Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการวัดและประเมินผล

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการวัดและประเมินผล

Published by Cc_ Charcoal, 2023-01-18 10:00:55

Description: ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการวัดและประเมินผล

Search

Read the Text Version

บทที่ 1 ความรพู้ น้ื ฐานเกยี่ วกบั การวดั และการประเมนิ ผลการศึกษา การพัฒนาทรพั ยากรมนุษย์ทีเ่ ป็นรปู แบบสากลคอื การจดั การเรียนรู้โดยพฒั นาบคุ คล ใหเ้ กดิ คณุ ลักษณะทพ่ี ึงประสงคใ์ น 3 ด้าน คอื ดา้ นพทุ ธพิ สิ ัย จติ พิสยั และทักษะพสิ ยั สาหรบั กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ทาให้บคุ คลมีพฤติกรรมตามคณุ ลกั ษณะทพี่ ึงประสงค์ และแนวทางทต่ี ้องการเพียงใดน้นั จาเป็นต้องมกี ารกระทาอย่างเปน็ ระบบและระเบยี บแบบแผน ที่ชดั เจน ดังนนั้ จึงตอ้ งมีการทดสอบ วัดผล และประเมินผลการเรยี นรู้ เพื่อพัฒนาคณุ ลักษณะ ท่ีพึงประสงค์ของบคุ คลตามเปา้ หมายท่กี าหนดไว้ ความหมายของการทดสอบ การวัดผล และการประเมนิ ผล คาว่า “การทดสอบ” (Testing) “การวดั ผล” (Measurement) และการประเมนิ ผล (Evaluation) มีผนู้ าไปใช้อย่างสับสนปะปนกันหรือใช้แทนกนั อยู่บ่อยๆ ซง่ึ ความหมาย ของการทดสอบ การวดั ผล และการประเมิน มคี วามหมาย ดังนี้ 1. การทดสอบ (testing) ไดม้ ผี ู้ให้ความหมายไว้ดังน้ี ไวรสั มาและเจอร์ส (Wiersma and Jurs อ้างถึงในพิชติ ฤทธิจ์ รญู , 2552 : 1) กล่าววา่ การทดสอบเป็นกระบวนการบริหารแบบทดสอบ ซึง่ เปน็ สว่ นหน่ึงของการวัดผลโดย ใชแ้ บบทดสอบเป็นสถานการณไ์ ปเร้าให้เกดิ การตอบสนอง ชวาล แพรตั กุล (2552 : 73) กล่าววา่ แบบทดสอบก็คือชดุ ของคาถาม หรอื กลุม่ งานใดๆ ทีส่ รา้ งขนึ้ เพือ่ จะชักนาใหผ้ ถู้ ูกสอบแสดงพฤติกรรมอยา่ งใดอย่างหนง่ึ ออกมา ใหผ้ ู้สอบสังเกตได้ และวัดได้ พงึ เหน็ ว่า เรื่องราวของการทดสอบทั้งหลายนั้น จะต้อง ประกอบด้วยภาคกระตนุ้ ยุแหย่ (Stimulus) กบั ภาคตอบสนอง (Response) ตอ่ เครื่องมอื การ ทดสอบเสมอ ปิ่นวดี ธนธานี (2550 : 2) กลา่ ววา่ การทดสอบ (Testing) คอื การใช้ส่ือ หรือเคร่อื งมอื หรือสถานการณ์ใดๆ เปน็ ตวั เรา้ ให้เกิดปฏิกริ ยิ าหรอื พฤติกรรมตอบสนอง ดังน้นั การทดสอบทางการศึกษาจึงหมายถึงการใชแ้ บบทดสอบหรอื สถานการณท์ ดสอบใดๆ ไปเป็น สิง่ เร้าแสดงพฤตกิ รรมตอบสนอง

4 เยาวดี วบิ ูลยศ์ รี (2540 : 2) กล่าวว่าการทดสอบเป็นการนาชุดคาถามท่ีมี มาตรฐานใหผ้ ้สู อบตอบสนอง ซ่งึ คาถามแต่ละขอ้ ในชดุ คาถามเรยี กว่าขอ้ สอบ หรอื ข้อกระทง (test item) และขอ้ สอบหลายๆ ขอ้ รวมกันเปน็ ฉบับเรียกแบบทดสอบ (Test) พิชิต ฤทธ์จิ รูญ (2552 : 2) ได้ให้ความหมายว่าการทดสอบเป็นเทคนิคอยา่ งหนึ่ง ของการวดั ผล ซ่งึ เคร่ืองมอื ที่ใชว้ ดั คือแบบทดสอบ ภทั รา นิคมานนท์ (2540 : 8) กล่าวว่า การทดสอบเปน็ การใชเ้ ครื่องมอื วดั แบบหนงึ่ ที่เรียกว่าแบบทดสอบ เพอื่ รวมรวมข้อมูลจากผทู้ ี่ตอ้ งการวดั จากความหมายของการทดสอบ สรุปไดว้ ่าการทดสอบ (Testing) เป็น กระบวนการใชเ้ คร่ืองมอื ในการทดสอบ เชน่ แบบทดสอบชนิดต่างๆ เพอ่ื ให้ผ้สู อบมพี ฤติกรรม ตอบสนองในรูปแบบอยา่ งใดอย่างหน่งึ 2. การวัดผล (Measurement) การวดั ผลเปน็ กิจกรรมทเ่ี กยี่ วข้องกับการหาจานวน ปริมาณ หรือคณุ ภาพของ สิง่ ใดส่งิ หน่งึ ซึง่ กิจกรรมการวัดผล จะประกอบด้วย ส่งิ ที่ตอ้ งการวดั เครอื่ งมือวัดและผลการวดั ดงั นั้น ถ้ากจิ กรรมใดมกี ารกาหนดสิง่ ทจ่ี ะวัด มีการใชเ้ ครือ่ งมืดวัดแตไ่ ม่มผี ลการวัดจะไมถ่ อื ว่า เปน็ การวดั ผล ในการวัดผลไดม้ ีผู้ใหค้ วามหมายไว้ดงั นี้ แซค (Sax, 1989 : 14) กลา่ ววา่ การวดั ผล หมายถึง กระบวนการกาหนดตัวเลข ให้กับคุณสมบตั ิ หรือคณุ ลักษณะของบุคคล วัตถุ หรอื เหตุการณ์ ตามแบบแผนหรือกฎท่ี เกดิ ขน้ึ อีเบล (Ebel, 1979 : 557) ได้ให้ความหมายของการวัดผลวา่ หมายถึง กระบวนการในการกาหนดจานวนให้สมาชิกในกล่มุ ส่ิงของหรือบคุ คลทีต่ อ้ งการวดั เพอ่ื บ่งบอก ความแตกตา่ งของคณุ ลกั ษณะทจ่ี ะวดั ของส่งิ ของและของบคุ คลนั้นๆ พชิ ิต ฤทธ์ิจรญู (2552 : 3) กล่าววา่ การวดั ผล หมายถึง กระบวนการกาหนด ตัวเลขหรือสญั ลกั ษณ์ให้กบั บุคคล ส่งิ ของ หรือเหตกุ ารณ์ อยา่ งมีกฎเกณฑ์ เพ่อื ใหไ้ ดข้ อ้ มลู ท่ี แทนปรมิ าณหรือคณุ ภาพของคณุ ลักษณะท่จี ะวดั ป่ินวดี ธนธานี (2550 : 2) กลา่ วว่า การวัดผล คอื กระบวนการกาหนดคา่ เปน็ ตัวเลข หรือสญั ลกั ษณใ์ ดๆ เพื่อแทนคุณลักษณะของผเู้ รียน หรือพฤตกิ รรมของผ้เู รยี นท่แี สดง ออกมา ส.วาสนา ประวาลพฤกษ์ (2544 : 15) กล่าววา่ การวัดผล หมายถงึ กระบวนการ ทจ่ี ะกาหนดปรมิ าณของสิ่งทตี่ ้องการวดั ออกมาเปน็ จานวนหรอื ตวั เลข ซง่ึ ใชแ้ ทนคาอธบิ าย คุณลกั ษณะท่ีกาลงั วดั โดยจะอธิบายลกั ษณะของบุคคลให้อยใู่ นรูปของระดบั ของคุณลักษณะนนั้ แบบต่อเนอ่ื ง

5 บุญชม ศรีสะอาด (2543 : 21) กล่าววา่ การวัดผล หมายถงึ การกาหนดตวั เลข หรอื สญั ลักษณ์อน่ื ๆ แทนปรมิ าณหรือคุณภาพ หรอื คุณลักษณะ บุญธรรม กจิ ปรดี าบรสิ ทุ ธ์ิ (2535 :15) กลา่ ววา่ การวัดผล หมายถึง กระบวนการเชงิ ปรมิ าณในการกาหนดค่าเป็นตัวเลขหรอื สญั ลกั ษณท์ ีม่ คี วามหมาย แทนคุณลักษณะของสิ่งทว่ี ดั โดยอาศยั กฎเกณฑ์อยา่ งใดอย่างหนึง่ จากความหมายดงั กล่าวข้างตน้ สรปุ ไดว้ ่าการวัดผล (Measurement) หมายถึง กระบวนการกาหนด ตัวเลขหรอื สัญลักษณ์ หรอื คาอธบิ าย หรือบรรยายให้กับปรมิ าณของ คณุ สมบัติ หรอื คุณลกั ษณะที่ต้องการศึกษา โดยใชก้ ฎเกณฑ์หรอื วธิ ีการอยา่ งใดอย่างหนึง่ 3. การประเมินผล (Evaluation) ได้มผี ู้ให้ความหมายการประเมนิ ผลดังนี้ กสั คยี ์ (Guskey, 2000 : 41-42) กลา่ วว่าการประเมนิ ผลเปน็ การคน้ หา ท่ีเป็นระบบ คณุ คา่ หรอื คุณธรรม การประเมินเปน็ การกาหนดคณุ คา่ ใหก้ บั สิง่ ต่างๆ ซ่งึ มี กระบวนการ 4 ขัน้ ตอนคือ 1. กาหนดมาตรฐานสาหรบั คุณภาพการตัดสนิ 2. มาตรฐานควรมคี วามเกีย่ วข้องและสมบรู ณ์ 3. รวบรวมข้อมลู สารสนเทศทเี่ ก่ียวขอ้ ง 4. สรา้ งมาตรฐานเพือ่ กาหนดคุณคา่ หรอื คุณภาพ วกิ กิน้ ส์ (Wiggins, 1998 : 12) ไดใ้ หค้ วามหมายการประเมินผลการศึกษาไว้ 2 นัย คือ การประเมนิ ผลควรจะถกู ออกแบบเพอ่ื ที่จะสอน (ไม่ใช่วัด) โดยใหน้ กั เรยี นทางาน หรอื กิจกรรมทเี่ ป็นงานทแี่ ทจ้ ริง แซค (Sax, 1989 : 24) กลา่ ววา่ การประเมินผล หมายถึง กระบวนการตดั สนิ คณุ คา่ หรือตัดสินใจทีเ่ กิดจากการสงั เกตประสบการณแ์ ละการฝกึ ฝนของผู้ประเมิน พิชิต ฤทธจ์ิ รูญ (2552 : 5) กล่าวว่า การประเมนิ ผล หมายถงึ การตัดสนิ คณุ ค่า หรอื คุณภาพของผลทีไ่ ด้จากการวดั โดยเปรยี บเทยี บกับผลการวดั อ่ืนๆ หรอื เกณฑท์ ต่ี ้ังไว้ ส.วาสนา ประวาลพฤกษ์ (2544 : 16) กลา่ ววา่ การประเมนิ ผลทางการศึกษา เปน็ กระบวนการทีม่ รี ะบบแบบแผน เพื่อท่ีจะตัดสนิ ใจเกีย่ วกบั ผลสมั ฤทธิ์ของผู้เรียนวา่ เป็นไป ตามจดุ ม่งุ หมายเพียงใด การประเมินผลจะบอกทงั้ ปริมาณและคุณภาพของผูเ้ รียนรว่ มดว้ ย การตดั สินใจทางคณุ ค่าของพฤติกรรมตา่ งๆ ใน 2 ความหมายคอื การลงสรุป ตีราคาพฤตกิ รรม ของผเู้ รียนในแงป่ รมิ าณ โดยใช้การตดั สินใจ และการตรี าคาพฤตกิ รรมของผู้เรียนในแง่คุณภาพ โดยการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู หลกั ฐานวิธอี ื่นๆ ที่ไมใ่ ชก่ ารวดั ดว้ ยเคร่อื งมือเชงิ ปรมิ าณ และใชก้ ารตดั สินใจเชงิ คณุ ภาพ

6 สมคดิ พรมจยุ้ (2544 : 29) กลา่ ววา่ การประเมนิ เป็นกระบวนการบ่งชถ้ี ึงคุณคา่ ของงานหรอื การประเมนิ = การวัด + การตัดสินใจ ภัทรา นิคมานนท์ (2540 : 9) ได้ให้ความหมายวา่ การประเมินผล หมายถงึ การนาเอาข้อมูลท้ังหลายที่ได้จากการวัดมาใช้ตัดสนิ ใจ โดยการหาข้อสรปุ ตดั สินประเมนิ คา่ หรือตรี าคาโดยเปรียบเทียบกบั ขอ้ มลู อืน่ ๆ หรือเกณฑ์ที่ตั้งไว้ อทุ ุมพร จามรมาน (2530 : 6) กลา่ ววา่ การประเมินผล หมายถงึ การตัดสิน คุณคา่ ของสิ่งที่วดั ตามเกณฑ์ภายในและเกณฑภ์ ายนอก จากความหมายข้างตน้ สรุปไดว้ า่ การประเมินผล หมายถึง กระบวนการตดั สนิ คุณค่าหรือคณุ ภาพของผลท่ไี ด้จากการวัดคณุ ลักษณะของส่งิ ใดสิง่ หนงึ่ โดยเทียบกบั เกณฑห์ รอื มาตรฐานอย่างใดอย่างหนึง่ จากความหมายของการทดสอบ การวัดผล และการประเมินผลสามารถแสดง องคป์ ระกอบ ปรากฏดังตาราง 1.1 ตาราง 1.1 แสดงองคป์ ระกอบของการทดสอบ การวดั ผล และการประเมนิ ผล การทดสอบ การวดั ผล การประเมนิ ผล 1. แบบทดสอบ องค์ประกอบ 2. พฤติกรรมตอบสนอง 1. สงิ่ ที่จะศกึ ษา 1. ข้อมลู ท่ไี ดจ้ ากการวัด ตวั อยา่ ง แบบทดสอบ 2. เครอื่ งมอื วัด 2. เกณฑ์ นายฟกั ทาการทดสอบ ว่งิ ทนเพื่อสมคั รเขา้ รบั 3. ข้อมลู ทีไ่ ดจ้ ากการวดั 3. การตัดสินคุณค่า การคัดตวั เปน็ นกั กรีฑา ทมี ชาติ นายเฟืองทาขอ้ สอบ นายแฟ้มเปน็ นักศกึ ษาท่ี ภาษไทยได้ 22 คะแนน เรยี นวชิ าวทิ ยาศาสตร์ จากคะแนนเต็ม 30 ไดเ้ กรด A คะแนน การวัดทางการศกึ ษาและจิตวิทยาจงึ เป็นกระบวนการทตี่ อ้ งอาศัยแนวคิดเชิงทฤษฎี เกี่ยวกบั ส่งิ ทมี่ ุ่งวดั และขอ้ มูลเชิงประจักษต์ ามตัวบง่ ช้ีที่รวบรวมมาโดยสรุปอา้ งอิงถึงคณุ ลักษณะ เชงิ นามธรรมที่มงุ่ วัดนั้นเพอ่ื ทาความเขา้ ใจในคณุ ลกั ษณะของส่งิ ท่มี ่งุ วัด โครงสรา้ งของการวัด และการสร้างเครื่องมือสาหรบั การทดสอบ

7 องคป์ ระกอบพื้นฐานในการจัดการเรยี นรู้ ในการจดั การเรยี นรู้จาเปน็ ต้องทราบถงึ องคป์ ระกอบพ้ืนฐานของการจดั การเรยี นรู้ ทัง้ ระบบ เพอื่ ใหท้ ราบถงึ มโนทศั น์ของหลกั สูตร จุดมุง่ หมายของหลกั สูตร การจัดกิจกรรม การเรยี นรู้ การวดั และการประเมินผล และการพัฒนาการเรียนรู้ ได้นาเสนอปรากฏ ดังภาพประกอบ 1.1 หลักสตู ร จุดมงุ่ หมาย การจดั กิจกรรม การวดั และ พัฒนาการ ของหลักสูตร การเรียนรู้ ประเมินผล เรียนรู้ ภาพประกอบ 1.1 องค์ประกอบในการจัดการเรียนรู้ 1. หลกั สตู ร เป็นมวลประสบการณห์ รอื แผนแมบ่ ทในการจดั การศกึ ษาท่ีกาหนดข้ึน เพอื่ ให้ผ้เู กย่ี วขอ้ งนาไปใชจ้ ดั การเรยี นรู้ใหส้ อดคล้องกับปรัชญาทก่ี าหนด หลักสตู รจะ ประกอบด้วยองคป์ ระกอบตอ่ ไปน้ี 1.1 หลักการและจดุ มงุ่ หมายของหลักสูตร เป็นการกาหนดแนวทางการเรยี นวา่ เรยี นหลักสูตรนี้แล้วผเู้ รยี นจะเกดิ การเรยี นรหู้ รือมีคุณลักษณะอย่างไรบ้าง 1.2 กระบวนการจดั การเรียนรู้ เป็นขอ้ กาหนดเกยี่ วกับวธิ ีสอน กิจกรรม การเรยี นรู้ เวลาเรียน เพือ่ ใหผ้ เู้ กี่ยวข้องกบั การจัดการศึกษาทราบวา่ จะจดั กิจกรรมการเรียนรู้ อย่างไร ใครเกยี่ วข้องบ้าง 1.3 เนือ้ หาสาระเปน็ ตัวบง่ ชวี้ า่ จะเรยี นอะไร มากนอ้ ยเพียงใด 1.4 การวดั และการประเมนิ ผลเป็นตัวบง่ ช้วี า่ จะสอบเม่อื ไร ใชว้ ิธีใดทดสอบ และ จะตัดสนิ ผลการเรียนรู้อยา่ งไร 2. การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ เป็นการสร้างสถานการณ์หรือเง่ือนไข เพ่อื ใหผ้ เู้ รยี น เกดิ การเรียนรูบ้ รรลจุ ดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมหรอื เปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมไปในทางทพี่ งึ ประสงค์ อย่างถาวร โดยผู้สอนตอ้ งจัดการเรยี นรใู้ ห้สอดคล้องกบั หลกั สูตร กล่าวคือ ผสู้ อนตอ้ งมคี วามรู้ ในเร่ืองวิธสี อน จติ วทิ ยาและสือ่ การสอน เพราะการมีความร้ใู นเร่ืองดังกลา่ วจะช่วยให้ครูสามารถ เลอื กใช้วธิ ีสอนหรือเทคนคิ การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนทห่ี ลากหลายสอดคลอ้ งกับผเู้ รยี น เพอื่ เร้าหรือจงู ใจให้ผู้เรียนเกดิ การพัฒนาในด้านตา่ งๆ ตามทกี่ าหนดไวใ้ นจดุ มงุ่ หมายหรอื จดุ ประสงค์ของหลกั สตู ร

8 3. การวดั และประเมินผล เปน็ การกาหนดคณุ ลกั ษณะและตดั สนิ คณุ คา่ ผลการ เรยี นรขู้ องผู้เรยี นอนั เกดิ จากการจดั กจิ กรรมการเรียนร้ขู องครผู สู้ อนวา่ ผู้เรยี นเกดิ การพฒั นา บรรลตุ ามจดุ ประสงค์ทก่ี าหนดไว้หรือไม่ ในการประเมินอาจจะประเมนิ ผเู้ รยี น ผสู้ อน หลกั สูตร โครงการหรือกิจกรรมของโรงเรียน ซงึ่ ในการประเมิน ผ้สู อนสามารถประเมินผล ทัง้ กอ่ นเรียน ระหวา่ งเรยี น และหลังเรยี น เพ่อื นาผลการประเมนิ ไปตดั สนิ ว่าผูเ้ รียนมพี ัฒนาการหรอื ความก้าวหนา้ ในการเรยี นรแู้ ละมคี วามรู้รวบยอดมากน้อยเพยี งใด ซึ่งผลของการประเมิน สามารถใชส้ ะท้อนประสทิ ธภิ าพในการจัดการศึกษาของสถานศกึ ษา ในการพฒั นาคณุ ภาพ การศกึ ษา ครผู ู้สอนควรจะไดท้ าการวจิ ยั เพอ่ื พัฒนาการเรยี นการสอน อนั จะนาไปส่กู าร พฒั นาการจัดการศกึ ษาให้มีคณุ ภาพต่อไป 4. การ พัฒนาการเรียนรู้ เปน็ กระบวนการแสวงหาความรู้ ความจรงิ หรอื กระบวนการทีใ่ ช้ในการแกป้ ัญหาเก่ยี วกบั การจดั การศกึ ษา ซึง่ ตอ้ งอาศัยผลการประเมนิ และ เครื่องมอื หรอื เทคนคิ ในการวดั และประเมนิ เพ่ือนาไปสูก่ ารพฒั นาการจดั การศึกษา ซง่ึ อาจ นาไปส่กู ารปรบั ปรงุ หลกั สตู ร จดุ ประสงค์ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และการประเมินผลการ เรียนรู้ เพอ่ื คณุ ภาพของการจดั การศึกษา ซึง่ หมายถึง คณุ ภาพของผ้เู รยี นน่ันเอง จากองค์ประกอบ พ้ืนฐานในการจดั การเรียนรู้ พบวา่ การวดั และการประเมินผลเปน็ กจิ กรรมทส่ี าคัญในการจดั การเรยี นรู้ เพราะเม่อื ครูจัดการเรยี นร้แู ลว้ ต้องสามารถบอกไดว้ า่ ผู้เรียนมีความรคู้ วามสามารถ มีคุณลกั ษณะหรือมีทักษะตามจุดมงุ่ หมายของหลักสตู รมากน้อย เพียงใดและมสี ิ่งใดควรพฒั นา ดงั นน้ั เพ่ือใหก้ ารวดั และการประเมนิ ผลเปน็ ไปอย่างมีประสิทธภิ าพควรจะไดท้ าความ เขา้ ใจ หลกั สูตร จดุ มงุ่ หมายของหลกั สูตร การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ การวัดและการประเมินผล หลักการและเทคนิคการวัดและการประเมิน ปรชั ญาและหลกั การวัดและประเมินผลการศึกษา ศาสตราจารย์ ดร.ชวาล แพรตั กุล ซ่งึ ได้รับการยกยอ่ งว่าเปน็ บิดาแหง่ การวดั ผล และประเมนิ ผลการศกึ ษา ได้กล่าวเปน็ ปรชั ญาซงึ่ เป็นท่ียอมรบั กนั ทัว่ ไปในวงการศึกษาไว้ว่า “การทดสอบเป็นการค้นและพัฒนาสมรรถภาพของมนษุ ย์” จากปรชั ญาน้ีเราต้องการ 1) เพื่อ คน้ หาสมรรถภาพของผูเ้ รียนว่า ใครมอี ะไร ใครไม่มีอะไร และมากน้อยแคไ่ หน 2) เพ่อื พฒั นา สมรรถภาพของผ้เู รียน โดยการสง่ เสริมส่ิงทมี่ อี ย่ใู ห้มากข้ึน และถ้าไมม่ ีกป็ ลกู ฝังสิง่ ใหม่ขนึ้ มา (พชิ ิต ฤทธ์ิจรญู , 2552 : 13)

9 นอกจากปรัชญาขนั้ สูงสุดดังกลา่ วขา้ งตน้ แล้วยังมีคตหิ รอื แนวคิดท่สี าคญั เกย่ี วกับ การวดั และประเมินผลอีกดังตอ่ ไปน้ี 1. ส่ิงใดที่มอี ยู่ สิ่งน้ันตอ้ งวัดได้ 2. การวัดผลเปน็ สว่ นหนึง่ ของการเรยี นการสอน 3. การสอนกับการสอบเปน็ กระบวนการที่เกี่ยวเนื่องกัน จนมคี ากล่าววา่ “ท่ีใดมกี ารสอนทน่ี นั่ ย่อมมกี ารสอบเพราะการสอนทไี่ ม่มีการสอบ เปน็ การกระทาที่ โงเ่ ขลายิ่ง” 4. การสอนมใิ ชเ่ พอ่ื การสอบหรอื สอนเฉพาะทีต่ รงกบั ขอ้ สอบแบบสอนกวดวชิ า 5. ผูส้ อบหรอื ผ้วู ัดผลควรเป็นผสู้ อนเองเพราะเปน็ ผู้ใกล้ชิดผเู้ รยี น 6. ไม่ควรประเมินเม่อื ไม่มีความประสงค์จะทราบผล ดงั นนั้ ข้อความท่ีเปน็ ปรัชญาดังกลา่ ว จงึ มคี วามสอดคลอ้ งกับหลักการวัด ประเมินผลการศึกษา (ป่นิ วดี ธนธานี, 2550 : 5) ทีถ่ อื ปฏิบตั ิกนั อยทู่ ว่ั ไปดงั น้ี หลักการวดั และประเมนิ ผลการศึกษา 1. กาหนดส่งิ ท่จี ะวดั ให้ชัดเจน หลักการข้อน้ีนับเป็นจุดเริม่ ต้นท่ีสาคญั เพราะผ้วู ัด จะตอ้ งรูเ้ ปน็ เบ้ืองต้นวา่ จะวดั กับใคร วดั อะไร และวดั แคไ่ หน ซ่งึ หมายความวา่ ผ้วู ัดจะต้องรู้ ธรรมชาตขิ องกลมุ่ ผู้ท่ีจะได้รบั การวัด ตอ้ งมจี ดุ ประสงคข์ องการวัด และตอ้ งกาหนดให้แนน่ อน ว่าจะวดั ในขอบข่ายใดเปน็ จานวนเท่าไร ดังนั้นในการวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน ช้นั ใด วชิ าใด กต็ ามครตู อ้ งวเิ คราะห์เลอื กจดุ ประสงคข์ องการเรยี นการสอนทีส่ าคัญจานวนหนึ่งซงึ่ มคี วาม ครอบคลมุ พฤติกรรมทงั้ หมดและถอื เปน็ ตวั แทนได้ เพือ่ นามาวดั ผลตอ่ ไป 2. เลือกวธิ กี ารหรอื เคร่ืองมอื วดั ท่ีเหมาะสม เคร่ืองมือวดั เป็นเครอื่ งมอื ทส่ี รา้ งอยา่ ง มคี ณุ ภาพ ซง่ึ คุณภาพทีส่ าคัญทค่ี วรคานงึ ถงึ กอ่ นอนื่ มสี องประการคอื ประการแรกตอ้ งวดั ได้ ตรงกับจุดประสงคท์ เ่ี ลือกไวท้ กุ ขอ้ เช่น ถ้าวดั ความรเู้ รอ่ื งการปลูกผกั ก็ใชแ้ บบทดสอบเป็น เครอ่ื งมือ แตถ่ ้าจะวัดวา่ ปลกู ผักเป็นหรอื ไม่กต็ อ้ งสังเกตผลงานจากการใหล้ งมอื ปลูกผักจริงๆ ประการทีส่ องเคร่ืองมอื ตอ้ งใหผ้ ลการวัดทแ่ี นน่ อน ซ่งึ ทาใหเ้ ชื่อถือได้วา่ ผลการวดั นน้ั เปน็ ตัวแทนคณุ ลกั ษณะหรอื พฤติกรรมของผู้เรยี นไดอ้ ย่างแท้จริง สามารถสรุปอา้ งองิ ไดถ้ ูกตอ้ ง 3. ใชว้ ิธีการวดั หลายๆ วิธี และวดั หลายๆ ดา้ น เนือ่ งจากคุณลักษณะหรือ พฤตกิ รรมของผูเ้ รยี นสว่ นใหญ่วดั ได้ยาก และไม่มวี ิธีการใดเพยี งวธิ เี ดียวทีจ่ ะใชว้ ัดไดอ้ ยา่ ง สมบรู ณ์ ดังนน้ั หลักการขอ้ นจ้ี งึ เปน็ แนวปฏิบตั ิท่ชี ่วยให้การวัดเปน็ ไปอยา่ งเท่ียงตรง เช่น การสรปุ ตัดสนิ ผลการเรียนท่ีเท่ียงตรงยตุ ธิ รรมควรได้ข้อมลู มาจากการวัดภาคความรู้ ภาคปฏิบัติ และการสงั เกตบนั ทึกพฤตกิ รรมทีพ่ ัฒนาระหวา่ งเรยี นมาประกอบกันเป็นต้น

10 4. ป้องกนั ความผดิ พลาดคลาดเคลอื่ นของการวัด โดยธรรมชาตขิ องการวดั ผล การศึกษาแล้วมีจดุ ออ่ นทท่ี าใหเ้ กิดความผิดพลาดคลาดเคล่อื นไม่มากกน็ อ้ ย จงึ ควรระมดั ระวงั ใหเ้ กิดน้อยท่สี ุด จึงจะทาให้ผลการวัดมคี วามถูกต้องและเชอ่ื ถือได้ สง่ิ ที่ตอ้ งระมัดระวัง เพ่ือรกั ษาหลักการขอ้ นมี้ ีหลายประการ เชน่ 4.1 ผู้วดั ต้องรูจ้ ักธรรมชาติและเทคนิคการใช้เครอ่ื งมือต่างๆ อย่างแท้จรงิ 4.2 ผวู้ ัดตอ้ งควบคุมสถานการณ์การวดั ให้เป็นไปตามหลกั การของเครือ่ งมอื อยา่ งนัน้ ๆ เสมอหนา้ กัน 4.3 การกาหนดผลการวดั ออกมาเป็นคะแนนต้องทาอย่างมีหลักเกณฑ์ แน่นอน 5. แปลผลการวดั ให้ถูกต้อง เน่อื งจากขอ้ มูลการวดั ผลการศึกษาสว่ นใหญเ่ ปน็ การ วัดพฤติกรรมที่แอบแฝงภายในคน ผลการวดั ที่ได้มาแต่ละครั้งถอื เปน็ ตวั แทนของคณุ ลักษณะ หรอื พฤตกิ รรมทต่ี ้องการวดั แต่ไม่ใช่เปน็ การวดั ท่คี รบถว้ นสมบูรณ์ จงึ ต้องนามาสรุปโดย เปรียบเทยี บกบั เกณฑ์หรอื มาตรฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง กจ็ ะเกิดเป็น “ผลการประเมนิ ” ซ่ึงผลนจี้ ะสามารถอธิบายหรืออ้างองิ ถงึ คณุ ลกั ษณะ หรือพฤตกิ รรมของผู้เรียนได้ ดังนั้น ผ้ปู ระเมินต้องเขา้ ใจธรรมชาติของเกณฑ์ทน่ี ามาใช้ เขา้ ใจธรรมชาติของผู้เรียนและประมาณ ความคลาดเคล่ือนของการวดั ได้ว่ามีมากน้อย จึงจะชว่ ยใหแ้ ปลผลการวดั ไดถ้ ูกต้องอันจะนา ไปสู่การสรปุ ตัดสนิ ท่ยี ุตธิ รรม 6. ใช้ผลการวัดให้คุม้ ค่า หลงั จากการวดั แต่ละครง้ั กิจกรรมท่ีตามมากค็ ือ การประเมนิ คุณค่าหรือคุณภาพของสง่ิ ท่วี ัดได้ จากนัน้ จะนามาใชป้ ระโยชนห์ ลายๆ ด้าน ในงานการจดั การศึกษาสว่ นใหญแ่ ล้ว ครมู ักจะเหน็ ประโยชนเ์ พยี งการนามาตดั สินวา่ ผเู้ รียน มีความสามารถอยู่ในระดับใด ใครไมค่ วรผา่ น หรือควรผ่านข้นึ ช้ัน ท่ถี กู แล้วประโยชน์ อย่างแท้จริงกค็ ือ การนาผลการวัดมาพจิ ารณาค้นหาความรคู้ วามสามารถทเ่ี ดน่ - ดอ้ ยของ ผเู้ รยี น เพื่อนาไปสกู่ ารสง่ เสริมหรอื ปรับปรงุ แก้ไขทัง้ ด้านการเรียนและการสอน ตลอดจนใชเ้ ป็น แนวทางการทานายความถนดั และความสามารถของผเู้ รยี นในอนาคตตอ่ ไป บทบาทของการประเมินผลทางการศึกษา การวัดและประเมินผลมบี ทบาทอยา่ งมากต่อการจัดการเรยี นการสอนในปัจจบุ นั เนอ่ื งจากความตอ้ งการใชข้ ้อมูลย้อนกลับเพ่อื วินจิ ฉัย และปรบั ปรงุ ท้ังด้านการสอน และ ดา้ นการเรยี นของผู้เรยี นอยู่ตลอดเวลา และยังต้องใช้ขอ้ มลู เพื่อการสรปุ ตัดสินผลรวบยอด

11 อีกดว้ ย (ป่ินวดี ธนธานี, 2550 : 12) ดงั นั้นเม่ือพจิ ารณาตามบทบาทแลว้ สามารถแบ่งลกั ษณะ ของการประเมนิ ผลออกเป็น 3 ลกั ษณะคอื 1. การประเมนิ ผลก่อนเรยี น (Pre-evaluation) เป็นการตรวจสอบและประเมิน ความรูค้ วามสามารถทมี่ ีอยเู่ ดิมของผเู้ รยี น ทาให้ครทู ราบว่าจะเพิ่มเตมิ ความรคู้ วามสามารถ พ้นื ฐานอะไรใหแ้ กผ่ ู้เรียนและจะเร่มิ ดาเนนิ กจิ กรรมการเรยี นรใู้ หมอ่ ย่างไรจงึ จะเช่ือมโยงความรู้ ความสามารถใหมก่ ับเดมิ ไดอ้ ย่างราบร่ืน 2. การประเมินย่อย หรอื ประเมินผลระหว่างเรยี น (Formative Evaluation) เปน็ การประเมนิ ผลในช่วงทก่ี าลังดาเนนิ กิจกรรมการเรียนร้ใู นหวั ข้อเน้อื หาต่างๆ ตามหลักสตู ร เพอ่ื พจิ ารณาว่าผ้เู รยี นแต่ละคนมีความรู้ความสามารถตามพฤติกรรมที่ระบุไวใ้ นจดุ ประสงค์ ของการเรยี นอยู่ในเกณฑผ์ า่ นหรือไม่ และครจู ะวนิ จิ ฉยั ได้ว่าใครมีจดุ เด่น จุดดอ้ ยตรงไหน ทาให้สามารถส่งเสริมหรือแก้ไขไดถ้ ูกจดุ นอกจากนยี้ ังช่วยให้ครพู ิจารณาหาจดุ ออ่ น ด้านการสนองของตนและปรับปรงุ แก้ไขได้ทนั การ 3. การประเมินผลรวม (Summative Evaluation) เป็นการประเมินผลรวบยอด หลงั จากดาเนินการสอนจนจบกลุ่มเน้ือหาท้งั หมด หรอื เม่ือผ้เู รยี นเรียนจบในรายวชิ านั้น ตัวอยา่ งเช่นการประเมนิ ผลปลายภาค หรอื ประเมินผลปลายปีในโรงเรียนเปน็ ตน้ จุดประสงค์ สาคัญของการประเมินผลรวมในสถานศกึ ษากเ็ พ่ือตดั สินผลการเรียน ซึ่งจะมหี ลักฐานการ ประเมินเป็นระดับผลการเรยี น (เกรด) ในแตล่ ะรายวิชา หากจะพจิ ารณาบทบาทของการประเมินผลท้งั 3 ลักษณะดงั กลา่ วกับรูปแบบ พ้ืนฐานของกระบวนการเรียนการสอน กจ็ ะพบว่ามีความสมั พนั ธก์ นั อยู่ 3 ชว่ ง ดงั แผนภาพ ต่อไปน้ี จุดประสงคข์ อง พฤตกิ รรมพ้นื ฐาน การจดั การเรยี นรู้ การประเมนิ ผล การเรยี นรู้ ของผูเ้ รยี น โดยสรุป ก่อนเรยี น ระหว่างเรยี น หลังเรียน การวดั ผล ประเมินผล ภาพประกอบ 1.2 แสดงความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งการวัดและประเมินผลกบั กระบวนการเรยี นรู้

12 ธรรมชาติและประโยชน์ของการวัดผลและประเมินผล การวดั ทางการศกึ ษาและจติ วิทยาเปน็ การวัดในลักษณะนามธรรมค่อนขา้ งมาก ดังน้นั เพอ่ื ทาความเข้าใจในส่ิงทีต่ ้องการ ผสู้ อนควรไดท้ าความเข้าใจเกยี่ วกบั ธรรมชาติและประโยชน์ ของการวัดทางการศกึ ษาและจิตวิทยา ดงั นี้ ธรรมชาติของการวัดและประเมนิ ผลทางการศกึ ษา 1. เป็นการวดั ทางอ้อม (Indirect Observation) กลา่ วคือ การวดั ทางการศกึ ษาหรือ จติ วทิ ยาเป็นการวดั คณุ ลักษณะทางนามธรรมซึง่ ไม่สามารถวดั หรือสังเกตไดโ้ ดยตรง การวดั ตอ้ งอาศยั ส่งิ เรา้ หรือตวั กระตนุ้ ซง่ึ อาจใช้ขอ้ คาถาม หรือข้อสอบ เพ่ือใหบ้ ุคคลตอบออกมาเปน็ ขอ้ เขยี นหรือคาพูด หรือพฤตกิ รรมทส่ี ังเกตไดเ้ พื่อทจ่ี ะนาไปแปลความหมายสิ่งที่วัดนั้น เชน่ ต้องการทราบวา่ นักเรียนมคี วามรู้ทางคณิตศาสตร์มากน้อยเพียงใด ครผู สู้ อนอาจนยิ ามวา่ ความรู้ทางคณิตศาสตร์ คือ ความสามารถในการแกส้ มการ การแกโ้ จทยป์ ัญหา และการคดิ คานวณ แล้วจึงจะสรปุ เปน็ ความร้ทู างคณติ ศาสตร์ของผู้เรยี น 2. เป็นการรวบรวมข้อมูลเพียงบางส่วนของพฤตกิ รรม หรือกลุ่มตวั อย่างของ พฤตกิ รรม เครอ่ื งมือท่ใี ชว้ ดั จึงเป็นการรวบรวมข้อมูลพฤตกิ รรมตัวอยา่ งทใี่ ช้เปน็ ตวั แทน (Representative) ของส่งิ ท่ตี ้องการวดั ท้งั หมด 3. ผลที่ไดจ้ ากการวัดเป็นคณุ ลกั ษณะในเชงิ สัมพนั ธ์ (Relative) เพราะคา่ ตวั เลขทไ่ี ด้ จากการวัดมใิ ช่คา่ สมั บูรณใ์ นตัวเอง จงึ ตอ้ งนามาเปรียบเทยี บกับผลการวดั ของบคุ คลอื่น หรือ เกณฑม์ าตรฐานท่กี าหนดไว้ เช่น นายเกง่ รักเรียน สอบวิชาคณติ ศาสตรไ์ ด้ 40 คะแนน กไ็ มส่ ามารถบอกนายเกง่ รักเรียน เรียนคณิตศาสตรเ์ ก่งหรือไม่ ตอ้ งนาผลการวัดไปสมั พนั ธ์ กับเกณฑอ์ ่ืนๆ เชน่ คะแนนเต็ม หรือคะแนนเฉลีย่ ของหอ้ งก็จะช่วยให้ความหมายเด่นชัดขน้ึ 4. การวดั มคี วามคลาดเคลอ่ื น (Error) เกดิ ขนึ้ เสมอกล่าวคือ การวัดผลการศึกษา เปน็ การวัดทางจติ วทิ ยาสิ่งท่ีวดั เป็นนามธรรม มีตัวแปรแทรกซอ้ นเขา้ มาเกย่ี วข้องมาก เช่น เครอื่ งมือวัดผลไมม่ คี ุณภาพ การดาเนนิ การสอบไมม่ คี ุณภาพ และเนอ้ื หาหรือพฤตกิ รรมท่ี ตอ้ งการศกึ ษาไมเ่ ปน็ ตวั แทนทด่ี ขี องเนือ้ หาหรือพฤติกรรมของประชากรทต่ี ้องการศกึ ษาทัง้ หมด ผลที่ได้จากการวดั ทางการศึกษาสามารถเขียนความสัมพันธด์ ังน้ี คะแนนทไี่ ด้จากการวดั = คะแนนทแี่ ท้จรงิ + คะแนนความคลาดเคลอื่ น หรอื X = T + E เมือ่ X แทน คะแนนที่ได้จากการวดั (observe score) T แทน คะแนนที่แท้จรงิ (true score) E แทน คะแนนความคลาดเคลอื่ น (error score)

13 ดังนัน้ เพือ่ ลดความคลาดเคลอื่ นดังกลา่ ว การวดั ผลการศกึ ษาจงึ ตอ้ งยดึ หลัก ทฤษฎีการวดั ทีด่ ีและพฒั นาคุณภาพของเครอื่ งมอื วัดผลเปน็ สาคัญ 5. ผลจากการวัดมีขนาดไมเ่ ท่ากนั คะแนนท่ไี ดจ้ ากการวัดผลการศึกษาที่คา่ ไมเ่ ทา่ กัน กลา่ วคือ ความสามารถของ ผู้เรยี นในการทาขอ้ สอบแต่ละขอ้ มีคา่ ไมเ่ ทา่ กนั ประโยชน์ของการวัดและการประเมินผล มหี ลายประการ (ทรงศรี ตนุ่ ทอง, 2552 : 78-79) ดังนี้ 1. เพือ่ ตรวจสอบความรู้พ้นื ฐาน การประเมินเพื่อตรวจสอบความร้พู น้ื ฐานของผู้เรยี นก่อนทจี่ ะเรม่ิ เรียนบทเรียน ใหม่ เพราะเน้ือหาบางบทเรยี นอาจตอ้ งใชค้ วามรหู้ รอื ทักษะพน้ื ฐานบางประการ ครจู งึ ตอ้ ง ตรวจสอบว่าผ้เู รยี นมีความร้หู รือทกั ษะขนั้ พนื้ ฐานมากน้อยเพยี งใด เพือ่ จะได้ปรับพนื้ ฐานของ นกั เรียนกอ่ นทจ่ี ะเรียนเร่ืองตอ่ ไป 2. เพ่ือพฒั นาการเรียนการสอน ในการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นการสอน สามารถนาผลการประเมินมา พจิ ารณาว่าการเรียนการสอนที่จะขึ้นมขี อ้ บกพรอ่ งในเรื่องใด เช่น อาจเปน็ เพยี งวิธสี อน ส่อื การสอน หรืออนื่ ๆ เพือ่ นาขอ้ มลู ทไ่ี ด้ไปเพือ่ การปรบั ปรุงการสอนในครงั้ ตอ่ ไป 3. เพอ่ื การวนิ จิ ฉันข้อบกพร่องของผ้เู รียน ในการวเิ คราะห์หาสาเหตขุ อ้ บกพร่องในการเรียนของผู้เรียนและการสอนของครู เชน่ อาจใช้แบบทดสอบวนิ จิ ฉยั ข้อบกพร่องในการเขยี นภาษาไทย ถา้ ตรวจสอบแลว้ พบว่า นกั เรยี นทาผดิ ในเร่ืองใดก็จะช่วยใหค้ รูผ้สู อนได้รขู้ ้อบกพรอ่ งของผเู้ รียนเพ่ือซอ่ มเสริมนกั เรยี น ในเร่ืองน้ันๆ ใหม้ คี ณุ ภาพย่ิงขึน้ 4. เพอ่ื ตัดสนิ ผลการเรยี น การประเมินเม่ือสิ้นสุดการเรียนการสอน หรือการประเมนิ เพอื่ สรปุ คณุ ภาพ การจัดการเรียนการสอนโดยพิจารณาว่าผเู้ รยี นเกดิ การเรยี นรตู้ ามวัตถุประสงค์ที่กาหนดได้มาก นอ้ ยเพยี งใด โดยนาผลการวดั ตลอดภาคเรยี นหรือตลอดปี ไปเพ่อื การตดั สินผลข้ันสุดทา้ ยใน รูปเกรด เชน่ A, B, C, D, E หรอื 4 3 2 1 เป็นตน้ หรือในรปู ระดับคุณภาพ เช่น ผ่าน ยอดเย่ียม – ผ่าน – ไม่ผา่ น หรอื สอบได้ – สอบตก เป็นตน้ 5. เพ่ือจัดตาแหน่งหรอื จดั ประเภท ในการประเมนิ ผลเพ่ือการจัดตาแหนง่ หรอื จดั ประเภทเปน็ การนาผลที่ไดจ้ ากการ วัดมาเปรยี บเทยี บหรือจัดอันดับความสามารถของผู้สอบในกลุม่ เดียวกัน เพื่อจะตอบว่ามี ความรคู้ วามสามารถอยูใ่ นระดบั ใดของกล่มุ เช่น ผา่ น – ไมผ่ า่ น และ เก่ง ปานกลาง อ่อน

14 6. เพอื่ ตรวจสอบพัฒนาการของผเู้ รียน การตรวจสอบพฒั นาการของผเู้ รยี น เปน็ การตรวจดวู ่าผู้เรียนมีพฒั นาการหรือ เปล่ียนแปลงไปในทางทดี่ ีขึน้ หรือไม่ โดยเปรยี บเทียบผู้เรียนคนเดยี วหรือกลุ่มเดียวกัน ในระยะเวลาทีต่ า่ งกัน เช่นก่อนเรยี นกบั หลงั เรียน 7. เพ่อื พยากรณ์หรือทานาย การพยากรณเ์ ปน็ การ นาผลจากการวัดในปัจจบุ นั ไปทานายอนาคตวา่ ผูเ้ รยี นจะ เรียนสาเร็จหรอื ไม่ ในอนาคตควรจะเรียนอะไร มักนาไปใชก้ บั การแนะนา หรอื สอบคัดเลือก เพ่อื ศึกษาต่อ อาจใช้ผลการเรียนในอดีต หรือแบบทดสอบความถนดั (aptitude test) ทานาย กไ็ ด้ 8. เพื่อประเมินคา่ การประเมนิ คา่ เป็นการประเมนิ ทีม่ ่งุ คุณภาพการศกึ ษาในภาพรวม เช่น ดคู วาม เหมาะสมของหลกั สูตรสถานศึกษา ดกู ารจัดบริการในโรงเรยี นว่าเหมาะสมหรือไม่ ข้อมูลทไ่ี ด้ จากการประเมนิ น้เี ป็นประโยชน์สาหรับผบู้ รหิ าร ใช้เพ่ือการวางแผนพฒั นาคุณภาพการศึกษา 9. เพื่อสรา้ งแรงจงู ใจในการเรียน การประเมินผลโดยเฉพาะการประเมินผลระหวา่ งเรียนสามารถนามาใช้เพ่มิ ประสิทธภิ าพการเรยี นใหส้ งู ขึน้ โดยนาผลการแจ้งให้ผเู้ รียนทราบ เพอ่ื เรา้ หรือกระตุ้นให้ ผเู้ รยี นเกิดความอยากรู้อยากเหน็ อาจใชว้ ธิ ซี ักถามหรอื กาหนดปญั หาให้ผเู้ รยี นแสวงหาความรู้ เพิ่มเตมิ ประเภทของการวัดผลและประเมนิ ผลการศึกษา การวัด (Measurement) เป็นกระบวนการสาคัญของศาสตร์ทุกแขนง โดยใน ระยะแรกการวัดถูกนยิ ามทางกายภาพ กลา่ วคอื การวัดเป็นการกาหนดตัวเลขใหแ้ กส่ ิง่ ของ หรือเหตุการณต์ ามกฎเกณฑท์ ่ีกาหนด ซงึ่ ต่อมาได้มีการนยิ ามการวัดในแง่มุมที่เชิงคุณลกั ษณะ หรือเชงิ นามธรรม (Attributes) ของสิ่งของหรือเหตกุ ารณม์ ากข้ึน 1. ประเภทของการวดั ผลเมอ่ื แบง่ ตามคุณลกั ษณะของส่งิ ท่จี ะวดั แบง่ ได้เป็น 2 ประเภท ดงั น้ี 1.1 การวดั ทางดา้ นกายภาพ (Physical Measurement) เปน็ การวัด สง่ิ ทเี่ ปน็ รูปธรรม คอื สิง่ ที่สงั เกตไดโ้ ดยตรงหรือสมั ผสั ได้ชดั เจน เช่น นา้ หนัก ส่วนสงู พ้นื ที่ ปริมาตร เป็นต้น โดยใชเ้ ครอ่ื งมือวัดทมี่ คี วามชัดเจน ผลการวดั จงึ มีความเชอ่ื ถอื ได้

15 1.2 การวดั ทางด้านจติ วิทยา (Psychological Measurement) เปน็ การวัด คุณลักษณะทีเ่ ป็นนามธรรม เช่น ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน ความสนใจในการเรียน เจตคติต่อ การเรียน ความถนดั บุคลิกภาพ เป็นต้น โดยใช้เครื่องมอื วดั ทางอ้อม ซึ่งเป็นการเชือ่ มโยง โครงสรา้ งทางความคดิ หรือคณุ ลกั ษณะเชงิ นามธรรม ของสิง่ ทีต่ อ้ งการวัดไปสตู่ ัวบ่งชี้ เชงิ ประจักษ์ทใี่ ช่บง่ บอกคุณลักษณะเชงิ นามธรรมนนั้ ๆ เปน็ เกณฑใ์ นการตรวจสอบ ดังนน้ั การวัดผลดา้ นจติ วทิ ยาน้ีจงึ มคี วามเส่ยี งตอ่ การเกดิ ความคลาดเคลอ่ื นสงู กวา่ การวดั ผล ด้านกายภาพ จากการพิจารณาการวดั ทงั้ สองประเภทดังกล่าวมีลกั ษณะทแ่ี ตกตา่ งกัน 3 ประการ ปรากฏดงั ตาราง 1.2 ตาราง 1.2 การเปรยี บเทยี บการวดั ทางดา้ นกายภาพและทางด้านจิตวทิ ยา รายการ ด้านกายภาพ ดา้ นจติ วทิ ยา 1. คุณลักษณะทจี่ ะวดั กาหนดหรือนิยามคุณลกั ษณะที่จะวดั นิยามคุณลกั ษณะไม่ชัดเจน ไดช้ ัดเจนและคงที่ เชน่ ความยาว คลุมเครอื และแปรเปลย่ี นได้ง่าย ความสูง ความเรว็ เปน็ ต้น เชน่ ความรู้ เจตคติ มีความนา่ เชื่อถอื และความไว 2. เครื่องมือทใ่ี ชใ้ นการวดั นา่ เชอื่ ถอื มคี วามไวและแม่นยา น้อยกว่าการวัดด้านกายภาพ เชน่ เครอื่ งชัง่ เทอรโ์ มมเิ ตอร์ เชน่ แบบทดสอบ ไมเ้ มตร แบบวดั เจตคติ แบบสอบถาม ผลทไี่ ดจ้ ากการวดั ไมไ่ ด้แทน 3. ผลการวัด ผลท่ีได้จากการวัดแทนจานวนหรอื จานวนหรอื ปริมาณทีแ่ ท้จริง ปรมิ าณท่ีแทจ้ ริงของส่ิงที่วัด เช่น ของสิง่ ที่วดั เช่น นายแดง นายเขยี ว สูง 175 ซม. สอบได้ 30 คะแนน ไมไ่ ดแ้ ทน หมายความว่า จานวน 175 ซม. ความรู้ท่แี ทจ้ ริง ของนายแดง แทนปรมิ าณของคุณลักษณะหรือ แต่เปน็ ตัวเลข ท่เี ก่ยี วโยง ความสูงของนายเขียวอยา่ งแท้จริง หรอื สมั พันธ์ (relative) กบั ปริมาณจรงิ เทา่ น้ัน 2. ประเภทของการประเมินผลการศึกษา การประเมนิ สามารถจาแนกไดห้ ลายประเภท ข้นึ อยวู่ า่ จะใช้อะไรเปน็ หลัก ในการจาแนก ซ่ึงพอสรุปไดด้ งั นี้

16 2.1. จาแนกตามการแปลความหมายของคะแนน 2.1.1 การประเมินแบบองิ เกณฑ์ (Criterion – reference Evaluation) เป็นการประเมนิ เพ่อื บรรยายและตัดสินความสามารถของผเู้ รยี น โดยคะแนนทไ่ี ด้จากการสอบ ไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่กาหนดไว้ แลว้ พจิ ารณาตดั สนิ ไปตามเกณฑ์ทก่ี าหนด 2.1.2 การประเมินผลแบบอิงกลุม่ (Norm – referenced Evaluation) เปน็ การประเมนิ ผลเพือ่ บรรยายและตดั สนิ ความสามารถของผเู้ รยี น โดยนาคะแนนจากการสอบ ไปเปรยี บเทียบกบั ความสามารถของกลุ่ม 2.2 จาแนกตามข้นั ตอนการเรียนการสอน การวัดและการประเมินผลการเรยี นรูส้ ามารถกระทาได้ท้ังก่อน ระหว่าง และหลงั การเรียนการสอน โดยมีจดุ มุง่ หมายท่ีแตกตา่ งกันดงั นี้ 2.2.1 การประเมินผลกอ่ นเรียน (Per–assessment or Pre–evaluation) เป็นการประเมิน โดยมจี ดุ มงุ่ หมาย เพ่อื ค้นหาขอ้ บกพรอ่ งของความรูพ้ นื้ ฐานของผูเ้ รยี น เพ่อื นาไปใช้จดั การเรียนการสอนใหส้ อดคล้องกับสภาพพ้นื ฐานของผเู้ รียนแตล่ ะบคุ คล 2.2.2 การประเมินผลระหว่างเรยี น หรือการประเมินความกา้ วหนา้ (Formative Evaluation) เป็นการประเมนิ ขณะการเรียนการสอนดาเนนิ อยหู่ รือประเมนิ หลงั การจบการเรยี นการสอนแตล่ ะหนว่ ยเพอื่ มุ่งพัฒนาการและความก้าวหนา้ ในการเรยี นรูข้ อง ผูเ้ รยี น ซง่ึ จะเป็นข้อมูลป้อนกลับเกี่ยวกับประสทิ ธิภาพการสอน เพ่อื ครผู ู้สอนจะไดน้ าไป ปรบั ปรงุ หรอื พฒั นาการจดั กจิ กรรมการเรียนร้ใู ห้มปี ระสทิ ธิภาพยิง่ ขึน้ 2.2.3 การประเมินผลรวม (Summative Evaluation) เปน็ การ ประเมนิ ผลภายหลงั ทีค่ รูไดส้ อนจนจบรายวิชาทีส่ อนแล้ว โดยมจี ุดมงุ่ หมายเพอื่ ตัดสนิ ผลการ เรียน หรอื ผลสัมฤทธข์ิ องผเู้ รียน หรอื ความรอบรตู้ ามวัตถปุ ระสงค์การเรยี นการสอนของ ผเู้ รียน 2.2.4 การประเมนิ เพ่อื วินจิ ฉยั (Diagnostic Evaluation) เปน็ การ ประเมนิ เพื่อวินิจฉยั สาเหตุของปญั หาการเรียนรู้ทีเ่ กิดข้นึ ระหว่างการเรียนการสอน การประเมินทางการศกึ ษาเป็นกระบวนการทใ่ี ชต้ รวจสอบคณุ ภาพ การจัดการเรียนรู้ โดยพิจารณาวา่ ผเู้ รียนเกิดการเรียนร้ตู ามเปา้ หมายท่กี าหนดไว้หรือไม่ และเป็นกระบวนการท่ีใช้ปรับปรุงหรือพฒั นาการเรียนรู้ หากพบวา่ ผ้เู รียนไมส่ ามารถ เกิดการเรยี นรูใ้ นเรื่องใด จะได้ปรับปรงุ แก้ไขไดท้ นั ท่วงที

17 ขั้นตอนในการวัดผลและประเมินผล การวดั และการประเมนิ ผลการเรียนรขู้ องผู้เรียนเปน็ สงิ่ ท่ีผสู้ อนต้องวางแผน การจดั กิจกรรมเพ่ือมงุ่ ตอบคาถามวา่ ทาไมต้องประเมนิ ผล ประเมินอะไร ประเมนิ อย่างไร และตดั สนิ ด้วยวธิ ีใด ดว้ ยการวดั ทางดา้ นการศกึ ษาและจติ วทิ ยาจะมจี ุดอ่อนมากกว่าการวัดทางกายภาพ จงึ มกี ารพัฒนาการวัดทางดา้ นการศึกษาและจิตวทิ ยาโดยประยกุ ต์วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ (Scientific Approach) มาใชใ้ นวธิ ีการวดั ให้น่าเชอื่ ถือยิง่ ข้นึ ปรากฏดังตาราง 1.3 ตาราง 1.3 การเปรียบเทียบการประยุกต์วธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์มาใช้กับการวัด ทางดา้ นการศึกษาและจติ วทิ ยา วธิ ที างวทิ ยาศาสตร์ การวัดด้านการศกึ ษาและจติ วิทยา 1. ขน้ั กาหนดปัญหา 1. กาหนดส่งิ ที่จะวัดในการวดั และประเมนิ ผลทางการศึกษา 2. ขัน้ นยิ ามปัญญา ต้องใช้แนวคดิ ทฤษฎเี กยี่ วกบั คุณลักษณะของสิง่ ท่ี 3. ขั้นต้ังสมมุติฐาน ตอ้ งการวดั วา่ คืออะไร โดยใหน้ ยิ ามเชิงทฤษฎี (Theoretical Definition) 4. ขั้นตรวจสอบสมมุติฐาน 5. ขัน้ สรุปผล 2. กาหนดความหมายหรอื นยิ ามปฏิบัตกิ าร (Operational Definition) ของคุณลกั ษณะสิง่ ทตี่ ้องการวัด กลา่ วคอื นาคุณลักษณะของส่ิงทตี่ ้องการวัดมากาหนดในรูป เชิงพฤติกรรมเพอื่ ให้สามารถวดั ได้ สงั เกตได้ 3. กาหนดเคร่อื งมอื ทใ่ี ช้วัด และวธิ ีการแปลความหมาย เม่อื กาหนดคุณลักษณะของสง่ิ ทต่ี อ้ งการวดั ในรปู พฤติกรรมทีส่ ามารถสังเกตได้ แลว้ เขยี นข้อคาถาม ตามพฤตกิ รรมบ่งชี้แลว้ กาหนดวธิ แี ปลความหมาย ผลการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเครอื่ งมอื ดังกล่าว 4. การดาเนนิ การวดั และการนาผลการวัดมาแปลความหมาย ตามเงอ่ื นไขทกี่ าหนด 5. การนาผลการวัดไปใช้ ซึ่งผลจากการวัดอาจนาไปเทียบ เกณฑ์มาตรฐานหรือบรรทดั ฐานของกลมุ่

18 จากตาราง 1.3 พบวา่ ขน้ั ตอนสาคัญของการวดั ทางดา้ นการศกึ ษาและจติ วิทยาทจี่ ะทา ให้ผลการวดั แตล่ ะคร้ังถูกตอ้ งเหมาะสมขึ้นอยกู่ บั ขนั้ ท่ี 2 การกาหนดความหมายหรือนยิ าม ปฏกิ ิริยาของสงิ่ ที่ต้องการวดั ขัน้ ที่ 3 การเลือกหรือสรา้ งเคร่อื งมอื ทมี่ คี ณุ ภาพและเงอื่ นไขหรือ กฎเกณฑ์ในการกาหนดตวั เลขหรอื สญั ลักษณ์ใหก้ ับผลจากการวดั อย่างไร ซึ่งจะทาให้ผลการวดั สามารถสะท้อนความถูกต้องของสิง่ ท่วี ดั ไดอ้ ยา่ งชดั เจนขึน้ ปญั หาของการวัดและประเมินผลการศกึ ษา การวดั และการประเมนิ ผลการเรียนรู้ เป็นส่งิ ที่ดาเนินการควบคไู่ ปกับการเรยี น การสอน เม่ือเกดิ การเปลย่ี นแปลงการเรียนการสอน ก็จะมีผลกระทบต่อการวดั และประเมนิ ผล การเรยี นรดู้ ว้ ยผลกระทบอาจมีสาเหตุหลายประการ (สขุ แกว้ คาสอน, 2549 : 277-278) ดังนี้ 1. ปัญหาที่เกิดจากการปฏริ ูปการศึกษา ปัจจุบนั ประเทศไทยได้มกี ารปฏริ ูปการศึกษา เพ่อื ให้ทันตอ่ การเปลย่ี นแปลง ของโลก การเรียนการสอนเนน้ ผเู้ รยี นเปน็ สาคญั การวดั และการประเมินผล เนน้ การวัด ตามสภาพจรงิ 2. ปัญหาที่เกิดจากการเปลยี่ นแปลงพระราชบญั ญตั กิ ารศึกษา ประเทศไทยได้มกี ารเปลี่ยนแปลงการศึกษาโดยมกี ารเปล่ียนแปลงพระราชบัญญตั ิ การศึกษาฉบับลา่ สุด คอื พระราชบญั ญัติการศกึ ษาพทุ ธศักราช 2542 ซ่ึงได้มีการเปลยี่ นแปลง ระบบการศกึ ษา จดุ มุง่ หมายการศึกษา หลักการศึกษา การจัดการศกึ ษา มาตรฐานการศกึ ษา การประเมินคุณภาพการศกึ ษา และอืน่ ๆ โดยจดุ มุ่งหมายของการศกึ ษา เน้นให้ผู้เรียนไดพ้ ฒั นา ใหเ้ ป็นคนท่สี มบูรณท์ ้ังกาย ใจ สตปิ ัญญา ความรแู้ ละคณุ ธรรม จดั การศกึ ษาโดยยึดหลกั การศกึ ษาตลอดชีวิต ให้สงั คมมสี ว่ นร่วมและให้มกี ารเรียนรอู้ ย่างต่อเน่ือง สง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เรียน ได้พัฒนาตามธรรมชาติ และเตม็ ศกั ยภาพ 3. ปัญหาทเี่ กดิ จากการเปล่ียนแปลงหลักสตู ร ได้มกี ารเปล่ียนแปลงจากหลักสูตรการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐานการศกึ ษา พ.ศ. 2544 เป็นหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน พ.ศ. 2551 ทีม่ งุ่ พฒั นาผเู้ รียนทกุ คนซ่ึงเปน็ กาลัง ของชาติ ใหเ้ ปน็ มนษุ ยท์ ่มี ีความสมดุลท้งั ด้านร่างกาย ความรู้ คณุ ธรรม มีจติ สานกึ ในความเปน็ พลเมอื งไทยและเป็นพลโลก ยึดม่ันในการปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอันมี พระมหากษตั ริย์ทรงเป็นประมุข มีความร้แู ละทกั ษะพ้ืนฐาน รวมทง้ั เจตคติที่จาเปน็ ต่อการศกึ ษา ตอ่ การประกอบอาชพี และการศึกษาตลอดชีพ โดยมุ่งเนน้ ผ้เู รียนเปน็ สาคัญบนพน้ื ฐาน ความเชื่อว่า ทกุ คนสามารถเรียนรแู้ ละพฒั นาตนเองได้เตม็ ศกั ยภาพ กาหนดสาระการเรยี นรู้

19 เปน็ 8 กลมุ่ กิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น มาตรฐานการเรียนรู้และเปล่ยี นแปลงเวลาเรียน สว่ นการวัด และประเมนิ ผลในชัน้ เรยี นตอ้ งการ ทราบความก้าวหนา้ ทง้ั ด้านความร้ทู ักษะ กระบวนการ คณุ ธรรม และค่านิยมอันพงึ ประสงค์ 4. ปญั หาทเ่ี กิดจากการเปลย่ี นแปลงระเบียบการวดั และประเมนิ ผลการเรียน หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน พ.ศ. 2551 ไม่ไดก้ าหนดระเบียบการวดั และการประเมิน กาหนดเพยี งแนวทางการวัดและประเมนิ ผลเทา่ นั้น โดยใหส้ ถานศกึ ษาสร้าง ระเบยี บการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ของสถานศึกษาเอง และสถานศกึ ษาต้องดาเนินการ วดั ผลและประเมนิ ผลระดับช้ันเรียน ระดับสถานศกึ ษา ระดบั ชาติ และระดบั ช่วงช้ัน ประเมินสาระการเรยี นรู้ การเรียนรู้ การอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขยี นสอ่ื ความ คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน โดยจดั ให้มคี ณะกรรมการในการประเมนิ เรอ่ื งดงั กล่าว การตัดสนิ ผลการเรียนด้านสาระการเรยี นรู้ มเี กณฑ์การประเมิน เชน่ ผา่ นดเี ย่ียม – ผ่าน – ไม่ผา่ น ได้ – ตก ร้อยละ และเป็นเกรด 0 – 4 สว่ นคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ประเมนิ เปน็ 3 ระดบั คือดีเยยี่ ม ดี และควรปรับปรงุ มีการเทียบระดบั การศึกษาและเทียบโอนผลการเรยี น ใหร้ ายงานผลการเรียนเป็นตวั เลข ตวั อักษร คา หรอื ข้อความ กราฟ เส้นแสดงพฒั นาการให้กับผูเ้ รียนและผ้ทู ี่เกี่ยวขอ้ งทราบ 5. ปัญหาที่เกิดจากผบู้ รหิ าร เนือ่ งจากมีการเปล่ยี นแปลงหลกั สูตร ให้สถานศึกษาจดั ทาระเบียบการวดั และ การประเมนิ ผลการเรยี นร้ขู องตนเอง ผ้บู ริหารบางคนไมเ่ ขา้ ใจ และไมไ่ ด้ใหค้ วามสาคัญเกย่ี วกบั การวดั และประเมนิ ผลแนวใหม่ 6. ปญั หาที่เกดิ จากผ้ไู ดร้ บั มอบหมายการประเมนิ ผล ผูท้ ่ีไดร้ บั มอบหมายให้รบั ผิดชอบการวัดประเมินผลในสถานศกึ ษา ไดแ้ กผ่ ูช้ ว่ ยผบู้ รหิ ารฝา่ ย วิชาการและฝา่ ยวัดผล ยงั ขาดความร้แู ละเทคนคิ วธิ ีการวดั ประเมินผลแนวใหม่ 7. ปัญหาที่เกดิ จากครผู สู้ อน ปญั หาทีเ่ กิดจากครูผู้สอน มีหลายประเด็น เชน่ ขาดความรู้และเทคนิควิธีการวัด และประเมินผล ไมเ่ หน็ ความสาคญั ของการวดั และการประเมนิ ผล ไมว่ างแผนการวดั และ ประเมนิ ผลไวล้ ว่ งหน้า ใชเ้ คร่ืองวัดผลไม่ถกู ตอ้ งและไมเ่ หมาะสม ขาดความรู้การสรา้ งและ การหาคณุ ภาพ เครื่องมอื ใช้ผลการประเมินไม่คมุ้ คา่ ไม่เข้าใจการวดั และประเมินผลแนวใหม่ มีภาระงานมาก ขาดจรรยาบรรณนักวัดผล เปน็ ตน้

20 ดังน้นั แนวทางการแกไ้ ข จึงควรเปิดโอกาสใหท้ กุ ฝา่ ยมีส่วนรว่ มในการวัดและ ประเมินผลการเรยี นรู้ โดยสร้างความตระหนกั จัดอบรมใหค้ วามรู้ เผยแพร่ประชาสมั พันธ์และ สร้างความเข้าใจเกีย่ วกับระเบียบการวดั และประเมนิ ผลใหก้ บั ผเู้ กี่ยวข้องทกุ คน สถานศกึ ษา จดั ทาระเบียบการวดั และประเมินผลการศกึ ษา และจดั ใหม้ รี ะบบการเก็บขอ้ มูลที่ทนั สมัย เป็นปัจจบุ ัน ตลอดจนจัดใหม้ ีการรายงานผลการเรียนใหผ้ ู้เรยี น ผ้สู อน ผปู้ กครอง และผูท้ ี่ เกย่ี วขอ้ งทกุ ฝา่ ยรับทราบอยา่ งตอ่ เนือ่ ง คุณลักษณะทด่ี แี ละจรรยาบรรณของผู้ทาหนา้ ที่ดา้ นการวดั และประเมนิ ผล คณุ ภาพของการประเมินขึ้นอยกู่ ับผทู้ าหน้าที่ประเมินผลเปน็ สาคญั เพราะผู้ทาหนา้ ท่ี ประเมนิ ผลเปรียบเสมือนผู้พพิ ากษาต้องตดั สนิ ให้คุณให้โทษผู้ถกู ประเมินหรอื ผู้เรียน หรอื ผู้เกี่ยวข้อง ดงั นนั้ ผทู้ ่ีทาหน้าทป่ี ระเมนิ ผลควรมีคุณลกั ษณะทด่ี ีและจรรยาบรรณในการวดั และประเมินผล (พิชติ ฤทธจิ์ รูญ, 2552 : 25) ดงั นี้ 1. ความยตุ ธิ รรม การประเมนิ ผลเปน็ กระบวนการทต่ี อ้ งการความยตุ ธิ รรม ในทกุ ขัน้ ตอน ผลการวดั และการประเมนิ จึงจะเชื่อถอื ได้ ดังนนั้ ผูส้ อนจึงต้องตัดสิน ด้วยความบรสิ ุทธ์ิยตุ ิธรรม เพือ่ ใหผ้ ลการประเมนิ สะทอ้ นคุณภาพผู้เรียนไดอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ 2. ความซือ่ สัตย์ ผ้ทู าหนา้ ทว่ี ดั ผลและประเมนิ ผลตอ้ งมคี วามซื่อสัตย์ไมน่ าความรู้ ความสามารถของตนไปใชใ้ นทางทจุ ริตหรือเกดิ ผลเสียหายตอ่ หนา้ ท่ี เช่น บอกข้อสอบ เปลย่ี นแปลงคะแนน หรอื ผลการเรียนโดยไมย่ ึดหลกั วิชา เป็นต้น 3. ความรับผิดชอบ ผทู้ าหนา้ ท่วี ดั ผลและประเมนิ ผลตอ้ งทางานสาเรจ็ ให้ทนั ตามกาหนดเวลา เช่น การสง่ ข้อสอบ การควบคมุ การสอบใหเ้ ปน็ ไปตามระเบียบ และการสง่ ผลการประเมนิ ตามเวลาทีก่ าหนด 4. ความละเอียดรอบคอบ การวัดผลและประเมินผลเปน็ งานทีต่ ้องใช้ความละเอยี ด รอบคอบในการวัดและการตัดสินใจ เพือ่ ใหผ้ ลการวัดและประเมนิ ผลมคี วามเทยี่ งตรง และเช่ือถือได้มากทสี่ ุด กิจกรรมทีจ่ ัดตอ้ งการความละเอียดรอบคอบ ตั้งแต่ การออกข้อสอบ การให้คะแนน การตรวจทานคะแนน การรวมคะแนน และการตดั เกรด เปน็ ต้น 5. ความอดทน ผู้ทาหนา้ ท่ีวดั ผลและประเมนิ ผลตอ้ งมีความละเอียดรอบคอบ อดทน ท่มุ เทกาลงั กาย กาลังใจ และกาลงั สติปัญญา เพอื่ ให้งานบรรลเุ ป้าหมาย เชน่ ผู้ประเมนิ ผลผู้เรยี นต้องใช้วธิ กี ารท่หี ลากหลาย เพอื่ ให้ได้ข้อมูลตามสภาพท่ีแทจ้ ริง และมคี วามครอบคลมุ โดยวิเคราะห์คณุ ภาพของขอ้ สอบเปน็ รายข้อและการนาผลการวดั และประเมินผลไปปรับปรงุ และพัฒนาการเรียนการสอน เปน็ ตน้

21 6. ความรู้และสนใจใฝร่ ใู้ นหลกั วชิ าการวดั ผลและประเมนิ ผล เนื่องจาก การวัดผลและประเมินผลเป็นวชิ าชพี ที่มวี ิทยาการเกิดขึ้นใหม่ๆ เสมอ ผูท้ าหน้าท่ีวัดผลและ ประเมนิ ผลจาเปน็ ต้องสนใจใฝร่ ู้เก่ยี วกับการวดั ผลและประเมินผล เพื่อพฒั นางานและวชิ าชพี ของตนเองใหม้ ปี ระสิทธิภาพยง่ิ ขน้ึ ดังนน้ั การวดั และประเมินผลจะตอ้ งมีคุณลกั ษณะทีด่ แี ละจรรยาบรรณควบคู่กันไป ซ่ึงจะทาให้มีความยตุ ธิ รรม ความซอ่ื สัตย์ ความรบั ผดิ ชอบ ความระเอยี ดรอบคอบ ความอดทน และความใฝ่รู้ ซึ่งจะทาให้วิชาชีพแข็งแกร่ง และเปน็ ทีย่ อมรับของสังคมเป็นอย่างดยี ง่ิ สรุป การทดสอบเปน็ กระบวนการที่เปน็ ระบบในการใช้เคร่อื งมอื เพ่ือให้ไดข้ อ้ มลู เพื่อการบรรยายหรืออธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ เปา้ หมายสาคญั ของการทดสอบคือ ไดผ้ ลการทดสอบถูกต้อง แม่นยา โดยลดความคลาดเคลอ่ื นจากแหล่งต่างๆ ใหน้ อ้ ยทีส่ ุด การวดั ผลเป็นกระบวนการบ่งชผี้ ลผลิตหรือคณุ ลักษณะของสง่ิ ทีว่ ดั โดยกาหนดเป็นตวั เลข ตามกฎเกณฑ์ทกี่ าหนด การประเมนิ ผลเปน็ การจัดรวบรวมขอ้ มูลและจดั ขอ้ มูลเพ่อื ใช้ ในการตดั สนิ ใจเกีย่ วกับคุณค่าของสิ่งที่วดั ได้ ธรรมชาตขิ องการวัดผลเป็นการวัดผลทางอ้อม เปน็ การวดั ทไ่ี ม่สมบูรณ์ เปน็ การวดั เชิงสัมพัทธ์ มคี วามคลาดเคล่ือนในการวัดและมาตรวดั มีขนาดไมเ่ ท่ากัน การวดั ผลมบี ทบาท ต่อการศกึ ษายงิ่ จาเปน็ ตอ้ งใชเ้ ครอ่ื งมอื ทมี่ ีคุณภาพ แปลผลได้ถูกต้อง ซ่งึ จะสมั พนั ธ์กับ การประเมินเปน็ ข้อมูลพน้ื ฐานทีท่ าใหร้ ู้จักผ้เู รยี น จากการประเมนิ ผลยอ่ ยและการประเมนิ ผล รวม การวดั ผลทีด่ ตี ้องวดั ไดต้ รงจุดประสงคท์ ต่ี ้องการจะวดั ใช้เคร่อื งมอื ทีม่ ีคณุ ภาพ แปลผลไดถ้ ูกต้อง วัดครอบคลมุ ท้ัง 3 ดา้ น คือ ด้านพุทธิพิสยั ด้านจติ พิสัย และด้านทกั ษะพิสัย โดยประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ ใชเ้ ครอื่ งมอื ทีห่ ลากหลาย บนพื้นฐานของคุณลกั ษณะท่ดี ี และมจี รรยาบรรณของนักวดั ผลและประเมินผลท่ีดี

22 คาถามทา้ ยบท 1. จงบอกความหมายของการทดสอบ การวดั ผล และการประเมนิ ผล 2. การวัดและการประเมินผลมปี ระโยชนอ์ ย่างไรตอ่ กระบวนการเรยี นรู้ 3. จงอธบิ ายธรรมชาตแิ ละประโยชนข์ องการวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา 4. จงบอกปรชั ญาของการวัดและประเมินผลการศกึ ษา 5. จากรายการตอ่ ไปน้ี ข้อใดเป็นการวดั ผล (measurement) และข้อใดเปน็ การ ประเมินผล (evaluation) เพราะเหตุใด ก. เด็กหญงิ ชมพ่สู อบวชิ าคณติ ศาสตร์ได้ 70 คะแนน ข. เด็กหญิงแตงกวา สอบวชิ าภาษาไทย ได้ 85 เปอรเ์ ซ็นต์ ค. เดก็ ชายมะตมู มนี ิสยั การเรยี นท่ไี มด่ ี ง. เดก็ หญงิ มะปรางอา่ นภาษาองั กฤษดีข้ึน 6. จงอธบิ ายจดุ ม่งุ หมายและความสาคัญของการประเมนิ ผลระหวา่ งเรียน และการประเมินผลรวมสรปุ 7. จากคากล่าว “การวดั ผลเปน็ ส่วนหนึ่งของการจัดการเรียนรู้” ทา่ นเขา้ ใจวา่ อยา่ งไร จงอธบิ าย 8. ผูท้ าหน้าท่ดี ้านการวัดและประเมินผล ควรมคี ุณลกั ษณะท่ดี แี ละมจี รรยาบรรณอยา่ งไร

23 เอกสารอ้างอิง ชวาล แพรัตกุล. (2552). เทคนคิ การวดั ผล. พิมพค์ รั้งที่ 7. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์ วฑิ รู ยก์ ารปก. ทรงศรี ต่นุ ทอง. (2552). เอกสารประกอบการสอน “การวิจัยและประเมนิ ผลการศึกษา”. ลพบุรี : คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเทพสตรี. บญุ ชม ศรสี ะอาด. (2543). การวจิ ยั เบอื้ งตน้ . กรุงเทพฯ : สวุ ีรยิ าสาสน์ . บุญธรรม กิจปรดี าบริสุทธ์ิ. (2535). การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นการสอน. กรุงเทพฯ : สามเจรญิ พานชิ . ปิ่นวดี ธนธานี. (2550). เอกสารประกอบการสอน “การวดั และประเมนิ ผลการศึกษา”. นครปฐม : คณะครศุ าสตร์มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครปฐม. พิชติ ฤทธจ์ิ รูญ. (2552). หลกั การวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา. พิมพค์ รัง้ ท่ี 5. กรุงเทพฯ : เฮ้าส์ ออฟ เคอร์มิสท์. ภัทรา นคิ มานนท์. (2540). การประเมนิ ผลการเรียน. กรุงเทพฯ : อักษรการพมิ พ์. เยาวดี วิบูลย์ศรี. (2540). การวดั ผลและการสร้างแบบสอบผลสัมฤทธ์ิ. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . ส.วาสนา ประวาลพฤกษ์. (2544). คมู่ ือการอบรมเชิงปฏบิ ตั ิการเพื่อพัฒนาบุคลากรทาง การศกึ ษา เร่อื งหลักการและเทคนิคการประเมนิ ทางการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : บริษัทเดอะมาสเตอร์กรปุ๊ แมเนจเมนท์ จากดั . สขุ แกว้ คาสอน. (2549). ทฤษฎีการวัดและการทดสอบ. พษิ ณโุ ลก : คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั พบิ ูลสงคราม. สมคดิ พรมจยุ้ . (2544). เทคนคิ การประเมินโครงการ. (พิมพ์ครง้ั ท่ี 3). นนทบรุ ี : มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช. อทุ มุ พร จามรมาน. (2530). การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นการสอนระดบั อดุ มศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : ฟนั น่พี บั ลชิ ช่ิง. Ebel, R.L. (1979). Essentials of Education Measurement. 3rd ed. Englewood Cliffs,N.J. Prentice-Hall. Guskey, Thomas R. (2000). Evaluating professional development. California : Corwin Press. Sax, Gilbert. (1989). Principles of Educational and Psychological Measurement and Evaluation. 3rd ed. United states : Wadsworth Publishing Company Inc.

24 Wiersma, William and Jurs Stephen G. (1990). Educational and Psychological Measurement and Evaluation. New Jersy : Prentice-Hall, Inc. Wiggins, Grant. (1998). Educative Assessment : Designing Assessments to Inform and Improve Student Performent. San Francisco : Jossey-Bass Publishers.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook