ความเหมือน ความแตกตา่ งของที่มา การใหค้ วามเห็นชอบรายชอ่ื และการแตง่ ต้งั ตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู ตามบทบัญญตั ขิ อง 49 รา่ งรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช .... และบทบัญญตั ิของรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ บรรณานุกรม ส่ืออิเล็กทรอนกิ ส์ “ประกาศคณะรกั ษาความสงบแห่งชาติ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการรา่ งรฐั ธรรมนญู .” สืบค้น เมือ่ ๕ ธนั วาคม ๒๕๕๙, จาก http://www.ratchakitcha.soc.go.th/RKJ/ announce/search.jsp “รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐.” สืบคน้ เม่อื ๑ ธนั วาคม ๒๕๕๙, จาก www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2540/A/055/1.PDF “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐.” สบื คน้ เมอ่ื ๑ ธันวาคม ๒๕๕๙, จาก www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2550/A/055/1.PDF “ร่างรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช .... โดยคณะกรรมการร่างรฐั ธรรมนูญ ฉบับลงวนั ท่ี ๒๙ มนี าคม ๒๕๕๙. สืบคน้ เมอ่ื ๕ ธันวาคม ๒๕๕๙, จาก http://www.parliament.go.th/ewtcomittee/ewt/draftconstitution2/ewt_dl_link. php?nid=429&filename=index Basic Law 1949 Constitution of the Kingdom of Spain 1978 The Constitution of the Republic of Italy 1948
ท่มี า: https://www.nytimes.com รัฐประหารท่ีลม้ เหลวในตุรก:ี ผลลัพธ์และกระแสสะทอ้ นกลบั ชชู าต ิ พฒุ เพง็ * บทนำ� การก่อรัฐประหารในตุรกีเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ นับเป็นเหตุการณ์ สำ�คัญที่ต้องจารึกบนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองของสาธารณรัฐตุรกีอีกครั้งหนึ่ง เมื่อคณะทหาร กลุ่มหนึ่งพยายามก่อรัฐประหาร โดยหวังยึดอำ�นาจโค่นล้มรัฐบาลท่ีมาจากการเลือกตั้ง แต่ความพยายามก่อรัฐประหารดังกล่าวต้องจบลงด้วยความล้มเหลวอย่างรวดเร็ว ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวเกือบมีผลทำ�ให้ทิศทางการบริหารประเทศเกิดความเปล่ียนแปลง ฝา่ ยบรหิ ารท่ีน�ำ โดยพรรคความยุติธรรมและการพัฒนา (Justice and Development Party) * นักวเิ ทศสมั พนั ธช์ �ำ นาญการ กลมุ่ งานภาษาสเปน เยอรมนั และอาหรบั สำ�นักภาษาตา่ งประเทศ สำ�นักงานเลขาธกิ ารสภาผู้แทนราษฎร
รัฐประหารทีล่ ้มเหลวในตุรก:ี ผลลพั ธ์และกระแสสะท้อนกลับ 51 ทีม่ า: https://www.isvecgundemi.com บรรดาผู้น�ำ เหลา่ ทพั ร่วมกอ่ รฐั ประหารในตุรกีเมอ่ื วนั ท่ี ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ ดูเหมือนว่าแผนการก่อรัฐประหารรู้จักกันภายใต้ชื่อที่เรียกขานหนาหูว่า เป็น “โอกาสสุดท้าย” และกำ�หนดเป้าหมายเพ่ือตีกรอบและทดสอบการบริหารงาน ของพรรครัฐบาลและนโยบายของพรรค โดยมุ่งหวังให้เกิดการเปล่ียนแปลงสู่การชูบทบาท ของทหารท่ียึดอำ�นาจสำ�เร็จบนสถานะความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ (sovereignty) ซ่ึงมีอำ�นาจเบ็ดเสร็จ ทางการเมืองการปกครองของประเทศ และเพ่ือให้ตุรกีมีรูปแบบการปกครองแบบรัฐโลกวิสัย (Secular state) ท่ีแยกการเมืองออกจากศาสนาโดยสมบูรณ์๑ และยุติแนวคิดการปกครอง แบบอิสลามสายกลางที่พรรครัฐบาลปัจจุบันยึดถือเป็นหลักการปกครองประเทศ รวมถึง เพื่อสกัดก้ันความมุ่งหวังของรัฐบาลเออร์โดกันที่ต้องการให้ตุรกี บรรลุสู่การเป็นศูนย์กลางอำ�นาจในภูมิภาค (เอเชียตะวันตก และยุโรป) เชิงการเมืองระหว่างประเทศให้ปรับเปลี่ยนสู่ การสร้างมายาคติเดิมท่ีฉายภาพกึ่งสันโดษเป็นเอกเทศตาม นโยบายต่างประเทศแบบรัฐปอ้ งกันตนเอง (self-defense state) โดยแยกอิสระจากภารกิจและพันธกิจร่วมของพันธมิตร ในองค์กรระหวา่ งประเทศทีม่ อี ยทู่ ัง้ หมด ท่มี า: https://www.thairath.co.th ประธานาธบิ ดเี รเซป เทย์ยิป เออรโ์ ดกนั หวั หนา้ พรรคความยตุ ธิ รรมและการพฒั นา ๑ แถลงการณ์ของคณะรัฐประหารอ้างเหตุผลเพ่ือต้องการเปล่ียนแปลงแนวทางการปกครอง ประเทศแบบรัฐท่แี ยกจากศาสนา
52 รฐั สภาสาร ปที ่ี ๖๕ ฉบบั ที่ ๒ เดือนกุมภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ ฉะน้ัน การติดตามผลสะท้อนจากการปฏิวัติที่ล้มเหลวในตุรกีถือเป็นเรื่อง สำ�คัญมาก เนื่องจากมีหลายปัจจัยท่ีกลายเป็นประเด็นเก่ียวข้องสามารถสะท้อนดรรชนีบ่งชี้ ให้เห็นภาพแสดงในหลายมิติ ดังนั้นเอกสารบทความนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์ดรรชนี ความเปลี่ยนแปลงในมิติด้านสังคมและการเมืองที่กลายเป็นปัจจัยสนับสนุนรัฐบาลท่ีมาจาก การเลือกต้ังให้ได้รับชัยชนะเหนือกองทัพท่ีก่อรัฐประหารในท่ีสุด แม้ความเป็นประชาธิปไตย ยังดำ�เนินต่อไป แต่ผลกระทบด้านลบที่สำ�คัญยังคงฉายให้เห็นสถานการณ์ความม่ันคงในตุรกี อย่างต่อเน่ือง เพราะหลังการก่อรัฐประหารคร้ังน้ีเป็นเหตุทำ�ให้ทางการต้องจับกุม ผู้มีส่วนพัวพันกับการก่อรัฐประหารในครั้งนี้ อาทิ ผู้เชี่ยวชาญในกองทัพที่กำ�กับดูแลเร่ือง การก่อการร้าย เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่มีอำ�นาจรับผิดชอบในการปราบปรามขบวนการต่อต้านรัฐ ภายใต้การนำ�ของพรรคแรงงานชาวเคิร์ด (the Kurdistan Workers’ Party or PKK (Kurdish: Partiya Karkerên Kurdistan) รวมถึงเจ้าหน้าท่ีบางหน่วยในกองทัพที่มีภารกิจ ปราบปรามขบวนการรัฐอิสลาม (Islamic state) ในซีเรีย โดยทุกคนที่กล่าวมาล้วนมีส่วน พัวพันสนับสนนุ การกอ่ รัฐประหารครง้ั นีท้ ้งั สิน้ แม้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากองทัพตุรกีได้แสดงให้เห็นภาพลักษณ์ ความน่าเช่ือถือและได้รับความไว้วางใจ รวมทั้งได้รับเกียรติอย่างมากจากประชาชนชาวตุรกี มาโดยตลอด แต่การที่ทหารบางกลุ่มพยายามก่อรัฐประหารโค่นล้มระบบการปกครอง ของประเทศส่งผลให้มุมมองของประชาชนท่ีมีต่อกองทัพเกิดแรงกระเพ่ือม เห็นได้จากกรณี ท่ีชาวตุรกีออกมาเรียกร้องให้เปล่ียนแปลงบทบาทและการจัดสรรอำ�นาจภายในกองทัพ เน่ืองจากก่อนหน้าน้ีภายในกองทัพมีความขัดแย้งเชิงระบบโครงสร้างสายการบังคับบัญชาและ การตอบสนองนโยบายของฝ่ายการเมืองที่ไม่ค่อยราบรื่น ดังนั้นการก่อรัฐประหารที่ล้มเหลว จึงกลายเป็นเสียงสะท้อนให้เห็นว่าตุรกีต้องการปฏิรูปกองทัพและเพ่ิมบทบาทพลเรือนมากกว่า ท่ีผ่านมา แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีการดำ�เนินการปฏิรูปได้ในระดับหนึ่ง แต่บทบาทและ ความชอบธรรมของทหารยังมีอิทธิพลเหนือพลเรือนในทางการเมืองและการปกครองของตุรกี เหมือนเช่นเคย เช่นเดียวกับผลสะท้อนจากการเมืองภายในตลอดระยะเวลาท่ีผ่านมา การใช้ อำ�นาจฝ่ายบริหารเป็นการเห็นชอบจากประธานาธิบดีและถือเป็นท่ีส้ินสุด แต่เมื่อสถานการณ์ ความพยายามก่อรัฐประหารเกิดขึ้นจึงสะท้อนให้เห็นมิติความร่วมมือร่วมใจต่อต้านรัฐประหาร อย่างมีเอกภาพ โดยเฉพาะความร่วมมือร่วมแรงระหว่างบรรดาพรรคฝ่ายค้านที่เลือกอยู่กับ ฝ่ายรัฐบาล โดยมุ่งหวังเพ่ือให้รัฐธรรมนูญของประเทศบรรลุสู่รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน อย่างแท้จริงตามกระบวนการพจิ ารณาและการใหค้ วามเหน็ ชอบจากสถาบันนติ ิบญั ญัตเิ ท่านัน้
รัฐประหารท่ีล้มเหลวในตรุ ก:ี ผลลัพธแ์ ละกระแสสะท้อนกลับ 53 ในขณะที่จุดยืนและท่าทีของตุรกีกับภายนอกมีความชัดเจนมากข้ึน โดยเฉพาะ ก า ร เ ปิ ด ห น้ า มุ่ ง ก ด ดั น ส ห รั ฐ ฯ เ พ่ื อ ใ ห้ พิ จ า ร ณ า ดำ � เ นิ น ก า ร ส่ ง ม อ บ ตั ว บุ ค ค ล สำ � คั ญ อย่างนายฟตั ฮลุ เลาะห์ โกเลน (Fethullah Gülen) ซงึ่ ทางการตุรกกี ลา่ วหาว่าเปน็ ผอู้ ย่เู บือ้ งหลัง การก่อรัฐประหารคร้ังนี้ รวมทั้งการทบทวนนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้ม ขัดผลประโยชน์ของตุรกีในหลายประเด็น และเพ่ือเป็นการจัดระเบียบความสัมพันธ์ในฐานะ พันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ดังกล่าวอย่างทันท่วงที ตุรกีจึงใช้หลักถ่วงดุลอำ�นาจโดยหันมาเน้น นโยบายผูกมิตรกับรัสเซียที่ฉายภาพความทรงอิทธิพลในภูมิภาคมาอย่างต่อเน่ือง เพราะ สถานการณ์เปล่ียนไปจากเดิมเนื่องจากเพียงไม่กี่ช่ัวโมงหลังเหตุการณ์ความพยายาม ก่อรัฐประหารที่ล้มเหลวเกิดขึ้น ผู้นำ�รัสเซียยกหูโทรศัพท์ติดต่อกับประธานาธิบดีตุรกี เพ่ือแสดงเจตนาในการสนับสนุนการช่วยเหลือและยืนข้างตุรกีอย่างเต็มท่ี และส่ิงนี้เองทำ�ให้ ตรุ กีหันมาทุม่ ความพยายามในการทบทวนความเป็นหุน้ สว่ นทางยทุ ธศาสตรก์ ับรสั เซยี อีกคร้ัง นายฟัตฮุลเลาะห์ โกเลน (Fethullah Gülen) ผู้นำ�จิตวิญญาณและผู้ก่อต้ังขบวนการ The Gulen [Hizmet] Movement หรือภายใต้ช่ือที่ทางการตุรกี เรียกขานว่า “อำ�นาจคู่ขนาน” (Parallel State Organisation) โดยรัฐบาลตุรกีกล่าวหาว่าอยู่เบ้ืองหลัง เหตกุ ารณ์รัฐประหาร ที่มา: http://guleninvestigation.com ตัวแปรภายในท่มี ผี ลทำ�ให้การก่อรฐั ประหารล้มเหลว การปฏิวัติรัฐประหารที่ล้มเหลวไม่เพียงมีรายละเอียดมากมายที่เก่ียวข้อง แต่ยังมี สาระสำ�คัญที่ถือเป็นข้อบ่งชี้หลัก โดยเฉพาะภาคประชาชนที่ถือเป็นตัวแปรนำ� เพราะ การปรับตัวทางการเมืองในสังคมตุรกีเกิดข้ึนยาวนานกว่าทศวรรษ โดยความพยายาม ก่อรัฐประหารคร้ังนี้ถือเป็นบททดสอบสังคมตุรกีแบบกะทันหันเฉียบพลัน หรือเป็นส่ิงที่หลายคน ไม่อาจคาดเดาได้ถึงปฏิกิริยาตอบกลับของประชาชนท่ีต่างออกมาขัดขวางความพยายาม ก่อรัฐประหารที่มีความรุนแรงเช่นน้ี ดังนั้นปัจจัยหลักท่ีกลายเป็นประเด็นสำ�คัญส่งผลให้ การกอ่ รัฐประหารลม้ เหลวสรปุ ได ้ ดงั นี้
54 รฐั สภาสาร ปีท่ี ๖๕ ฉบับท่ี ๒ เดอื นกมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๑. ข้อสังเกตเบ้ืองต้นจากกรณีความเคล่ือนไหวการก่อรัฐประหารในช่วงแรกๆ สะท้อนเหตุการณ์ผ่านการจุดกระแสต้านรัฐประหารที่ส่งตรงมาจากประธานาธิบดีผ่าน เครือข่ายสังคมออนไลน์ไปถึงประชาชนท้ังประเทศและยังเรียกร้องให้ประชาชนรวมตัวกัน ลงมาบนท้องถนนเพ่ือสกัดขัดขวางการก่อปฏิวัติรัฐประหาร กรณีดังกล่าวก่อให้เกิดกระแส การจัดต้ังมวลชนต่อต้านรัฐประหารขยายวงทั่วประเทศ ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวดูเหมือน เป็นส่ิงใหม่ท่ีแสดงผ่านปฏิกิริยาการต่อต้านรัฐประหารผ่านภาคประชาชนผู้รักประชาธิปไตย ดังนั้นหากพิจารณาในมิติดังกล่าวสะท้อนให้เห็นความเป็นหนึ่งเดียวกันจากฝ่ายสนับสนุนและ ฝ่ายค้านต่อการเคารพสถานภาพความเป็นผู้นำ�รัฐบาลและบทบาทประธานาธิบดีตุรกี ไดอ้ ย่างมีนยั สำ�คญั ๒. เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “ความเป็นหน่ึงเดียว” ของอดีตผู้นำ�พรรค ความยุติธรรมและการพัฒนา (Justice and Development Party) เห็นได้จากอดีตประธานาธิบดี อับดุลเลาะห์ ฆูล ที่ออกมาแสดงจุดยืนแบบเด็ดเดี่ยวกล้าหาญต่อต้านรัฐประหาร ซ่ึงขัดกับ บุคลิกและท่าทีท่ีหลายคนคุ้นชินมาตลอดว่าเป็นผู้นำ�ที่มีความสุภาพ นุ่มนวล โดยคำ�แถลง ดังกล่าวมีผลกระทบและอิทธิพลส่งผลกับประชาชนในวงกว้าง รวมท้ังผู้สนับสนุนและ ผู้เห็นต่างกับรัฐบาลรวมพลังกันเป็นหน่ึงเดียว และได้เรียกร้องให้ประชาชนออกมาขัดขวาง รัฐประหารอย่างเต็มกำ�ลัง พร้อมแนะให้ทุกฝ่ายเห็นแก่ประเทศและระบอบประชาธิปไตยที่อยู่ เหนอื ทุกความขดั แยง้ จากกรณีนี้จะสังเกตได้ว่า นายอับดุลเลาะห์ ฆูล มีจุดยืนชัดเจนและข้ามผ่าน ความขัดแย้งกับผู้นำ�คนปัจจุบัน แม้ความขัดแย้งภายในพรรคก่อนหน้าน้ีจะเป็นเหตุให้ต้อง ลาออกจากตำ�แหน่งทั้งท่ีบริหารได้ไม่ถึงสองเดือน และดูเหมือนว่าจุดยืนของอดีตผู้นำ�ไม่ได้ แสดงความโอนอ่อนให้กับนายฟัตฮุลเลาะห์ โกเลน ผู้อยู่เบ้ืองหลังรัฐประหารตามที่กล่าวอ้าง แม้จะมีกระแสท่ีหลายฝ่ายปล่อยออกมาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ลึกๆ ระหว่างภรรยาของเขา ท่ีเคยสนับสนุนขบวนการดังกล่าวก็ตาม ขณะท่ีถ้อยแถลงของนายอะหมัด ดาวุด อ็อกโล กลับสงวนท่าทีในประเด็นเกี่ยวกับขบวนการผู้อยู่เบื้องหลัง เพียงแต่จำ�กัดขอบเขตอยู่ท่ี การรัฐประหารว่าเป็นปรปักษ์กับเสถียรภาพของประเทศ ซึ่งตลอดทั้งคืนรัฐประหารมีวาทกรรม มากมายจากอดีตผู้นำ� เช่น “ถึงเวลาแล้วท่ีทุกคนต้องออกมาปกป้องประชาธิปไตย”
รัฐประหารที่ลม้ เหลวในตรุ กี: ผลลัพธแ์ ละกระแสสะท้อนกลบั 55 หรือ “ค่ำ�คืนอันมีเกียรตินี้เป็นของพวกเรา” ถอดรหัสให้ประชาชนทุกคนเห็นแก่เกียรติยศ ของประเทศ ความมเี สถยี รภาพและการปกปอ้ งระบอบประชาธิปไตย๒ ทมี่ า: http://indianexpress.com นายอะหมดั ดาวุด ออ็ กโล อดตี นายกรฐั มนตรีตรุ กแี ละแกนน�ำ พรรครัฐบาล ๓. ความร่วมมือจากกลุ่มการเมืองฝ่ายค้าน ถือว่ามีความชัดเจนและเป็นปัจจัย สำ�คัญในการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันเพื่อปกป้องประชาธิปไตย ตัวอย่างท่ีชัดเจนเห็นได้จาก คำ�กล่าวของหัวหน้าพรรคกลุ่มมวลชน และพรรคประชาชนสาธารณรัฐ เป็นต้น โดยท้ังสอง พรรคฝ่ายค้านแสดงจุดยืนชัดเจนและเด็ดเด่ียวต่อการก่อรัฐประหารทุกรูปแบบ และย้ำ�ว่า ความขัดแย้งและการเห็นต่างกับพรรครัฐบาลขอให้จำ�กัดอยู่ในกระบวนการและการแข่งขันกัน ในสนามเลือกต้ังเท่านั้น และการปกครองรัฐในมุมมองของพรรคการเมืองฝ่ายค้านเหล่าน้ี ย่อมไม่ปรารถนาและยินยอมให้การปกครองอยู่ในมือของทหารเพียงเพ่ือพิทักษ์แนวคิด การปกครองรัฐโลกวิสัย นอกจากน้ียังได้ส่งสัญญาณถึงหัวหน้าขบวนการรัฐประหารและทหาร ที่เข้าร่วมขบวนการว่าพรรคฝ่ายค้านปฏิเสธการเข้าร่วมกับแนวคิดและกลุ่มขบวนการท่ีเห็นต่าง กับพรรครัฐบาลผ่านรูปแบบการก่อรัฐประหาร เพราะกระบวนการดังกล่าวไม่ถือเป็นความ ชอบธรรมทางการเมือง ดังนั้นแนวทางและจุดยืนของพรรคฝ่ายค้านจึงออกมาในทิศทาง ตรงข้าม โดยได้เรียกร้องให้มวลชนร่วมต่อต้านรัฐประหารแบบปัจเจกมีอิสระเหนือรูปแบบ พรรคการเมืองหรอื ความนิยมพรรคการเมอื ง ๒ ขอ้ มลู การสมั ภาษณ์ทางโทรศัพท์โดยสำ�นกั ขา่ วอลั ญะซเี ราะห์ เมือ่ วนั ที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
56 รัฐสภาสาร ปีท่ี ๖๕ ฉบบั ท ่ี ๒ เดอื นกมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๔. ระบอบประชาธิปไตยฝังรากลึกโดยประชาชนผู้หวงแหนการพิทักษ์ ประชาธิปไตยเป็นอีกหนึ่งปัจจัย เห็นได้จากพัฒนาการทางประชาธิปไตยของสังคมตุรกี ที่สะท้อนผ่านบททดสอบนี้ ทำ�ให้ประจักษ์ชัดว่าสังคมตุรกีหวงแหนระบอบประชาธิปไตยมาก ซึ่งระดับความเข้มข้นอาจทัดเทียมกับนานาประเทศที่เจริญแล้ว ซึ่งเราจะไม่มีวันเห็น ปรากฏการณ์รัฐประหารเกิดข้ึนในกลุ่มประเทศยุโรปเช่นน้ี แต่ในเมื่อเกิดรัฐประหารขึ้นมา ปฏิกิริยาของสังคมเล่นบทต่อต้านชัดเจน ทำ�ให้การยอมรับรัฐประหารเป็นเร่ืองที่ไม่สามารถ คาดเดาได้ ดังน้ันหากมีใครมองว่าความเช่ือมโยงระหว่างจุดยืนของประชาชนตุรกีในการออกมา ต่อต้านรัฐประหารถูกผูกโยงอยู่กับการมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีหรือการดำ�เนินนโยบาย เศรษฐกิจของพรรครัฐบาลที่เป็นผลสัมฤทธิ์ย่อมถือเป็นการคิดผิด เพราะจากสถานการณ์ การต่อต้านรัฐประหารครั้งนี้ในความเป็นจริงมีการผูกโยงกับมิติการปกป้องประเทศชาติบนพ้ืนฐาน ของประชาธิปไตยที่ทำ�ให้เกิดเสถียรภาพทางการเมืองและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยท้ังสองส่วนมีแนวทางที่เก้ือหนุนระหว่างกันนำ�สู่การยับยั้งมิให้เกิดการแทรกแซง ของทหารอยา่ งมนี ยั สำ�คัญ ๕. การตอบสนองของหน่วยข่าวกรองและหน่วยงานความมั่นคงภายในดำ�เนิน ไปอย่างมีประสิทธิภาพทันทีที่จับความเคลื่อนไหวของขบวนการได้ แม้หลายฝ่ายจะมองว่า ล่าช้าในเชิงการข่าวก็ตาม สิ่งน้ีแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของรัฐบาลต่อการปฏิบัติงาน ของหนว่ ยความมน่ั คงภายใน ๖. แผนการก่อรัฐประหารผิดพลาด โดยเฉพาะรูปแบบและกระบวนการวางแผน ในการก่อรัฐประหารคร้ังนี้เป็นแนวคิดแบบเก่า สอดคล้องกับกระแสการวิพากษ์ ของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์๓ ท่ีให้นิยามรัฐประหารในตุรกีว่าเป็นระบบแนวคิดเก่า (old-school) ท่ีใช้รูปแบบวิธีการบุกยึดสถานที่สำ�คัญๆ เช่น สถานีโทรทัศน์ของรัฐบาล สนามบินหลัก ถนนสายหลัก เป็นต้น โดยไม่ให้นำ้�หนักกับระบบเครือข่ายหรือการส่ือสาร ยุคใหม่ และการแลกเปล่ียนข้อมูลระหว่างกัน รวมถึงการใช้ช่องทางสื่อสารผ่านเครือข่าย สงั คมออนไลน์อยา่ งเชน่ เฟสไทม์ (facetime) เปน็ ต้น ในขณะท่ีฝ่ายก่อรัฐประหารเองเกิดความชะล่าใจและผิดพลาดไม่ใส่ใจถึงผลร้าย ท่ีจะตามมา เน่ืองจากขบวนการรัฐประหารใช้ช่องทางผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ยุคใหม่ ๓ Ishaan Tharoor, “An Old-school coup fails to topple Turkey’s powerful president,” The Washington Post, July 16, 2016, Retrieved August 16, 2016, from http://wapo.st/29Da1kg
รัฐประหารที่ล้มเหลวในตรุ ก:ี ผลลัพธแ์ ละกระแสสะทอ้ นกลบั 57 ที่รู้จักกันในชื่อ “วอทแอพป์” เป็นเครื่องมือในการสั่งการและแลกเปล่ียนข้อมูลระหว่างกัน ท�ำ ให้การตดิ ตามและตรวจสอบข้อมลู เชงิ สอบสวนหลงั เหตกุ ารณค์ ร้งั นีย้ ุตลิ งกลายเป็นเรื่องงา่ ย โดยเฉพาะการติดตามตัวแกนนำ�กลุ่มผู้วางแผนก่อรัฐประหาร ทั้งช่วงระหว่างการรัฐประหาร และหลังเหตุการณ์รัฐประหาร นอกจากนี้ แนวทางของขบวนการรัฐประหารท่ีมุ่งกำ�จัดเฉพาะ ตัวผู้นำ�ย่อมประจักษ์ชัดว่าเป็นการวางแผนท่ีผิดพลาด เนื่องจากการสกัดบทบาทเฉพาะ ตัวผู้นำ�ที่ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งรัฐ โดยเชื่อว่าหากสกัดผู้นำ�ประเทศได้ย่อมสามารถควบคุม ผู้ใต้บังคับบัญชาได้โดยง่าย และสามารถควบคุมองคาพยพทั้งหมดโดยไม่มีการขัดขืน อย่างแน่นอน แต่สมมติฐานนี้กลับไม่เป็นเช่นที่วาดฝันไว้ในสถานการณ์จริง เนื่องจาก บทบาทของอดีตผู้นำ�พรรคและบรรดาผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดในพรรครัฐบาล รวมถึง หัวหน้าและแกนนำ�พรรคฝ่ายค้าน และแนวร่วมสนับสนุนกลับมีบทบาทและท่าทีที่ชัดเจนและ เด็ดเด่ยี วในการตอ่ ต้านรัฐประหารไมน่ ้อยไปกวา่ บทบาทของประธานาธิบดีแตอ่ ย่างใด หลังเหตุการณ์ก่อรัฐประหารท่ีล้มเหลวในตุรกีเกิดกระแสสะท้อนกลับ มากมาย สามารถสรุปสาระสำ�คัญในมติ ติ า่ งๆ ได ้ ดังน้ี ๑. กระแสสะท้อนกลับในมติ ดิ ้านความมน่ั คง ความพยายามก่อรัฐประหารที่นำ�โดยทหารมีมิติท้าทายความมั่นคงของตุรกี อย่างมีนัยสำ�คัญ เนื่องจากเหตุการณ์ท้ังหมดรวมถึงพัฒนาการต่างๆ มีผลสะท้อนกลับที่เป็น ผลกระทบตอ่ ความม่นั คงของตุรกีในภาพรวม สามารถช้ปี ระเด็นได ้ ดงั น้ี ๑.๑ ผลกระทบต่อการทำ�สงครามปราบปรามการก่อการร้ายและปราบปราม ขบวนการพรรคแรงงานชาวเคิร์ด (the Kurdistan Workers’ Party or PKK (Kurdish: Partiya Karkerên Kurdistan) โดยในระยะส้ันอาจส่งผลให้สถานการณ์ ความมั่นคงในตุรกีได้รับผลกระทบทางลบ เนื่องจากสูญเสียผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อการร้าย ขณะเดียวกันเจ้าหน้าท่ีระดับสูงท่ีรับผิดชอบประเด็นปราบปรามขบวนการรัฐอิสลามต้องถูก อายัดตัวไว้ โดยรายงานระบุว่า ผู้เช่ียวชาญท่ีมีอำ�นาจหน้าที่รับผิดชอบการปราบปราม การก่อการรา้ ยเสียชีวิตระหวา่ งเข้าร่วมขบวนการรัฐประหาร รวมถึงเหลา่ บรรดาแม่ทัพนายพล ที่ประจำ�อยู่ตามแนวชายแดนด้านทิศใต้ติดกับซีเรียหลายนายมีส่วนพัวพันและเข้าร่วมมือกับ ขบวนการรัฐประหาร ซึ่งกองพลเหล่าน้ีล้วนมีบทบาทนำ�ในการต่อสู้กับขบวนการรัฐอิสลาม ในซีเรีย๔ โดยเฉพาะบรรดาทหารที่ประจำ�อยู่ในฐานทัพอากาศ Incirlik Air Base ๔ Murat Yetkin, “Who did it? Why now? And other questions about the coup attempt in Turkey,” Hurriyet Daily News, July 18, 2016, Retrieved August 18, 2016, from http://bit.ly/2a1EJ4P
58 รัฐสภาสาร ปีที่ ๖๕ ฉบบั ท่ ี ๒ เดอื นกมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งต่อมาทั้งหมดถูกจับกุมในข้อหากบฏโค่นล้มระบอบการปกครอง ปรากฏการณ์น้ีอาจสร้าง ผลกระทบด้านความมั่นคงในประเทศเช่นกัน โดยเฉพาะการปราบปรามพรรคแรงงาน ชาวเคิร์ด (the Kurdistan Workers’ Party or PKK (Kurdish: Partiya Karkerên Kurdistan) และขบวนการรัฐอิสลามในซีเรีย เพราะหลังเหตุการณ์รัฐประหารรัฐบาลตุรกีต้อง สาละวนอยู่กับการปรับกระบวนทัศน์ในสายบังคับบัญชากองทัพ และทบทวนบทบาท ของเหล่านายทหารในภาพรวม หมายความว่าสถานการณ์ความม่ันคงในตุรกีอาจเกิดความวุ่นวาย ในช่วงสั้น ๆ จากปฏิบัติการของขบวนการรัฐอิสลาม และความพยายามก่อเหตุของพรรค แรงงานชาวเคิร์ด (the Kurdistan Workers’ Party or PKK (Kurdish: Partiya Karkerên Kurdistan) ที่อาศัยจังหวะดังกล่าว และหวังผลสร้างแรงกระเพ่ือมกับระบบ โครงสร้างด้านความม่ันคงของตุรกีแบบไม่ให้ตั้งตัว แต่ในระยะยาวอาจเป็นประโยชน์กับรัฐบาล ในการจัดแถวต้ังทัพและการแต่งตั้งผู้นำ�เหล่าทัพคนใหม่ท่ีมีความใกล้ชิดและน้อมรับโอนอ่อน ตามนโยบายรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ความพยายามก่อรัฐประหารกลายเป็นภาวะจำ�เป็น ในการลดบทบาททหาร แต่อาจปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าก่อนหน้านี้ขบวนการรัฐประหาร มีความอึดอัดไม่น้อยที่ต้องรบกับพรรคแรงงานชาวเคิร์ด (the Kurdistan Workers’ Party or PKK (Kurdish: Partiya Karkerên Kurdistan) หรือแม้กระทั่งความล้มเหลว ในการไล่ติดตามขบวนการรัฐอิสลาม เพราะภารกิจทั้งหมดท่ีผ่านมาประสบกับความล้มเหลว ส่งผลให้เกิดปัญหาที่สะสมในสถาบันกองทัพจนเป็นจุดเปลี่ยนสู่ความพยายามก่อรัฐประหาร ครงั้ นี้ ๑.๒ ความพยายามก่อรัฐประหารเสมือนสร้างมายาคติ ให้เห็นว่า เป็นโอกาสสุดท้ายของขบวนการก่อรัฐประหารในการยึดอำ�นาจรัฐและเป็นการวัดกำ�ลัง เพื่อทดสอบพรรครัฐบาล รวมถึงเครือข่ายการเมืองที่สนับสนุนรัฐบาลเช่นเดียวกัน การใช้โอกาสน้ี ยึดอำ�นาจรัฐเป็นกระแสท่ีกระทำ�โดยกลุ่มทหารบางหน่วย ทำ�ให้ดูเหมือนว่าไม่มีความเชื่อมโยง ใดๆกับนายฟัตฮุลเลาะห์ โกเลน และขบวนการ The Gulen [Hizmet] Movement รวมถึงพลพรรคของขบวนการน้ี๕ ซ่ึงผลลัพธ์สะท้อนกลับรุนแรงเมื่อการก่อรัฐประหารประสบ ๕ Ibid.; and Tim Hains, “Ralph Peters: Obama Chose The Wrong Side In Turkey Coup,” Real Clear Politics, July 16, 2016, Retrieved September 22, 2016, from http://www.dohainstitute.org/file/ Get/7e5de3d3-6472-4f73-a137-b9206b706b1e.pdf
รฐั ประหารทล่ี ้มเหลวในตุรก:ี ผลลัพธแ์ ละกระแสสะท้อนกลับ 59 ความล้มเหลว และมันได้เปล่ียนวิกฤตินั้นให้กลายเป็นความได้เปรียบของฝ่ายที่ครอบครอง อำ�นาจใช้โอกาสนี้เช่นกันในการกวาดล้างขบวนการรัฐประหารที่รัฐบาลช้ีชัดว่าอยู่เบื้องหลัง การก่อรัฐประหารภายใต้ช่ือ “ขบวนการรัฐซ้อนรัฐ” (Parallel State Organisation) ท่ีโยงใย สนับสนุนขยายวงกว้างฝังตัวอยู่ในทุกหน่วยงานและองค์กรของรัฐ ทั้งกองทัพ ฝ่ายความม่ันคง ตุลาการ ศาล และวงการศึกษา ซึ่งคาดว่ากระบวนการชำ�ระขบวนการก่อรัฐประหารดังกล่าว จะดำ�เนินไปอย่างต่อเน่ืองผ่านมาตรการการจับกุมคุมขัง การเลิกจ้าง และให้ยุติการทำ�หน้าที่ ของฝ่ายทหารและพลเรือนเป็นการทลายขบวนการครั้งใหญ่ ซ่ึงรัฐบาลถือเป็นภาวะจำ�เป็น ที่ต้องใช้แนวทางการกวาดล้างแบบครอบคลุมรอบด้าน อาทิ การยุบหน่วยความม่ันคง บางหน่วยผ่านกระบวนการทางกฎหมายอย่างจริงจังนำ�ไปสู่การปลดหรือจับกุมผู้มีแนวคิดร่วมกับ รัฐประหารคร้ังมโหฬารน้ี จนส่ือตะวันตกหลายสำ�นักพาดหัวไม้กรณีดังกล่าวว่าเป็นการถอนราก ถอนโคน๖ แต่ยังมีความกังวลว่าแนวทางดังกล่าวอาจเป็นตัวแปรทำ�ให้เกิดปัญหาในเชิงสังคม และความมั่นคงปลอดภัยได้ เพราะระบบการบริหารจัดการด้านความมั่นคงภายในรัฐเกิด ผลกระทบจากภาวะขาดแคลนเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานราชการ หรือประชาชนบางคนอาจรู้สึกว่า ถูกลดทอนสิทธ์ิจากการปฏิบัติหน้าที่ด้านงานบริการจากเจ้าหน้าที่รัฐท่ีตนพึงมีพึงได้ เป็นต้น จนอาจกลายเป็นเชื้อปะทุให้กลุ่มแนวร่วมขบวนการต้านรัฐบาลใช้เป็นเงื่อนไขและโหนกระแส จนเกิดการเรียกร้องและการประท้วงรัฐบาล หรือมีการต่อต้านรูปแบบใหม่ท่ีมุ่งเป้าหมายไปที่ ความม่ันคงแหง่ รฐั จนทำ�ลายเสถียรภาพและความเชอื่ มน่ั จากรฐั บาลไดอ้ ยา่ งมนี ยั ส�ำ คญั อย่างไรก็ตาม การกวาดล้างขบวนการรัฐซ้อนรัฐแบบถอนรากถอนโคน ท้ังกระบวนการจากฝ่ายกองทัพ หน่วยงานความม่ันคง กระบวนการตุลาการและศาล ที่รัฐบาลตุรกีมีความกังวลและหวาดระแวงว่าจะส่งผลกับบรรยากาศการเมือง โดยรัฐบาล ใช้มาตรการเชิงรุกด้วยการประกาศเคอร์ฟิวห้ามประชาชนออกนอกเคหสถานมีผลตั้งแต่วันท่ี ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นระยะเวลา ๓ เดือน โดยเป็นไปตามกฎหมายท่ีระบุไว้ ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ๗ แม้ว่ามาตรการนี้มีเสียงสะท้อนว่าแฝงนัยความรุนแรงและ การละเมิดเสรีภาพ แต่รัฐบาลยืนยันว่าการประกาศเคอร์ฟิวในสถานการณ์ดังกล่าวไม่กระทบ ๖ สถาบันโดฮาเพื่อการวิจัยและศึกษานโยบาย. “เพราะเหตุใดการปฏิวัติท่ีแลกด้วยเลือด ถึงล้มเหลว,” สืบค้นจาก http://www.dohainstitute.org/file/Get/d136b360-f2a9-405f-b083-f580a111cca4.pdf ๗ Anadolu Agency, “ประธานาธบิ ดีตรุ กปี ระกาศภาวะฉุกเฉนิ รวมระยะเวลา ๓ เดือน,” สืบค้นเมือ่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙, จาก http://bit.ly/29VvcQ3
60 รฐั สภาสาร ปีท่ี ๖๕ ฉบบั ท ่ี ๒ เดอื นกมุ ภาพนั ธ ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ กับสิทธิและเสรีภาพ รวมถึงกระบวนการประชาธิปไตยแต่อย่างใด นอกจากน้ีการประกาศ สถานการณ์ฉุกเฉินมีกลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองที่มีความเช่ือมโยงและสนับสนุน ฝ่ายรัฐบาลก็ไม่ได้รับสิทธิ์เหนือกลุ่มเห็นต่าง เน่ืองจากมีข้อกำ�หนดชัดเกี่ยวกับบรรยากาศ การเมืองและพฤติการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อสิทธ์ิของคนอื่น เว้นแต่มาตรการดังกล่าวใช้ใน สถานการณ์ระยะส้ัน บางคร้ังอาจมีการหยิบยกข้ออ้างของกลุ่มการเมืองและกลุ่มมวลชน ท่ีระบุถึงความเส่ียงที่อาจเป็นเหตุนำ�ไปสู่ความพยายามก่อรัฐประหารได้อีก แต่ด้วยเหตุผล ท่ีว่าประชาชนส่วนใหญ่มีอารมณ์ร่วมกับระบบประธานาธิบดีและพรรครัฐบาล ยิ่งทำ�ให้เรื่องนี้ เป็นแรงผลกั ให้รัฐบาลสามารถยตุ ิความเสย่ี งทง้ั หมดได้ ๑.๓ ความม่ันคงและการข่าวด้อยประสิทธิภาพ ประเด็นดังกล่าวสะท้อน จากผลพวงของความพยายามก่อรัฐประหารที่เกิดข้ึนได้ระยะหน่ึง ขณะท่ีหน่วยงานที่รับผิดชอบ ด้านความมั่นคงและข่าวกรองเกิดความล่าช้าหรือไม่สามารถระงับเหตุได้ทันท่วงที ก่อนขบวนการก่อรัฐประหารลงมือปฏิบัติการ ในมุมมองเกี่ยวกับเรื่องนี้มีแถลงการณ์จาก รองนายกรัฐมนตรีนุอ์มาน เกอร์ตูลมุช (Numan Kurtulmus) ระบุว่า รัฐบาลไม่ได้รับข้อมูล ความเคลื่อนไหวของกลุ่มน้ีมาก่อน หากมีรายงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจ้งก่อนเกิดเหตุ แน่นอนว่ารัฐบาลคงพิจารณาแนวทางปฏิบัติท่ีจำ�เป็นและเตรียมการไว้ล่วงหน้าได้อย่างทัน ท่วงที๘ แม้ว่าการรัฐประหารจะล้มเหลวไป แต่ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่าหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง มีความบกพร่องเชิงยุทธศาสตร์และข้อมูลทางการข่าวล่าช้าปล่อยเวลาล่วงเลยไป แม้ว่า ในท้ายท่ีสุดจะมีการแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการก่อรัฐประหารให้ทางการทราบก็ตาม แต่เวลา เตรยี มการเพื่อรับมอื กับสถานการณ์มีจำ�กัดเพยี งไม่ก่ชี ่วั โมงเทา่ นั้น แต่สิ่งที่น่าชมเชยคือ หน่วยความม่ันคงและหน่วยข่าวกรองมีความรวดเร็ว ในการผนึกกำ�ลังอย่างเหนียวแน่นเพื่อเผชิญหน้าท้าทายกองทัพทหารท่ีร่วมขบวนการปฏิวัติ เพราะทั้งสองหน่วยดังกล่าวมีการบูรณาการและกำ�หนดแผนปฏิบัติการอย่างรวดเร็ว ตอบสนองคำ�ส่ังของรัฐบาลอย่างเข้มแข็งและท้าท้าย ปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นสิ่งใหม่ในระบบ การบริหารราชการของตุรกี เนื่องจากก่อนหน้านี้ท้ังสองหน่วยมีแนวทางปฏิบัติท่ีอิสระจากกัน แต่ในระยะหลังรัฐบาลภายใต้การนำ�ของพรรคยุติธรรมและการพัฒนาได้ปรับโครงสร้างหน่วยงาน ๘ “Turkish intel informed top generals hours before coup attempt, says army,” Hurriyet Daily News, July 20, 2016, Retrieved September 22, 2016, from http://bit.ly/29MGhOp
รฐั ประหารท่ีลม้ เหลวในตุรกี: ผลลพั ธแ์ ละกระแสสะท้อนกลบั 61 ความม่ันคงภายในใหม่ เนื่องจากเคยได้รับบทเรียนและประสบการณ์ในทำ�นองนี้มาก่อน จากผลพวงเหตกุ ารณ์รัฐประหารที่เกดิ ขึ้นเมอื่ วนั ที่ ๑๗ ธนั วาคม ค.ศ. ๒๐๑๓ โดยขณะนน้ั รัฐบาลพุ่งเป้าหมายไปที่ขบวนการหรือกลุ่มอำ�นาจซ้อนซึ่งเป็นขบวนการเดียวกันกับ ท่ีก่อรัฐประหารคร้ังนี้ ระหว่างนั้นเกิดการปฏิรูปหน่วยงานความมั่นคงทั้งระบบ โดยมี การปลดตำ�รวจระดับผู้กำ�กับหลายนายและมีการปรับเปลี่ยนโยกย้ายตำ�แหน่งให้เหมาะสม ทั้งน้ี การบูรณาการหน่วยงานความม่ันคงท่ีมีกำ�ลังพลจากหน่วยงานตำ�รวจเป็นหลักทำ�ให้รัฐบาล ในขณะนั้นมีความเช่ือมั่นว่าการประสานงานจะมีกระบวนการดำ�เนินงานท่ีมีประสิทธิภาพและ ส่งผลมาถึงรัฐบาลปัจจุบัน เห็นได้จากแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีหลังเกิดเหตุรัฐประหาร ในวันแรกๆ โดยระบุว่า “หน่วยความม่ันคงจะทำ�ให้ทุกอย่างยุติลง” สำ�หรับหน่วยข่าวกรอง ถือเป็นหน่วยงานหลักท่ีสำ�คัญ เน่ืองจากมีบทบาทในการติดตามตรวจสอบความเคลื่อนไหว ที่มีผลกระทบต่อเสถียรภาพและความม่ันคงของรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถให้ ความมั่นใจและประกันความภักดีแก่ผู้นำ� จนสามารถขัดขวางและยุติกลุ่มเคลื่อนไหว กอ่ การรฐั ประหารได้ส�ำ เร็จเมื่อวนั ท่ี ๑๗ ธันวาคม ค.ศ. ๒๐๑๓ ๒. กระแสสะทอ้ นกลบั สกู่ องทัพตุรกี หลักการสำ�คัญของกองทัพอยู่ท่ีสายบังคับบัญชาและการบริหารภายใน ซึ่งสะท้อน ให้เหน็ ถึงหลักของการแบง่ แยกเชิงอ�ำ นาจ ๒ ประการ ดังนี้ ๒.๑ ความเปล่ียนแปลงเชิงระบบ ด้วยกองทัพมีความเป็นอิสระสูงจึงไม่มี ข้อตกลงร่วมกันระหว่างระบบบริหารภายในกองทัพในเชิงกฎระเบียบ อันมีผลต่อมิติการเมือง และการแทรกแซงวิถีสาธารณะท่ีสังคมตุรกีคุ้นชินมาตลอดนับแต่ก่อตั้งรัฐ หมายถึง การปฏิรูปทหารกับพลเรือนเริ่มเกิดขึ้นต้ังแต่เดือนตุลาคม ปี ค.ศ. ๒๐๐๑ และมีความพยายาม ให้การปฏิรูปกองทัพเดินหน้าต่อเนื่องในสมัยที่พรรคความยุติธรรมและการพัฒนาเข้าสู่อำ�นาจ ในปี ค.ศ. ๒๐๐๒ ซึ่งประเด็นน้ีมีผลทางบวกให้เห็นเช่นกัน อาทิ การแบ่งสรรและ ถ่วงดุลอำ�นาจในหน่วยงานรักษาความมั่นคงภายใน ซึ่งมีผู้บังคับบัญชาสูงสุดเป็นพลเรือน๙ และให้ยกเลิกสัดส่วนของทหารในระบบการศึกษาและสภาองค์กรส่ือสารวิทยุและโทรทัศน์ ๙ Meliha Benli Altunisik, “The Possibilities and Limits of Turkey’s Soft Power in the Middle East,” Insight Turkey, Vol. 10, No. 2 (2008), pp. 43-44, Retrieved September 12, 2016, from http://file.insightturkey.com/Files/Pdf/insight_ turkey_vol_10_no_2_2008_altunisik.pdf
62 รัฐสภาสาร ปที ี่ ๖๕ ฉบบั ที่ ๒ เดอื นกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยกำ�หนดให้กองทัพอยู่ภายใต้ระบบการตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณอย่างเคร่งครัด๑๐ โดยความสำ�เร็จดังกล่าวเป็นผลให้เกิดการภักดีและให้เกียรติต่อค่านิยมประเทศ และ บรรทัดฐานในวิถีประชาธิปไตย จนไม่มีสภาวะแทรกซ้อนให้เกิดการคล้อยตามหรือการชักจูง ของขบวนการปฏิวัติรัฐประหาร ตัวอย่างเช่น กรณีของผู้บัญชาการทหารสูงสุดและบรรดา เจ้าหน้าท่ีหน่วยข่าวกรองท่ียืนข้างรัฐบาลดังที่กล่าวมาแล้ว และจุดนี้เองกลายเป็นจุดเปล่ียน สำ�คัญและเปน็ คุณกับฝา่ ยการเมืองของตุรกีอย่างชดั เจน ๒.๒ ภาพลักษณ์ต่อกองทัพตุรกี จากความเป็นชาตินิยมของชาวตุรกี ที่แสดงออกต่อกองทัพถึงความรู้สึกเช่ือม่ันศรัทธาความเป็นชาตินับตั้งแต่สงครามปลดแอก เพ่ือให้ตุรกีได้เสรีภาพมาอย่างเต็มภาคภูมิ ขณะท่ีการก่อรัฐประหารกลับทำ�ให้กองทัพได้รับ แรงส่ันสะเทือน จากกรณีที่บรรดาผู้นำ�ระดับสูงของกองทัพตุรกีบางคนมีพฤติกรรมแบ่งแยก แปรพักตร์ โดยจับอาวุธข้ึนมาประหัตประหารประชาชนในชาติ การโจมตีหน่วยรักษา ความสงบภายใน รวมถึงการยิงถล่มรัฐสภา ซึ่งนับเป็นคร้ังแรกบนหน้าประวัติศาสตร์ การเมืองตุรกีที่มีการโจมตีสถาบันนิติบัญญัติด้วยอาวุธหนัก มุ่งหวังทำ�ลายสถาบันที่ถือเป็น สัญลักษณ์การปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบผู้แทนปวงชน ด้วยเหตุนี้ หลังการก่อปฏิวัติรัฐประหารคลี่คลาย ประธานาธิบดีตุรกีจึงใช้จังหวะน้ีออกแถลงการณ์ โดยนับ เป็นการปรากฏตัวคร้ังแรก ณ สนามบินอิสตันบูล ซ่ึงในถ้อยแถลงสะท้อนนัยสำ�คัญระบุ ว่า “ภารกิจสำ�คัญเร่งด่วนที่ต้องดำ�เนินการเก่ียวเน่ืองกับผลของการก่อรัฐประหารคร้ังน้ี คือ การพิจารณาทบทวนบทบาทของกองทัพอย่างจริงจัง” เน่ืองจากความพยายามก่อรัฐประหาร เป็นพฤติการณ์ที่กระทำ�โดยบรรดาแม่ทัพระดับสูงของกองทัพโดยร่วมมือกับหน่วยต่างๆ ภายใต้หน่วยความม่ันคงทั้งทหารและตำ�รวจ ดังน้ันรัฐบาลจึงจำ�เป็นต้องทบทวนโครงสร้าง ระบบบริหารกิจการภายในแบบเด็ดขาด โดยเฉพาะทหารแตกแถวท่ีมีส่วนพัวพันกับเหตุการณ์ รัฐประหาร รัฐบาลตุรกีรู้เท่าทันถึงความเสี่ยงและผลกระทบต่อกองทัพโดยตรง รวมถึง ประเทศชาติในอนาคต ดังนั้นในบริบทการเมืองขณะนี้นับเป็นวาระสำ�คัญที่ประเทศกำ�ลัง เผชิญหน้ากับความท้าทายหลายด้าน อันเป็นภัยคุกคามต่อความม่ันคงหลายรูปแบบ ๑๐ Bülent Aras and Rabia Karakaya Polat, “Turkey and the Middle East: frontiers of the new geographic imagination,” Australian Journal of International Affairs, Vol. 61, No. 4 (December 2007), pp. 474, 477.
รัฐประหารท่ีลม้ เหลวในตรุ กี: ผลลัพธแ์ ละกระแสสะท้อนกลับ 63 ทั้งการก่อการร้ายจากในประเทศและเครือข่ายก่อการร้ายนอกประเทศ ส่งผลให้เกิด ความสับสนและความระสำ่�ระสายในกองทัพเอง มีการแบ่งฝักฝ่ายแตกแยกอย่างเห็นได้ชัด ดังน้ันประธานาธิบดีได้มอบหมายให้นายกรัฐมนตรีรับผิดชอบภารกิจการปฏิรูปด้านความ มั่นคงด้วยวิธีการครองใจทหารและสามารถพลิกวิกฤติในช่วงคับขัน ซึ่งเป็นท่ีรู้กันว่าขณะเกิด เหตุการณ์รัฐประหารนายกรัฐมนตรีได้ออกมาปกป้องเกียรติของทหาร และเน้นย้ำ�หลายครั้ง ว่ากองทัพส่วนใหญ่มีความบริสุทธิ์ใจต่อประเทศ แต่มีเพียงทหารไม่กี่นายท่ีเป็นปรปักษ์กับ ระบอบการปกครอง ซ่งึ ถือเปน็ ส่วนนอ้ ยเทา่ นนั้ ๑๑ ๓. กระแสสะท้อนกลบั สกู่ ารเมอื งภายใน พรรครัฐบาลภายใต้การนำ�ของประธานาธิบดีเออร์โดกันมีความคาดหวังให้เกิด การปฏิรูปและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในประเทศ เห็นได้จากการเปิดกว้าง ให้ทุกฝ่ายเสนอความเห็นเชิงนโยบายมาโดยตลอด ดังน้ันความพยายามก่อรัฐประหารครั้งนี้ ถือเป็นการเปิดกว้างให้รัฐบาลสามารถดำ�เนินการตามวิสัยทัศน์ของพรรคได้อย่างมีนัยสำ�คัญ โดยเฉพาะความปรารถนาของภาคประชาชนภายใต้วิสัยทัศน์ “ตุรกียุคใหม่” ซ่ึงรวมถึง การแก้ไขเพ่ิมเติมรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ภายใต้ระบอบประธานาธิบดี และถือเป็นการยากที่จะ บอกว่าฝ่ายผู้ถืออำ�นาจจะโหนกระแสเพ่ือให้ทุกฝ่ายให้การยอมรับและสนับสนุนระบอบ ประธานาธิบดีภายใต้การนำ�ของพรรคยุติธรรมและการพัฒนาได้ตลอด เพราะในฟากฝั่ง รัฐบาลย่อมรู้เท่าทันถึงความคิดของฝ่ายที่มีความเห็นต่าง อาทิ พรรคแรงงานชาวเคิร์ด (the Kurdistan Workers’ Party or PKK (Kurdish: Partiya Karkerên Kurdistan) รวมท้ังกระแสกลุ่มนิยมแนวคิดโลกวิสัย แต่เมื่อสถานการณ์และบริบทท่ีเป็นอยู่พิสูจน์ได้ว่า บรรดากลมุ่ การเมอื งฝ่ายค้านตา่ งแสดงพลังคดั ค้านการก่อรัฐประหารและการมงุ่ ทำ�ลายระบอบ ประชาธิปไตยอย่างเต็มกำ�ลัง แต่การท่ีฝ่ายค้านแสดงความรู้สึกร่วมมือกับรัฐบาลต่อต้าน รัฐประหารไม่ได้หมายถึงการยอมรับบทบาทของรัฐบาลและความขัดแย้งทางการเมืองแต่อย่างใด เพราะอย่างไรเสียฝ่ายค้านและกลุ่มเห็นต่างทางการเมืองยังคงเห็นว่าการต่อสู้ต้องอยู่บนวิถี ท่ีถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่การขึ้นสู่อำ�นาจโดยการรัฐประหารเด็ดขาด ดังน้ันผลลัพธ์ท่ีเห็นเด่นชัดที่สุดคือ รัฐบาลใช้กระแสฉันทานุมัติหรือการสร้างการยอมรับ (consent) จากกลุ่มการเมืองฝ่ายค้านเป็นกลไกสู่การกวาดล้างระบบขั้วอำ�นาจท่ีอาจเป็นภัยคุกคาม ๑๑ “What’s Going On in Turkey?,” The Atlantic, July 19, 2016, Retrieved July 20, 2016, from http://theatln.tc/29IB74Y
64 รฐั สภาสาร ปีท่ี ๖๕ ฉบับที ่ ๒ เดอื นกุมภาพนั ธ ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ และสร้างผลกระทบต่อการดำ�เนินการของพรรครัฐบาล เพราะเมื่อรัฐบาลดำ�เนินการกวาดล้าง กลุ่มแนวคิดหรือกระแสนิยมขบวนการรัฐประหารภายใต้ระบบรัฐคู่ขนานแบบเบ็ดเสร็จ ทั้งทหาร ตำ�รวจ อัยการ นักวิชาการ ข้าราชการ ฝ่ายปกครองในทุกองคาพยพท่ีเก่ียวข้อง เมื่อถึงเวลาน้ันบริบททางการเมืองในอนาคตของพรรครัฐบาลย่อมมีอิสระอย่างมาก ในการเข้าสู่อำ�นาจ หรืออาจได้เสียงข้างมากในระบอบรัฐสภาจนอาจนำ�ไปสู่การแก้ไขเพิ่มเติม รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ท่ีมีความชอบธรรมมากท่ีสุด โดยกระบวนการให้ความเห็นชอบจาก ประชาชนผ่านการท�ำ ประชามตกิ ็เปน็ ได้ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ขณะน้ีพิจารณาได้ว่าพรรคความยุติธรรมและการพัฒนา อาจอาศัยจังหวะเพื่อพ่ึงพิงกลุ่มการเมืองฝ่ายค้านโดยอาศัยรูปแบบการปรองดองและความ ร่วมมือ ซ่ึงการมีกลุ่มการเมืองฝ่ายค้านอยู่ข้างเดียวกับรัฐบาลถือเป็นการส่งสัญญาณให้ ฝ่ายแนวร่วมกับขบวนการเห็นขุมกำ�ลังท่ีรัฐบาลมีอยู่ เพื่อให้กระบวนการแก้ไขบทบัญญัติและ สาระสำ�คัญที่นำ�มาพิจารณาประกอบการจัดทำ�ร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนอย่างสมบูรณ์ ผ่านระบอบรัฐสภา ทั้งน้ีสมมติฐานดังกล่าวอาจเป็นไปได้เนื่องจากพรรครัฐบาลเห็นถึงความ จำ�เป็นที่จะยังคงรักษาบทบาทปรองดองนี้ไว้ เพื่อให้แน่ใจว่าพรรคการเมืองฝ่ายค้าน รวมถึง กลุ่มเห็นต่างยังคงจุดยืนร่วมกับรัฐบาลต่อไป เนื่องจากมีการประเมินสถานการณ์ความม่ันคง และภัยคุกคามในอนาคตพบว่าอาจมีเชื้อปะทุของขบวนการก่อรัฐประหารเกิดข้ึนอีก แม้ว่า รัฐบาลจะใช้มาตรการกวาดล้างอย่างหนักก็ตาม นอกจากน้ีสมมติฐานดังกล่าวบ่งช้ีให้เห็นถึง ผลประโยชน์ร่วมกันของพรรคการเมืองตุรกีที่เป็นจุดร่วมในการจัดทำ�รัฐธรรมนูญฉบับ ประชาชน ไม่ใช่รัฐธรรมนูญฉบับทหาร หรืออย่างน้อยอาจส่งผลให้เน้ือหาสาระ ของรัฐธรรมนูญลดทอนข้ออ้างและความชอบธรรมของสถาบันหรือองค์กรใดๆ ที่มักหยิบยก ประเดน็ การปกป้องรฐั และค่านิยมแหง่ รฐั บนพนื้ ฐานความเปน็ รัฐโลกวสิ ยั แตเ่ พียงดา้ นเดยี ว ๔. ผลสะท้อนส่เู วทรี ะหว่างประเทศ เหตุการณ์รัฐประหารคร้ังน้ีฉายภาพสะท้อนให้เห็นบทบาทของมหาอำ�นาจที่ถือว่า เป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์และท่าทีของรัฐปรปักษ์ ท่ีดูเหมือนว่าตุรกีต้องใช้โอกาสน้ี ในการทบทวนนโยบายต่างประเทศและการสร้างดุลยภาพแห่งอำ�นาจ (Balance of Power) อยา่ งรดั กุมระหว่างสหรัฐอเมริกาและรสั เซีย ดังน้ี ๔.๑ สหรฐั อเมรกิ า ท่าทีตุรกีต่อสหรัฐอเมริกาหลังเหตุการณ์รัฐประหารท่ีล้มเหลวดูไม่ราบรื่นนัก เนื่องจากความล่าช้าในการแสดงท่าทีและจุดยืนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อพันธมิตรอย่างตุรกี ในช่วงเกิดรัฐประหาร ไม่มีเสียงเรียกร้องให้ทหารยุติการก่อรัฐประหารดังมาจากทำ�เนียบขาว
รฐั ประหารทลี่ ้มเหลวในตรุ กี: ผลลพั ธ์และกระแสสะท้อนกลบั 65 แต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับวางเฉยต่อข้อเรียกร้องของตุรกี โดยเฉพาะประเด็นท่ีเกี่ยวข้อง กับผู้นำ�ขบวนการอย่างนายฟัตฮุลเลาะห์ โกเลน ซึ่งถือเป็นบุคคลที่รัฐบาลตุรกีกล่าวหาว่า เป็นผู้อยู่เบ้ืองหลังการก่อรัฐประหารคร้ังน้ี เหตุเพราะสหรัฐฯ ให้ท่ีพำ�นักแก่ผู้นำ�ทางความคิด ในฐานะผู้อยู่เบื้องหลังการวางแผนก่อรัฐประหารภายใต้บทบาทผู้ก่อตั้งขบวนการ The Gulen [Hizmet] Movement ท่ีล้ีภัยอยู่ในมลรัฐเพนซิลเวเนีย (Pennsylvania) สหรัฐอเมริกา นับต้ังแต่ปี ค.ศ. ๑๙๙๙ โดยหลังเหตุการณ์รัฐประหารที่ล้มเหลวยุติลง นายกรัฐมนตรีตุรกี ได้ออกแถลงการณ์สำ�คัญระบุว่า “รัฐใดท่ีให้ดินแดนหรือถ่ินพำ�นักแก่นายฟัตฮุลเลาะห์ โกเลน ไม่ถือว่าเป็นรัฐพันธมิตรอีกต่อไป” สัญญาณนี้บ่งชี้ว่าตุรกีอาจทบทวนหรือแก้ไขท่าทีและ หลักเกณฑ์ด้านความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา ในขณะท่ีประธานาธิบดีได้ให้สัมภาษณ์เก่ียวกับ เร่ืองน้ีโดยระบุถึงเงื่อนไขความสัมพันธ์แบบพลิกเกมให้ดูเหมือนมีความนุ่มนวล โดยผูก ประเด็นความเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์กับสหรัฐฯ ให้คงอยู่หรือราบร่ืนต่อไปได้หรือไม่ ข้ึนอยู่กับการส่งตัวผู้อยู่เบ้ืองหลังเหตุการณ์รัฐประหารที่ล้มเหลวให้กับรัฐบาลตุรกี โดยระบุว่า “ถือเป็นเร่ืองจำ�เป็นท่ีสหรัฐฯ ต้องส่งมอบตัวบุคคลผู้อยู่เบ้ืองหลังการก่อรัฐประหารให้กับตุรกี หากคาดหวังให้ความเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ดำ�เนินต่อไปอย่างราบร่ืน” สอดคล้องกับ หนังสือพิมพ์ศอบาห์ (SABAH) ซ่ึงเป็นส่ือสำ�นักพิมพ์สนับสนุนรัฐบาลตุรกีได้แพร่ข่าวเก่ียวกับ กระแสจุดยืนของสหรัฐฯ ที่คลุมเครือไม่ช้ีชัดว่ายืนข้างฝ่ายใดทันทีท่ีเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร โดยได้หยิบยกกรณีของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่ออกมาแถลงข่าว ในนามรัฐบาลอเมริกันกรณีเหตุการณ์รัฐประหารในตุรกี ซ่ึงไม่มีถ้อยความใดที่ระบุว่าวอชิงตัน ให้การอาทรกับรัฐบาลตุรกีที่มาจากการเลือกต้ัง ขาดความรู้สึกร่วมในฐานะพันธมิตรนาโต รวมถึงการเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือในฐานะพันธมิตรต่อต้านขบวนการรัฐอิสลาม ย่ิงกว่านั้น ไม่มีถ้อยคำ�ใดเรียกร้องให้ทหารกลับกรมกองโดยเร็ว๑๒ แต่ส่ิงท่ีรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การต่างประเทศสหรฐั ฯ แถลงไว้มนี ัยความไมช่ ัดเจน โดยระบวุ ่า “ผมเชือ่ วา่ ยังไม่ควรวจิ ารณ์ ต่อประเด็นดังกล่าวในช่วงเวลาน้ี เพราะเท่าท่ีได้รับรายงานมายังเป็นการให้ข้อมูลจากแหล่ง อื่นๆ ยังไม่มีรายละเอียดเพียงพอ ผมได้แต่เพียงหวังให้เกิดเสถียรภาพ สันติภาพ และ ความมั่นคงในตุรกี” และหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวยังเสริมอีกว่า เราไม่ได้กล่าวหาว่าสหรัฐฯ ๑๒ “Coup attempt: US must prove loyalty to Turkey,” Daily Sabah, July 18, 2016, Retrieved September 18, 2016, from http://bit.ly/29NVdvV
66 รฐั สภาสาร ปีท ี่ ๖๕ ฉบบั ท ่ี ๒ เดือนกมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ กำ�ลังทุ่มความพยายามในการโค่นล้มรัฐบาลตุรกี แต่ส่ิงท่ีเราหวังคือรัฐบาลสหรัฐฯ ควรแสดง จุดยืนที่ชัดเจนว่าจะอยู่เคียงข้างพลเมืองตุรกี เพราะหากน่ิงเฉยเช่นน้ีประชาชนตุรกีอดต้ัง คำ�ถามไม่ได้เกี่ยวกับเส้นทางความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ยิ่งเม่ือเห็นบรรยากาศ ต่อเนื่องที่สหรัฐฯ ดำ�เนินอยู่ย่ิงสร้างความสงสัยและความคลุมเครือเกี่ยวกับกระแสท่ีมีการกล่าวอ้าง ว่าการก่อรัฐประหารคร้ังน้ีมีความร่วมมือกันระหว่างสหรัฐฯ และขบวนการเคลื่อนไหวในตุรกี อยู่เบื้องหลัง อย่างไรก็ตามหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวยังพาดหัวข่าวได้เผ็ดร้อนและปิดท้าย บทบรรณาธิการด้วยถ้อยคำ�แยบคาย โดยระบุว่า “เรามาถึงจุดท่ีไม่สามารถหวนกลับมาสู่ ความสัมพันธ์ระหว่างกันได้อีก หากรัฐบาลสหรัฐฯยังให้การช่วยเหลือและส่งเสริมผู้นำ� ทางความคิดและอยู่เบื้องหลังการทำ�รัฐประหาร เม่ือเป็นเช่นน้ีอย่าหวังว่าทหารอเมริกัน จะเข้ามาร่วมงานใดๆในประเทศของเราอีก” ขณะท่ีประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้สะท้อน จุดยืนของตนหลังเหตุความพยายามก่อรัฐประหารผ่านพ้นไป ๓ วัน โดยสาระสำ�คัญระบุถึง การประณามความพยายามก่อรัฐประหารรัฐบาลท่ีเป็นประชาธิปไตยอย่างรุนแรง พร้อมเสนอ การช่วยเหลือรัฐบาลตุรกี ในโอกาสน้ีดูเหมือนว่ารัฐบาลตุรกีวันน้ียึดหลักการเดิมคือ ปรารถนาให้สหรัฐฯส่งตัวนายฟัตฮุลเลาะห์ โกเลน โดยถือว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นหลัก ในการพิจารณาทบทวนความสัมพนั ธ์ระหว่างตรุ กกี บั สหรฐั ฯ อยา่ งหลกี เล่ยี งไมไ่ ด้ ในขณะที่ตุรกีมีท่าทีและจุดยืนชัดเจน ๒ เรื่อง คือ การใช้โอกาสน้ีกดดัน สหรัฐฯ เพ่ือให้ส่งตัวบุคคลผู้อยู่เบ้ืองหลังการก่อรัฐประหารให้รัฐบาลตุรกี และตุรกีได้เห็น พฤติการณ์ความไม่จริงใจของสหรัฐฯ ชัดขึ้น ตอกยำ้�สิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้า โดยเฉพาะ พฤติการณ์ตา่ งๆ ท่ีสรา้ งผลกระทบต่อตรุ กหี รอื ขอ้ ขดั กนั ของผลประโยชน์ของตรุ กี ประกอบดว้ ย - จุดยืนของสหรัฐฯและท่าทีแสดงออกแบบลูบหน้าปะจมูกกรณีซีเรียและ การเปลยี่ นผา่ นอำ�นาจในซีเรยี ท่ีปลอ่ ยระยะเวลาลว่ งเลยมานานกว่า ๕ ป ี - การสนับสนุนกองกำ�ลังติดอาวุธป้องกันตนเอง (Self-Defense) ในซีเรีย ที่รัฐบาลตุรกีมองว่ากลุ่มหรือขบวนการดังกล่าวมีความเช่ือมโยงและสัมพันธ์กับพรรคแรงงาน ชาวเคิร์ดในตุรกี (the Kurdistan Workers’ Party or PKK (Kurdish: Partiya Karkerên Kurdistan) - การสนับสนุนกองกำ�ลังติดอาวุธซีเรียเพื่อประชาธิปไตยที่ส่วนใหญ่ เปน็ ชาวเคิร์ด ซง่ึ ตุรกีมองว่าสรา้ งผลกระทบตอ่ ความม่นั คงของตุรกีอย่างชดั เจน ดังน้ันตุรกีจึงขยับผ่านนโยบายเชิงรุกมุ่งหน้ากดดันรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อให้ พิจารณาทบทวนนโยบายต่างประเทศในภาพรวม โดยเฉพาะผลประโยชน์ของตุรกีซ่ึงผูกโยง อยู่กับความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ในสถานะพันธมิตรอันเหนียวแน่นระหว่างกัน โดยระบุ
รฐั ประหารท่ีลม้ เหลวในตรุ ก:ี ผลลัพธแ์ ละกระแสสะทอ้ นกลับ 67 ว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างตุรกีกับสหรัฐฯ ถือเป็นความสัมพันธ์ในระดับพันธมิตร เชิงยุทธศาสตร์ และการร่วมมือระหว่างกันควรมีทิศทางท่ีต่อเน่ือง ดังนั้นการทบทวน นโยบายเก่ียวกับความสัมพันธ์ต้องมีการพิจารณาท่าทีต่อไปของสหรัฐฯ ว่าสามารถตอบสนอง และดำ�เนนิ การตามขอ้ เรียกร้องของตุรกีได้หรือไม่” ๔.๒ รัสเซยี รัสเซียแสดงท่าทีต่อการก่อรัฐประหารทันทีในวันเดียวกันที่เกิดเหตุการณ์และ แสดงความรู้สึกร่วมเคียงข้างรัฐบาลตุรกีโดยประณามเหตุการณ์รัฐประหารอย่างรุนแรง ทำ�ให้ เห็นนโยบายรัสเซียท่ีมีพลวัตรสามารถปรับกระแสได้อย่างแยบคาย ซึ่งเร่ืองนี้ไม่เพียง การแสดงความจริงใจจากรัสเซีย แต่ยังเป็นการปรับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้กลับมา อยู่ในระดับเดิม โดยเฉพาะความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ภายหลังท่ีเกิดเหตุการณ์เครื่องบิน รัสเซียถูกยิงตกเน่ืองจากละเมิดน่านฟ้าตุรกี หลังข้ึนบินเพื่อมุ่งหน้าสู่ภารกิจโจมตีกลุ่มกบฏ ติดอาวุธในซีเรียเมอื่ วนั ท ่ี ๒๔ พฤศจิกายน ค.ศ. ๒๐๑๕ ทีผ่ ่านมา ท่ีมา: http://time.com ความสมั พนั ธร์ ะหว่างตุรกี-รสั เซียท่เี คยถดถอยเรม่ิ ขยบั ปรบั เปล่ียนมาใกลช้ ิดกนั มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ได้โทรศัพท์ต่อสายถึงประธานาธิบดี ตุรกี๑๓ ในวันแรกที่เกิดเหตุรัฐประหารขึ้น พร้อมแถลงการณ์ที่ออกโดยรัฐสภารัสเซียยืนยันถึง ๑๓ หนงั สือพิมพ์ Russia Today พาดหวั ข่าวกรณปี ระธานาธิบดรี สั เซยี ตอ่ สายพูดคุยแสดงความเป็นหว่ ง ประธานาธิบดีตุรกีหลังเกิดเหตุรัฐประหารท่ีล้มเหลว, สืบค้นจาก https://www.rt.com/op-edge/355661- russia-trust-turkey-erdogan/
68 รัฐสภาสาร ปที ่ี ๖๕ ฉบับท ่ี ๒ เดอื นกุมภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ จุดยืนรัสเซียที่ปฏิเสธกระบวนการเข้าสู่อำ�นาจทุกรูปแบบท่ีไม่ใช่วิถีประชาธิปไตยและ อยู่นอกเหนือรัฐธรรมนูญ เม่ือตุรกีเห็นถึงสัญญาณท่ีรัสเซียส่งมา ส่งผลให้เกิดแนวทาง กระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และมีกำ�หนดนัดหมายพบปะกันระหว่าง ผู้นำ�สองประเทศในเวลาต่อมา ซ่ึงเมื่อพิจารณาเหตุการณ์ก่อนหน้าน้ีอาจเห็นความเชื่อมโยง ระหว่างเหตุการณ์ก่อรัฐประหารกับการยิงเคร่ืองบินรัสเซียตก เน่ืองจากประธานาธิบดีตุรกี ระบุว่า “ไม่แน่ว่าการยิงเคร่ืองบินรัสเซียตกมีความเชื่อมโยงกับขบวนการพยายาม ก่อรัฐประหารและอาจเป็นเร่ืองที่เก่ียวข้องกัน เน่ืองจากมีความเป็นไปได้ในสมมติฐานน้ี เ พ ร า ะ มี ก า ร ร ะ บุ ภ า ย ห ลั ง ว่ า นั ก บิ น ค น ดั ง ก ล่ า ว มี ส่ ว น พั ว พั น แ ล ะ เ ข้ า ร่ ว ม กั บ ข บ ว น ก า ร ก่อรัฐประหารคร้ังน้ี และอาจเป็นรูปแบบการสร้างความอึดอัดกดดันรัฐบาลตุรกีผ่าน การสร้างวิกฤติกระทบความสัมพันธ์กับรัสเซียและยกระดับกลายเป็นความขัดแย้งนำ�ไปสู่ การสร้างกระแสความวนุ่ วายภายในกองทัพ เพ่อื เปิดทางให้ทหารเขา้ แทรกแซงอยา่ งเปน็ ขั้นตอน” บทสรุป ผลพวงจากความพยายามในการก่อรัฐประหารท่ีล้มเหลวในตุรกีสะท้อนให้เห็น ประสิทธิภาพการบริหารประเทศของประธานาธิบดีเออร์โดกันในการก้าวข้ามปัญหาและผลักดัน ประเทศสู่ความเป็นตุรกียุคใหม่ในอนาคต ถือเป็นการวาดภาพอนาคตตุรกียุคใหม่ที่สอดคล้อง กับแถลงการณ์ครั้งแรกที่สนามบินอิสตันบูลหลังเหตุการณ์รัฐประหารที่ล้มเหลวจบส้ินลง โดยยืนยันว่าประเทศจะต้องเป็นตุรกียุคใหม่ที่ไม่เหมือนยุคเดิมอีกต่อไป วาทกรรมนี้ฉายภาพ ให้เกิดมายาคติใหม่ในมิติการเปล่ียนแปลงระบบอำ�นาจของทหารตามบทบาทอำ�นาจท่ีกำ�หนด ไว้ในข้อบัญญัติแห่งกฎหมาย ท้ังในทางการเมืองและรัฐธรรมนูญ ย่ิงการก่อรัฐประหารคร้ังนี้ ล้มเหลวเนื่องจากประชาชนท้ังประเทศออกมาต่อต้านอย่างรุนแรง สะท้อนให้ทุกฝ่าย การเมืองเห็นพ้องกันถึงการปรับแนวคิดและปลุกกระแสให้เกิดเจตคติและมุมมองร่วมกันว่า การก่อรัฐประหารเป็นภัยร้ายของสังคมประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง ดังนั้นรัฐธรรมนูญเดิมท่ีให้ อำ�นาจทหารจะต้องเข้าสู่กระบวนการชำ�ระเพ่ือเปลี่ยนผ่านสู่รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน อย่างสมบูรณ์ และการขึ้นสู่อำ�นาจในตำ�แหน่งประธานาธิบดีของประเทศผ่านกระบวนการรัฐสภา พร้อมกันน้ียังรวมถึงโครงสร้างอำ�นาจท่ียังคงมีอิทธิพลและมีสถานะตามบทบาทของรัฐ อันหมายถึงบรรดาข้าราชการที่มีส่วนได้ส่วนเสียและมีผลกระทบในมิติการเมืองและการบริหาร ของพรรครัฐบาลท่ีต้องการเปลี่ยนสู่ตุรกียุคใหม่ เห็นได้จากการปลดออกและไล่ออกบรรดา ข้าราชการในหน่วยงานของรัฐ ไม่เพียงในส่วนของกองทัพ แต่ยังรวมถึงหน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานตุลาการ สำ�นักงานศาลยุตธิ รรม และศาลรัฐธรรมนูญแบบถอนรากถอนโคน
รัฐประหารที่ล้มเหลวในตุรกี: ผลลพั ธแ์ ละกระแสสะท้อนกลับ 69 ขณะท่ีผลสะท้อนจากนอกประเทศเชื่อมโยงกับท่าทีและจุดยืนที่แสดงออกมา ในช่วงเกิดเหตุการณ์รัฐประหารแรกๆ เริ่มจากบรรดาผู้นำ�หรืออดีตผู้นำ�ตุรกี รวมถึงแกนนำ� ทุกฝ่ายต่างแสดงความเชื่อม่ันและสร้างความม่ันใจกับชาวตุรกี ขณะท่ีบรรดาชาติพันธมิตรและ ชาติทม่ี สี ถานะเสมือนคขู่ ัดแยง้ ส่วนใหญต่ า่ งเฝ้าดูเหตกุ ารณ์และรอจงั หวะเวลาในการแถลงทา่ ที และจุดยืนต่อการก่อรัฐประหารที่ล้มเหลวคร้ังน้ี เพราะในท่ีสุดมหาอำ�นาจในฐานะพันธมิตร เชิงยุทธศาสตร์ไม่กล้าแสดงออกชัดเจนต่อเหตุการณ์ก่อรัฐประหารคร้ังน้ี ซึ่งพฤติการณ์ ดังกล่าวเป็นผลสะท้อนให้เห็นว่าไม่มีทางออกใดๆ นอกจากการสร้างความเข้มแข็งแบบพ่ึงพา ตนเอง ซ่ึงตุรกีมองว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสมท่ีสุดกับสถานการณ์ขณะน้ี และบรรดาผู้นำ�ประเทศ รวมถึงผู้มีอำ�นาจฝ่ายบริหารต้องให้ความสำ�คัญอย่างมาก โดยเฉพาะในมิติความม่ันคงและ เศรษฐกิจภายในประเทศผ่านโครงการต่างๆ ที่หลายฝ่ายเรียกร้อง โดยถือเป็นความจำ�เป็น เร่งดว่ นรองรับความท้าทายทง้ั ภายในประเทศและระดบั ภมู ภิ าค นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่เก่ียวข้องกับเศรษฐกิจของประเทศท่ีตุรกีต้องเร่ง ดำ�เนินการและเป็นภาวะจำ�เป็น โดยเฉพาะโครงการยุทธศาสตร์พลังงานและอุตสาหกรรม ป้องกันประเทศ รวมถึงการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคธุรกิจให้สามารถตอบสนอง เป้าหมายและบรรลุผลสัมฤทธิ์ได้ในปี ค.ศ. ๒๐๒๓ ซึ่งส่ิงสำ�คัญขณะนี้คือการก้าวข้าม ร่องรอยและบาดแผลท่เี กิดจากการกอ่ รัฐประหารไปให้ได้ เพือ่ ให้ประเทศสามารถเดินหนา้ ตอ่ ไป ในกรอบแนวคิดใหม่ รวมถึงการปรับนโยบายต่างประเทศเพ่ือให้เกิดดุลอำ�นาจที่เหมาะสม ระหว่างสองฝ่ังมหาอำ�นาจจากฟากตะวันออกและตะวันตก อย่างน้อยปรากฏการณ์ รัฐประหารท่ีล้มเหลวนี้มีแรงกระเพ่ือมจากสัญญาณบางอย่างท่ีส่งผ่านมาจากฝั่งมหาอำ�นาจ ตะวันตก จนมีผลให้เกิดการเปรียบเทียบกับรัสเซียที่แสดงให้เห็นจุดยืนและทา่ ทีปฏิเสธต่อตา้ น รัฐประหารมาตั้งแต่ต้น จนส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างตุรกี-รัสเซียที่เคยอยู่ในภาวะ ส่ันคลอนมาก่อนหน้า เปลี่ยนมาสู่ความใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น แต่การปรับเปลี่ยนท่ีเกิดข้ึน อย่างรวดเร็วเช่นน้ีกลายเป็นคำ�ถามตัวโตว่า ท้ังสองประเทศจะพัฒนาความสัมพันธ์ จนสามารถขยายกรอบสู่ภาคปฏิบัติและดำ�เนินการอย่างเป็นรูปธรรมได้จริงหรือไม่ รวมถึง ประเด็นปัญหาในระดับภูมิภาคและปัญหาอื่นๆที่ยังรอการแก้ไขอีกมากมายนอกภูมิภาค จึงกลายเป็นสิ่งทา้ ทา้ ยตอ่ รัฐบาลตุรกีในอนาคตอย่างปฏิเสธไมไ่ ด้
70 รฐั สภาสาร ปีที ่ ๖๕ ฉบบั ท่ี ๒ เดอื นกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ บรรณานกุ รม สอ่ื อเิ ล็กทรอนิกส์ “การปฏิวัติที่ล้มเหลว ผลกระทบกับโลกอาหรับ.” Aljazeera Media Network. สืบค้นเมอื่ ๒๔ กนั ยายน ๒๕๕๙, จาก http://www.aljazeera.net/programs/ revolutionrhetoric/2016/7/23/ สถาบนั โดฮาเพอ่ื การวจิ ยั และศึกษานโยบาย. “เพราะเหตใุ ดการปฏวิ ตั ทิ แ่ี ลกด้วยเลอื ดถึงลม้ เหลว.” สบื คน้ จาก http://www.dohainstitute.org/file/Get/d136b360-f2a9-405f-b083-f580a 111cca4.pdf Al-Noubi, Bakr. “มารู้จักโฉมหน้าคณะรัฐประหาร.” Freedom and Justice Gate. สบื คน้ เมือ่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๙, จาก http://www.fj-p.com/Our_news_Details. aspx?News_ID=98540 Altunisik, Meliha Benli. “The Possibilities and Limits of Turkey’s Soft Power in the Middle East.” Insight Turkey, Vol. 10 No. 2 (2008), pp. 43-44, Retrieved September 12, 2016, from http://file.insightturkey.com/Files/ Pdf/insight_turkey_vol_10_no_2_2008_altunisik.pdf Anadolu Agency. “ประธานาธิบดีตุรกีประกาศภาวะฉุกเฉินรวมระยะเวลา ๓ เดือน.” สืบคน้ เมอื่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙, จาก http://bit.ly/29VvcQ3 Aras, Bülent, and Rabia Karakaya Polat. “Turkey and the Middle East: frontiers of the new geographic imagination.” Australian Journal of International Affairs, Vol. 61, No. 4 (December 2007), pp. 474, 477. “Coup attempt: US must prove loyalty to Turkey.” Daily Sabah. July 18, 2016, Retrieved September 18, 2016, from http://bit.ly/29NVdvV “Fethullah Gulen.” The Arab Weekly. Retrieved October 7, 2016, from http://alarab. co.uk/m/?id=11141 Hains, Tim. “Ralph Peters: Obama Chose The Wrong Side In Turkey Coup.” Real Clear Politics. July 16, 2016, Retrieved September 22, 2016, from http://www.dohainstitute.org/file/Get/7e5de3d3-6472-4f73-a137- b9206b706b1e.pdf
รัฐประหารท่ีลม้ เหลวในตรุ กี: ผลลพั ธแ์ ละกระแสสะทอ้ นกลับ 71 Sawa news agency. “Who is Fethullah.” Retrieved October 3, 2016, from http://www.palsawa.com/news/2016/07/16/inter/75488.html Tharoor, Ishaan. “An Old-school coup fails to topple Turkey’s powerful president.” The Washington Post. July 16, 2016, Retrieved August 16, 2016, from http://wapo.st/29Da1kg “Turkish intel informed top generals hours before coup attempt, says army.” Hurriyet Daily News. July 20, 2016, Retrieved September 22, 2016, from http://bit.ly/29MGhOp “What’s Going On in Turkey?.” The Atlantic. July 19, 2016, Retrieved July 20, 2016, from http://theatln.tc/29IB74Y Yetkin, Murat. “Who did it? Why now? And other questions about the coup attempt in Turkey.” Hurriyet Daily News. July 18, 2016, Retrieved August 18, 2016, from http://bit.ly/2a1EJ4P
ขอ้ สงั เกตบางประการเกย่ี วกับปญั หาส�ำ คัญในกระบวนการประเมนิ ผล นโยบายสาธารณะ: บทสะท้อนผา่ นมมุ มองเชงิ ระบบ สุรศกั ดิ ์ ชะมารมั ย*์ บทคัดยอ่ บทความชิน้ นมี้ ีวตั ถปุ ระสงคห์ ลกั ที่สำ�คญั คอื เพ่ือต้องการอธบิ ายให้เหน็ ถงึ ปญั หา สำ�คัญในกระบวนการของการประเมินผลนโยบายสาธารณะซึ่งสะท้อนให้เห็นผ่านมุมมอง เชิงระบบ โดยพบว่าปัญหาสำ�คัญในกระบวนการของการประเมินผลนโยบายสาธารณะ ท่ีสะท้อนผ่านมุมมองเชิงระบบมี ๓ ลักษณะ ดังนี้ คือ ๑. ปัจจัยนำ�เข้า (Input) ประกอบด้วย ๑) การกำ�หนดรายละเอียดและวัตถุประสงค์ในการประเมินผลคือ ความไม่แน่ชัด ของเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของนโยบายสาธารณะ และปัญหาตัวบุคคลท่ีทำ�การประเมินผล นโยบายสาธารณะ ๒) พัฒนาตัวแบบการวิจัยประเมินผลที่เหมาะสมกับเป้าหมายและเกณฑ์ คือ การขาดกรอบแนวคิดโครงการที่เพียงพอ และ ๓) การพิจารณากำ�หนดตัวบ่งช้ี และแหล่งข้อมูลคือ ปัญหาการขาดข้อมูลข่าวสารในการประเมินผลนโยบายสาธารณะ ๒. กระบวนการแปรสภาพ (Transformation Process) ประกอบดว้ ย ๑) การเก็บรวบรวม ข้อมูลคือ ความยากลำ�บากในการได้มาซ่ึงข้อมูล และ ๒) การวิเคราะห์ข้อมูลและการแปร ความหมายข้อมูลคือ ผู้ประเมินผลนโยบายขาดความรู้ความเข้าใจในการวิเคราะห์ข้อมูลและ การแปรความหมายข้อมูล และ ๓. ปัจจัยนำ�ออก (Output) ประกอบด้วยการสรุปผล การประเมนิ คอื การตอ่ ตา้ นจากฝา่ ยเจ้าหน้าทที่ างการหรือทางราชการ ค�ำ ส�ำ คัญ: ปัญหาสำ�คญั กระบวนการประเมนิ ผลนโยบายสาธารณะ มมุ มองเชงิ ระบบ * นักศึกษาหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชานโยบายสาธารณะและการจัดการ ภาครฐั คณะสังคมศาสตรแ์ ละมนษุ ยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหดิ ล
ข้อสังเกตบางประการเกยี่ วกบั ปญั หาส�ำ คญั ในกระบวนการประเมินผลนโยบายสาธารณะ: 73 บทสะท้อนผ่านมุมมองเชงิ ระบบ ๑. บทน�ำ คำ�ว่า “นโยบายสาธารณะ” (Public Policy) หากจะพิจารณาถึงความหมาย อย่างรวบรัด สั้น กะทัดรัด และได้ใจความมากท่ีสุด คงต้องพิจารณาตามมุมมองของ Thomas R. Dye อันเป็นมุมมองในเชิงการเมืองที่ว่า นโยบายสาธารณะ (Public Policy) คืออะไรก็ตามที่รัฐบาลตัดสินใจเลือกท่ีจะกระทำ�หรือไม่กระทำ� (Whatever governments choose to do or not to do) ซึ่งเป็นการพิจาณาในแง่ท่ีว่า ทำ�ไมรัฐบาลจึงต้องดำ�เนินการ นโยบายนั้น และนโยบายนั้นจะสร้างความแตกต่างอะไร ทั้งน้ี เพราะรัฐบาลมีหน้าท่ีต้องทำ� หลายอย่าง อาทิ เช่น การควบคุมความขัดแย้งในสังคม การจัดระเบียบสังคม ในการดำ�เนินการเกี่ยวกับความขัดแย้งกับสังคมอื่นๆ การกระจายความหลากหลาย ของผลตอบแทนในแง่ที่เป็นสัญลักษณ์และบริการทรัพยากรต่างๆให้กับสมาชิกของสังคม โดยการจัดเก็บเงินจากสังคม ซ่ึงส่วนใหญ่มักจะอยู่ในรูปของภาษี เพราะฉะนั้นนโยบาย สาธารณะจึงเป็นการควบคุมพฤติกรรม การจัดระบบราชการ การกระจายผลประโยชน์ หรือ การจัดเกบ็ ภาษ ี (Thomas R. Dye, 2005: 1-5) นโยบายสาธารณะโดยทั่วไปจะประกอบด้วย ๓ ขั้นตอนท่ีสำ�คัญ ดังน้ี คือ ขั้นตอนแรก เป็นเรื่องการกำ�หนดนโยบายสาธารณะ (Policy Formulation) ซึ่งเป็นเรื่อง ของท่ีมาท่ีไปของนโยบายว่า นโยบายเกิดข้ึนมาได้อย่างไร ใครเป็นผู้เกี่ยวข้องในการกำ�หนด นโยบายบ้าง โดยทั่วไปมักจะมีการนำ�ตัวแบบมาใช้ในการศึกษานโยบายสาธารณะซึ่งมีอยู่ จำ�นวนหลายตัวแบบท่ีจะช่วยให้เข้าใจชีวิตทางการเมือง ได้แก่ ตัวแบบสถาบัน (Institutional Model) ตัวแบบกระบวนการ (Process Model) ตัวแบบกลุ่ม (Group Model) ตัวแบบผู้นำ� (Elite Model) ตัวแบบส่วนเพิ่ม (Incremental Model) และตัวแบบระบบ (Systems Model) เป็นต้น ขั้นตอนที่สอง เป็นการปฏิบัติตามนโยบายสาธารณะหรือการนำ� นโยบายสาธารณะไปปฏิบัติ (Policy Implementation) หมายถึง การดำ�เนินงานให้ลุล่วง ให้ประสบความสำ�เร็จให้ครบถ้วนให้เกิดผลผลิตและให้สมบูรณ์ ซ่ึงส่ิงเหล่าน้ีเป็นสิ่งที่รัฐบาล กำ�ลังปฏิบัติอยู่และเป็นธรรมชาติของนโยบาย จะเห็นได้ว่าในการนำ�นโยบายไปปฏิบัติ เป็นการกระทำ�ขององค์การราชการที่จะต้องรับผิดชอบในการนำ�นโยบายของรัฐบาลไปปฏิบัติ ให้ประสบความสำ�เร็จในทุกด้าน และให้การดำ�เนินงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยครบถ้วน สมบูรณ์ตามวัตถุประสงค์ท่ีกำ�หนดไว้และก่อให้เกิดผลผลิตที่พึงปรารถนา (Pressman and Wildavsky, 2004: 340) โดยมีการพัฒนาตัวแบบสำ�หรับการนำ�นโยบายสาธารณะไปปฏิบัติ เป็นจำ�นวนมาก ได้แก่ ตัวแบบกระบวนการนำ�นโยบายไปปฏิบัติของ Van Meter และ Van Horn (1975) เป็นต้น และข้ันตอนท่ีสามหรือขั้นตอนสุดท้าย คือ การประเมินผล
74 รฐั สภาสาร ปที ่ ี ๖๕ ฉบับที ่ ๒ เดือนกุมภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ นโยบายสาธารณะ (Policy Evaluation) ซ่ึงเป็นข้ันตอนของการตัดสินใจว่าผลท่ีตามมา ของการปฏิบัติตามนโยบายสาธารณะหรือการนำ�นโยบายสาธารณะไปปฏิบัติน้ันเป็นไปตาม วัตถุประสงค์ท่ีต้ังไว้หรือไม่ อย่างไร รวมท้ังยังเป็นการตรวจสอบถึงผลกระทบท่ีเกิดข้ึนจริง เพ่ือจะได้ทราบว่านโยบายสาธารณะประสบความสำ�เร็จหรือล้มเหลว เพ่ือท่ีจะได้มีข้อมูล ในการปรับปรุงแก้ไข หรือยุตินโยบาย โดยสามารถศึกษาทำ�ความเข้าใจผ่านกระบวนการหรือ ข้ันตอนในการประเมินผลนโยบายสาธารณะ ได้แก่ กระบวนการหรือขั้นตอนในการประเมินผล นโยบายสาธารณะของ Tyler (1949) กระบวนการหรือขั้นตอนในการประเมินผลนโยบาย สาธารณะของ Hayes (1969) เปน็ ต้น แต่อย่างไรก็ตาม ในบรรดากระบวนการนโยบายสาธารณะท้ังสามข้ันตอนตามท่ีได้ กล่าวถึงในตอนต้นน้ัน กล่าวได้ว่าการประเมินผลนโยบายสาธารณะถือเป็นกระบวนการ หรือข้ันตอนที่เป็นปัญหามากท่ีสุดขั้นตอนหน่ึงสำ�หรับนักนโยบายสาธารณะ โดยเฉพาะในแง่ ที่ก่อให้เกิดความเข้าใจที่สับสนระหว่างการประเมินผลนโยบายสาธารณะและการประเมินผล โครงการว่าทั้งสองเป็นเรื่องเดียวกันหรือมีความแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร ถึงแม้ว่าจะมี นักวิชาการทางด้านนโยบายสาธารณะหลายท่านพยายามให้มุมมองหรืออธิบายต่อประเด็น ดังกล่าวแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่เป็นท่ีชัดเจนเท่าใดนัก นอกจากประเด็นดังกล่าวแล้ว ในแง่ของกระบวนการหรือข้ันตอนของการประเมินผลนโยบายสาธารณะเองก็มักจะมีอยู่ อย่างหลากหลายข้ันตอนหรือกระบวนการ ทำ�ให้นักประเมินผลนโยบายหรือผู้ที่ต้องทำ�หน้าที่ ในการประเมินผลนโยบายหลายคนเกิดความสับสนหรือเกิดความเข้าใจท่ีคลาดเคลื่อน จนทำ�ให้ละเลยขั้นตอนสำ�คัญของการประเมินผลนโยบายสาธารณะไปอย่างน่าเสียดาย อันทำ�ให้มีผลกระทบต่อนโยบายสาธารณะทั้งในทางบวกและทางลบ ท้ังทางตรงและทางอ้อม ย่ิ ง ไ ป ก ว่ า น้ั น ก า ร ป ร ะ เ มิ น ผ ล น โ ย บ า ย ส า ธ า ร ณ ะ ก็ มั ก จ ะ ป ร ะ ส บ กั บ ปั ญ ห า สำ � คั ญ อ ยู่ หลายประการทั้งในแง่ของการเตรียมการก่อนลงมือเก็บข้อมูล การดำ�เนินการเก็บข้อมูล รวมไปถึงข้ันตอนของการวิเคราะห์ข้อมูล ประมวลผลข้อมูล สรุปผลข้อมูล และรายงานผล ขอ้ มลู ให้ผู้ทเ่ี กยี่ วขอ้ งทราบต่อไปด้วย ๒. ทำ�ความเข้าใจความหมายและความแตกต่างของการประเมินผล นโยบายสาธารณะและการประเมินผลโครงการ การประเมินผลนโยบายสาธารณะ (Policy Evaluation) เป็นคำ�ท่ีใช้แทนกันได้ กับคำ�ว่า “การวิจัยประเมินผล” (Evaluation Research) ซึ่งจัดว่าเป็นการวิจัยประเภทหน่ึง คือ เป็นการวิจัยประยุกต์เพ่ือประเมินความก้าวหน้า (formative) หรือประเมินผลสรุป
ข้อสงั เกตบางประการเกย่ี วกับปัญหาส�ำ คัญในกระบวนการประเมนิ ผลนโยบายสาธารณะ: 75 บทสะท้อนผ่านมุมมองเชิงระบบ (summative) ของนโยบาย แผนงาน หรือโครงการ โดยการประเมินผลนโยบายสาธารณะ การวิจัยประเมินผลหรือการประเมินผลต่างก็มีลักษณะร่วมกันคือ ศึกษาถึงนโยบายสาธารณะ หรือนโยบายของรัฐบาลที่อาจแบ่งย่อยออกเป็นแผน แผนงาน โครงการ หรือแยกย่อย ออกเป็นงาน แต่อย่างไรก็ตาม การประเมินผลนโยบายสาธารณะ การวิจัยประเมินผล หรือการประเมินผลมีจุดเน้นที่แตกต่างกัน กล่าวคือ การประเมินผลนโยบายสาธารณะ มุ่งเน้นสิ่งท่ีประเมินคือตัวนโยบายสาธารณะหรือนโยบายย่อยๆ ในขณะท่ีการวิจัยประเมินผล มุ่งเน้นที่ระเบียบวิธีการวิจัยซ่ึงเน้นด้านวิธีการ (means) ส่วนการประเมินผลมุ่งเน้นที่การตัดสิน คุณค่าของกิจกรรม ซึ่งเป็นการเน้นทางด้านเป้าหมาย (ends) (เรืองวิทย์ เกษสุวรรณ, ๒๕๕๕: ๑-๒ และ Suchman, 1967: 31) ในแง่ความหมายของการประเมินผลนโยบายสาธารณะ (Policy Evaluation) ในมุมองของนักวิชาการต่างประเทศคนสำ�คัญ ได้แก่ Joseph S. Wholey (1970: 15) เห็นว่าการประเมินผลนโยบายสาธารณะเป็นการประเมินผลประสิทธิผลภาพรวมของแผนงาน ของประเทศว่าบรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่ หรือการประเมินประสิทธิผลเชิงสัมพัทธ์ ของสองแผนงานหรือมากกว่าว่าบรรลุวัตถุประสงค์ท่ีต้ังไว้หรือไม่ อย่างไร เช่นเดียวกันกับที่ James E. Anderson (1983: 8) ท่ีมองว่าการประเมินผลนโยบายสาธารณะหมายถึงกิจกรรม ท่ีเก่ียวข้องกับการประมาณการ การเปรียบเทียบผลการนำ�นโยบายไปปฏิบัติกับส่ิงท่ีคาดว่า จะเกิดข้ึน กิจกรรมเหล่านี้เป็นกิจกรรมที่กระทำ�อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ดังนั้น ในการ ประเมินผลนโยบายอย่างน้อยผู้ประเมินต้องมีความรู้ในประเด็นต่อไปนี้คือ เป้าหมายหรือ วัตถุประสงค์ของนโยบายคืออะไร การดำ�เนินการให้บรรลุเป้าหมายกำ�หนดไว้อย่างไร และ ผลท่ีเกิดขึ้นจากการดำ�เนินการทั้งหมดเป็นอย่างไร ส่วน William N. Dunn (1981: 339) ที่มองว่าการประเมินผลนโยบายสาธารณะเป็นสิ่งท่ีจำ�แนกการประเมินผลนโยบายไปจาก ประเภทต่างๆ ของการวิเคราะห์นโยบาย เช่น การกำ�หนดนโยบาย ก็คือจุดสนใจท่ีมีต่อ ผลลัพธ์ของนโยบายหรือผลท่ีตามมาท่ีควรจะคัดค้านหรือไม่เห็นด้วยต่อลักษณะหรือสาเหตุ ของนโยบาย ในทำ�นองเดียวกันกับที่ William M. K. Trochim (2009: 16) เห็นว่าเป็นกฎ ห รื อ ห ลั ก ก า ร ที่ ว่ า ก ลุ่ ม ห รื อ อ ง ค์ ก ร จ ะ ใ ช้ เ พื่ อ เ ป็ น แ น ว ท า ง ใ น ก า ร ตั ด สิ น ใ จ แ ล ะ ก า ร ก ร ะ ทำ � เม่ือทำ�การประเมินผล ส่วนในมุมมองของนักวิชาการไทยคนสำ�คัญได้แก่ จุมพล หนิมพานิช (๒๕๕๒: ๑๙) อธิบายว่า การประเมินผลนโยบาย หมายถึงการเปรียบเทียบผลท่ีได้ ภายหลังการนำ�นโยบายกับเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของนโยบายที่มีการกำ�หนดล่วงหน้า ซ่ึงมีลักษณะท่ีคล้ายกันกับความหมายท่ีให้ไว้โดยศุภชัย ยาวะประภาษ (๒๕๕๒: ๑๒๕) ในแง่ท่ี ว่าการประเมินผลนโยบายเป็นการประเมินผลท่ีเกี่ยวข้องกับกระบวนการวัดคุณค่าของผล การดำ�เนนิ งานตามนโยบาย เพ่ือทีจ่ ะนำ�มาเปรยี บเทียบกบั เปา้ หมายหรือวัตถุประสงคท์ ่กี �ำ หนดไว ้
76 รฐั สภาสาร ปีที่ ๖๕ ฉบบั ท่ี ๒ เดือนกมุ ภาพนั ธ ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ จากมุมมองหรือทัศนะของนักวิชาการข้างต้นน้ัน เม่ือวิเคราะห์แล้วทำ�ให้เห็นถึง ลักษณะสำ�คัญของการประเมินผลนโยบายสาธารณะ ซึ่งการประเมินผลนโยบายสาธารณะ จะมีลักษณะสำ�คัญ ดังน้ี คือ ๑) การประเมินผลนโยบายสาธารณะเป็นกระบวนการท่ีมี ลำ�ดับข้ันตอน ได้แก่ James E. Anderson (1983: 8), William M. K. Trochim (2009: 16) และศุภชัย ยาวะประภาษ (๒๕๕๒: ๑๒๕) ๒) การประเมินผลนโยบาย สาธารณะจำ�เป็นต้องมีการกำ�หนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจน ได้แก่ Joseph S. Wholey (1970: 15) James E. Anderson (1983: 8) William N. Dunn (1981) William M. K. Trochim (2009: 16) จุมพล หนิมพานิช (๒๕๕๒: ๑๙) และศุภชัย ยาวะประภาษ (๒๕๕๒: ๑๒๕) ๓) การประเมินผลนโยบายสาธารณะมีลักษณะ ที่มุ่งหวังผลลัพธ์ท่ีเกิดขึ้น ได้แก่ Joseph S. Wholey (1970: 15) James E. Anderson (1983: 8) William N. Dunn (1981) William M. K. Trochim (2009: 16) จุมพล หนิมพานิช (๒๕๕๒: ๑๙) และศุภชัย ยาวะประภาษ (๒๕๕๒: ๑๒๕) และ ๔) การประเมินผลนโยบายสาธารณะมีลักษณะเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ James E. Anderson (1983: 8) ส่วนการประเมินผลโครงการ (Project Evaluation) ในมุมมองของ Cronbach (1963: 672) กล่าวว่าการประเมินผลเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลและใช้ข้อมูลเพื่อตัดสินใจ เก่ียวกับโครงการ สอดรับกับที่ Rutman (1984: 10) เห็นว่าการประเมินผลโครงการ เป็นการใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์วัดผลการนำ�นโยบายไปปฏิบัติและวัดผลลัพธ์ของโครงการ เพ่ือเป้าประสงค์ในการตัดสินใจ ส่วน Patton (1986: 14) มองว่าการประเมินผลโครงการ เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลเก่ียวกับกิจกรรม ลักษณะ และผลลัพธ์ของโครงการอย่างเป็นระบบ เพ่ือใช้ประโยชน์โดยบุคคลท่ีเจาะจง เพ่ือลดความไม่แน่นอน ปรับปรุงประสิทธิผล และ ตัดสินใจเก่ียวกับสิ่งที่โครงการกำ�ลังทำ�และมีผลกระทบ ในทำ�นองเดียวกับทัศนะของ Michael Bamberger (2000: 96) ที่ได้ให้ความหมายไว้ว่าหมายถึง การประเมินขอบเขต ของโครงการหรือโปรแกรมว่าได้บรรลุความสำ�เร็จตามวัตถุประสงค์ท่ีต้ังใจไว้และได้มีการผลิต ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ต้ังใจ รวมตลอดท้ังเกิดประโยชน์ต่อประชากรกลุ่มเป้าหมาย ส่วนความหมายในแง่ของนักวิชาการไทยคนสำ�คัญ ได้แก่ เยาวดี รางชัยกุล (๒๕๔๘: ๓๐๕-๓๐๗) เห็นว่าการประเมินผลโครงการเป็นกระบวนการรวบรวมข้อมูลและสารสนเทศ ท่ีจำ�เป็นในอันนำ�ไปสู่การตัดสินความสำ�เร็จ รวมทั้งการแก้ไขปรับปรุง พัฒนา ตลอดจน การสร้างและการกำ�หนดทางเลือกใหม่ในการดำ�เนินโครงการ ดังนั้น กิจกรรมการประเมิน โครงการจึงเป็นกระบวนการรวบรวมข้อมูลและสารสนเทศที่จำ�เป็นเกี่ยวกับปัจจัยพ้ืนฐาน
ขอ้ สงั เกตบางประการเก่ยี วกับปญั หาส�ำ คญั ในกระบวนการประเมนิ ผลนโยบายสาธารณะ: 77 บทสะทอ้ นผ่านมมุ มองเชงิ ระบบ ของโครงการ ตลอดจนกระบวนการปฏิบัติระหว่างการดำ�เนินโครงการ และผลผลิต ของโครงการภายใตก้ จิ กรรมและช่วงเวลาท่ไี ด้กำ�หนดหรอื วางแผนไว้แล้ว จากมุมมองหรือทัศนะของนักวิชาการข้างต้นน้ัน เม่ือวิเคราะห์แล้วทำ�ให้เห็นถึง ลักษณะสำ�คัญของการประเมินผลโครงการ ดังน้ี ๑) การประเมินผลโครงการ เป็นกระบวนการท่ีมีลำ�ดับขั้นตอน ได้แก่ Cronbach (1963: 672) Patton (1986: 14) เยาวดี รางชัยกุล และสมหวัง พิธิยานุวัฒน์ (๒๕๔๙: ๑๒) ๒) การประเมินผลโครงการ จำ�เป็นต้องมีการกำ�หนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจน ได้แก่ Rutman (1984: 10) Michael Bamberger (2000: 96) เยาวดี รางชยั กุล และสมหวัง พธิ ิยานวุ ฒั น์ (๒๕๔๙: ๑๒) ๓) การประเมินผลโครงการจำ�เป็นต้องมีการกำ�หนดขอบเขตของโครงการ ไวช้ ดั เจน ไดแ้ ก่ Michael Bamberger (2000: 96) ๔) การประเมินผลโครงการมีลักษณะ ท่ีมุ่งหวังผลลัพธ์ที่เกิดข้ึน ได้แก่ Cronbach (1963: 672) Rutman (1984: 10) Patton (1986: 14) Michael Bamberger (2000: 96) เยาวดี รางชัยกุล (๒๕๔๘: ๓๐๕-๓๐๗) และสมหวัง พิธิยานุวัฒน์ (๒๕๔๙: ๑๒) และ ๕) การประเมินผลโครงการเป็นการใช้ วิธีการทางวิทยาศาสตร์วัดผลการนำ�นโยบายไปปฏิบัติและวัดผลลัพธ์ของโครงการ ได้แก่ Rutman (1984: 10) นอกจากน้ัน นักวิชาการบางท่านเห็นว่าการประเมินผลนโยบายสาธารณะ และ การประเมินผลโครงการเป็นเร่ืองเดียวกัน ได้แก่ Bingham and Felbinger (1989: 3) มีความเห็นว่าการประเมินผลนโยบายสาธารณะ และการประเมินผลโครงการเป็นกระบวนการ ที่ต่อเน่ืองและเช่ือมโยงกัน ดังท่ีได้อธิบายไว้ว่า การประเมินผลโครงการของหน่วยงานหรือ นโยบายของฝ่ายนิติบัญญัติว่าเป็นการใช้วิธีการอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อประมาณ ค่าความสำ�เร็จของการนำ�นโยบายสาธารณะไปปฏิบัติ และผลลัพธ์ของโครงการหรือนโยบาย ที่เกิดข้ึนเพ่ือเป้าประสงค์ในการตัดสินใจ สอดรับกับความเห็นของเรืองวิทย์ เกษสุวรรณ (๒๕๕๕: ๓) ท่ีเห็นว่าโดยท่ัวไปการประเมินผลนโยบายสาธารณะมักจะเกิดขึ้นใน ๒ ระดับ คือ ระดับนโยบาย (Policy) โดยมีผู้ใช้คือผู้มีอำ�นาจในการตัดสินใจ เพื่อตัดสินใจว่า ควรขยาย ทำ�สัญญา หรือเปล่ียนแปลงแผนงานหรือโครงการหรือไม่ และระดับแผนงาน หรือระดับโครงการ (Program) มีผู้ใช้คือผู้บริหารแผนงานหรือผู้จัดการโครงการ เพื่อตัดสินใจ ว่าควรใช้วิธีการ โครงสร้าง เทคนิค หรือการบริหารบุคคลแบบใด ประเด็นดังกล่าวได้รับ การตอกยำ้�โดยจุมพล หนิมพานิช (๒๕๕๒: ๓๑๘) ซึ่งได้หยิบยกเอาทัศนะของ Charles Jones ที่มองว่าการประเมินผลนโยบายสาธารณะ และการประเมินผลโครงการ เป็นเร่ืองเดียวกัน โดยเวลาพูดถึงการประเมินผลนโยบายสาธารณะก็ต้องพูดถึงการประเมินผล โครงการดว้ ยเช่นกัน
78 รัฐสภาสาร ปที ่ี ๖๕ ฉบับที่ ๒ เดือนกมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตารางท่ ี ๑ จดุ เนน้ ที่เหมือนกนั และจุดเนน้ ท่แี ตกต่างกนั ของการประเมนิ ผล นโยบายสาธารณะและการประเมินผลโครงการ ประเดน็ จดุ เนน้ ทีเ่ หมอื นกนั จดุ เน้นที่ตา่ งกนั ๑. การประเมนิ ผล มุ่งให้ความสำ�คัญต่อการศึกษา - มี ข อ บ เ ข ต ท่ี ก ว้ า ง นโยบายสาธารณะ น โ ย บ า ย ส า ธ า ร ณ ะ ห รื อ ซึ่ง ค รอ บค ลุมแผ น ง าน (Policy Evaluation) น โ ย บ า ย ข อ ง รั ฐ บ า ล และโครงการ ๒. การประเมนิ ผลโครงการ โ ด ย มุ่ ง เ น้ น สิ่ ง ที่ ป ร ะ เ มิ น คื อ (Project Evaluation) ตัวนโยบายสาธารณะหรือ นโยบายย่อยๆ ใช้ระเบียบ วิธีการวิจัยซึ่งเน้นด้านวิธีการ ( m e a n s ) แ ล ะ มุ่ ง เ น้ น ท่ี การตัดสินคุณค่าของกิจกรรม ซึ่ ง เ ป็ น ก า ร เ น้ น ท า ง ด้ า น เป้าหมาย (ends) เช่นเดียวกับการประเมินผล - มีขอบเขตที่แคบ อยู่ใน นโยบายสาธารณะ ว ง จำ � กั ด แ ล ะ ชั ด เ จ น โ ด ย เ ป็ น กิ จ ก ร ร ม ห รื อ งานท่ีมีการบริหารจัดการ ให้บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ จากตารางท่ี ๑ ทำ�ให้เห็นได้ว่า การประเมินผลนโยบายสาธารณะ (Policy Evaluation) และการประเมินผลโครงการ (Project Evaluation) มีท้ังจุดเน้นท่ีเหมือนกันและ จุดเน้นที่แตกต่างกัน ในแง่ของจุดเน้นที่เหมือนกันคือ ต่างก็มุ่งให้ความสำ�คัญต่อการศึกษา นโยบายสาธารณะหรือนโยบายของรัฐบาล โดยมุ่งเน้นส่ิงที่ประเมินคือตัวนโยบายสาธารณะ หรือนโยบายย่อยๆ รองลงมา ซึ่งก็คือ แผน แผนงาน และโครงการ โดยใช้ระเบียบวิธี การวิจัยซึ่งเน้นด้านวิธีการ (means) และมุ่งเน้นท่ีการตัดสินคุณค่าของกิจกรรม ซึ่งเป็น การเน้นทางด้านเป้าหมาย (ends) เพื่อใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจ ปรับปรุงและยุติ
ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับปญั หาส�ำ คญั ในกระบวนการประเมนิ ผลนโยบายสาธารณะ: 79 บทสะทอ้ นผ่านมุมมองเชิงระบบ นโยบายสาธารณะ ส่วนในแง่จุดเน้นท่ีแตกต่างกันคือ การประเมินผลนโยบายสาธารณะ มีขอบเขตที่กว้าง ซึ่งครอบคลุมแผนงานและโครงการด้วย ในขณะที่การประเมินผลโครงการ จะมีขอบเขตที่แคบ อยู่ในวงจำ�กัด และชัดเจน โดยเป็นกิจกรรมหรืองานที่มีการบริหารจัดการ ให้บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ กล่าวอย่างถึงท่ีสุดการประเมินผลโครงการจะมีความเป็นรูปธรรม ที่ชดั เจนกว่าการประเมินผลนโยบายสาธารณะ ดังน้ัน เมื่อกล่าวถึงการประเมินผลนโยบายสาธารณะจึงมิอาจละเลยที่จะกล่าวถึง การประเมินผลโครงการได้ เน่ืองจากการศึกษาเฉพาะตัวนโยบายเพียงอย่างเดียวอาจไม่ให้ ผลที่เด่นชัดได้ เพราะนโยบายมีขอบเขตท่ีกว้าง อีกทั้งนโยบายส่วนใหญ่ ผู้กำ�หนดนโยบาย มิได้มีการกำ�หนดรายละเอียดในส่วนของวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และตัวช้ีวัดไว้อย่างชัดเจน ดังน้ัน จึงทำ�ให้ผู้ประเมินผลจำ�เป็นต้องอาศัยการประเมินผลโครงการซ่ึงมีรายละเอียด ปลีกย่อยมากกว่าเป็นเครื่องช่วยตัดสินใจเก่ียวกับความสำ�เร็จของนโยบายหรือคุณค่า ของนโยบายวา่ ควรมีการด�ำ เนินการต่อไปหรอื ควรมกี ารยตุ ินโยบายท่ีไม่กอ่ ให้เกิดประโยชน์ ๓. กระบวนการหรือขน้ั ตอนในการประเมินผลนโยบายสาธารณะ การประเมินผลนโยบายสาธารณะเป็นกระบวนการในขั้นตอนลำ�ดับสุดท้าย ของกระบวนการนโยบายสาธารณะ ซ่ึงมีลักษณะท่ีคล้ายคลึงกับกระบวนการอื่นๆ ในนโยบายสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นการกำ�หนดนโยบายสาธารณะ และการปฏิบัติตามหรือ การนำ�นโยบายสาธารณะไปปฏิบัติที่มีลักษณะเป็นกระบวนการหรือลำ�ดับขั้นตอนท่ีมีจุดเริ่มต้น และจุดสิ้นสุดลงอย่างเป็นลำ�ดับขั้นตอน โดยในปัจจุบันน้ันจะเห็นได้ว่าการประเมินผล นโยบายสาธารณะกลายเป็นประเด็นท่ีมีนักวิชาการให้ความสนใจและได้ทำ�การจัดแบ่งหรือ จำ�แนกกระบวนการหรือข้ันตอนไว้เป็นจำ�นวนมากและอย่างหลากหลาย ดังจะได้นำ�มา ประมวลพอให้เห็นภาพ ดังน้ี Ralph W. Tyler (1949) นักการศึกษาชาวอเมริกันที่ให้ความสนใจแนวคิด การประเมินผลโครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประเมินผลสัมฤทธิ์ด้านการเรียนในหลักสูตร การศึกษาในช่วงต้นทศวรรษท่ี ๑๙ ท้ังนี้ Tyler ได้จัดลำ�ดับข้ันตอนของการประเมินผลโครงการ ด้านการศึกษาไว้ ๗ ขั้นตอน ซ่ึงประกอบด้วย ๑) ค้นหาและกำ�หนดวัตถุประสงค์ ของโครงการท่ีต้องการประเมิน ๒) กำ�หนดเนื้อหาและประสบการณ์การเรียนท่ีสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมและจุดมุ่งหมาย ๓) เลือกวิธีการเรียนการสอนและอุปกรณ์ การเรียนการสอนท่ีสอดคล้องกับเนื้อหาและวัตถุประสงค์ เพื่อให้เน้ือหาที่กำ�หนดขึ้น บรรลุผลสำ�เร็จได้ ๔) ทำ�การทดสอบผู้เรียนก่อนการสอน โดยใช้แบบสอบถามที่มีความน่าเชื่อถือ
80 รฐั สภาสาร ปีที ่ ๖๕ ฉบบั ท่ี ๒ เดอื นกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๕) ทำ�การทดสอบผู้เรียนตามเน้ือหาท่ีเรียนไปแล้วเมื่อโครงการส้ินสุดลง ๖) ประเมิน ประสิทธิภาพของหลักสูตร และ ๗) เปรียบเทียบผลการเรียนเพ่ือหาจุดบกพร่องและ จดบันทกึ เพือ่ การปรับปรงุ แก้ไขต่อไป ส่วนนักวิชาการคนสำ�คัญอีกท่านคือ Samuel P. Hayes (1969) ได้กำ�หนด ขั้นตอนในการประเมินผลนโยบายสาธารณะไว้ ๔ ข้ันตอน ดังนี้ คือ ๑) การพิจารณา รายละเอียดและวัตถุประสงค์ในการประเมินผล ๒) การพิจารณาข้อมูลที่จะต้องใช้ เพื่อวัด วัตถุประสงค์ และวัดผลกระทบต่างๆ ของนโยบาย ๓) การเก็บรวบรวมข้อมูล และ ๔) การวเิ คราะห์ขอ้ มูลและการแปรความหมายข้อมลู ทร่ี วบรวมได้ นอกจากน้ัน นักวิชาการคนสำ�คัญอีกท่านหน่ึงท่ีได้กล่าวถึงกระบวนการหรือ ข้ันตอนในการประเมินผลนโยบายสาธารณะคือ Gow (1991: 9) ซึ่งเขาได้ทำ�การจัดแบ่ง ขั้นตอนของการประเมินผลนโยบายสาธารณะ แผนงาน และโครงการในภาพกว้าง โดยแบ่ง ออกเป็น ๔ ขั้นตอน ดังนี้ คือ ๑) การกำ�หนดเป้าหมายและเกณฑ์ (Criterion) ของนโยบาย แผนงาน และโครงการท่ีจะประเมินให้ชัดเจน ๒) พัฒนาตัวแบบการวิจัยประเมินผลที่เหมาะสม กับเป้าหมายและเกณฑ์ดังกล่าว ๓) สร้างหรือกำ�หนดมาตรวัด (Measurement) และ เกบ็ รวบรวมข้อมลู และ ๔) การวเิ คราะห์ขอ้ มูลและการแปรความหมายขอ้ มลู ยิ่งไปกวา่ นนั้ นกั วชิ าการทม่ี กั มกี ารกล่าวถงึ มากทส่ี ดุ คนหน่งึ คือ Charles Jones (๑๙๗๗, อ้างถึงใน จินดาลักษณ์ วัฒนสินธ์ุ (๒๕๕๒: ๓๐๑) ได้กำ�หนดไว้ ๓ ขั้นตอน ดงั น้ ี ๑) การกำ�หนดรายละเอียด (Specification) ว่าจะประเมินอะไร เหตุท่ีต้องมี การกำ�หนดรายละเอียด เพราะเป้าหมายของนโยบายบางนโยบายก็มีความแน่ชัด เช่น นโยบายเพ่ิมท่ีอยู่อาศัย สามารถทราบได้แน่ชัดว่าจะเพ่ิมปีละเท่าไหร่ เป็นต้น บางนโยบาย ก็มีเป้าหมายไม่ชัดเจน เช่น นโยบายเศรษฐกิจ เป็นต้น การกำ�หนดรายละเอียด ของนโยบายจะทำ�การประเมินช่วยให้ทราบเป้าหมายในการประเมินโดยแน่ชัด และทราบ ประเดน็ ปัญหาท่ีเก่ียวขอ้ งกับการประเมินผลนโยบาย ๒) การวัดผล (Measurement) การวัดผลจะกระทำ�ได้ต้องอาศัยการเก็บข้อมูล เกี่ยวกับสิ่งท่ีจะทำ�การประเมิน ขั้นตอนนี้ก็เช่นเดียวกับข้ันตอนแรก คือ มีความแตกต่างกัน และมีการเบี่ยงเบนไปได้มาก ตั้งแต่การเก็บข้อมูลอย่างมีหลักเกณฑ์ มีระบบ จนกระท่ัง เป็นข้อมูลเชิงคุณภาพท่ีเก็บจากความรู้สึกหรือความประทับใจที่ต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตามการวัดผลจำ�เป็นต้องมีเคร่ืองมือ และสิ่งที่จะทำ�การวัด การเก็บข้อมูล ถ้ามหี ลักเกณฑม์ ากเพยี งไร ยอ่ มทำ�ใหไ้ ด้ขอ้ มูลที่มคี วามถกู ต้อง เท่ยี งตรง และเชื่อถือได้มาก
ขอ้ สังเกตบางประการเกยี่ วกบั ปญั หาส�ำ คัญในกระบวนการประเมนิ ผลนโยบายสาธารณะ: 81 บทสะท้อนผา่ นมุมมองเชงิ ระบบ ๓) การวิเคราะห ์ (Analysis) โดยการวิเคราะห์ขอ้ มูลท่เี กบ็ มาหรือทวี่ ัดผลออกมาแล้ว นอกจากนักวิชาการชาวต่างประเทศดังกล่าวแล้ว ก็ได้มีนักวิชาการชาวไทยที่ให้ ความสนใจในการประเมินผลนโยบายและโครงการท่านหน่ึง ได้แก่ เยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี (๒๕๔๘: ๒๗๙-๒๘๘) ได้ทำ�การจัดแบ่งข้ันตอนหรือกระบวนการในการประเมินผลโครงการ ออกเป็น ๖ ขั้นตอน ได้แก่ ๑) การศึกษาเอกสารท่ีเก่ียวข้องกับโครงการ ๒) การกำ�หนด วัตถุประสงค์ของการประเมิน ๓) การกำ�หนดขอบเขตของการประเมิน ๔) การพิจารณา กำ�หนดตัวบ่งชี้และแหล่งข้อมูล ๕) การวิเคราะห์ข้อมูล และ ๖) การสรุปผลการประเมิน ซง่ึ ในแตล่ ะขน้ั ตอนมีสาระสำ�คัญโดยสังเขป ดงั น้ี ๑) การศึกษาเอกสารที่เก่ียวข้องกับโครงการ ในข้ันตอนแรกเป็นการศึกษาถึง โครงร่างของโครงการท่ีนำ�เสนอเพื่อขออนุมัติ เอกสารรายงานความก้าวหน้าของโครงการ รวมทั้งรายงานผลโครงการฉบับสมบูรณ์เมื่อส้ินสุดโครงการ เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่าน้ีจะช่วยให้ ผู้ประเมินทราบถึงความเป็นมา ขั้นตอนการปฏิบัติ รวมท้ังผลการดำ�เนินงานในภาพรวม ซ่งึ จะเปน็ ประโยชน์ในการประเมนิ โครงการในภาพรวมต่อไป ๒) การกำ�หนดวัตถุประสงค์ของการประเมิน ในขั้นตอนนี้ผู้ประเมินจะต้องตอบ คำ�ถามต่างๆ ต่อไปนี้ คือ จะประเมินโครงการอะไร ประเมินทำ�ไม ประเมินเพื่อใคร หรือ ใครเป็นผู้ใช้ผลการประเมิน โดยผู้ประเมินต้องหาคำ�ตอบให้ชัดเจนจากแหล่งข้อมูลท่ีสำ�คัญ ได้แก่ เอกสารโครงการ รวมท้ังควรมีการสัมภาษณ์ผู้รับผิดชอบ ผู้ดำ�เนินโครงการ และผ้สู นบั สนนุ โครงการ ๓) การกำ�หนดขอบเขตของการประเมิน ในขั้นตอนน้ีผู้ประเมินจะต้องพิจารณา และตัดสินใจว่าการประเมินควรมีขอบข่ายเพียงใด ครอบคลุมพื้นท่ีใดของโครงการ ต้องมี การสุ่มตัวอย่างหรือไม่ โดยเฉพาะถ้าหากมีการสุ่มตัวอย่างก็ควรพิจารณาพื้นที่ท่ีมีผลงานดี และไม่ดีคละกันไป ตลอดจนพ้ืนที่ที่มีปัญหา เพ่ือจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการประเมิน อยา่ งแท้จริง ๔) การพิจารณากำ�หนดตัวบ่งชี้และแหล่งข้อมูล เป็นการคัดเลือกตัวบ่งชี้จะเป็น ขั้นตอนสืบเนื่องมาจากการกำ�หนดวัตถุประสงค์ของการประเมิน รวมท้ังอาจพิจารณาจาก เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของโครงการ หรือบ่อยคร้ังที่ต้องพิจารณาจากความคาดหวังของชุมชน สงั คม และผู้ใชผ้ ลประเมินโดยตรง ซึง่ ตัวบง่ ชีอ้ าจจะเปน็ ตัวบ่งชีเ้ ชิงคณุ ภาพหรอื ปริมาณกไ็ ด้ ๕) การวิเคราะห์ข้อมูล เป็นขั้นตอนท่ีเกิดหลังจากการเก็บข้อมูลมาแล้วก็ต้องมี การน�ำ เอาขอ้ มลู มาวเิ คราะห ์ โดยจะตอ้ งพจิ ารณาให้ชดั เจนว่าข้อมลู ทเ่ี กบ็ ไดน้ นั้ เหมาะสมทจ่ี ะ วเิ คราะหใ์ นเชิงปรมิ าณด้วยค่าสถิต ิ หรือวเิ คราะหเ์ ชงิ คณุ ภาพ
82 รฐั สภาสาร ปที ี่ ๖๕ ฉบับท ่ี ๒ เดือนกมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๖) การสรุปผลการประเมิน เป็นข้ันตอนสุดท้ายจะต้องประมวลผลข้อมูล เพื่อจัดทำ�รายงาน โดยประเด็นของการรายงานสรุปควรครอบคลุมประเด็นสำ�คัญๆ ดังน้ี คือ ผลผลิตจากโครงการ การระบุปัญหาและข้อจำ�กัด และข้อเสนอแนะเพ่ือการปรับปรุง โครงการ กระบวนการหรือข้ันตอนในการประเมินผลนโยบายสาธารณะตามมุมมอง ของนักวิชาการต่างๆ ข้างต้นน้ัน เม่ือวิเคราะห์โดยละเอียดแล้ว ก็จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกัน ออกไปในส่วนของรายละเอียดปลีกย่อย แต่กระนั้นก็ตามก็มีหลายประเด็นที่มีลักษณะท่ีเป็น จดุ เนน้ ร่วมกันทน่ี า่ สนใจ ดงั สามารถวเิ คราะห์ใหเ้ ห็นในตารางท่ ี ๒ ตารางที ่ ๒ สงั เคราะห์กระบวนการหรอื ข้ันตอนในการประเมินผลนโยบายสาธารณะ ตามมมุ มองของนักวชิ าการตา่ งๆ กระบวนการหรอื ขน้ั ตอน Ralph W. Samuel P. D. Gow Charles เยาวดี ในการประเมินผล Tyler Hayes (ค.ศ. ๑๙๙๑) Jones รางชัยกลุ นโยบายสาธารณะ (ค.ศ. ๑๙๔๙) (ค.ศ. ๑๙๖๙) (ค.ศ. ๑๙๗๗) (พ.ศ. ๒๕๔๔) การศึกษาเอกสารท่เี ก่ียวขอ้ งกับ โครงการ √ การก�ำ หนดรายละเอียดและ √ วตั ถุประสงค์ในการประเมินผล √ √ √ √ พฒั นาตวั แบบการวจิ ยั ประเมนิ ผล √ ที่เหมาะสมกบั เปา้ หมายและเกณฑ์ √ √ √ การกำ�หนดขอบเขตของการประเมนิ การพจิ ารณากำ�หนดตัวบ่งชแี้ ละ √ แหลง่ ขอ้ มูล √ √ √ √ การเก็บรวบรวมข้อมลู √ √ √ การวิเคราะห์ขอ้ มูลและการแปร ความหมายขอ้ มลู √ √ √ การสรปุ ผลการประเมิน √ เปรียบเทียบผลประเมิน √
ข้อสังเกตบางประการเก่ียวกับปญั หาสำ�คัญในกระบวนการประเมนิ ผลนโยบายสาธารณะ: 83 บทสะทอ้ นผา่ นมุมมองเชงิ ระบบ จากตารางท่ี ๒ จะเห็นได้ว่า กระบวนการหรือขั้นตอนในการประเมินผล นโยบายสาธารณะแม้ว่าจะมีความแตกต่างกันในแง่ของรายละเอียดปลีกย่อย แต่อย่างไร ก็ตาม ก็ได้มีนักวิชาการทางด้านการประเมินผลนโยบายสาธารณะมีความเห็นพ้องร่วมกัน ในหลายๆ ขั้นตอน ซ่ึงประกอบไปด้วยอย่างน้อย ๖ ข้ันตอนสำ�คัญ ได้แก่ การกำ�หนด รายละเอยี ดและวัตถปุ ระสงค์ในการประเมินผล พฒั นาตวั แบบการวจิ ัยประเมนิ ผลทีเ่ หมาะสม กับเป้าหมายและเกณฑ์ การพิจารณากำ�หนดตัวบ่งช้ีและแหล่งข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลและการแปรความหมายข้อมูล และการสรุปผลการประเมิน เพราะฉะนั้น ผู้เขียนจะได้นำ�กระบวนการหรือขั้นตอนในการประเมินผลนโยบายสาธารณะท้ัง ๖ ข้ันตอน ดังกล่าวไปใช้เป็นแนวทางในการวิเคราะห์ เพ่ือให้เห็นถึงปัญหาสำ�คัญในการประเมินผล นโยบายสาธารณะ ดังจะได้กล่าวถึงในหวั ข้อต่อไป ๔. ปัญหาสำ�คัญในกระบวนการของการประเมินผลนโยบายสาธารณะ โดยสะท้อนผ่านมุมมองเชิงระบบ ท่มี า: https://i.ytimg.com จากมุมมองเก่ียวกับกระบวนการหรือขั้นตอนในการประเมินผลนโยบายสาธารณะ ท่ีประกอบด้วย ๖ ประเด็น (โปรดดูตารางท่ี ๒) ได้แก่ การกำ�หนดรายละเอียดและ วัตถุประสงค์ในการประเมินผล พัฒนาตัวแบบการวิจัยประเมินผลที่เหมาะสมกับเป้าหมาย และเกณฑ์ การพิจารณากำ�หนดตัวบ่งชี้และแหล่งข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลและการแปรความหมายข้อมูล และการสรุปผลการประเมินน้ัน เมื่อนำ�มา วิเคราะห์และจัดกลุ่มใหม่โดยผ่านมุมมองเชิงระบบ ซ่ึงประกอบไปด้วยปัจจัยนำ�เข้า (Input) กระบวนการแปรสภาพ (Transformation Process) ปัจจัยนำ�ออกหรือผลผลิต (Output) และข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) ภายใต้เง่ือนไขของสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้แก่ สังคม เศรษฐกิจ การเมอื ง และเทคโนโลย ี จะสามารถอธิบายได้ดังแผนภาพท ่ี ๑
84 รฐั สภาสาร ปที ี่ ๖๕ ฉบับที่ ๒ เดอื นกุมภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ แผนภาพท่ ี ๑ ปญั หาสำ�คัญในกระบวนการของการประเมินผลนโยบายสาธารณะ โดยสะทอ้ นผา่ นมุมมองเชิงระบบ ปจั จยั นำ�เขา้ (Input) กระบวนการ (Process) ปัจจยั น�ำ ออก (Output) ๑) การก�ำ หนดรายละเอยี ด ๑) การเก็บรวบรวมขอ้ มูล ๑) การสรุปผลการประเมนิ แ ล ะ วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค์ ๒) การวิเคราะหข์ อ้ มูลและ ในการประเมนิ ผล การแปรความหมาย ๒) พัฒนาตัวแบบการวิจัย ขอ้ มูล ประเมินผลท่ีเหมาะสม กบั เปา้ หมายและเกณฑ์ ๓) ก า ร พิ จ า ร ณ า กำ � ห น ด ตวั บง่ ชแี้ ละแหล่งข้อมลู สามารถตอบคำ�ถาม ตามประเด็นทต่ี งั้ ไว้ สภาพแวดล้อมต่างๆ ไดแ้ ก ่ สงั คม เศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยี จากแผนภาพท่ี ๑ สามารถอธิบายให้เห็นถึงปัญหาสำ�คัญในกระบวนการ ของการประเมินผลนโยบายสาธารณะโดยสะทอ้ นผา่ นมมุ มองเชิงระบบไดอ้ ยา่ งเป็นล�ำ ดบั ขัน้ ดังนี้ ๑) ปัจจัยนำ�เข้า (Input) หรืออาจเรียกว่าเป็นข้ันตอนของการเตรียมการ ถือเป็นข้ันตอนก่อนท่ีจะมีการลงมือเก็บข้อมูล โดยในกระบวนการนโยบายสาธารณะนั้น จะเป็นขั้นตอนของการศึกษาเอกสารและกำ�หนดรายละเอียดของบรรดากฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อใช้ในการประเมินผลนโยบาย โดยในที่นี้จะประกอบไปด้วย ๓ ข้ันตอนสำ�คัญ คือ ๑) การกำ�หนดรายละเอียดและวัตถุประสงค์ในการประเมินผล ๒) พัฒนาตัวแบบการวิจัย ประเมินผลท่ีเหมาะสมกับเป้าหมายและเกณฑ์ และ ๓) การพิจารณากำ�หนดตัวบ่งช้ีและ แหลง่ ขอ้ มลู ซึ่งในแตล่ ะขน้ั ตอนมปี ญั หาส�ำ คัญท่พี บ ดังจะไดอ้ ธิบายตามล�ำ ดับตอ่ ไปน้ี ๑.๑) การกำ�หนดรายละเอียดและวัตถุประสงค์ในการประเมินผล เป็นข้ันตอนแรกที่ผู้ประเมินจะต้องตอบคำ�ถามต่างๆต่อไปนี้ให้ได้ว่าจะประเมินโครงการอะไร
ขอ้ สงั เกตบางประการเกย่ี วกบั ปญั หาสำ�คัญในกระบวนการประเมนิ ผลนโยบายสาธารณะ: 85 บทสะท้อนผ่านมมุ มองเชงิ ระบบ ประเมินทำ�ไม ประเมินเพ่ือใคร หรือใครเป็นผู้ใช้ผลการประเมิน โดยผู้ประเมินต้องหา คำ�ตอบให้ชัดเจนจากแหล่งข้อมูลที่สำ�คัญ ได้แก่ เอกสารโครงการ รวมท้ังควรมี การสัมภาษณ์ ผู้รับผิดชอบ ผู้ดำ�เนินโครงการ และผู้สนับสนุนโครงการ ซึ่งปัญหาสำ�คัญ ท่มี ักเกดิ ขึน้ ในขน้ั ตอนน้ี ไดแ้ ก ่ ๑.๑.๑) ความไม่แน่ชัดของเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของนโยบาย สาธารณะ นักวิชาการมีความเห็นที่สอดคล้องกันว่าการประเมินผลนโยบายสาธารณะซึ่งมัก ไม่ประสบความสำ�เร็จ มีสาเหตุสำ�คัญประการหนึ่งเกิดมาจากเรื่องของความไม่แน่ชัด ของเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของนโยบายสาธารณะ ซ่ึงบ่อยคร้ังจะเห็นว่าการประเมินผล นโยบายสาธารณะไม่มีการกำ�หนดรายละเอียดของสิ่งที่ทำ�การประเมิน ทั้งที่เป็นเรื่องสำ�คัญ สาเหตุท่ีการกำ�หนดรายละเอียดถูกละเลย ในแง่ดังกล่าว จุมพล หนิมพานิช (๒๕๕๒: ๓๐๖) สะท้อนให้เห็นว่าเพราะมีกฎหมายหรือข้อบังคับกำ�หนดให้ทำ�การประเมิน ในแง่ดังกล่าวทำ�ให้ ผู้ทำ�การประเมินนโยบายต้องทำ�ไปตามข้อกำ�หนด จึงไม่ค่อยได้พิจารณาความเหมาะสมและ ความจำ�เป็นในด้านต่างๆ โดยเฉพาะพยายามหลีกเลี่ยงการเพิ่มงานโดยไม่คำ�นึงถึงคุณภาพ และความถูกต้องของการประเมินค่าเท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม Carol H. Weiss (1973: 180-181) มองว่าเม่ือเป้าหมายของนโยบายไม่ชัดเจน พร่ามัว หรือมีลักษณะ ท่ีกระจายตัว แน่นอนย่อมมีผลต่อการกำ�หนดขอบเขตของการบรรลุผล และที่สำ�คัญจะทำ�ให้ งานการประเมนิ ผลนโยบายกลายเปน็ งานท่ียาก และบางครัง้ นา่ คับข้องใจ ๑.๑.๒) ปัญหาตัวบุคคลท่ีทำ�การประเมินผลนโยบายสาธารณะ ที่ไม่ให้ ความสำ�คัญกับการประเมินผลนโยบายสาธารณะเท่าท่ีควร ตัวผู้ประเมินผลนโยบายเองก็มี ความกลัวว่าการประเมินน้ันจะเป็นการจับผิด หรือถ้าการประเมินผลออกมาว่าไม่ประสบ ความสำ�เร็จก็จะเกิดความเสียหายต่อทุกฝ่ายได้ ในแง่ของความไม่แน่ชัดของเป้าหมายและ วัตถุประสงค์ของนโยบายสาธารณะเกิดมาจากผู้ประเมินขาดความพร้อมในการประเมินผล นโยบาย โดยจินดาลักษณ์ วัฒนสินธ์ุ (๒๕๕๒: ๓๐๗) สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาในมิติ ดังกล่าวว่า ผู้ประเมินไม่มีความพร้อมท่ีจะทำ�หน้าท่ีให้เกิดผลดี มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งนโยบายสาธารณะซ่ึงมีผู้เก่ียวข้องหลายฝ่าย มักจะพบอยู่เสมอว่าผู้เก่ียวข้อง ในการประเมินผลนโยบายสาธารณะขาดความรู้ความเข้าใจคือ ไม่ได้ศึกษานโยบายอย่าง ละเอียด ขาดความสามารถในการประเมินผลคือ ไม่ทราบว่าจะประเมินผลอย่างไร มีเทคนิควิธีการอย่างไร และท่ีสำ�คัญคือ ไม่ทราบว่าจะประเมินผลไปเพ่ือประโยชน์อะไร หรอื ผลประเมินนม้ี คี วามสำ�คัญมากนอ้ ยเพยี งใด
86 รัฐสภาสาร ปที ี ่ ๖๕ ฉบับท่ ี ๒ เดอื นกมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๑.๒) พัฒนาตัวแบบการวจิ ยั ประเมนิ ผลท่เี หมาะสมกบั เปา้ หมายและเกณฑ ์ เป็นการพิจารณาหรือเลือกกรอบแนวคิดท่ีเหมาะสมกับการวิจัยประเมินผลนโยบายสาธารณะ ซึ่งปัญหาสำ�คัญท่ีมักเกิดข้ึนในขั้นตอนนี้ ได้แก่ การขาดกรอบแนวคิดโครงการท่ีเพียงพอ ในประเด็นดังกล่าว เรืองวิทย์ เกษสุวรรณ (๒๕๕๙: ๓๑) ได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาว่า เพราะ การขาดกรอบแนวคิดโครงการท่ีเพียงพอ ซ่ึงปัญหาข้อนี้คือการขาดทฤษฎีโครงการ เม่ือนำ�มา เทียบกับสังคมไทยแล้ว แนวคิดการจัดทำ�โครงการของไทยยังคิดง่ายๆ ว่ามีโครงการแล้ว จะเกิดผลลัพธ์ตามที่ต้องการ อันเป็นการเล็งผลเลิศด้านเดียว แต่ไม่ได้มีทฤษฎีหรืองานวิจัยใด มารองรับ รวมถึงขาดการมีส่วนร่วมของสาธารณะ ขาดความโปร่งใส และขาดการไตร่ตรอง ในกระบวนการข้ันต้น โดยเฉพาะการกลั่นกรองและการวางแผนนโยบาย เนื่องจาก มีแรงจูงใจจากความต้องการคะแนนเสียงและสร้างผลงานโดยเร็ว อันเป็นปัญหาท่ีสัมพันธ์กับ การขาดเสถยี รภาพของรฐั บาลและการขาดเสถยี รภาพทางการเมอื ง ๑.๓) การพิจารณากำ�หนดตัวบ่งชี้และแหล่งข้อมูล เป็นการแสวงหา แหล่งข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำ�มาพิจารณากำ�หนดเป็นตัวชี้วัดหรือตัวบ่งช้ีท่ีสอดคล้อง กับนโยบายท่ีทำ�การประเมินผล ซ่ึงปัญหาสำ�คัญที่มักเกิดขึ้นในขั้นตอนนี้ ได้แก่ ปัญหา การขาดข้อมูลข่าวสารในการประเมินผลนโยบายสาธารณะ ที่ไม่มีข้อมูลข่าวสารตามที่ต้องการหรือ มีแต่ไม่เพียงพอ ทำ�ให้เกิดความยากลำ�บากในการเก็บรวบรวมข้อมูลข่าวสารสำ�หรับ นักประเมินผล อีกท้ังบางครั้งก็มักจะพบว่าข้อมูลข่าวสารท่ีได้มานั้นขาดความทันสมัย ถูกต้อง ไม่สมบูรณ์แบบอีกด้วย ในมุมมองของนักวิชาการ ได้แก่ Bamberger, Michael (2000: 97) ก็ได้กล่าวถึงปัญหาการประเมินผลโครงการว่ามักจะขาดฐานข้อมูลสำ�คัญ ท่ีอาจสามารถนำ�มาเป็นประโยชน์ต่อการเปรียบเทียบสถานการณ์ต่างๆ ท้ังก่อนและหลัง สอดคล้องกับท่ี Hogwood และ Gunn (1984) มองว่าในทางปฏิบัติข้อมูลข่าวสารนั้น อาจมีไม่เพียงพอ หรือถ้ามีเพียงพอก็อยู่ในรูปแบบท่ีไม่เหมาะสม โดยทั่วไปข้อมูลท่ีได้มีการเก็บ รวบรวมในการดำ�เนินนโยบายปกติจะบอกอะไรกับเรามากเก่ียวกับลักษณะของประชาชนผู้ได้รับ ผลกระทบจากการดำ�เนินนโยบาย ส่งผลให้การกำ�หนดตัวบ่งช้ีของนโยบายที่จะทำ� การประเมินผลมีความหละหลวมหรือไม่สอดคล้องกับบริบทของนโยบายหรือกล่าวอย่างถึงที่สุดคือ ตัวบ่งชี้กับเป้าหมายของนโยบายไปกันคนละทิศทาง ซ่ึงส่งผลทำ�ให้การประเมินผลนโยบาย กระทำ�ได้อยา่ งไม่มีคุณภาพ ๒) กระบวนการแปรสภาพ (Transformation Process) หรืออาจเรียกว่า เป็นขั้นตอนของการดำ�เนินการ ในขั้นตอนของการประเมินผลนโยบายสาธารณะ เป็นกระบวนการเพื่อให้ได้มาซ่ึงข้อมูล ซ่ึงได้แก่ การเก็บรวบรวมข้อมูล และเม่ือได้ข้อมูลมาแล้ว
ขอ้ สังเกตบางประการเก่ียวกบั ปญั หาส�ำ คัญในกระบวนการประเมนิ ผลนโยบายสาธารณะ: 87 บทสะท้อนผา่ นมุมมองเชงิ ระบบ ก็จะมีการนำ�มาจำ�แนกแยกแยะและจัดกระทำ�กับข้อมูลนั้นๆ โดยการวิเคราะห์ข้อมูลและ การแปรความหมายข้อมูลรูปแบบเชิงปริมาณ ซ่ึงเป็นข้อมูลเชิงตัวเลขและเชิงคุณภาพ Bamberger, Michael (2000: 98) เห็นว่าการบูรณาการวิธีการประเมินผลเชิงปริมาณและ คุณภาพก็เพ่ือให้ในแต่ละวิธีการเสริมสร้างจุดแข็งของกันและกัน ซ่ึงเป็นข้อมูลในเชิงข้อความ หรือเน้ือหาต่อไป แต่ปัญหาสำ�คัญท่ีมักพบในกระบวนการแปรสภาพ (Transformation Process) ซึง่ จะได้อธิบายเปน็ ล�ำ ดับไป มีดังนี้ ๒.๑) การเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นข้ันตอนสำ�คัญที่นักประเมินผลจะต้องให้ ความสนใจ เนื่องจากเป็นข้ันตอนที่จะทำ�ให้ได้มาซึ่งข้อมูลท่ีจะนำ�ไปสู่การวิเคราะห์ข้อมูลและ การแปรความหมายข้อมูล เพ่ือการสรุปผลการประเมิน และจัดทำ�เป็นรูปเล่มต่อไป อย่างไร ก็ตาม ปัญหาสำ�คัญที่มักเกิดข้ึนในข้ันตอนน้ี ได้แก่ ความยากลำ�บากในการได้มาซึ่งข้อมูล ในประเด็นน้ี จุมพล หนิมพานิช (๒๕๕๒: ๒๕๖) ได้อธิบายโดยหยิบยกแนวคิดของ James E. Anderson มากล่าวอย่างน่าสนใจไว้ว่า การประเมินผลนโยบายในบางคร้ัง ขาดแคลนข้อมูลเชิงสถิติที่เก่ียวข้องและมีความเท่ียงตรง ซึ่งทำ�ให้เป็นปัญหาสำ�หรับ นักประเมินผลนโยบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักประเมินผลที่มีความห่วงใยหรือกังวลในผลลัพธ์ ของนโยบาย ในแง่ดังกล่าวแม้จะมีการใช้ตัวแบบเศรษฐศาสตร์ที่ตัวแบบนี้สามารถทำ�นาย ว่าการตัดทอนภาษีจะมีผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แต่ในทางปฏิบัติมักมีปัญหา การได้มาซึ่งข้อมูลท่ีเก่ียวข้องที่จะมีการชี้ถึงผลกระทบตามความเป็นจริงที่มีต่อเศรษฐกิจ นอกจากท่ีกล่าวมาแล้วน้ัน ยังมีปัญหาที่สำ�คัญอีกคือ การขาดความสัมพันธ์ที่พึงปรารถนา ระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับนักประเมินผล ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียไม่ได้เข้ามาร่วม ในกระบวนการประเมินผลอาจเปน็ เพราะไม่เหน็ คณุ คา่ (เรอื งวทิ ย์ เกษสุวรรณ, ๒๕๕๙: ๓๑) ๒.๒) การวิเคราะห์ข้อมูลและการแปรความหมายข้อมูล ปัญหาสำ�คัญ ท่ีมักเกิดข้ึนในข้ันตอนน้ี ได้แก่ ผู้ประเมินผลนโยบายขาดความรู้ความเข้าใจในการวิเคราะห์ ข้อมูลและการแปรความหมายข้อมูล หรือบางครั้งให้ความสนใจในวิธีการแบบใดแบบหนึ่ง มากจนเกินไป อันทำ�ให้ละเลยหรือไม่สนใจวิธีการอีกแบบท่ีมีความสำ�คัญรองลงไป ดังท่ี Bamberger, Michael (2000: 98) เคยกล่าวไว้ว่า นักเศรษฐศาสตร์และนักวิจัยเชิงปริมาณ จำ�นวนมากที่มีความสนใจในข้อมูลเชิงลึก แต่ละเลยวิธีการเชิงคุณภาพ ก่อให้เกิดการขาด ความชัดเจนของความรุนแรงทางสถิติในการเลือกของผู้ประกอบการและชุมชน ทำ�ให้นักวิจัย แบบมีสว่ นรว่ มท้าทายความถูกต้องและความเหมาะสมของวธิ ีการเชงิ ปรมิ าณ ๓) ปัจจัยนำ�ออก (Output) หรืออาจเรียกว่าเป็นขั้นตอนของการวิเคราะห์ ข้อมูลและสรุปผลข้อมูล เป็นผลท่ีเกิดขึ้นมาจากกระบวนการแปรสภาพ (Transformation
88 รัฐสภาสาร ปีท ี่ ๖๕ ฉบับที ่ ๒ เดอื นกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ Process) ซึ่งผ่านกระบวนการการเก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูลและการแปร ความหมายข้อมูลแล้ว ในข้ันตอนสุดท้ายของการประเมินผลนโยบายสาธารณะก็คือ การสรุปผลการประเมิน และจัดทำ�เป็นรูปเล่มเสนอให้แก่ผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบ เพื่อนำ�ไป ประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายต่อไป โดยปัญหาสำ�คัญที่มักเกิดข้ึนในข้ันตอนนี้ ได้แก่ การต่อต้านจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ทางการหรือทางราชการ ในประเด็นดังกล่าวน้ี จุมพล หนิมพานิช (๒๕๕๒: ๒๕๖-๒๕๗) อธิบายว่า การประเมินผลนโยบาย ไม่ว่าจะเรียกว่าการวิเคราะห์ นโยบาย การวัดหรือประเมินผลกระทบนโยบาย หรือเรียกชื่ออย่างอื่น โดยท่ัวไปมักเป็น เร่ืองที่เกี่ยวข้องกับการรายงานข้อค้นพบ และการตัดสินผลตามข้อมูล ตามข้อเท็จจริง ตามข้อค้นพบ ตรงน้ีเป็นความจริงท่ียอมรับกัน ไม่ว่านักประเมินผลคนนั้นจะเป็นใคร แต่ประเด็นน้ีสำ�หรับเจ้าหน้าที่ของทางการที่รับผิดชอบนโยบาย/แผนงานที่มีการประเมินผล อาจจะน่ิงเฉยต่อผลทางการเมืองที่เกิดข้ึนตามมาไม่ได้ โดยเฉพาะถ้าผลการประเมินที่ออกมาน้ัน ไม่ได้ออกมาอย่างถูกต้องตามทัศนะของพวกเขา ถ้าเป็นเช่นนั้นพวกเขาจะต่อต้าน ดูถูก ดูหม่ินการศึกษาการประเมินผลเหล่านั้น โดยอาจปฏิเสธข้อมูลท่ีใช้ในการประเมินผลนั้นน่าจะ ไดม้ าไม่ถกู ต้อง ในแงด่ ังกล่าวทำ�ให้เกดิ “การเมืองของการประเมนิ ” ๔) สภาพแวดล้อมทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยี เป็นปจั จัยภายนอกองคก์ ารทมี่ ีอิทธิพลโดยตรงต่อการประเมนิ ผลนโยบายสาธารณะ ไดแ้ ก ่ ๔.๑ สภาพแวดล้อมทางสังคม มีความซับซ้อนและมีความสำ�คัญ ต่อการประเมินผลนโยบาย เน่ืองจากการบริหารเก่ียวข้องกับมนุษย์ท้ังภายในและภายนอก องค์การ ความสำ�คัญของปัจจัยด้านสังคมจึงเห็นได้ชัดเจน ปัจจัยทางด้านสังคมถูกกำ�หนดมา โดยวัฒนธรรม ประเพณี นิสัย ความเชื่อ ศาสนา ครอบครัว และส่ิงท่ีสำ�คัญ ต่อการประเมินผลนโยบายมากที่สุดคือ ค่านิยมของสังคมที่ก�ำ ลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและ มีผลกระทบต่อการประเมินผลนโยบายอย่างเห็นได้ชัด ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆท่ีสำ�คัญ เช่น ปัญหาตัวบคุ คลท่ีท�ำ การประเมนิ ผลนโยบายสาธารณะตามที่ไดอ้ ธบิ ายมาแลว้ เป็นต้น ๔.๒ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ เป็นตัวแปรท่ีมีความสำ�คัญต่อความสำ�เร็จ ของการประเมินผลนโยบาย ความสำ�คัญของปัจจัยแวดล้อมเศรษฐกิจจะเห็นได้อย่างชัดเจน เม่ือมีการจัดทำ�งบประมาณ กล่าวคือ เม่ือภาวะเศรษฐกิจเจริญรุ่งเรือง องค์การส่วนใหญ่ จะดำ�เนินงานได้อย่างราบร่ืน แต่ในกรณีที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ�แล้ว องค์การส่วนใหญ่ จะประสบความยุ่งยากในการด�ำ เนินงาน นอกจากภาวะทางเศรษฐกิจที่มีอิทธิพลต่อองค์การแล้ว ยังมีปัจจัยด้านอื่นๆ อีก เช่น ทรัพยากรทางธรรมชาติ เงินทุน เป็นต้น ทำ�ให้เกิดการใช้ ตัวแบบเศรษฐศาสตร์ท่ีตัวแบบนี้สามารถทำ�นายว่าการตัดทอนภาษีจะมีผลกระทบต่อกิจกรรม
ขอ้ สงั เกตบางประการเกี่ยวกบั ปัญหาส�ำ คญั ในกระบวนการประเมนิ ผลนโยบายสาธารณะ: 89 บทสะทอ้ นผ่านมุมมองเชงิ ระบบ ทางเศรษฐกิจ แต่ในทางปฏิบัติมักมีปัญหาการได้มาซึ่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องท่ีจะช้ีถึงผลกระทบ ตามความเป็นจรงิ ท่ีมีตอ่ เศรษฐกจิ ตามท่ไี ดอ้ ธิบายมาแลว้ เป็นตน้ ๔.๓ สภาพแวดล้อมทางการเมือง เป็นสิ่งท่ีนักบริหารองค์การต่างๆ จะต้องพิจารณาประกอบด้วย เช่น นโยบายของรัฐบาล กฎหมายต่างๆ เป็นต้น ถ้าเป็น องค์การในภาคธุรกิจแล้ว นโยบายของรัฐบาลอาจจะเป็นแนวทางในการกำ�หนดกลยุทธ์หรือ ปรับกลยุทธ์บางประการขององค์การ รัฐบาลอาจมีนโยบายในการส่งเสริมหรือควบคุม ในกิจการบางอย่างก็ได้ ส่วนองค์การรัฐบาลหรือระบบราชการแล้วถือว่าฝ่ายการเมืองจะเป็น ผู้กำ�หนดนโยบาย เพ่ือให้ระบบราชการนำ�นโยบายนั้นมาปฏิบัติให้บรรลุตามเจตนารมณ์ ของฝ่ายการเมืองซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน เพราะฉะน้ันปัญหาที่พบในปัจจัยด้านนี้ เป็นต้นว่า การต่อต้านจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ทางการหรือทางราชการ ในแง่ดังกล่าว ท�ำ ใหเ้ กดิ “การเมืองของการประเมิน” ตามทีไ่ ดอ้ ธบิ ายมาแลว้ เปน็ ต้น ๔.๔ สภาพแวดล้อมทางเทคโนโลยี นอกจากสภาพแวดล้อมทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ดังท่ีได้กล่าวมาแล้วข้างต้นน้ัน สภาพแวดล้อมทางเทคโนโลยีก็เป็นอีก ปัจจัยหนึ่งท่ีมีความสำ�คัญต่อการประเมินผลนโยบายสาธารณะ กล่าวได้ว่าการเปลี่ยนแปลง ครั้งยิ่งใหญ่ทางเทคโนโลยีสื่อสารหรือที่นิยมเรียกกันว่า “อินเทอร์เน็ต (Internet) ได้ส่งผลกระทบ ต่อการบริหารภาครัฐโดยตรง ทำ�ให้จำ�เป็นที่จะต้องดำ�เนินการปฏิรูปกระบวนการและ วิธีการบริหารจัดการเสียใหม่ เพ่ือให้สามารถทำ�งานได้อย่างคล่องตัว รวดเร็ว และสนองตอบ ต่อความต้องการของประชาชนที่มีหลากหลายได้มากข้ึนอย่างทันท่วงที เช่น การทำ� หนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Passport หรือ E-passport) เป็นต้น ผลของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีดังกล่าวทำ�ให้รูปแบบหรือวิธีการประเมินผล เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ขณะเดียวกันข้อมูลที่ใช้ในการประเมินผลก็มีความหลากหลาย มากยิ่งขึ้นอีกด้วย ดังน้ัน จึงมักทำ�ให้เกิดปัญหาในการประเมินผลนโยบายที่สำ�คัญ ได้แก่ ปัญหาการขาดข้อมูลข่าวสารในการประเมินผลนโยบายสาธารณะที่ไม่มีข้อมูลข่าวสารตามที่ ต้องการหรือมีแต่ไม่เพียงพอ ทำ�ให้เกิดความยากลำ�บากในการเก็บรวบรวมข้อมูลข่าวสาร สำ�หรับนักประเมินผล อีกท้ังบางครั้งก็มักจะพบว่าข้อมูลข่าวสารที่ได้มานั้นขาดความทันสมัย ถูกต้อง ไม่สมบูรณแ์ บบอกี ด้วย ตามทีไ่ ด้อธิบายมาแล้ว เป็นต้น ปัจจัยสภาพแวดล้อมทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยี ดังกล่าวนั้น ผู้เขียนมิได้ให้ความสนใจต่อการอธิบายในท่ีน้ีไว้มากเท่าใดนัก เพราะเป็นตัวแปร ท่ีควบคุมได้ยากและมีแบบแผนที่ไม่ชัดเจน ประกอบกับบางส่วนก็มีผลกระทบต่อปัจจัยนำ�เข้า (Input) กระบวนการแปรสภาพ (Transformation Process) ปัจจัยนำ�ออกหรือผลผลิต (Output) อยดู่ ว้ ยแลว้ ซง่ึ ได้อธบิ ายรายละเอยี ดไวใ้ นกระบวนการทั้งสามประการดังกลา่ วแลว้
90 รัฐสภาสาร ปที ่ ี ๖๕ ฉบบั ท่ ี ๒ เดอื นกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๕. ข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนากระบวนการหรือข้ันตอนของการประเมินผล นโยบายสาธารณะ ในกระบวนการหรือข้ันตอนของการประเมินผลนโยบายสาธารณะ กล่าวได้ว่า มักจะต้องประสบกับปัญหาสำ�คัญตามที่ได้กล่าวมาแล้วน้ัน นักวิชาการส่วนใหญ่เห็นว่า หากปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในกระบวนการของการประเมินผลนโยบายสาธารณะสามารถ หาทางออกหรือแก้ไขได้ ก็จะส่งผลทำ�ให้การประเมินผลมีความเที่ยงตรง ได้รับการยอมรับ และมีความน่าเชื่อถือ อาทิ เช่น Hogwood และ Gunn (1984) แสดงความเห็นไว้ว่า หากปัญหาของการประเมินผลกระทบต่างๆหาทางออกหรือแก้ไขได้ ก็จะทำ�ให้การประเมินผล มีความเที่ยงตรงต่อการได้รับความน่าเช่ือถือ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าหาทางออกแก้ไขไม่ได้ ก็จะทำ�ให้การประเมินผลมีปัญหาเร่ืองความเที่ยงตรง รวมท้ังปัญหาความน่าเช่ือถือได้ ของการประเมินผล อันนำ�ไปสู่การยอมรับของผู้นำ�ผลการประเมินผลนโยบายไปใช้ ไปประยุกต์ใช้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายการเมือง ฝ่ายบริหาร หรือฝ่ายท่ีเก่ียวข้องอ่ืนใด โดยเฉพาะ ในกรณขี องภาครัฐ (Public Sector) การหาทางออกให้กับปัญหาต่างๆ ในกระบวนการหรือข้ันตอนของการประเมินผล นโยบายสาธารณะเป็นเร่ืองท่ีมิอาจกระทำ�ได้โดยง่าย เพราะมีความแตกต่างกันในแง่ ของเงื่อนไขหลายประการท่ีเกิดขึ้น ท้ังในตัวของนโยบายสาธารณะท่ีมีเน้ือหาสาระหรือ รายละเอียดที่แตกต่างกัน ตัวนโยบายท่ีถูกนำ�ไปใช้ในแต่ละพื้นท่ีมีความแตกต่างกันไปตาม แต่ละบริบทในแต่ละพ้ืนที่ ด้านตัวผู้ประเมินผลนโยบายเองที่มีประสบการณ์ และภูมิหลัง ความรู้ด้านการวิจัยและประเมินผลที่แตกต่างกัน ซ่ึงความแตกต่างกันในหลายๆ ประการ ตามที่กล่าวมานี้ ทำ�ให้กระบวนการในการแก้ไขปัญหาของการประเมินผลนโยบายสามารถ กระทำ�ได้อย่างหลากหลายวิธีที่มีความเหมาะสมและสอดคล้องไปตามแต่ละเงื่อนไขหรือบริบท ต่างๆ อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนมีข้อเสนอแนะแนวทางต่อการพัฒนากระบวนการหรือข้ันตอน ของการประเมินผลนโยบายสาธารณะ อันเป็นผลที่ได้รับมาจากปัญหาสำ�คัญในกระบวนการ ของการประเมินผลนโยบายสาธารณะท่ีสะท้อนให้เห็นผ่านมุมมองเชิงระบบ โดยการนำ�เสนอ ข้อเสนอแนะในภาพรวมๆ ดงั น้ี ๕.๑ ด้านปัจจัยนำ�เข้าหรืออาจเรียกว่าเป็นข้ันตอนของการเตรียมการ มขี อ้ เสนอแนะ ดงั น้ี คอื ๑) ควรมีการพัฒนาการศึกษาวิชาการประเมินผลนโยบายสาธารณะ โดยหันมาเน้นแนวทางการประเมินผลที่มุ่งเน้นทฤษฎี เพราะจะได้บูรณาการความรู้ ๓ ส่วน เข้าด้วยกัน คือ ทฤษฎีสังคมศาสตร์ ทฤษฎีโครงการ และทฤษฎีการประเมินผล เน่ืองจาก
ขอ้ สงั เกตบางประการเกยี่ วกับปัญหาส�ำ คญั ในกระบวนการประเมนิ ผลนโยบายสาธารณะ: 91 บทสะทอ้ นผ่านมมุ มองเชงิ ระบบ ในปัจจุบันการศึกษาวิชาการประเมินผลของไทยยังมุ่งเน้นเฉพาะทฤษฎีการประเมินผลหรือ ระเบียบวิธีวิจัยประเมินผลด้านเดียว และขาดความเฉพาะเจาะจง ท้ังน้ี เพราะไปผูกโยงกับ การประเมินผลการศึกษาหรือการประเมินผลอื่นมากกว่านโยบายสาธารณะ (เรืองวิทย์ เกษสุวรรณ, ๒๕๕๙: ๓๒) เพ่ือที่จะทำ�ให้ตัวนโยบายมีความชัดเจน โดยเฉพาะในแง่ ของการกำ�หนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของนโยบายสาธารณะไว้อย่างแน่ชัด จะช่วยให้ การประเมนิ ผลนโยบายกระท�ำ ได้ง่ายและถูกตอ้ งยิ่งข้ึน ๒) ควรมีการพัฒนาความเป็นวิชาชีพทางด้านการประเมินผลนโยบาย เป็นการเฉพาะ เพ่ือให้การทำ�หน้าที่ในการประเมินผลนโยบายของนักประเมินผลมีแนวทาง ที่ชัดเจนย่ิงข้ึน ซึ่งการประเมินผลนโยบายมีแนวโน้มท่ีสามารถพัฒนาไปสู่ความเป็นวิชาชีพได้ ในอนาคต ในต่างประเทศมีความสนใจต่อการประเมินผลเฉพาะเรื่อง (thematic evaluations) เพ่ิมข้ึน ซึ่งเป็นการตรวจสอบผลกระทบของกลยุทธ์การพัฒนาท่ีมีต่อเฉพาะกลุ่ม เช่น ผู้หญิง หรือประชากรพื้นเมือง หรือในประเด็นการพัฒนา เช่น สภาพแวดล้อม โดยที่นักประเมินผลหลายคนเชื่อว่าวิธีการประเมินผลที่มีลักษณะพิเศษจะต้องได้รับการพัฒนา เพื่อทำ�ให้เกิดความแน่ใจว่ามุมมองและความเป็นจริงของประชากรหรือกลุ่มเหล่าน้ีที่มี ความเข้าใจ และจะทำ�ให้สามารถสะท้อนให้เห็นในการออกแบบนโยบายและโครงการได้อย่างเต็มที่ (Bamberger, Michael, 2000: 96) อย่างไรก็ตาม เรืองวิทย์ เกษสุวรรณ (๒๕๕๙: ๓๒) เห็นว่าสามารถกระทำ�ได้โดยที่นักวิชาการทางด้านนโยบายสาธารณะมีการรวมตัวกันจัดต้ัง สมาคมวิชาชีพของตนเอง จัดระเบียบการเป็นสมาชิก ออกวารสาร จัดประชุม นำ�เสนอ ผลงาน ให้ทุนวิจัย ดูงาน และรายงานความเคลื่อนไหวทางวิชาการใหม่ๆ และเช่ือมโยงกับ องค์กรวิชาชีพทางด้านนโยบายสาธารณะในระดับสากล เพ่ือผลักดันความก้าวหน้า ทางวิชาการ และพัฒนาความเป็นวิชาชีพอย่างจริงจังต่อไป ดังเช่น สมาคมนโยบาย สาธารณะ หรือสมาคมนักวิจัยประเมินผลนโยบายสาธารณะในต่างประเทศ ๓) ควรมีการบูรณาการวิธีการประเมินผลเชิงปริมาณและคุณภาพ (Integrating Quantitative and Qualitative Evaluation Methods) ให้มากยิ่งข้ึน เพื่อให้ ในแต่ละวิธีการเสริมสร้างจุดแข็งของกันและกัน เพราะการเน้นวิธีการใดวิธีการหนึ่งมากเกินไป ทำ�ให้เกิดปัญหาได้ ดังข้อเรียกร้องของ Bamberger, Michael (2000: 97) ที่ว่าเน่ืองจาก นักเศรษฐศาสตร์และนักวิจัยเชิงปริมาณจำ�นวนมากที่มีความสนใจในข้อมูลเชิงลึก แต่ละเลย วิธีการเชิงคุณภาพ ก่อให้เกิดการขาดความชัดเจนของความรุนแรงทางสถิติในการเลือก ของผู้ประกอบการและชุมชน ทำ�ให้นักวิจัยแบบมีส่วนร่วมท้าทายความถูกต้องและความเหมาะสม ของวิธีการเชิงปริมาณ โดยความท้าทายสำ�หรับนักปฏิบัติงานด้านการประเมินผลจะช่วยให้
92 รัฐสภาสาร ปที ี่ ๖๕ ฉบับท ี่ ๒ เดอื นกุมภาพันธ ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ เกิดการพัฒนาแนวทางในการบูรณาการของวิธีการเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เพ่ือให้ ในแต่ละวธิ ีการเสรมิ สร้างจดุ แขง็ ของกันและกนั ๕.๒ กระบวนการแปรสภาพ (Transformation Process) หรืออาจเรียกว่า เป็นข้ันตอนของการดำ�เนินการ มีข้อเสนอแนะ ดังน้ี คือ ควรมุ่งเน้นการประเมินผล แบบมีส่วนร่วม (Participatory Evaluation) อย่างจริงจัง ซ่ึงวิธีการแบบมีส่วนร่วมได้รับ การพัฒนาเพื่อให้เกิดการฟังจากผู้ท่ีได้รับผลประโยชน์ของโครงการที่ตั้งใจ หรือกลุ่มที่ได้รับ ผลกระทบในการระบุ การออกแบบ และการจัดการโครงการ ดังเช่นท่ีมีการศึกษากัน โดยแพร่หลายในต่างประเทศ โดยในปี ค.ศ. ๑๙๙๘ มีการศึกษาการประเมินผลทางสังคม ของธนาคารโลกโดยกองทุนแองโกลให้ความช่วยเหลือทางสังคม (FAS) ซึ่งแสดงให้เห็นถึง การใช้วิธีการแบบมีส่วนร่วม การประเมินผลแบบมีส่วนร่วมเป็นการศึกษาประสิทธิภาพ ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของทุกๆชุมชน (รวมทั้งผู้หญิง) ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลือกและ การออกแบบโครงการ (น้ำ�ประปา โรงเรียน โพสต์สุขภาพ) รวมตลอดทั้งการประเมินผล การรับรู้ของชุมชนที่มีต่อผลกระทบของโครงการดังกล่าว ในปลายปี ค.ศ. ๑๙๙๘ ก็พบว่า มีการศึกษาท่ีมีลักษณะคล้ายกันนี้คือ กองทุนพัฒนาชุมชนอีรีเทรียน (Eritrean Community Development Fund) (Bamberger, Michael, 2000: 99) ๕.๓ ปัจจัยนำ�ออก (Output) หรืออาจเรียกว่าเป็นขั้นตอนของการวิเคราะห์ ข้อมูลและสรุปผลข้อมูล มีข้อเสนอแนะ ดังนี้ คือ ควรดำ�เนินการปรับเปลี่ยนทัศนคติ ของข้าราชการ เพ่ือสร้างความตระหนักถึงความสำ�คัญของการประเมินผลท่ีจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ ท่ีดีต่อการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงหน่วยงานไปในทางที่ดีขึ้น โดยอาจกำ�หนดเป็นค่านิยม หรือจรรยาบรรณท่ีเกี่ยวข้องกับการประเมินผลโดยเฉพาะ อาจศึกษาตัวอย่างจากต่างประเทศ ซึ่งในตา่ งประเทศมีการก�ำ หนดเรอ่ื งดงั กล่าวไว้คอ่ นขา้ งชัดเจน อาทิ International Laboratory Accredition Cooperation ของประเทศออสเตรเลียได้กำ�หนดคุณลักษณะของผู้ประเมินไว้ ดังนี้ คือ ๑) เปิดใจกว้าง มีวุฒิภาวะเหมาะสม แสดงออกถึงความต้องการรับฟังความคิดเห็น หรือทัศนคติของผู้อ่ืน ๒) ควบคุมการตัดสินใจของตนเองได้ มีทักษะในการวิเคราะห์ และมจี ติ ใจหนกั แนน่ ม่ันคง ๓) มคี วามสามารถทจ่ี ะเขา้ ใจถึงสถานภาพในความเปน็ จริงเกย่ี วกบั การทำ�งานในรูปแบบต่างๆ จากมุมมองท่ีกว้างไกล และเข้าใจถึงการจัดแบ่งหน้าที่งานตาม หน่วยสมรรถนะแต่ละหน่วย ๔) จำ�แนกส่ิงจำ�เป็นหรือสาระสำ�คัญจากข้อมูลจำ�นวนเล็กน้อย ได้อย่างชัดเจน ๕) มีจริยธรรม จิตใจเป็นธรรม ยึดมั่นความถูกต้อง จริงใจ ซื่อสัตย์ สุขุม รอบคอบ ๖) มีปฏิภาณไหวพริบ รู้จักกาลเทศะ มีศิลปะในการเจรจาต่อรองกับผู้อ่ืน ๗) ช่างสังเกต มีสติต่ืนตัวต่อสิ่งแวดล้อม ปรากฏการณ์รอบตัว และธรรมเนียมปฏิบัติ
ข้อสังเกตบางประการเกยี่ วกับปญั หาส�ำ คญั ในกระบวนการประเมนิ ผลนโยบายสาธารณะ: 93 บทสะท้อนผา่ นมุมมองเชงิ ระบบ รอบข้าง ๘) ยึดมั่นในการบรรลุเป้าประสงค์อย่างมั่นคง ๙) มีความสามารถในการตัดสินใจ ให้สำ�เร็จลุล่วงในเวลาท่ีเหมาะสมบนพื้นฐานของการวิเคราะห์ด้วยเหตุผลเชิงตรรกวิทยา และ ๑๐) มีความเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเองในความสัมพันธ์กับผู้อ่ืนอย่างมีประสิทธิภาพ (The ILAC Secretariat, 2006: 7-8) สำ�หรับข้อเสนอแนะแนวทางต่อการพัฒนากระบวนการหรือขั้นตอน ของการประเมินผลนโยบายสาธารณะดังกล่าวข้างต้นนั้น เป็นแต่เพียงการนำ�ข้อเสนอแนะ ในภาพกว้างๆ ซ่ึงมิใช่สูตรสำ�เร็จที่แน่นอนตายตัวท่ีสามารถนำ�ไปใช้ได้อย่างทันท่วงที และ มีความเหมาะสมสอดคล้องกับเงื่อนไขหรือบริบทต่างๆ ได้ หากแต่ข้อเสนอดังกล่าวจะเป็น ประโยชน์ในแง่ท่ีจะเป็นเพียงแนวทางให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประเมินผลนโยบายนำ�ไป พิจารณาปรับใช้ในการปรับปรุง หรือพัฒนาเปลี่ยนแปลงกระบวนการประเมินผลนโยบาย สาธารณะให้มีความเหมาะสม มีความสอดคล้อง มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากย่ิงขึ้น ต่อไปในอนาคต ๖. บทสรปุ การประเมินผลนโยบายสาธารณะ (Policy Evaluation) มีความสำ�คัญในฐานะ ที่เป็นขั้นตอนหน่ึงที่สำ�คัญในกระบวนการนโยบายสาธารณะที่นักนโยบายควรให้ความสนใจ เป็นอย่างมาก โดยในการประเมินผลนโยบายสาธารณะมิอาจละเลยท่ีจะกล่าวถึงการประเมินผล โครงการได้ อันเนื่องมาจากการศึกษาเฉพาะตัวนโยบายเพียงอย่างเดียวอาจไม่ให้ผลท่ีเด่นชัดได ้ เพราะนโยบายมีขอบเขตที่กว้าง อีกทั้งนโยบายส่วนใหญ่ ผู้กำ�หนดนโยบายมิได้มีการกำ�หนด รายละเอียดในส่วนของวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และตัวช้ีวัดไว้อย่างชัดเจน ดังนั้น จึงทำ�ให้ ผู้ประเมินผลนโยบายจำ�เป็นต้องอาศัยการประเมินผลโครงการซึ่งมีรายละเอียดปลีกย่อย มากกว่าเป็นเครื่องช่วยตัดสินใจเกี่ยวกับความสำ�เร็จของนโยบายหรือคุณค่าของนโยบายว่า ควรมีการดำ�เนินการต่อไป หรือควรมีการยุตินโยบายที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ในแง่ ของกระบวนการหรือข้ันตอนในการประเมินผลนโยบายสาธารณะ แม้ว่าจะมีความแตกต่างกัน ในแง่ของรายละเอียด แต่ก็ได้มีนักวิชาการเห็นพ้องร่วมกันในหลายๆ ขั้นตอน ซึ่งประกอบด้วย อย่างน้อย ๖ ข้ันตอน ได้แก่ การกำ�หนดรายละเอียดและวัตถุประสงค์ในการประเมินผล พัฒนาตัวแบบการวิจัยประเมินผลที่เหมาะสมกับเป้าหมายและเกณฑ์ การพิจารณากำ�หนด ตัวบ่งชี้และแหล่งข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลและการแปรความหมาย ขอ้ มลู และการสรุปผลการประเมนิ
94 รัฐสภาสาร ปีท ่ี ๖๕ ฉบับท ่ี ๒ เดอื นกมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ เม่ือพิจารณาในแง่ของปัญหาสำ�คัญในกระบวนการของการประเมินผลนโยบาย สาธารณะทส่ี ะทอ้ นผา่ นมมุ มองเชงิ ระบบ ก็จะพบวา่ มี ๓ ลกั ษณะส�ำ คญั อนั ประกอบไปดว้ ย ๑. ปัจจัยนำ�เข้า (Input) ประกอบด้วย ๑) การกำ�หนดรายละเอียดและ วัตถุประสงค์ในการประเมินผล คือ ความไม่แน่ชัดของเป้าหมายและวัตถุประสงค์ ของนโยบายสาธารณะ และปัญหาตัวบุคคลที่ทำ�การประเมินผลนโยบายสาธารณะ ๒) พัฒนาตัวแบบการวิจัยประเมินผลที่เหมาะสมกับเป้าหมายและเกณฑ์คือ การขาดกรอบ แนวคิดโครงการที่เพียงพอ และ ๓) การพิจารณากำ�หนดตัวบ่งชี้และแหล่งข้อมูลคือ ปญั หาการขาดขอ้ มูลข่าวสารในการประเมนิ ผลนโยบายสาธารณะ ๒. กระบวนการแปรสภาพ (Transformation Process) ประกอบด้วย ๑) การเก็บรวบรวมข้อมูลคือ ความยากลำ�บากในการได้มาซ่ึงข้อมูล และ ๒) การวิเคราะห์ ข้อมูลและการแปรความหมายข้อมูลคือ ผู้ประเมินผลนโยบายขาดความรู้ความเข้าใจ ในการวเิ คราะหข์ อ้ มูลและการแปรความหมายขอ้ มลู และ ๓. ปัจจัยนำ�ออก (Output) ประกอบด้วยการสรุปผลการประเมินคือ การต่อต้าน จากฝ่ายเจา้ หนา้ ท่ีทางการหรือทางราชการ สำ�หรับข้อเสนอแนะแนวทางต่อการพัฒนากระบวนการหรือขั้นตอน ของการประเมินผลนโยบายสาธารณะ มีข้อเสนอแนะดังน้ี คือ ๑) ควรมีการพัฒนาการศึกษา วิชาการประเมินผลนโยบายสาธารณะ ๒) ควรมีการพัฒนาความเป็นวิชาชีพทางด้าน การประเมินผลนโยบายเป็นการเฉพาะ ๓) ควรมีการบูรณาการวิธีการประเมินผลเชิงปริมาณ และคุณภาพอย่างจริงจัง ๔) ควรมุ่งเน้นการประเมินผลแบบมีส่วนร่วม และ ๕) ควรดำ�เนินการปรับเปล่ียนทัศนคติของข้าราชการ เพ่ือสร้างความตระหนักถึงความสำ�คัญ ของการประเมินผลท่ีจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ท่ีดีต่อการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงหน่วยงาน ไปในทางทีด่ ขี น้ึ
ขอ้ สังเกตบางประการเก่ียวกับปญั หาส�ำ คัญในกระบวนการประเมินผลนโยบายสาธารณะ: 95 บทสะท้อนผา่ นมมุ มองเชงิ ระบบ บรรณานกุ รม ภาษาไทย จนิ ดาลักษณ์ วฒั นสินธ์ุ. (๒๕๕๒). “การประเมินผลนโยบายสาธารณะ.” ใน เอกสารการสอน ชุดวิชานโยบายสาธารณะและการวางแผน หน่วยที่ ๖. นนทบุรี: โรงพิมพ์ มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช, หน้า ๒๗๘-๓๒๑. จุมพล หนมิ พานชิ . (๒๕๕๒). การประเมินผลนโยบาย: หลกั การ แนวคดิ และการประยกุ ตใ์ ช.้ นนทบุร:ี โรงพมิ พม์ หาวทิ ยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธริ าช. . (๒๕๕๒). การวิเคราะห์นโยบาย: ขอบข่าย แนวคิด ทฤษฎี และ กรณตี ัวอย่าง. นนทบุรี: โรงพิมพ์มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช. ไตรรัตน์ โภคพลากรณ.์ (๒๕๕๓). “ปจั จยั แวดล้อมทางสังคมที่มีอทิ ธพิ ลตอ่ การบรหิ ารราชการไทย.” ใน เอกสารการสอนชุดวิชาการบริหารราชการไทย หน่วยที่ ๓. นนทบุรี: โรงพมิ พ์มหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธริ าช, หน้า ๘๗-๑๒๗. เยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี. (๒๕๔๘). การประเมินโครงการ: แนวคิดและแนวปฏิบัติ. พมิ พค์ รงั้ ท ่ี ๔. กรงุ เทพฯ: สำ�นักพมิ พ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. เรอื งวิทย ์ เกษสวุ รรณ. (๒๕๕๕). การประเมินผลนโยบายสาธารณะ. กรงุ เทพฯ: บพธิ การพมิ พ์. . (๒๕๕๙). “วิกฤติความรู้นโยบายสาธารณะไทยในสว่ นของทฤษฎีโครงการ.” วารสารการบรหิ ารทอ้ งถิ่น. ๙(๒): ๑๘-๓๔. ศุภชัย ยาวะประภาษ. (๒๕๕๒). นโยบายสาธารณะ. พมิ พค์ ร้ังที ่ ๘. กรุงเทพฯ: ส�ำ นักพิมพ์ แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. ภาษาองั กฤษ Anderson, James E. (1983). Public Policy Making. New York: Holt, Rinehart and Winston. Bamberger, Michael. (2000). “The Evaluation of International Development Programs: A View from the Front.” American Journal of Evaluation. 21(1): 95–102. Bingham, Richard D. and Felbinger, Claire L. (1989). Evaluation in Practice: A Methodological Approach. New York: Longman.
96 รัฐสภาสาร ปที ่ ี ๖๕ ฉบบั ท ่ี ๒ เดือนกมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ Cronbach, Lee J. (1963). “Course improvement through evaluation.” Teachers College Record. 64: 672-683. Dunn, William N. (1981). Public Policy Analysis: An Introduction. Englewood Cliffs, New Jersey: Prentice-Hall. Dye, Thomas R. (2005). Understanding Public Policy. New Jersey: Pearson Education. Gow, D. (1991). GT231 Australian Public Policy: An Introduction to the Study of Public Policy. Brisbane, QLD: The University of Queensland. Hayes Jr., Samuel P. (1969). Evaluating Development Project. Paris: UNESCO. Hogwood, Brain W. and Gunn, Lewis A. (1984). Policy Analysis for the Real World. New York: Oxford Press University. Katz, Daniel & Kahn Robert. (2004) “Organization and System Concept.” In Shafritz, Jay M. & Hyde, Albert C. (Ed.). Classics of Public Administration. Wadswort: Cengage Learning, pp. 446-455. Patton, Leonard, Micheal Quinn. (1986). Utilization-focused Evaluation. 2nd ed. California: Sage Publications. Pressman, Jeffrey and Wildavsky, Aaron. (2004) “Implementation.” In Shafritz, Jay M. & Hyde, Albert C. (Ed.). Classics of Public Administration. Wadsworth: Cengage Learning, pp. 319-322. Rutman, Leonard. (Ed.). (1984). Evaluation Research Methods: A Basic Guide. 2nd ed. London: Sage Publications. Suchman, Edward A. (1967). Evaluative Research: Principles and Practices in Public Service and Social Action Programs. New York: Russell Sage Foundation. Trochim, William M. K. (2009). “Evaluation Policy and Evaluation Practice.” New Directions for Evaluation. 123: 13–32. Tyler, Ralph W. (1949). Basic Principles of Curriculum and Instruction. Chicago, IL: University of Chicago Press. Weiss, Carol H. (1973). “The Politics of Impact Measurement.” Policy Studies Journal. 1(3): 179-183.
ขอ้ สังเกตบางประการเกี่ยวกบั ปญั หาสำ�คัญในกระบวนการประเมนิ ผลนโยบายสาธารณะ: 97 บทสะท้อนผ่านมมุ มองเชิงระบบ Wholey, Joseph S. (1970). Federal Evaluation Policy: Analyzing the Effects of Public Programs. Washington, D.C.: Urban Institute. สื่ออิเล็กทรอนิกส์ The ILAC Secretariat. (2006). “ILAC Guidelines on Qualifications and Competence of Assessors and Technical Experts.” [Online] Available from: http:// www.ilac.org/documents/WhatsNew.G11_2006_Final_Version_050706.pdf [2016, November 21].
ใบสมคั ร / ตอ่ อายุสมาชิก “รัฐสภาสาร” อตั ราค่าสมาชิก ปีละ ๕๐๐ บาท รวมค่าจดั ส่ง (ราคาขายปลกี เลม่ ละ ๕๐ บาท) ข้าพเจ้า ................................................................... มีความประสงค์จะสมัคร/ต่ออายุ สมาชิกวารสารรฐั สภาสาร เร่มิ ต้ังแต่ฉบับเดอื น ............................................ พ.ศ. .................... ถงึ ฉบับเดือน ...................................................... พ.ศ. ........................... ทงั้ น ้ี ขอให้ออกใบเสรจ็ รบั เงนิ ในนาม ................................................................................... โดยสง่ วารสาร “รัฐสภาสาร” ถึงข้าพเจา้ ท ่ี ......................................................................................... หมู่ที ่ ............. ตรอก/ซอย .................................................... ถนน ....................................................... แขวง/ต�ำ บล ................................................................... เขต/อ�ำ เภอ ....................................................... จงั หวดั .............................................................................. รหัสไปรษณีย ์ .................................................. โทรศพั ท์ ............................................................................ โทรสาร ............................................................... การช�ำ ระเงิน - เงนิ สด ทีก่ ลมุ่ งานผลติ เอกสาร ส�ำ นักประชาสัมพันธ์ สำ�นักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร - ต๋ัวแลกเงนิ หรือธนาณัติ ส่งั จา่ ยไปรษณีย์รฐั สภา กรงุ เทพฯ ๑๐๓๐๕ ในนามผ้จู ดั การรัฐสภาสาร กลุ่มงานผลิตเอกสาร สำ�นักประชาสมั พันธ์ สำ�นักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ถนนอ่ทู องใน เขตดสุ ติ กรงุ เทพฯ ๑๐๓๐๐ จ�ำ นวนเงนิ ............................................ บาท
Search