอ้ งการ 3. ศึกษาแหล่งเรียนรู้/ค้นควา้ 4. แบ่งกลมุ่ และทำงานร่วมกัน ขั้นตอนท่ี 2 การกำหนดและเลอื กหวั ข้อ การกำหนดและเลอื กหวั ข้อ เป็นการศกึ ษาความเปน็ ไปได้ของแต่ละหวั ขอ้ ทจ่ี ะทำโครงงาน

11 รวมถึงการศึกษาความคมุ้ คา่ ของโครงงานทจ่ี ะทำของผเู้ รียน การกำหนดและเลอื กหัวข้อเปน็ กิจกรรม ทผี่ สู้ อนและผเู้ รียนร่วมกนั กำหนดหวั ขอ้ ทจี่ ะทำเปน็ โครงงาน ศึกษาความเป็นไปได้ ความคุ้มคา่ ของ แตล่ ะหัวขอ้ เพอ่ื เลอื กโครงงานทจ่ี ะจดั ทำ การกำหนดและเลือกหัวข้อได้เหมาะสมจะทำใหผ้ สู้ อนและ ผเู้ รยี นเกิดการเรยี นรู้ โดยเช่อื มโยงองคค์ วามรเู้ ดมิ และสรา้ งองคค์ วามรใู้ หมไ่ ปพรอ้ มกนั ดงั น้ันผูเ้ รยี น จะตอ้ งนำเสนอหวั ขอ้ โครงงานต่อผสู้ อน เพื่อให้ความเห็นชอบก่อนการดำเนินการขั้นตอ่ ไป ซ่งึ ผสู้ อน และผเู้ รียนมบี ทบาท ดงั นี้ บทบาทผสู้ อน 1. จดั กจิ กรรมหรอื วธิ กี ารเพ่ือกระตุ้นความสนใจของผูเ้ รียนในการคดิ หัวข้อเรอื่ งโครงงาน ดว้ ยวธิ กี ารที่หลากหลาย 2. อำนวยความสะดวก หรอื ใหค้ ำแนะนำในการกำหนดหัวข้อและเลือกหวั ขอ้ 3. กำกบั ติดตามอยา่ งใกลช้ ิด ใหก้ ำลงั ใจ ช่วยแก้ปญั หาและใหผ้ ้เู รียนคิดวธิ กี ารใหม่ หาก ไม่ประสบความสำเร็จ 4. เสนอแนะแหลง่ ข้อมูล แหล่งความรู้ ผ้รู ู้ เอกสารตา่ ง ๆ ใหผ้ เู้ รียนศึกษาคน้ คว้า 5. สร้างแรงจูงใจ และแรงบันดาลใจในการเลอื กหัวขอ้ โครงงานตามศักยภาพ และความ สนใจของผเู้ รยี น บทบาทผเู้ รยี น 1. กำหนดบทบาทหน้าที่ของสมาชกิ ในกล่มุ 2. รว่ มกนั กำหนดและเลอื กหัวข้อโครงงานโดยยึดหลักประชาธปิ ไตยและกระบวนการกลมุ่ 3. นำเสนอหัวขอ้ โครงงานตอ่ ผสู้ อน ข้ันตอนที่ 3 การเขยี นเค้าโครงของโครงงาน การเขียนเคา้ โครงของโครงงาน เป็นการสรา้ งผงั มโนทศั น์ (Conceptual Map) หรอื แผนที่ ความคิด (Mind Map) ท่แี สดงถงึ ภาพรวมท้ังหมดของโครงงานตั้งแตต่ น้ จนจบ ประกอบดว้ ย แนวคดิ หลกั การ แผนงาน และข้ันตอนในการทำโครงงาน ตั้งแตเ่ รมิ่ ตน้ จนเสรจ็ ส้นิ มกี ารกำหนดบทบาทและ ระยะเวลาในการดำเนนิ งาน ทำใหก้ ารดำเนนิ การเป็นไปอยา่ งรัดกมุ รอบคอบ ไมส่ บั สน ทำให้ผู้ท่ี เก่ยี วขอ้ งมองเหน็ ภาระงาน สามารถปฏบิ ัติโครงงานได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพมากขนึ้ ก่อนนำเสนอต่อ ครูผสู้ อนหรอื ครทู ป่ี รึกษาเพอ่ื ขอความเห็นชอบก่อนนำไปปฏิบัติในข้ันตอนท่ี 4 ต่อไป ซึง่ มแี นวทางใน การจดั ดำเนินการ ดงั น้ี หลงั จากผ้เู รียนแตล่ ะกลมุ่ ร่วมกนั กำหนดหวั ขอ้ ที่จะทำเปน็ โครงงานแลว้ ผ้เู รยี นในแตล่ ะ กลุม่ วางแผนการจัดทำโครงงาน โดยระบกุ ิจกรรมในแตล่ ะขนั้ ตอนและตารางการดำเนินงาน แล้ว กำหนดบทบาทหน้าท่ขี องสมาชกิ ในกลุม่ และนำเสนอข้อสรปุ แกผ่ สู้ อนอกี ครง้ั ซ่ึงครผู สู้ อนและ ผเู้ รียนมบี ทบาท ดังน้ี

12 บทบาทผสู้ อน 1. สรา้ งความรู้ ความเข้าใจ และทักษะเกย่ี วกบั กระบวนการในการเขยี นเค้าโครงของ โครงงานที่ผเู้ รยี นจะทำ 2. ใหก้ ารสนบั สนนุ ให้คำปรกึ ษา แนะนำ ชว่ ยเหลือ และตรวจสอบวิธีการเขียนเค้าโครงของ โครงงานทผ่ี เู้ รยี นจะทำใหถ้ กู ตอ้ งตามระเบยี บวธิ ี 3. ประสานงานกบั หนว่ ยงาน บุคคล หรือแหลง่ ขอ้ มลู ที่เก่ียวขอ้ งกับการจดั ทำเค้าโครงของ โครงงานของผเู้ รยี นใหถ้ กู ตอ้ งและสำเรจ็ ลลุ ว่ งไปด้วยดี 4. กลนั่ กรองและเห็นชอบใหผ้ ู้เรยี นจัดทำโครงงานตามท่ีผเู้ รยี นเสนอ 5. กำหนดเงือ่ นไขและเกณฑก์ ารประเมนิ ผลการปฏบิ ตั ิงานของผเู้ รยี น บทบาทผเู้ รยี น 1. ศกึ ษาคน้ ควา้ จากแหลง่ เรยี นรู้ 2. รว่ มกันเขยี นเค้าโครงของโครงงานตามระเบียบวิธี 3. นำเสนอเค้าโครงของโครงงานต่อครผู สู้ อน 4. นำข้อเสนอแนะจากครผู ู้สอนมาปรบั ปรงุ 5. นำเสนอขอความเห็นชอบเพอื่ ปฏบิ ัตโิ ครงงาน โดยท่วั ไป เคา้ โครงของโครงงาน มีสว่ นประกอบและแนวทางการเขียน ดังนี้ 1. ชือ่ โครงงาน 2. ชอ่ื ผู้จดั ทำโครงงาน 3. ช่ือท่ปี รกึ ษาโครงงาน 4. ทม่ี าและความสำคัญของโครงงาน 5. วัตถุประสงคข์ องการทำโครงงาน 6. สมมติฐานของโครงงาน (ถ้ามี) 7. วธิ ดี ำเนินงานของโครงงาน 8. แผนปฏิบัติงานของโครงงาน 9. ผลที่คาดวา่ จะได้รบั จากโครงงาน 10. เอกสารอ้างองิ หรอื บรรณานกุ รม 1. ช่อื โครงงาน เป็นการเขยี นว่าจะทำอะไร ควรเขยี นใหต้ รงกบั เรอ่ื งที่จะทำ เขียนให้กระชับ ชัดเจน สอื่ ความหมาย เฉพาะเจาะจง บง่ ชถ้ี งึ เรอื่ งทจ่ี ะทำหรือศึกษา ควรเป็นประโยคทสี่ มบรู ณ์ มที ง้ั ประธาน กริยา กรรม และไมค่ วรเปน็ ประโยคคำถาม ช่ือโครงงานควรมีความน่าสนใจและสอดคล้องกับเนื้อเรื่องของโครงงาน ทีจ่ ะทำ 2. ช่อื ผูจ้ ัดทำโครงงาน เป็นชอื่ ผรู้ บั ผิดชอบโครงงานทีจ่ ะทำ อาจทำเป็นกลุ่มเลก็ หรอื เป็นกลมุ่ ใหญ่ ขน้ึ อยู่ กบั ขอ้ กำหนดหรอื ขอ้ ตกลงของผเู้ รียน ครผู ้สู อนหรอื ครูทปี่ รกึ ษา

13 3. ชอื่ ท่ปี รึกษาโครงงาน เป็นชื่อผทู้ ใ่ี ห้คำแนะนำ ปรกึ ษา กำกับ ดูแล อาจเป็นครผู ้สู อนผู้ทรงคณุ วุฒิ หรอื ผู้เชย่ี วชาญในสาขาวชิ าหรือเรอ่ื งทจี่ ะทำโครงงาน อาจมมี ากกว่า 1 คนก็ได้ แล้วแตข่ อ้ กำหนดหรอื ข้อตกลง ระหวา่ งผูเ้ รยี น ครูผสู้ อนหรอื ครูทปี่ รกึ ษา 4. ที่มาและความสำคญั ของโครงงาน เปน็ การเขียนถึงสภาพปจั จบุ นั ของปัญหาทผ่ี เู้ รยี นสนใจ จะศกึ ษา บอกถึงเหตผุ ลความจำเป็น แรงบันดาลใจหรอื เหตจุ ูงใจในการทำโครงงาน เหตผุ ลทเี่ ลือก ทำโครงงานน้ีเป็นกรณีพเิ ศษ ควรมขี ้อมลู เกี่ยวกบั แนวคิด ทฤษฎีหรอื หลักวชิ าการทเี่ กีย่ วข้อง ปรากฎ เด่นชดั เพอื่ สนบั สนนุ วา่ โครงงานน้ีมีความสำคญั หรอื เปน็ เรอ่ื งทจ่ี ำเป็นตอ้ งทำ รวมทั้งบอกข้อดี คุณคา่ ความสำคญั และไดป้ ระโยชนอ์ ะไรจากการจัดทำโครงงานน้ี 5. วตั ถปุ ระสงค์ของการทำโครงงาน เป็นการเขียนที่ระบถุ ึงสงิ่ ที่ตอ้ งการจะศึกษาหรือทดลอง ว่าจะทำ จะศกึ ษาอะไร อย่างไร อาจเขียนแยกเป็นข้อ ๆ ตามสิง่ ทจี่ ะทำหรอื ศึกษาคน้ ควา้ ทดลอง วตั ถปุ ระสงค์ทด่ี ีควรมคี วามเฉพาะเจาะจง เป็นส่ิงทสี่ ามารถวดั ไดแ้ ละบอกขอบเขตของงาน ที่จะทำได้ชัดเจน สอดคลอ้ งกบั ชือ่ ของโครงงาน ไมค่ วรเขียนในรปู ของประโยคคำถาม และไม่ควรนำ เอาประโยชนท์ เ่ี กดิ ขนึ้ จากการทำโครงงานมาเขยี นเป็นวัตถปุ ระสงค์ หรอื จดุ มงุ่ หมายของการศกึ ษา ค้นควา้ 6. สมมติฐานของโครงงาน (ถ้ามี) การเขียนสมมุตฐิ านของโครงงาน โดยทั่วไปจะใชก้ บั การ เขยี นโครงงานประเภททดลองหรอื โครงงานวิทยาศาสตร์ สมมุตฐิ านเป็นคำตอบหรอื คำอธบิ าย ที่คาดการณไ์ วล้ ว่ งหน้าเก่ยี วกบั เรอ่ื งทจี่ ะศึกษาคน้ ควา้ ทดลอง ซึง่ สมมตุ ิฐานอาจจะถกู หรอื ไม่กไ็ ด้ แต่ทสี่ ำคญั ต้องคำนงึ วา่ การเขียนสมมตุ ิฐานนน้ั ควรมเี หตุผล คอื มีทฤษฎีหรือหลกั ทางวิทยาศาสตร์ มารองรับ สว่ นใหญม่ ักจะเขยี นเปน็ ขอ้ ความทสี่ ามารถมองเหน็ แนวทางในการดำเนนิ งานทดลอง ทดสอบหรือตรวจสอบได้ 7. วิธดี ำเนนิ งานของโครงงาน เปน็ การเขียนทร่ี ะบุขน้ั ตอนในการดำเนินงานโครงงาน ต้ังแตเ่ ริ่มต้นทำโครงงาน ระยะเวลาดำเนนิ งาน ขน้ั ตอน วธิ ีการในการปฏบิ ัตงิ าน คา่ ใชจ้ า่ ย ในการดำเนนิ งาน ผรู้ ับผดิ ชอบในแต่ละขั้นตอน รวมถงึ การเก็บขอ้ มลู ประเภทของขอ้ มลู เครอื่ งมอื และวธิ ีการเกบ็ ขอ้ มลู ระยะเวลา การวเิ คราะห์ข้อมลู และสถิติทใ่ี ช 8. แผนการปฏิบตั งิ านของโครงงาน เป็นการกำหนดโครงงานแตล่ ะขั้นตอนอยา่ งละเอียด ต้ังแตต่ ้นจนเสรจ็ สิน้ โครงงาน โดยอธิบายเก่ยี วกบั กจิ กรรมในแตล่ ะขัน้ ตอนทจ่ี ะปฏบิ ัติใน โครงงานรวมทงั้ กำหนดเวลา สถานที่ และผรู้ ับผิดชอบในการปฏบิ ตั งิ านแตล่ ะกจิ กรรม และใน แตล่ ะข้นั ตอนตั้งแต่เร่มิ ต้นปฏบิ ัตจิ นเสรจ็ สิ้นการดำเนินงานในตล่ ะกจิ กรรม จงึ ควรเขยี นเป็น แผนภูมแิ สดงขน้ั ตอนในการทำ 9. ผลทค่ี าดว่าจะไดร้ บั จากโครงงานเปน็ การระบุถงึ ประโยชน์ทจี่ ะไดร้ บั จากการทำโครงงาน ว่าจะไดอ้ ะไรจากการทำโครงงานน้ีบ้าง มากนอ้ ยเพียงใด รวมถงึ ประสทิ ธภิ าพหรือคณุ ภาพของผล

14 ที่ไดร้ บั หรอื ประโยชนผ์ ู้เกย่ี วขอ้ งในแตล่ ะระดับ เชน่ ผเู้ รยี น ครูผู้สอน สถานศึกษาหรอื สังคมโดย รวมจะไดร้ บั จากการทำโครงงานครงั้ น้ี 10. เอกสารอา้ งองิ หรอื บรรณานุกรม เป็นการเขยี นถงึ แหลง่ ขอ้ มลู ทผี่ ู้ทำโครงงานใชศ้ กึ ษา คน้ คว้าและนำมาใชเ้ ปน็ ประโยชนต์ ่อการทำโครงงาน ซง่ึ อาจสามารถเปน็ เอกสาร ตำรา เอกสาร อเิ ลก็ ทรอนิกส์ หรอื แหลง่ ขอ้ มลู อ่นื เช่น อนิ เทอรเ์ นต็ สถานประกอบการ หรอื ผูเ้ ชยี่ วชาญทเี่ ปน็ เจ้าของอาชพี เป็นการบอกใหผ้ อู้ ืน่ ทราบวา่ ผเู้ รยี นได้ทำการศกึ ษาค้นคว้าขอ้ มลู จากแหลง่ ใดบา้ ง อย่างไรก็ตาม การเขียนเคา้ โครงของโครงงานใน 10 หัวข้อนี้ เปน็ แนวทางในการเขยี นแบบหนึง่ ที่ได้ประมวลจากหลาย ๆ แบบ แล้วสรุปรวมวา่ น่าจะเปน็ รปู แบบการเขยี นทส่ี ามารถนำสูก่ าร ปฏบิ ตั ิไดจ้ รงิ ซ่ึงครผู สู้ อนสามารถนำไปปรบั ใช้ไดต้ ามความเหมาะสมของแตล่ ะรายวิชา หรอื ในแต่ ละหนว่ ยการเรยี นรทู้ ่จี ัดใหผ้ เู้ รยี นทำโครงงาน ข้ันตอนท่ี 4 การปฏบิ ัติงานโครงงาน การปฏบิ ตั งิ านโครงงาน เป็นการนำขนั้ ตอนวิธกี ารตามเค้าโครงของโครงงานส่กู ารปฏิบตั ิ หลงั จากทผ่ี เู้ รยี นไดร้ บั ความเห็นชอบจากครผู สู้ อนหรือครทู ปี่ รกึ ษาแลว้ ซง่ึ ในการปฏิบัตโิ ครงงานนี้ ครผู สู้ อนและผเู้ รยี นมบี ทบาท ดังน้ี บทบาทผสู้ อน 1. อำนวยความสะดวกในการปฏิบัติโครงงานของผเู้ รยี น เช่น จัดหาวสั ดอุ ปุ กรณ์ทจี่ ำเป็น 2. ติดตามความก้าวหนา้ การปฏิบัติโครงงานของผเู้ รยี น 3. ติดตามสถานการณ์ สภาพปญั หาตา่ งๆ ในการปฏบิ ตั ิโครงงานของผเู้ รยี นในระหว่างการ ปฏิบตั งิ าน 4. ติดตามพฤตกิ รรม ทกั ษะกระบวนการเรยี นรู้ของผเู้ รยี น เชน่ นวตั กรรมที่ใช้ วธิ ีการ เรียนรู้ กระบวนการแกป้ ญั หาในการปฏบิ ัติโครงงานของผเู้ รยี นระหว่างการปฏิบตั งิ าน เป็นต้น 5. เสรมิ แรงทางบวก สร้างขวัญกำลงั ใจให้ผเู้ รียนรจู้ ักการค้นควา้ หาขอ้ มลู เพ่อื แกป้ ญั หา 6. อำนวยความสะดวกให้เกดิ การแลกเปลย่ี นเรยี นรู้ระหว่างผเู้ รยี นภายในกลมุ่ หรอื ระหว่างกลมุ่ 7. เปิดโอกาสใหม้ กี ารแลกเปลีย่ นเรยี นรรู้ ะหว่างผเู้ รยี นและครูผสู้ อน บทบาทผเู้ รยี น 1. ปฏบิ ตั งิ านโครงงาน 2. ประชมุ ปรึกษาหารือระหว่างผเู้ รียน 3. ประชมุ ปรกึ ษาหารอื กบั ครูและผู้ท่ีเกี่ยวขอ้ ง 4. รวบรวมขอ้ มลู จากการปฏิบตั ิงานโครงงาน 5. วิเคราะห์และแปลผลข้อมลู การดำเนนิ งาน

15 ข้นั ตอนท่ี 5 การนำเสนอผลงาน การนำเสนอผลงาน เปน็ การจัดทำรายงานและการนำเสนอผลการปฏบิ ตั โิ ครงงาน ได้แก่ กระบวนการและผลงาน เป็นขั้นตอนทผ่ี ้เู รียนปฏบิ ตั งิ านโครงงานเสรจ็ สิ้นเรียบร้อยแลว้ ซง่ึ ครูผสู้ อน และผเู้ รียนมบี ทบาท ดังนี้ บทบาทผสู้ อน 1. สรา้ งความรู้ ความเข้าใจ และทกั ษะเก่ียวกบั กระบวนการในการเขยี นรายงานโครงงาน 2. มอบหมายใหผ้ ้เู รยี นจดั ทำรายงานโครงงาน 3. จัดกจิ กรรมใหผ้ ้เู รยี นนำเสนอกระบวนการและผลงานโครงงาน บทบาทผเู้ รยี น 1. เขียนรายงานโครงงาน 2. นำเสนอกระบวนการและผลงานโครงงาน ในการเขยี นรายงานโครงงาน ควรใช้ภาษาที่เข้าใจงา่ ย กระชบั ชัดเจน ครอบคลุมประเด็น สำคญั ของโครงงานซึ่งเล่มรายงานควรประกอบดว้ ยส่วนสำคญั ๆ 3 ส่วน ดงั น้ี 1. สว่ นหน้า โดยท่วั ไปประกอบด้วย ปกนอก ปกใน คำนำ และสารบญั แตอ่ าจมบี ทคัดย่อ และกติ ติกรรมประกาศอกี ก็ได้ 2. สว่ นเน้ือหา ประกอบด้วย 5 ตอน ดังน้ี ตอนที่ 1 บทนำ ประกอบดว้ ย ความเปน็ มาของโครงงาน วตั ถปุ ระสงคข์ องโครงงาน ขอบเขตของโครงงาน วธิ ีการด าเนนิ งาน ประโยชนท์ ี่ไดร้ บั และนยิ ามศัพท์ ตอนท่ี 2 เอกสารและงานท่เี ก่ยี วขอ้ ง ตอนท่ี 3 วิธีการดำเนินโครงงาน ตอนท่ี 4 ผลการดำเนินโครงงาน ตอนที่ 5 สรุปผล อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ 3. ส่วนอา้ งอิง ประกอบด้วย หนงั สืออา้ งอิงหรือบรรณานุกรม และภาคผนวก การนำเสนอผลงาน หลงั จากทผ่ี ู้เรยี นไดด้ ำเนินการจดั ทำโครงงานเสรจ็ เรียบรอ้ ยแล้ว ขัน้ ต่อไป คือการนำเสนอผลงานของผู้เรียน ซง่ึ ครผู สู้ อนควรฝกึ ใหผ้ เู้ รยี นนำเสนอหนา้ ช้ันเรียน เปน็ การฝกึ ผเู้ รยี น ใหม้ คี วามสามารถในการสือ่ สาร ขณะเดียวกนั กต็ ้องรบั ฟงั ขอ้ คิดเห็นจากเพอื่ น ๆ รว่ มชัน้ เรยี นจะชว่ ย ให้ผเู้ รียนเกดิ ทกั ษะในการเรียบเรียงความคดิ รวบยอด (Concept) อยา่ งเป็นระบบ มคี วามความมน่ั ใจ ในการตอบคำถามเพอ่ื นในชน้ั เรยี น หรอื ผู้อื่นทย่ี งั สงสยั ในประเดน็ ตา่ ง ๆ ไดอ้ ย่างชดั เจน ถือว่าเปน็ สง่ิ จำเปน็ ในการจดั การเรยี นการสอนโดยใช้โครงงานเปน็ ฐาน การนำเสนอผลงานอาจจะเป็นการนำ เสนอหน้าชั้นเรียน หรอื ผ่านเคร่อื งมือออนไลนต์ า่ ง ๆ เช่น Video Clip, Online Text, Webpage, Blog, Face Book เป็นต้น

16 ขั้นตอนท่ี 6 การประเมนิ โครงงาน การประเมนิ โครงงานเป็นข้นั ตอนหน่ึงทส่ี ำคญั ท่จี ะสะท้อนใหเ้ หน็ ถึงความสำเรจ็ ของ โครงงานในแตล่ ะขนั้ ตอน ตัง้ แต่กอ่ นทำโครงงานจนถึงเสร็จสน้ิ โครงงาน ซ่งึ เป็นการประเมนิ อยา่ งตอ่ เน่อื งดว้ ยวธิ ีการและเครอ่ื งมือทหี่ ลากหลาย โดยจะเนน้ การประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) ทง้ั ความรู้ กระบวนการ พฤติกรรมของผเู้ รียน ผลงาน และขอ้ ค้นพบทผ่ี เู้ รียนได้ จากการทำโครงงาน การประเมนิ เปน็ บทบาทหน้าทีข่ องครูผสู้ อนหรอื ครทู ป่ี รกึ ษา ซง่ึ มีขน้ั ตอนการประเมิน การจัดการเรยี นรู้แบบโครงงานเปน็ ฐาน ดังน้ี 1. การประเมนิ กอ่ นการทำโครงงาน เปน็ การประเมินในขนั้ ตอนที่ 1 ถงึ ขั้นตอนที่ 3 ได้แก่ ขั้นตอน ท่ี 1 การเตรียมความพร้อม เชน่ ความพร้อมของผ้เู รยี น แหล่งขอ้ มลู วสั ดุ อุปกรณ์ งบประมาณ ระยะ เวลา ความปลอดภยั หรือปจั จยั อืน่ ๆ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งในการทำโครงงาน ขัน้ ตอนที่ 2 การกำหนดและเลอื กหวั ข้อ

17 เชน่ ประเมินความเปน็ ไปได้ในการทำโครงงานและความค้มุ ค่าของการทำโครงงาน และขั้นตอนท่ี 3 การ ประเมินการเขียนเคา้ โครงของโครงงานทผี่ ู้เรียนนำเสนอขอความเหน็ ชอบ เชน่ ความถูกตอ้ ง ความสอดคล้อง และความเหมาะสมของเคา้ โครงของโครงงาน เป็นตน้ 2. การประเมินระหว่างการทำโครงงาน เป็นการประเมนิ ในขนั้ ตอนท่ี 4 คอื การปฏิบตั งิ าน โครงงาน เชน่ ประเมินความกา้ วหนา้ ประเมินสภาพปญั หาทีพ่ บในระหวา่ งการดำเนินโครงงานของ ผู้เรียน ประเมนิ พฤตกิ รรม ทักษะ กระบวนการเรียนรู้ นวัตกรรมทใ่ี ช้ในการเรยี นรู้ วธิ ีการเรยี นรู้ และ กระบวนการแกป้ ญั หาในการด าเนินการของโครงงานของผเู้ รยี นเป็นต้น 3. การประเมินหลังเสรจ็ สน้ิ การทำโครงงาน เปน็ การประเมนิ ในขั้นตอนที่ 5 คอื การนำเสนอ ผลงานเด่น ประเมนิ ขอ้ ค้นพบที่ไดจ้ ากการทำโครงงานประเมินการนำเสนอผลงาน ประเมินผลงาน การ ประเมินผลกระทบทเี่ กดิ จากการทำโครงงาน เช่น การจดั ทำรายงานการเรยี นรู้ทีไ่ ดเ้ รยี นรทู้ ่เี กิดจากการ ทำโครงงาน เป็นตน้ อย่างไรก็ตามการประเมินน้ี เปน็ เพยี งแนวทางทคี่ รผู ู้สอนสามารถปรบั ใชไ้ ดต้ ามความ เหมาะสมของลกั ษณะของโครงงานได้ 3. หลักสตู รรายวชิ าวิทยาศาสตร์เพ่ือพัฒนาอาชพี ศลิ ปกรรม 3.1 จดุ ประสงค์ สมรรถนะและคำอธบิ ายรายวชิ าวทิ ยาศาสตรเ์ พอื่ พฒั นาอาชีพศลิ ปกรรม รหัสวิชา 20000-1304 วิทยาศาสตรเ์ พ่ือพัฒนาอาชพี ศลิ ปกรรม 1-2-2 (Science for Arts) มจี ดุ ประสงคร์ ายวชิ าดังน้ี 1) เพ่ือใหร้ ู้และเขา้ ใจเกีย่ วกบั สาร สารเคมใี นงานอาชพี พอลิเมอร์ ทรพั ยากรแรธ่ าตุ แสงและความรอ้ น 2) สามารถทดลองทดสอบเกี่ยวกบั สารละลาย คอลลอยด์ อีมลั ช่ัน พอลิเมอร์ทรพั ยากรแรธ่ าตุและ สมบัติของ แรร่ ัตนชาติ 3) สมบตั ขิ องแสงและผลของความรอ้ นต่อวตั ถุโดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และ 4) มเี จตคตแิ ละกจิ นิสยั ที่ดตี อ่ การศกึ ษา และสาํ รวจตรวจสอบ ด้วยกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ สมรรถนะรายวชิ าประกอบด้วย 1) แสดงความรเู้ ก่ียวกบั สาร สารเคมีในงานอาชพี พอลิเมอร์ ทรัพยากรแร่ธาตุ แสงและความรอ้ น 2) สาํ รวจตรวจสอบเก่ียวกบั สารละลาย คอลลอยด์ อีมลั ช่ันและสารเคมใี นงานอาชพี ด้วย กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 3) สาํ รวจตรวจสอบเกี่ยวกบั พอลเิ มอรแ์ ละผลิตภณั ฑด์ ว้ ยกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ 4) สาํ รวจตรวจสอบเกี่ยวกบั ทรพั ยากรแรธ่ าตุและสมบตั ิของแร่รตั นชาตติ ามหลกั การและ กระบวนการ และ 5) สํารวจตรวจสอบเก่ียวกบั แสงและความรอ้ นด้วยกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ โดยมี คําอธิบายรายวชิ า ดงั น้ีคอื ศกึ ษาและปฏิบัตเิ ก่ียวกบั สารละลาย คอลลอยด์ อีมัลช่ัน สารเคมีในงานอาชีพ พอลิ เมอร์ และผลิตภณั ฑ์ ทรพั ยากรแรธ่ าตุ และสมบัติของแรร่ ตั นชาติ แสงและการมองเห็น ความรอ้ นและผล ของความร้อนตอ่ วตั ถุ 3.2 ความสำคญั ของรายวิชาวทิ ยาศาสตรเ์ พ่ือพฒั นาอาชพี ศลิ ปกรรม รายวิชาวิทยาศาสตรเ์ พอ่ื พฒั นาอาชพี ศลิ ปกรรมเปน็ วิชาหนึง่ ในหมวดดา้ นสมรรถนะแกนกลาง ไดแ้ ก่ ความรู้ ทกั ษะและความสามารถในการประยุกต์ใชใ้ นดา้ นภาษาและการสื่อสาร ด้านการคิด การแกป้ ญั หา และดา้ นสงั คมและการดำรงชวี ิต ซงึ่ มีความสำคญั นำไปสกู่ ารกำหนดรายวชิ าในหมวดวิชาสมรรถนะแกนกลาง

18 สำหรับสถานศึกษานำไปจัดและเลือกจดั ตามเง่ือนไขของกลมุ่ วชิ าต่าง ๆ ในหมวดวชิ าสมรรถนะแกนกลาง ไดแ้ ก่ 1) กลุม่ วชิ าภาษาไทย 2) กล่มุ วชิ าภาษาต่างประเทศ 3) กลุม่ วชิ าวทิ ยาศาสตร์ 4) กลมุ่ วชิ า คณติ ศาสตร์ 5) กลมุ่ วิชาสังคมศกึ ษา (ระดบั ปวช.) หรอื สงั คมศาสตร์ (ระดบั ปวส.) 6) กลุ่มวิชาสขุ ศึกษา และพลศกึ ษา (ระดับ ปวช.) หรือมนุษยศาสตร์ (ระดับ ปวส.) ท้ังน้ี สมรรถนะท่ีเกิดข้ึนจากการเรยี นรรู้ ายวิชาในหมวดวิชาสมรรถนะแกนกลางนี้ จะประกอบด้วย สมรรถนะบงั คบั เพือ่ การนำไปใช้ในชีวติ ประจำวนั และสมรรถนะเลือกทสี่ อดคล้องกบั สาขาวิชาเพือ่ การนำไป ประยกุ ตใ์ ช้ในงานอาชีพ นอกจากน้จี ะต้องสอดคลอ้ งกบั การศกึ ษาขั้นพ้ืนฐานและการอุดมศกึ ษาตามระดับที่ เทียบเทา่ กันดว้ ย เพ่ือการศกึ ษาตอ่ หรอื การเทยี บเคียงคณุ วฒุ กิ ารศกึ ษา 3.3 หลักการสอนวทิ ยาศาสตรเ์ พอ่ื พัฒนาอาชีพศลิ ปกรรม หลักการจัดการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์โดยท่วั ไป คอื การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ความร้ทู าง วิทยาศาสตร์ ทักษะทางวทิ ยาศาสตร์ ธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์ และจติ วทิ ยาศาสตร์ เพือ่ พฒั นาใหผ้ เู้ รียนเกิด การคดิ อยา่ งเปน็ วิทยาศาสตร์ โดยใชเ้ หตุและผลในการคิด ดังนน้ั การจัดการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์จงึ ต้อง สะท้อนแนวคดิ และธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์ออกมา โดยควรนำเสนอรปู แบบการสอนท่หี ลากหลายเพอื่ ให้ สามารถนำไปประยุกตใ์ ชใ้ นห้องเรยี นไดต้ ามความต้องการและบรบิ ท ซ่งึ ประกอบไปดว้ ย การจัดการเรยี นการ สอนวทิ ยาศาสตรโ์ ดยการบรรยาย อภิปรายและสาธติ การเรียนการสอนในบางครง้ั ต้องใชก้ ารนำเสนอขอ้ มลู แนวคิดหรือการปฏิบัตโิ ดยตรง ผา่ นการปฏิสัมพันธ์โดยการฟงั และ โต้ตอบ การบรรยาย อภิปรายและสาธิต จัดเป็นวิธกี ารสอนหน่งึ ทเ่ี ป็นท่นี ยิ ม เนอ่ื งจากเป็นการกระตนุ้ การใชค้ วามคดิ ไดด้ ี แต่ในการนำการบรรยาย การอภิปรายและสาธติ ไปสอนตอ้ งมขี ้อควรคำนงึ หลายประการ โดยเฉพาะเทคนิคการใช้คำถาม ซ่งึ จะชว่ ยให้ การเรยี นการสอนโดยการบรรยาย อภิปรายและสาธติ มปี ระสิทธภิ าพมากยง่ิ ข้ึน นอกจากน้ี ยงั มแี นวทางการจัดการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตรท์ เ่ี น้นบรบิ ท การเรียนการสอน วิทยาศาสตรท์ เี่ นน้ บรบิ ท จะเป็นการเชือ่ มโยงวิทยาศาสตร์ในห้องเรียนกบั วทิ ยาศาสตรใ์ นชีวติ ประจำวนั หรอื โลกนอกห้องเรยี น การเรยี นการสอนนี้จะทำใหผ้ ู้เรยี นไดพ้ ัฒนาแนวคิด ทักษะกระบวนการและจติ วิทยาศาสตร์ ไปพร้อมกัน นอกจากน้ยี งั ชว่ ยเพิม่ การนำวิทยาศาสตร์ไปแกป้ ัญหาในชีวติ จริงรวมถึงการนำความรู้ไป ประยุกตใ์ ช้ สรปุ ได้วา่ การจดั การเรียนรู้แบบใช้โครงงานเปน็ ฐาน คอื กจิ กรรมท่ีให้ นักเรยี นรจู้ ักวธิ กี ารทำ โครงงานวจิ ัยเล็กๆ ผเู้ รยี นลงมอื ปฏิบตั ิ เพื่อพฒั นาความรู้ทกั ษะ และสรา้ งผลผลติ ทีม่ คี ณุ ภาพ มรี ะเบยี บ วธิ ีดำเนินการอยา่ งเปน็ ระบบ ใชว้ ิธีการทางวิทยาศาสตร์ จุดประสงค์หลกั ของการ สอนแบบโครงงาน ตอ้ งการกระตนุ้ ให้นกั เรียนรจู้ กั สังเกต รจู้ กั ตงั้ คำถาม รู้จกั ตง้ั สมมติฐาน รู้จกั วธิ แี สวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง เพ่อื ตอบคำถามทต่ี นอยากรู้ รูจ้ กั สรุป และทำความเข้าใจกบั สงิ่ ท่ีคน้ พบ โครงงานอาจจดั ในเวลาเรียนหรือ นอกเวลาเรยี นกไ็ ด้ โดยไมจ่ ำกัดสถานท่ี อาจทำเป็นรายบคุ คลหรือเปน็ กลมุ่ ก็ได้ หากเน้อื หาหรือข้อสงสัย เปน็ ไปตาม รายวชิ าใดหรอื สาระใด จะเรียกวา่ โครงงานใน รายวิชานัน้ ๆ

19 ประโยชนข์ องการจดั การเรยี นการสอนแบบโครงงาน การเรียนรู้ด้วยโครงงานจะมปี ระโยชน์ทห่ี ลากหลายท้งั ต่อครูและนกั เรียนในการทจ่ี ะช่วยสร้างองค์ ความรู้ จากการคน้ คว้ามผี ลงานวิจัยทร่ี ับรองว่าการเรยี นรดู้ ว้ ยโครงงานจะทำใหน้ กั เรยี นมสี ่วนรว่ ม ลดการ ขาดเรียน เพิ่มทกั ษะในการเรยี นรูแ้ บบร่วมมือและชว่ ยยกระดบั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น (George Lucas Educational Foundation, 2001) สรุปไดว้ า่ ประโยชน์ท่ไี ด้จากการเรยี นรูด้ ้วยโครงงานสำหรบั นกั เรียน มดี งั นี้ 1. เพิม่ อัตราการเขา้ เรียน เสรมิ สรา้ งความเชื่อมั่นในตนเอง และพฒั นาทัศนคติเชงิ บวกต่อการเรียนรู้ (Thomas, 2000) 2. เมอื่ เปรียบเทียบกบั การจดั การเรียนรูแ้ บบอ่นื แล้ว ผลสมั ฤทธมิ์ คี า่ เท่ากบั หรือสงู กว่า หากผเู้ รยี นได้ มสี ว่ นรบั ผิดชอบในการทำโครงงาน (Boaler, 1997; SRI, 2000) 3. เปดิ โอกาสให้มกี ารพฒั นาทกั ษะท่ีซบั ซ้อน เชน่ ทักษะการคิดขนั้ สงู การแกป้ ญั หา การทำงานแบบ ร่วมมอื และการสือ่ สาร (SRI, 2000) 4. ใหโ้ อกาสทเ่ี ปิดกว้างตอ่ การเรียนร้ใู นชนั้ เรียน มีการปรบั ใชก้ ลวธิ เี พอ่ื รองรบั ผเู้ รยี นทีม่ ีความหลาก หลายทางวฒั นธรรม (Railsback, 2002) 4. งานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง ในการศกึ ษางานวจิ ัยท่ีเก่ียวกับการพฒั นาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนเรอ่ื ง สารละลาย คอลลอยด์ และ อมิ ัลชัน่ รายวิชาวิทยาศาสตรเ์ พื่อพฒั นาอาชีพศลิ ปกรรม โดยการจดั การเรียนรู้แบบใช้โครงงานเปน็ ฐาน ของผ้เู รียนประเภทวชิ าศิลปกรรมระดบั ชั้นปวช 3 วทิ ยาลัยอาชีวศกึ ษาเพชรบุรี ผู้วจิ ยั ได้ทำการศึกษางานวจิ ัยใน ส่วนทีเ่ กย่ี วข้องดงั นี้ 4.1 งานวจิ ัยเกีย่ วกบั การจัดการเรยี นรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน อบุ ลวรรณ สง่ เสริม และมาเรยี ม นิลพนั ธุ์ (พ.ศ.2564) วจิ ยั เรอ่ื ง รปู แบบการเรียนการสอน วิทยาศาสตร์โดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐานเพอื่ พัฒนาทักษะการสร้างสรรค์ และนวัตกรรมของนกั ศึกษาโดยมี วัตถุประสงคเ์ พื่อ 1) ศกึ ษาสงั เคราะหเ์ นือ้ หาเกี่ยวกบั การสอนวทิ ยาศาสตรโ์ ดยใช้โครงงานเป็นฐาน และ 2) เสนอรปู แบบการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ โดยใช้โครงงานเป็นฐานเพ่อื พัฒนาทกั ษะการ สร้างสรรค์และนวัตกรรมของนกั ศกึ ษา กลมุ่ ตวั อยา่ งท่ีใช้ ไดแ้ ก่นกั ศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ เครอื่ งมอื ที่ ใชใ้ นการวจิ ยั ได้แก่ แบบสงั เคราะห์เอกสารและแบบสัมภาษณแ์ บบมโี ครงสรา้ ง วิเคราะหข์ อ้ มลู ดว้ ยการ วิเคราะหเ์ ชงิ เน้อื หา (content analysis) รปู แบบการเรียนการสอนทพี่ ฒั นาขึ้นและ มี 5 องค์ประกอบ แตล่ ะองคป์ ระกอบของรปู แบบมรี ายละเอยี ดดังนี้ 1) หลักการ เป็นการจัดการเรยี นร้ทู เี่ น้นผเู้ รยี นเปน็ สำคญั ทำใหผ้ เู้ รยี นได้รบั ประสบการณ์ ได้ลงมอื ปฏบิ ัตเิ พ่อื ฝึกทักษะต่างๆด้วยตนเองทุกขน้ั ตอนและ สามารถพฒั นาทกั ษะต่างๆ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทเี่ รม่ิ จากการกระต้นุ ความสนใจหรือ

20 ค้นหาปัญหาด้วยตนเองและหาวิธกี ารแก้ปญั หา โดยร่วมกนั วางแผนงานอย่างเป็นระบบ ลงมือปฏบิ ัติตาม แผนงานจนไดผ้ ลการศึกษาและขอ้ สรุปในเรือ่ งน้นั ๆ 2) วัตถุประสงค์ เพือ่ พฒั นาทกั ษะการสรา้ งสรรค์ และนวตั กรรมของนกั ศึกษา 3) การจดั การเรยี นรู้ 7 ข้ันตอน ได้แก่ 3.1) กำหนดเปา้ หมายร่วมกัน (Define) 3.2) ใหค้ วามรู้ (Teach) 3.3) คิดหวั ขอ้ (Think) 3.4) วางแผนทำโครงรา่ ง (Plan) 3.5) ทำ โครงงาน (Do) 3.6) นำเสนอผลงาน (Present) 3.7) การประเมนิ ผล (Evaluate) 4) การวัดและประเมิน ผล ประเมินทกั ษะการสร้างสรรคแ์ ละนวัตกรรมและนวัตกรรมของนักศึกษา และ 5) เงอ่ื นไขสำคัญ ผสู้ อน จะตอ้ งเปน็ ผทู้ มี่ คี วามแมน่ ยำในเนือ้ หา และสามารถอำนวยความสะดวกใหผ้ เู้ รยี นตลอดการดำเนนิ กิจกรรม อศั วนนทปกรณ์ ธเนศวีรภัทร, พรพรหม ชัยฉตั รพรสขุ , ฉันทนา เชาว์ปรีชา, สายสวาท สวุ ัณณกฏี ะ (พ.ศ.2562) ได้ทำงาน วจิ ัยเรื่อง การสร้างสรรค์นวัตกรรมการสอนวทิ ยาศาสตรผ์ า่ นการเรยี นร้ดู ้วย โครงงาน อย่างมีมาตรฐานข้นั สงู สุดโดยมีวตั ถุประสงค์เพอื่ อธบิ ายกระบวนการและแนวคิดด้านการเรยี นการสอนทเี่ น้น การสรา้ งนวัตกรรมการสอนวทิ ยาศาสตร์ ผา่ นการทำโครงงานอย่างเปน็ มาตรฐานขน้ั สงู สุดตามแนวคดิ ของ Buck Institute for Educationนำเสนอแนวทางการส่งเสรมิ การคิดสร้างสรรคแ์ ละการคิดเชงิ นวตั กรรม และ วิเคราะหต์ ัวอยา่ งการออกแบบบทเรยี นตามมาตรฐานขา้ งตน้ จากการศกึ ษาเอกสาร พบว่า การพฒั นาผเู้ รยี น ให้เกดิ การคิดสร้างสรรค์ และการคดิ เชงิ นวัตกรรมตอ้ งฝึกฝนใหผ้ เู้ รียนคดิ อยา่ งสรา้ งสรรค์ การทำงานอย่าง สรา้ งสรรคก์ บั ผอู้ ่ืน และมกี ารนำนวตั กรรมทส่ี ร้างขึน้ เองไปใช้ นอกจากนค้ี รูควรสง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เรยี นมีความม่นั ใจ ในการเสนอความคิดใหม่ กลา้ เผชิญกบั การวิพากษ์ จดั สง่ิ แวดล้อมใหผ้ เู้ รยี นมกี ารค้นควา้ กลา้ ซกั ถาม และมี การใหผ้ ลป้อนกลบั ผู้เรียน กระบวนการจดั การเรียนรดู้ ้วยโครงงานตามมาตรฐานข้นั สงู สดุ มี 4 ขัน้ ตอน คอื 1) การศึกษาวเิ คราะหป์ ญั หา และอปุ สรรคในการจดั การเรียนรู้ 2) การสร้างแนวคดิ ใหมเ่ พอื่ นำไปแกไ้ ขปัญหา หรอื อปุ สรรคในการจดั การเรยี นรู้ 3) การนำแนวคิดใหมไ่ ปปฏบิ ตั สิ รา้ งเป็นนวัตกรรม และ 4) การเผยแพร่ นวัตกรรมทส่ี ร้างขึน้ ฐติ ิพร เผอื กพบิ ูลย์ (พ.ศ.2563) ไดท้ ำงานวจิ ัยเร่อื ง การพัฒนารปู แบบการสอนชีววิทยา หน่วยการ เรียนรเู้ ร่ืองเคมีทเี่ ปน็ พนื้ ฐานของสง่ิ มชี วี ิต โดยใช้กระบวนการเรยี นรแู้ บบโครงงานเปน็ ฐานรว่ มกบั การใชอ้ ินโฟ กราฟกิ เพ่ือเสรมิ สรา้ งทกั ษะของนกั เรียนในศตวรรษที่ 21 สำหรับนกั เรียนระดับชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 โรงเรียน กบินทร์วิทยา มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพอื่ พฒั นารปู แบบการสอนชีววิทยา 2) เพ่ือศกึ ษาผลของการใช้รปู แบบ การสอนชวี วิทยา และ 3) เพือ่ ศกึ ษาเจตคตติ อ่ การเรยี นชวี วทิ ยาของนักเรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 ทไี่ ด้รับการ จัดการเรียนรู้ดว้ ยรูปแบบการสอนชีววิทยา หนว่ ยการเรยี นรู้ เร่ือง เคมที เ่ี ป็นพนื้ ฐานของสิ่งมีชวี ติ โดยการใช้ กระบวนการเรยี นรู้แบบโครงงานเป็นฐานร่วมกบั การใชอ้ นิ โฟกราฟิก เพอ่ื เสรมิ สร้างทกั ษะของนกั เรยี นใน ศตวรรษที่ 21 โดยมกี ลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 4/1 จำนวน 35 คน ภาคเรียนที่ 1 ปี การศกึ ษา 2563 โรงเรยี นกบนิ ทร์วิทยา โดยใชเ้ ครือ่ งมอื ประกอบดว้ ย 1) แผนการจดั การเรยี นรู้ตามรูปแบบ การสอนชวี วทิ ยา 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรียน 3) แบบประเมินทกั ษะของนกั เรยี นในศตวรรษท่ี 21 4) แบบวดั เจตคตติ ่อวิชาชวี วทิ ยา วเิ คราะหข์ อ้ มูลโดยใชส้ ถติ ิ ได้แก่ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน และ การทดสอบค่าที (Dependent t-test) ผลการวจิ ยั พบวา่ 1. ได้รูปแบบการสอนชวี วิทยา มีองค์ประกอบ

21 สำคญั คือ 1) หลักการ 2) วัตถปุ ระสงค์ 3) กระบวนการจดั การเรียนรมู้ ี 5 ข้นั ตอน คอื ข้ันที่ 1 : Prepare & Infographic ขั้นท่ี 2 : Prescribe ขน้ั ท่ี 3 : Plan ขัน้ ที่ 4 : Practice และข้นั ท่ี 5 : Present & Infographic 4) รปู แบบการสอนชีววิทยาตามความเห็นของผเู้ ช่ยี วชาญมคี วามเหมาะสมในระดบั มากทส่ี ุด 2. ผลการ ทดลองใชร้ ูปแบบการสอนชวี วทิ ยา พบว่า 1) นักเรียนที่เรยี นโดยใช้รูปแบบการสอนชวี วทิ ยา มีค่าเฉลยี่ ของ ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นหลังเรียนสงู กว่ากอ่ นเรียนอย่างมนี ยั สำคัญทางสถติ ิทรี่ ะดบั .05 2) ทกั ษะของ นกั เรยี นในศตวรรษที่ 21 อยูใ่ นระดบั มาก และ 3) นักเรียนมเี จตคตติ ่อวชิ าชีววิทยา โดยมีคะแนนเฉลยี่ อยูใ่ น ระดบั มาก ปิณดิ า สุวรรณพรม, เยาวเรศ ใจเย็น, ปวรศิ า จรดล (พ.ศ.2563) ได้ทำงานวจิ ยั เรื่องการเปรยี บเทียบ ความคิดสร้างสรรคท์ างวิทยาศาสตร์ และผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น เรอ่ื งการถา่ ยโอนพลงั งานความรอ้ น กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ของนักเรยี น ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 ทไ่ี ด้รบั การจดั กิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงาน เป็นฐานและแบบโครงงานเป็นฐานตามแนวทางสะเต็มศึกษา การวิจัยคร้ังนม้ี วี ตั ถุประสงคเ์ พือ่ 1) เปรยี บเทยี บ ความคิดสรา้ งสรรคท์ างวทิ ยาศาสตรก์ อ่ นและหลงั เรยี นของนักเรยี นท่ีเรยี นรู้ ดว้ ยการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ แบบโครงงานเป็นฐาน 2) เปรียบเทียบความคดิ สร้างสรรคท์ างวทิ ยาศาสตรก์ อ่ นและหลงั เรยี นของนกั เรียนที่ เรียนรูด้ ว้ ยการจัดกิจกรรมการเรียนรแู้ บบโครงงานเป็นฐานตามแนวทาง สะเต็มศึกษา 3) เปรียบเทยี บ ความคดิ สร้างสรรค์ทางวทิ ยาศาสตร์ หลงั เรียน ระหว่างนักเรียนทเี่ รยี นด้วยการจัดกจิ กรรมการเรียนรูแ้ บบ โครงงานเปน็ ฐาน และทเี่ รียนดว้ ยการจดั กจิ กรรมการเรียนรแู้ บบโครงงานเป็นฐานตามแนวทางสะเตม็ ศึกษา 4) เปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางวทิ ยาศาสตร์ หลงั เรยี นระหว่างนักเรียนทเี่ รยี นรดู้ ว้ ยการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ แบบโครงงานเปน็ ฐาน และทเี่ รยี นรู้ดว้ ยการจดั กจิ กรรมการเรียนร้แู บบโครงงานเป็นฐานตามแนวทางสะเตม็ ศกึ ษากล่มุ ตัวอย่างที่ใชค้ ือนกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 โรงเรียนสฤษดิเดช จำนวน 2 ห้องเรยี นๆ ละ 30 คน ได้มาโดยการสมุ่ แบบหลายขน้ั ตอน (Multi-Stage Random Sampling) เครื่องมอื ท่ีใชใ้ นการวจิ ัยไดแ้ ก่ หนว่ ย การจัดกจิ กรรมการเรียนรแู้ บบโครงงานเป็นฐาน หน่วยการเรยี นร้แู บบโครงงานเปน็ ฐานตามแนวทางสะเตม็ ศึกษา แบบทดสอบความคดิ สรา้ งสรรคท์ างวทิ ยาศาสตร์ และแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น วิเคราะห์ ข้อมลู โดยใชค้ ่าเฉล่ยี ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน การวเิ คราะหค์ ่าทแี บบไมเ่ ปน็ อสิ ระและแบบเป็นอสิ ระตอ่ กนั ผลการวจิ ยั พบว่า 1) นักเรยี นทเี่ รียนรดู้ ้วยการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้แบบโครงงานเป็นฐานมคี วามคิด สร้างสรรคท์ างวทิ ยาศาสตรห์ ลังเรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรยี น อยา่ งมีนัยสำคัญทางสถติ ทิ ่ี .01 2) นักเรียนทเี่ รยี นร้ดู ้วย การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้แบบโครงงานเป็นฐานตามแนวทางสะเตม็ ศกึ ษามีความคิดสร้างสรรคท์ าง วทิ ยาศาสตร์หลังเรียนสูงกวา่ ก่อนเรยี น อย่างมีนัยสำคญั ทางสถิติที่ .01 3) นกั เรยี นที่เรียนรูด้ ว้ ยวธิ ีการจัด กจิ กรรมการเรียนรู้แบบโครงงานเปน็ ฐานและทเี่ รียนรู้ดว้ ยการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้แบบโครงงานเปน็ ฐานตาม แนวทางสะเต็มศกึ ษามคี ดิ สรา้ งสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ ไมแ่ ตกต่างกนั 4) นักเรียนทเ่ี รียนรูด้ ว้ ยการจดั กจิ กรรม การเรยี นร้แู บบโครงงานเปน็ ฐานและทเ่ี รียนร้ดู ้วยการจดั กจิ กรรมการเรยี นรูแ้ บบโครงงานเปน็ ฐานตามแนวทาง สะเตม็ ศกึ ษามผี ลสมั ฤทธิ์ทางวทิ ยาศาสตรห์ ลงั เรียนไม่แตกตา่ งกัน ผลการวจิ ัยสะทอ้ นใหเ้ ห็นว่าการจัดกจิ กรรม การเรียนรแู้ บบโครงงานเป็นฐานและการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐานตามแนวทางสะเตม็

22 ศึกษาเปน็ แนวทางการจัดการเรยี นรทู้ ม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพสำหรบั ส่งเสรมิ การพฒั นาความคิดสรา้ งสรรคท์ าง วิทยาศาสตร์และผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวทิ ยาศาสตร์ ศศญิ ามล เจรญิ ผล, อภิชาติ สังขท์ อง (พ.ศ.2563) ได้ทำการศกึ ษาวิจยั เรอ่ื งผลการใช้สอ่ื ดิจทิ ลั ประกอบการจดั การเรียนรูโ้ ดยใชโ้ ครงงานเป็นฐานในรายวิชาฟิสิกสส์ ำหรบั นักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 5 การวจิ ยั ครงั้ น้มี วี ตั ถปุ ระสงค์ เพอ่ื พัฒนากิจกรรมการจัดการเรยี นรู้ โดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐานรว่ มกบั การ ใชส้ อ่ื ดจิ ทิ ลั เรอ่ื ง ของไหล ใหม้ ปี ระสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธิ์ ทางการเรียน กอ่ นเรยี นและหลงั เรียน และศึกษาความสามารถในการใชส้ ่ือดจิ ิทลั ในการทำโครงงาน วทิ ยาศาสตร์กบั เกณฑท์ ่ีกำหนดร้อยละ 75 กลุม่ ตวั อย่างคอื นกั เรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 ภาคเรยี น ท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2561 โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ จำนวน 44 คน ได้มาโดยการสมุ่ ตวั อย่างแบบ กลุ่ม เครอ่ื งมอื ทีใ่ ชใ้ นการวจิ ัย ไดแ้ ก่ แผนการจดั การเรยี นรู้แบบโครงงานเปน็ ฐานร่วมกบั การใช้สอ่ื ดิจทิ ัล แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น เร่ือง ของไหล และแบบประเมินความสามารถในการ ใช้สื่อดิจทิ ลั ร่วมกับการทำโครงงานวทิ ยาศาสตร์ การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ใช้สถิตเิ พ่อื ทดสอบสมมติฐาน โดยการทดสอบค่าทีแบบตัวอยา่ งไมอ่ สิ ระต่อกนั เพอื่ เปรยี บเทยี บผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน และการทดสอบ คา่ ทสี ำหรบั ตัวอย่างกลมุ่ เดียวสำหรบั วิเคราะหค์ วามสามารถในการใชส้ อ่ื ดจิ ทิ ัลในการทำโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ตามลำดับ ผลการวิจยั พบว่า แผนการจัดการเรียนรทู้ ่พี ฒั นาขึ้นมปี ระสทิ ธิภาพ 76.68/78.71 เป็นไปตามเกณฑ์ มาตรฐาน 75/75 นักเรยี นมผี ลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน (Mean 23.61, S.D. 1.62) สงู กวา่ กอ่ นเรยี น (Mean 10.23, S.D. 1.85) อยา่ งมีนัยสำคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดบั .05 และมีความสามารถในการใช้สอื่ ดจิ ทิ ลั ในการ ทำโครงงานวิทยาศาสตร์ (78.80%) เป็นไปตามเกณฑท์ ก่ี ำหนดรอ้ ยละ 75 จากการศึกษางานวจิ ยั พบวา่ การจดั การเรยี นการสอนแบบโครงงานเปน็ ฐานกับการสอนรายวชิ า วิทยาศาสตร์มคี วามเหมาะสมสอดคลอ้ งกนั เนอ่ื งด้วยกจิ กรรมโครงงานเหมาะกับการศกึ ษาในยุค ขอ้ มูล ข่าวสารในปัจจบุ นั เปน็ กจิ กรรมทตี่ อบสนองความต้องการของผเู้ รยี นไดอ้ ย่างเต็มตามความสามารถของผเู้ รียน ทำให้เกิดความรจู้ ริง ซึ่งผเู้ รียนไดจ้ ากการเรียนรดู้ ้วยตนเอง โดยการทดลอง ปฏบิ ัติคน้ คว้า ผู้เรยี นสามารถใช้ ความรไู้ ดห้ ลายด้าน หลายมติ ิเกดิ ปัญญาเชื่อมโยงความรู้ตา่ งๆ เข้าดว้ ยกัน สามารถฝกึ ให้ผเู้ รยี นเป็นคนคิดเปน็ ทำเปน็ และแก้ปญั หาเป็น อกี ท้งั ผู้เรียนไดพ้ ฒั นาความคดิ สร้างสรรค์และเกดิ ความภูมิใจทำงานไดส้ ำเรจ็ เกิด ความสนุกสนานจากการเรยี นรชู้ ่วยสนบั สนุนให้ผเู้ รียนเป็นนกั คน้ ควา้ ตามลักษณะของนักวิทยาศาสตร์ จากความหมายแนวคิดทฤษฎแี ละงานวจิ ัยทเี่ ก่ยี วข้อง พบวา่ สถานการณ์ในปัจจบุ ันมีการเตรียม ความพรอ้ มทรัพยากรบคุ คลของไทยใหม้ ขี ีดความสามารถในการพฒั นานวตั กรรมยังมอี ยา่ งจำกัด และผลการ ทดสอบจากหลายหน่วยงานพบว่าผลสมั ฤทธใิ์ นรายวชิ าวิทยาศาสตร์ ซึง่ มีความเก่ียวข้องโดยตรงกบั การพฒั นา ทรพั ยากรบคุ คลในส่วนน้ียงั มอี ยใู่ นระดบั ต่ำ และผเู้ รยี นมีขีดความสามารถในการแกป้ ญั หาในสถานการณต์ า่ งๆ อย่างจำกดั (OECD, 2012) ทั้งน้ี เมอื่ พจิ ารณาทก่ี ารเรยี นการสอนเพือ่ ใหผ้ เู้ รยี นมีความรคู้ วามสามารถในการ วจิ ยั และพฒั นานวตั กรรม รวมถึงเปน็ แนวทางทจ่ี ะสง่ เสรมิ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์น้ัน แนวทาง หน่งึ คือการ จดั การเรยี นรูโ้ ดยการใช้โครงงานวิทยาศาสตรเ์ ปน็ ฐาน (PBL: Project Based Learning) เพราะ

23 การทำ โครงงานนนั้ ใช้การสบื เสาะแสวงหาความรผู้ ่านวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ ทม่ี คี วามสอดคลอ้ งกบั กระบวน การวิจยั และชว่ ยพฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวิทยาศาสตร์ได้ รวมถงึ ความสามารถในการแก้ปญั หาของ ผ้เู รยี นได้ (Pimpan Dachakupt and Payao Yindeesuk, 2016) ดงั นน้ั การพัฒนาและปรบั ปรงุ การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์ในปจั จบุ นั จงึ ไดเ้ ปล่ยี นแปลงหลกั สตู ร ท่ีเนน้ เน้อื หามาเป็นหลกั สตู รท่เี นน้ ทกั ษะกระบวนการ โดยมงุ่ ให้ผเู้ รยี นไดค้ ดิ เปน็ ทำเป็น และแก้ไขปัญหาเปน็ อยา่ งสร้างสรรค์ ให้ผเู้ รยี นไดฝ้ กึ ปฏบิ ตั จิ รงิ โดยใช้โครงงานเปน็ ฐาน เป็นแนวทางเลอื กหนึง่ ในการจดั กจิ กรรม การเรยี นการสอนเพอื่ พฒั นาความสามารถของผู้เรียนได้ นอกจากนย้ี งั ทำใหผ้ ู้เรียนเห็นคุณค่าในตนเอง ทำให้ ผู้เรียนมีความกระตือรอื รน้ อยากเรียนสงู ขึน้ อันจะส่งผลถึงการพฒั นาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และ วิชาทเ่ี ก่ียวขอ้ งไดต้ อ่ ไป

บทท่ี 3 วธิ ีดำเนินการวจิ ัย การวจิ ยั ครง้ั เป็นการวจิ ยั เกี่ยวกบั การพัฒนาผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นเร่อื ง สารละลาย คอลลอยด์ และอิมลั ชั่น รายวิชาวทิ ยาศาสตรเ์ พื่อพฒั นาอาชพี ศิลปกรรม โดยการจดั การเรียนร้แู บบใช้โครงงานเป็นฐาน ของนักเรยี นสาขาประเภทวิชาศิลปกรรม ระดับปวช 3 วิทยาลยั อาชวี ศึกษาเพชรบรุ ีมีวิธีดำเนนิ การวิจัย ดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรและ กลมุ่ ตัวอย่าง ไดแ้ ก่ ประชากร ไดแ้ ก่ นกั เรยี นประเภทวชิ าศลิ ปกรรม ระดบั ชน้ั ปวช.3 แผนกวิชาคอมพวิ เตอร์กราฟกิ จำนวน 29 คน และแผนกวชิ าวจิ ิตรศิลป์ จำนวน 4 คน ท่ลี งทะเบียน เรยี นวิชาวทิ ยาศาสตรเ์ พ่อื พฒั นาอาชีพศลิ ปกรรม ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2564 วทิ ยาลยั อาชวี ศกึ ษา เพชรบรุ ี รวมทง้ั หมด จำนวน 33 คน ไดม้ าโดยการเลอื กแบบเจาะจง 2. เครื่องมือทใ่ี ช้ในการวจิ ัย เคร่ืองมอื ท่ีใชใ้ นการวิจัย เปน็ วิธกี ารสอนแบบโครงงานเปน็ ฐาน เรอื่ ง สารละลาย คอลลอยด์และอมิ ลั ชนั รายวิชาวทิ ยาศาสตรเ์ พือ่ พฒั นาอาชีพศลิ ปกรรม และเป็นแบบประเมนิ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน มขี ้นั ตอนการสร้าง ดังนี้ 2.1 แนวทางการสอนโดยใชโ้ ครงงานเป็นฐานเรอื่ ง สารละลาย คอลลอยด์และอมิ ลั ชนั รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์เพอื่ พฒั นาอาชพี ศลิ ปกรรม ดำเนินการ ดังนี้ 2.1.1 ศกึ ษาเอกสารและงานวิจัยทเี่ กี่ยวกบั การสอนโดยใช้โครงงานเป็นฐาน ศึกษาลกั ษณะ วิธีการ หลกั การและข้นั ตอนการสอนแบบโครงงานเป็นฐาน 2.1.2 ศกึ ษาสภาพปจั จบุ ัน ในการพฒั นาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนของการเรียน เรอ่ื งสารละลาย คอลลอยและอมิ ัลชนั ผวู้ จิ ัยศึกษาจากเอกสารงานวิจัยทเ่ี กยี่ วกบั แนวการจดั การเรียนการสอนรปู แบบโครงงาน เปน็ ฐาน และสอบถามจากครูทสี่ อนวทิ ยาศาสตร์ในสถานศึกษาสงั กดั อาชวี ศกึ ษาจงั หวดั เพชรบุรี 2.1.3 นำข้อมลู จากการศกึ ษาเอกสารท่ีเกี่ยวข้องและการศกึ ษาสภาพการ ผลสมั ฤทธทิ างการเรยี น ของนักเรยี น ในปกี ารศกึ ษาทผ่ี ่านมา นำมารา่ งเปน็ แนวทางการจดั การเรยี นการสอน รูปแบบโครงงานเป็นฐาน เรอื่ ง สารละลาย คอลลอยด์และอิมัลชัน รายวชิ าวิทยาศาสตร์เพ่ือพฒั นาอาชพี ศิลปกรรม 2.1.4 นำร่างรูปแบบแนวทางการสอนแบบโครงงานเป็นฐาน เรื่อง สารละลาย คอลลอยด์และ อมิ ัลชนั รายวิชาวทิ ยาศาสตรเ์ พื่อพฒั นาอาชพี ศิลปกรรม ใหผ้ ้เู ชย่ี วชาญพจิ ารณาความเหมาะสม ความ เป็นไปได้ ความถูกต้อง และความเป็นประโยชน์

24 2.1.5 นำรปู แบบแนวทางการสอนแบบโครงงานเปน็ ฐานท่ไี ดร้ า่ งและผ่านการตรวจสอบกบั ผู้เช่ียวชาญแลว้ ไป ทดลองใช้กบั นักศกึ ษา 2.2 แบบสอบบถามความคิดเหน็ ต่อรปู แบบแนวทางการสอนแบบโครงงานเปน็ ฐาน เรือ่ ง สารละลาย คอลลอยดแ์ ละอมิ ัลชนั รายวิชาวทิ ยาศาสตร์เพอื่ พฒั นาอาชีพศลิ ปกรรม มขี ้ันตอนการสร้าง ดังน้ี 2.2.1 สร้างแบบสอบถามความคดิ เห็นเก่ียวกบั รปู แบบแนวทางการสอนแบบโครงงานเป็นฐาน เรอื่ ง สารละลาย คอลลอยด์และอมิ ลั ชัน จำนวน 16 ข้อ แบ่งเป็น 4 ดา้ น ไดแ้ ก่ 1) ความเหมาะสมของรปู แบบวิธีการสอนแบบโครงงานเปน็ ฐาน เรอ่ื ง สารละลาย คอลลอยด์ และอมิ ลั ชัน รายวิชาวิทยาศาสตร์เพอื่ พฒั นาอาชพี ศลิ ปกรรม 2) ความเป็นไปได้ของรูปแบบวธิ กี ารสอนแบบโครงงานเป็นฐาน เรอื่ ง สารละลาย คอลลอยด์ และอมิ ลั ชนั รายวิชาวิทยาศาสตรเ์ พอ่ื พฒั นาอาชพี ศลิ ปกรรม 3) ความถกู ตอ้ งของรูปแบบวิธกี ารสอนแบบโครงงานเป็นฐาน เรื่อง สารละลาย คอลลอยด์ และอิมลั ชัน รายวิชาวทิ ยาศาสตร์เพอื่ พฒั นาอาชีพศลิ ปกรรม 4) ความเปน็ ประโยชนข์ องชดุ ฝกึ รูปแบบวธิ ีการสอนแบบโครงงานเปน็ ฐาน เรอ่ื ง สารละลาย คอลลอยด์และอมิ ัลชนั รายวชิ าวทิ ยาศาสตรเ์ พอ่ื พฒั นาอาชีพศลิ ปกรรม แบบสอบถามแบ่งเป็น แบบมาตรประมาณคา่ 5 ระดับ มีความหมาย ดงั นี้ 5 หมายถงึ มีความคดิ เห็นอยูใ่ นระดับมากที่สุด 4 หมายถึง มคี วามคดิ เหน็ อยใู่ นระดับมาก 3 หมายถึง มีความคดิ เห็นอยใู่ นระดบั ปานกลาง 2 หมายถึง มีความคดิ เหน็ อยใู่ นระดับนอ้ ย 1 หมายถงึ มคี วามคดิ เห็นอยู่ในระดับนอ้ ยที่สดุ 2.3 แบบประเมินผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น เรอื่ ง สารละลาย คอลลอยด์และสารแขวนลอย รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ ศิลปกรรม มขี ้นั ตอนการสรา้ ง ดังน้ี 2.3.1 ศกึ ษาแนวการสร้างแบบประเมนิ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น เรอื่ ง สารละลาย คอลลอยด์และ สารแขวนลอย 2.3.2 กำหนดลกั ษณะของแบบประเมินผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน เรอ่ื ง สารละลาย คอลลอยด์และ สารแขวนลอย ประกอบด้วย ลกั ษณะเป็นแบบมาตรประมาณค่า 4 ระดับ มคี วามหมาย ดังน้ี 4 หมายถงึ ผลการประเมินอยใู่ นระดบั ดมี าก 3 หมายถึง ผลการประเมนิ อยใู่ นระดับดี 2 หมายถึง ผลการประเมนิ อยูใ่ นระดบั พอใช้ 1 หมายถึง ผลการประเมินอยใู่ นระดับตอ้ งปรับปรงุ 2.3.3 จดั ทำแบบประเมนิ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน เร่อื ง สารละลาย คอลลอยดแ์ ละสารแขวนลอย รายวิชาวิทยาศาสตรเ์ พอ่ื พฒั นาอาชพี ศลิ ปกรรม มลี กั ษณะเปน็ แบบ 4 ตวั เลอื ก จำนวน 60 ขอ้ แยกเปน็ เร่อื ง สารละลาย จำนวน 45 ขอ้ และเรื่องคอลลอย์และอมิ ลั ชัน จำนวน 15 ขอ้ ในรปู แบบ Google Form

25 เน่ืองจากในภาคเรียนน้มี กี ารจัดการเรียนการสอน และการสอบแบบออนไลน์ ตามมาตรการควบคุมและ ปอ้ งกันโรคตดิ ต่อเชอื้ ไวรสั โควิด-19 3. ขั้นตอนดำเนนิ การวจิ ยั การดำเนินการวจิ ัยในการแนวทางการจัดการเรียนการสอน แบบโครงงานเป็นฐาน เร่ือง สารละลาย คอลลอยดแ์ ละอมิ ัลชัน ผวู้ ิจยั ดำเนนิ การ ดงั น้ี 3.1 จดั ทำแผนการเรียนรรู้ ายวิชาวทิ ยาศาสตร์เพื่อพัฒนาอาชพี ศิลปกรรมเรอ่ื ง สารละละย คอลลอยด์ และอมิ ลั ชันสำหรบั ใช้สอนผู้เรยี นในระดบั ช้นั ปวช. 3 ประเภทวชิ าศลิ ปกรรมสาขาวชิ าคอมพวิ เตอร์กราฟิก และสาชาวชิ าวิจติ รศิลป์ จำนวน 33 คน 3.2 จดั ทำนวตั กรรม สือ่ การสอน เพื่อนำไปใช้ในกจิ กรรมการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรยี นรู้ 3.3 นำรปู แบบแนวทางการสอนแบบโครงงานเปน็ ฐาน เรอ่ื งสารละลาย คอลลอยและอมิ ลั ชน่ั ไปสอน ให้กบั ผ้เู รียนระดับช้ัน ปวช.3 ประเภทวิชาศิลปกรรม 3.4 ทำการวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น ของผเู้ รียน ในระหวา่ งเรยี น และหลงั เรยี น เครื่องมือทีใ่ ชเ้ ปน็ แบบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นฉบบั เดียวกนั ในลักษณะคขู่ นาน ซึ่งมีการสลบั ข้อและสลบั ตวั เลอื กโปรแกรมการสร้างข้อสอบ Google Form 4. การวิเคราะห์ขอ้ มลู มดี ังน้ี 4.1 วเิ คราะหเ์ น้ือหาแนวทางวธิ ีการ ขน้ั ตอนการสอน แบบโครงงานเป็นฐาน เรือ่ ง สารละลาย คอลลอยด์ และอิมลั ช่นั 4.2 ประเมินผลสมั ฤทธิทางการเรยี นระหวา่ งใช้สอน และหลงั การสอนตาม แนวทาง วิธีการ ข้นั ตอนการ สอน แบบโครงงานเปน็ ฐาน เร่อื ง สารละลาย คอลลอยด์และอมิ ัลชั่น ท่ผี ้วู ิจยั ออกแบบและสร้างขึน้ ด้วยการ วิเคราะห์ค่าเฉลย่ี และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเรียงลำดบั จากน้อยไปมาก โดยข้อมูลทเ่ี ป็นคา่ เฉล่ยี จากมาตรประมาณค่า 4 ระดบั ใช้เกณฑพ์ จิ ารณา ดังน้ี ค่าเฉลีย่ 1.00 – 1.50 หมายถึง ทกั ษะการอา่ นอยูใ่ นระดบั ต้องปรับปรงุ คา่ เฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายถึง ทกั ษะการอา่ นอยู่ในระดับพอใช้ คา่ เฉล่ีย 2.51 – 3.50 หมายถึง ทักษะการอา่ นอยใู่ นระดบั ดี ค่าเฉลีย่ 3.51 – 4.00 หมายถึง ทักษะการอา่ นอยู่ในระดบั ดมี าก 4.3 วิเคราะหป์ ระสทิ ธิภาพของผลการจดั การเรยี นการสอนตามแนวทางวธิ ีการ ขน้ั ตอนการสอน แบบ โครงงานเป็นฐาน เรือ่ ง สารละลาย คอลลอยด์และอมิ ัลชนั่ ที่ผู้วจิ ยั ออกแบบและสรา้ งขน้ึ ระหว่างเรียน กบั หลังเรยี น ดว้ ยการทดสอบประสิทธิภาพ (E1/E2)

26 แผนการจดั การเรียนรรู้ ายวิชา 20000-1304 วิทยาศาสตรเ์ พอ่ื พฒั นาอาชพี ศลิปกรรม ส่อื การสอนเรอื่ งคอลลอยด์และอมิ ัลชัน รายวชิ า 20000-1304 วทิ ยาศาสตรเ์ พอื่ พฒั นาอาชีพศลปิ กรรม

27 กจิ กรรมระหวา่ งเรยี นเรยี น เรอ่ื งความเขม้ ขน้ ของสารละลายวทิ ยาศาสตรเ์ พอ่ื พัฒนาอาชีพศลปิ กรรม กิจกรรมระหว่างเรียนเรยี น เรอื่ งคอลลอยด์ วชิ าวิทยาศาสตร์เพื่อพฒั นาอาชพี ศลปิ กรรม

28 กจิ กรรมระหว่างเรียนเรียน เรอื่ งสารละลายกรดเบส วิชาวิทยาศาสตร์เพอ่ื พัฒนาอาชีพศลปิ กรรม กจิ กรรมระหวา่ งเรียนเรียน เรอ่ื งพลงั งานกบั การละลาย วิชาวทิ ยาศาสตรเ์ พอ่ื พัฒนาอาชีพศลปิ กรรม

29 แบบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน เรอื่ งสารละลาย วิชาวิทยาศาสตรเ์ พอ่ื พัฒนาอาชีพศลิปกรรม แบบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน เรอ่ื งคอลลอยดแ์ ละอมิ ัลชน่ั วิชาวทิ ยาศาสตรเ์ พื่อพฒั นาอาชีพศลิปกรรม

บทที่ 4 ผลการวจิ ัย การวิจยั ครง้ั น้ี มีวัตถุประสงค์เพือ่ การพัฒนาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นเรอื่ ง สารละลาย คอลลอยดแ์ ละอมิ ลั ช่ันรายวชิ าวทิ ยาศาสตรเ์ พอื่ พฒั นาอาชพี ศิลปกรรมโดยการจัดการเรียนรแู้ บบใช้ โครงงานเปน็ ฐาน ของนกั เรยี นประเภทวชิ าศิลปกรรม ระดับช้ัน ปวช 3 สาขาคอมพิวเตอร์กราฟกิ และสาขาวชิ าวิจติ รศิลป์ วิทยาลัยอาชีวศกึ ษาเพชรบรุ ี ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู นำเสนอเปน็ 3 ตอน ดังน้ี ตอนท่ี 1 แนวทางการดำเนินการสอนเรอื่ งสารละลาย คอลลอยดแ์ ละอมิ ัลชัน ดว้ ยวิธี การสอนแบบโครงงานเปน็ ฐาน ตอนท่ี 2 ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นเร่ืองสารละลาย คอลลอยด์และอมิ ลั ชนั ด้วยวธิ กี าร สอนแบบโครงงานเปน็ ฐาน ตอนท่ี 1 ผลการสอนด้วยวธิ ีโครงงานเปน็ ฐาน เรือ่ งสารละลาย คอลลอยดแ์ ละอิมลั ชัน วชิ าวทิ ยาศาสตร์เพ่อื พฒั นาอาชีพศลิ ปกรรม 1.1 ผลการจัดการเรียนการสอนตามแนวทางการสอนดว้ ยวิธีโครงงานเป็นฐาน เร่อื ง สารละลาย คอลลอยดแ์ ละอมิ ลั ชนั วชิ าวิทยาศาสตร์เพอ่ื พฒั นาอาชพี ศิลปกรรม ได้ข้นั ตอนยอ่ ย ๆ ทงั้ หมด มี 4 องคป์ ระกอบ ดงั น้ี องคป์ ระกอบที่ 1 หลักการของแนวทางการสอนด้วยวิธโี ครงงานเป็นฐาน เรอื่ ง สารละลาย คอลลอยดแ์ ละอมิ ลั ชนั วิชาวิทยาศาสตรเ์ พอ่ื พฒั นาอาชีพศลิ ปกรรม มีหลักการใน การพฒั นาผเู้ รยี นใหเ้ กดิ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนใหส้ งู ขึ้นจนเกนิ เกณฑม์ าตรฐานทีต่ ง้ั ไว้ ประกอบดว้ ย 1) การพัฒนาทกั ษะการคำนวณค่าความเขม้ ขน้ ของสารละลาย และ 2) การพฒั นาทักษะการเตรียม สารละลายทมี่ ีความเขม้ ขน้ ตา่ งๆ องคป์ ระกอบท่ี 2 วัตถุประสงค์ของการสอนด้วยวิธีโครงงานเป็นฐาน เรื่อง สาร ละลาย คอลลอยดแ์ ละอมิ ลั ชนั วิชาวทิ ยาศาสตรเ์ พอ่ื พัฒนาอาชพี ศลิ ปกรรม องค์ประกอบที่ 3 วธิ ีการดำเนินการสอน ซ่งึ เปน็ กลไกในการนำขน้ั ตอนการฝกึ การ คำนวณความเขม้ ข้นของสารละลายของผเู้ รียน ประกอบดว้ ย 1) การกำหนดการฝึกทกั ษะ แบ่งเปน็ โจทย์ตัวอย่างการคำนวณ แบบฝกึ การคำนวณความเข้มขน้ การจบั คฝู่ กึ ต้งั โจทยค์ ำนวณและสลับกัน ฝกึ การคำนวณโจทย์ซง่ึ กนั และกนั ดว้ ยตนเอง 2) การวดั ทกั ษะเตรยี มสารละลายความเขม้ ขน้ ต่างๆ ตามที่โจทยก์ ำหนด แบ่งเป็น การใชแ้ บบวดั ทกั ษะดว้ ยตนเอง และการใช้แบบบวดั ทกั ษะโดยครู

31 องคป์ ระกอบท่ี 4 ตัวช้วี ดั คุณภาพของชดุ ฝกึ การคำนวณหาคา่ ความเขม้ ขน้ ของ สารละลาย และ ชดุ ฝึกทักษะการเตรียมสารละลายทค่ี วามเขม้ ข้นตา่ งๆ ตามท่กี ำหนด ซึง่ เป็นการ ประเมนิ คุณภาพของชดุ ฝึก ตามมาตรฐานการประเมนิ ไดแ้ ก่ ความเหมาะสมของชดุ ฝกึ ความเป็นไปได้ของชุดฝกึ ความถกู ตอ้ งของชุดฝึก และความเป็นประโยชนข์ องชดุ ฝึก สรปุ ไดว้ า่ รปู แบบการสอน เรื่องสารละลาย คอลลอยด์และอิมลั ช่นั ที่มีองคป์ ระกอบ ของชดุ ฝึกทกั ษะการคำนวณค่าความเขม้ ข้นสารละลาย และทักษะการเตรยี มสารละลายที่ ค่าความ เขม้ ข้นต่างๆ ประกอบด้วยองค์ประกอบ 4 องค์ประกอบ ดงั ภาพท่ี 4.1 หลักการของชดุ ฝกึ ทกั ษะ 1. การพัฒนาทกั ษะการคำนวณคา่ ความ วัตถปุ ระสงค์ของชดุ ฝึกทกั ษะ เขม้ ข้นของสารละลาย 2. การพัฒนาทกั ษะการเตรยี มสารละลายทมี่ ี ค่าความเขม้ ข้นต่างๆ เพื่อฝกึ ตใหาผ้มเู้ทร่ีโียจนทคยำก์ นำวหณนคด่าความเขม้ ขน้ ของสารละลาย และ บอกปริมาณตัวทำละลายและตวั ละลาย เพ่ือใชใ้ นการเตรยี ม สารละลายทมี่ ีคา่ ความเขม้ ข้นตา่ งๆ ตามทกี่ ำหนด วิธดี ำเนนิ การฝกึ สอน 1. การกำหนดวธิ ฝี กึ ทักษการคำนวน 1.1 การศกึ ษาตัวอย่างโจทยค์ ำนวณโดยครอู ธบิ ายตาม ข้นั ตอนการคำนวณประกอบ 1.2 การฝึกการแปรความหมายจากโจทยเ์ พื่อการแทนคา่ ตามตวั แปรที่ศึกษา 1.3 การฝกึ แทนค่าตัวแปรดว้ ยคา่ ท่ีได้จากการแปร ความหมายของโจทย์ตัวอยา่ งเรอ่ื งความเขม้ ข้นสารละลาย 1.4 การฝกึ กำหนดโจทย์ปญั หาเกย่ี วกบั การคำนวณหาค่า ความเข้มข้นของสารละลายด้วยตวั เอง พร้อมกบั แกป้ ัญหาจาก โจทยท์ ต่ี นกำหนด 1.5 การสลบั โจทยก์ ับเพ่อื นโดยการจบั คู่และฝกึ คำนวณ โจทยป์ ญั หาความเขม้ ข้นของสารละลายและให้ผ่านการประเมนิ โดยเพื่อนทเ่ี ปน็ ผูอ้ อกโจทย์ พรอ้ มทง้ั ผ่านการตรวจสอบความ ถูกต้องโดยครผู สู้ อน 2. การประเมนิ ทักษะการคำนวณค่าความเข้มข้นสารละลาย 2.1 การใชแ้ บบประเมนิ ทกั ษะดว้ ยตนเอง 2.2 การใชแ้ บบประเมินทกั ษะของครู

32 ตวั ชี้วดั คณุ ภาพของรูปแบบ 1. ความเหมาะสมของรปู แบบการสอน การสอนแบบโครงงานเป็นฐาน 2. ความเปน็ ไปได้ของรปู แบบการสอน เรื่องสารละลาย คอลลอยดแ์ ละ 3. ความถกู ตอ้ งของรปู แบบการสอน อิมัลช่ัน 4. ความเปน็ ประโยชนข์ องรปู แบบการสอน ภาพที่ 4.1 รปู แบบการสอนเรือ่ งสารละลาย คอลลอยด์และอิมัลชันแบบโครงงานเปน็ ฐาน 1.2 ผลการตรวจสอบคณุ ภาพของรปู แบบการสอนเร่อื งสารละลาย คอลลอยด์และอิมลั ชนั แบบโครงงานเป็นฐานผเู้ ชยี่ วชาญมคี วามเห็นต่อคุณภาพของรปู แบบการสอนเร่ืองสารละลาย คอลลอยด์และอมิ ัลชันแบบโครงงานเปน็ ฐาน ดา้ นความเหมาะสม ดา้ นความเปน็ ไปได้ ดา้ นความถกู ตอ้ ง และด้านความเป็นประโยชน์ ในภาพรวมอยูใ่ นระดบั มากทส่ี ุดทกุ ดา้ น ตารางท่ี 4.1 คา่ เฉลีย่ และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานความคดิ เหน็ ของผเู้ ช่ยี วชาญตอ่ รูปแบบการสอน เรื่องสารละลาย คอลลอยดแ์ ละอิมลั ชันแบบโครงงานเปน็ ฐาน วชิ าวิทยาศาสตรเ์ พือ่ งานศิลปกรรม ในภาพรวม รายการ ระดบั คณุ ภาพ ความหมาย M SD 1. ด้านความเหมาะสม 4.60 .16 มากทส่ี ดุ 2. ด้านความเป็นไปได้ 4.65 .10 มากท่ีสุด 3. ดา้ นความถูกตอ้ ง 4.55 .10 มากทส่ี ุด 4. ดา้ นความเปน็ ประโยชน์ 4.65 .10 มากที่สุด รวม 4.61 .11 มากที่สุด เม่ือพจิ ารณาคุณภภาพของชุดฝึกเป็นรายด้าน พบวา่ 2.1 ด้านความเหมาะสม ผู้เช่ยี วชาญมีความคดิ เหน็ วา่ รปู แบบการสอนเรอ่ื ง สารละลาย คอลลอยดแ์ ละอมิ ลั ชนั แบบโครงงานเปน็ ฐาน วิชาวิทยาศาสตร์เพือ่ งานศลิ ปกรรม มีความเหมาะสมในระดบั มากทสี่ ดุ ทกุ รายการ

33 ยกเว้นวตั ถุประสงค์ของรูปแบบมคี วามเหมาะสมต่อการพฒั นาทกั ษะผเู้ รียนเหมาะสมในระดบั มาก (M = 4.40, SD = .54) รายยละเอียดดงั ตารางที่ 4.2 ตารางท่ี 4.2 คา่ เฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานความคดิ เหน็ ของผู้เชย่ี วชาญตอ่ รูปแบบการสอน เร่อื งสารละลาย คอลลอยด์และอิมลั ชันแบบโครงงานเปน็ ฐาน วิชาวิทยาศาสตร์เพือ่ งานศิลปกรรม ด้านความเหมาะสม รายการ ระดบั คณุ ภาพ ความหมาย M SD 1. หลักการของรูปแบบการสอน 4.60 .54 มากทส่ี ุด มีความเหมาะสมตอ่ การพฒั นาผู้เรยี น 2. วตั ถปุ ระสงค์ของรปู แบบการสอน 4.40 .54 มาก มคี วามเหมาะสมตอ่ การพฒั นา ผเู้ รยี น 3. วิธีดำเนินการฝึกความเหมาะสมต่อการพฒั นาผเู้ รยี น 4.80 .44 มากทสี่ ุด 4. ตัวชีว้ ดั คณุ ภาพของชดุ ฝกึ มีความเหมาะสม 4.60 .54 มากที่สดุ รวม 4.60 .16 มากที่สุด 2.2 ด้านความเป็นไปได้ ผูเ้ ช่ียวชาญมคี วามเหน็ วา่ รปู แบบการสอน เรอ่ื ง สารละลาย คอลลอยดแ์ ละอมิ ัลชนั แบบโครงงานเปน็ ฐาน วิชาวิทยาศาสตรเ์ พือ่ งานศลิ ปกรรม มคี วามเปน็ ไปได้ ในระดบั มากทสี่ ุดทุกรายการ รายละเอียดดงั ตารางท่ี 4.3 ตารางที่ 4.3 คา่ เฉล่ยี และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานความคดิ เหน็ ของผู้เชย่ี วชาญตอ่ รูปแบบการสอน เรื่อง สารละลาย คอลลอยด์และอมิ ลั ชันแบบโครงงานเปน็ ฐาน วชิ าวิทยาศาสตรเ์ พอื่ งานศลิ ปกรรม ดา้ นความเป็นไปได้ รายการ ระดบั คณุ ภาพ ความหมาย M SD 1. หลักการของรปู แบบการสอนมีความสอดคลอ้ งกบั การ 4.60 .54 มากท่ีสดุ พฒั นาผเู้ รียน 2. รปู แบบการสอนสามารถนำไปพฒั นาผ้เู รยี นได้ตาม 4.60 .54 มากที่สุด วตั ถุประสงค์

34 รายการ ระดบั คุณภาพ ความหมาย M SD 3. วิธดี ำเนนิ การสอนสามารถทำให้ผเู้ รยี นเกิดทกั ษะไดจ้ รงิ 4.80 .44 มากที่สดุ 4. ตวั ชี้วดั คุณภาพของรูปแบบการสอน สามารถสะท้อน 4.60 .54 มากทีส่ ุด คุณภาพได้ 4.65 .10 มากทส่ี ุด รวม 2.3 ดา้ นความถูกต้อง ผเู้ ชย่ี วชาญมีความคิดเหน็ ว่า รปู แบบการสอน เร่ือง สารละลาย คอลลอยดแ์ ละอมิ ลั ชันแบบโครงงานเปน็ ฐาน วิชาวิทยาศาสตรเ์ พ่ืองานศิลปกรรม มคี วามถกู ต้องอยู่ใน ระดบั มากทสี่ ดุ ทุกรายการ ยกเว้นความถกู ตอ้ งในวิธดี ำเนินการสอนสามารถทำใหผ้ ู้เรยี นเกิดทกั ษะ มีความถกู ตอ้ งในระดบั มาก (M = 4.40, SD = .54) รายละเอยี ดดงั ตารางท่ี 4.4 ตารางท่ี 4.4 คา่ เฉล่ียและสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานความคดิ เหน็ ของผเู้ ชีย่ วชาญต่อรูปแบบการสอน เร่อื ง สารละลาย คอลลอยด์และอมิ ลั ชันแบบโครงงานเป็นฐาน วิชาวิทยาศาสตร์เพอ่ื งานศลิ ปกรรม ดา้ นความถูกตอ้ ง รายการ ระดับคุณภาพ ความหมาย M SD 1. หลกั การของชดุ ฝกึ มคี วามถูกตอ้ งตามเนือ้ หา 4.60 .54 มากที่สุด 2. วตั ถุประสงค์ของชดุ ฝึกถูกต้องตามเป้าหมายการพฒั นา 4.60 .54 มากทสี่ ุด 3. วธิ ีดำเนินการฝึกถูกต้องตามขั้นตอน 4.40 .54 มากทส่ี ดุ 4. ตัวชี้วัดคณุ ภาพของชดุ ฝกึ สามารถวดั ไดต้ รง 4.60 .54 มากที่สดุ ตามมาตรฐาน รวม 4.55 .10 มากที่สดุ 2.4 ดา้ นความเปน็ ประโยชน์ ผเู้ ชย่ี วชาญมคี วามคดิ เห็นว่า รปู แบบการสอน เรือ่ ง สารละลาย คอลลอยดแ์ ละอมิ ลั ชันแบบโครงงานเป็นฐาน วชิ าวิทยาศาสตร์เพือ่ งานศลิ ปกรรม มคี วาม เปน็ ประโยชนใ์ นระดับมากทส่ี ดุ ทุกรายการ รายละเอยี ดดงั ตารางท่ี 4.5 ตารางที่ 4.5 คา่ เฉลี่ยและสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานความคดิ เหน็ ของผูเ้ ช่ียวชาญตอ่ ชุดฝกึ ทักษะ ด้านความเป็นประโยชน์ รายการ ระดบั คณุ ภาพ ความหมาย M SD 1. ผเู้ รยี นไดร้ บั การพฒั นาทกั ษะตรงตามวิธีออกเสยี งอา่ น 4.60 .54 มากที่สุด

35 รายการ ระดบั คณุ ภาพ ความหมาย M SD 2. ผเู้ รียนสามารถประเมินตนเองในการอ่านได้เปน็ ระยะ 4.60 .54 มากทส่ี ุด 3. ผเู้ รียนสามารถพฒั นาตนเองได้ 4.80 .44 มากทสี่ ดุ 4. ผเู้ รียนสามารถนำไปประยุกต์การอา่ นคำภาษาอังกฤษ 4.60 .54 มากทส่ี ุด ในลักษณะอืน่ 4.65 .10 มากที่สดุ รวม ตอนที่ 2 ประสิทธิภาพของรูปแบบการสอน เร่ือง สารละลาย คอลลอยด์และอิมลั ชันแบบ โครงงานเปน็ ฐาน วิชาวิทยาศาสตร์เพ่ืองานศลิ ปกรรม การนำรูปแบบการสอน เรือ่ ง สารละลาย คอลลอยดแ์ ละอมิ ลั ชนั แบบโครงงานเปน็ ฐาน วชิ าวิทยาศาสตรเ์ พอื่ งานศลิ ปกรรม ไปสอนใหก้ บั ผเู้ รยี นในระดับชั้นปวช.3 ประเภทวิชาศิลปกรรม แผนกวิชาคอมพิวเตอรก์ ราฟกิ และแผนกวิชาวจิ ิตรศลิ ป์ สง่ ผลให้ ผเู้ รียนเกิดความรเู้ รื่องความเขม้ ข้น สารละลาย พลงั งานกบั การละลาย สารละลายกรดเบส รวมถงึ ทักษะการคำนวณ เก่ียวกบั ปรมิ าณ การเตรียมสารต่างๆ เพ่ือเตรยี มสารละลายท่ีความเขม้ ข้นคา่ ตา่ งๆ ตามทม่ี ตี ัวอย่างและโจทย์กำหนด ให้ไดแ้ ละมปี ระสิทธิภาพเปน็ ไปตามเกณฑก์ ารพัฒนาทักษะผู้เรยี นที่ต้งั ไว้ E1/E2 = 76.51/82.48 รายละเอยี ดดังตารางท่ี 4.6 ตารางท่ี 4.6 ค่าเฉลยี่ คะแนนผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นตามรปู แบบการสอน เร่อื ง สารละลาย คอลลอยดแ์ ละอมิ ลั ชันแบบโครงงานเป็นฐาน วิชาวิทยาศาสตร์เพือ่ งานศิลปกรรม ในระหว่างเรียนและหลังเรียน รายการวดั ความรู้ ทกั ษะการคำนวณ คะแนนระหว่างเรียน (E1) คะแนนหลังเรียน (E2) 1. ความเข้มข้นของสารละลาย 76.51 81.08 2. พลงั งานกับการละลาย 77.34 82.12 3. สารละลายกรดเบส 75.67 84.20 รวม 229.52 227.44 รอ้ ยละ 76.51 82.48

บทที่ 5 สรปุ การวิจยั อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ การวจิ ัยนีม้ ีวตั ถุประสงค์เพ่อื การพฒั นาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนเร่อื ง สารละลาย คอลลอยด์และอมิ ลั ช่นั รายวชิ าวิทยาศาสตร์เพ่อื พฒั นาอาชีพศลิ ปกรรม โดยการจัดการเรียนรแู้ บบใช้โครงงาน เป็นฐาน ของนกั เรียนสาขาคอมพวิ เตอรก์ ราฟกิ ช้นั ปวช 3 วิทยาลยั อาชีวศกึ ษาเพชรบรุ ี การสรปุ การวจิ ยั อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ มีดังนี้ 1. สรปุ การวจิ ยั 1.1 วัตถปุ ระสงค์การวจิ ยั 1.1.1 เพ่ือออกแบบการสอนและใชแ้ นวทางการจัดการเรยี นรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน เร่ือง สารละลาย คอลลอยด์และอมิ ลั ชัน่ ในรายวชิ าวทิ ยาศาสตรเ์ พอ่ื พัฒนาอาชีพศลิ ปกรรม 1.1.2 เพื่อพฒั นาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนของนกั เรียนระดบั ช้นั ปวช.3 แผนกวชิ า คอมพวิ เตอร์ กราฟกิ และแผนกวชิ าวิจติ รศลิ ปร์ ายวิชาวทิ ยาศาสตร์เพอ่ื พฒั นาอาชพี ศิลปกรรม เรือ่ ง สารละลาย คอลลอยดแ์ ละอิมัลชนั่ 1.2 วิธดี ำเนินการวจิ ัย 1.2.1 ประชากรและกล่มุ ตวั อย่าง ประชากร ได้แก่ นกั เรยี นระดับชั้น ปวช.3 ทล่ี งทะเบยี นเรยี นในรายวิชาวิทยาศาสตร์ เพื่อพฒั นาอาชีพศิลปกรรม ประกอบด้วยนกั เรยี นแผนกวิชา คอมพวิ เตอรก์ ราฟกิ 29 คน และแผนกวชิ า วจิ ติ รศลิ ป์ จำนวน 4 คน รวมผู้เรียน 2 แผนกวชิ า มีจำนวน 33 คน ในภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2564 วทิ ยาลยั อาชวี ศึกษาเพชรบรุ ี กลมุ่ ตัวอย่าง ไดแ้ ก่ นกั เรยี นระดบั ปวช.3 ประเภทวชิ าศิลปกรรมแผนกวิชา คอมพิวเตอร์ กราฟิก 29 คน และแผนกวิชาวจิ ติ รศลิ ป์ จำนวน 4 คน รวม 2 แผนกวิชามีจำนวน 33 ไดม้ าโดยการเลอื กแบบ เจาะจง 1.2.2 เคร่อื งมอื ทีใ่ ช้ในการวิจยั 1) แบบฝึกกจิ กรรมระหวา่ งเรียน เรื่อง ความเขม้ ขน้ ของสารละลาย จำนวน 10 ขอ้ พลงั งานกบั การละลาย จำนวน10 ข้อ และ สารละลายกรดเบส จำนวน 10 ขอ้ ความรเู้ รอ่ื งคอลลอยดแ์ ละ อมิ ัลชัน .จำนวน 20 ข้อ 2) แบบประเมินผลสัมมฤทธทิ ทางการเรยี นก่อนและหลงั เรยี น ในลกั ษณะค่ขู นาน คอื มี การสลบั ข้อและสลบั ตัวเลอื กดว้ ยการตง้ั ค่าในการสรา้ งขอ้ สอบจาก Application Google Form เรือ่ งสาร ละละยจำนวน 45 ขอ้ และเรอื่ งคอลลอยด์และอิมลั ชันจำนวน 15 ข้อ

37 1.2.3 การเก็บรวบรวมขอ้ มลู 1) เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เกีย่ วกบั แนวทางการสอน เรอื่ ง สารละลาย คอลลอยด์และอมิ ลั ชัน่ ที่ ผู้วจิ ัยพฒั นาขนึ้ จากการศึกษาค้นควา้ เนอื้ หา ตำรา เอกสาร และงานวิจัยทเี่ กยี่ วกบั การรปู แบบการสอสอน โดยการใชโ้ ครงงานเป็นฐาน 2) เกบ็ รวบรวมข้อมลู จากการสอบถามความคดิ เหน็ เกีย่ วกบั รปู แบบการจดั การเรยี นการ สอนเร่ืองสารละลาย คอลลอยดแ์ ละอมิ ลั ชนั ดว้ ยวธิ ีการสอนแบบโครงงานเปน็ ฐาน 3) เกบ็ รวบรวมข้อมลู การหาประสิทธิภาพของรปู แบบการสอน โดยใช้วธิ โี ครงงานเป็นฐาน เรอ่ื งสารละลาย คอลลอยด์ และอมิ ัลช่นั โดยใช้การประเมินผลสัมฤทธิทางการเรยี น ระหว่างเรยี นและหลงั เรยี น ในรปู แบบกจิ กรรมตอบคำถามออนไลน์ และการสอบแบบออนไลนผ์ า่ น Application Google Form ด้วยการส่ง Link ให้ผเู้ รียนผ่าน Application Line เนอื่ งจากจำเปน็ ต้องปฏบิ ตั ติ ามนโยบายมาตรการป้องกัน โรคตดิ ต่อ จากเช้อื ไวรสั โควดิ 19 ซ่ึงมีการจดั การเรียนการสอน ในรปู แบบออนไลน์ และการทดสอบรปู แบบ ออนไลน์ 1.3 ผลการวิจัย 1.3.1 การพฒั นารปู แบบแนวทางการดำเนินการสอน เรื่องสารละลาย คอลลอยด์ และอมิ ลั ชนั วิชาวิทยาศาสตรเ์ พ่ือพฒั นาอาชพี ศิลปกรรมด้วยวิธี การสอนแบบโครงงานเป็นฐาน ประกอบด้วยองคป์ ระกอบ 4 องคป์ ระกอบ คอื 1) หลักการของรปู แบบแนวทางการดำเนินการสอนเรือ่ งสารละลาย คอลลอยดแ์ ละ อิมลั ชัน วชิ าวิทยาศาสตรเ์ พอ่ื พัฒนาอาชพี ศลิ ปกรรมด้วยวธิ ี การสอนแบบโครงงานเป็นฐาน ประกอบ ด้วย การพัฒนารปู แบบแนวทางการดำเนินการสอนเรอ่ื งสารละลาย คอลลอยด์และอิมลั ชนั วิชาวทิ ยาศาสตร์ เพือ่ พฒั นาอาชพี ศิลปกรรมดว้ ยวธิ ี การสอนแบบโครงงานเปน็ ฐาน และการพฒั นาทกั ษะการคิดคำนวณหา ความเขม้ ขน้ ของสารละลาย 2) วัตถุประสงค์ของรปู แบบแนวทางการดำเนินการสอนเรอื่ งสารละลาย คอลลอยดแ์ ละอมิ ลั ชนั วิชาวทิ ยาศาสตร์เพอื่ พฒั นาอาชีพศิลปกรรมด้วยวธิ ี การสอนแบบโครงงานเปน็ ฐาน 3) แนวทางในการดำเนินการสอน ประกอบด้วย การกำหนดรปู แบบแนวทางการสอน การประเมนิ ทกั ษะการ คำนวณคา่ ความเขม้ ขน้ สารละลาย ทักษะการคำนวณหาปริมาณสารกอ่ นการเตรยี มสารละลายทคี่ ่าความ เข้มขน้ ตามท่ีกำหนด 4) ตัวชว้ี ัดคณุ ภาพของรปู แบบการสอน เร่อื งสารละลาย คอลลอยดแ์ ละอมิ ลั ชัน วชิ า วิทยาศาสตรเ์ พอ่ื พฒั นาอาชีพศิลปกรรมดว้ ยวิธี การสอนแบบโครงงานเปน็ ฐาน โดยประเมนิ ตามมาตรฐาน คณุ ภาพ 4 ด้าน ประกอบด้วย ดา้ นความเหมาะสม ดา้ นความเป็นไปได้ ดา้ นความถูกต้อง และด้านความ เปน็ ประโยชน์ และชุดฝึกมคี ณุ ภาพระดับมากทสี่ ดุ ทกุ ดา้ น 1.3.2 ผลการศึกษาประสทิ ธิภาพการสอนของรปู แบบแนวทางการดำเนนิ การสอนเรื่องสารละลาย คอลลอยด์ และอิมลั ชัน วิชาวทิ ยาศาสตร์เพ่ือพฒั นาอาชีพศลิ ปกรรมด้วยวิธี ดว้ ยการสอนแบบโครงงานเป็น ฐาน มปี ระสทิ ธิภาพสงู กว่าเกณฑ์ทต่ี งั้ ไว้ 75/75 สามารถพฒั นาทกั ษะผู้เรยี นได้ E1/E2 = 76.51/82.48

38 2. อภปิ รายผล การวจิ ยั เรอ่ื งการพฒั นาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น เรือ่ ง สารละลาย คอลลอยด์และอิมลั ชัน่ รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์เพอ่ื พัฒนาอาชพี ศลิ ปกรรม โดยการจัดการเรยี นรแู้ บบใชโ้ ครงงานเป็นฐานของนกั เรยี นประเภท วชิ าศิลปกรรม ระดบั ปวช 3 วทิ ยาลัยอาชวี ศกึ ษาเพชรบรุ ีผวู้ ิจยั แบ่งอภิปรายผลเป็น 2 ประเด็น ดงั น้ี 2.1 การพัฒนารปู แบบการสอนวิชาวิทยาศาสตรเ์ พอ่ื พัฒนาอาชพี ศิลปกรรมแบบโครงงานเปน็ ฐาน การออกแบบรูปแบบแนวทางการสอนวชิ าวทิ ยาศาสตร์เพอื่ พฒั นาอาชีพศิลปกรรม เรื่องสารละลาย คอลลอยด์และอมิ ลั ชัน พัฒนาโดยเรมิ่ จากการศึกษาเอกสาร ทฤษฎงี านวจิ ยั ทเี่ ก่ียวกบั การจัดการเรยี นการ สอนแบบโครงงานเป็นฐาน รวมทงั้ ศกึ ษาสภาพปญั หาผลสมั ฤทธิทางการเรียนของผ้เู รยี นทผ่ี ่านมา ในเรอ่ื งน้ี มคี า่ ตำ่ กวา่ เกณฑ์ โดยเฉพาะทักษะการคำนวณหาคา่ ความเข้มข้นของสารละลายและทักษะการเตรียม สารละลายตามความเข้มข้นทีก่ ำหนดไว้ พบวา่ รูปแบบแนวทางการสอนวชิ าวิทยาศาสตร์เพอื่ พฒั นาอาชีพ ศลิ ปกรรม เร่ือง สารละลาย คอลลอยดแ์ ละอมิ ลั ชนั โดยการสอนแบบโครงงานเปน็ ฐาน ประกอบดว้ ย 4 องคป์ ระกอบ คอื 1) หลักการของการสอนแบบโครงงานเป็นฐาน 2) วัตถุประสงค์ของการจัดการเรยี นการ สอนประจำหนว่ ยการเรยี นรู้ 3) วิธกี ารดำเนนิ การสอนตามรปู แบบโครงงานเป็นฐาน และ 4) ตวั ช้ีวัด คณุ ภาพของรปู แบบการสอน โดยใชว้ ธิ ีโครงงานเปน็ ฐาน เรื่อง สารละลาย คอลลอยดแ์ ละอมิ ลั ชัน กำหนด แนวทางในการฝกึ ทกั ษะ การคำนวณหาคา่ ความเขม้ ขน้ ของสารละลาย และการประเมนิ ทกั ษะการคำนวณหา ปริมาณสารในการเตรียมสารละลายทีม่ ีคา่ ความเขม้ ขน้ ตามท่ีกำหนดไว้ ทำใหผ้ เู้ รียนเกดิ ทกั ษะการคำนวณ ท่ีคงทนตามความคดิ เห็นของผู้เช่ยี วชาญ พบวา่ รปู แบบการสอนแบบโครงงานเปน็ ฐาน เรือ่ ง สารละลาย คอลลอยด์และอมิ ลั ชันนี้ มีความสอดคล้องกนั ระหว่างหลักการ วัตถุประสงค์ วิธีดำเนินการสอน และ ตัวช้วี ัดคุณภาพของการสอน ซง่ึ มีความเหมาะสม มีความเป็นไปได้ มคี วามถกู ต้อง และเป็นประโยชน์ สามารถพฒั นาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนของผเู้ รยี น เพอื่ บรรลเุ ป้าหมายทตี่ ง้ั ไว้ คอื ผเู้ รยี นเกดิ ทกั ษะในการ คำนวณหาคา่ ความเขม้ ขน้ ของสารละลายตาม แนวทางของตัวอย่างทผี่ ู้สอนยกตวั อยา่ ง สามารถคำนวณ โจทยป์ ญั หา และตง้ั โจทยป์ ญั หาเก่ยี วกับความเขม้ ขชน้ ของสารละลายได้ และฝึกทกั ษะการคำนวณเพม่ิ เติม ดว้ ยการจับคฝู่ ึกคำนวณโจทย์ เพื่อหาคา่ ความเขม้ ขน้ สารละลาย ตามท่เี พอื่ นเป็นผู้คดิ โจทย์ไว้ไดด้ ้วยตนเอง และสลบั กนั ประเมนิ ผลการเรยี นรเู้ ปน็ คู่ ในลกั ษณะเพอ่ื นชว่ ยเพื่อน รวมทั้งการประเมนิ ผลทกั ษะการคำนวณ หาค่าความเข้มขน้ ประกอบดว้ ย การประเมินผลทกั ษะด้วยตนเองและการประเมินผลทกั ษะของเพื่อนด้วย วิธกี ารจับคู่ประเมนิ ผลจากการแกป้ ญั หาโจทยท์ ่ีตนเองเปน็ ผคู้ ิดข้นึ การประเมนิ ทกั ษะการคำนวณของผู้เรียน โดยครูผสู้ อนดว้ ยกิจกรรมระหว่างเรยี น และแบบวดั ผลสมั ฤทธทิ างการเรียนหลังเรียนมีค่าสงู ขน้ึ กวา่ กอ่ นเรียน ซึ่งผลทีไ่ ด้มีความสอดคลอ้ งกบั งานวิจัยของ.ศศญิ ามล เจริญผล, อภชิ าติ สงั ข์ทอง (พ.ศ.2563) ไดท้ ำการศกึ ษา วจิ ยั เรือ่ งผลการใชส้ ือ่ ดิจทิ ัลประกอบการจัดการเรยี นรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ในรายวชิ าฟิสกิ สส์ ำหรับ นกั เรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ผลทีได้พบว่า การจดั การเรียนการสอนรปู แบบโครงงานเปน็ ฐาน กบั การจัดการ

39 เรียนการสอนรายวิชาวทิ ยาศาสตรม์ คี วามเหมาะสมสอดคลอ้ งกัน เนอื่ งดว้ ยกิจกรรมโครงงานเหมาะกบั การศกึ ษาในยคุ ขอ้ มูลข่าวสารในปจั จบุ นั เป็นกจิ กรรมทีต่ อบสนองความตอ้ งการของผู้เรยี นได้อยา่ งเตม็ ตาม ความสามารถของผูเ้ รยี นทำใหเ้ กดิ ความรจู้ รงิ ซงึ่ ผเู้ รยี นไดจ้ ากการเรยี นรดู้ ้วยตนเอง โดยการทดลอง ปฏิบัติ ค้นคว้า ผ้เู รยี นสามารถใช้ความรู้ได้หลายดา้ น หลายมิติจน เกดิ ปญั ญาเชือ่ มโยงความร้ตู า่ งๆ เขา้ ดว้ ยกัน สามารถฝกึ ใหผ้ เู้ รียนเปน็ คนคดิ เปน็ ทำเปน็ และแกป้ ัญหาเปน็ นอกจากนย้ี งั สง่ ผลใหผ้ เู้ รยี นได้พฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค์ และเกิดความภูมิใจทที่ ำงานได้สำเรจ็ เกดิ ความสนกุ สนานจากการเรียนรู้ชว่ ยสนบั สนุนให้ ผเู้ รยี นเปน็ นกั ค้นคว้า ตามลักษณะของนักวิทยาศาสตร์ ผลการวิจัยพบว่าแผนการจดั การเรียนรทู้ ่ีพฒั นาขน้ึ มี ประสทิ ธิภาพ 76.68/78.71 เป็นไปตามเกณฑม์ าตรฐาน 75/75 นกั เรียนมีผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นหลงั เรียน (Mean 23.61, S.D. 1.62) สงู กว่าก่อนเรียน (Mean 10.23, S.D. 1.85) อยา่ งมนี ัยสำคญั ทางสถติ ิ ที่ระดับ .05 และมคี วามสามารถในการใชส้ อ่ื ดิจทิ ลั ในการทำโครงงานวทิ ยาศาสตร์ (78.80%) เปน็ ไปตาม เกณฑ์ทีก่ ำหนดรอ้ ยละ 75 2.2 การศกึ ษาประสทิ ธภิ าพของ รูปแบบแนวทางการสอนวิชาวิทยาศาสตรเ์ พอ่ื พฒั นาอาชพี ศิลปกรรม เร่ือง สารละลาย คอลลอยดแ์ ละอิมลั ชนั ทผ่ี ู้วจิ ยั ไดอ้ อกแบบการจัดการเรยี นการสอนแบบโครงงานเปน็ ฐาน ได้ผลสมั ฤทธ์ิระหว่างการใช้เรยี น และผลสมั ฤทธิหลงั เรยี น ผ่านและสงู กวา่ เกณฑ์ท่ีตงั้ ไว้ที่ E1/E2 = 75/75 ท้ังนี้เนอ่ื งจาก รปู แบบแนวทางการสอนวชิ าวทิ ยาศาสตรเ์ พอื่ พฒั นาอาชพี ศลิ ปกรรม เรือ่ ง สารละลาย คอลลอยดแ์ ละอมิ ัลชนั ที่ไดด้ ำเนนิ การวิจยั ไปมีค่าประสทิ ธภิ าพ E1/E2 = 76.51/82.48 ซงึ่ มีคา่ สงู กว่าเกณฑ์ ทีต่ งั้ ไว้ อกี ทั้งยังมีหลักการที่ชัดเจนเกย่ี วกับวธิ ีดำเนนิ การสอน เพ่ือการฝึกทกั ษะการคำนวณหาค่าความเขม้ ข้น ของสารละลาย ตามขน้ั ตอนทีส่ ง่ ผลใหผ้ ู้เรียนได้ฝึกปฏิบตั ิการคำนวณหลายครง้ั ท้งั จากสว่ นทเ่ี ปน็ โจทย์ ตามท่ีครผู สู้ อนกำหนด และจากโจทยท์ เ่ี พอ่ื นรว่ มชน้ั เรยี นช่วยกัน คดิ ขนึ้ มผี ลให้ ผูเ้ รียนสามารถประเมนิ ผล ประเมินทกั ษะทกั ษะการคำนวณของตนเองได้เป็นระยะอยา่ งตอ่ เนือ่ ง โดยการคิดโจทยป์ ัญหาด้วยต้นเอง และฝกึ คำนวณแก้ปญั หาโจทย์น้นั ในลกั ษณะใกลเ้ คียงกบั การตรวจสอบคำตอบท่ีถกู ตอ้ ง เนื่องจากตนเองเป็น ผกู้ ำหนดโจทย์ ซง่ึ มคี วามสอดคล้องกบั งานวจิ ยั ของฐิติพร เผือกพบิ ลู ย์ (พ.ศ.2563) ท่ีได้ศึกษาวจิ ยั เรอื่ ง การ พัฒนารปู แบบการสอนชวี วิทยา หน่วยการเรียนรเู้ รอ่ื งเคมที เี่ ปน็ พน้ื ฐานของส่งิ มีชีวิต โดยใชก้ ระบวนการ เรียนร้แู บบโครงงานเปน็ ฐานร่วมกบั การใชอ้ ินโฟกราฟกิ เพอ่ื เสริมสรา้ งทกั ษะของนักเรียนในศตวรรษที่ 21 สำหรับนักเรยี นระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 โรงเรียนกบนิ ทรว์ ทิ ยา มวี ัตถุประสงค์ ดงั น้ี 1) เพ่ือพัฒนารปู แบบ การสอนชวี วทิ ยา 2) เพอ่ื ศึกษาผลของการใชร้ ปู แบบการสอนชวี วทิ ยา และ 3) เพื่อศึกษาเจตคติต่อการเรยี น ชีววิทยาของนักเรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4 ที่ไดร้ บั การจดั การเรยี นรูด้ ว้ ย รปู แบบการสอนชีววิทยา หน่วย การเรียนรู้ เร่ือง เคมที เี่ ป็นพ้นื ฐานของส่งิ มชี วี ติ โดยการใชก้ ระบวนการเรียนรแู้ บบโครงงานเป็นฐานรว่ มกบั การใช้อนิ โฟกราฟิก เพ่อื เสรมิ สร้างทกั ษะของนักเรียนในศตวรรษที่ 21 โดยมีกลุ่มตวั อย่าง คอื นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 4/1 จำนวน 35 คน ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2563 โรงเรยี นกบนิ ทรว์ ทิ ยา โดยใช้เคร่ืองมอื ประกอบด้วย 1) แผนการจดั การเรียนรู้ตามรูปแบบการสอนชวี วทิ ยา 2) แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ ทางการเรียน 3) แบบประเมนิ ทกั ษะของนกั เรียนในศตวรรษที่ 21 4) แบบวดั เจตคติต่อวชิ าชีววทิ ยา วเิ คราะหข์ อ้ มูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ คา่ เฉลย่ี ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (Dependent t-test)

40 ผลการวิจัยพบว่า 1. ไดร้ ปู แบบการสอนชีววทิ ยา มอี งคป์ ระกอบสำคญั คือ 1) หลักการ 2) วตั ถปุ ระสงค์ 3) กระบวนการจัดการเรยี นรมู้ ี 5 ขนั้ ตอน คือ ขนั้ ที่ 1 : Prepare & Infographic ขนั้ ท่ี 2 : Prescribe ขน้ั ที่ 3 : Plan ขัน้ ท่ี 4 : Practice และขน้ั ที่ 5 : Present & Infographic 4) รปู แบบการสอนชีววทิ ยาตาม ความเห็นของผ้เู ชยี่ วชาญมีความเหมาะสมในระดบั มากทสี่ ุด 2. ผลการทดลองใชร้ ูปแบบการสอนชีววทิ ยา พบว่า 1) นกั เรยี นทเ่ี รียนโดยใชร้ ูปแบบการสอนชีววทิ ยา มคี ่าเฉลีย่ ของผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นหลังเรียนสงู กว่ากอ่ นเรียนอย่างมีนยั สำคัญทางสถิตทิ รี่ ะดบั .05 2) ทกั ษะของนักเรียนในศตวรรษที่ 21 อยใู่ นระดบั มาก และ 3) นกั เรยี นมีเจตคตติ ่อวชิ าชีววิทยา โดยมคี ะแนนเฉล่ียอย่ใู นระดบั มาก 3. ข้อเสนอแนะ 3.1 ขอ้ เสนอแนะในการนำผลการวจิ ยั ไปใช้ 3.1.1 การนำรปู แบบการสอนและใช้แนวทางการจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเปน็ ฐาน เรอ่ื ง สารละลาย คอลลอยดแ์ ละอมิ ลั ชั่น ในรายวิชาวทิ ยาศาสตร์เพอ่ื พัฒนาอาชพี ศลิ ปกรรมไปใช้ ควรทำการศกึ ษา ทำความเขา้ ในขัน้ ตอน วิธดี ำเนนิ การสอนอยา่ งชดั เจน โดยศกึ ษาใหล้ ะเอยี ด พร้อมทั้งประเมินทักษะการการ คำนวณของผ้เู รียนตามเกณฑก์ ารประเมนิ ทกั ษะเป็นระยะ ๆ ระหว่างการจัดการเรยี นการสอน อยา่ งเป็นข้ันตอน 3.1.2 การพัฒนาทักษะการคำนวณนน้ั ควรมกี ารสร้างแรงจูงใจในการพฒั นาทกั ษะของผเู้ รยี น เช่นมีการให้คะแนน หรอื คำชมเชย เพ่ือสรา้ งแรงเสริมทางบวก และทำให้ผเู้ รยี นมกี ำลงั ใจในการฝกึ ฝน 3.2 ข้อเสนอแนะในการวจิ ยั ครงั้ ตอ่ ไป 3.2.1 ผ้เู รียนควรไดร้ บั โอกาสในการการพฒั นาทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ด้านอ่นื ๆ ท่ีสง่ ผลใหผ้ ้เู รียนมีความรู้ และมที กั ษะความสามารถทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์ใหม้ ากยิ่งขึน้ เนื่องจากวิทยาศาสตร์ เป็นเสมอื นพนื้ ฐานความรู้ทจ่ี ะช่วยพัฒนาคน สง่ เสรมิ ใหร้ ู้จกั การคดิ วเิ คราะหเ์ ป็น แกป้ ญั หาเป็น สรา้ งสรรคง์ าน นวัตกรรม เพอ่ื นำไปสกู่ ารพฒั นาประเทศชาติ โดยเฉพาะทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทงั้ 13 ประการ ให้มากขึ้น ซ่ึงนบั เป็นการปลูกฝงั ใหผ้ ูเ้ รียนได้ใช้ทักษะเหลา่ นี้เป็นเครื่องมอื ในการสบื เสาะแสวงหาความรู้ ด้วยตนเองตอ่ ไปในอนาคต เป็นประโยชนทงั้ ในชวี ิตประจำวนั และการประกอบอาชพี ของตนเอง 3.2.2 ผู้สอนควรศึกษา และทำการสร้างและกจิ กรรมทสี่ ามารถพฒั นาความรู้ ความเข้าใจ รวมไป ถึงทักษะของผู้เรียน โดยใช้เทคโนโลยีดจิ ติ ัล แอฟพลีเคช่นั ต่างๆ ท่มี กี ารพัฒนาข้ึนมากมายในปจั จบุ ันอยา่ ง ตอ่ เนอ่ื ง เพือ่ สง่ ผลใหผ้ ลสัมฤทธท์ิ างการเรียนในรายวิชาตา่ งๆ สูงขน้ึ 3.2.3 ควรฝกึ ฝนผ้เู รยี นอย่างสม่ำเสมอ ดว้ ยวิธกี ารในการพัฒนาผู้เรียนทสี่ ่งเสรมิ การนำทกั ษะ ตา่ งๆ ไปใชป้ ระโยชนก์ บั ตวั ผเู้ รยี นเอง สถานศกึ ษา และสงั คมชมุ ชน จากการพัฒนาทกั ษะพ้ืนฐานต่างๆ เพื่อใหผ้ เู้ รยี นมีคณุ ลกั ษณะเป็นผู้ทม่ี คี วามสนใจใฝร่ จู้ นเป็นกจิ นิสยั และสามารถสบื เสาะแสวงหาความรู้ด้วย ตน้ เองอยา่ งยังยืน

บรรณานุกรม กลุ รภสั เทยี มทพิ ร. (2559). “PBL: Project Base Learning การเรยี นรสู้ กู่ ารปฏิบัตจิ รงิ โดยใช้ โครงงานเปน็ ฐาน” วารสารการจดั การความรู้ พ.ศ. 2559. นครสวรรค์ : มหาวทิ ยาลัย ราชภัฏนครสวรรค.์ ขวญั ดาว แจ่มแจง้ . 2557. รายงานการวิจยั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นและความพงึ พอใจ ของนกั ศึกษา โปรแกรมวิชาเคมี ชัน้ ปี ที่ 2 ที่มีต่อการจัดการเรยี นการสอนแบบบรู ณาการ โดยใชโ้ ครงงาน เป็นฐานเรอ่ื งปฏิกริ ิยาการแทนที่ รายวิชาเคมอี ินทรียแ์ ละปฏิบตั กิ าร 2. คณะวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร. ชมรมปฏริ ูปการศึกษาไทย. (2558). การปฏิรปู การศึกษาเพอ่ื พัฒนาทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21. กรงุ เทพมหานคร : ม.ป.พ. พจนา ทรพั ยส์ มาน. 2550. การจดั การเรียนรู้โดยใหผ้ ูเ้ รยี นแสวงหาและคน้ พบความร้ดู ว้ ย ตนเอง. กรงุ เทพมหานคร: จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . ไพฑรู ย์ นนั ตะสุคนธ์ และวัลลภา อยู่ทอง. (2557). การจดั การเรยี นร้แู บบโครงงานเป็นฐาน. กรงุ เทพมหานคร : หน่วยศึกษานเิ ทศก์ สานกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา. ดษุ ฎี โยเหลา และ คณะ. (2557). การศึกษาการจดั การเรยี นรู้แบบ PBL ท่ีไดจ้ ากโครงการสรา้ ง ชุดความรู้เพอื่ สร้างเสรมิ ทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 ของเด็กและเยาวชน: จาก ประสบการณค์ วามสำเร็จของโรงเรยี นไทย. กรงุ เทพมหานคร : หจก. ทิพยวสิ ทุ ธิ.์ พจน์ศิรินทร์ ลมิ ปินันทน.์ 2558. การจัดการเรยี นรโู้ ดยใช้โครงงานเปน็ ฐานในราย วชิ ามัลติมีเดยี และ แอนิเมชั่น 2 มิตแิ ละ 3 มติ ิ. วารสารวิจยั เพื่อพฒั นาสังคมและชุมชน มหาวทิ ยาลัยราชภัฏ มหาสารคาม 2(1): 36- 41. รุ่งกานต์ ใจวงศ์ยะ. 2560. ความพึงพอใจต่อการจัดการเรยี นการสอนโดยใชโ้ ครงการเป็นฐานใน รายวชิ า สต 423 สถติ ิศาสตรไ์ มอ่ ิง พารามิเตอร์, น. 713-719. ใน การประชุม วชิ าการ Creative RMUT and Sustainable Innovation for Thailand 4.0. ศนู ยก์ ารประชมุ อมิ แพค เมอื งทองธานี, นนทบรุ ี. ศศิโสภิต แพงศร.ี 2561. การสอนแบบโครงงาน เป็นฐาน: การประยกุ ตส์ ู่การปฏิบตั ิในการ จดั การศกึ ษาพยาบาล. วารสารวิทยาลยั พยาบาลพระปกเกลา้ จันทบรุ ี29(1): 215- 222. สทิ ธพิ ล อาจอนิ ทร์ และ ธรี ชัย เนตรถนอมศักด.์ิ 2554. การจัดการเรยี นรโู้ ดยใช้โครงการเป็นฐานใน รายวชิ าการพัฒนาหลักสตู ร สำหรบั นกั ศึกษาระดับปริญญาตรีหลกั สูตร 5 ปี . วารสาร วิจยั มข. 1(1): 1-16.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook