รับประทาน ความ ห่างไกลความเจริญ การเดินทางไปซ้ืออาหารมารับประทานลาํ บาก จึงรับประทานแต่อาหาร ที่หาไดใ้ นทอ้ งถิ่นของตน ขาดแคลนอาหาร เนื่องจากอยใู่ นภาวะสงคราม เกิดอุทกภยั ผลผลิตต่าํ เป็นตน้ 2.รับประทานอาหารไม่ถูกตอ้ ง เกิดเน่ืองจากขาดความรู้เก่ียวกบั การรับประทานอาหารที่ถูกหลกั โภชนาการ ไม่มีความรู้วา่ อาหาร ชนิดใดใหป้ ระโยชน์อยา่ งไรและป้องกนั โรคใด หรือมีนิสัยการรับประทาน อาหารไม่ถูกตอ้ ง เลือกรับประทานเฉพาะอาหารท่ีชอบ หรือมี ความเช่ือผดิ ๆเก่ียวกบั การรับประทานอาหารตาม ขนมธรรมเนียมประเพณีในทอ้ งถ่ินน้นั ๆ 3.มีความผดิ ปกติของร่างกาย เช่น มีโรคประจาํ ตวั เกี่ยวกบั ระบบยอ่ ยอาหาร ทาํ ใหด้ ูดซึมอาหารบางชนิด ไดน้ อ้ ย หรือมีอาการ แพอ้ าหารบางชนิด เช่นอาหารทะเล ไข่ เป็นตน้ โรคขาดสารอาหารทสี่ าคัญและพบเหน็ บ่อยในประเทศ มีดงั น้ี 1.โรคทเ่ี กดิ จากการขาดสารโปรตีนและแคลอรี เป็นโรคท่ีเกิดจากร่างกายไดร้ ับสารอาหารประเภท โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมนั นอ้ ยเกินไป หรือสารอาหารเหล่าน้ีมีคุณภาพไม่ดี โรคน้ีพบไดบ้ ่อยในเด็กที่มี อายตุ ่าํ กวา่ 6 ปี โดยเฉพาะทารกและเด็กก่อนวยั เรียน อนั เน่ืองมาจากการขาดดูแลเอาใจใส่เรื่องการกินอาหาร หรือไม่มีความรู้ทางโภชนาการ หรือการนาํ นมขน้ หวาน และนมผงผสม ท่ีมีสารอาหารนอ้ ยเกินไปสาํ หรับเด็ก มาใหเ้ ดก็ ทาน อาการของโรค ร่างกายจะผอมแหง้ จะมีการบวมท่ีทอ้ ง หนา้ ขา ศีรษะโต ผวิ หนงั เหี่ยว การแกไ้ ข ใหป้ ้องกนั โดยการด่ืมนมววั หรือนมถวั่ เหลือง เพ่ิมข้ึนเพราะน้าํ นมเป็ นอาหารท่ีประกอบดว้ ยสารอาหารที่ สมบูรณ์ที่สุด 2.โรคขาดวติ ามิน ท่ีพบมากในประเทศไทยเป็นโรคที่เกิดจากวติ ามินเอ บีหน่ึง บีสอง ซี - ขาดวติ ามินเอ ทาํ ใหเ้ กิดโรค ตาฟาง ตาบอกกลางคืน ป้องกนั กินอาหารประเภทไขมนั และผกั ใบเขียว ใบเหลือง เช่น มะละกอ คะนา้ ตาํ ลึง ไข่ นม มะม่วงสุก ผกั บุง้ - ขาดวติ ามินบีหน่ึง ทาํ ให้เกิด ใจสัน่ โรคหวั ใจโตและเตน้ เร็ว หอบ เหนื่อย โรคเหน็บชา การป้องกนั ทาํ ไดโ้ ดยการกินอาหารท่ีมีวติ ามินบีหน่ึงเป็ นประจาํ เช่น ขา้ วซอ้ มมือ ถวั่ เมลด็ แหง้ และควรหลีกเล่ียงอาหารท่ี ทาํ ลาย วติ ามินบีหน่ึง เช่น ปลาร้า หอยดิบ หมาก เมี่ยง ใบชา - ขาดวติ ามินบีสอง ทาํ ใหเ้ กิดโรค ปากนกกระจอก เป็ นแผลที่ปาก แกไ้ ขไดโ้ ดยกินอาการประเภท นม สด น้าํ เตา้ หู้ ถวั เหลือง เป็นตน้ - ขาดวติ ามิน ซี ทาํ ใหเ้ กิดโรค ลกั ปิ ดลกั เปิ ด เลือดออกตามไรฟัน แกไ้ ขไดโ้ ดยทางอาหารที่มีรสเปร้ียว ส้ม มะนาว มะขาม มะเขือเทศ เป็นตน้ 3.โรคขาดแร่ธาตุ ถา้ ร่างกายขาดสารแร่ธาตุก็จะทาํ หนา้ ของอวยั วะผดิ ปกติและจะทาํ ใหเ้ กิดโรคต่างๆ - ขาดธาตุ แคลเชียม จะเป็ นโรคกระดูกอ่อน กระดูกไมแ่ ข็งแรง มกั จะเป็นในเดก็ และหญิงใหน้ มบุตร อาการของโรคจะทาํ ใหข้ อ้ ต่อกระดูกบวม ขาโคง้ โก่ง กลา้ มเน้ือหยอ่ น กระดูกซ่ีโครงดา้ นหนา้ รอยต่อนูน ทาํ ให้ อกเป็นสนั เรียกวา่ อกไก่ การป้องกนั การขาดธาตุ แคลเชียม ใหก้ ินอาหารประเภท นมสด ปลาท่ีกินไดท้ ้งั กระดูก กระดูกอ่อน ผกั สีเขียว และควรเสริมดว้ ยน้าํ มนั ตบั ปลา - ขาดธาตุเหล็ก จะเป็ นโรคโลหิตจาง ร่างกายอ่อนแอ เบ่ืออาหาร ความตา้ นทานโรคต่าํ เปลือกตาขาว
ซีด ลิ้นอกั เสบ เลบ็ เปราะ การป้องกนั การขาดธาตุเหลก็ ใหร้ ับประทานอาหารจาํ พวกเคร่ืองใน เช่นตบั หวั ใจ เลือด เน้ือสตั ว์ ผกั ใบเขียว เป็นตน้ - ขาดธาตุไอโอดีน ไดแ้ ก่โรคคอหอยพอก ตอ่ มไทรอยดบ์ วม และถา้ เป็นในเด็ก จะทาํ ใหร้ ่างกายแคระ สติปัญญาเส่ือม หรือที่เรียกวา่ โรคเอ๋อ ป้องกนั ได้ โดยกินอาหารทะเล ของเคม็ เกลือสมุทร (เกลือท่ีมาจากทะเล) ใบงาน คาส่ัง จงอธิบายและตอบคาํ ถามดงั ต่อไปน้ี 1. อาหาร หมายถึง..................................................... ............................................................................. ............................................................................................................................................................ 2. โภชนาการ หมายถึง................................................................................................................... ............................................................................................................................................................ 3. จงอธิบายความหมายของโรคขาดสารอาหาร พร้อมท้งั ยกตวั อยา่ ง คาํ อธิบาย ลกั ษณะและอาการของโรค ขาดสารอาหาร จาํ นวน 1โรค ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................
4. จงบอก/อธิบายกิจกรรมนนั ทนาการ และการออกกาํ ลงั กายที่เหมาะสมสาํ หรับวยั เดก็ วยั ผใู้ หญ่ และ ผสู้ ูงอายุ วยั เด็ก................................................................................................................................................... …………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………. วยั ผใู้ หญ.่ ............................................................................................................................................... …………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………. ผสู้ ูงอาย.ุ .................................................................................................................................................... …………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………. 5. จงอธิบายวธิ ีการของการออกกาํ ลงั กาย/นนั ทนาการเพื่อสุขภาพของผเู้ รียนท่ีปฏิบตั ิจริงในชีวติ ประจาํ วนั มาพอสงั เขป ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................
บันทกึ หลงั การพบกล่มุ คร้ังที่ ………….. วนั ที่……. เดือน ……………. พ.ศ………….. กจิ กรรมการเรียนรู้ …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… สิ่งทไ่ี ด้รับจากการเรียนรู้ …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… บันทกึ หลงั การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ กจิ กรรมการเรียนรู้
…………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… สภาพปัญหาทพ่ี บ …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… วธิ ีการแก้ปัญหา …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… ข้อเสนอแนะ …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่ือ…………………………………….ผ้บู ันทกึ หลงั การสอน (………………..………………) ตาแหน่ง……………………………………… ลงช่ือ….................................................ผ้อู านวยการสถานศึกษา
แผนการเรียนรู้ รายวชิ า สุขศึกษา พลศึกษ คร้ังที่ 4 การศึกษาค้นค รายวชิ า/หวั เร่ือง ตัวชี้วดั เนื้อหา โรคท่ีถ่ายทอดทาง พนั ธุกรรม 1. อธิบายโรคที่ถ่ายทอด 1. โรคที่ถ่ายทอดทาง คร ทางพนั ธุกรรม พนั ธุกรรม สาเหตุ อาการ ใบ 2. ปฏิบตั ิตนในการป้องกนั การป้องกนั และการรักษา ข้นั โรคติดต่อโรคท่ีเป็ น - โรคลสั ซีเมีย -ค ปัญหาต่อสุขภาพ และ - โรคภูมิแพ้ ตน โรคที่เป็ นปัญหา - โรคขาดสารไอโอดีน สาธารณสุข 2. การวางแผนร่วมกบั ข้นั ชุมชนเพื่อป้องกนั และ -ค 3. วเิ คราะห์ผลกระทบของ หลีกเล่ียงโรคติดต่อ และ หา พฤติกรรมสุขภาพที่มีต่อ โรคท่ีเป็ นปัญหา -ค การป้องกนั โรค สาธารณสุข ทาํ 4. แนะนาํ ขอ้ มูล ข่าวสาร และแหล่งบริการเพื่อ 3. ผลกระทบของพฤติกรรม ข้นั ป้องกนั โรคแก่ครอบครัว สุขภาพท่ีมีตอ่ การ -ส และชุมชน ป้องกนั โรค ราย 4. ขอ้ มูล ข่าวสารและแหล่ง ข้นั บริการเพ่ือการป้องกนั โรค - ใ 1.
ษา ทช31003 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย คว้าด้วยตนเอง/พบกล่มุ การจัดการแผนการเรียนรู้ ส่ือ วดั /ประเมินผล 1. ดูจากรายงาน รูมอบหมายใหผ้ เู้ รียนแตล่ ะคนปฏิบตั ิตาม ส่ือ 2. สงั เกตพฤติกรรม 3. การมีส่วนร่วม บงานตามท่ีกาํ หนด - หนงั สือ 4. การนําเสนอหน้า นที่ 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ - แผน่ พบั / แผน่ ปลิว ช้นั เรียน ครูสนทนากบั ผเู้ รียนถึงวธิ ีการศึกษาดว้ ย - ใบงาน ใบความรู้ นเอง - อินเตอร์เน็ต นที่ 2 แสวงหาข้อมูลและจัดการเรียนรู้ แหล่งเรียนรู้ ครูบอกถึงแหล่งเรียนรู้ท่ีใชใ้ นการศึกษา - หอ้ งสมุด าขอ้ มูล - โรงพยาบาล / ครูมอบหมายงานใหผ้ เู้ รียนไป โรงพยาบาลส่งเสริม าการศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง สุขภาพชุมชน นที่ 3 การปฏิบัติและการนาไปใช้ สรุปผลการศึกษาคน้ ควา้ และจดั ทาํ เป็น ยงานส่งตามกาํ หนดเวลา นที่ 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ ใบงาน/ใบความรู้ . - แบบทดสอบ
.ใบความรู้ เรื่อง โรคทถ่ี ่ายทอดทางพนั ธุกรรม โรคทถ่ี ่ายทอดทางพนั ธุกรรม โรคทางพนั ธุกรรม หรือ โรคถ่ายทอดทางพันธุกรรม เป็ น โรคทเี่ กดิ ขึน้ โดยมีสาเหตุมาจากการถ่ายทอด พนั ธุกรรมของฝ่ังพ่อและแม่ หากหน่วยพนั ธุกรรมของพ่อและแมม่ ีความผดิ ปกติแฝงอยู่ โดยความผดิ ปกติ เหล่าน้ีเกิดข้ึนมาจากการผา่ เหล่าของหน่วยพนั ธุกรรมบรรพบุรุษ ทาํ ใหห้ น่วยพนั ธุกรรมเปล่ียนไปจากเดิมได้ โรคมะเร็ง มะเร็ง คือ กลุ่มของโรคท่ีเกิดเน่ืองจากเซลลข์ องร่างกายมีความผดิ ปกติ ท่ี DNA หรือสารพนั ธุกรรม ส่งผลให้ เซลลม์ ีการเจริญเติบโต มีการแบง่ ตวั เพื่อเพิ่มจาํ นวนเซลล์ รวดเร็ว และมากกวา่ ปกติ ดงั น้นั จึงอาจทาํ ใหเ้ กิดกอ้ น เน้ือผดิ ปกติ และในท่ีสุดกจ็ ะ ทาํ ใหเ้ กิดการตายของเซลลใ์ นกอ้ นเน้ือน้นั เน่ืองจากขาดเลือดไปเล้ียง เพราะการ เจริญเติบโตของหลอดเลือด ถา้ เซลลพ์ วกน้ีเกิดอยใู่ นอวยั วะใดก็จะ เรียกช่ือ มะเร็ง ตามอวยั วะน้นั เช่น มะเร็ง ปอด มะเร็งสมอง มะเร็งเตา้ นม มะเร็งปากมดลูก มะเร็ง เมด็ เลือดขาว มะเร็งตอ่ มน้าํ เหลือง และมะเร็งผวิ หนงั อาการและการแสดงออกของโรคมะเร็ง 1.ไม่มีอาการใดเลยในช่วงแรกขณะท่ีร่างกายมีเซลลม์ ะเร็งเป็นจาํ นวนนอ้ ย 2. มีอาการอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงตามสัญญาณอนั ตราย 8 ประการ ที่เป็นสัญญาณเตือน วา่ ควรไปพบแพทย์ เพ่ือการ ตรวจคน้ หาโรคมะเร็ง หรือสาเหตุอื่น ๆ ท่ีทาํ ใหม้ ีสัญญาณ เหล่าน้ี เพื่อการรักษาและแกไ้ ขทางการแพทยท์ ี่ ถูกตอ้ งก่อนท่ีจะกลายเป็นโรคมะเร็ง หรือเป็นมะเร็งระยะลุกลาม 3. มีอาการป่ วยของโรคทว่ั ไป เช่น อ่อนเพลีย เบ่ืออาหาร น้าํ หนกั ลด ร่างกายทรุดโทรม ไม่สดช่ืน และไม่แจ่มใส 4. มีอาการท่ีบ่งบอกวา่ มะเร็งอยใู่ นระยะลุกลาม หรือเป็ นมาก ข้ึนอยกู่ บั วา่ เป็นมะเร็ง ชนิดใดและมีการกระจาย ของโรคอยทู่ ่ีส่วนใดของร่างกายที่สาํ คญั ที่สุดของอาการในกลุ่ม น้ี ไดแ้ ก่ อาการเจ็บปวด ท่ีแสนทุกขท์ รมาน สัญญาณอนั ตราย 8 ประการ ของโรคมะเร็ง 1.มีการเปลี่ยนแปลงของระบบขบั ถ่ายอุจจาระ และปัสสาวะ เช่น ถ่ายอุจจาระเป็นสีดาํ หรือปัสสาวะเป็นเลือด 2. กลืนอาหารลาํ บาก หรือมีอาการเสียด แน่นทอ้ งเป็นเวลานาน 3. มีอาการเสียงแหบ และไอเร้ือรัง 4. มีเลือดหรือตกขาวท่ีผดิ ปกติ เช่น มีกลิ่นเหมน็ 5. แผลซ่ึงรักษาแลว้ ไม่ยอมหาย 6. มีการเปล่ียนแปลงของหูดหรือไฝตามร่างกาย 7. มีกอ้ นที่เตา้ นมหรือส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกาย 8. หูอ้ือหรือมีเลือดกาํ เดาไหล
การป้องกนั มะเร็ง 1. รับประทานผกั ตระกลู กะหล่าํ ใหม้ าก เช่น กะหล่าํ ปลี กะหล่าํ ดอก ผกั คะนา้ หวั ผกั กาด บรอคโคล่ี ฯลฯเพื่อป้องกนั โรคมะเร็งลาํ ไส้ใหญ่ ลาํ ไส้ส่วนปลาย กระเพาะอาหาร และอวยั วะระบบทางเดินหายใจ 2..รับประทานอาหารที่มีกากมากเช่น ผกั ผลไม้ ขา้ ว ขา้ วโพด และเมลด็ ธญั พชื อ่ืนๆเพื่อป้องกนั มะเร็ง ลาํ ไส้ใหญ่ 3.รับประทานอาหารท่ีมีเบตา้ - แคโรทีน และ ไวตามินเอ สูงเช่น ผกั ผลไม้ สีเขียว-เหลืองเพ่ือป้องกนั มะเร็งหลอดอาหาร กล่องเสียง และปอด 4.รับประทานอาหารท่ีมีไวตามินซีสูง เช่น ผกั ผลไมต้ ่าง ๆ เพ่ือป้องกนั มะเร็งหลอดอาหาร และ กระเพาะอาหาร 5.ควบคุมน้าํ หนกั ตวั โรคอว้ นมีความสมั พนั ธ์กบั โรคมะเร็งมดลูก ถุงน้าํ ดี เตา้ นม และลาํ ไส้ใหญ่ การ ออก กาํ ลงั กายและการลดรับประทานอาหารท่ีให้ พลงั งานสูง จะช่วยป้องกนั มะเร็ง เหล่าน้ีได้ พฤติกรรมการกนิ ลดการเสี่ยงโรคมะเร็ง 1.ไม่รับประทานอาหารท่ีมีราข้ึน อาหารท่ีมีราข้ึนโดยเฉพาะสีเขียว-เหลือง จะมีสารอลั ฟาทอกซิน ปนเป้ื อนซ่ึงอาจเป็น สาเหตุของโรคมะเร็งตบั 2. ลดอาหารไขมนั อาหารไขมนั สูงจะทาํ ใหเ้ สี่ยงต่อการเป็ น มะเร็งเตา้ นม ลาํ ไส้ใหญแ่ ละต่อมลูกหมาก 3.ลดอาหารดองเคม็ อาหารปิ้ ง-ยา่ ง รมควนั และอาหารที่ถนอมดว้ ยเกลือไนเตรท- ไนไตร์ทอาหาร เหล่าน้ี จะทาํ ใหเ้ สี่ยงต่อ มะเร็ง หลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งลาํ ไส้ใหญ่ 4.ไม่รับประทานอาหารสุกๆ ดิบ ๆ เช่น กอ้ ยปลา ปลาจ่อม ฯลฯจะทาํ ใหเ้ ป็นโรคพยาธิใบไมต้ บั และ เสี่ยง ต่อการเป็นมะเร็งของท่อน้าํ ดีในตบั 5.หยดุ หรือลดการสูบบุหร่ีการสูบบุหร่ี จะทาํ ให้เสี่ยงต่อการเป็น มะเร็งปอด กล่องเสียง ฯลฯ การเค้ียว ยาสูบจะเส่ียงตอ่ การเป็นมะเร็งช่องปาก และช่องคอ 6.ลดการด่ืมแอลกอฮอลด์ ่ืมแอลกอฮอล์ จะเส่ียงต่อการเป็ นมะเร็ง ตบั ถา้ ท้งั ด่ืมและสูบบุหรี่จะเส่ียงต่อ การ เป็นมะเร็งช่องปาก ช่องคอ กล่องเสียง และหลอดอาหาร 7. อยา่ ตากแดดตากแดดจดั มากเกินไป จะเส่ียงต่อการเกิด มะเร็งผวิ หนงั ตาบอดสี (Color blindness) เป็นภาวะการมองเห็นผดิ ปกติ โดยมากเป็นการตาบอดสีต้งั แตก่ าํ เนิด และมกั พบในเพศชายมากกวา่ เพราะเป็นการถ่ายทอดทางพนั ธุกรรมแบบลกั ษณะดอ้ ยบนโครโมโซม ผทู้ ี่เป็นตาบอดสีส่วนใหญจ่ ะไมส่ ามารถ แยกความแตกต่างระหวา่ งสีเขียวและสีแดงได้ จึงมีปัญหาในการดูสัญญาณไฟจราจร รองลงมาคือ สีน้าํ เงินกบั สี เหลือง หรืออาจเห็นแตภ่ าพขาวดาํ และความผดิ ปกติน้ีจะเกิดข้ึนกบั ตาท้งั สองขา้ ง ไม่สามารถรักษาได้ ฮีโมฟี เลยี (Hemophilia) โรคฮีโมฟี เลีย คือ โรคเลือดออกไหลไมห่ ยดุ หรือเลือดออกง่ายหยดุ ยาก เป็น โรคทางพนั ธุกรรม ท่ีพบมาก
ในเพศชาย เพราะยนี ที่กาํ หนดอาการโรคฮีโมฟี เลียจะอยใู่ น โครโมโซม X และถ่ายทอดยนี ความผดิ ปกติน้ีใหล้ ูก ส่วนผหู้ ญิงหากไดร้ ับโครโมโซม X ที่ผดิ ปกติ กจ็ ะไม่แสดงอาการ เน่ืองจากมี โครโมโซม X อีกตวั ขม่ อยู่ แต่จะ แฝงพาหะแทน ลกั ษณะอาการ คือ เลือดของผปู้ ่ วยฮีโมฟี เลียจะไมส่ ามารถแขง็ ตวั ได้ เน่ืองจากขาดสารที่ทาํ ใหเ้ ลือด แขง็ ตวั อาการที่สังเกตได้ เช่น เลือดออกมากผดิ ปกติ เลือดกาํ เดาไหลบ่อย ขอ้ บวม เกิดแผลฟกช้าํ ข้ึนเอง แต่ โรคฮีโมฟี เลียน้ี สามารถรักษาได้ โดยการใชส้ ารช่วยใหเ้ ลือดแขง็ ตวั ทดแทน โรคทาลสั ซีเมีย ( Thalassemia ) โรคทาลสั ซีเมีย เป็ นโรคเลือดจางท่ีมีสาเหตุมาจากมีความผดิ ปกติทางพนั ธุกรรม ทาํ ใหม้ ีการสร้าง โปรตีนท่ีเป็ นส่วนประกอบสาํ คญั ของเมด็ เลือดผดิ ปกติ จึงทาํ ใหเ้ มด็ เลือดแดงมีอายสุ ้ันกวา่ ปกติ แตกง่าย ถูก ทาํ ลายง่าย ผปู้ ่ วยที่เป็นโรคน้ีจึงมีเลือดจาง โรคน้ีพบไดท้ ้งั หญิงและชายปริมาณเท่าๆ กนั ถ่ายทอดมาจากพอ่ และ แม่ทางพนั ธุกรรมพบไดท้ วั่ โลก และพบมากในประเทศไทยดว้ ยเช่นกนั ในประเทศไทยพบผปู้ ่ วย โรคทาลสั ซีเมียร้อยละ 1 คือประมาณ 6 แสนคน แต่พบผเู้ ป็นพาหะถึงร้อยละ 30-40 คือประมาณ 20-25 ลา้ นคน ดงั น้นั ถา้ หากผเู้ ป็นพาหะมาแตง่ งานกนั และพบยนี ผิดปกติร่วมกนั ลูกกอ็ าจ เป็น โรคทาลสั ซีเมียได้ ท้งั น้ี โรคทาลสั ซีเมีย แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คือ แอลฟาธาลสั ซีเมีย และ เบตา้ ธาลสั ซี เมีย ซ่ึงก็คือ ถา้ มีความผดิ ปกติของสายแอลฟา กเ็ รียกแอลฟาธาลสั ซีเมีย และถา้ มีความผดิ ปกติของสายเบตา้ ก็ เรียกเบตา้ ธาลสั ซีเมีย ผปู้ ่ วย โรคทาลสั ซีเมีย จะมีอาการซีด ตาขาวสีเหลือง ตวั เหลือง ตบั มา้ มโตมาต้งั แต่เกิด ผวิ หนงั ดาํ คล้าํ กระดูกใบหนา้ จะเปลี่ยนรูป มีจมูกแบน กะโหลกศีรษะหนา โหนกแกม้ นูนสูง กระดูกเปราะ หกั ง่าย เจริญเติบโต ชา้ กวา่ คนปกติ ส่วนอาการน้นั อาจจะไมร่ ุนแรง หรืออาจรุนแรงจนถึงแก่ชีวติ เลยกไ็ ด้ คนท่ีมีอาการมากจะมี อาการเลือดจางมาก ตอ้ งใหเ้ ลือดเป็นประจาํ หรือมีภาวะติดเช้ือบ่อย ๆ ทาํ ใหเ้ ป็นไขห้ วดั ไดบ้ ่อย ขอ้ แนะนาํ สาํ หรับผปู้ ่ วย โรคทาลสั ซีเมีย คือ ใหท้ านอาหารท่ีมีกรดโฟลิกสูง เช่น ผกั ใบเขียว เน้ือสัตว์ ให้ มาก ๆ เพือ่ นาํ ไปใชส้ ร้างเมด็ เลือดแดง โรคคนเผือก (Albinos) ผทู้ ี่เป็น โรคคนเผือก คือ คนที่ไมม่ ีเมด็ สีที่ผวิ หนงั จะมีผวิ หนงั ผม ขน และมา่ นตาสีซีด หรือีขาว เพราะ ขาดเมด็ สีเมลานิน หรือมีนอ้ ยกวา่ ปกติ ทาํ ใหท้ นแสงแดดจา้ ไม่คอ่ ยได้ โรคดักแด้ ผเู้ ป็น โรคดกั แด้ จะมีผิวหนงั แหง้ แตก ตกสะเก็ด ซ่ึงแตล่ ะคนจะมีความรุนแรงของโรคต่างกนั บางคนผิว แหง้ ไมม่ าก บางคนผวิ ลอกท้งั ตวั ขณะที่บางคนหากเป็นรุนแรงกม็ กั จะเสียชีวติ จากการติดเช้ือที่เขา้ ทางผิวหนงั โรคท้าวแสนปม (neurofibromatosis) เป็นโรคผวิ หนงั ที่ถ่ายทอดโดยโครโมโซม ลกั ษณะท่ีพบคือ ร่างกายจะมีตุ่มเตม็ ไปทว่ั ร่างกาย ขนาดเล็ก ไปจนใหญ่ แบ่งเป็น 2 ชนิด คือชนิดท่ีพบบ่อย พบประมาณ 1 ใน 2,500 ถึง 3,500 คน โดยพบอาการอยา่ งนอ้ ย 2
ใน 7 อาการต่อไปน้ีคือ มีปานสีกาแฟใส่นมอยา่ งนอ้ ย 6 ตาํ แหน่ง, พบกอ้ นเน้ืองอกตามผวิ หนงั 2 ตุม่ ข้ึนไป, พบ กระที่บริเวณรักแร้หรือขาหนีบ, พบเน้ืองอกของเส้นประสาทตา, พบเน้ืองอกของม่านตา 2 แห่งข้ึนไป, พบ ความผดิ ปกติของกระดูก และมีประวตั ิคนในครอบครัวเป็ นโรคน้ี ส่วน โรคทา้ วแสนปม ประเภทที่ 2 พบไดน้ อ้ ยมาก ราว 1 ใน 50,000 ถึง 120,000 คน ผปู้ ่ วยจะไม่มีอาการ ทางผวิ หนงั แต่จะพบเน้ืองอกของหูช้นั ใน และมีประวตั ิคนในครอบครัวเป็นโรคน้ี โรคลูคเี มยี (Leukemia) โรคลูคีเมีย หรือ โรคมะเร็งเมด็ เลือดขาว เป็นโรคที่เกิดจากความผดิ ปกติของไขกระดูก ทาํ ใหม้ ีการสร้าง เมด็ เลือดขาวจาํ นวนมากในไขกระดูก จนเบียดบงั การสร้างเมด็ เลือดแดง ทาํ ใหเ้ กิดภาวะโลหิตจาง ส่วนเมด็ เลือด ขาวที่สร้างน้นั กเ็ ป็ นเมด็ เลือดขาวตวั อ่อน จึงไมส่ ามารถตา้ นทานเช้ือโรคได้ จึงเป็นไขบ้ ่อย ซ่ึงสาเหตุของการ เกิดโรคลูคีเมีย มีหลายปัจจยั ท้งั พนั ธุกรรม กมั มนั ตภาพรังสี การติดเช้ือ เป็ นตน้ อาการของผปู้ ่ วย ลูคีเมีย จะแสดงออกมาในหลายรูปแบบ เช่น มีไขส้ ูง เป็นหวดั เร้ือรัง หนา้ มืด วงิ เวยี น ศีรษะ อ่อนเพลีย ตวั ซีด เซลลล์ ูคีเมียจะไปสะสมตามอวยั วะต่าง ๆ เช่น ตบั มา้ ม ตอ่ มน้าํ เหลือง ทาํ ใหเ้ กิดอาการ บวมโต บางคนเป็นรุนแรง ทาํ ใหถ้ ึงแก่ชีวติ ได้ การรักษา โรคลูคีเมีย ทาํ ไดโ้ ดยใหย้ าปฏิชีวนะ เพ่ือลดจาํ นวนเมด็ เลือดขาว หรืออาจใชเ้ คมีบาํ บดั เพื่อให้ ไขกระดูกกลบั มาทาํ หนา้ ท่ีตามปกติ โรคเบาหวาน โรคเบาหวาน คือ ภาวะที่ร่างกายมีระดบั น้าํ ตาลในเลือดสูงกวา่ ปกติ เน่ืองจากขาดฮอร์โมนอินซูลิน ท้งั น้ี โรคเบาหวาน ถือเป็นโรคเร้ือรังชนิดหน่ึง และเป็น โรคทางพนั ธุกรรม โดยหากพอ่ แม่เป็นเบาหวาน ก็อาจ ถ่ายทอดไปถึงลูกหลานไดแ้ ละนอกจากพนั ธุกรรมแลว้ ส่ิงแวดลอ้ ม วธิ ีการดาํ เนินชีวติ การรับประทานอาหาร ก็มีส่วนทาํ ใหเ้ กิดโรคเบาหวานไดเ้ ช่นกนั อาการทว่ั ไปของผทู้ ่ีเป็ น โรคเบาหวาน คือจะปัสสาวะบอ่ ย เนื่องจากน้าํ ตาลที่ออกมาทางไตจะดึงเอาน้าํ จากเลือดออกมาดว้ ย จึงทาํ ใหม้ ีปัสสาวะมากกวา่ ปกติ เม่ือถ่ายปัสสาวะมาก ก็ทาํ ใหร้ ู้สึกกระหายน้าํ ตอ้ งคอยด่ืม น้าํ บ่อย ๆ และดว้ ยความที่ผปู้ ่ วย โรคเบาหวาน ไม่สามารถนาํ น้าํ ตาลมาเผาผลาญเป็นพลงั งาน จึงหนั มาเผาผลาญ กลา้ มเน้ือและไขมนั แทน ทาํ ใหร้ ่างกายผา่ ยผอม ไมม่ ีไขมนั กลา้ มเน้ือฝ่ อลีบ อ่อนเปล้ีย เพลียแรง นอกจากน้ี การมีน้าํ ตาลคงั่ อยใู่ นอวยั วะตา่ ง ๆ จึงทาํ ใหอ้ วยั วะต่าง ๆ เกิดความผดิ ปกติ และนาํ มาซ่ึงภาวะแทรกซอ้ นมากมาย โดยเฉพาะ โรคไตวายเร้ือรัง หลอดเลือดตีบตีน อมั พฤกษ์ อมั พาต ตอ้ กระจก เบาหวานข้ึนตา ฯลฯ การป้องกนั โรคทางพนั ธุกรรม โรคทางพนั ธุกรรม ไม่สามารถรักษาใหห้ ายขาดได้ เน่ืองจากกจะติดตวั ไปตลอดชีวติ ทาํ ไดแ้ ตเ่ พยี ง บรรเทาอาการไม่ใหเ้ กิดข้ึนมากเทา่ น้นั ดงั น้นั การป้องกนั โรคทางพนั ธุกรรม ที่ดีที่สุด คือ ก่อนแตง่ งาน รวมท้งั ก่อนมีบุตร คู่สมรสควรตรวจร่างกาย กรองสภาพทางพนั ธุกรรมเสียก่อน เพ่อื ทราบระดบั เส่ียง อีกท้งั โรคทาง พนั ธุกรรม บางโรค สามารถตรวจพบไดใ้ นช่วงก่อนต้งั ครรภ์ จึงเป็นทางหน่ึงที่จะช่วยใหท้ ารกที่จะเกิดมา มี ความเสี่ยงในการเป็นโรคทางพนั ธุกรรมนอ้ ยลง
โรคภูมิแพ้ โรคภูมิแพ้ หรือโรคแพ้ (Allergy) หมายถึง โรคท่ีเกิดข้ึนกบั ผทู้ ่ีมีอาการไวผดิ ปกติตอ่ ส่ิงซ่ึงสามารถ ก่อใหเ้ กิดภูมิแพ้ (Allergen) ซ่ึงธรรมชาติสารเหล่าน้ีอาจไมก่ ่อใหเ้ กิดภูมิแพก้ บั คนปกติทว่ั ไป อาการของโรค โรคภูมิแพอ้ าจเกิดข้ึนไดก้ บั ทุกระบบของร่างกาย บางคนอาจมีอาการภูมิแพใ้ นระบบใดระบบหน่ึง หรือ หลายระบบ โรคภูมิแพน้ ้นั เป็ นโรคที่สามารถพิสูจนห์ าสาเหตุของโรคและสามารถรักษาใหห้ ายได้ ผปู้ ่ วยบาง คนเร่ิมจากอาการแพอ้ ากาศเร้ือรัง เยอื่ จมูกอกั เสบ เม่ือไม่ไดใ้ ส่ใจรักษา ตอ่ มาอาจกลายเป็นโรคหอบหืด โรคผื่น คนั ผวิ หนงั เช่น เป็นลมพษิ ปวดศีรษะเร้ือรัง โรคอ่อนเพลียตา่ งๆ เป็นตน้ การป้องกนั และรักษา วธิ ีรักษาโรคภูมิแพท้ ีดีที่สุดคือการคน้ หาสาเหตุของการแพน้ ้นั ใหพ้ บ เช่น การสอบถามประวตั ิและ อาการของโรค พร้อมท้งั วเิ คราะห์สภาพแวดลอ้ มรอบๆ ตวั เช่น บา้ น รถยนต์ โรงเรียน สัตวเ์ ล้ียง งานอดิเรก ตรวจร่างกายและทดสอบทางผวิ หนงั เมื่อทราบวา่ แพส้ ารใดแลว้ ควรหลีกเล่ียงสารท่ีใหเ้ กิดภูมิแพท้ ี่ถูกตอ้ งและ อาการของโรคภูมิแพก้ จ็ ะทุเลา ในทางปฏิบตั ิน้นั การหลีกเล่ียงสารก่อภูมิแพน้ ้นั ทาํ ไดย้ าก เพราะชีวติ ประจาํ วนั น้นั ตอ้ งเผชิญกบั สารก่อ ภูมิแพก้ ระจายอยรู่ อบๆ ตวั เช่นฝ่ นุ บา้ น ไรฝ่ นุ เช้ือรา และอื่น ๆ เมื่อเป็นเช่นน้ีการรักษาอาการของโรคอนั เป็น ปัญหาเฉพาะหนา้ จึงเป็ นสิ่งจาํ เป็นและไดม้ กั จะไดผ้ ลดี แพทยอ์ าจใหร้ ับประทานยาแพแ้ พ้ แกห้ อบ แกไ้ อร่วม ดว้ ย เป็นตน้ ฉีดวคั ซีนให้ร่างกายเกดิ ภูมิต้านทาน มีวธิ ีการรักษาโรคภูมิแพอ้ ีกประการหน่ึงท่ีเป็ นการรักษาไดผ้ ลดีพอสมควร ไดแ้ ก่การหาสาเหตุของโรค ภูมิแพใ้ หพ้ บแลว้ นาํ สารก่อภูมิแพท้ ี่ตรวจพบน้ีนาํ มาผลิตวคั ซีนใหผ้ ปู้ ่ วย เพอ่ื ใหร้ ่างกายสร้างภูมิตา้ นทานสารที่ แพ้ (อิมมูโนบาํ บดั ) คือ รักษาใหร้ ่างกายเกิดภูมิตา้ นทานสารที่แพ้ หรือที่เรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ การรักษาเพื่อ ลด ภูมิไว คือให้ร่างกายลดความไวตอ่ สารที่ก่อใหเ้ กิดโรค โรคขาดสารอาหาร หมายถึง โรคที่เกิดข้ึนจากการขาดสารอาหารท่ีควรไดร้ ับอยา่ งพอเพยี งในภาวะหน่ึงๆ ซ่ึงมี สาเหตุตา่ งกนั ดงั น้ี 1. ไดร้ ับปริมาณนอ้ ยเกินไปจากการขาดความรู้ท่ีจะเลือกรับประทานอาหารท่ีมีคุณค่าหรือจากภาวะทาง เศรษฐกิจ 2. ร่างกายมีความตอ้ งการมากข้ึน เช่น ในภาวะเจบ็ ป่ วย ฟ้ื นไข้ 3. ความอยากอาหารนอ้ ย การยอ่ ยอาหารไม่ดี 4. มีการทาํ ลายแหล่งสร้างอาหารในร่างกาย 5. ยาหรือสารบางชนิดที่มีผลตอ่ ระบบยอ่ ยอาหารของร่างกาย โรคขาดสารอาหารทพี่ บมาก ไดแ้ ก่ 1. โรคขาดโปรตีนและแคลอรี
2. โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก 3. โรคเหน็บชา 4. โรคกระดูกอ่อน 5.โรคคอพอก 6. โรคตาฟาง 7. โรคลกั ปิ ดลกั เปิ ด 1.โรคขาดโปรตีนและแคลอรี เป็นโรคท่ีเกิดจากร่างกายไดร้ ับสารอาหารประเภทโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมนั ท่ีมีคุณภาพดีไม่เพยี งพอ เป็ นโรคท่ีพบบอ่ ยในเดก็ ท่ีมีอายตุ ่าํ กวา่ 6 ปี โดยเฉพาะ ทารกและเด็กก่อนวยั เรียน อนั เน่ืองมาจากการเล้ียงดูท่ีไมเ่ อาใจใส่เริ่งการกินอาหารหรือไมม่ ีความรู้ทาง โภชนาการดีพอ ลกั ษณะอาการของโรคมี 2 รูปแบบ คือ ควาซิออร์กอร์ ( Kwashiorkor ) และมาราสมสั ( Marasmus ) 1.1.ควาชิออร์กอร์ เป็นลกั ษณะอาการท่ีเกิดจากการขาดสารอาหารประเภทโปรตีนอยา่ งมาก มกั เกิดกบั ทารกที่เล้ียงดว้ ยนมขน้ หวาน นมผงผสม และใหอ้ าหารเสริมประเภทขา้ วหรือแป้งเป็ นส่วนใหญ่ ทาํ ใหร้ ่างกาย ขาดโปรตีนสาํ หรับการเจริญเติบโตและระบบตา่ ง ๆ บกพร่อง ทารกจะมีอาการซีด บวมที่หนา้ ขา และลาํ ตวั เส้นผมบางเปราะและร่วงหลุดง่าย ผวิ หนงั แหง้ หยาบ มีอาการซึมเศร้า มีความตา้ นทานโรคต่าํ ติดเช้ือง่าย และสติปัญญาเสื่อม 1.2.มาราสมัส เป็นลกั ษณะอาการท่ีเกิดจากการขาดสารอาหรประเภท โปรตีน คาร์โบไฮเดรตและ ไขมนั ผทู้ ่ีเป็นโรคน้ีจะมีอาการคลา้ ยกบั เป็นควาชิออร์กอร์แต่ไม่มีอาการบวมท่ีทอ้ ง หนา้ และขา นอกจากน้ี ร่างกายจะผอมแหง้ ศรีษะโตพุงโร ผวิ หนงั เหี่ยวยน่ เหมือนคนแก่ ลอกออกเป็นช้นั ได้ และทอ้ งเสียบ่อย อยา่ งไรกต็ าม อาจมีผปู้ ่ วยจาํ นวนไมน่ อ้ ยท่ีมีลกั ษณะท้งั ควาชิออร์กอร์ และมาราสมสั ในคนเดียวกนั ได้ ประเภทควาชิออร์กอร์และมาราสมัส จากการสาํ รวจพบวา่ ทารกและเด็กก่อนวยั เรียนในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือเป็ นโรคขาดโปรตีน และ แคลอรีมากที่สุด นอกจากน้ีจากรายงานสถานภาพโภชนาการในประเทศไทยของกองโภชนาการ กรมอนามยั ยงั พบอีกวา่ ในหญิงมีครรภแ์ ละหญิงใหน้ มบุตรโดยเฉพาะในชนบทมีภาวะโภชนาการไมด่ ีต้งั แตก่ ่อนต้งั ครรภ์ มีอาการต้งั ครรภต์ ้งั แต่อายยุ งั นอ้ ย และขณะต้งั ครรภง์ ดกินอาหารประเภทโปรตีน เพราะเช้ือวา่ เป็นของแสลง ทาํ ใหไ้ ดร้ ับพลงั งานเพียงร้อยละ 80 และโปรตีนร้อยละ 62 - 69 ของปริมาณท่ีควรไดร้ ับ การขาดสารอาหารประเภทโปรตีนเป็นปัญหาสาํ คญั อยา่ งหน่ึงของประเทศไทย โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ใน กลุ่มเดก็ ต้งั แตว่ ยั ทารกจนถึงวยั รุ่น ดว้ ยเหตุน้ีเพ่ือแกไ้ ขปัญหาดงั กล่าวจึงไดม้ ีการส่งเสริมใหเ้ ล้ียงทารกดว้ ยนม มารดามากข้ึน และส่งเสริมใหเ้ ด็กด่ืมนมววั น้าํ นมถวั่ เหลืองเพ่มิ ข้ึน เพราะน้าํ นมเป็ นสารอาหารที่สมบูรณ์ที่สุด เนื่องจากประกอบดว้ ยสารอาหารต่าง ๆ ครบท้งั 5 ประเภท นอกจากน้ีในปัจจุบนั ยงั มีหน่วยงานหลายแห่งไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ หาวธิ ีการผลิตอาหารที่ใหค้ ุณค่าโปรตีน แตม่ ีราคาไมแ่ พงนกั ใหค้ นที่มีรายไดน้ อ้ ยไดก้ ินกนั มากข้ึน สถาบนั คน้ ควา้ พฒั นาผลิตภณั ฑอ์ าหาร
มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาตร์ไดค้ น้ ควา้ ทดลองผลิตอาหารโปรตีนจากพืชเพื่อทดแทนโปรตีนจากสตั ว์ เช่น ใช้ ผลิตภณั ฑจ์ ากถวั่ เหลืองที่เรียกวา่ โปรตีนเกษตร ท่ีผลิตในรูปของเน้ือเทียม และโปรตีนจากสาหร่ายสีเขียว เป็ นตน้ 2.โรคขาดวติ ามิน โรคขาดวติ ามินท่ีพบในประเทศไทยส่วนมากเป็นโรคที่เกิดจากการขาดวิตามินเอ วติ ามินบีหน่ึง วติ ามินบีสอง และวติ ามินซี ซ่ึงมีรายละเอียดดงั น้ี 2.1.โรคขาดวติ ามนิ เอ เกิดจากอาหารท่ีมีไขมนั ต่าํ และมีวิตามินเอนอ้ ยคนท่ีขาดวติ ามินเอ ถา้ เป็นเดก็ การเจริญเติบโตหยดุ ชะงกั สุขภาพออ่ นแอ ผวิ หนงั หยาบแหง้ มีตุ่มสาก ๆ เหมือนหนงั คางคกเน่ืองจากการ อกั เสบบริเวณกน้ แขน ขา ขอ้ ศอก เขา่ และหนา้ อก นอกจากน้ีจะมีอาการอกั เสบในช่องจมูก หู ปาก ต่อม น้าํ ลาย เยอื่ บุตาและกระจกตาขาวและตาดาํ จะแหง้ ตาขาวจะเป็นแผลเป็ นที่เรียกวา่ เกล็ดกระด่ี ตาดาํ ขุ่นหนา และอ่อนเหลวถา้ เป็นรุนแรงจะมีผลทาํ ใหต้ าบอดได้ ถา้ ไมถ่ ึงกบั ตาบอดกอ็ าจจะมองไมเ่ ห็นในท่ีสลวั หรือปรับ ตาในความมืดไม่ได้ เรียกวา่ ตาฟาง หรือ ตาบอดกลางคืน การรักษาและป้องกนั โรคขาดวติ ามินเอ ทาํ ไดโ้ ดยการกินอาหารท่ีมีไขมนั และอาหารจาํ พวกผลไม้ ผกั ใบเขียว ผกั ใบเหลือง เช่น มะละกอ มะม่วงสุก ผกั บุง้ คะนา้ ตาํ ลึง มนั เทศ ไข่ นม สาํ หรับทารกควรไดก้ ิน อาหารเสริมที่ผสมกบั ตบั หรือไข่แดงบด 2.2.โรคขาดวติ ามินบีหนึ่ง เกิดจากการกินอาหารที่มีวติ ามินบีต่าํ และกินอาหารที่ไปขดั ขวางการดูดซึม วติ ามินบีหน่ึง คนท่ีขาดวติ ามินบีหน่ึงจะเป็ นโรคเหน็บชาซ้ึงจะมีอาการชาท้งั มือและเทา้ กลา้ มเน้ือแขนและขา ไม่มีกาํ ลงั ผปู้ ่ วยบางรายอาจมีอาการบวมร่วมดว้ ย ถา้ เป็ นมากจะมีอาการใจสน่ั หวั ใจโตและเตน้ เร็ว หอบ เหน่ือย และอาจตายไดถ้ า้ ไม่ไดร้ ับการรักษาทนั ทว่ งที การรักษาและป้องกนั โรคขาดวติ ามินบีหน่ึง ทาํ ไดโ้ ดยการกินอาหารท่ีมีวิตามินบีหน่ึงใหเ้ พยี งพอและ เป็นประจาํ เช่น ขา้ วซอ้ มมือ ตบั ถวั่ เมลด็ แหง้ และเน้ือสตั ว์ และควรหลีกเล่ียงอาหารท่ีทาํ ลายวติ ามินบีหน่ึง เช่น ปลาร้าดิบ หอยดิบ หมาก เม่ียง ใบชา เป็นตน้ 2.3.โรคขาดวติ ามนิ บีสอง เกิดจากการกินอาหารที่มีวติ ามินบี สองไม่เพียงพอ คนที่ขาดวติ ามินบีสอง มกั จะเป็นแผลหรือรอยแตกท่ีมุมปากท้งั สองขา้ งหรือซอกจมูกมีเกลด็ ใสเลก็ ๆ ลิ้นมีสีแดงกวา่ ปกติและเจบ็ หรือ มีแผลท่ีผนงั ภายในปากรู้สึกคนั และปวดแสบปวดร้อนที่ตา อาการเหล่าน้ีเรียกวา่ เป็ นโรคปากนกกระจอก คน ที่เป็นโรคน้ีจะมีอาการ ออ่ นเพลีย เบื่ออาหาร และอารมณ์หงุดหงิด การรักษาและป้องกนั โรคขาดวติ ามินบีสอง ทาํ ไดโ้ ดยการกินอาหารท่ีมีวิตามินบีสองใหเ้ พยี งพอและ เป็นประจาํ เช่น นมสด นมปรุงแต่ง นมถวั่ เหลือง น้าํ เตา้ หู้ ถว่ั เมลด็ แหง้ ขา้ วซอ้ มมือ ผกั ผลไม้ เป็นตน้ 2.4.โรคขาดวติ ามนิ ซี เกิดจากการกินอาหารที่มีวติ ามินซีไมเ่ พียงพอ คนท่ีขาดวติ ามินซีมกั จะเจบ็ ป่ วย บ่อย เน่ืองจากมีความตา้ นทานโรคต่าํ เหงือกบวมแดง เลือดออกง่าย ถา้ เป็นมากฟันจะโยกรวน และมี เลือดออกตามไรฟันง่าย อาการเหล่าน้ีเรียกวา่ เป็ น โรคลกั ปิ ดลกั เปิ ด
การรักษาและป้องกนั โรคขาดวติ ามินซี ทาํ ไดโ้ ดยการกินอาหารท่ีมีวติ ามินซีใหเ้ พยี งพอและเป็น ประจาํ เช่น ส้ม มะนาว มะขามป้อม มะเขือเทศ ฝรั่ง ผกั ชี เป็นตน้ จากที่กล่าวมาจะเห็นไดว้ า่ โรคขาด วติ ามิน ส่วนมากมกั จะเก่ียวกบั วติ ามินประเภทละลายไดใ้ นน้าํ เช่น วิตามินบี วติ ามินอี และวติ ามินเค มกั จะ ไมค่ ่อยเป็นปัญหาโภชนาการ ท้งั น้ีเพราะวติ ามินเหล่าน้ีบางชนิดร่างกายของคนเราสามารถสงั เคราะห์ข้ึนมา เเองได้ เช่น วิตามินดี ผทู้ ี่ออกกาํ ลงั กายกลางแจง้ และไดร้ ับแสงอาทิตยเ์ พียงพอ รังสีอลั ตราไวโอเลตจาก แสงอาทิตยส์ ามารถเปลี่ยนสารท่ีเป็นไขมนั ชนิดหน่ึงใตผ้ วิ หนงั ท่ีเป็ นวติ ามินดีได้ วติ ามินเค ร่างกายสามารถ สังเคราะห์ไดจ้ ากแบคทีเรียในลาํ ไส้ใหญ่ 3.โรคขาดแร่ธาตุ แร่ธาตุนอกจากจะเป็นสารอาหารท่ีช่วยในการควบคุมการทาํ งานของอวยั วะตา่ ง ๆ ในร่างกายใหท้ าํ หนา้ ท่ีปกติแลว้ ยงั เป็นส่วนประกอบท่ีสาํ คญั ของร่างกายอีกดว้ ย เช่น เป็นส่วนประกอกบของ กระดูกและฟัน เลือด กลา้ มเน้ือ เป็ นตน้ ดงั ที่กล่าวแลว้ ดงั น้นั ถา้ ร่างกายขาดแร่ธาตุก็อาจจะทาํ ใหก้ ารทาํ หนา้ ที่ของอวยั วะผดิ ปกติ และทาํ ใหเ้ กิดโรคตา่ ง ๆ ได้ ดงั น้ี 3.1.โรคขาดธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส เกิดจากการกินอาหารที่มีแคลเซียมยมและฟอสฟอรัสไม่ เพยี งพอ คนท่ีขาดแคลเซียมและฟอสฟอรัสจะเป็นโรคกระดูกอ่อน มกั เป็ นกบั เด็ก หญิงมีครรภแ์ ละหญิงใหน้ ม บุตร ทาํ ใหข้ อ้ ต่อกระดูกบวม ขาโคง้ โก่ง กลา้ มเน้ือหยอ่ น กระดูกซี่โครงดา้ นหนา้ รอยต่อนูน ทาํ ใหห้ นา้ อกเป็น สันท่ีเรียกวา่ อกไก่ ในวยั เดก็ จะทาํ ใหเ้ จริญเติบโตชา้ โรคกระดูดอ่อนนอกจากจะเกิดการขาดแร่ธาตุท้งั สองแลว้ ยงั เกิดจาการไดร้ ับแสงแดดไมเ่ พียงพออีกดว้ ย การรักษาและป้องกนั โรคขาดธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส ทาํ ไดโ้ ดยการกินอาหารที่มีแคลเซียมและ ฟอสฟอรัสใหม้ ากและเป็นประจาํ เช่น นมสด ปลาที่กินไดท้ ้งั กระดูก ผกั สีเขียว น้าํ มนั ตบั ปลา เป็นตน้ 3.2.โรคขาดธาตุเหลก็ เกิดจากการกินอาหารท่ีมีธาตุเหลก็ ไมเ่ พยี งพอหรือเกิดจากความผดิ ปกติใน ระบบการยอ่ ยและการดูดซึม คนที่ขาดธาตุเหล็กจะเป็นโรคโลหิตจาง เนื่องจากร่างกายสร้างเฮโมโกลบินได้ นอ้ ยกวา่ ปกติ ทาํ ให้ร่างกายอ่อนเพลีย เบ่ืออาหาร มีความตา้ นทานโรคต่าํ เปลือกตาขาวซีด ลิ้นอกั เสบ เล็บ บางเปราะ และสมรรถภาพในการทาํ งานเสื่อม การรักษาและป้องกนั โรคขาดธาตุเหลก็ ทาํ ไดโ้ ดยการกินอาหารที่มีธาตุเหล็กและโปรตีนสูงเป็น ประจาํ เช่น ตบั เครื่องในสัตว์ เน้ือสัตว์ ผกั สีเขียว เป็นตน้ 3.3.โรคขาดธาตุไอโอดีน เกิดจากการกินอาหารท่ีมีไอโอดีนต่าํ หรืออาหารที่มีสารขดั ขวางการใช้ ไอโอดีนในร่างกาย คนท่ีขาดธาตุไอโอดีนจะเป็นโรคคอพอก และตอ่ มไทรอยดบ์ วมโต ถา้ เป็นต้งั แต่เดก็ จะมี ผลตอ่ การพฒั นาทางร่างกายและจิตใจ ร่างกายเจริญเติบโตชา้ เต้ีย แคระแกร็น สติปัญญาเส่ือม อาจเป็นใบ้ หรือหูหนวกดว้ ย คนไทยภาคเหนือและภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือจะเป็นโรคน้ีกนั มาก บางทีเรียกโรคน้ีวา่ โรคเอ๋อ การรักษาและป้องกนั โรคขาดธาตุไอโอดีน ทาํ ไดโ้ ดยการกินอาหารทะเลใหม้ าก เช่น กุง้ หอย ปู ปลา เป็นตน้ ถา้ ไม่สามารถหาอาหารทะเลไดก้ ค็ วรบริโภคเกลืออนามยั ซ่ึงเป็นเกลือสมุทรผสมไอโอดีนท่ีใช้
ในการประกอบอาหารแทนได้ นอกจากน้ีควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารขดั ขวางการใชไ้ อโอดีน เช่น พืชตระกลู กระหล่าํ ปลี ซ่ึงก่อนกินควรตม้ เสียก่อน
ใบงาน คาส่ัง ใหผ้ เู้ รียนทาํ การศึกษาคน้ วา้ ตามหวั ต่อไปน้ีกลุ่มละ 1 เร่ืองและสรุปส่งเป็นรายงาน 1. ใหน้ กั ศึกษาแบ่งกลุ่ม แลว้ ไปศึกษาตามประเดน็ ดงั น้ี กลุ่มท่ี 1 ศึกษาโรคทาลสั ซีเมีย กลุ่มท่ี 2 ศึกษาโรคลูคีเมีย กลุ่มที่ 3 ศึกษาโรคมะเร็ง กลุ่มท่ี 4 ศึกษาโรคภูมิแพ้ กลุ่มท่ี 5 ศึกษาโรคขาดสารไอโอดีน แลว้ ใหน้ กั ศึกษามานาํ เสนอกลุ่มละ 5 นาที อาจนาํ กรณีตวั อยา่ งโรคทางพนั ธุกรรมที่ผเู้ รียนและคน ในครอบครัวเป็นมารายงานหนา้ ช้นั แลว้ เพ่ือนๆ ร่วมวจิ ารณ์ สรุป 2. ใหน้ กั ศึกษาจดั ทาํ รายงานในรูปแบบดงั น้ี 2.1 ปก 2.2 คาํ นาํ 2.3 สารบญั 2.4 เน้ือหา - สาเหตุของโรค - ลกั ษณะอาการของโรค - วธิ ีการป้องกนั รักษาโรค - ขอ้ มูลสถิติของโรคต่างๆ ที่เกิดข้ึนในชุมชน/สงั คม/ประเทศ - ผลกระทบของพฤติกรรมสุขภาพที่มีต่อการป้องกนั โรค 2.5 สรุป 2.6 บรรณานุกรม
บันทกึ หลงั การพบกล่มุ คร้ังที่ ………….. วนั ที่……. เดือน ……………. พ.ศ………….. กจิ กรรมการเรียนรู้ …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… สิ่งทไ่ี ด้รับจากการเรียนรู้ …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… บันทกึ หลงั การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ กจิ กรรมการเรียนรู้
…………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… สภาพปัญหาทพี่ บ …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… วธิ ีการแก้ปัญหา …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… ข้อเสนอแนะ …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ…………………………………….ผ้บู นั ทกึ หลงั การสอน (………………..………………) ตาแหน่ง……………………………………… ลงชื่อ….................................................ผ้อู านวยการสถานศึกษา
แผนการเรียนรู้ รายวชิ า สุขศึกษา พลศึกษ คร้ังท่ี 5 การศึกษา รายวชิ า/หวั เร่ือง ตัวชี้วดั เนื้อหา ปลอดภยั จากการใชย้ า 1. อธิบายหลกั การและ 1. หลกั การและวธิ ีใชย้ า เช่น คร วธิ ีการใชย้ าท่ีถูกตอ้ ง การใชโ้ ดยไมจ่ าํ เป็ น ใบ 2. วเิ คราะห์ กระทบจาก 2. ความเช่ือเก่ียวกบั การใชย้ า ข้นั ความเช่ือท่ีผดิ เก่ียวกบั 3. การวิเคราะห์อนั ตรายจาก -ค การใชย้ า ตน การใชย้ า การป้องกนั และ 3. จาํ แนกอนั ตรายที่เกิดจาก การช่วยเหลือ การใชย้ า การป้องกนั 4. การแนะนาํ ในการเลือกใช้ ข้นั ขอ้ มูลข่าวสารเกี่ยวกบั การ - ค และการช่วยเหลือได้ หา อยา่ งถูกตอ้ ง ใชย้ า -ค 4. แนะนาํ ขอ้ มูลขา่ วสาร ทาํ และความรู้ที่ถูกตอ้ ง เกี่ยวกบั การใชย้ าแก่ ข้นั ครอบครัวและชุมชน -ส ราย ข้นั -ใ 1.
ษา ทช31003 ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย าค้นคว้าด้วยตนเอง การจัดการแผนการเรียนรู้ สื่อ วดั /ประเมินผล 1.ดูจากรายงาน รูมอบหมายใหผ้ เู้ รียนแต่ละคนปฏิบตั ิตาม ส่ือ 2.การมีส่ วนร่ วมใน การทาํ กิจกรรม บงานตามที่กาํ หนด - ใบความรู้/ใบงาน นที่ 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ - หนงั สือ ครูสนทนากบั ผเู้ รียนถึงวธิ ีการศึกษาดว้ ย - แผน่ พบั / แผน่ ปลิว นเอง - ใบงาน ใบความรู้ - อินเตอร์เน็ต นที่ 2 แสวงหาข้อมูลและจัดการเรียนรู้ ครูบอกถึงแหล่งเรียนรู้ที่ใชใ้ นการศึกษา แหล่งเรียนรู้ าขอ้ มูล - หอ้ งสมุด ครูมอบหมายงานใหผ้ เู้ รียนไป - โรงพยาบาล / าการศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง โรงพยาบาลส่งเสริม นท่ี 3 การปฏิบตั ิและการนาไปใช้ สุขภาพชุมชน สรุปผลการศึกษาคน้ ควา้ และจดั ทาํ เป็น ยงานส่งตามกาํ หนดเวลา นที่ 4 การประเมินผลการเรียนรู้ ใบงาน/ใบความรู้ - แบบทดสอบ
~ 66 ~ ใบความรู้ เรื่อง ยาสามัญประจาบ้าน ยาสามัญประจาบ้าน หมายถึง ยาแผนปัจจุบนั หรือยาแผนโบราณท่ีกระทรวงสาธารณสุขประกาศใหเ้ ป็นยาสามญั ประจาํ บา้ น โดยมุ่งหมายท่ีจะใหป้ ระชาชนไดใ้ ชย้ าเหล่าน้ีรักษาอาการเจบ็ ป่ วยเลก็ ๆนอ้ ยๆ และไม่มีอาการรุนแรง เช่น ไอ ปวด ศีรษะ ถูกน้าํ ร้อนลวก ทอ้ งอืดทอ้ งเฟ้อ ถูกมีดบาด เป็นตน้ ยาสามญั ประจาบ้าน เรียกอีกชื่อหน่ึงวา่ ยาตาํ ราหลวง เป็นยาท่ีสามารถหาซ้ือได้ มีจาํ หน่ายตามร้านขายยาทวั่ ไป ส่วนใหญ่ จะมีราคาถูก สามารถซ้ือไดโ้ ดยไมต่ อ้ งมีใบส่ังแพทย์ ยาสามญั ประจาบ้าน คือ ยาท่ีกระทรวงสาธารณสุขพจิ ารณาคดั เลือกวา่ เป็นยาท่ีเหมาะสมท่ีจะใหป้ ระชาชนหาซ้ือมาใชไ้ ด้ ดว้ ยตนเอง เพ่ือการดูแลรักษาอาการเจบ็ ป่ วยเล็กนอ้ ยที่มกั จะเกิดข้ึนได้ จดั เป็ นยาท่ีมีความปลอดภยั สูง หากใชอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง ก็จะไม่มีอนั ตรายเกิดข้ึน ประกอบกบั ราคายอ่ มเยา หาซ้ือไดท้ ว่ั ไป เพราะกระทรวงสาธารณสุขตอ้ งการใหย้ าสามญั ประจาํ บา้ นกระจายไปทวั่ ประเทศ ทาํ ใหป้ ระชาชนดูแลตนเองไดอ้ ยา่ งทว่ั ถึง จึงไมบ่ งั คบั ใหข้ ายในร้านขายยาเหมือนยาอื่นๆ ท้งั น้ี ยาสามญั ประจาํ บา้ นมีท้งั ยาแผนปัจจุบนั และยาแผนโบราณ ยาสามญั ประจาํ บา้ นมีท้งั หมด 53 ชนิด นาํ มาใชก้ บั โรคหรือ อาการของโรคได้ 16 กลุ่ม ดงั น้ี 1ยาแก้ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ ยาสามญั ประจาํ บา้ นในกลุ่มน้ีคือ ยาแกท้ อ้ งอืดทอ้ งเฟ้อ ยาธาตุน้าํ แดง ยาเม็ดแกท้ อ้ งอืด ทอ้ งเฟ้อโซดามินต์ ยาขบั ลม ย.าน้าํ แกท้ อ้ งอืดทอ้ งเฟ้อโซเดียมไบคาร์บอเนต ยาทาแกท้ อ้ งอืดทอ้ งเฟ้อทิงเจอร์มหาหิงค์ ยา เมด็ ลดกรดอะลูมินา-แมกนีเซีย ยาน้าํ ลดกรดอะลูมินา-แมกนีเซีย 2.ยาบรรเทาปวดลดไข้ มียาเมด็ บรรเทาปวดลดไขแ้ อสไพริน ยาเมด็ บรรเทาปวดลดไขพ้ าราเซตามอลขนาด 500 ม.ก.และ ขนาด 325 ม.ก.และยาน้าํ บรรเทาปวดลดไขพ้ าราเซตามอล ปลาสเตอร์บรรเทาปวด 3.ยาดม หรือยาทาแก้วงิ เวยี นหน้ามืด คัดจมูก ไดแ้ ก่ ยาดมแกว้ งิ เวยี นเหลา้ แอมโมเนียหอม ยาดมแกว้ งิ เวยี น แกค้ ดั จมูก ยา ทาระเหยบรรเทาอาการคดั จมูกชนิดข้ีผ้งึ 4.ยาแก้เมารถ เมาเรือ ไดแ้ ก่ ยาแกเ้ มารถเมาเรือไดเมนไฮดริเนท 5.ยาสาหรับโรคปากและลาคอ ไดแ้ ก่ ยากวาดคอ ยารักษาลิ้นเป็นฝ้าเยนเชี่ยนไวโอเลต ยาแกป้ วดฟัน ยาดมบรรเทาอาการ ระคายคอ 6.ยารักษาแผลตดิ เชื้อไฟไหม้ นา้ ร้อนลวก คือ รักษาแผลน้าํ ร้อนลวกฟี นอล ยารักษาแผลติดเช้ือซิลเวอร์ ซลั ฟาไดอาซีนครีม 7.ยาสาหรับโรคผวิ หนัง มี ยารักษาหิดเหาเบนซิลเบนโซเอต ยารักษาหิดข้ีผ้งึ กาํ มะถนั ยารักษากลากเกล้ือน น้าํ กดั เทา้ ยา รักษาโรคผวิ หนงั เร้ือรัง ยาทาแกผ้ ดผนื่ คนั คาลาไมน์ ยารักษาเกล้ือนโซเดียมไทโอซลั เฟต 8.ยาแก้ท้องเสีย มี ยาแกท้ อ้ งเสีย ผงน้าํ ตาลเกลือแร่ 9.ยาบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ แมลงกดั ต่อย คือยาหม่องชนิดข้ีผ้งึ 10. ยาระบาย ประกอบดว้ ย ยาระบายกลีเซอรีนชนิดเหน็บทวารหนกั สาํ หรับเด็ก ยาระบายกลีเซอรีนชนิดเหน็บทวาร สาํ หรับผใู้ หญ่ ยาระบายแมกนีเซีย ยาระบายมะขามแขก ยาระบายโซเดียมคลอไรดช์ นิดสวนทวาร 11.ยาถ่ายพยาธิลาไส้ มียาถ่ายพยาธิตวั กลมมีเบนดาโซล ใชถ้ ่ายพยาธิตวั กลม ไดแ้ ก่ พยาธิเส้นดา้ ย พยาธิปากขอ พยาธิ ไส้เดือน พยาธิเขม็ หมุด พยาธิแส้มา้
~ 67 ~ 12.ยาแก้แพ้ ลดนา้ มูก มียาเม็ดแกแ้ พล้ ดน้าํ มูกคลอร์เฟนิรามีน 13.ยาแก้ไอ ขับเสมหะ ประกอบดว้ ย ยาน้าํ แกไ้ อขบั เสมหะสาํ หรับเดก็ ยาแกไ้ อน้าํ ดาํ 14.ยาสาหรับโรคตา มี ยาหยอดตาซลั ฟาเซตาไมด์ ยาลา้ งตา 15.ยาใส่แผล ยาล้างแผล มี ยาใส่แผลทิงเจอร์ไอโอดีน ยาใส่แผลทิงเจอร์ไทเมอรอซอล ยาใส่แผลโพวโิ ดนไอโอดีน ยาไอ โซโบรฟิ ลแอลกอฮอล์ ยาเอทธิลแอลกอฮอล์ น้าํ เกลือลา้ งแผล 16.ยาบารุงร่างกาย ไดแ้ ก่ ยาเมด็ วติ ามินบีรวม ยาเมด็ วติ ามินซี ยาเมด็ บาํ รุงโลหิตเฟอร์รัสซลั เฟต ยาเมด็ วติ ามินรวม ยา น้าํ มนั ตบั อนั ตรายจากการใช้ยา 1. การด้ือยาและการตา้ นยา (Drug Resistance and Drug Tolerance) การด้ือยา เป็ นภาวะที่เช้ือโรคตา่ งๆท่ีเคยถูกทาํ ลายดว้ ยยาชนิดหน่ึงๆ สามารถปรับตวั จนกระทงั่ ยาน้นั ไม่สามารถ ทาํ ลาย ไดอ้ ีกต่อไป เช้ือโรคที่ด้ือยาแลว้ จะสามารถถ่ายทอดคุณสมบตั ิน้ีไปยงั เช้ือโรครุ่นต่อไป ทาํ ใหก้ ารใชย้ าชนิดเดิมไม่ สามารถ ใชท้ าํ ลายหรือรักษาโรคได้ ดงั น้นั จึงควรใชย้ าใหค้ รบตามขนาดของยาที่แพทยก์ าํ หนดและไมค่ วรซ้ือยามาใชเ้ อง ตวั อยา่ ง ยาท่ีมกั เกิดการด้ือยาไดแ้ ก่ ยาตอ่ ตา้ นเช้ือ (Antibacterals) เช่น ยาซลั ฟา เพนนิซิลิน เตตราไซคลิน สเตร็บโตไมซิน เป็ นตน้ การตา้ นยา มีความหมายคลา้ ยการด้ือยา แต่การตา้ นยามีผลมาจากร่างกายของผใู้ ชย้ า ไมใ่ ช่เป็นการปรับตวั ของเช้ือ โรค ร่างกายจะสร้างเอน็ ไซมห์ รือใชร้ ะบบภูมิคุม้ กนั ข้ึนมาทาํ ลายยา ทาํ ใหก้ ารรักษาไม่ไดผ้ ล ตอ้ งใชย้ าในปริมาณท่ีเพมิ่ ข้ึน ซ่ึงก่อใหเ้ กิดอาการติดยา เช่น บาร์บิทูเรท มอร์ฟี น เป็ นตน้ 2. การใชย้ าในทางที่ผดิ และการติดยา (Drug Abuse and Drug Dependence) การใชย้ าในทางท่ีผดิ หมายถึง การนาํ ยามาใชด้ ว้ ยตนเอง และนาํ ยามาใชโ้ ดยมิใช่เป็นการรักษาโรค เป็นการใชย้ าไมถ่ ูกตอ้ ง และไม่ยอมรับในทางยา การติดยา มกั เป็นผลจากการนาํ ยามาใชใ้ นทางที่ผดิ เช่น แอมเฟตามีน เพ่ือกระตุน้ สมองทาํ ใหร้ ู้สึกแจม่ ใส ไมง่ ่วง หรือเพอ่ื ลดความอว้ น เม่ือใชต้ ิดต่อกนั นานๆจะมีผลต่อร่างกายและจิตใจ ใหม้ ีความตอ้ งการยาอยเู่ สมอ และปริมาณเพม่ิ ข้ึน เร่ือยๆ ถา้ ขาดยาอาจทาํ ใหถ้ ึงตายได้ เช่นเมื่อติดยาแอเฟตามีน จะทาํ ใหเ้ กิดอาการปวดทอ้ ง อาเจียน และเสียชีวติ เพราะ อาการผดิ ปกติของหวั ใจและหลอดเลือด 3. การแพย้ า (Drug Allergy or Hypersensitivity) เป็นปฏิกิริยาท่ีเกิดข้ึนเม่ือร่างกายไดร้ ับยาชนิดใดชนิดหน่ึงแลว้ ร่างกายจะสร้างภูมิคุม้ กนั เพ่ือตอ่ ตา้ นยาชนิดน้นั เมื่อร่างกายไดร้ ับยาชนิดเดิมอีก ตวั ยาจะไปทาํ ปฏิกิริยากบั ภูมิคุม้ กนั ทาํ ให้ เกิดการแพย้ า โดยจะมีอาการดงั ตอ่ ไปน้ี มีไข้ ช็อก หอบ หืด คดั จมูก ไอจาม ลมพิษ โลหิตจาง หรืออาจเสียชีวติ ไดจ้ ึงไม่ ควรซ้ือยามารับประทานเอง ควรปรึกษาแพทย์ 4. ผลคา้ งเคียง (Side Effect) เป็นอาการปกติทางเภสัชวทิ ยาที่เกิดควบคู่กบั ผลทางรักษาทางยา ซ่ึงเกิดข้ึนไดก้ บั ทุก คน และมีความรุนแรงตา่ งกนั เช่น การใชแ้ อนทีฮีสตามีน มีผลในการลดน้าํ มูก ลดอาการแพ้ แต่อาจมีผลคา้ งเคียงคือ ทาํ ให้ ง่วงนอน ซึมเซา ควรหลีกเล่ียงการทาํ งานกบั เคร่ืองจกั ร และการขบั รถ เพราะอาจเกิดอุบตั ิเหตุ ไดง้ ่าย 5. พษิ ของยา (Toxic Effect) เกี่ยวขอ้ งกบั ฤทธ์ิทางเภสชั วทิ ยาในระดบั ท่ีรุนแรงจนถึงข้นั เป็นพิษเป็นผลของยาท่ีใช้ ถา้ ยงั เพมิ่ ขนาดใชย้ า อาการพิษกย็ งิ่ เพิ่มข้ึนจนอวยั วะน้นั ๆ พิการหรือเสื่อมสภาพไป หรือการใชย้ าในระยะเวลานาน
~ 68 ~ ติดต่อกนั แมจ้ ะใชใ้ นขนาดปกติ กเ็ กิดเป็นพษิ ได้ เนื่องจากพิษของยาเอง เช่น คลอแรมเฟนิคอล สเตียรอยด์ แอสไพริน ถา้ ใชน้ าน ๆ ดเช้ือไดง้ ่าย ๆ พิษของยาอื่น ๆ อาจมีผลต่อระบบประสาท ระบบหวั ใจ ระบบไหลเวยี นของโลหิต นอกจากน้ียา บางชนิดซ่ึงมารดาใชข้ ณะต้งั ครรภ์ จะมีผลตอ่ เดก็ ในครรภข์ ้นั รุนแรงได้ การเสื่อมและหมดอายขุ องยา ยาทุกอยา่ งมีการเส่ือมอายไุ ดท้ ้งั สิ้น ซ่ึงอาจจะเปลี่ยนไปเป็ นสารท่ีมีอนั ตรายโดยตรง หรืออาจไม่มีอนั ตราย โดยตรง แต่ทาํ ใหค้ วามรุนแรงของยาลดลง ซ่ึงอาจทาํ ใหร้ ักษาโรค หรืออาการไม่ไดผ้ ลเตม็ ที่ และเช้ือโรคด้ือยา จึงควร สงั เกตการเสื่อมของยา เช่น 1. สังเกตกาํ หนดวนั หมดอายทุ ี่ภาชนะบรรจุยา โดยใชค้ าํ วา่ Exp. หรือ Exp.Date หรือ Used Before หรือ Potency Guaeanteed to. แลว้ ตามดว้ ยวนั เดือน ปี 2. ยาที่ไม่ไดบ้ อกวนั หมดอายุที่ภาชนะบรรจุของยา อาจบอกวนั ผลิต โดยใชค้ าํ วา่ Mfd.Date หรือ Manfd.Date หรือ Manu.Date แลว้ ตามดว้ ยวนั เดือน ปี และอาจบอกระยะเวลาของคุณภาพยาไว้ หากไมก่ าํ หนดไวไ้ มค่ วรใชย้ าที่เกบ็ ไว้ นานเกิน 5 ปี 3. สังเกตการเปลี่ยนแปลงของยา เช่น ลกั ษณะสี กล่ิน รส เป็นตน้ นอกจากน้ีในการซ้ือยาดว้ ยตนเอง เราอาจไดร้ ับยาปลอม หรือยาผดิ มาตรฐาน ซ่ึงอาจก่อใหเ้ กิดอนั ตรายต่อสุขภาพไดเ้ ช่นกนั อนั ตรายทเ่ี กดิ จากการใช้ยาปลอม ยาผดิ มาตรฐาน และยาเสื่อมคุณภาพ ยาปลอม ยาผดิ มาตรฐาน และยาเสื่อมคุณภาพ เป็นยาท่ีกฎหมายกาํ หนดไวว้ า่ หา้ มผลิต หา้ มนาํ เขา้ และหา้ มขาย หากผใู้ ดฝ่ าฝืนก็จะตอ้ งไดร้ ับโทษตามกฎหมาย ท้งั น้ีเนื่องจากการใชย้ าท่ีไมไ่ ดค้ ุณภาพมาตรฐานน้นั จะทาํ ใหเ้ กิดอนั ตราย แก่ผใู้ ชย้ าที่ไมไ่ ดค้ ุณภาพมาตรฐาน พอจะสรุปส้ัน ๆ ไดด้ งั น้ี 1. ถา้ ผปู้ ่ วยไดร้ ับยาที่มีตวั ยานอ้ ยกวา่ ท่ีควร หรือไมม่ ีตวั ยาเลย กจ็ ะทาํ ใหป้ ริมาณยาที่ไดร้ ับน้นั นอ้ ยจนไมม่ ีผลใน การรักษา จะทาํ ใหโ้ รคไมห่ ายเกิดลุกลามมากข้ึน ถา้ เป็นโรคร้ายแรงอาจถึงตายได้ และถา้ เป็นยาปฏิชีวนะกจ็ ะทาํ ใหเ้ ช้ือ โรคด้ือยา การรักษาจะยงุ่ ยากมากข้ึน 2. ถา้ ผปู้ ่ วยไดร้ ับยาท่ีมีตวั ยามากเกินไป กจ็ ะทาํ ใหเ้ ส่ียงต่อพษิ ภยั ของยามากข้ึน 3. ถา้ ผปู้ ่ วยไดร้ ับยาท่ีมีตวั ยาเป็นยาอ่ืน กจ็ ะทาํ ใหก้ ารรักษาไมไ่ ดผ้ ล เช่นเดียวกบั ไดร้ ับยาที่ตวั ยานอ้ ยและยงั อาจ ไดร้ ับพษิ จากยาท่ีปนปลอมมาอีกดว้ ย 4. ยาที่หมดอายุ นอกจากจะไมม่ ีฤทธ์ิในการรักษาแลว้ ยาท่ีหมดอายแุ ลว้ บางตวั ยงั เป็นพิษต่อร่างกายดว้ ย เช่น เต ตราซยั คลิน ที่หมดอายจุ ะเป็ นพิษตอ่ ไต 5. ยาท่ีเปลี่ยนแปลงสภาพไปไมค่ วรใช้ เช่น แอสไพรินที่เกบ็ ไวน้ าน ๆ จะมีผลึกของกรดซาลิซิลิค ซ่ึงมีความเป็น กรดสูง ระคายเคืองกระเพาะมาก และไมใ่ หผ้ ลในการบรรเทาปวดลดไข้ ขอ้ แนะนาํ ในการหลีกเลี่ยงการใชย้ าปลอม ยาผดิ มาตรฐาน และยาเสื่อมคุณภาพ กค็ ือซ้ือยากบั เภสัชกรโดยตรง ไม่ ซ้ือยาที่บรรจุในภาชนะท่ีไม่มีฉลากแสดงชื่อยา บริษทั ก็ซ้ือยากบั เภสัชกรโดยตรง ไมซ่ ้ือยาท่ีบรรจุไม่มีฉลากแสดงชื่อยา บริษทั ผผู้ ลิต หมายเลขทะเบียนยา ไม่ซ้ือยาชุด ยาที่มีลกั ษณะไมน่ ่าไวว้ างใจ และยาท่ีมีผนู้ าํ มาเร่ขาย
~ 69 ~ บทความโดย : นาย สมเกียรติ พิกุลแก้ว, รร.สตรีสมทุ รปราการ489 ถ.สุขมุ วิท ปากนา้ อ.เมืองสมทุ รปราการ จ.สมทุ รปราการ 10270, วนั ท่ี 21 กมุ ภาพันธ์ 2545 บันทกึ หลงั การพบกล่มุ คร้ังที่ ………….. วนั ท่ี……. เดือน ……………. พ.ศ………….. กจิ กรรมการเรียนรู้
~ 70 ~ ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………… สิ่งทไี่ ด้รับจากการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… บนั ทกึ หลงั การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ กจิ กรรมการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………… สภาพปัญหาทพี่ บ ……………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………
~ 71 ~ ……………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………… วธิ ีการแก้ปัญหา ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………… ข้อเสนอแนะ ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ลงช่ือ…………………………………….ผู้บันทกึ หลงั การสอน (………………..………………) ตาแหน่ง……………………………………… ลงช่ือ….................................................ผู้อานวยการสถานศึกษา
~7 แผนการเรียนรู้ รายวชิ า สุขศึกษา พลศึกษ หน่วยการเรียนรู้ ทกั ษะชีวติ เพ่ือสุข รายวชิ า/หวั เรื่อง ตวั ชี้วดั เนื้อหา - ผลกระทบจาก 1. วเิ คราะห์ปัญหา สาเหตุ 1. การวเิ คราะห์ปัญหา สาเหตุ สารเสพติด - ทกั ษะชีวติ เพ่ือ และการแพร่ระบาดของ ผลกระทบ และการแพร่ระบาดของ สุขภาพจิต สารเสพติด สาร เสพติด 2. วเิ คราะห์ผลกระทบของ 2. การมีส่วนร่วมในการป้องกนั ส่ิง สารเสพติดที่มีต่อตนเอง เสพติดในชุมชน ครอบครัว ชุมชนและ 3. กฎหมายที่เกี่ยวขอ้ งกบั ส่ิงเสพติด ประเทศ 4. ความหมาย ความสาํ คญั ของ 3. มีส่วนร่วมรณรงค์ ทกั ษะชีวติ 10 ประการ ป้องกนั สิ่งเสพติดใน 5. ทกั ษะชีวติ ที่จาํ เป็น 3 ประการ ชุมชนอยา่ งสม่าํ เสมอ - ทกั ษะการตระหนกั รู้ในตน 4. แนะนาํ สาระสาํ คญั ของ - ทกั ษะการจดั การกบั อารมณ์ กฎหมายที่เกี่ยวขอ้ งกบั สิ่ง - ทกั ษะการจดั การกบั ความ เสพติดแก่ครอบครัวและ เครียด ผอู้ ื่น 6. การประยกุ ตใ์ ชท้ กั ษะชีวติ ในการ 5. บอกความหมายและ ทาํ งาน การปรับตวั และการ ความสาํ คญั ของทกั ษะชีวติ แกป้ ัญหาชีวิต ไดท้ ้งั 10 ประการ 7.การแนะนาํ กระบวนการทกั ษะ 6. บอกทกั ษะชีวติ ที่จาํ เป็น ชีวติ ในการแกป้ ัญหากบั ผูอ้ ื่น
72 ~ ษา ทช31003 ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย ขภาพจิต คร้ังที่ 7 พบกล่มุ การจัดกระบวนการเรียนรู้ สื่อ/แหล่งเรียนรู้ การวดั และประเมินผล ข้นั ท่ี 1 กาหนดสภาพปัญหา ส่ือ 1. ใบงาน การเรียนรู้ 1. หนงั สือเรียน 2. บนั ทึกการเรียนรู้ 1. ครูสนทนากบั ผเู้ รียนถึงเร่ือง 2. CD 3. แบบทดสอบ ปัญหายาเสพติดในชุมชน 3. รูปภาพ 4. สังเกตจากการมีส่วน ข้นั ท่ี 2 แสวงหาข้อมูลและ 4. ยาประเภทตา่ ง ๆ ร่วม จัดการเรียนรู้ 1. ครูแจกซองยาใหผ้ เู้ รียนแลว้ 5. ขา่ วจากหนงั สือพมิ พ์ 5. สงั เกตการแสดงความ แหล่งเรียนรู้ คิดเห็น บอกวา่ ยา สี ขนาดและรูปร่าง 1. หอ้ งสมุด ตา่ ง ๆ เป็นยาอะไรบา้ ง จากน้นั 2. โรงพยาบาล, สถานี จึงเฉลยวา่ ผเู้ รียนตอบถูกหรือไม่ อนามยั 2. ครูและผเู้ รียนช่วยกนั สรุปวา่ 3. สาํ นกั งาน ยาน้นั มีคุณและโทษอยา่ งไรบา้ ง สาธารณสุข และการรับประทานยาโดยไม่ 4. สถานีตาํ รวจ อา่ นฉลากยาจะเกิดอนั ตราย อยา่ งไรบา้ ง ข้นั ที่ 3 การปฏิบตั ิและการ นาไปใช้ 1. ครูใหผ้ เู้ รียนแบ่งกลุ่ม ๆ ละ 3
รายวชิ า/หัวเร่ือง ตวั ชี้วดั ~7 ไดอ้ ยา่ งนอ้ ย 3 ประการ เนื้อหา 7. ประยกุ ตใ์ ชท้ กั ษะชีวติ ใน การทาํ งาน การปรับตวั และ การแกป้ ัญหาชีวติ ครอบครัวไดอ้ ยา่ ง เหมาะสม 8. แนะนาํ กระบวนการ ทกั ษะชีวติ ในการแกป้ ัญหา แก่ครอบครัว เพอ่ื นและ ผอู้ ื่น
73 ~ สื่อ/แหล่งเรียนรู้ การวดั และประเมินผล การจัดกระบวนการเรียนรู้ คน และใหบ้ อกถึงสรรพคุณของ ยา วธิ ีการใช้ อนั ตรายที่เกิดจาก การใชย้ าไมถ่ ูกตอ้ ง แลว้ ให้ ตวั แทนกลุ่มนาํ เสนอผล การศึกษาใหเ้ พือ่ นฟัง เช่น - ยาสามญั ประจาํ บา้ น - ยาแกไ้ ข้ แกป้ วดทวั่ ไป - ยาทาภายนอก - ยาหยอดตา - ยารักษาโรคกระดูก 4. ครูใหผ้ เู้ รียนแสดงบทบาท สมมุติในสถานการณ์ตา่ ง ๆ เช่น - การต่อรองและการปฏิเสธ กรณีเท่ียวกลางคืน - การต่อรองและการปฏิเสธ กรณีถูกชกั ชวนเสพสิ่งเสพ ติด เคร่ืองดื่มผสม แอลกอฮอล์ 5. ครูและผเู้ รียนร่วมกนั สรุป สาระสาํ คญั และจดบนั ทึก
รายวชิ า/หัวเร่ือง ตัวชี้วดั ~7 เนื้อหา
74 ~ ส่ือ/แหล่งเรียนรู้ การวดั และประเมินผล การจัดกระบวนการเรียนรู้ ข้นั ท่ี 4 การประเมินผลการ เรียนรู้ 1. วดั ผลประเมินผล
~ 75 ~ ใบงาน คาสั่ง จงตอบคาํ ถามต่อไปน้ี 1. ทา่ นสามารถจดั การกบั อารมณ์โกรธไดอ้ ยา่ งไร 2. ความเครียดส่งผลต่อสุขภาพอยา่ งไรและเราสามารถจดั การกบั ความเครียดไดอ้ ยา่ งไร 3. การตระหนกั รู้ในตนเองมีผลตอ่ การดาํ เนินชีวติ อยา่ งไร 4. ใหเ้ ขียนคาํ ขวญั เกี่ยวกบั ยาเสพติด คนละ 1 คาํ ขวญั 5. ใหอ้ ธิบายถึงความหมายและประเภทของส่ิงเสพติดใหโ้ ทษ 6. ใหอ้ ธิบายถึงสาเหตุ ลกั ษณะอาการ และผลเสียของส่ิงเสพติด 7. จงอธิบายถึงการป้องกนั ส่ิงเสพติดใหโ้ ทษ ใบความรู้เรื่อง การจัดการกบั อารมณ์ อารมณ์ หมายถึง การแสดงออกของภาวะจิตใจท่ีไดร้ ับการกระทบหรือกระตุน้ ให้เกิดมีการแสดงออกต่อส่ิง ท่ีมากระตุน้ อารมณ์สามารถจาํ แนกออกได้ 2 ประเภทใหญ่ 1. อารมณ์สุข คือ อารมณ์ท่ีเกิดข้ึนจากความสบายใจ หรือ ไดร้ ับความสมหวงั
~ 76 ~ 2. อารมณ์ทุกข์ คือ อารมณ์ท่ีเกิดข้ึนจากความไมส่ บายใจ หรือ ไดร้ ับความไมส่ มหวงั อารมณ์พ้ืนฐานของคนเรา ไดแ้ ก่ โกรธ กลวั รังเกียจ แปลกใจ ดีใจ และเสียใจ ซ่ึงเป็นอารมณ์พ้ืนฐานท่ีมีในสัตว์ เล้ียงลูกดว้ ยนม สัมพนั ธ์กบั การทาํ งานของระบบลิมบิก (limbic system)ในสมองส่วนกลาง ในคนเราน้นั พบวา่ ยงั มีการทาํ งานของ สมองส่วนหนา้ บริเวณ prefrontal มาเก่ียวขอ้ งดว้ ย โดยมีการเชื่อมโยงกบั ระบบ ลิมบิกที่ ซบั ซอ้ นจึงทาํ ใหค้ นเรามีลกั ษณะ อารมณ์ความรู้สึก ที่หลายหลากมากกวา่ ในสตั วเ์ ล้ียงลูกดว้ ยนม องค์ประกอบของอารมณ์ อารมณ์จะประกอบไปดว้ ยองคป์ ระกอบ 3 ประการ คือ 1. องค์ประกอบด้านสรีระ (Physiological dimension) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงตา่ ง ๆ ทางร่างกายท่ีจะตอ้ ง เกิดข้ึน ควบคูก่ บั ปฏิกิริยาทางอารมณ์ เช่น หวั ใจเตน้ เร็ว เหง่ือออกตามร่างกาย หรือ ใบหนา้ ร้อนผา่ ว เป็นตน้ อารมณ์ที่ก่อใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระไดม้ ากท่ีสุดคือ อารมณ์กลวั และ อารมณ์โกรธ อารมณ์กลวั จะ ก่อใหเ้ กิดการหลงั่ ของฮอร์โมน แอดรีนาลีนจากต่อมแอดรีนลั (Adrenal gland) ส่วนอารมณ์โกรธ จะก่อใหเ้ กิด การหลง่ั ของฮอร์โมน นอร์แอดรีนาลีน (Noradrenalin) 2. องค์ประกอบทางด้านการนึกคดิ (Cognitive dimension) หมายถึง การมีปฏิกิริยาดา้ นจิตใจท่ีเกิดข้ึน ต่อ สถานการณ์ ที่กาํ ลงั เป็นอยแู่ ละเกิดเป็นอารมณ์ข้ึนมา เช่น ชอบ -ไมช่ อบ หรือ ถูกใจ- ไม่ถูกใจ เป็นตน้ 3. องค์ประกอบทางด้านการมีประสบการณ์ (Experiential dimension) หมายถึง การเรียนรู้ที่เกิดข้ึนภายใน จิตใจของแต่ละ บุคคลซ่ึงจะมีความแตกต่างกนั ไป การตอบสนองทางอารมณ์ ประกอบดว้ ยปัจจยั ตา่ งๆ ดงั น้ี 1. ปฏิกิริยาทางอารมณ์ เช่น การวง่ิ หนีจากสิ่งที่เรากลวั 2. การตอบสนองทางระบบประสาทอิสระ เช่น หวั ใจเตน้ แรงข้ึนและเหง่ือออก บริเวณฝ่ ามือเม่ือตกใจกลวั 3. พฤติกรรมท่ีแสดงออกมา เช่น การยมิ้ หนา้ นิ่วคิ้วขมวด 4. ความรู้สึก เช่น ความโกรธ ความปี ติ ความเศร้าโศก การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวทิ ยาท่ีเกิดข้ึนระหวา่ งท่ีอามรณ์รุนแรงเป็ นผลจากการกระตุน้ ของระบบประสาทเสรี เพือ่ เป็ นการเตรียมพร้อม สาํ หรับภาวะฉุกเฉิน ปัจจุบนั เช่ือวา่ ระบบประสาทส่วนกลางของการตอบสนองทางอารมณ์ ถูกควบคุมโดย และ ซ่ึงประกอบดว้ ย และ อารมณ์ยงั ข้ึนอยกู่ บั สารส่งตอ่ พลงั ประสาท ในสมองปัจจุบนั น้ีเป็นท่ียอมรับกนั วา่ “อาการซึมเศร้า เกี่ยวขอ้ งกบั ระดบั ของ ที่ลดลง ยาท่ีทาํ ใหร้ ะดบั ของ ลดลง จะทาํ ใหเ้ กิดอาการซึมเศร้า ส่วนยาตา้ นซึมเศร้า ทาํ ใหร้ ะดบั ของ สูงข้ึน การแสดงออกทางอารมณ์ ก. การแสดงออกทางอารมณ์โดยกาเนิด การแสดงอารมณ์พ้นื ฐานเป็ นส่ิงที่มีมาต้งั แต่กาํ เนิด เด็กทุกชาติทุกภาษา จะร้องไหเ้ ม่ือเจบ็ ปวดหรือเสียใจ และหวั เราะเม่ือสุขใจ จากการศึกษาเดก็ ที่ตาบอดหรือหูหนวกต้งั แต่แรกเกิด พบวา่ การแสดงออกของสีหนา้ ท่าทาง และทว่ งทีกิริยาหลายๆ อยา่ ง ซ่ึงเราเอาไปสมั พนั ธ์กบั อารมณ์ชนิดตา่ งๆ ไดร้ ับการพฒั นาโดยความสุกสมบูรณ์ การแสดงออกของอารมณ์เหล่าน้ีเกิดข้ึนในช่วงอายทุ ่ีเหมาะสม แมว้ า่ จะ
~ 77 ~ ไม่มีโอกาสสงั เกตไดใ้ นคนอื่นไดเ้ ขียนหนงั สือ ซ่ึงพิมพใ์ นปี 1872 ท่านกล่าววา่ วธิ ีแสดงออกของอารมณ์เป็น กระสวนที่ถูกถ่ายทอดทางพนั ธุกรรม และแตเ่ ดิมมีคุณค่าเพ่ือความอยูร่ อด ของชีวติ บางอยา่ ง เช่น การแสดง ความรังเกียจ หรือการไมย่ อมรับ เกิดจากการท่ีอินทรียพ์ ยายามขจดั เอาสิ่งท่ีไมด่ ีหรือไม่น่าพงึ พอใจ ซ่ึงไดก้ ิน เขา้ ไปแลว้ การแสดงสีหนา้ บางอยา่ งดูเหมือนจะมีความหมายสากล โดยมิไดค้ าํ นึงถึงวฒั นธรรมในที่ซ่ึงคนเรา ไดร้ ับการเล้ียงดู เมื่อเอาภาพแสดงสีหนา้ ของความสุข ความโกรธ ความเสียใจ ความรังเกียจ ความกลวั และ ความประหลาดใจ มาแสดงต่อคนชาวอเมริกนั บราซิล ซิลี อาเจนตินา และญี่ป่ ุน คนเหล่าน้ีไม่มีความ ยากลาํ บากในการบอกความแตกต่างของอารมณ์แต่ละชนิด พวกชาวเขาและชาวเกาะท่ีอยหู่ ่างไกลความเจริญก็ บอกไดเ้ ช่นกนั ข. บทบาทของการเรียนรู้ในการแสดงออกทางอารมณ์ แมว้ า่ การแสดงออกของอารมณ์บางอยา่ งมีมาต้งั แต่ กาํ เนิดเป็ นส่วนใหญ่แลว้ แตอ่ ารมณ์ก็อาจไดร้ ับการดดั แปลงมากมายโดยการเรียนรู้ ตวั อยา่ ง ความโกรธ อาจ แสดงออกมาโดยการต่อสู้โดยการใชภ้ าษาที่กา้ วร้าว หรือโดยการลุกออกไปนอกหอ้ ง แน่นอนการออกจากหอ้ ง หรือการใชค้ าํ หยาบมิใชก้ ารแสดงความโกรธ ซ่ึงมีมาต้งั แตแ่ รกเกิดการแสดงออกทางอารมณ์ทางสีหนา้ และ ท่าทาง อาจแตกตา่ งกนั ในแต่ละวฒั นธรรม ตวั อยา่ ง ชาวจีนมีการแสดงออกทางอารมณ์บางอยา่ งแตกต่างจาก ชาติอ่ืนๆ อยา่ งมาก การตบมือแสดงถึงความกงั วลใจ หรือความผดิ หวงั การเกาหูและแกม้ บ่งถึงการมีความสุข การแลบลิ้นออกมาแสดงถึงความประหลาดใจ ในสงั คมตะวนั ตก การตบมือหมายถึงความสุข การเกาหูแสดง ถึงความกงั วล และการแลบลิ้นบ่งถึงการยว่ั โทสะ การควบคุมอารมณ์และการจัดการอารมณ์ 1. เราควรหมน่ั ฝึกใหม้ ีสติ คือระลึกรู้อยเู่ สมออยา่ ประมาทในการดาํ เนินชีวติ เมื่อมีอะไรเขา้ มากระทบ ทาํ ใหเ้ ราเกิดความคิดและอารมณ์ท่ีไม่ดี กค็ วรจะใชส้ ติในการขบคิดพจิ ารณา เพื่อใหเ้ ราเทา่ ทนั และไมต่ กเป็น ทาสของอารมณ์น้นั วธิ ีควบคุมอารมณ์ของเราอาจทาํ ไดห้ ลายวธิ ี ไดแ้ ก่ 2.ใหม้ ีสติอยเู่ สมอเพ่ือควบคุมอารมณ์ที่รุนแรงใหค้ ลายลง พยายามควบคุมมนั ใหไ้ ดโ้ ดยใช้ “สติ” หรือหลกั ธรรมะเขา้ มาช่วยในการเผชิญกบั เหตุการณ์หรือปัญหาตา่ ง ๆ ก็จะทาํ ใหเ้ หตุการณ์หรือปัญหาต่าง ๆ น้นั เป็นไปในทางที่ดีข้ึนได้ ในทางตรงกนั ขา้ มหากผใู้ ดใชอ้ ารมณ์มากหรือรุนแรงเกินไป กอ็ าจจะทาํ ให้ เหตุการณ์หรือปัญหาต่าง ๆ ท่ีเผชิญอยกู่ ลบั เลวร้ายลงไปไดเ้ ช่นกนั 3.ใชค้ าํ พดู แสดงความรู้สึกแทนการกระทาํ เช่น โกรธเพื่อนที่ผดิ นดั ไม่ควรแสดงออกโดย การตาํ หนิดุ ด่า แตค่ วรใชค้ าํ พดู แทนวา่ “ฉนั โกรธมากท่ีเธอผดิ นดั เม่ือวาน เป็นตน้ 4.ใหย้ ดื เวลาออกไปก่อนท่ีจะตดั สินใจทาํ อะไรลงไป หรือพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ก่อใหเ้ กิด อารมณ์รุนแรง รอใหอ้ ารมณ์ลดความรุนแรงลงแลว้ จึงกลบั มาเผชิญเหตุการณ์น้นั อีกคร้ัง ก็จะทาํ ใหเ้ รามีสติมาก ข้ึนในการตดั สินใจกระทาํ สิ่งต่าง ๆ ลงไป 5.ใชก้ ารข่มใจ การใหอ้ ภยั และมองโลกในแง่ดี พยายามฝึกมองสิ่งที่เกิดข้ึนตา่ ง ๆ ในดา้ นดีเสมอถา้ ทาํ ได้ จะทาํ ใหเ้ รามีอารมณ์ที่เป็ นสุขมากยง่ิ ข้ึน 6. เม่ือมีเรื่องทุกขใ์ จหรือเครียดควรปรึกษาเพือ่ นสนิทท่ีไวใ้ จไดห้ รือผใู้ หญ่ ท่ีเราใหค้ วามเคารพนบั ถือ
~ 78 ~ หากคนเรามีแต่ความทุกขเ์ ก็บสะสมไวม้ ากเกินไป สักวนั หน่ึงกอ็ าจจะกลายเป็นโรคประสาท หรือโรคจิต ตอ่ ไปได้ จึงควรปลดปล่อยความทุกขท์ ี่มีอยอู่ อกไปเสียบา้ ง ความเครียดเป็นเรื่องพ้นื ฐานประจาํ ชีวติ ไมว่ า่ คุณจะเป็นคนประเภทไหน ฐานะอยา่ งไร มีอาํ นาจมาก แค่ไหน รูปงามหรือไม่ มีความสบาย เพียงใด ไมอ่ าจหลีกเล่ียงมนั ได้ ความเครียดมาในหลายรูปแบบ เช่นการ สอบไล่คร้ังสาํ คญั อุบตั ิเหตุทางรถยนต์ การเขา้ แถวรอเป็ นเวลานาน วนั ที่อะไรๆกด็ ูจะไมถ่ ูกตอ้ งสกั อยา่ ง ความเครียดขนาดปานกลางอาจเป็นแรงกระตุน้ เป็ นแรงจูงใจเป็นท่ีตอ้ งการใหม้ ีในบางคร้ัง แต่ถา้ หากเครียด มาก อาจก่อปัญหาท้งั ทางร่างกาย ทางจิตใจ และทางพฤตกิ รรม วธิ ีการจัดการกบั ความเครียด วธิ ีการจดั การกบั ความเครียดสามารถทาํ ไดห้ ลายวธิ ี ข้ึนอยกู่ บั สถานการณ์และวธิ ีการท่ีจะยอมรับเอาไปใช้ 1. การเล่นดนตรี ฟังเพลงก็เป็นการช่วยลดความเครียดได้ เพราะดนตรีและเพลงทาํ ใหเ้ ราเพลิดเพลิน ทาํ ใหล้ ืมเร่ืองที่เครียด 2. การนวด เพราะการนวดทาํ ใหไ้ ดส้ มั ผสั ส่วนที่เครียด ทาํ ใหก้ ลา้ มเน้ือส่วนน้นั ผอ่ นคลายลง 3.มุ่งแตส่ ิ่งที่เป็นปัจจุบนั คนเรามีอดีตท่ีไมน่ ่าพอใจเป็นทุกขด์ ว้ ยกนั ทุกคน ถา้ นึกถึงอดีตท่ีไมพ่ อใจ บอ่ ย ๆ จะทาํ ใหเ้ กิดทุกขเ์ ครียดไดแ้ ละอยา่ คิดถึงอนาคตเพราะยงั มาไม่ถึง 4. สร้างนิสยั สดชื่น ยมิ้ แยม้ เสมอ ไมส่ ร้างความเดือดร้อนใหแ้ ก่ผทู้ ี่อยใู่ กลเ้ คียง 5. หลีกเลี่ยงการสร้างศตั รู เพราะการมีศตั รูจะทาํ ใหเ้ ราตอ้ งหวาดระแวง กลวั ต่าง ๆ นานา เมื่อน้นั ความเครียดก็จะตามมา 6. การใชย้ าลดความเครียด การใชย้ าน้นั จะตอ้ งไดร้ ับคาํ แนะนาํ จากแพทยเ์ ท่าน้นั เช่น ยาพวกบาบิตเรท ยากล่อมประสาท ยานอนหลบั เป็นตน้ แหล่งข้อมูล http://www.vcharkarn.com/vcafe/14209/1 http://www.novabizz.com/NovaAce/Emotional/Emotional.htm
~ 79 ~ ใบความรู้ เร่ือง สารเสพตดิ ความหมายของยาเสพติด ยาเสพติด หมายถึง สารใดก็ตามท่ีเกิดข้ึนตามธรรมชาติ หรือสารที่สังเคราะห์ข้ึน เม่ีอนาํ เขา้ สู่ร่างกาย ไม่วา่ จะโดยวธิ ีรับประทาน ดม สูบ ฉีด หรือดว้ ยวธิ ีการใด ๆ แลว้ ทาํ ใหเ้ กิดผลตอ่ ร่างกายและจิตใจ นอกจากน้ียงั จะทาํ ใหเ้ กิดการเสพติดได้ หากใชส้ ารน้นั เป็ นประจาํ ทุกวนั หรือวนั ละหลาย ๆ คร้ัง ลกั ษณะสาํ คญั ของสารเสพติด จะทาํ ใหเ้ กิดอาการ และอาการแสดงต่อผเู้ สพดงั น้ี ๑. เกิดอาการด้ือยา หรือตา้ นยา และเม่ือติดแลว้ ตอ้ งการใชส้ ารน้นั ในประมาณมากข้ึน ๒. เกิดอาการขาดยา ถอนยา หรืออยากยา เมื่อใชส้ ารน้นั เทา่ เดิม ลดลง หรือหยดุ ใช้ ๓. มีความตอ้ งการเสพท้งั ทางร่างกายและจิตใจ อยา่ งรุนแรงตลอดเวลา ๔. สุขภาพร่างกายทรุดโทรมลง เกิดโทษต่อตนเอง ครอบครัว ผอู้ ื่น ตลอดจนสงั คม และ ประเทศชาติ ความหมายตามกฎหมาย ยาเสพติดให้โทษ หมายความวา่ สารเคมี หรือวตั ถุชนิดใดๆ ซ่ึงเม่ือเสพเขา้ สู่ร่างกายไม่วา่ จะโดย รับประทาน ดม สูบ ฉีด หรือดว้ ยประการใดๆ แลว้ ทาํ ใหเ้ กิดผลต่อร่างกายและจิตใจในลกั ษณะสาํ คญั เช่น ตอ้ งเพ่ิมขนาดการเสพเร่ือยๆ มีอาการถอนยา เมื่อขาดยามีความตอ้ งการเสพท้งั ทางร่างกายและจิต อยา่ งรุนแรงอยตู่ ลอดเวลาและสุขภาพโดยทว่ั ไปจะทรุดโทรมลง กลบั ใหร้ วมถึงพืช หรือ ส่วนของพืชท่ี
~ 80 ~ เป็น หรือใหผ้ ลผลิตเป็นยาเสพติดใหโ้ ทษ หรืออาจใชผ้ ลิตเป็นยาเสพติดให้โทษและสารเคมี ท่ีใชใ้ น การผลิตยาเสพติดให้โทษดงั กล่าวดว้ ย ท้งั น้ีรัฐมนตรีวา่ การกระทรวงสาธารณสุขประกาศในราชกิจจา นุเบกษา แตไ่ ม่หมายความถึง ยาสาํ คญั ประจาํ บา้ นบางตาํ รับตามที่กฎหมายวา่ ดว้ ยยาที่มี ยาเสพติดให้ โทษผสม อย สารเสพตดิ หมายถึงสิ่งที่เสพเขา้ ไปในร่างกายแลว้ ทาํ ใหร้ ่างกายตอ้ งการสารน้นั ในปริมาณท่ีเพิ่มข้ึนไม่ สามารถหยดุ ได้ มีผลทาํ ใหร้ ่างกายทรุดโทรมและสภาวะจิตใจผดิ ปกติ ยาเสพติด หมายถึง สารหรือยาท่ีอาจเป็นผลิตภณั ฑธ์ รรมชาติ หรือจากการสังเคราะห์ ซ่ึงเมื่อเสพเขา้ สู่ ร่างกายไม่วา่ จะโดย การกิน ดม สูบ ฉีด หรือ ดว้ ยประการใด ๆ แลว้ จะทาํ ใหเ้ กิดผล ต่อร่างกายและ จิตใจในลกั ษณะสาํ คญั เช่น - ตอ้ งเพิ่มขนาดการเสพข้ึนเรื่อยๆ - มีอาการอยากยาเม่ือขาดยา - มีความตอ้ งการเสพท้งั ร่างกายและจิตใจอยา่ งรุนแรงและตอ่ เนื่อง - สุขภาพโดยทวั่ ไปจะทรุดโทรมลง ประเภทของยาเสพติด ยาเสพติด แบ่งไดห้ ลายรูปแบบ ตามลกั ษณะต่าง ๆ ดงั น้ี 1. แบ่งตามแหล่งทเี่ กดิ ซ่ึงจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1.1 ยาเสพติดธรรมชาติ (Natural Drugs) คือยาเสพติดท่ีผลิตมาจากพชื เช่น ฝ่ิน กระท่อม กญั ชา เป็ นตน้ ฝิ่ น กระท่อม 1.2 ยาเสพติดสังเคราะห์ (Synthetic Drugs) คือยาเสพติดท่ีผลิตข้ึนดว้ ยกรรมวธิ ีทางเคมี เช่น เฮโรอีน แอมเฟตามีน เป็ นตน้
~ 81 ~ เฮโรอนี ยาบ้า 2. แบ่งตามพระราชบญั ญตั ยิ าเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ซ่ึงจะแบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ 2.1 ยาเสพติดใหโ้ ทษ ประเภทที่ 1 ไดแ้ ก่ เฮโรอีน แอลเอสดี แอมเฟตามีน หรือยาบา้ ยาอีหรือยาเลิฟ 2.2 ยาเสพติดใหโ้ ทษ ประเภทที่ 2 ยาเสพติดประเภทน้ีสามารถนาํ มาใชเ้ พอื่ ประโยชน์ทางการแพทยไ์ ด้ แต่ตอ้ งใชภ้ ายใตก้ ารควบคุมของแพทย์ และใชเ้ ฉพาะกรณีที่จาํ เป็นเทา่ น้นั ไดแ้ ก่ ฝ่ิน มอร์ฟี น โคเคน หรือโคคาอีน โคเคอีน และเมทาโดน 2.3 ยาเสพติดใหโ้ ทษ ประเภทที่ 3 ยาเสพติดประเภทน้ีเป็ นยาเสพติดใหโ้ ทษท่ีมียาเสพติดประเภทที่ 2 ผสมอยดู่ ว้ ย มีประโยชนท์ างการแพทย์ การนาํ ไปใชเ้ พื่อจุดประสงคอ์ ื่น หรือเพ่ือเสพติด จะมี บทลงโทษกาํ กบั ไว้ ยาเสพติดประเภทน้ี ไดแ้ ก่ ยาแกไ้ อ ท่ีมีตวั ยาโคเคอีน ยาแกท้ อ้ งเสีย ที่มีฝิ่นผสมอยู่ ดว้ ย ยาฉีดระงบั ปวดต่าง ๆ เช่น มอร์ฟี น เพทิดีน ซ่ึงสกดั มาจากฝ่ิน 2.4 ยาเสพติดใหโ้ ทษ ประเภทที่ 4 คือสารเคมีที่ใชใ้ นการผลิตยาเสพติดใหโ้ ทษ ประเภทท่ี 1 หรือ ประเภทท่ี 2 ยาเสพติดประเภทน้ีไม่มีการนาํ มาใชป้ ระโยชนใ์ นการบาํ บดั โรคแต่อยา่ งใด และมี บทลงโทษกาํ กบั ไวด้ ว้ ย ไดแ้ ก่น้าํ ยาอะเซติคแอนไฮไดรย์ และ อะเซติลคลอไรด์ ซ่ึงใชใ้ นการเปล่ียน มอร์ฟี นเป็นเฮโรอีน สารคลอซูไดอีเฟครีน สามารถใชใ้ นการผลิตยาบา้ ได้ และวตั ถุออกฤทธ์ิตอ่ จิต ประสาทอีก 12 ชนิด ท่ีสามารถนาํ มาผลิตยาอีและยาบา้ ได้ 2.5 ยาเสพติดใหโ้ ทษประเภทท่ี 5 เป็นยาเสพติดใหโ้ ทษที่มิไดเ้ ขา้ ข่ายอยใู่ นยาเสพติดประเภทที่ 1 ถึง 4 ไดแ้ ก่ ทุกส่วนของพืชกญั ชา ทุกส่วนของพชื กระทอ่ ม เห็ดข้ีควาย เป็นตน้ มอร์ฟี น ยาอี กญั ชา 3. แบ่งตามการออกฤทธ์ิต่อจิตประสาท ซ่ึงแบง่ ออกเป็ น 4 ประเภท คือ 3.1 ยาเสพติดประเภทกดประสาท ไดแ้ ก่ ฝ่ิน มอร์ฟี น เฮโรอีน สารระเหย และยากล่อมประสาท 3.2 ยาเสพติดประเภทกระตุน้ ประสาท ไดแ้ ก่ แอมเฟตามีน กระทอ่ ม และ โคคาอีน 3.3 ยาเสพติดประเภทหลอนประสาท ไดแ้ ก่ แอลเอสดี ดีเอม็ พี และ เห็ดข้ีควาย 3.4 ยาเสพติดประเภทออกฤทธ์ิผสมผสาน กล่าวคือ อาจกดกระตุน้ หรือ หลอนประสาทไดพ้ ร้อม ๆ กนั ตวั อยา่ งเช่น กญั ชา
~ 82 ~ สารระเหย โคเคน เห็ดขคี้ วาย 4. แบ่งตามองค์การอนามัยโลก ซ่ึงแบ่งออกไดเ้ ป็น 9 ประเภท คือ 4.1 ประเภทฝ่ิน หรือ มอร์ฟี น รวมท้งั ยาท่ีมีฤทธ์ิคลา้ ยมอร์ฟี น ไดแ้ ก่ ฝิ่น มอร์ฟี น เฮโรอีน เพทิดีน 4.2 ประเภทยาปิ ทูเรท รวมท้งั ยาท่ีมีฤทธ์ิทาํ นองเดียวกนั ไดแ้ ก่ เซโคบาร์ปิ ตาล อะโมบาร์ปิ ตาล พาราล ดีไฮด์ เมโปรบาเมท ไดอาซีแพม เป็นตน้ 4.3 ประเภทแอลกอฮอล ไดแ้ ก่ เหลา้ เบียร์ วสิ ก้ี 4.4 ประเภทแอมเฟตามีน ไดแ้ ก่ แอมเฟตามีน เมทแอมเฟตามีน 4.5 ประเภทโคเคน ไดแ้ ก่ โคเคน ใบโคคา 4.6 ประเภทกญั ชา ไดแ้ ก่ ใบกญั ชา ยางกญั ชา 4.7 ประเภทใบกระท่อม 4.8 ประเภทหลอนประสาท ไดแ้ ก่ แอลเอสดี ดีเอน็ ที เมสตาลีน เมลดั มอน่ิงกลอรี่ ตน้ ลาํ โพง เห็ดเมา บางชนิด 4.9 ประเภทอื่น ๆ นอกเหนือจาก 8 ประเภทขา้ งตน้ ไดแ้ ก่ สารระเหยตา่ ง ๆ เช่น ทินเนอร์ เบนซิน น้าํ ยา ลา้ งเลบ็ ยาแกป้ วด และบุหร่ี พฤติกรรมของผ้ตู ดิ สิ่งเสพตดิ 1. ไม่สนใจสิ่งแวดลอ้ ม ชอบแยกตวั เอง 2. แตง่ กายไมเ่ รียบร้อย สกปรก 3. สีหนา้ แสดงความวติ ก ซึมเศร้า ไมก่ ลา้ ที่จะสู้หนา้ คน 4. เม่ือขาดยา มีอาการกระวนกระวาย หายใจลึก กลา้ มเน้ือกระตุก ทุรนทุราย คลุม้ คลงั่ การป้องกนั การเสพยาเสพติด 1. เลือกคบเพือ่ นท่ีดี หลีกเลี่ยงการคบเพือ่ นท่ีติดส่ิงเสพติด 2. ไมท่ ดลอง สิ่งเสพติดทุกชนิด 3. เล่นกีฬา ออกกาํ ลงั กาย หากิจกรรมนนั ทนาการเล่นเมื่อมีเวลาวา่ ง 4. สถาบนั การศึกษาควรใหก้ ารอบรมเก่ียวกบั โทษของยาเสพติด 5. ควรมีความอบอุ่นแก่ครอบครัว ดูแลสมาชิกในครอบครัว อยา่ งใกลช้ ิด
~ 83 ~ โทษของยาเสพติด โทษเน่ืองจากการเสพส่ิงเสพตดิ แบ่งออกได้ ดังนี้ 1. โทษตอ่ ร่างกาย สิ่งเสพติดทาํ ลายท้งั ร่างกายและจิตใจ เช่น ทาํ ใหส้ มองถูกทาํ ลาย ความจาํ เสื่อม ดวงตาพร่ามวั่ น้าํ หนกั ลด ร่างกายซูบผอม ตาแหง้ เหมอ่ ลอย ริมฝีปากเขียวคล้าํ เครียด เป็นตน้ 2. โทษตอ่ ผใู้ กลช้ ิด ทาํ ลายความหวงั ของพอ่ แม่และทุกคนในครอบครัว ทาํ ใหว้ งศต์ ระกูลเสื่อมเสีย 3. โทษตอ่ สงั คม เกิดปัญหาทางดา้ นอาชญากรรม สูญเสียแรงงาน สิ้นเปลืองคา่ ใชจ้ า่ ยในการ ปราบปรามและการบาํ บดั รักษา 4. โทษตอ่ ประเทศไทย ทาํ ลายเศรษฐกิจของชาติ
Search