รายงานการวจิ ยั เรือ่ ง การลดพฤติกรรมกา้ วร้าวของเด็กอนุบาลช้นั ปที ี่ 2 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 33 จังหวดั ลพบุรี โดยใช้กิจกรรมเล่านิทานลดพฤติกรรมก้าวร้าว นางสาวขนษิ ฐา สภุ า ตาแหน่ง ครูผ้ชู ่วย โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 33 จงั หวดั ลพบรุ ี สานกั บริหารงานการศกึ ษาพเิ ศษ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
บทคัดยอ่ หวั ข้อวจิ ัย การลดพฤตกิ รรมกา้ วรา้ วของเด็กอนบุ าลชัน้ ปที ่ี 2 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 33 จังหวดั ลพบรุ ี โดยใช้กิจกรรมเล่านิทานลดพฤตกิ รรมก้าวรา้ ว ผู้ดาเนินการวิจัย นางสาวขนษิ ฐา สุภา ที่ปรึกษา นางสาวทวีทรพั ย์ จนั ทรทิพย์ รองผู้อานวยการโรงเรยี น หน่วยงาน โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 33 จังหวัดลพบรุ ี ปี พ.ศ. 2564 การวิจัยครงั้ นี้มวี ตั ถปุ ระสงค์ดังนี้ เพ่ือศึกษาการลดพฤติกรรมก้าวร้าวของเดก็ อนบุ าลชั้นปีที่ 2 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 33 จังหวัดลพบุรี โดยใชก้ ิจกรรมเลา่ นิทานลดพฤติกรรมกา้ วร้าว ประชากร ท่ใี ช้ในการศึกษาครงั้ น้ี เป็นนกั เรียนชาย อายุ 4 - 5 ขวบ ช้นั อนุบาลปที ี่ 2 จานวน 3 คน ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2563 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 33 จังหวดั ลพบุรี ตาบลดงดนิ แดง อาเภอ หนองมว่ ง จังหวัดลพบุรี กลมุ่ เปา้ หมาย ท่ีใชใ้ นการศึกษาครัง้ น้ี เป็นนกั เรยี นชาย อายุ 4 - 5 ขวบ ชั้นอนุบาลปีท่ี 2 จานวน 3 คน ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 33 จงั หวดั ลพบุรี ตาบลดงดนิ แดง อาเภอหนองมว่ ง จงั หวัดลพบุรี 1.แผนการจัดประสบการณ์ 3 แผน แผนการจัดประสบการณ์สัปดาหท์ ี่ 1 หนว่ ย เปล่งประกายหนนู อ้ ยน่ารัก กจิ กรรมเสรมิ ประสบการณ์ (ในวงกลม) นิทานเรอื่ งเจา้ หมูหูหาย แผนการจัดประสบการณ์สัปดาหท์ ี่ 2 หน่วย เปลง่ ประกายหนูน้อยนา่ รกั กจิ กรรมเสริมประสบการณ์ (ในวงกลม) นิทานเรอ่ื งบิก๊ ซโี้ มโห แผนการจดั ประสบการณ์สัปดาหท์ ่ี 3 หนว่ ย เปลง่ ประกายหนนู อ้ ยนา่ รัก กิจกรรมเสริมประสบการณ์ (ในวงกลม) นิทานเรือ่ งสม้ ซ่าจอมเกเร 2.ชุดนทิ าน ลดพฤติกรรมกา้ วร้าว 3 เรอ่ื ง นิทานเร่อื งเจ้าหมหู หู าย นิทานเร่ืองบิ๊กซ่าขีโ้ มโห นทิ านเร่อื งสม้ ซา่ จอมเกเร คะแนนจากพฤติกรรมกา้ วร้าว ใน 3 สปั ดาห์ เป็นการเกบ็ คะแนนจากกลุ่มประชากร 3 คน ท่ีเป็นเดก็ ปฐมวัยชน้ั อนุบาลปที ี่ 2 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 33 จงั หวัดลพบุรี ตาบลดงดนิ แดง อาเภอหนองม่วง จังหวัดลพบรุ ี มีรายการประเมนิ 5 รายการคอื 1.แสดงสีหนา้ ไม่พอใจ 2.ทาร้ายรา่ งกายตนเอง 3.ทารา้ ย ร่างกายผู้อื่น 4.ขวา้ งปาสิ่งของ5.ไมเ่ ช่อื ฟังคาสงั่
กิตตกิ รรมประกาศ งานวิจัยฉบบั นสี้ าเร็จลลุ ่วงดว้ ยดี เพราะไดค้ วามกรุณาอยา่ งสูงในการให้คาปรกึ ษา แนะนาและแกไ้ ข ข้อบกพร่องตา่ งๆเป็นอย่างดจี าก นางสาวทวที รพั ย์ จันทรทิพย์ รองผู้อานวยการโรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 33 จงั หวัดลพบรุ ี ทีก่ รุณาให้ข้อเสนอแนะเพมิ่ เติม ทาให้งานวจิ ัยฉบบั น้ีสมบูรณย์ ่ิงขนึ้ ผู้วิจัยขอกราบ ขอบพระคุณเปน็ อยา่ งสูงไวณ้ โอกาสนี้ ขอกราบขอบพระคุณ ดร.ประเวศ ทงั่ จันทร์แดง ผอู้ านวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 33 จงั หวดั ลพบรุ ี ทอ่ี านวยความสะดวกในการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนระดบั ชั้นอนบุ าล ขอกราบขอบพระคุณคณะเพื่อนครูโรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 33 จังหวดั ลพบุรี และนักเรยี นชั้น อนบุ าลปีที่ 2 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 33 จงั หวัดลพบุรี ตาบลดงดินแดง อาเภอหนองม่วง จังหวดั ลพบุรี ทเี่ ปน็ กลุ่มเปา้ หมายในการเก็บข้อมูล คุณคา่ และประโยชนข์ องงานวิจัยฉบับนี้ขอมอบใหเ้ ด็กนักเรยี นชั้นอนุบาลปีท่ี 2 ปี การศึกษา 2563 โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 33 จังหวัดลพบุรี ตาบลดงดินแดง อาเภอหนองม่วง จังหวัดลพบุรแี ละขอมอบให้ ผู้ท่มี ีพระคณุ ทกุ ท่าน ขนษิ ฐา สุภา 2564
สารบญั หน้า บทคดั ย่อ ก กติ ตกิ รรมประกาศ ข บทที่ 1 บทนา ความเป็นมาและความสาคัญ วัตถุประสงค์ของการวิจยั คาถามการวิจยั สมมตฐิ านการวิจัย ขอบเขตการวจิ ยั ประโยชนท์ คี่ าดวา่ จะได้รับ นิยามศัพท์ บทที่ 2 แนวคดิ ทฤษฎี เอกสารงานวจิ ยั ท่เี ก่ียวข้อง พฒั นาการทางอารมณ์ พฒั นาการทางดา้ นอารมณ์และจติ ใจ รปู แบบการแสดงออกทางอารมณ์ พฤติกรรมทเี่ กดิ จากความคับข้องใจ พฒั นาการทางอารมณ์ของเด็ก งานวิจยั ที่เก่ยี วข้อง บทท่ี 3 วิธีดาเนนิ งานวิจัย ประชาการและการสุม่ ตัวอย่าง เครอื่ งมอื ในการวจิ ัยและการตรวจสอบคุณภาพเคร่อื งมือ การเก็บรวบรวมข้อมลู การวิเคราะห์ขอ้ มลู บทที่ 4 ผลการวิจยั บทที่ 5 สรุปผลการวจิ ัย อภปิ ลายผล และข้อเสนอแนะ
สารบญั (ตอ่ ) หน้า สรปุ ผลการวิจยั อภิปลายผล ขอ้ เสนอแนะ บรรณานกุ รม ภาคผนวก ภาคผนวกรปู ภาพ ประวัตผิ ู้วจิ ยั
เรื่อง การลดพฤตกิ รรมกา้ วรา้ วของเด็กอนุบาลช้นั ปีที่ 2 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 33 จงั หวัดลพบุรี โดยใชก้ จิ กรรมเล่านิทานลดพฤตกิ รรมก้าวรา้ ว บทท่ี 1 ความเป็นมาและความสาคัญของปญั หา/ภมู ิหลัง จากหลกั สตู รการศึกษาปฐมวยั พทุ ธศักราช 2560 กล่าวว่าการศึกษาเปน็ การพัฒนาเดก็ ตัง้ แต่แรก เกิดถงึ 6 ปีบนพ้นื ฐานการอบรมเลี้ยงดูและสง่ เสรมิ กระบวนการเรยี นรทู้ ี่สนองต่อธรรมชาตแิ ละพัฒนาการของ เดก็ ก็แตล่ ะคนตามศักยภาพภายใต้บริบทสงั คมวัฒนธรรมท่ีเด็กก็อาศัยอยู่ดว้ ยความรักความเอื้ออาทรแลความ เข้าใจของทุกคนเพ่ือสรา้ งรากฐานคณุ ภาพชีวิตให้เด็กพัฒนาไปสคู่ วามเป็นมนุษย์ท่สี มบรู ณ์ ปัจจุบนั สังคมไทยมี ความก้าวหนา้ ของววิ ฒั นาการทั้งทางเทคโนโลยี พฤตกิ รรมทางสังคมท่ีกา้ วไปอย่างไมห่ ยุดย้งั อนั สง่ ผลต่อ ความเป็นอยู่ของคนในสังคมที่จะต้องปรับวถิ กี ารดาเนนิ ชีวติ ให้สอดคล้องกบั สิ่งที่เปลยี่ นแปลงไปตามยุคสมยั ด้านสงั คมไทยในอนาคตนัน้ ปรากฏผลชดั เจนวา่ สถาบนั ครอบครวั จะมลี กั ษณะเปลี่ยนแปลงไปเป็นครอบครวั ขนาดเล็กและครอบครัวเดย่ี วมากย่งิ ข้ึน เนื่องจากโครงสรา้ งและแบบแผนทางเศรษฐกจิ เป็นเครื่องกาหนด ลกั ษณะดงั กลา่ ว และจะมีผลกระทบต่อสภาพความเปน็ อยใู่ นครอบครัวคอื ปัญหาเด็กและเยาวชน ปญั หา การหย่ารา้ ง หรอื หากไดร้ ับการเล้ยี งดูท่ีดจี ากครอบครวั ก็จะทาให้เด็กไดร้ ับการดูแลเอาใจใสจ่ ากพ่อและแม่ได้ อย่างเตม็ ที่ เนื่องจากเปน็ ครอบครัวเดย่ี วมเี พยี งพ่อ แม่ และลูก อาจส่งผลตอ่ การปรับตัวเข้ากบั สงั คมใน อนาคต สังคมไทยมักจะเป็นครอบครัวเดยี่ วและสว่ นใหญ่มีลกู คนเดยี วหรอื สองคน ทาใหก้ ารอบรมเลีย้ งดูของ พ่อและแมส่ ามารถทาได้อย่างเต็มท่ตี ่อการดูแลเอาใจใส่ ทงั้ ดา้ นความรัก ความอบอุ่น ส่ิงของเคร่ืองใช้ จึงทา ใหเ้ ด็กเป็นเพยี งผู้รับอยา่ งเดียวเมื่ออยู่ในครอบครัว แตเ่ มือ่ มาโรงเรยี นจึงทาใหเ้ กดิ ปัญหาของการปรับตัวใน การอยู่รว่ มกับผู้อื่น เด็กจะยึดตวั เองเป็นศนู ย์กลางไม่ยอมแบ่งปันสิง่ ของและไม่รจู้ ักช่วยเหลือผู้อื่น ทาใหเ้ ด็ก ทะเลาะแยง่ ชงิ ของเลน่ ของใช้ เกิดความรู้สกึ ทีไ่ ม่ดตี ่อเพ่ือน ซงึ่ มีความจาเป็นทตี่ ้องแก้ไขเพื่อให้เด็กอย่รู ่วมกัน อย่างมีความสุข การปลูกฝงั คุณธรรมและจรยิ ธรรมทดี่ แี กเ่ ด็กปฐมวยั สามารถทาได้หลายวิธี สาหรับเด็กปฐมวัย สามารถสอดแทรกคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมเพอื่ ใหเ้ ด็กสามารถมพี ัฒนาการทางสังคมทด่ี ไี ด้ โดยการใช้นทิ าน เนอ่ื งจากเดก็ อายุ 3-6 ขวบ ชอบฟังนิทาน ชอบคิด ชอบจนิ ตนาการ เพราะตัวละครในนิทานสามารถที่จะ จงู ใจและเร้าความสนใจของเดก็ มพี ลงั โนม้ น้าวจติ ใจและเสริมสรา้ งพฤติกรรมที่ พงึ ประสงคไ์ ด้ เพราะ ธรรมชาตขิ องเด็กในวยั นีช้ อบเลียนแบบพฤติกรรมของผ้ทู ี่มีความสามารถ หรือบคุ คลทีเ่ ดก็ พงึ พอใจ จึงชว่ ย กระตนุ้ ให้เด็กนาแนวคดิ นั้น หรอื พฤตกิ รรมนน้ั ของตวั ละครไปประพฤติ ปฏิบตั ิตาม และสามารถจะพฒั นา พฤติกรรมทางสังคมของเดก็ ปฐมวัยและลดพฤติกรรมไดอ้ ย่างดี สภาพวิกฤติทางเศรษฐกิจและสงั คมท่เี กิดขน้ึ อยา่ งรวดเรว็ ทาใหม้ คี วามจาเปน็ อย่างย่งิ ในการปรบั ปรุง เปลยี่ นแปลงการจัดการศกึ ษาของไทยให้สามารถผลิตผูท้ ่มี ีความเปน็ มนุษยท์ ่สี มบรู ณ์ มีคุณธรรมและจริยธรรม อกี ทั้งรเู้ ทา่ ทันการเปลีย่ นแปลงและสามารถปรบั ตวั อย่ใู นสังคมท่ีเปล่ยี นแปลงอย่างมคี ณุ ภาพ การศกึ ษาปฐมวยั เปน็ การศึกษาวยั เร่มิ ตน้ ของชีวติ เป็นรากฐาน ในการเตรียมความพร้อมเป็นชว่ งวัยทองและเป็นพื้นฐานในวัย ตอ่ ไป กระทรวงศึกษาธิการได้กลา่ วถึงช่วงอายุของเดก็ ปฐมวยั คอื เด็กอายตุ ้ังแต่แรกเกิดจนถึง 6 ขวบ เป็น ช่วงทีพ่ ัฒนาการเจรญิ อยา่ งรวดเรว็ ท้งั ด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสตปิ ญั ญา โดยเฉพาะด้านสติปัญญา ในชว่ งอายุ 0–3 ขวบท่จี ะพัฒนาไดถ้ ึงร้อยละ 80 ดังนั้นการจดั ประสบการณ์เพือ่ ส่งเสริมพฒั นาการใหก้ บั เด็กในชว่ งน้จี ึงมีความสาคัญมาก เพราะเด็กปฐมวัยจะเรยี นร้จู ากสิ่งต่างๆ รอบตัว โดยเฉพาะการเลยี นแบบ สง่ิ ท่ีได้พบเห็น เชน่ การพูด การกระทาหรือพฤตกิ รรม เม่ือเด็กจากบา้ นมาสูโ่ รงเรยี น ครมู ีบทบาทสาคัญตอ่
การเรยี นรู้และพฒั นาการของเดก็ ปฐมวัย โดยเฉพาะการปรบั ตัวเข้ากบั สงั คมและการอยู่รว่ มกับผูอ้ ืน่ วัยวกิ ฤต ของชีวิตมนษุ ย์การได้รบั การอบรมเลี้ยงดู ทเี่ หมาะสมจงึ เป็นสิง่ สาคัญมากต่อการวางรากฐานคณุ ภาพชวี ิตท่ี สมบรู ณข์ องเด็กการเรียนรู้พฤติกรรมทางสงั คม จงึ เป็นส่ิงจาเป็นอยา่ งยงิ่ สาหรับเด็กโดยทาให้เด็กสามารถ ปรบั ตัวอยู่ร่วมกับผอู้ นื่ ได้อยา่ งราบร่ืน ถ้าการปรับตัวของเดก็ ไม่ถกู ต้องเหมาะสมเด็กจะเกิดความขับข้องใจและ แสดงพฤตกิ รรมท่ีไม่พึงประสงค์ออกมาในลกั ษณะความก้าวร้าวพฤตกิ รรมก้าวร้าวในเด็กปฐมวัยเปน็ ปัญหาที่ สาคญั เนอ่ื งจากเปน็ พฤติกรรมทางลบสามารถสงั เกตได้ชดั เจน พฤติกรรมก้าวรา้ วของเด็กปฐมวัยอาจเกดิ ขึ้นได้เช่น พูดจาหยาบคาย ไม่เคารพผู้อ่นื หยิก กัด ทาลาย สิง่ ของหรือรนุ แรงถึงขน้ั ทารณุ กรรมส่งิ มชี วี ิตให้บาดเจ็บและน้ันคอื จุดเริม่ ตน้ ของการละเมินสทิ ธิของผู้อน่ื หรอื ทาให้ผู้อื่นกระทบกระเทือนจติ ใจ ความกา้ วร้าว อาละวาดงา่ ยในเด็กชว่ งอายุ 2 – 5 ปีอาจเกดิ ขน้ึ ไดเ้ พราะยัง เป็นวัยท่ีขาดการควบคุมอารมณ์ตนเอง หรือเด็กบางคนมีพื้นฐานทางอารมณเ์ ป็นเด็กเลี้ยงยากปรับตวั ยาก จงึ แสดงออกโดยการอาระวาดจึงเป็นสาเหตุของพฤติกรรมกา้ วร้าว ด้วยเหตนุ ้ีผู้วิจัยจงึ มคี วามสนใจที่จะศึกษาการลดพฤติกรรมกา้ วรา้ ว เด็กอนุบาลชัน้ ปีท่ี 2 โรงเรียนราช ประชานุเคราะห์ 33 จังหวัดลพบรุ โี ดยใชก้ ิจกรรมการเลา่ นทิ านลดพฤตกิ รรมก้าวรา้ ว วตั ถปุ ระสงค์การวิจยั /ความมงุ่ หมายของการวิจัย/จุดประสงค์ของการวจิ ัย เพื่อลดพฤติกรรมก้าวรา้ ว เดก็ อนุบาลชนั้ ปีท่ี 2 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 33 จงั หวัดลพบรุ ีโดยใช้ กิจกรรมการเล่านิทานลดพฤตกิ รรมกา้ วร้าว ขอบเขตของการวจิ ยั ด้านประชากร ประชากรที่ใชใ้ นการวิจยั ในครง้ั นี้ คือ เด็กชายที่มีอายุ 4 - 5 ปี ท่ีกาลงั เรียนอยู่ชัน้ อนบุ าลปีท่ี 2 ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 33 จังหวัดลพบุรี สงั กัดสานกั บรหิ ารงาน การศึกษาพเิ ศษ จานวน 3 คน ดา้ นเนื้อหา เนอ้ื หาท่ใี ชใ้ นการวิจัยครัง้ น้ี คอื การใชก้ จิ กรรมการเลา่ นิทานลดพฤตกิ รรมกา้ วร้าว เพื่อลดพฤตกิ รรม ก้าวร้าวของเด็กอนบุ าลชนั้ ปที ี่ 2 คัดเลอื กนิทานที่มีเนือ้ หาเก่ียวข้องหรือสอดคล้องกับการลดพฤติกรรมกา้ วร้าว จานวน 3 เร่อื ง 1.นทิ านเร่ืองเจา้ หมูหูหาย 2.นทิ านเรื่องบ๊ิกซา่ ขี้โมโห 3.นิทานเรื่องส้มซ่าจอมเกเร ด้านตัวแปร ตวั แปรตน้ ชดุ นทิ านลดพฤติกรรมก้าวรา้ ว เพื่อลดพฤติกรรมกา้ วรา้ ว 1.นทิ านเรือ่ งเจ้าหมหู หู าย 2.นิทานเรือ่ งบ๊กิ ซ่าขโ้ี มโห 3.นิทานเรื่องส้มซ่าจอมเกเร ตัวแปรตาม การลดพฤตกิ รรมกา้ วรา้ ว
ด้านระยะเวลา ผู้วจิ ยั ทาการทดลองในภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2563 เป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ สัปดาหล์ ะ 5 วนั วันละ 2 ครั้งครงั้ ละ 15 นาที คาจากัดความท่ีใช้ในการวิจัย/คานิยามศัพทเ์ ฉพาะ 1. นทิ าน หมายถึง เรื่องราวท่ีมีผู้แตง่ ขนึ้ เพือ่ เลา่ โดยมีเน้ือหาเก่ียวกบั คณุ ธรรมจรยิ ธรรม ในด้านการ ชว่ ยเหลอื และแบง่ ปนั 2. กจิ กรรมเล่านิทาน หมายถึง การท่คี ุณครเู ล่าเรื่องราวทีม่ เี นอ้ื หาเก่ียวกบั คุณธรรมจริยธรรม ใน ดา้ นการชว่ ยเหลอื และแบง่ ปันและลดพฤติกรรม 3. เดก็ ปฐมวัย หมายถึง เด็กทีม่ ีอายุตั้งแต่ 4 - 5 ปี ที่กาลงั เรียนอยู่ระดับช้นั อนบุ าลปีที่ 2 ภาค เรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2563 โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 33 จงั หวัดลพบรุ ี 4. พฤตกิ รรมก้าวรา้ ว หมายถึง อารมณ์โกรธ เป็นความรู้สึกขุน่ ใจและไมพ่ อใจ อยา่ งรนุ แรง เน่ืองจาก ความผดิ หวังหรอื พลาดหวังจากสงิ่ ท่ีไดค้ าดคิดไว้ความผิดหวังจะทาให้เกดิ อารมณ์ผิดปกติมคี วามรสู้ ึกไมช่ อบใจ ในการกระทาต่างๆ ท้ังการกระทาของตนเอง และ การกระทาของผ้อู ื่น พฤติกรรมที่เด็กแสดงออกเม่ือโกรธมี 2 แบบ คือ 1.กา้ วร้าวมี 2 ลักษณะ คือก้าวร้าวตอ่ ตนเอง เชน่ การทบั อกตนเอง การดึงผมตนเอง กา้ วรา้ วผู้อนื่ เช่น การตผี ู้ท่อี ุ้มอยู่ ขวา้ วปาสง่ิ ของใสผ่ ู้อื่น ลกั ษณะพฤติกรรมท่มี กี ารแสดงออกทางอารมณ์อย่างไมเ่ หมาะสมที่พบ บอ่ ยครั้งมีดงั นคี้ วามกระวนกระวายใจ การเกบ็ กดอารมณ์ความโมโหร้าย ความเบอื่ หน่าย การไมเ่ ชื่อฟงั คาสั่ง ความกลัว การทาเปน็ เรอื่ งล้อเล่น พฤติกรรมที่มีปญั หาอนื่ ๆเชน่ ขโมย 5. ชดุ นิทาน หมายถึง ชุดนิทานลดพฤตกิ รรมกา้ วร้าว เพ่ือลดพฤติกรรมก้าวร้าวของเด็กปฐมวัย 3 เรอ่ื ง 1.นทิ านเรอ่ื งเจ้าหมหู หู าย 2.นิทานเร่อื งบิ๊กซ่าขโ้ี มโห 3.นทิ านเรื่องสม้ ซา่ จอมเกเร ประโยชนท์ คี่ าดว่าจะได้รบั /ความสาคญั ของการวิจัย/ประโยชนแ์ ละคณุ ค่าของการวิจัย 1. นกั เรียนทไ่ี ด้รบั การทดลองใชน้ ทิ านลดพฤตกิ รรมกา้ วร้าว มพี ฤติกรรมก้าวร้าวลดลง 2. เป็นแนวทางสาหรับผู้เกี่ยวข้องกับเดก็ อนุบาลที่จะลดพฤตกิ รรมกา้ วร้าวของเด็ก
บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ ก่ยี วข้อง การวิจยั ครงั้ น้ี ผู้วจิ ัยไดศ้ กึ ษาเอกสาร แนวคดิ ทฤษฏแี ละงานวจิ ัยทีเ่ กี่ยวข้อง ซ่งึ สามารถแบ่ง ออกเปน็ หัวข้อหลักของเอกสารและงานวจิ ัยทเี่ กี่ยวขอ้ งดังน้ี 1. พฒั นาการทางอารมณ์ พัฒนาการทางอารมณ์ หมายถึง ขบวนการวิวัฒนาการของจิตที่สามารถรับผิดชอบควบคุม ขัดเกลา และแสดงออก ซึ่งอารมณ์ให้เหมาะสมกับกาลเวลาและสถานที่ เช่น การโต้เตียงโดยไม่รู้สึกโกรธเคือง รับฟัง ความคิดเห็น ของบุคคลอ่ืนที่มีความคิดเห็นขัดแย้งกับตนอย่างสบายใจในขณะที่รู้สึกโกรธเคืองไม่แสดง พฤตกิ รรมใดๆ ออกมาในทางไม่ดี หรอื ในทางลบ อาร์โนลด์ กีเซล (Arnold Gesell. 1880-1961) เป็นนักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ผู้เริ่มก่อต้ังสถาบัน พัฒนาการเด็ก (Institute of Child Development) ณ มหาวิทยาลัยเยล ระหว่างปี ค.ศ. 1930-1940 อธิบายทฤษฎีเกี่ยวกับการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กว่าการเจริญเติบโตของเด็กทางร่างกาย เนื้อเยื่อ อวัยวะ หน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ และพฤติกรรมท่ีปรากฏขึ้นเป็นรูปแบบที่แน่นอนและเกิดขึ้นเป็นลาดั บขั้น ประสบการณ์ และสภาพแวดล้อมเป็นองค์ประกอบรองที่ต่อเติมเต็มเสริมพัฒนาการต่าง ๆ กีเซลเช่ือว่าวุฒิ ภาวะจะถูกกาหนดโดยพันธุกรรม และมีในเด็กแต่ละคนมาตั้งแต่เกิด ซึ่งเป็นสิ่งสาคัญท่ีทาให้เด็กแต่ละวัยมี ความพร้อมทาส่ิงต่าง ๆ ได้ ถ้าวุฒิภาวะหรือความพร้อมยังไม่เกิดขึ้นตามปกติในวัยน้ัน สภาพแวดล้อมจะไม่มี อิทธิพลต่อพฒั นาการของเดก็ ซึ่งเขาได้แบ่งพัฒนาการของเดก็ ที่ตอ้ งการวดั และประเมินออกเป็น 4 กลุม่ ใหญ่ 1. พฤตกิ รรมทางการเคลื่อนไหว (Motor Behavior) ครอบคลุมการบงั คับอวัยวะ ต่าง ๆ ของร่างกายและความสัมพันธท์ างด้านการเคลื่อนไหว 2. พฤติกรรมทางการปรับตัว (Adaptive Behavior) ครอบคลุมความสัมพันธ์ ของการใชม้ ือและสายตา การสารวจ คน้ หา การกระทาต่อวัตถุ การแกป้ ัญหาในการทางาน 3. พฤติกรรมทางการใช้ภาษา (Language Behavior) ครอบคลุมการที่เด็กใช้ ภาษา การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน 4. พฤติกรรมส่วนตัวและสังคม (Personal-Social Behavior) ครอบคลุมการฝึก ปฏบิ ตั สิ ว่ นตัว เช่น การกนิ อาหาร การขบั ถ่าย และการฝึกตอ่ สภาพสังคม เช่น กรเลน่ การตอบสนองผ้อู น่ื 2. แนวคิดเก่ยี วกับนทิ าน 2.1 ความหมายของนิทาน ความหมายของนิทาน มีหนว่ ยงาน และนักวชิ าการหลายท่าน ได้กลา่ วถงึ ความหมายของนิทานไวไ้ ด้ ดงั น้ี เกษลดา มานะจตุ แิ ละ อภิญญา มนูญศลิ ป์ (2544 : 1) ได้ให้ความหมายของนิทานวา่ หมายถึง เรื่องเลา่ ต่อกนั มาโดยใชว้ าจาหรือเลา่ โดยแสดงภาพประกอบ หรือการเลา่ โดยวัสดุอุปกรณ์ ใช้ประเภทตา่ งๆประกอบก็ ได้เชน่ หนังสือภาพ หุ่นหรือการใช้คนแสดงบทบาทลลี าเป็นไปตามเน้ือเรอื่ งของนิทานน้ันๆ แตเ่ ดมิ มานทิ านถูก
เลา่ สกู่ นั และกันด้วยปากสบื กนั มาเพ่อื เป็นเคร่อื งบนั เทงิ ใจในยามวา่ ง และเพ่ือถา่ ยทอดความเชือ่ ความศรัทธา เลอื่ มใสในส่ิงศักดิ์สิทธิ์ทีเ่ ปน็ ท่ียึดถอื ของคนแต่ละกลมุ่ วิไล มาศจรัส (2545 : 12) ไดก้ ล่าวถึงความหมายของนิทานวา่ นิทาน หมายถึง เรอื่ งทเี่ ล่ากันมา เช่น นทิ านอสี ป นิทานชาดก ในทางคติชนวิทยา ถือวา่ นิทานเป็นเร่ืองเลา่ สืบสานต่อๆ กันมา ถือเปน็ มรดกทาง วัฒนธรรมอย่างงหนงึ่ ในหลายอย่างของมนุษย์เปน็ ส่งิ ท่ีมีความหมาย มคี ณุ คา่ ซงึ่ นิทานน้ันจะมที ้งั นิทานเล่าปาก เปล่า จดจากัน มาแบบมุขปาฐะและนิทานที่มีการเขียนการบนั ทึกไว้เปน็ ลายลักษณ์อักษร ราชบณั ฑิตยสถาน พุทธศักราช 2542(2546 : 588) ได้ระบุความหมายของนิทานไว้วา่ นิทาน หมายถึงเร่อื งทเ่ี ลา่ กันมา เชน่ นทิ านชาดก นิทานอสี ป เกรกิ ยุ้นพนั ธ(์ 2547 : 8) ไดให้ความหมายของนิทานไวว้ ่าหมายถึง เร่ืองราวทเี่ ล่าสืบต่อกนั มาตั้งแต่ สมยั โบราณ เปน็ การผกู เร่ืองขึ้น เพ่ือใหผ้ ู้ฟังเกิดความสนกุ สนานเพลดิ เพลิน และสอดแทรกคตสิ อนใจลงไป ประคอง นมิ มานเหมินทร์(2550 : 9)ได้ให้ความหมายของนิทานว่า หมายถึง เรื่องท่เี ล่ากันต่อๆ มา จากคนรุน่ หน่ึงส่คู นอกี รุ่นหนึ่งโดยไมท่ ราบวา่ ใครเปน็ ผู้แต่ง เช่น นทิ านเรอื่ งสังข์ทองปลาบู่ทอง หรือโสนน้อย เรอื นงาม มีการเลา่ สกู่ ันฟังจากปู่ยา่ ตายายของเรา พ่อแม่ของเรารวมทัง้ ตัวเราเอง ไปจนถึงลูกหลานเหลนโหล นของเรา เปน็ ทอดๆ กันไปรุ่นแลว้ รนุ่ เล่า บางคร้ังกแ็ พร่กระจายจากท้องถน่ิ หนึง่ ไปสอู่ ีกท้องถนิ่ หนึง่ เชน่ นทิ าน เรอื่ งสงั ข์ทองอาจมหี ลายสานวน 2.2 ประเภทของนิทาน การแบง่ นทิ านมีวธิ ีการแบ่งและใชค้ าแตกตา่ งกันไปบา้ ง ในท่ีน้จี ะได้จัดจาแนกประเภทนทิ านตาม รูปแบบของนิทานออกเป็น 14 ประเภท ดงั น้ี 1.นิทานปรัมปราหรอื นทิ านทรงเคร่อื ง (fairy tale) ลักษณะทเ่ี ห็นเดน่ ชัด คือเปน็ เรอ่ื งค่อนข้างยาว มี เหตกุ ารณท์ ี่เป็นจดุ ขัดแย้งประกอบอย่หู ลายเหตุการณ์ หรอื หลายอนภุ าค เนื้อเรื่องจะประกอบดว้ ยอทิ ธฤิ ทธ์ิ ปาฏหิ ารยิ ์ต่างๆซงึ่ พน้ วสิ ัยมนษุ ย์ สถานท่เี กิดเหตุ ไม่แนช่ ัดวา่ มอี ยูท่ ่ใี ด ตวั เอกของเร่ืองเปน็ ผมู้ คี ณุ สมบัติพเิ ศษ เชน่ มบี ญุ บารมี มขี องวิเศษทส่ี ามารถต่อสู้อปุ สรรคขวากหนามทาให้ศัตรูพ่ายแพ้ไปในที่สดุ และจบลงด้วย ความสขุ เช่น เรือ่ งโสนนอ้ ยเรือนงาม ปลาบ่ทู อง นางสบิ สอง สังข์ทอง เป็นตน้ (กุหลาบ มลั ลกิ ะมาส, 2518, หน้า 106) เนอื้ หาของนทิ านประเภทน้ีสนุกสนานตืน่ เตน้ การดาเนินเร่ืองอยใู่ นโลกของจนิ ตนาการ มคี วาม มหัศจรรย์จากอทิ ธฤิ ทธิ์ปาฏหิ าริยข์ องตัวละครที่เปน็ อมนุษย์ เชน่ ยกั ษ์ เทวดา หรอื พญานาค เขา้ มาเก่ยี วข้อง ในบางแห่งจึงเรยี กนทิ านประเภทนีว้ า่ “นทิ านมหัศจรรย์” และ ดว้ ยเน้ือเร่ืองสนกุ สนานดงั กลา่ ว ปจั จบุ นั จงึ มผี ู้ นามาดดั แปลงสาหรบั ใชแ้ สดงลเิ ก ละคร ภาพยนตร์ และการแสดงอ่ืนๆ 2. นิทานท้องถิ่นหรือนิทานประจาท้องถิน่ (legend) นิทานประเภทนผี้ ูเ้ ลา่ จะเลา่ ด้วยความเชื่อวา่ เหตุการณ์หรือปรากฏการณท์ ี่เกดิ ขน้ึ เป็นเร่ืองจรงิ และมักมีหลักฐาน อา้ งอิงประกอบเร่ือง มตี วั บุคคลจรงิ ๆมี สถานทจ่ี ริงๆกาหนดไว้แน่นอนกวา่ ในนิทานปรัมปรา เช่น พระรว่ ง เจ้าแมส่ ร้อยดอกหมาก ทา้ วแสนปม เมือง ลบั แล พระยากง พระยาพาน เปน็ ต้น 3. นทิ านประเภทอธบิ ายหรอื นทิ านอธิบายเหตุ (explanatory tale) เป็นเรอ่ื งทต่ี อบคาถามว่าทาไม เพือ่ อธบิ ายความเป็นมาของบุคคล สตั ว์ ปรากฏการณ์ต่างๆของธรรมชาติอธบิ ายชอื่ สถานท่ตี ่างๆสาเหตขุ อง ความเชอ่ื บางประการ รวมท้งั เรอื่ งเก่ียวกับสมบัติทีฝ่ ังไว้ นิทานประเภทนขี้ องไทยได้แก่ เหตใุ ดกาจึงมีสดี า ทาไม
มดตะนอยจึงเอวคอด ทาไมจงึ หา้ มนาน้าสม้ สายชูเข้าเมืองลพบรุ ี ปโู่ สมเฝา้ ทรัพย์ นิทานทีพ่ บมากคอื เรอื่ ง เกย่ี วกับสถานที่ เชน่ เกาะหนู เกาะแมว ในจงั หวัดสงขลา ถ้าผานางคอย จงั หวดั แพร่ เขาตามอ่ งล่าย เปน็ ต้น 4. นิทานชีวิต (novella or romantic tales) เป็นเร่อื งค่อนข้างยาว ประกอบดว้ ยหลายอนภุ าค หลาย ตอน (กิ่งแก้ว อตั ถากร, 2519, หนา้ 15) เนอื้ หาของนิทานคลา้ ยชีวิตจริงมากขนึ้ ตัวละครในนิทานประเภทนี้ จะมลี ักษณะเป็นคนธรรมดาสามัญมากกวา่ ท้าวพระยามหากษัตรยิ ์ มบี ทบาท การใชช้ ีวิตเหมือนมนษุ ย์ปุถชุ น ทัว่ ไป แกน่ ของเร่ืองเป็นเร่ืองเกย่ี วกับความรัก ความโกรธ ความหลง ความกลัว การผจญภยั สะเทือนอารมณ์ มากกว่านิทานปรัมปรา ตวั เอกของเร่ืองต้องใช้ภูมิปัญญา และความสามารถในการแก้ไขปัญหาตา่ งๆซ่ึงเปน็ อุปสรรคของชวี ิต แสดงความกลา้ หาญ อดทน อดกลนั้ เอาชนะอุปสรรค ศตั รู จนบรรลุจุดหมายไว้ ฉากและ บรรยากาศของนิทานชนิดน้ีมีลักษณะสมจรงิ มากข้ึน นิทานชวี ติ ของไทยทีร่ ้จู ักกนั ท่ัวไปก็คือ เรอื่ งขุนช้าง ขุนแผน พระลอ ไกรทอง ของตะวนั ตก ได้แก่ นทิ านชุดเดคาเมรอน ของตะวนั ออก ไดแ้ ก่ นิทานอาหรบั ราตรี 5. นทิ านเร่อื งผี (ghost tales) เปน็ นิทานทมี่ ตี ัวละครเปน็ ผี วญิ ญาณ มีเหตุการณ์เกย่ี วกบั ผี ผหี ลอก ผี สงิ เน้อื เร่อื งต่ืนเตน้ เขย่าขวัญ ทงั้ ผเู้ ลา่ และผู้ฟงั ค่อนข้างเชื่อวา่ เปน็ เร่ืองจริง นิทานเร่ืองผนี ส้ี ะท้อนใหเ้ หน็ ถงึ ความเชือ่ ของคนไทยในเรอื่ งวิญญาณ และภตู ผิ ีตา่ งๆ อย่างชดั เจน ผีหรอื วญิ ญาณในนิทานจะมาปรากฏรา่ งหรือ การกระทาก็เพ่ือให้ความ ชว่ ยเหลอื เพอ่ื แก้แคน้ และเพ่ือแสดงอิทธิฤทธิ์ 6. นทิ านวรี บุรุษ (hero tale) เป็นนทิ านท่ีกล่าวถงึ คุณธรรม ความสามารถ ฉลาดเฉลียว ความกลา้ หาญของบุคคล ส่วนมากเปน็ วรี บุรุษของชาตหิ รือบา้ นเมือง นิทานประเภทน้ีคล้ายคลงึ กับนทิ านปรมั ปรา คือ ตัวเอกเป็นวีรบุรษุ เหมือนกัน แตม่ ขี ้อแตกต่างกันคือ นทิ านวรี บุรุษมกั กาหนดสถานที่ และเวลาในเรอ่ื งแนช่ ัดขึ้น แกน่ เร่ืองของนิทานวีรบุรุษเป็นเร่อื ง วีรกรรมของตวั เอกซงึ่ เกดิ จากการต่อสเู้ พื่อคนส่วนใหญ่ การผจญภยั ตา่ งๆ ทเี่ ก่งกล้าเกนิ กวา่ คนท่ัวไป นิทานวรี บรุ ุษของภาคตะวนั ตก เช่น โรบนิ ฮู้ด เฮอร์ควิ ลสิ ของไทย เชน่ ไกรทอง เจ้า สายน้าผึ้ง พระรว่ งวาจาสิทธิ์ เปน็ ตน้ ช่อื บคุ คล ชอื่ บา้ นเมอื ง เหตุการณห์ รือเคา้ เร่ืองมีสว่ นที่เป็นความจริงอยู่ ดว้ ย แตเ่ ล่าตกแต่งเพ่ิมเติมเสริมขึน้ จนเป็นรปู นทิ านไป 7. นทิ านคติสอนใจหรือนิทานประเภทคาสอน (fable) เป็นเร่ืองสัน้ ๆไม่ สมจรงิ มีเน้อื หาในเชงิ สอนใจ ใหแ้ นวทางในการดาเนนิ ชวี ิตทถ่ี ูกต้องทานองคลองธรรม บางเรอ่ื งสอนโดยวธิ บี อกตรงๆ บางเรอ่ื งใหเ้ ป็นแนว เปรียบเทียบเป็นอุทาหรณ์ ในบางแห่งจึงเรยี กนิทานประเภทนวี้ ่า นิทานอทุ าหรณบ์ ้าง หรอื นทิ านสุภาษติ บ้าง ตวั ละครในเร่ืองอาจจะเป็นคน สตั ว์ หรอื เทพยดา เปน็ ตัวดาเนนิ เร่ือง สมมตวิ ่าเปน็ เรอ่ื งจรงิ ทเี่ กดิ ข้ึนในอดีต เช่น เร่อื งหนู กดั เหลก็ นิทานอีสป นิทานจากปญั จตนั ตระ เป็นต้น 8. นิทานศาสนา (religious tale) เปน็ นทิ านเก่ยี วกับศาสนา พระเจา้ นกั บวชตา่ งๆ มีประวตั ิอภินหิ าร หรอื อิทธิฤทธิ์ เรอื่ งลักษณะน้ีของชาวตะวนั ตกมีมาก เชน่ เรอ่ื งพระเยซู และนักบุญต่างๆ ของไทยก็มบี ้างที่ เกีย่ วกับอภินิหารของนักบวชที่เจรญิ ภาวนามฌี าณแก่กล้า มีอทิ ธิฤทธ์ิพิเศษ เช่น เรือ่ งหลวงพอ่ ทวด สมเดจ็ เจ้า แตงโม เปน็ ตน้ 9. นิทานชาดก (jataka tales) ชาดก หมายถึง เร่อื งพระพทุ ธเจา้ ท่ีมมี าในชาติก่อนๆ (ราชบัณฑิตยสถาน, 2546, หน้า 359) เน้อื เรอื่ งจะกล่าวถึงประวัตแิ ละพระจรยิ วัตร ของพระพุทธเจ้าเมื่อครั้ง ยังเป็นพระโพธสิ ัตว์เสวยพระชาตใิ นภพภมู ิต่างๆ เปน็ คนบ้าง เปน็ สตั ว์บา้ ง ไมว่ า่ พระพุทธเจา้ จะไป เสวยพระชาตเิ ป็นอะไรกต็ าม จะมีคุณสมบตั ิ แตกต่างจากผอู้ ืน่ ทเ่ี หน็ ไดช้ ัดอยู่ 2 ประการ คือ รูปสมบัติ จะมี รา่ งกายสมบูรณ์ ถ้าเป็นสัตวจ์ ะเป็นเพศผู้ ถา้ เป็นคนจะเปน็ เพศบรุ ษุ มีความสง่างามเปน็ ทีป่ ระทบั ตาประทบั ใจ
แกผ่ ู้พบเห็น และมีนา้ เสียงไพเราะ และธรรมสมบัติ คอื จะมคี ุณธรรมสูง โดยเฉพาะทศบารมี (พิสฐิ เจริญสขุ , 2539, หนา้ 3-4) ไดแ้ ก่ ทาน ศลี เนกขมั ม์ ปญั ญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา และอุเบกขา แทรกคติ ธรรมคาสอนไวใ้ นเนื้อเร่ือง ทา้ ยเรือ่ งของนิทานชาดกมักจะบอกการกลับชาติมาเกดิ ของตัวละครสาคัญในเร่ือง นทิ านชาดกทรี่ จู้ ักกันท่ัวไปก็คือ ทศชาดก โดยเฉพาะชาดกเร่ืองสุดทา้ ยคอื พระเวสสนั ดร 10. ตานานหรือเทพนิยาย (myth) เปน็ นิทานท่มี ีตวั ละครสาคัญเปน็ เทพยดา นางฟา้ หรือบุคคลใน เร่อื งต้องมีส่วนสมั พนั ธ์กับความเชอ่ื ทางศาสนา และพิธีกรรมตา่ งๆท่มี นุษย์ปฏิบตั ิอยู่ เช่น เร่อื งทา้ ว มหาสงกรานต์ เร่ืองเก่ยี วกับพระอินทร์ เปน็ ต้น 11. นิทานสตั ว์ (animal tale) เปน็ นิทานทม่ี ีตัวเอกเป็นสัตว์ แตส่ มมติใหม้ ี ความนึกคิด การกระทา และพดู ไดเ้ หมือนคน มีทั้งที่เปน็ สัตวป์ ่า และสัตว์บ้าน บางทกี เ็ ปน็ เรือ่ งทีม่ ีคนเกย่ี วขอ้ งด้วยและพดู โต้ตอบ ปฏบิ ัติตอ่ กันเสมือนเปน็ คนด้วยกนั บางเรื่องกแ็ สดงถึงความเฉลียวฉลาด หรือความโง่เขลาของสัตว์ บางทกี เ็ ปน็ เร่ืองของสตั วท์ ่ีมีลักษณะเป็น ตัวโกงคอย กลั่นแกลง้ สตั ว์อื่น แลว้ ก็ได้รบั ความเดือดร้อนเอง นิทานสตั ว์ถ้าเลา่ โดยเจตนาจะสัง่ สอนคติธรรมอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ อยา่ งชดั เจน กจ็ ดั เปน็ นทิ านคตสิ อนใจ 12. นทิ านตลก (jest) สว่ นใหญเ่ ปน็ นิทานส้นั ๆซึ่งจุดสาคัญของเร่ืองอย่ทู ่ีพฤติกรรม หรือเหตุการณท์ ่ี ไม่น่าจะเปน็ ไปได้ต่างๆ อาจเป็นเรอ่ื งเกย่ี วกับความโง่ การแสดงไหวพรบิ ปฏภิ าณ การแก้เผด็ แก้ลา การพนนั ขัน ต่อ การเดนิ ทางผจญภัยที่ก่อเร่ืองผิดปกติในแง่ขบขนั ตา่ งๆ ตัวเอกของเร่ืองอาจจะเป็นคนทโ่ี ง่เขลาท่ีสุด และทา เรอื่ งผิดปกตวิ สิ ัยมนุษยท์ ่ีมสี ติปญั ญาธรรมดาเขาทากัน เช่น เรือ่ งศรธี นญชัย หัวลา้ นนอกครู เปน็ ต้น นอกจากนี้ ยังพบวา่ มนี ทิ านตลกเก่ียวกบั เรอ่ื งเพศ ซึง่ มักจะมลี ักษณะหยาบโลน มักเล่ากนั เฉพาะกลุม่ และบางโอกาส เท่านน้ั แต่มีขอ้ นา่ สงั เกตอยู่ประการหนงึ่ คือ นทิ านลักษณะน้ขี องไทยมกั จะใช้กลวธิ ีทางภาษา คอื การผวนคา มาเปน็ ข้อขบขัน ถ้าผู้ฟังผวนคาไม่ได้หรือไม่เป็นกจ็ ะกลายเปน็ ตัวตลกเสียเอง เรอ่ื งตลกเกีย่ วกับเพศของไทย มักจะใหต้ ัวละครเป็นพระ ชี ซง่ึ โดยปกตติ ้องประพฤตอิ ยใู่ นพรหมจรรย์ แต่กลบั ประพฤตผิ ดิ ศีล ข้อหา้ ม หรือให้ เป็นเรื่องพฤติกรรมทางเพศท่ีไม่เหมาะสมระหว่างพีเ่ ขยกับน้องเมยี ลูกเขยกับแม่ยาย เป็นตน้ 13. นิทานเข้าแบบ (formula tale) เปน็ นทิ านทม่ี แี บบแผนในการเลา่ เปน็ พเิ ศษแตกต่างจากนทิ าน ประเภทอ่ืนๆ เช่น ทเี่ ล่าซา้ ต่อเน่อื งกนั ไป หรอื มีตวั ละครหลายๆตัว พฤตกิ รรมเกย่ี วข้องกันไปเป็นทอดๆ นิทาน ประเภทนีแ้ บ่งไดเ้ ป็น 4 ชนดิ (วมิ ล ดาศรี, 2539, หน้า 48-49) คอื 13.1 นทิ านไมร่ จู้ บ เป็นนทิ านท่ีมีความยาวไม่จากัด เลา่ ตอ่ เนื่องไปเร่อื ยๆ โดยไม่มจี ดุ จบ จนกวา่ ผูฟ้ ังจะเบ่ือหนา่ ย มักเปน็ เรื่องเกย่ี วกับการนบั หรือการกระทาซา้ ๆ นิทานลกั ษณะน้เี หมาะกับความ สนใจของเด็ก 13.2 นทิ านไมจ่ บเรือ่ ง เป็นนทิ านท่ผี ูเ้ ลา่ เลา่ หยอกเยา้ ผู้ฟังให้เกิดความสนุกสนาน ผู้เล่า มกั จะเริ่มตน้ จากเร่ืองทน่ี ่าสนใจในท้องถนิ่ แลว้ กจ็ ะหาทางให้เรอื่ งจบลงอย่างกระทันหนั ท้งั ๆที่ไม่นา่ จะจบ 13.3 นิทานหลอกผ้ฟู งั เปน็ นิทานท่ีผเู้ ล่ามเี จตนาให้ผฟู้ งั มสี ว่ นรว่ มในการเลา่ นทิ านอาจจะมี คาถามใหต้ อบ ผู้ฟงั คาดวา่ คาตอบน่าจะถกู ต้อง แต่เมื่อเฉลยแลว้ จะเปน็ คาตอบทีน่ า่ ขนั และไม่มีเหตุผล 13.4 นิทานลกู โซ่ เปน็ นทิ านทมี่ ีเรื่องราวทด่ี าเนินไปอยา่ งเดยี ว แต่มี ตวั ละครหลายตวั และ มพี ฤติกรรมเก่ยี วข้องเปน็ ทอดๆพฤติกรรมนัน้ อาจจะไมส่ ัมพันธก์ ับ ตัวละครเดิมก็ได้ นทิ านลูกโซ่ของไทยซง่ึ ที่ รจู้ กั กันทว่ั ไป คือ เร่ืองยายกะตาปลกู ถ่วั ปลูกงา ให้หลานเฝ้า
4. นทิ านปรศิ นา (riddle tale) เปน็ นิทานทมี่ กี ารผกู ถ้อยคาเปน็ เงือ่ นงาให้ทายหรือให้คดิ ไว้ในเน้ือเรื่อง อาจไว้ท้ายเรื่อง หรือตอนสาคญั ๆของเน้ือเรื่องก็ไดเ้ พ่ือผูฟ้ ังได้มสี ว่ นร่วมแสดงความรคู้ วามคดิ เหน็ เกี่ยวกบั นทิ านท่ไี ด้ฟังหรืออ่าน นทิ านปรศิ นาทีพ่ บมากในไทยได้แก่ นิทานปริศนาธรรม นิทานเวตาลท่เี รารับเขา้ มาก็ จดั เปน็ นทิ านปริศนา อกี เร่ืองหนงึ่ ท่ีเปน็ ทร่ี จู้ กั คอื เรื่องสงกรานต์ การแบง่ นทิ านพืน้ บ้านดังที่กล่าวมาแล้ว เป็นแนวทางในการแบง่ อยา่ งกวา้ งๆท่นี ิยมใชก้ ันโดยทวั่ ไป แต่ มิใชเ่ ปน็ หลักตายตัว นิทานบางเรอื่ งอาจจะมลี กั ษณะเนื้อหาคาบเก่ียวกนั บ้าง ผศู้ ึกษาควรพิจารณาวัตถปุ ระสงค์ และทศั นคติของผ้เู ลา่ ประกอบกบั ลกั ษณะและเน้ือเร่อื งของนิทานว่ามีลกั ษณะใดท่เี ห็นเด่นชดั แล้วจงึ จดั จาแนก เขา้ หมวดหมู่ 2.3 หลกั ในการเลอื กนทิ าน หลักการเลือกนทิ านสาหรับเด็กปฐมวัย เด็กช่วง แรกเกดิ - 1 ขวบ เปน็ ชว่ งที่กาลงั เข้าสู่พัฒนาการด้าน การมองเหน็ เด็กเล็กๆ จะชอบมองอะไรใกลๆ้ แลว้ ใชม้ ือสัมผสั เด็กจะเริ่มจดจาเสียงของแม่ นิทานทีค่ ุณพ่อคุณ แม่เตรียมให้ ควรเปน็ หนังสือนทิ านที่ไม่ตอ้ งมีคาบรรยายมาก เป็นพวกหนังสอื ภาพ ขอใหม้ ีรูปภาพที่มีขนาด ใหญห่ นอ่ ย มีสสี นั สดใส วัสดทุ ี่ใช้ควรเป็นผา้ หรอื เปน็ พลาสติก เดก็ ชว่ ง 1- 2 ขวบ นิทานสาหรับเดก็ วัยนค้ี วร เปน็ หนงั สือท่ีเนน้ สีสนั สดใส มีเน้ือเรือ่ งง่ายๆ ควรเปน็ เนอ้ื เร่ืองสัน้ ๆ ใชค้ า พดู น้อย อ่านง่าย อาจเป็นกลอน หรือ มีทานองทคี่ ล้องจองเดก็ ช่วง 2-4 ขวบนทิ านท่สี อนเกีย่ วกับการแสดงออกทางอารมณท์ ี่เหมาะสมไว้ดว้ ย เพ่ือให้ เดก็ เขา้ ใจจติ ใจของผอู้ ื่นเป็นคนที่ เห็นอกเหน็ ใจ มองโลกในแงด่ ี เอื้อเฟอ้ื เผื่อแผ่เด็กช่วง 4-6 ขวบนทิ านทม่ี ีท้ัง ภาพ และเน้อื เรือ่ งสอดคล้องกันโดยเน้ือหาอาจจะยาวขี้นบ้าง เพ่ือให้เด็กไดส้ รา้ งจินตนาการเข้าไปอยใู่ น เรื่องราวเดก็ วยั 6-10 ปเี ปน็ นิทานทผี่ ูกเร่ืองซบั ซ้อนขน้ึ อาจมี ภาพประกอบด้วย มสี สี นั บ้างแตค่ วรมีเน้ือเรอ่ื งที่ เร้าใจเดก็ จะชว่ ยให้เด็กใจจดใจจอ่ อ่านต่อเนื่องได้อยา่ งลื่นไหล 2.4 รปู แบบและเทคนิคการเล่านิทาน เลา่ ตามตน้ ฉบับ การเล่านทิ านตามต้นฉบบั เป็นวธิ ีการท่ีงา่ ยทีส่ ดุ แตส่ ่ิงที่ควรให้ความสนใจ คอื เล่าอยา่ งไร ใหก้ ระทบ ความร้สู ึกด้านใดดา้ นหนึ่งของเด็ก ไม่วา่ จะเปน็ ความบนั เทิงใจ ความสนุกสนานตน่ื เต้นเรา้ ใจ ความรกั ความ โศกเศร้า ความสุขใจ ความเสยี ใจ รวมถึงการปลุกความคิด จิตสานึกให้เกดิ สิ่งดี ๆ ในชีวติ อาจมกี ารสร้าง อรรถรสในการเล่ามากขึ้น ดว้ ยการเพิ่มคาสนกุ ๆ เขา้ ไป จะทาใหเ้ กิดความสนุกสนานยิง่ ข้นึ เล่าโดยใชอ้ ปุ กรณป์ ระกอบ ในขณะท่เี ลา่ นทิ านใหเ้ ดก็ ฟงั อาจใชว้ ธิ กี ารนาตุก๊ ตาชา้ งผา้ หรือตุ๊กตาอ่ืน ๆรวมท้ังถงุ มือ หุ่นมอื หุ่น กระดาษ และการพบั การวาด การระบายสี มาเป็นองคป์ ระกอบในการเลา่ เพอื่ เร้าความสนใจและต่อยอด ความคิดของเด็ก คอื การเล่านิทานโดยการใช้รา่ งกายเป็นสว่ นประกอบการเลา่ เชน่ ทามือเปน็ หมา ไก่ เป็ด งู และอน่ื ๆ อีกมากมาย เล่าไปคุยไป พอ่ แม่ ครู หรอื พ่ีเลี้ยงหลายคนใช้หนังสอื หรอื นิทานเป็นช่องทางในการพูดคยุ เพ่อื ตอ่ ยอดความคิด และสอนสิง่ ท่ีดีงามให้แกล่ กู นอกเหนือจากเนื้อหาท่ปี รากฏอย่ใู นนทิ าน โดยในระหวา่ งการเลา่ นทิ านน้ันพอ่ แม่
หลายคนโยงเรื่องราวในนิทานสู่การพดู คุยกับเด็ก โยงพฤตกิ รรมของตวั ละครสู่พฤติกรรมของเด็ก แลว้ ใช้ เรอื่ งราวของตวั ละครที่มสี ีสันปลูกฝังสง่ิ ทด่ี ีงามและพฤติกรรมที่เหมาะสมให้แกเ่ ด็ก เล่าไปเล่นไป พ่อแม่ ครู หรือพเี่ ลย้ี งอาจใช้นทิ านเป็นการนาเขา้ สู่การเล่นกบั เด็ก ทาให้การเล่านิทานสนุกสนานมาก ยิง่ ขน้ึ เพราะการฟังเร่ืองราวสลบั กับการเล่นตามตัวละครทาใหเ้ ดก็ ไมเ่ บื่อ เชน่ เมอ่ื เล่าเร่ืองพ่อหมีเล่นโยกเยก กับลูกหมี ก็ชวนเด็กเลน่ โยกเยก พอเล่าเรอ่ื งแมก่ กุ๊ ไก่เลน่ จา้ จีผ้ ลไมก้ บั ลกู กกุ๊ ไก่ ก็พาเด็กเล่นเล่นจา้ จผี้ ลไม้ ตามพฤติกรรมของตัวละคร เล่าไปร้องไป การเตรียมความพร้อมของเด็กใหเ้ กิดความสนใจและมสี มาธิในการฟงั นิทาน วธิ หี นึง่ ที่สามารถ นามาใชไ้ ด้ และเกิดผลเป็นอยา่ งดี คือ การร้องเพลง เช่น เม่อื จะเลา่ นิทานท่มี ีเร่ืองราวเก่ียวกบั ชา้ ง กช็ วน เดก็ ร้องเพลง “ ช้าง ชา้ ง ชา้ ง ช้าง ช้าง น้องเคยเหน็ ช้างหรอื เปล่า ช้างมนั ตวั โตไม่เบา จมูกยาว ยาว เรียกวา่ งวง สองเขี้ยวใต้งวงเรยี กว่างา มีหมู ี ตาหางยาว “ ก่อนเลา่ เร่อื ง หรอื ถ้านทิ านเป็นเรอื่ งราวของมา้ ก็ชวนเดก็ ร้องเพลง “ ม้าวิ่ง กบั กับ เดยี๋ วเดียวลับตาเราไป ม้าวิ่งเรว็ ไว เรว็ ทันใจควบกบั กบั กบั “ นาก่อน การทาเช่นน้ีจะทาให้การเลา่ นิทาน สนกุ สนานมากยิ่งข้นึ เลา่ ไปพับไป ผทู้ ีม่ คี วามสามารถในดา้ นการพับกระดาษ สามารถใชท้ ักษะการพับกระดาษน้มี าสร้างความน่าสนใจ ในการเล่านิทานให้เดก็ ฟงั มากย่งิ ขน้ึ โดยเมอ่ื เลา่ นิทานจบแล้วนาเด็กชว่ ยกนั พับกระดาษเปน็ ตัวละครในเรื่องท่ี เล่า เช่น เรอ่ื งเจา้ ชายกบ กส็ อนเด็กพบั กระดาษเปน็ ตวั กบ หรอื พบั เปน็ มงกุฎเจ้าหญงิ ซึ่งเมื่อทาเสรจ็ แลว้ สามารถนามาเปน็ อปุ กรณป์ ระกอบการเลา่ นิทานในคร้ังต่อไปได้อกี ด้วย เลา่ ไปวาดไป ผ้ทู ม่ี ีความสามารถในดา้ นการวาดภาพ สามารถใช้ทักษะการวาดภาพน้ีมาสรา้ งความน่าสนใจในการ เล่านิทานใหเ้ ดก็ ฟังมากยงิ่ ขึน้ ได้เช่นกนั โดยขณะทีเ่ ล่านิทานกว็ าดภาพตวั ละคร และองค์ประกอบอนื่ ๆ ไป พร้อม ๆ กัน อกี ทั้งยงั สามารถชวนเด็กให้ช่วยกันวาด หรอื ระบายสีไดอ้ ีกด้วย 2.5 ประโยชนข์ องนิทาน 1. นทิ านชว่ ยเสรมิ พัฒนาการตามวยั สาหรบั เด็กเล็ก ๆ นทิ านเปน็ ตวั กระตนุ้ ทักษะทางสายตา การฟงั และเพ่มิ คลงั คาศัพท์ และนิทานบาง เลม่ กย็ งั ชว่ ยเสรมิ พฒั นาการด้านผิวสมั ผสั ได้อกี ดว้ ย และเม่ือโตขน้ึ เร่อื งราวในนทิ าน กเ็ ปน็ ตัวกระตุ้น พฒั นาการทางภาษาไดเ้ ป็นอย่างดเี ลยหละค่ะ ไม่ว่าจะเปน็ การอา่ นคางา่ ย ๆ จากในหนังสือ การเรยี นรเู้ รือ่ งคา คล้องจอง คาเหมือน คาต่าง ความเขา้ ใจเร่ืองลาดับของเหตกุ ารณ์ เปน็ ตน้ 2. นิทานชว่ ยสร้างสมาธิ
ด้วยความนา่ สนใจของนทิ าน ประกอบกบั เรื่องราวท่ีมกั จะไดร้ ับการรอ้ ยเรยี งมาใหม้ ีความนา่ ติดตาม ทาให้เด็ก ๆ เกิดสมาธิขน้ึ จากการอา่ นได้อย่างงา่ ยดาย และเป็นสมาธิทม่ี าจากความต้องการภายในของเด็กเอง นั่นคอื กระหายใคร่รูว้ า่ จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ในแตล่ ะหนา้ กระดาษจะมสี งิ่ ใดที่นา่ สนใจซ่อนอยู่บา้ ง หรือพอ่ แม่ และคุณครู จะใชน้ า้ เสยี งแบบไหนเมือ่ ไปเปดิ เจอภาพนน้ั ภาพนี้ เป็นต้นค่ะ 3. นทิ านชว่ ยสรา้ งจินตนาการ เสน่หอ์ ย่างหนง่ึ ของนิทานก็คือ สามารถเปล่ียนแปลงได้ไมร่ ู้จบ เชน่ นทิ านภาพสาหรบั เด็กเลก็ เด็ก ๆ มกั จะไมเ่ บ่ือแม้จะเปน็ เลม่ เดิมท่ีอา่ นซา้ แลว้ ซ้าเล่า เพราะในทกุ ๆ ครง้ั ท่ีอา่ น เด็กอาจจะมจี ินตนาการต่อส่งิ เหลา่ นัน้ ไม่เหมือนกนั บ้างเป็นเพราะไปเจอของจริงมาแลว้ บา้ งเป็นเพราะน้าเสียงของผู้อ่านท่เี ปล่ียนไป หรอื บา้ งอาจจะเปน็ เพราะสภาพแวดล้อมในตอนอ่านท่ไี ม่เหมือนเดมิ และสาหรับเด็กโต นิทานเรือ่ งเดิม อาจจะถูก แต่งเติมเป็นเร่ืองราวใหม่ ๆ ในสมองอนั สร้างสรรค์ของเด็ก ๆ และบางคร้ัง เด็ก ๆ กอ็ าจจะเชอ่ื มโยงเรื่องราว เหลา่ น้ันกบั ชวี ิตของตนเองกไ็ ด้คะ่ 4. นทิ านคือส่ือในการสร้างความอบอ่นุ เรอื่ งน้คี รูพมิ คิดว่า ผูม้ ปี ระสบการณ์ตรงทกุ ท่านคงเขา้ ใจความรู้สกึ น้ไี ดด้ ีค่ะ เพราะทกุ คร้ังทหี่ นังสอื นทิ านถกู เปิดอา่ น เสยี งหวั เราะ และรอยย้ิมของเด็ก ๆ มักจะตามมาเสมอ ช่วงเวลาของการอา่ นนทิ าน กม็ ักจะ เป็นช่วงเวลาทผี่ อ่ นคลายของคณุ พ่อคุณแม่ด้วยเช่นกัน และที่พิเศษสดุ ๆ กค็ ือ บางคร้ังในระหวา่ งการฟังและ เลา่ นทิ าน เรามกั จะไดย้ ินเรอื่ งราวน่ารกั ๆ และไดเ้ หน็ พฤตกิ รรมนา่ เอน็ ดูของเจา้ ตวั น้อยไปด้วย นิทานจงึ เป็น เสมอื นสือ่ กลางในการสรา้ งชว่ งเวลาดี ๆ ใหเ้ กดิ ขนึ้ ในครอบครวั ได้อยา่ งงา่ ยดายนนั่ เองคะ่ 3. เอกสารและงานวิจัยทเ่ี กย่ี วขอ้ ง 3.1 งานวจิ ยั ในประเทศ 4. หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย
บทท่ี 3 วิธดี าเนนิ การวิจยั ในการวิจยั การลดพฤติกรรมก้าวรา้ ว เด็กอนบุ าลช้นั ปที ่ี 2 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 33 จังหวัด ลพบรุ ีโดยใชก้ ิจกรรมการเล่านทิ านลดพฤติกรรมกา้ วร้าว ผวู้ จิ ยั ได้ดาเนินการตามขนั้ ตอนดงั ตอ่ ไปน้ี ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ งที่ศึกษา กลุ่มตัวอย่างท่ใี ช้ในการวิจยั ครงั้ น้ี คือ เด็กชายและเด็กหญิงทีม่ ีอายุ 4 - 5 ปี ที่กาลังเรยี น อยชู่ ั้นอนบุ าลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2563 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 33 จงั หวดั ลพบรุ ี จานวน 3 คน ไดม้ าโดยการสมุ่ แบบเจาะจง เครอื่ งมือท่ีใชใ้ นการวิจัย 1. แผนการจัดประสบการณ์ 3 แผน แผนการจดั ประสบการณ์สัปดาหท์ ่ี 1 หนว่ ย เปลง่ ประกายหนนู ้อยน่ารัก กจิ กรรมเสริมประสบการณ์ (ในวงกลม) นิทานเรอื่ งเจ้าหมูหหู าย แผนการจัดประสบการณ์สัปดาห์ที่ 2 หน่วย เปลง่ ประกายหนูนอ้ ยน่ารกั กิจกรรมเสริมประสบการณ์ (ในวงกลม) นิทานเรอ่ื งบิ๊กข้ีโมโห แผนการจัดประสบการณ์สัปดาหท์ ี่ 3 หนว่ ย เปลง่ ประกายหนนู ้อยนา่ รกั กจิ กรรมเสรมิ ประสบการณ์ (ในวงกลม) นิทานเรอ่ื งส้มซา่ จอมเกเร 2. ชุดนิทาน ลดพฤตกิ รรมก้าวร้าว 3 เรื่อง - นิทานเรอ่ื งเจ้าหมหู ูหาย - นิทานเรื่องบกิ๊ ซ่าขี้โมโห - นิทานเรื่องส้มซ่าจอมเกเร 3. แบบสงั เกตพฤติกรรม แบบบันทกึ พฤติกรรมของเด็กปฐมวัย ชั้นอนบุ าลปที ่ี 2 โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 33 จงั หวัดลพบรุ ี ครงั้ ที.่ ......................วนั ที่........................................................ ผสู้ งั เกต นางสาวขนิษฐา สุภา วิธีการสังเกต การสงั เกตพฤติกรรมเด็กปฏิบัตกิ ิจวตั รประจาวนั ในชัน้ เรียน หรือสถานการณ์ท่เี ด็กสามารถ แสดงพฤติกรรมตามรายการท่ีเฝ้าดกู ารปฏบิ ัตใิ นชว่ งระยะเวลาทีเ่ หมาะสม
แบบบันทึกพฤตกิ รรมของเด็กปฐมวัย ชน้ั อนุบาลปที ี่ 2 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 33 จงั หวัดลพบรุ ี ครง้ั ที.่ ......................วนั ท.ี่ ....................................................... ผู้สังเกต นางสาวขนิษฐา สุภา วธิ ีการสังเกต การสงั เกตพฤติกรรมเด็กปฏิบัติกิจวตั รประจาวันในชัน้ เรยี น หรอื สถานการณ์ท่เี ด็กสามารถ แสดงพฤติกรรมตามรายการที่เฝ้าดูการปฏบิ ตั ิในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม ช่ือ – สกลุ แสดงสีหนา้ ไม่ พฤติกรรมท่ีแสดงออก ไมเ่ ชื่อฟังคาส่ัง พอใจ 3 21 เดก็ ชายฉัตรชัย ทาร้ายร่างกาย ทารา้ ยร่างกาย ขว้างปาส่ิง กลับสงเคราะห์ 32 1 ตนเอง ผูอ้ ่ืน เดก็ ชายนที เกตนุ อก 321321321 เด็กชายพุฒิพงศ์ เดชป้อง หมายเหตุ ระดับ 3 คือ พฤติกรรมทปี่ รากฏ 3 - 4 ครงั้ ระดับ 2 คอื พฤติกรรมทป่ี รากฏ 2 ครง้ั ระดับ 1 คอื พฤติกรรมทป่ี รากฏ 1 คร้งั
การพัฒนาและหาประสทิ ธภิ าพ 1. พัฒนาชดุ นิทานลดพฤติก้าวรา้ วของเด็กปฐมวยั ปจั จุบันมีการผลติ วรรณกรรมสาหรับเดก็ ปฐมวยั ทั้งในและต่างประเทศเปน็ จานวนมาก จึงถอื ว่าเรื่องท่ีเราควรจะตระหนักถึงการเลือกสรรวรรณกรรมที่ เหมาะสมให้กับเด็กปฐมวยั ทัง้ นี้เนือ่ งจากการเลอื กวรรณกรรมสาหรับเด็กปฐมวยั ยงั ควรคานึงถึงปัจจัยหลาย ดา้ น เช่น ประเภทของวรรณกรรมสาหรับเด็กปฐมวยั เน้ือหา สาระแนวคดิ ของวรรณกรรม ภาษาทใ่ี ช้ รูปภาพ ประกอบ รปู เล่ม ขนาดน้าหนกั โดยชดุ นิทานลดพฤติกรรมก้าวรา้ วของเด็กปฐมวัย มี 3 เรอ่ื ง ดังนี้ 1. นิทาน เรอื่ งเจา้ หมูหหู าย 2. นทิ านเรอื่ งบ๊กิ ซา่ ขี้โมโห 3. นิทานเร่อื งสม้ ซ่าจอมเกเรแนวคิดชุดนทิ าน ชุดนี้เพอ่ื ลด พฤติกรรมกา้ วรา้ วของเด็กปฐมวัยงานวิจยั ท่เี กย่ี วข้องเกย่ี วกับการลดพฤติกรรมก้าวรา้ วของเดก็ ปฐมวยั 2. พฒั นาแบบสงั เกตทปี่ ระเด็นการสังเกตรายการพฤติกรรม 5 ขอ้ ดังนี้ 1. แสดงสีหน้าไมพ่ อใจ 2. ทา ร้ายร่างกายตนเอง 3. ทารา้ ยร่างกายผ้อู ื่น 4.ขว้างปาส่ิงของ5.ไมเ่ ชื่อฟังคาสงั่ 3. พฒั นาแผนการจดั ประสบการณ์ 1. ศกึ ษาหลักสตู รการศึกษาปฐมวัย 2. ปรับหลกั สตู รการศึกษา ปฐมวยั ให้สอดคล้องกบั บรบิ ทโรงเรียน 3. ออกแบบแผนการจดั ประสบการณ์ ให้เหมาะสมกับบรบิ ทโรงเรียน 4.ออกแบบแผนการจัดประสบการณใ์ ห้ตรงตามจดุ ประสงค์ 5. จดั กิจกรรมการเรยี นการสอน 6. ประเมินผล ตามจดุ ประสงค์ 7. ปรับปรงุ และแก้ไข 4. พัฒนาแบบสงั เกตพฤติกรรมกา้ วรา้ วของเด็กปฐมวยั จากแนวคิดทเี่ กีย่ วข้อง ส่วนท่ี 1 เป็นแบบ สงั เกตพฤตกิ รรมท่มี ีเกณฑก์ ารให้คะแนนแบบรบู ริคส์ 3 ระดับ 3 คะแนน 5. นาแบบสังเกตพฤตกิ รรมก้าวร้าวของเด็กปฐมวัยรปู แบบการจดั การเรยี นรู้ แลว้ หาคา่ สอดคล้อง ( IOC) มีเกณฑก์ ารประเมินดังน้ี ครคู นท่ี 1 เหน็ ว่าสอดคล้อง ให้คะแนน +1 ครคู นที่ 2 ไม่แนใ่ จ ให้คะแนน 0 ครคู นที่ 3 เห็นวา่ ไมส่ อดคล้อง ให้คะแนน -1 IOC = ∑ R / N IOC = 3 / 3 =1 เมื่อ IOC คอื ดชั นีความสอดคล้องแบบสังเกต ∑R คอื ผลรวมคะแนนของผู้เชย่ี วชาญแตล่ ะคน N คือ จานวนผู้เชยี่ วชาญ ทั้งนเ้ี กณฑI์ OC อยใู่ นระดับเท่ากับ หรอื มากกว่า 0.50 ขึ้นไป คอื ว่ามีความสอดคลอ้ งและคัดเลือกไว้ใช้ ถ้าต่า กว่า 0.50 ให้พจิ ารณาเหตุผลเปน็ รายข้อ เพ่ือนนาของเสนอแนะมาปรับปรงุ
การเก็บรวบรวมขอ้ มลู การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ด้วยการใช้ชดุ นทิ านลดพฤติกรรมก้าวรา้ วของเดก็ ปฐมวัยโรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ 33 จังหวัดลพบรุ ี ตาบลดงดนิ แดง อาเภอหนองมว่ ง จงั หวดั ลพบุรี 1)กาหนดตวั อย่างในการทดลอง คอื เดก็ นักเรียนชาย ภาคเรยี นท่ี 2 ปี การศกึ ษา 2563 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 33 จังหวัดลพบุรี ตาบลดงดนิ แดง อาเภอหนองมว่ ง จงั หวัดลพบุรี จานวน 3 คน 2)แบบแผนการวิจยั ใช้แบบแผนการวจิ ัย คือ แบบทดลองกลุ่ม (One Group Pretest – Posttest Design ) โดยการสังเกตก่อนการเรยี นรู้และสังเกตหลัง การเรยี นรู้มแี ผนภาพดังนี้ O1 X O2 เม่ือ O1 แทนการสังเกตกอ่ นเรียนโดยใช้ ชุดนทิ านลดพฤติกรรมก้าวรา้ วของเด็กปฐมวัย เมือ่ X แทนการสอนโดยใชช้ ุดนทิ านลดพฤตกิ รรมกา้ วร้าว เมอื่ O2 แทนการทดสอบหลังเรียนโดยใช้ชดุ นทิ านลดพฤติกรรมก้าวรา้ วของเด็กปฐมวัย การดาเนนิ การทดลองในภาคเรยี นท่ี 2 ปี การศกึ ษา 2563 เป็นระยะเวลา 3 สปั ดาห์ สัปดาหล์ ะ 5 วนั วนั ละ 2 ครั้ง รวม 10 ครัง้ ต่อสัปดาหค์ รง้ั ละ 20 นาที รวม 10 ชว่ั โมง 30 นาที รายละเอียด ตารางแสดงการดาเนินการทดลองใช้ชุดนิทานลดพฤตกิ รรมก้าวร้าวของเด็กปฐมวัย สัปดาห์ แผนการจดั ประสบการณ์ ข้ันตอนการเรียนรู้ ระยะเวลา เคร่ืองมือ ที่ 1 แผนการจัดประสบการณ์สัปดาห์ หนว่ ย เปล่งประกายหนูน้อยน่ารกั เช้า เยน็ แบบ ที่ 1 กิจกรรมเสรมิ ประสบการณ์ สังเกต 2 09.30 น. 14.40 น. พฤติกรรม แผนการจดั ประสบการณส์ ปั ดาห์ (ในวงกลม) นิทานเร่ืองเจา้ หมูหูหาย -- แบบ 3 ที่ 2 หน่วย เปล่งประกายหนนู ้อยน่ารกั สงั เกต 09.50 น. 15.00 น. พฤติกรรม แผนการจดั ประสบการณส์ ัปดาห์ กจิ กรรมเสรมิ ประสบการณ์ แบบ ท่ี 3 (ในวงกลม) นิทานเรอื่ งบิ๊กขโี้ มโห 09.30 น. 14.40 น. สังเกต หน่วย เปล่งประกายหนนู อ้ ยน่ารัก -- พฤติกรรม กิจกรรมเสรมิ ประสบการณ์ 09.50 น. 15.00 น. (ในวงกลม) นิทานเร่ืองส้มซ่าจอมเกเร 09.30 น. 14.40 น. -- 09.50 น. 15.00 น. การวเิ คราะห์ข้อมลู และสถิติท่ีใช้ การวเิ คราะห์ขอ้ มลู และสถิติท่ีใชเ้ พอ่ื ประเมนิ ผลการใช้ ชดุ นิทานลดพฤตกิ รรม เพอ่ื ลดพฤติกรรม ก้าวรา้ วของเด็กปฐมวัยมีการดาเนินการดังนี้
รวบรวมข้อมลู ท่ีได้จากการประเมนิ ผลการใช้ ชดุ นิทานลดพฤติกรรมกา้ วร้าว เพอื่ ลดพฤติกรรม กา้ วร้าวของเด็กปฐมวยั โดยการประเมินจากเด็กปฐมวยั ดงั น้ี 1)หาค่าเฉลี่ยของคะแนนพฤติกรรมและหลักการใชช้ ดุ นทิ านลดพฤติกรรมก้าวร้าวของเด็กปฐมวยั โดย สังเกตพฤติกรรมการวเิ คราะห์ข้อมลู ใชแ้ บบสงั เกตลกั ษณะพฤติกรรมกา้ วร้าว เกณฑ์การให้คะแนนแบบรบู ริคส์ 3 ระดับ 3 คะแนน แตล่ ะชว่ งคะแนนความหมายดงั นี้ 3 คะแนน หมายถงึ มีลกั ษณะพฤติกรรมท่ปี รากฏ 3 - 4 ครั้ง 2 คะแนน หมายถึง มีลักษณะพฤตกิ รรมทปี่ รากฏ 2 คร้ัง 1 คะแนน หมายถึง มลี กั ษณะ พฤตกิ รรมทีป่ รากฏ 1 ครง้ั ใช้การหาคา่ ฐานนิยมของข้อมูล ค่าเฉล่ีย (Mean) เป็นคา่ กลางท่นี ยิ มใช้กนั มากท่ีสุดหากเทยี บกับค่ากลางอ่นื ๆ ซง่ึ ได้จากการหารผลรวม ของข้อมูล ทุกๆค่า ดว้ ยจานวนข้อมูลท้ังหมด เช่น คา่ เฉลยี่ ของคะแนนในการเขียนตามคาบอกของนักเรียน ประถมศกึ ษาชนั้ ปที ่ี 3 จานวน 7 คน (1+2+3+4+5+6+7) ÷7 = 4 หรอื แทนด้วย µ4
บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล จากการวจิ ัยเร่ืองการลดพฤติกรรมกา้ วรา้ ว ผูว้ ิจยั ได้สงั เกตพฤติกรรมและประเมนิ คา่ คะแนนจาก พฤติกรรมจานวน 2 สปั ดาห์ มรี ายการประเมิน 5 รายการ ดงั น้ี 1.แสดงสหี น้าไม่พอใจ 2.ทาร้ายร่างกายตนเอง 3.ทารา้ ยรา่ งกายผ้อู นื่ 4.ขวา้ งปาสิ่งของ 5.ไม่เชอ่ื ฟงั คาสัง่ โดยมีคะแนนเตม็ รายการละ 3 คะแนน ดังนน้ั เด็กจะมคี ะแนนสาหรับการปฏิบัติ 5 รายการตอ่ วนั คะแนนเต็ม 15 คะแนนเมื่อเด็กปฏิบัติครบใน 1 สปั ดาหห์ รอื ปฏิบตั ิครบ 5 วนั คะแนนรวมเป็นสปั ดาห์ละ 75 คะแนน ผวู้ จิ ยั จึงนาคะแนนในแตล่ ะสัปดาหข์ องเด็กทุกคน มาแสดงเปน็ คะแนนรวม จานวน 3 สัปดาห์ ตาราง แสดงคา่ คะแนนจากพฤติกรรมก้าวรา้ ว ใน 3 สปั ดาห์ ช่อื – สกลุ คะแนนรวมเต็ม 75 คะแนน เด็กชายฉัตรชยั กลบั สงเคราะห์ สัปดาห์ท่ี 1 สัปดาห์ท่ี 2 สัปดาหท์ ่ี 3 เด็กชายนที เกตนุ อก เด็กชายพฒุ ิพงศ์ เดชป้อง รวม คะแนนเฉล่ีย คะแนนเฉลย่ี รอ้ ยละ
บทท่ี 5 สรุป อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ
บรรณานุกรม คมู่ อื หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยพทุ ธศกั ราช 2560 คุณธรรมจรยิ ธรรมและจรรณยาบรรณของวชิ าชพี คร.ู พิมพคร์ งั้ ท1่ี สานักพมิ พ์เสมาธรรม มหาลยั สวนดสุ ิต พทิ ยาภรณ์ สงิ หกานตพงศ์.(2559).นทิ านและวรรณกรรม คณะครุ ศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดสุ ิต พรใจ สารยศ,สุนทร เทียนงาม,ศศิธร รณะบุตรและคณะ (2559).การวจิ ัยในช้ันเรียน.คณะคุรุศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสติ https://sites.google.com/site/pisineekan48049/page4
ภาคผนวก
ภาพกลุ่มเป้าหมาย ทใ่ี ช้ในการศกึ ษาครัง้ นี้ เปน็ นกั เรียนชาย อายุ 4 - 5 ขวบ ชัน้ อนุบาลปีที่ 2 จานวน 3 คน ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2563 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 33 จงั หวดั ลพบุรี ตาบลดงดินแดง อาเภอหนองม่วง จังหวดั ลพบรุ ี
ภาพหนงั สอื นทิ าน
ภาพสงั เกตพฤตกิ รรม
ตวั อย่างแผนการจดั ประสบการณ์
ตวั อย่างแผนการจดั ประสบการณ์
ตวั อย่างแผนการจดั ประสบการณ์
แบบบนั ทกึ พฤตกิ รรมของเด็กปฐมวัย ช้ันอนุบาลปที ี่ 2 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 33 จงั หวัดลพบุรี ครั้งที.่ ......................วนั ท.่ี ....................................................... ผสู้ งั เกต นางสาวขนษิ ฐา สุภา วธิ ีการสังเกต การสงั เกตพฤติกรรมเด็กปฏบิ ัติกิจวตั รประจาวันในชน้ั เรียน หรอื สถานการณท์ ่ีเด็กสามารถ แสดงพฤตกิ รรมตามรายการที่เฝา้ ดูการปฏิบตั ิในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม ชอ่ื – สกลุ แสดงสีหนา้ ไม่ พฤติกรรมท่ีแสดงออก ไม่เชือ่ ฟังคาส่ัง พอใจ 3 21 เดก็ ชายฉัตรชัย ทาร้ายรา่ งกาย ทารา้ ยรา่ งกาย ขว้างปาสิ่ง กลับสงเคราะห์ 32 1 ตนเอง ผอู้ น่ื เดก็ ชายนที เกตนุ อก 321321321 เด็กชายพฒุ ิพงศ์ เดชป้อง หมายเหตุ ระดบั 3 คอื พฤติกรรมที่ปรากฏ 3 - 4 คร้ัง ระดบั 2 คือ พฤติกรรมทป่ี รากฏ 2 ครั้ง ระดบั 1 คือ พฤติกรรมท่ปี รากฏ 1 ครงั้
ภาพกิจกรรมเล่านทิ าน เร่ืองเจ้าหมูหูหาย ภาพกจิ กรรมเลา่ นทิ าน เรือ่ งสม้ ซ่าจอมเกเร ภาพกจิ กรรมเล่านิทาน เรอ่ื งบ๊ิกซา่ ขโ้ี มโห
ประวัตผิ ้วู ิจัย ชอ่ื – นามสกลุ นางสาวขนษิ ฐา สุภา อาเภอหนองมว่ ง วนั เดือน ปี เกิด 2 มีนาคม 2562 ที่อยู่ปจั จุบัน 99 หมู่ที่ 5 ตาบลดงดนิ แดง จังหวัดลพบุรี 15170 E-mail r9162321 @gmail.com ประวัติการศึกษา ปี พ.ศ.ทีจ่ บ ระดบั การศกึ ษา วชิ าเอก สถานศึกษา จงั หวดั ลพบรุ ี พ.ศ. 2558 ปรญิ ญาตรี ครุศาสตรบัณฑิต ม.ราชภัฎเทพสตรี สาขาวชิ าเอก ลพบุรี ตาก การศึกษาปฐมวัย ตาก พ.ศ. 2553 มธั ยมศึกษาตอนปลาย ม. 6 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 33 พ.ศ. 2550 มธั ยมศึกษาตอนต้น ม. 3 โรงเรียนบา้ นแมส่ ละ พ.ศ. 2547 ประถมศึกษา ป.6 โรงเรียนบา้ นแมส่ ละ ที่ทางานปจั จบุ นั โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 33 จงั หวดั ลพบุรี ความสามรถพเิ ศษ ตาบลดงดนิ แดง อาเภอหนองมว่ ง จงั หวัดลพบรุ ี กีฬา ดนตรี การใช้งานอนิ เตอร์เน็ต ความสามารถในการใช้โปรแกรม คตปิ ระจาใจ ชนะใจตน คือ ชัยชนะเหนือชัยชนะทง้ั ปวง
Search
Read the Text Version
- 1 - 33
Pages: