Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Lavender Buildings Social Media Report (2)

Lavender Buildings Social Media Report (2)

Published by Kuiskanda Loji, 2021-03-12 06:47:43

Description: Lavender Buildings Social Media Report (2)

Search

Read the Text Version

รายงาน ทฦษฏีสี จดั ทําโดย : นาย กอู สิ กัลดา ลอจิ นกั ศึกษาช้ันประกาศณยี บตั รวิชาชพี ชน้ั ท่ี 2 อนุมัตโิ ดย: นาย ฉตั รชัย ธรรมรตั น ผดู ําเนนิ การสอนวชิ าทฤษฎสี ี //

// 02 ทฤษฎสี ี สี(COLOUR) หมายถึง ลักษณะกระทบตอ สายตาใหเห็นเปน สีมีผลถงึ จติ วิทยา คอื มีอาํ นาจใหเกดิ ความเขม ของแสงทอี่ ารมณและความรูสกึ ได การทไี่ ด เห็นสีจากสายตาสายตาจะสงความรสู กึ ไปยงั สมองทาํ ใหเกดิ ความรูส กึ ตา งๆตามอิทธพิ ลของสี เชน สดช่ืน รอน ตน่ื เตน เศรา สมี คี วามหมายอยา งมาก เพราะศิลปนตองการใชสเี ปนสือ่ สรา งความประทับใจในผลงาน ของศลิ ปะและสะทอนความประทบั ใจน้ันใหบงั เกิดแกผูดมู นษุ ยเกี่ยวขอ งกับสีตา งๆ อยตู ลอดเวลาเพราะทกุ ส่งิ ทอี่ ยรู อบตัวน้ันลว นแตม สี ีสนั แตกตา งกนั มากมาย สเี ปนสิ่งทีค่ วรศึกษาเพ่อื ประโยชนกับตนเองและผูสรา งงาน จิตรกรรมเพราะ เรื่องราวองสนี น้ั มหี ลกั วิชาเปนวทิ ยาศาสตรจงึ ควรทาํ ความเขา ใจ วิทยาศาสตร ของสจี ะบรรลผุ ล สําเรจ็ ในงานมากขึ้น ถาไมเ ขา ใจเรือ่ งสีดพี อสมควร ถา ไดศ ึกษาเรอ่ื งสดี ีพอแลว งานศิลปะกจ็ ะประสบความสมบูรณ เปน อยางย่ิง คําจาํ กัดความของสี 1. แสงท่ีมคี วามถ่ีของคลืน่ ในขนาดทตี่ ามนุษยสามารถรบั สมั ผัสได 2. แมส ที เ่ี ปน วตั ถุ (PIGMENTARY PRIMARY) ประกอบดว ย แดง เหลืองนาํ้ เงิน 3. สที ี่เกิดจากการผสมของแมส ี ประวัตคิ วามเปนมาของสี สแี ท (HUE) คือ สีท่ียังไมถูกสีอนื่ เขาผสม เปน ลักษณะของสีแทท ่มี คี วามสะอาดสดใส เชน แดง เหลือง นํ้าเงนิ สีออ นหรือสีจาง (TINT) ใชเรยี กสแี ททีถ่ กู ผสมดว ยสีขาว เชน สเี ทา, สชี มพู สแี ก (SHADE) ใชเรยี กสีแทท ถ่ี กู ผสมดว ยสดี าํ เชน สีนาํ้ ตาล ทฤษฎีสี ส(ี COLOUR) หมายถึง ลกั ษณะกระทบตอสายตาใหเ หน็ เปน สมี ีผลถงึ จติ วิทยา คือมอี าํ นาจใหเกดิ ความเขม ของแสงที่อารมณแ ละความรูส ึกได การทไ่ี ด เหน็ สีจากสายตาสายตาจะสง ความรูสึกไปยงั สมองทําใหเ กดิ ความรูสึก ตา งๆตามอทิ ธิพลของสี เชน สดช่นื รอ น ต่ืนเตน เศรา สมี ีความหมายอยา งมาก เพราะศิลปน ตอ งการใชสเี ปนสอ่ื สรา งความประทับใจในผลงาน ของศิลปะและสะทอ นความประทับใจนน้ั ใหบ งั เกดิ แกผดู มู นษุ ยเ กยี่ วของกบั สีตางๆ อยูตลอดเวลาเพราะทุกสง่ิ ที่อยูรอบตัวน้ันลวนแตม สี สี นั แตกตางกนั มากมาย สเี ปน สง่ิ ที่ควรศึกษาเพอื่ ประโยชนกับตนเองและผสู รา งงาน จิตรกรรมเพราะ เรื่องราวองสีน้ันมีหลกั วิชาเปน วทิ ยาศาสตรจ งึ ควรทําความเขาใจ วิทยาศาสตร ของสีจะบรรลผุ ล สาํ เร็จในงานมากขึน้ ถา ไมเ ขา ใจเรื่องสดี ีพอสมควร ถา ไดศกึ ษาเร่ืองสีดพี อแลว งานศลิ ปะกจ็ ะประสบความสมบูรณ เปน อยา งย่ิง คําจํากัดความของสี 1. แสงท่ีมีความถี่ของคลืน่ ในขนาดทต่ี ามนษุ ยส ามารถรบั สัมผัสได 2. แมสีทีเ่ ปน วตั ถุ (PIGMENTARY PRIMARY) ประกอบดวย แดง เหลืองนํา้ เงิน 3. สที ่เี กิดจากการผสมของแมส ี ประวตั ิความเปน มาของสี สแี ท (HUE) คอื สีทีย่ ังไมถ กู สีอืน่ เขา ผสม เปนลกั ษณะของสแี ททม่ี คี วามสะอาดสดใส เชน แดง เหลือง นา้ํ เงนิ สอี อ นหรือสจี าง (TINT) ใชเรียกสแี ทที่ถกู ผสมดวยสีขาว เชน สเี ทา, สชี มพู สแี ก (SHADE) ใชเ รียกสแี ทท่ีถูกผสมดวยสดี ํา เชน สีน้าํ ตาล

// 03 แมส ี (PRIMARIES) แมส ี คือ สที ่นี าํ มาผสมกนั แลวทาํ ใหเ กิดสใี หม ทมี่ ีลักษณะแตกตา งไปจากสีเดิม แมสี มอื ยู 2 ชนดิ คอื 1. แมส ขี องแสง เกิดจากการหกั เหของแสงผานแทง แกวปรซิ มึ มี 3 สี คอื สีแดง สเี หลือง และสีนํา เงนิ อยใู นรปู ของแสงรงั สี ซึ่งเปนพลังงานชนดิ เดียวที่มสี ี คณุ สมบตั ขิ องแสงสามารถนาํ มาใช ในการถายภาพ ภาพโทรทศั น การจดั แสงสี ในการแสดงตาง ๆ เปน ตน 2. แมสวี ัตถุธาตุ เปน สีทไ่ี ดมาจากธรรมชาติ และจากการสงั เคราะหโดยกระบวน ทางเคมี มี 3 สี คือ สแี ดง สีเหลือง และสีนาํ เงนิ แมส ีวัตถธุ าตเุ ปน แมส ีท่นี ํามาใช งานกนั อยางกวางขวาง ในวงการศลิ ปะ วงการ อตุ สาหกรรม ฯลฯ แมส วี ตั ถุธาตุ เมอ่ื นาํ มาผสมกนั ตามหลักเกณฑ จะทาํ ใหเกดิ วงจรสี ซ่งึ เปน วงสี ธรรมชาติ เกดิ จากการผสมกนั ของแมสีวัตถธุ าตุ เปนสีหลกั ทใี่ ชงานกันทั่วไป ใน วงจรสี จะแสดงสิ่งตา ง ๆ ดังตอ ไปนี้ วงจรสี (ColourCircle) สขี ้นั ที่ 1 : คือ แมส ี ไดแก สีแดง สีเหลอื ง สีนาํ เงนิ สีขั้นที่ 2 : คือ สที ี่เกดิ จากสีข้นั ท่ี 1 หรือแมสผี สมกนั ในอตั ราสวนทเ่ี ทา กนั จะทาํ ให เกิดสใี หม 3 สี ไดแก สแี ดง ผสมกับสเี หลือง ไดสี สม สแี ดง ผสมกบั สนี าํ เงนิ ไดสมี ว ง สีเหลือง ผสมกับสีนาํ เงนิ ไดสีเขยี ว สีขั้นท่ี 3 : คอื สที ี่เกิดจากสขี ัน้ ที่ 1 ผสมกับสขี ัน้ ที่ 2 ในอัตราสว นท่เี ทา กนั จะไดส ีอ่นื ๆ อกี 6 สคี อื สีแดง ผสมกบั สีสม ไดส ี สม แดง สีแดง ผสมกับสมี ว ง ไดสีมวงแดง สีเหลอื ง ผสมกบั สีเขียว ไดส เี ขยี วเหลือง สีนําเงิน ผสมกบั สีเขยี ว ไดส ีเขยี วนาํ เงนิ สนี ําเงิน ผสมกบั สมี วง ไดสี มว งนาํ เงนิ สีเหลือง ผสมกับสสี ม ไดส ีสมเหลอื ง วรรณะของสี คือสที ่ใี หความรูสึกรอ น-เยน็ ในวงจรสจี ะมีสรี อ น 7 สี และ สีเย็น 7 สี ซึ่งแบงท่ี สีมว งกับสี เหลือง ซ่ึงเปน ไดท งั้ สองวรรณะ

// 04 แมส วี ัตถุธาตุ (PIGMENTARY RRIMARIES) แมสวี ตั ถุธาตนุ ้ันหมายถึง “วตั ถุทมี่ สี อี ยูในตัว” สามานํามาระบาย ทา ยอมและผสมได เพราะมีเนื้อสแี ละสเี หมือนตัวเอง เรียกอีกอยา งหนึ่งวา แมส ขี องชางเขยี นสตี า งๆจะเกิดขึ้น มาอกี มากมาย ดว ยการผสมของแมส ีซงึ่ มีอยูด ว ยกัน 3 สคี ือ 1. นา้ํ เงิน (PRUSSIAN BLUE) สะทอ นรังสขี องสีน้าํ เงนิ ออกมาแลว ดงึ ดูดเอาสแี ดงกบั สีเหลืองเขา มา แลว ผสมกันกจ็ ะกลายเปน สสี ม ซึ่งเปน คสู ขี องสีนํา้ เงนิ 2. แดง (CRIMSON LEKE) สะทอนรงั สีของสแี ดงออกมาแลว ดงึ ดูดเอาสีนํา้ เงนิ กับสีเหลอื ง ซึง่ ตา ง ผสมกัน ในตวั แลว กลายเปน สีเขียวอันเปนคูส ขี องสแี ดง 3. เหลือง (GAMBOGE TINT) สะทอนรังสขี องสีเหลืองออกมาแลวดงึ ดูดเอาสีแดงกับสีนํ้าเงินซงึ่ ผสมกนั ในตวั แลวกลายเปน สีมวง อันเปน คูส ขี องสเี หลือง ระบบสี RGB ระบบสี RGB เปนระบบสขี องแสง ซงึ่ เกดิ จากการหกั เหของแสงผา นแทงแกว ปริซมึ จะเกิดแถบสีที่เรยี กวา สรี งุ ( Spectrum ) ซง่ึ แยกสตี ามทสี่ ายตามองเหน็ ได7 สี คือ แดง แสด เหลอื ง เขียว นาํ้ เงิน คราม มวง ซ่ึงเปนพลงั งานอยใู นรูปของรังสี ทมี่ ชี ว งคล่ืนทสี่ ายตา สามารถมองเห็นได แสงสีมว งมคี วามถ่ีคลื่นสูงทส่ี ดุ คล่นื แสงทม่ี ีความถี่สูงกวาแสงสีมวง เรียกวา อลุ ตราไวโอเลต ( Ultra Violet ) และคลนื่ แสงสแี ดง มคี วามถ่คี ลื่นต่าํ ที่สดุ คล่ืนแสง ที่ตาํ่ กวาแสงสีแดงเรียกวา อินฟราเรด ( InfraRed) คล่นื แสงที่มคี วามถี่สงู กวาสีมว ง และตํ่า กวาสแี ดงน้ัน สายตาของมนษุ ยไมสามารถรับได และเมอ่ื ศึกษาดแู ลว แสงสีทงั้ หมดเกดิ จาก แสงสี 3 สี คือ สแี ดง ( Red ) สนี ้าํ เงิน ( Blue)และสเี ขยี ว ( Green )ท้งั สามสถี อื เปนแมสี ของแสง เมอ่ื นาํ มาฉายรวมกันจะทําใหเกดิ สใี หม อกี 3 สี คือ สแี ดงมาเจนตา สีฟา ไซแอน และสเี หลือง และถาฉายแสงสีทัง้ หมดรวมกนั จะไดแ สงสีขาว จากคณุ สมบัตขิ องแสงนี้เรา ไดน ํามาใชประโยชนท่ัวไป ในการฉายภาพยนตร การบันทกึ ภาพวิดีโอ ภาพโทรทัศน การสรา งภาพเพือ่ การนําเสนอทางจอคอมพิวเตอร และการจดั แสงสีในการแสดง เปนตน

// 05 การผสมสี วตั ถุธาตุ แมสวี ตั ถุธาตุ แดง เหลอื ง และสีน้าํ เงนิ น้ัน ผสมกันแลวเกิดสขี น้ึ อกี หลายสีแมสีวัตถุธาตุ (PIGMEMPAR Y PRIMARIES) หรอื เรียกอีกอยาง หนง่ึ วาสขี ัน้ ทห่ี น่ึง ขันที 1 คือสี 1. นาํ เงิน (PRUSSIAN BLUE) 2. แดง (CRIMSOM LEKE) 3. เหลือง (GAMBOGE TINT) แม่สีทังสามถ้านาํ มาผสมกัน จะไดัเปนสีกลาง (NEUTRAL TINT) สีขันที 2 (SECONTARY HUES) เกิดจากการนาํ สีแท้ 2 สีมาผสมกันในปริมาณ เท่ากันจะเกิดสีใหม่ขึนนาํ เงิน ผสม แดง เปน ม่วง (VIOLET) นาํ เงิน ” เหลือง ” เขียว (GREEN) แดง ” เหลือง ” ส้ม (ORANGE) สีขันที 3 (TERTIARY HUES) เกิดจากการผสมสีขันที 2 กับแม่ (สีขันที 1) ได้ สีเพิมขึนอีกคือ เหลือง ผสม เขียว เปน เขียวอ่อน (YELLOW – GREEN) นาํ เงิน ” เขียว ” เขียวแก่ (BLUE – GREEN) นาํ เงิน ” ม่วง ” ม่วงนาํ เงิน (BLUE – VIOLET) แดง ” ม่วง ” ม่วงแก่ (RED – VIOLET) แดง ” ส้ม ” แดงส้ม (RED – ORANGE) เหลือง ” ส้ม ” ส้มเหลือง (YELLOW – ORANGE)

// 06 แผนภาพสรุปวงจรสกี ารผสมกนั ของแมสชี า งเขียนไดส อี ยู 3 ขน้ั ดงั น้ี สขี ั้นที่ 1 (Primary Color) ไดแก สีแดง สเี หลอื ง สีน้าํ เงนิ สีขั้นท่ี 2 (Secondary Hues) เปนการนาํ เอาแมสีมาผสม กันในปริมาณเทา ๆ กนั จะไดส ใี หมอกี 3 สี ดังนี้ สีแดง ผสมกบั สีเหลือง เปน สีสม สีแดง ผสมกับ สนี าํ้ เงนิ เปน สีมว ง สเี หลืองผสมกบั สนี ้ําเงิน เปน สีเขยี ว สีขันที 3 (TERTIARY HUES) เกิดจากนาํ เอาแม่สีมาผสมกับสีขันที 2 โดยจะได้สีใหม่เพิมอีก 6 สี ดังนี สีแดง ผสม สีม่วง เปน สีม่วงแดง สีแดง ผสม สีส้ม เปน สีส้มแดง สีเหลือง ผสม สีส้ม เปน สีส้มเหลือง สีเหลือง ผสม สีเขียว เปน สีเขียวเหลือง สีนาํ เงิน ผสม สีม่วง เปน สีม่วงนาํ เงิน สีนาํ เงิน ผสม สีเขียว เปน สีเขียวนาํ เงินสีขันที 3 (TERTIARY HUES) เกิดจากนาํ เอาแม่สีมาผสมกับสีขันที 2 โดยจะได้สีใหม่เพิมอีก 6 สี ดังนี สีแดง ผสม สีม่วง เปน สีม่วงแดง สีแดง ผสม สีส้ม เปน สีส้มแดง สีเหลือง ผสม สีส้ม เปน สีส้มเหลือง สีเหลือง ผสม สีเขียว เปน สีเขียวเหลือง สีนาํ เงิน ผสม สีม่วง เปน สีม่วงนาํ เงิน สีนาํ เงิน ผสม สีเขียว เปน สีเขียวนาํ เงิน

// 07 วรรณะของสี วรรณะของสี คอื สที ใี่ หความรูส กึ รอน-เยน็ ในวงจรสจี ะมสี รี อน 7 สี และสเี ยน็ 7 สี ซ่งึ แบง ท่ี สีมวงกบั สเี หลือง ซงึ่ เปน ไดท งั้ สองวรรณะ แบง ออกเปน 2 วรรณะ 1.วรรณะสรี อ น (WARM TONE) ประกอบดว ยสเี หลอื ง สีสม เหลือง สีสม สสี มแดง สีมว งแดงและสีมวง สใี น วรรณะรอ นน้ี จะไมใชส สี ดๆ ดงั ทเ่ี ห็นในวงจรสีเสมอไป เพราะสใี นธรรมชาตยิ อ มมีสีแตกตา งไปกวา สใี นวงจรสีธรรมชาตอิ ีกมาก ถาหากวาสใี ด คอน ขางไปทางสแี ดงหรือสีสม เชน สนี ํา้ ตาลหรอื สีเทาอมทอง ก็ถือวาเปน สีวรรณะรอ น 2.วรรณะสีเย็น (COOL TONE) ประกอบดว ย สเี หลอื ง สเี ขียวเหลอื ง สีเขยี ว สเี ขียวนํ้าเงิน สีนาํ้ เงิน สีมว งนา้ํ เงิน และสีมว ง สวนสีอ่นื ๆ ถาหนักไปทางสีน้ําเงินและสเี ขียวก็เปน สีวรรณะเย็นดงั เชน สเี ทา สดี าํ สเี ขยี วแก เปนตน จะสังเกตไดวา สีเหลืองและสมี ว งอยู ทั้งวรรณะรอ นและวรรณะเยน็ ถา อยูในกลุม สวี รรณะรอ นกใ็ หค วามรูสกึ รอนและถา อยใู นกลมุ สวี รรณะเยน็ กใ็ หความรสู ึกเย็นไปดวย สี เหลืองและสีมว งจงึ เปนสีไดท ั้งวรรณะรอนและวรรณะเย็น *สีเพ่มิ น้ําหนกั ขึ้นดวยการใชสีดําผสม ( shade)

// 08 วรรณะของสี วรรณะสีรอน (Warm Tone) วรรณสรี อนมอี ยู 7 สี ไดแ กม วง มวงแดง แดง แดงสม สม สม เหลือง เหลือง สกี ลุม นี้เม่อื ใชในงานจะรูสึกอบอุน รอนแรง สนกุ สนาน เป็ นตน สมแดง น้าํ เงินเขยี ว เขียว สวี รรณแะดเงยน็ เขยี วเหลอื ง มว งแดง วรรณะสเี ย็น (Cold Tone) วรรณสเี ย็นมอี ยู 7 ชนิด ไดแ กสีเหลอื ง เหลืองเขยี ว เขียว เขียว น้ําเงนิ น้ําเงนิ น้ําเงินมวง มว ง สีกลมุ นี้เม่ือใชในงานจะไดค วามรสู กึ สดช่ืน เย็นสบาย เป็นตน

// 09 ความหมายของสี

//


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook