Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยที่ 1 การใช้ภาษาไทยเพื่อการรับสารและส่งสาร

หน่วยที่ 1 การใช้ภาษาไทยเพื่อการรับสารและส่งสาร

Published by kanuengnij kongkanon, 2019-09-18 10:17:22

Description: หน่วยที่ 1 การใช้ภาษาไทยเพื่อการรับสารและส่งสาร

Search

Read the Text Version

หนว ยท่ี 1 การใชภ าษาไทยเพ่ือการรบั สารและสงสาร 1. ความรูเก่ยี วกบั การรบั สารและสงสาร 1.1 ความหมายของการรับสาร การรบั สาร หมายถึง การทผ่ี ูรบั สารเกิดการรับรูแ ละเขา ใจในเน้ือหาสาระของสารตามทผี่ สู ง สารตั้งใจสือ่ สาร โดยอาศยั ชอ งทางผานสอื่ ตางๆ ไปยังผูรับสาร 1.2 ความหมายของการสงสาร การสง สาร หมายถึง การถายทอดส่ิงที่เปนความรู ความคิด อารมณ ทศั นคติ ประสบการณ จากผูส งสารไปยัง ผูรบั สาร โดยวิธกี ารตา งๆ เพอ่ื ใหผ รู บั สารรบั รู และเกดิ ความเขาใจตามที่ผสู ง สารต้งั จดุ ประสงคไว 1.3 องคป ระกอบของการรบั สารและสง สาร การรับสารและสงสารจะเกดิ ขึ้นไดอยางสมบูรณ จะตองอาศยั องคประกอบหลกั ทสี่ ําคัญดงั ตอ ไปน้ี 1.3.1 ผสู งสาร 1.3.2 สาร 1.3.3 สื่อ 1.3.4 ผูรบั สาร 1.3.5 สถานการณแวดลอ ม 1.4 จดุ มุง หมายของการรบั สารและสงสาร มีดงั น้ี 1.4.1 สนทนาแลกเปล่ียนความรูและประสบการณซ ่งึ กันและกนั 1.4.2 ส่ือสารพูดคุยเพื่อสรางมติ รภาพทีด่ ีตอกัน 1.4.3 สื่อสารถา ยทอดเรื่องราวหรอื เรอ่ื งทเ่ี ปน ประโยชนนา รู 1.4.4 การติดตอสอบถาม หรอื ขอความชวยเหลือในเรอื่ งตา งๆ 1.4.5 ตอบขอซักถาม หรอื สัมภาษณเ พอ่ื นําไปเผยแพร 1.4.6 แสดงความคดิ เห็นที่เปน ประโยชนต อบคุ คลหรือสวนรวม 1.5 คณุ สมบตั ทิ ่ีดีของผรู บั สาร 1.5.1 มีความรรู อบตวั ในเร่อื งตางๆ พอสมควร 1.5.2 มคี วามสามารถในการจบั ประเด็นของเร่ืองทรี่ ับสารไดเ ปน อยา งดี 1.5.3 มีวิจารณญาณในการรับฟง และรบั ชมขอมลู ขา วสารตางๆ ไดด ี 1.5.4 รูจักคดิ วเิ คราะหในการรับสาร ท้ังการฟง การดู และการอา น 1.5.5 รจู กั นาํ ความรูและขอคิดในการรบั สารไปใชใ หเกดิ ประโยชน 1.5.6 มีมารยาทในการรับสาร โดยเฉพาะการรับสารดวยการฟง และการดู 1.6 คณุ สมบตั ิที่ดีของผูสงสาร 1.6.1 มศี ิลปะในการสง สาร 1.6.2 มีการวเิ คราะหผ รู ับสาร 1.6.3 มีความรดู ใี นเรอื่ งท่สี งสาร 1.6.4 มีการเตรยี มพรอ มท่ดี ีในการสงสาร 1.6.5 มกี ิริยาทา ทางสุภาพ ใหเ กียรตผิ รู ับสาร 1.6.6 มบี คุ ลกิ ภาพที่ดี กิริยาอาการตางๆ เปนไปตามธรรมชาติ 1.6.7 มีเหตผุ ล ไมเช่ืออะไรงา ยๆ โดยเฉพาะขอ มลู ท่ยี ังไมม ีการพสิ จู นขอเทจ็ จริง

1.7 หลกั การรับสาร การรบั สารทด่ี แี ละเกิดประสิทธิภาพ ผูร บั สารควรตระหนักถงึ หลักการรับสาร ดงั น้ี 1.7.1 กาํ หนดวัตถุประสงคใ นการรับสาร 1.7.2 วิเคราะหเ น้ือหาของสาร 1.7.3 จัดสรรเวลาและโอกาสใหเหมาะสม 1.7.4 เลือกชอ งทางในการรบั สาร 1.7.5 คํานงึ ถงึ มารยาทในการรับสาร 1.8 หลกั การสงสาร การสงสารท่ีดีและเกดิ ประสทิ ธภิ าพ ผูส ง สารควรตระหนักถงึ หลักการสงสาร ดังน้ี 1.8.1 เกิดวัตถปุ ระสงคในการสงสาร 1.8.2 วิเคราะหผ ฟู งหรือผูร ับสาร 1.8.3 พจิ ารณาโอกาสและสถานทีใ่ นการพดู 1.8.4 กําหนดรูปแบบในการสง สาร 1.8.5 คํานงึ ถงึ มารยาทในการสงสาร 1.9 ประเภทของการรบั และสง สาร แบงออกเปน 2 ประเภท คอื 1.9.1 การรับสารและสงสารผา นสอ่ื บคุ คล 1.9.2 การรบั สารและสง สารผานส่อื ตา งๆ ไดแก 1. การรบั สารและสง สารผานส่อื ส่งิ พิมพ 2. การรับสารและสงสารผานสอ่ื อเิ ลก็ ทรอนิกส 3. การรับสารและสง สารผา นส่ือโฆษณา-ประชาสัมพันธ 1.10 อปุ สรรคของการรับสารและสง สาร มีดังนี้ 1.10.1 ผูสงสารขาดพนื้ ฐานความรแู ละประสบการณใ นเรอ่ื งที่สงสารน้ันๆ ขาดความสนใจหรือมีความรสู ึกไมด ี ในขณะท่ีกาํ ลังสง สาร 1.10.2 สารมีความซับซอ นเกนิ ไป ลกึ ซึง้ หรือยากเกินไป ซ่งึ หา งไกลจากประสบการของผูรับสารหรอื สารอาจ มคี วามขดั แยง กันในตวั สารนนั้ เอง 1.10.3 ภาษาท่ีใชใ นการสื่อสารมลี ักษณะเขา ใจยาก ใชภาษาผิดระดบั หรอื ใชส าํ นวนโวหารไมต รงกับเนือ้ หา ของเรือ่ งที่จะสอื่ สาร หรือใชคําศัพทท างวชิ าการที่ผรู บั สารไมเ ขา ใจ 1.10.4 ผรู บั สารอยใู นสภาวะทไี่ มเ หมาะแกก ารรับสาร เชน เจบ็ ปวย มอี าการงว งนอน หรอื ขณะกาํ ลังมงี านยงุ 1.10.5 ส่ือขัดขอ งอยใู นสภาพที่ไมพ รอ มในการใชง านหรือไมม คี วามชดั เจนเพยี งพอ 1.10.6 กาลเทศะและสภาพแวดลอมไมเ หมาะสม เชน อยใู นสถานท่ีทมี่ เี สียงดัง

2. ความรูเกยี่ วกบั การใชภาษาไทย 2.1 ลกั ษณะสาํ คัญของภาษาไทย 2.1.1 ภาษาไทยเปนภาษาคําโดด คอื คาํ ไทยแตละคําจะมคี วามหมายสมบรู ณใ นตวั เอง ใชไ ดอ ยางอิสระโดย ไมม ีการเปล่ียนรูปศพั ท 2.1.2 คาํ ไทยแทสว นใหญม พี ยางคเ ดยี ว มีความหมายทีเ่ ขาใจไดทันที 2.1.3 คําไทยแทม ตี ัวสะกดตรงตามมาตรา 2.1.4 ภาษาไทยเปนภาษาท่มี เี สยี งวรรณยุกต การมีเสยี งวรรณยกุ ตท เี่ ปลย่ี นไปจะทําใหคํามีระดบั เสยี งและ ความหมายทตี่ างกนั ไปดวย 2.1.5 ภาษาไทยมกี ารสรางคําเพือ่ เพม่ิ ความหมายใหมากข้ึน การเพ่มิ คําในภาษาไทยมีหลายลกั ษณะ ดงั นี้ 1. คาํ ประสม 2. คาํ ซอน 3. คาํ ซา้ํ 4. คําสมาส 5. คาํ ทบั ศัพท 6. ศพั ทบญั ญตั ิ 2.1.6 ภาษาไทยมีหลกั ในการเรียงคาํ เขาประโยค การเรียงคาํ ในประโยคของภาษาไทยน้นั สําคัญมาก เพราะ ถา เรียงคาํ ในประโยคสลับกนั กจ็ ะทาํ ใหค วามหมายเปลี่ยนไป 2.1.7 ภาษาไทยมีหลกั ในการเรยี งคําขยาย โดยจะเรยี งอยหู ลังคําทถี่ กู ขยายเสมอ 2.1.8 ภาษาไทยมีหลักในการใชคําลกั ษณะนาม โดยมหี ลักการใชคาํ ดงั น้ี 1. ใชต ามหลงั คําวเิ ศษณบอกจํานวนนบั ที่เปน ตัวเลข ยกเวน การใชเดียวแทนจาํ นวนนบั 1 หนว ย ซ่งึ จะอยหู ลงั คําลกั ษณนาม 2. ใชตามหลงั คํานามเพื่อบอกลักษณะของคํานามทอ่ี ยขู างหนา 2.1.9 ภาษาไทยมีวรรคตอนในการเขียนและการพูด เพ่อื กําหนดความหมายท่ีตองการส่ือสาร หากแบง วรรคตอน การเขียนผิด หรือพดู เวน จงั หวะผดิ ความหมายกจ็ ะเปล่ียนไป 2.2 หลกั การใชภ าษาไทยในการรับสารและสง สาร 2.2.1 ใชภาษาใหถกู ตอ งตามแบบแผน การใชภาษาไทยใหถ กู ตอง ผใู ชภ าษาควรคํานึงถงึ ปจจัยท่ีชวยใหใ ชภ าษาไดถ กู ตอ งตามแบบแผน ดงั น้ี 1. รูเร่ืองความหมายของคาํ คาํ ในภาษาไทยมกั มีคาํ ทีอ่ อกเสยี งตรงกัน แตเขยี นตางกัน เรยี กวา “คาํ พอ งเสยี ง” ถาผูสง สาร รูความหมายของคําจะสามารถเขยี นสะกดคาํ ไดถ กู ตอง 2. ไมใ ชแ นวเทียบผิดในการเขยี น คําบางคําแมจ ะมีเสยี งเหมือนกนั แตค วามหมายหรอื รูปศัพท ตลอดจนท่ีมาแตกตางกันจะใช แนวเทียบเดยี วกันไมได 3. รจู กั วิธีออกเสียงใหถ กู ตอง ผสู งสารจะตอ งเรียนรูวิธีการออกเสยี งคาํ ใหถ ูกตอ ง เพราะการออกเสยี งคําไมถ ูกตอ งเปน ปจจัยหนง่ึ ที่ ทําใหเ ขยี นสะกดคําผดิ 4. แกไ ขประสบการณท ี่ผดิ ๆ ใหถกู ตอ ง การที่เหน็ คําท่ีเขยี นผดิ บอยๆ จากสือ่ ส่งิ พมิ พ ปา ยโฆษณา ปา ยประกาศ อาจทําใหเ กดิ ประสบการณ ทีท่ ําใหเขยี นสะกดคําผิดไปดวย ดังนน้ั กอนเขยี น ผใู หภ าษาจึงควรศึกษาคาํ เหลานน้ั จากพจนานุกรม

2.2.2 ใชคาํ ใหเ หมาะสมกบั สถานการณ ในภาษาไทยมคี ําทม่ี คี วามหมายเหมือนกนั อยูมาก เม่อื นาํ มาใชใ นการสื่อสารผูใชควรเลอื กใชใ หถ กู ตอง ตรงตามความเหมาะสม จะชว ยใหภาษาเกดิ ความสละสลวยมากยิง่ ขนึ้ 2.2.3 ใชค ําใหเ หมาะสมกับระดบั บคุ คล การส่อื สารจะบรรลุเปาหมายไดนอกจากการเลอื กใชภาษาทถ่ี กู ตองตามความหมายแลว ผสู งสาร จะตอ งพจิ ารณาระดับบุคคลที่ใชใ นการตดิ ตอ ส่ือสารดว ย 2.2.4 การใชภาษากระชับรดั กมุ ในการสอ่ื สาร การส่อื สารที่กระชบั รดั กมุ ผใู ชภ าษาควรหลกี เลีย่ งการใชค าํ หรอื ขอ ความทม่ี ีความหมายซํา้ กันใน ประโยคเดียวกนั หรือเรียกอีกอยา งหนึ่งวา เปนการใชคําฟุมเฟอย การส่ือสารโดยยดึ หลกั ความกระชับรดั กุมจะทําให ประหยัดเวลาในการเขียน การอา น ชวยในการสรปุ ความใหเขา ใจไดง ายขึน้ ดังนี้ 1) เลือกใชค ําท่สี ้ันและงาย แทนขอ ความยาวๆ ที่ใชค ําฟมุ เฟอ ย 2) เลือกใชถอ ยคําทีส่ ือ่ ความหมายเดียว แปลความเปนอยางอื่นไมได 3) เลอื กใชคําท่ีชดั เจนและเฉพาะเจาะจงแทนคาํ ทมี่ คี วามหมายกวา งๆ 4) เลือกใชค าํ ทเ่ี ปน ที่รจู ักกนั ทั่วไปแทนคําที่เปน ศพั ทคํายากหรอื คาํ ศัพททางวิชาการจะทาํ ใหสอ่ื สาร ชัดเจนเขา ใจงา ย 2.2.5 ใชภาษาในการสอ่ื สารใหเ ปนระบบ 1) ไมใชคาํ ภาษาตางประเทศปะปนกบั ภาษาไทย 2) ไมใ ชภาษาพดู เขาไปปะปนกับภาษาเขยี น 2.2.6 ใชภ าษาทส่ี ภุ าพและแสดงความมมี ารยาท ผพู ูดควรหลกี เลีย่ งภาษาท่ีไมส ภุ าพ คาํ หยาบ คาํ สแลง คาํ ตลาด คาํ ผวน การใชถอยคําท่ีไมส ภุ าพจะ กอใหเกิดความไมเหมาะสมท้ังทางวฒั นธรรมและกอ เกดิ ความรสู ึกที่ไมดกี บั ผฟู ง ได ลักษณะภาษาที่สภุ าพ เชน 1) มีการใชค าํ ลงทา ยท่แี สดงการขอรอง/คาํ ถาม 2) มกี ารใชคาํ ท่ีแสดงมารยาทและใหเ กียรติ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook