วิ ท ย า ลั ย เ ท ค โ น โ ล ยี ห า ด ใ ห ญ่ อาํ น ว ย วิ ท ย์ â¤Ã§§Ò¹ÊÔè§»ÃдÔɰ â¤Áä¿ÁËÑȨÃõ Ñé§âµÐ ภาคเรยี นที 1 ปการศกึ ษา 2564
โครงงานสง่ิ ประดิษฐ์ โคมไฟผลไมต้ ง้ั โตะ๊ จากชอ้ นพลาสตกิ ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 สาขาวชิ าการจดั การ วทิ ยาลยั เทคโนโลยหี าดใหญ่อานวยวทิ ย์ 9/2 ซอย 26 ถนนเพชรเกษม ตาบลหาดใหญ่ อาเภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา โทร.074-253231-2 โทรสาร 074-360080 www.anw.ac.th E-mail [email protected]
โครงงาน เรอ่ื ง สง่ิ ประดษิ ฐ์ โคมไฟผลไมต้ ง้ั โตะ๊ จากชอ้ นพลาสตกิ โดย 1. นางสาว ธนั ยช์ นก ศรจี วิ๋ 2. นางสาว นฐั รฌิ า เสลจลุ ไดร้ บั การพจิ ารณาใหเ้ป็นส่วนหน่งึ ของการศึกษาตามหลกั สูตร ระดบั ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี ชน้ั สูง สาขาวชิ าการจดั การ ………………………………………….. ผูอ้ าํ นวยการวทิ ยาลยั เทคโนโลยหี าดใหญ่อาํ นวยวทิ ย์ (นางพมิ พช์ นก ณ พทั ลงุ ) ……………………………………………….. ทป่ี รกึ ษาโครงงาน (นางสาวรงุ้ มณี พนั ธุพ์ ฤกษช์ าติ)
คานา รายงานผลการดาํ เนนิ งาน โครงงานสง่ิ ประดษิ ฐ์ โคมไฟผลไมต้ ง้ั โตะ๊ จากชอ้ นพลาสตกิ ซง่ึ ดาํ เนินการ โดยนกั เรียนปวส.2/5 ,2/5(พ) สาขาวชิ าการจดั การ ซง่ึ โครงงานส่งิ ประดิษฐโ์ คมไฟผลไมต้ งั้ โต๊ะจากชอ้ น พลาสตกิ เป็นโครงงานทม่ี ปี ระโยชนต์ ่อผูท้ ส่ี นใจและผูท้ เ่ี ขา้ ร่วมโครงงาน สามารถนาํ ไปสรา้ งอาชีพ หรอื นาํ ไป ต่อยอดในอนาคต โครงงานส่ิงประดิษฐโ์ คมไฟผลไมต้ ง้ั โต๊ะจากชอ้ นพลาสติก ไดร้ บั อนุญาตดาํ เนินโครงงานจาก อาจารย์พิมพ์ชนก ณ พัทลุง ผูอ้ ํานวยการวิ ทยาลัยเทคโนโลยีหาดใหญ่อํานวยวิท ย์ และ อาจารยร์ งุ้ มณี พนั ธุพ์ ฤกษช์ าติ อาจารยท์ ป่ี รกึ ษาโครงงาน เป็นผูใ้ หค้ าํ ปรึกษาในการจดั ทาํ เลม่ โครงงานฉบบั น้ี เป็นอย่างดี โครงการน้ีดาํ เนินการตงั้ แต่วนั ท่ี 16 มถิ นุ ายน 2564 ถงึ 8 ตลุ าคม 2564 และเสร็จส้นิ การดาํ เนนิ งาน แลว้ คณะผูร้ บั ผดิ ชอบจึงจดั ทาํ รายงานผลการดาํ เนินงานต่อผูเ้ ก่ียวขอ้ งและสถานศึกษาดงั รายละเอียดท่ี ปรากฏในขอ้ มลู การรายงานผลการดาํ เนินงานโครงงานสง่ิ ประดษิ ฐโ์ คมไฟผลไมต้ งั้ โตะ๊ จากชอ้ นพลาสตกิ คณะผูจ้ ดั ทาํ
สารบญั หนา้ เร่อื ง บทท่ี 1 บทนาํ หลกั การและเหตผุ ล วตั ถปุ ระสงคข์ องกจิ กรรม/โครงการ ขอบเขตของกจิ กรรม/โครงการ เป้ าหมาย บทท่ี 2 เอกสารทเ่ี กย่ี วขอ้ ง รายละเอยี ดโครงงาน เน้อื หาเก่ยี วกบั โครงงาน แนวคิดและทฤษฎที เ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การจดั การ โครงงานทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง บทท่ี 3 วธิ ดี าํ เนินงาน ระยะเวลาดาํ เนนิ การ แผนการปฏบิ ตั งิ าน PDCA เคร่อื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษาขอ้ มลู การวเิ คราะหข์ อ้ มลู สูตรการหาค่าเฉลย่ี บทท่ี 4 ผลการดาํ เนนิ งาน ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู แบบประเมนิ ความพงึ พอใจ บทท่ี 5 สรุปผลการดาํ เนนิ งาน อภปิ รายผล จดุ เด่น จดุ ดอ้ ย ปญั หา อปุ สรรค ขอ้ เสนอแนะและแนวทางในการพฒั นา บรรณานุกรม ภาคผนวก 1. ใบเสนอโครงงาน 2. รูปภาพโลโก้ และผลติ ภณั ฑ์
3. แบบประเมนิ ความพงึ พอใจ(ตวั อย่าง 5 ใบ) 4. ใบเสร็จรบั เงนิ (ใหส้ มมติ) 5. ประวตั ผิ ูจ้ ดั ทาํ ทกุ คน (ใหม้ รี ูปตดิ ดว้ ย) ชอ่ื สกุล วนั เดอื น ปี เกิด อายุ ประวตั กิ ารศกึ ษา ประวตั กิ ารฝึกงาน อาจารยท์ ป่ี รกึ ษาโครงงาน
บทท่ี 1 บทนา หลกั การและเหตผุ ล ในปจั จุบนั โคมไฟถอื ว่าเป็นท่นี ิยมเป็นอย่างมาก เน่ืองจากใหแ้ สงสว่างและมคี วามสวยงาม คนส่วนใหญ่จงึ นิยมนําโคมไฟมาประดิษฐเ์ ป็นของตกแต่งบา้ น ซ่งึ โคมไฟจะมีรูปร่างและรูปทรงท่แี ตกต่างกนั ออกไป ตามวสั ดุท่ี นาํ มาใชใ้ นการประดษิ ฐ์ การประดิษฐโ์ คมไฟสามารถใชว้ สั ดุไดห้ ลากหลายชนิด เช่น พลาสตกิ อลูมเิ นียม เหลก็ ซ่งึ มกั จะมรี าคาแพง แต่ความเป็นจรงิ แลว้ โคมไฟสามารถประดษิ ฐจ์ ากวสั ดุอย่างอ่นื ได้ ไม่ว่าจะเป็นกะลามะพรา้ ว เศษไม้ ต่าง ๆ ทเ่ี หลอื ใช้ ขวดพลาสตกิ หรอื แมแ้ ต่ชอ้ นพลาสตกิ ซง่ึ หลายคนอาจคิดวา่ สง่ิ เหลา่ น้ีไม่มปี ระโยชน์ และเป็นขยะ ดว้ ยเหตนุ ้ที างกลมุ่ จงึ จดั ทาํ โครงงาน การประดษิ ฐโ์ คมไฟผลไมต้ ง้ั โตะ๊ จากชอ้ นพลาสตกิ ข้นึ มา เพอ่ื นาํ สง่ิ ของเหลอื ใชม้ า สรา้ งคุณค่าใหเ้กิดประโยชนส์ ูงสุด ตามหลกั เศรษฐกิจพอเพยี ง ของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ฯ สามารถช่วยลด ขยะและเสรมิ สรา้ งสภาพแวดลอ้ มทด่ี ี ประหยดั ค่าใชจ้ ่าย อกี ทง้ั ยงั มลี กั ษณะทส่ี วยงาม แปลกใหม่ ในรูปทรงของผลไม้ ช่วยลดแสงของไฟใหเ้บาลงมองแลว้ ไม่แสบตา และยงั ใหป้ ระโยชนต์ ามทต่ี อ้ งการอกี ดว้ ย วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพอ่ื ใหเ้กดิ ความรูค้ วามเขา้ ใจในการประดษิ ฐโ์ คมไฟตงั้ โตะ๊ จากชอ้ นพลาสตกิ 2. เพอ่ื ใหเ้กดิ ความคดิ รเิ รม่ิ สรา้ งสรรค์ ขอบเขตของโครงการ/กจิ กรรม โครงการ/กจิ กรรม โคมไฟผลไมต้ งั้ โตะ๊ จากชอ้ นพลาสตกิ มขี อบเขตการดาํ เนินงาน ดงั น้ี 1. จาํ นวนผูเ้ขา้ ร่วมกจิ กรรม/โครงการ 36 คน 2. สถานทด่ี าํ เนนิ งาน ณ หอ้ งปฏบิ ตั กิ ารการจดั การ วทิ ยาลยั เทคโนโลยหี าดใหญ่อาํ นวยวทิ ย์ เป้ าหมาย โครงการ/กจิ กรรมโคมไฟผลไมต้ งั้ โตะ๊ จากชอ้ นพลาสตกิ มเี ป้าหมายการดาํ เนนิ งาน ดงั น้ี เชิงปรมิ าณ นกั ศึกษา ระดบั ชนั้ ปวส.2/5,2/5 (พเิ ศษ) จาํ นวน 36 คน เชิงคณุ ภาพ ผูเ้ขา้ ร่วมโครงงาน ไดร้ บั ความรูจ้ ากการประดษิ ฐโ์ คมไฟผลไมต้ งั้ โตะ๊ จาก ชอ้ นพลาสตกิ ผลท่ีคาดวา่ จะไดร้ บั โครงการ/กจิ กรรมโคมไฟผลไมต้ งั้ โตะ๊ จากชอ้ นพลาสตกิ มผี ลทค่ี าดวา่ จะไดร้ บั ดงั น้ี 1. ทาํ ใหไ้ ดร้ บั ความรูใ้ นเรอ่ื งการประดษิ ฐโ์ คมไฟผลไมต้ ง้ั โตะ๊ จากชอ้ นพลาสตกิ 2. ทาํ ใหเ้กดิ ความคดิ ทแ่ี ปลกใหม่ และความคดิ สรา้ งสรรค์
บทท่ี 2 เอกสารท่เี ก่ยี วขอ้ ง โครงการ/กจิ กรรม โคมไฟผลไมต้ งั้ โตะ๊ จากชอ้ นพลาสตกิ มเี อกสารทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การดาํ เนนิ งาน ดงั น้ี 1. รายละเอยี ดโครงงาน 2. เน้อื หาเก่ยี วกบั โครงงาน 3. โครงงานทเ่ี กย่ี วขอ้ ง 4. แนวคดิ ทฤษฎที เ่ี ก่ยี วขอ้ ง 1.รายละเอยี ดโครงงาน ปญั หาสง่ิ แวดลอ้ มเป็นมลพษิ ทส่ี ่งผลกระทบต่อโลกโดยตรง และลว้ นเกิดจากฝีมอื มนุษย์ ทง้ั ส้นิ โดยเฉพาะ ปญั หาขยะพลาสติกลน้ เมอื งหลวง ทผ่ี ูค้ นไม่แยกขยะและผูค้ นท่ที ้งิ ขยะลงในแม่นาํ้ ส่งผลใหข้ ยะพลาสติกไหลลงสู่ ทะเลกลายเป็นปญั หาระดบั โลกก่อใหเ้กิดปญั หามลภาวะต่างๆตามมาอย่างมากมาย ซง่ึ ขณะน้ีหลายประเทศทัว่ โลกให้ ความสนใจและรมมอื กนั หาวธิ แี กไ้ ขปญั หาเหลา่ น้ีไม่เพยี งแค่ขยะพลาสติกเท่านนั้ แต่รวมถงึ การแยกขยะดว้ ย ทงั้ การ กาํ หนดนโยบายในการจดั การขยะ รวมถงึ มาตรการลดเลกิ ใชถ้ งุ พลาสตกิ และการรณรงคร์ ไี ซเคิล เพอ่ื ร่วมมอื กนั กาํ จดั หรอื ลดจาํ นวนขยะพลาสติกใหล้ ดลง และหนั มาเลอื กใชว้ สั ดุทเ่ี ป็นมติ รต่อสง่ิ แวดลอ้ มมากข้นึ ดว้ ยสภาพแวดลอ้ มใน ปจั จบุ นั ขยะมลู ฝอยก็เป็นหน่งึ ในตน้ ตอของปญั หาเหลา่ นน้ั โดยเฉพาะขยะพลาสติกทม่ี อี ายุทย่ี าวนานกว่า 400 ปี จาก ปญั หาเหลา่ น้ี สถาบนั พลาสตกิ ร่วมกบสถาบนั การจดั การบรรจุภณั ฑเ์ พอ่ื สง่ิ แวดลอ้ ม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ ไทย และสมาคมอตุ สาหกรรมพลาสตกิ ไทยไดร้ ่วมจดั กิจกรรมโครงการ “พลาสติกไม่ใช่ขยะ เปลย่ี นมนั ใหม้ คี ่า” ซง่ึ ม่งุ เนน้ การรณรงค์ และสรา้ งแรงกระตุน้ เพอ่ื เสริมสรา้ งความรบั ผดิ ชอบต่อส่งิ แวดลอ้ มแก่สาธารณชนโดยจูงใจให้ ประชาชนในพ้นื ทด่ี าํ เนินโครงการนาํ เอาขยะพลาสตกิ อาทิ ขวดพลาสตกิ ถาดโฟม ถงุ พลาสตกิ ชอ้ นพลาสตกิ เป็นตน้ นาํ มาแลกสนิ คา้ อปุ โภคบริโภคสาํ หรบั ใชใ้ นชวี ติ ประจาํ วนั อนั จะเป็นการนาํ เอาวสั ดุเหลอื ใชต้ ่างๆ มาผ่านกระบวนการรี ไซเคิลเพ่อื ใหเ้ กิดประโยชน์สูงสุดจากแนวคิดขา้ งตน้ ทาํ ใหท้ างคณะผูจ้ ดั เลง็ เห็นถึงการนําพลาสติกมาทาํ ใหเ้ กิด ประโยชนส์ ูงสุดโดยไม่ตอ้ งนาํ ไปท้งิ โดยไดแ้ รงบนั ดาลใจมาจากโครงการ “พลาสติกไม่ใช่ขยะ เปลย่ี นมนั ใหม้ คี ่า” สรา้ งสรรคเ์ ป็นผลติ ภณั ฑท์ ม่ี ปี ระโยชนใ์ ชง้ านไดจ้ รงิ ทนทาน ปลอดภยั ในปจั จุบนั โคมไฟถอื ว่าเป็นท่นี ิยมเป็นอย่างมาก เน่ืองจากใหแ้ สงสวา่ งและมคี วามสวยงาม คนส่วนใหญ่จงึ นิยมนาํ โคมไฟมาประดิษฐเ์ ป็นของตกแต่งบา้ น ซ่งึ โคมไฟจะมรี ูปร่างและรูปทรงท่แี ตกต่างกนั ออกไป ตามวสั ดุท่ี นาํ มาใชใ้ นการประดษิ ฐ์ การประดษิ ฐโ์ คมไฟสามารถใชว้ สั ดุไดห้ ลากหลายชนิด เช่น พลาสติก อลูมเิ นียม เหลก็ ซง่ึ มกั จะมรี าคาแพง แต่ความเป็นจรงิ แลว้ โคมไฟสามารถประดษิ ฐจ์ ากวสั ดอุ ย่างอน่ื ได้ ไม่ว่าจะเป็นกะลามะพรา้ ว เศษไม้ ต่าง ๆ ทเ่ี หลอื ใช้ ขวดพลาสตกิ หรอื แมแ้ ต่ชอ้ นพลาสตกิ ซง่ึ หลายคนอาจคิดวา่ สง่ิ เหลา่ น้ีไม่มปี ระโยชน์ และเป็นขยะ ดว้ ยเหตนุ ้ที างกลมุ่ จงึ จดั ทาํ โครงงาน การประดษิ ฐโ์ คมไฟผลไมต้ งั้ โตะ๊ จากชอ้ นพลาสตกิ ข้นึ มา เพอ่ื นาํ สง่ิ ของเหลอื ใชม้ า สรา้ งคุณค่าใหเ้กิดประโยชนส์ ูงสุด ตามหลกั เศรษฐกิจพอเพยี ง ของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ฯ สามารถช่วยลด
8 ขยะและเสรมิ สรา้ งสภาพแวดลอ้ มทด่ี ี ประหยดั ค่าใชจ้ ่าย อกี ทง้ั ยงั มลี กั ษณะท่ีสวยงาม แปลกใหม่ ในรูปทรงของผลไม้ ช่วยลดแสงของไฟใหเ้บาลงมองแลว้ ไม่แสบตา และยงั ใหป้ ระโยชนต์ ามทต่ี อ้ งการอกี ดว้ ย โคมไฟถอื เป็นสง่ิ ประดษิ ฐท์ น่ี ิยมทาํ กนั เป็นอย่างมาก เพราะวสั ดุทน่ี าํ มาใชใ้ นการทาํ สามารถเลอื กไดต้ ามวสั ดุ เหลอื ใชท้ เ่ี รามี ไม่วา่ จะเป็น กะลามะพรา้ ว ขวดพลาสตกิ เสน้ ดา้ ย กระป๋อง หรอื กระดาษลงั ซง่ึ สง่ิ เหลา่ น้ีลว้ นแต่เป็น วสั ดุเหลอื ใชท้ เ่ี ราคนุ้ เคยกนั ทง้ั ส้นิ การทเ่ี ราสามารถประดษิ ฐข์ องใชด้ ว้ ยตวั เอง ช่วยใหใ้ ชเ้วลาวา่ งใหเ้กิดประโยชน์ และ สง่ิ ประดษิ ฐช์ ้นิ นน้ั ก็จะมคี ุณค่าทางจติ ใจ ไม่ว่าจะประดษิ ฐไ์ วใ้ ชเ้ อง หรือจะทาํ เป็ นของขวญั หรอื ของทร่ี ะลกึ ใหก้ บั คนท่ี เรารกั โครงงานของทางผูจ้ ดั ทาํ เป็นโครงงานโคมไฟผลไมต้ ง้ั โตะ๊ จากชอ้ นพลาสติก ซง่ึ สาเหตุทท่ี างผูจ้ ดั ทาํ ไดเ้ ลอื กใช้ ชอ้ นพลาสติกมาประดษิ ฐโ์ คมไฟ เน่ืองจากว่า ก่อนหนา้ น้ี วสั ดุชนิดอน่ื ๆ ไดม้ กี ารประดษิ ฐไ์ ปบา้ งแลว้ เช่นประดษิ ฐ์ โคมไฟจากไมไ้ อติม ประดิษฐโ์ คมไฟจากขวดพลาสติก ประดิษฐโ์ คมไฟจากกะลามะพรา้ ว ทางผูจ้ ดั ทาํ จงึ อยากจะ ประดษิ ฐโ์ คมไฟทต่ี ่างไปจากเดมิ และยงั ไม่เคยไดล้ องทาํ จงึ ตดั สนิ ใจร่วมกนั ว่า จะใชช้ อ้ นพลาสติกในการทาํ โดยมี จดุ ประสงคเ์ พอ่ื การศึกษาการใชช้ อ้ นพลาสติกใหเ้กิดประโยชนม์ ากข้นึ เพอ่ื ศึกษาการพฒั นางานฝีมอื เพอ่ื ใหส้ ามารถ ประดิษฐช์ ้นิ งานจาก ชอ้ นพลาสติก เพอ่ื แสดงใหเ้ ห็นความสาํ คญั ของส่งิ ของวสั ดุเหลอื ใช้ ผูจ้ ดั ทาํ ไดเ้ ลอื กหวั ขอ้ เร่ือง การทาํ โคมไฟจากชอ้ นพลาสตกิ ในการทาํ โครงงานเน่อื งมาจากเป็นเรอ่ื งทด่ี ี มคี วามสาํ คญั เก่ียวกบั ผูท้ ต่ี อ้ งการตกแต่ง ไวห้ นา้ บา้ น หรอื จดั โคมไฟทส่ี วยงามเน่อื งจากเป็นวสั ดทุ ห่ี างา่ ย รูปทรงแตกต่างจากทเ่ี คยทาํ มาในรูปแบบของผลไม้ 2.เน้ือหาเก่ยี วกบั โครงงาน ความหมายของโคมไฟ อปุ กรณ์ส่องสว่างอกี ชนิดหน่ึงทต่ี อ้ งใชป้ ระกอบคู่ไปกบั หลอดไฟ คือ ดวงโคมไฟ อุปกรณ์ทใ่ี ชใ้ นการยดึ ติด ป้องกนั และช่วยการกระจายแสงของหลอดไฟ ซง่ึ ไดร้ บั อทิ ธิพลมาจากประเทศจีน ปจั จุบนั โคมไฟทไ่ี ดร้ บั ความนิยม อนั ดบั ตน้ ๆ คอื โคมไฟไมส้ กั ซง่ึ มคี วามสวยงาม คงทน แขง็ แรง แต่มคี วามคลาสสกิ ในตวั ของโคมเอง ลกั ษณะของดวงโคม 1. ดวงโคมไฟเพดานเป็นดวงโคมไฟทต่ี ดิ เหนือศีรษะ บรเิ วณฝ้าเพดาน หรอื หอ้ งลงมาจากเพดาน เช่น โคมไฟ หอ้ ยเพดานหรอื ไฟช่อระยา้ ทม่ี รี ูปแบบต่าง ๆ ใหเ้ ลอื กมากมาย ทง้ั ทท่ี าํ จากแกว้ พลาสติก โลหะ หรือเซรามคิ มที งั้ แบบโคมไฟธรรมดา ราคาไม่แพงไปจนถงึ โคมไหแชนเดอเลยี ร์ ทป่ี ระกอบไปดว้ ยหลอดไฟเลก็ ๆ มากมาย สวยงาม ใหแ้ สงสวา่ งและความรอ้ นมาก กินไฟมาก ราคาแพง ไฟตดิ เพดาน มที ง้ั แบบดวงโคมทย่ี ดึ ตดิ กบั ฝ้าเพดาน ประกอบไป ดว้ ยทค่ี รอบ หรอื โป๊ ะทาํ จากแกว้ หรอื พลาสตกิ คลมุ หลอดไฟเพอ่ื ช่วยในการกระจายแสง เช่น โคมไฟโป๊ ะกลมสาํ หรบั หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ หรอื โคมไฟซาลาเปาสาํ หรบั หลอดไส้ เป็นตน้ และแบบทต่ี ดิ ตง้ั โดยเจาะฝ้าเพดานฝงั ซ่อนดวง โคมไวภ้ ายใน ทเ่ี ราเรียกกนั วา่ ไฟดาวนไ์ ลท์ (Down light) ซง่ึ ใหแ้ สงสว่างไดด้ ี สามารถเลอื กใชช้ นิดของหลอดไห ลกั ษณะของแสงท่ีส่องลงมา และทิศทางการส่องของสําแสงไดห้ ลายแบบเป็นไดท้ ง้ั ไฟพ้ืนฐานและไฟสรา้ ง บรรยากาศ 2. ดวงโคมไฟผนงั เป็นชนดิ ทใ่ี ชย้ ดึ ตดิ กบั ผนงั มใี หเ้ลอื กหลากหลายรูปแบบเช่นกนั การกระจายแสงส่วนใหญ่ ข้นึ อยู่กบั ลกั ษณะของโป๊ ะ มที ง้ั แบบใหแ้ สงส่องออกมาตรง ๆ หรอื แบบสะทอ้ นเขา้ ผนงั เพอ่ื สรา้ งบรรยากาศใหก้ บั หอ้ ง เป็นตน้
9 3. ดวงโคมไฟตง้ั พ้นื ตง้ั โตะ๊ เป็นดวงโคมไฟแบบลอยตวั ทช่ี ่วยในการใหแ้ สงสว่างตามจุดต่าง ๆ เป็นพเิ ศษ เช่น ในบรเิ วณทน่ี งั่ อ่านหนงั สอื โตะ๊ ทาํ งาน หรอื โตะ๊ หวั เตยี ง และยงั ใชเ้ป็นของประกอบการตกแต่งในหอ้ งชดุ ร่วมกบั ชดุ เฟอรน์ ิเจอรอ์ ่นื ๆ อีกดว้ ย เช่น ชุดรบั แขก ชุดทานอาหาร เป็นตน้ มรี ูปแบบและวสั ดุใหเ้ ลอื กมากมายหลา ยหลาย ราคา สไตลข์ องโคมไฟ 1. สไตลโ์ มเดริ น์ มกั จะใชว้ สั ดุทด่ี ูทนั สมยั เช่น สเตนเลส, เหลก็ ชุบโครเมย่ี ม, แกว้ , แผ่นอครี-ลคิ เป็นตน้ สาํ หรบั แกว้ ทใ่ี ชม้ กั ถกู เคลอื บสสี นั ใหส้ วยงามตามผูอ้ อกแบบแต่ละท่าน 2. สไตลร์ ่วมสมยั วสั ดุทใ่ี ชห้ ลากหลายมาก ใชไ้ ดเ้ กือบทุกชนิดแต่สง่ิ ทจ่ี ะแตกต่างกบั สไตลโ์ มเดริ น์ ก็คือการ ออกแบบทต่ี อ้ งดูร่วมสมยั เพราะสไตลร์ ่วมสมยั เป็นสไตลท์ ่คี ่อนขา้ งกวา้ งมาก จงึ ทาํ ใหร้ ูปแบบน้ีมคี วามหลากหลาย เช่นกนั 3. สไตลค์ ลาสสคิ แน่นอนเป็นสไตลท์ ผ่ี ูกขาดกบั วสั ดุทห่ี รูหรา เช่น แกว้ คริสตลั , ทองเหลอื ง, เหลก็ อติ าล,ี ส่วน การออกแบบจะเนน้ รูปแบบทม่ี ลี วดลายและรูปทรงทด่ี ูหรูหรา เพอ่ื นนาํ ไปใชก้ บั งานแต่งสไตลค์ ลาสสคิ ประเภทของโคมไฟ 1. โคมไฟแขวนฝ้าเพดาน มลี กั ษณะเป็นดวงโคมทงั้ ดวงเดยี วและหลายดวงมาจดั วางเขา้ ดว้ ยกนั มที งั้ ลกั ษณะ โคมควาํ่ ลงและหงายข้นึ พรอ้ มทม่ี สี ายหอ้ ยทท่ี าํ ดว้ ยเชอื กบา้ ง ลวดสลงิ บา้ ง รวมไปถงึ การใชโ้ ซ่ใน กรณีดวงไฟมขี นาดใหญ่ ใหเ้ลอื กใชต้ ามความเหมาะสมและสไตลท์ ต่ี อ้ งการ แต่การเลอื กใชโ้ คมควาํ่ นนั้ ตอ้ งระวงั เร่อื ง ไฟทอ่ี าจแยงตาได้ ในกรณีทเ่ี ราตอ้ งใชส้ ายตานาน ๆ ในตาํ แหน่งนน้ั 2. โคมไฟตง้ั โตะ๊ ใชส้ าํ หรบั ตงั้ บนโต๊ะขา้ งโซฟาชดุ รบั แขกหรอื โตะ๊ และตูห้ วั เตยี ง หรอื จะเป็นโตะ๊ หรือตูอ้ ่นื ๆท่ี เหมาะสมกบั ลกั ษณะของโคมไฟตง้ั โตะ๊ โดยลกั ษณะของโคมไฟตงั้ โตะ๊ จะเป็นโคมส่องแสงสวา่ งข้นึ ฝ้าเพดานและส่องลง พ้นื 3. โคมไฟตงั้ พ้นื จะคลา้ ยกบั โคมไฟตงั้ โตะ๊ เพยี งแต่มคี วามยาวของขาทย่ี าวกวา่ สาํ หรบั ตงั้ ลงกบั พ้นื ส่วนการ ใหแ้ สงสวา่ งของดวงโคมนน้ั มนี น้ั สอ่ งข้นึ ฝ้าเพดาน และสอ่ งลงพ้นื เช่นเดยี วกบั ดวงไฟตง้ั โตะ๊ 4. ไฟก่งิ ตดิ ผนงั มลี กั ษณะเขาและแป้นยดึ ตดิ กบั ผนงั ส่วนดวงไฟมที ง้ั สอ่ งข้นึ เพดานและส่องสวา่ งทงั้ ดวง 5. โคมไฟฝงั ฝ้าเพดาน เป็นโคมไฟทใ่ี ชส้ าํ หรบั ฝงั อยู่ในฝ้าเพดานทเ่ี ราเรียกกนั ทค่ี ุน้ หูก็คือโคมไฟดาวนไ์ ลท์ มที ง้ั้ เสน้ ผ่าศูนยก์ ลาง 2\" , 4\" , 6\" , 8\" ทงั้ น้ีข้นึ อยู่กบั แบบทบ่ี รษิ ทั ผลติ ออกมาจาํ หน่ายและยงั มชี นิดสเ่ี หลย่ี มจตั รุ สั ดว้ ย 6. โคมไฟฝงั ผนงั ใชส้ าํ หรบั ฝงั ผนงั คลา้ ยๆ กบั ไฟดาวนไ์ ลทส์ ่วนมากแลว้ มกั จะติดตงั้ บริเวณทางเดนิ หรือ บนั ไดทต่ี อ้ งการใหแ้ สงสวา่ งในแนวทางเดนิ โคมไฟชนิดน้ีจะมฝี าครอบเรียบรอ้ ยเพอ่ื ความปลอดภยั เพราะถกู ติดตง้ั อยู่ ตาํ่ 7. โคมไฟฝงั พ้นื คลา้ ยโคมไฟฝงั ผนงั แต่เปลย่ี นมาฝงั ทพ่ี ้นื แทน ส่วนใหญ่มกั ใชต้ ดิ ตงั้ บรเิ วณทางเดนิ เพอ่ื สรา้ ง บรรยากาศเช่นเดยี วกบั ไฟฝงั ผนงั
10 8. โคมไฟส่องภาพ ลกั ษณะจะคลา้ ยไฟก่งิ เพยี งแต่สามารถปรบั องศาของโคมได้ บางรุ่นก็เป็นกา้ นย่นื สามารถ ปรบั ไดอ้ ย่างอสิ ระเพอ่ื งา่ ยต่อการใชง้ าน ประโยชนข์ องโคมไฟ 1. ทาํ ใหม้ แี สงสวา่ งสวยงาม 2. ประดบั ตกแต่งบา้ นใหส้ วยงาม 3. นาํ มาใชป้ ระโยชนไ์ ดใ้ นชวี ติ ประจาํ วนั 4. ประหยดั ค่าใชจ้ ่ายในครวั เรอื น 5. สามารถนาํ มาสรา้ งรายไดใ้ หก้ บั ตนเอง หลอดไฟฟ้ า หลอดไฟ มตี น้ กาํ เนิดมาจากนกั วทิ ยาศาสตรท์ ต่ี อ้ งการประดษิ ฐค์ ิดคน้ สง่ิ ทใ่ี ชใ้ หค้ วามสว่างแทนตะเกียงแกส๊ หลงั จากทาํ การทดลองหลายต่อหลายครง้ั ในทส่ี ุดก็สามารถคน้ พบวธิ ปี ระดษิ ฐห์ ลอดไฟไดจ้ นสาํ เร็จ โดยหลอดไฟแรก ท่สี ามารคิดคน้ ไดเ้ ป็นหลอดไส้ หลงั จากนน้ั หลอดไสจ้ ึงถูกนํามาใชอ้ ย่างแพร่หลายในการใหแ้ สงสว่างทง้ั ภายใน ครวั เรอื นและภายนอกครวั เรอื น แต่ทวา่ นกั วทิ ยาศาสตรย์ งั พบขอ้ บกพร่องหรอื ปญั หาในการใชง้ านของหลอดไสอ้ ยู่มาก เช่น เร่อื งของระยะเวลาการใชง้ านท่สี นั้ หรือไสห้ ลอดไฟขาดงา่ ย เป็นตน้ หลงั จากทเ่ี หน็ ถงึ ปญั หาทมี นกั วทิ ยาศาสตร์ หรอื ทมี ผูค้ ิดคน้ ก็ไดม้ กี ารคดิ พฒั นาหลอดไฟใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพในการใชง้ านทด่ี ยี ง่ิ ข้นึ เรอ่ื ยมา หากพดู ถงึ ประโยชนข์ องหลอดไฟ นอกจากแสงสวา่ งทช่ี ่วยในเร่อื งของการมองเหน็ แลว้ ยงั ช่วยทาํ ใหเ้กิดความ ปลอดภยั ในการเดนิ ทางจากแสงสวา่ งของหลอดไฟอกี ดว้ ย หลอดไฟจงึ กลายเป็นสง่ิ สาํ คญั ทท่ี าํ ใหก้ ารดาํ รงชีวติ มคี วาม สะดวกสบายยง่ิ ข้นึ ในช่วงระยะเวลาทผ่ี ่านมาหลอดไฟไดถ้ กู พฒั นาใหม้ รี ูปแบบทห่ี ลากหลายมากข้นึ ซง่ึ แต่ละแบบถกู ออกแบบมาเพอ่ื การปรบั ใชอ้ ย่างเหมาะสมกบั การใชง้ านเพอ่ื ใหเ้ กิดประสทิ ธิภาพอย่างสูงสุด หลอดไฟท่ถี ูกพฒั นามี หลากหลายแบบ หลอดไสร้ อ้ นแบบธรรมดา หรือ หลอดความรอ้ น หรือ หลอดไส้ (องั กฤษ: incandescent light bulb, incandescent lamp หรือ incandescent light globe) ใหแ้ สงสวา่ งโดยการใหค้ วามรอ้ นแก่ไสห้ ลอดทเ่ี ป็นลวด โลหะกระทงั่ มอี ณุ หภูมสิ ูงและเปลง่ แสง หลอดแกว้ ทเ่ี ตมิ แกส๊ เฉ่ือยหรือเป็นสุญญากาศป้องไม่ใหไ้ สห้ ลอดทร่ี อ้ นสมั ผสั อากาศ ในหลอดฮาโลเจน กระบวนการทางเคมคี ืนใหโ้ ลหะเป็นไสห้ ลอด ซง่ึ ขยายอายุการใชง้ าน หลอดไฟฟ้าน้ีไดร้ บั กระแสไฟฟ้าจากเทอรม์ นิ อลต่อสายไฟ (feed-through terminal) หรอื ลวดทฝ่ี งั ในแกว้ หลอดไฟฟ้าส่วนใหญ่ใชใ้ น เตา้ รบั ซง่ึ สนบั สนุนหลอดไฟฟ้าทางกลไกและเช่อื มกระแสไฟฟ้าเขา้ กบั เทอรม์ นิ ลั ไฟฟ้าของหลอด หลอดไสร้ อ้ นแบบธรรมดาผลติ ออกมาหลายขนาด กาํ ลงั ส่องสว่าง และอตั ราทนความต่างศกั ย์ ตง้ั แต่ 1.5 โวลตถ์ งึ ราว 300 โวลต์ หลอดประเภทน้ีไม่ตอ้ งอาศยั อุปกรณ์ควบคุมภายนอก มคี ่าบาํ รุงรกั ษาตาํ่ และทาํ งานไดด้ ี เทา่ กนั ทง้ั ไฟฟ้ากระแสสลบั หรอื กระแสตรง ดว้ ยเหตุน้ี หลอดไสร้ อ้ นแบบธรรมดาจงึ ใชก้ นั อย่างกวา้ งขวางในครวั เรอื น และไฟฟ้าใชใ้ นเชิงพาณิชย์ ตลอดจนไฟฟ้าแบบพกพา อย่างเช่น ไฟตง้ั โต๊ะ ไฟหนา้ รถยนต์ และไฟฉาย และไฟฟ้ า สาํ หรบั ตกแต่งและโฆษณา บา้ งใชป้ ระโยชนจ์ ากใชค้ วามรอ้ นทเ่ี กิดข้นึ จากไสห้ ลอดของหลอดไสร้ อ้ นแบบธรรมดา อาทิ เคร่ืองฟักไข่ กล่องฟกั ไข่สาํ หรบั สตั วป์ ีก ไฟความรอ้ นสาํ หรบั สวนจาํ ลองสภาพแวดลอ้ ม (vivarium) ของ
11 สตั วเ์ ล้อื ยคลาน การใหค้ วามรอ้ นอินฟราเรดในกระบวนการใหค้ วามร้อนและอบแหง้ ในอุตสาหกรรม ความรอ้ น ส่วนเกินน้เี พม่ิ พลงั งานทต่ี อ้ งใชใ้ นระบบปรบั อากาศของอาคาร หลอดไฟฟ้าแบบอน่ื ค่อย ๆ แทนทก่ี ารใชง้ านของหลอดไสร้ อ้ นแบบธรรมดาหลายดา้ น อาทิ หลอดฟลูออเรส เซนต,์ หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ (หลอดตะเกยี บ), หลอดฟลูออเรสเซนตแ์ คโทดเย็น, หลอดอดั กา๊ ซความดนั สูง และไดโอดเปลง่ แสง เทคโนโลยที ใ่ี หม่กว่าเหลา่ น้ีพฒั นาอตั ราส่วนแสงทม่ี องเหน็ ไดต้ ่อการผลติ ความรอ้ น เขตอาํ นาจ บางแห่ง เช่น สหภาพยุโรป อยู่ในระหว่างกระบวนการเลกิ ใชห้ ลอดไสร้ อ้ นแบบธรรมดาและหนั ไปใชห้ ลอดไฟท่มี ี ประสทิ ธภิ าพดา้ นพลงั งานมากกวา่ ในการตอบคาํ ถามว่าใครเป็นผูป้ ระดษิ ฐห์ ลอดไส้ นกั ประวตั ศิ าสตรโ์ รเบริ ต์ ฟรีเดล และพอล อสิ ราเอล ทาํ รายการนกั ประดษิ ฐห์ ลอดไส้ 22 คน ก่อนโจเซฟ สวอน และโทมสั เอดสิ นั พวกเขาสรปุ วา่ ร่นุ ของเอดสิ นั นนั้ ลาํ้ หนา้ กวา่ ของคนอน่ื เพราะองคป์ ระกอบสามปจั จยั ไดแ้ ก่ (1) วสั ดเุ ปลง่ แสงทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ, (2) สญุ ญากาศทส่ี ูงกวา่ ทค่ี นอน่ื ๆ สามารถทาํ สาํ เร็จ และ (3) ความตา้ นทานไฟฟ้ าท่สี ูงซ่ึงทาํ ใหก้ ารแจกจ่ายพลงั งานจากแหล่งกลางทาํ งานไดอ้ ย่าง ประหยดั ค.ศ. 1802 ฮมั ฟรี เดวี ไดป้ ระดษิ ฐส์ ง่ิ ทใ่ี นขณะนน้ั เป็นแบตเตอรีไฟฟ้าทท่ี รงพลงั ทส่ี ุดในโลกทร่ี าชสมาคมแห่ งบริเตนใหญ่ ซ่งึ เขาสรา้ งหลอดไสโ้ ดยส่งกระแสไฟฟ้ าผ่านแพลทินมั แถบบาง ซ่งึ โลหะชนิดน้ีถูกเลอื กเพราะมีจุด หลอมเหลวสูงอย่างยง่ิ แต่หลอดไสน้ ้ไี ม่สวา่ งพอหรอื ทาํ งานไดน้ านพอทจ่ี ะนาํ ไปใชไ้ ดจ้ รงิ แต่ก็มมี าก่อนเบ้อื งหลงั ความ พยายามการทดลองนบั ครง้ั ไม่ถว้ นอกี 75 ปีต่อมา โจเซฟ สวอนและโทมสั เอดสิ นั นนั้ เป็นบคุ คลแรก ๆ ทท่ี าํ หลอดไสเ้ป็นธุรกิจ โดยโทมสั เอดสิ นั เร่มิ การวจิ ยั อย่างจริงจงั ในการพฒั นาหลอดไสท้ ใ่ี ชก้ ารไดใ้ น ค.ศ. 1878 เอดสิ นั จดสทิ ธิบตั รส่งิ ประดิษฐส์ าํ หรบั \"การปรบั ปรุง หลอดไฟฟ้า\" เมอ่ื วนั ท่ี 14 ตลุ าคม ค.ศ. 1878 หลงั จากทดลองหลายครง้ั ดว้ ยไสห้ ลอดทท่ี าํ จากแพลทนิ มั และโลหะอน่ื เอดิสนั ไดห้ นั กลบั ไปใชไ้ สค้ าร์บอน การทดลองท่ีประสบความสาํ เร็จครงั้ แรกเกิดข้นึ เม่ือวนั ท่ี 22 ตุลาคม ค.ศ. 1879 และใชง้ านได้ 13.5 ชวั่ โมง เอดสิ นั ยงั คงพฒั นาสง่ิ ประดษิ ฐด์ งั กลา่ ว และจนถงึ วนั ท่ี 4 พฤศจกิ ายน ค.ศ. 1879 จดสทิ ธิบตั รในสหรฐั อเมริกาสาํ หรบั หลอดไฟฟ้าทใ่ี ช้ \"ไสค้ ารบ์ อนหรือแถบขดและเช่อื ม ... กบั สายส่งแพลตนิ า\" แม้ สทิ ธบิ ตั รนนั้ จะอธบิ ายหลายหนทางในการสรา้ งไสค้ ารบ์ อนรวมทง้ั \"เสน้ ใยฝ้ายและลนิ นิ เศษไม้ กระดาษทข่ี ดในหลาย วธิ \"ี แต่กระทงั่ อกี หลายเดอื นต่อมาหลงั ไดร้ บั สทิ ธบิ ตั รนนั้ แลว้ เอดสิ นั และทมี ของเขาจงึ คน้ พบวา่ ไสไ้ มไ้ ผ่ทเ่ี ปลย่ี นเป็น คารบ์ อนสามารถใชง้ านไดน้ านเกิน 1,200 ชวั่ โมง หลอดแฮโลเจน หรอื รูจ้ กั กนั ในชอ่ื หลอดแฮโลเจนทงั สเตน เป็นหลอดไสท้ ม่ี ไี สห้ ลอดเป็นทงั สเตน ซง่ึ บรรจุใน แกส๊ เฉ่ือยและแฮโลเจนปรมิ าณนอ้ ย เช่น ไอโอดนี หรอื โบรมนี วฏั จกั รแฮโลเจนเคมนี าํ ทงั สเตนทร่ี ะเหยไปกลบั มาเป็น ไสห้ ลอดอกี ครง้ั ซง่ึ ขยายอายุการใชง้ านของหลอด ดว้ ยเหตนุ ้ี หลอดแฮโลเจนจึงสามารถใชง้ านไดท้ อ่ี ุณหภูมสิ ูงกว่า หลอดเตมิ แกส๊ มาตรฐานทม่ี กี าํ ลงั และอายุการใชง้ านเท่ากนั หลอดแฮโลเจนจงึ มปี ระสทิ ธศิ กั ยค์ วามสวา่ งสูงกวา่ (10-30 ลูเมน/วตั ต)์ หลอดน้ใี หแ้ สงทม่ี อี ณุ หภูมสิ สี ูงกวา่ และดว้ ยขนาดทเ่ี ลก็ กว่า หลอดแฮโลเจนใชง้ านไดเ้ ต็มทก่ี บั ระบบของ แสงซง่ึ มปี ระสทิ ธภิ าพมากกวา่ ในแงข่ องวธิ ที ห่ี ลอดทอดแสงทป่ี ลดปลอ่ ยออกมา
12 หลอดฟลูออเรสเซนต,์ หลอดเรืองแสง, หลอดวาวแสง ( fluorescent tube) หรือทเ่ี รียกกนั ติดปากว่าหลอด นีออน เป็นหลอดไฟฟ้าระบบปลอ่ ยประจุ ทบ่ี รรจไุ อปรอทความดนั ตาํ่ ไว้ เมอ่ื กระแสไฟฟ้าไหลผ่านหลอด จะกระตนุ้ ใหอ้ นุภาคปรอทปล่อยรงั สเี หนือม่วงออกมา เมอ่ื รงั สนี ้ีกระทบกบั สารเรอื งแสงทฉ่ี าบไวด้ า้ นในตวั หลอด สารเรอื งแสงจะเปลง่ แสงสวา่ งทม่ี องเหน็ ไดอ้ อกมา และเน่ืองจากไม่ไดเ้ ปลง่ แสง โดยอาศยั ความรอ้ น จงึ มปี ระสทิ ธภิ าพในการใชพ้ ลงั งานมากกวา่ หลอดไฟไส้ การใชง้ านปกติจะติดตงั้ คู่กบั บลั ลาสตแ์ ละสตารท์ เตอร์ เน่ืองจากหลอดฟลูออเรสเซนตจ์ ะตอ้ งมกี ารอุ่นใหไ้ สห้ ลอด รอ้ น และใชแ้ รงดนั ไฟฟ้าสูงในการจดุ หลอดใหต้ ดิ ในตอนแรก แบลก็ ไลต์ ( black light) เป็นหลอดทเ่ี ปลง่ รงั สยี ูวคี ลน่ื ยาว มสี มี ่วงดาํ ใชต้ รวจเอกสารสาํ คญั เช่น ธนบตั ร, หนงั สอื เดนิ ทาง, บตั รเครดติ ฯลฯ ว่าเป็นของจริงหรอื ปลอม หลายประเทศไดผ้ ลติ ลายนาํ้ ทไ่ี ม่สามารถมองเหน็ ไดใ้ น รงั สชี นิดน้ี นอกจากน้ี แบลก็ ไลตย์ งั สามารถใชล้ อ่ แมลงใหม้ าตดิ กบั เพอ่ื ทจ่ี ะกาํ จดั ภายหลงั ได้ หลอดนีออน ( neon lamp) เป็นหลอดไฟระบบปลอ่ ยประจุขนาดเลก็ ประกอบดว้ ยหลอดแกว้ บรรจุกา๊ ซ นีออนความดนั ตาํ่ ไวภ้ ายใน และมขี วั้ ไฟฟ้าสองขวั้ อยู่ชดิ กนั ในหลอด เมอ่ื จ่ายไฟฟ้าแรงดนั สูงทข่ี วั้ แรงดนั จะกระตนุ้ ใหก้ า๊ ซนีออนแตกตวั เป็นไอออนสถานะพลาสมา นาํ กระแสขา้ ม จากขว้ั หน่งึ ไปยงั อกี ขวั้ หน่งึ และเปลง่ แสงสสี ม้ แดงออกมาหลอดนีออนขนาดเลก็ ส่วนใหญ่จะใชแ้ สดงผลในวงจรไฟฟ้า โดยเฉพาะระบบทใ่ี ชไ้ ฟบา้ นเช่น การแสดงสถานะของสวติ ช์ เน่ืองจากหลอดนีออนขนาดเลก็ จะเร่มิ ติดสวา่ งทแ่ี รงดนั 90-120โวลต์ และใชก้ ระแสนอ้ ย (ทป่ี ระมาณ 400 ไมโครแอมแปร)์ ไดโอดเปลง่ แสง (light-emitting diode หรือย่อวา่ LED) เป็นอุปกรณ์สารก่ึงตวั นาํ อย่างหน่ึง จดั อยู่ใน จาํ พวกไดโอด ทส่ี ามารถเปลง่ แสงในช่วงสเปกตรมั แคบ เมอ่ื ถกู ไบอสั ทางไฟฟ้าในทศิ ทางไปขา้ งหนา้ ปรากฏการณ์น้ีอยู่ ในรูปของ electroluminescence สขี องแสงทเ่ี ปลง่ ออกมานนั้ ข้นึ อยู่กบั องคป์ ระกอบทางเคมขี องวสั ดุก่ึงตวั นาํ ทใ่ี ช้ และเปลง่ แสงไดใ้ กลช้ ่วงอลั ตราไวโอเลต ช่วงแสงทม่ี องเหน็ และช่วงอนิ ฟราเรด ผูพ้ ฒั นาไดโอดเปลง่ แสงข้นึ เป็นคน แรก คือ นิก โฮโลยกั (Nick Holonyak Jr.) (เกิด ค.ศ. 1928) แห่งบริษทั เจเนรลั อเิ ลก็ ทริก (General Electric Company) โดยไดพ้ ฒั นาไดโอดเปล่งแสงในช่วงแสงท่มี องเห็น และสามารถใชง้ านไดใ้ นเชิงปฏบิ ตั ิเป็นครง้ั แรก เมอ่ื ค.ศ. 1962 สายไฟฟ้ า สายไฟฟ้าเป็นสอ่ื นาํ หรอื ตวั นาํ กาํ ลงั ไฟฟ้าจากแหลง่ จ่ายไปยงั จดุ ทใ่ี ชไ้ ฟฟ้า ลกั ษณะทส่ี าํ คญั ของสายไฟฟ้าจะดู จากประสทิ ธภิ าพของสายไฟทย่ี อมใหก้ ระแสไฟไหลไดส้ ูงสดุ โดยไม่เป็นอนั ตรายต่อสายไฟฟ้า แรงเคลอ่ื นไฟฟ้าทนได้ ขณะใชง้ าน ค่าแรงดนั ไฟฟ้าตกในสาย เป็นตน้ วสั ดุทใ่ี ชท้ าํ ตวั นาํ ไฟฟ้าในปจั จบุ นั คอื สายทองแดงและสายอลูมเิ นยี ม สายไฟฟ้ามหี นา้ ทส่ี าํ หรบั นาํ พลงั งานไฟฟ้า จากแหลง่ จ่ายไฟไปยงั บรภิ ณั ฑไ์ ฟฟ้าต่างๆ ในปจั จบุ นั ไดม้ ผี ูผ้ ลติ สายไฟฟ้ ามากมายหลายชนิด ตามความตอ้ งการสาํ หรบั การติดตง้ั สายไฟฟ้ าในรูปแบบต่างๆ ดงั นน้ั การเลอื กใช้ สายไฟฟ้า เพอ่ื ใหม้ ี ความเหมาะสมปลอดภยั ประหยดั และเช่อื ถอื ได้ จะตอ้ งพจิ ารณาถงึ ปจั จยั หลายประการดว้ ยกนั ไดแ้ ก่ ความเหมาะสม กบั สภาพแวดลอ้ มทต่ี ดิ ตง้ั ความสามารถในการนาํ กระแสของตวั นาํ ขนาดแรงดนั ตกทเ่ี กิดข้นึ ความสามารถในการทนต่อความรอ้ นทเ่ี กดิ ข้นึ ทงั้ ในขณะใชง้ านปกตแิ ละขณะเกดิ การลดั วงจร
13 ความตา้ นทานของสายไฟฟ้า จะมคี ่ามากหรอื นอ้ ยข้นึ อยู่กบั องคป์ ระกอบดงั ต่อไปน้ี ก. พ้นื ทห่ี นา้ ตดั ของสายไฟฟ้า สายไฟฟ้าท่มี พี ้นื ทห่ี นา้ ตดั ของตวั นาํ ใหญ่จะมคี ่าความตา้ นทานของสายไฟฟ้า นอ้ ยกวา่ สายไฟฟ้าทม่ี พี ้นื ทห่ี นา้ ตดั ของตวั นาํ เลก็ ข.ความยาวของสายสายไฟฟ้า สายไฟฟ้าทม่ี คี วามยาวยง่ิ มาก ความตา้ นทานของสายไฟก็จะมากข้นึ ตาม ค. อณุ หภมู ขิ องสายไฟฟ้า เมอ่ื อณุ หภูมสิ ายไฟฟ้าสูงข้นึ ความตา้ นทานของสายไฟฟ้าก็จะเพม่ิ ข้นึ ง. ความตา้ นทานของสายไฟฟ้ า ความตา้ นของสายไฟฟ้ าข้นึ อยู่กบั ชนิดของวสั ดุท่ีใชท้ าํ สายไฟฟ้ า เม่ือ สายไฟฟ้ามคี ่าความตา้ นทานมากจะทาํ ใหแ้ รงเคลอ่ื นไฟฟ้าตกในสายไฟมาก ซง่ึ จะมผี ลใหแ้ รงเคลอ่ื นทต่ี กคร่อมโหลด หรอื ภาระทาํ งานไดไ้ มเ่ ตม็ พกิ ดั ประสทิ ธภิ าพในการทาํ งานของสายไฟฟ้าก็จะลดลงดว้ ย ชนิดและการใชง้ านของสายไฟฟ้ า 1. แบง่ ตามลกั ษณะการทาํ งานได้ 2 แบบ 1.1 สายแขง็ (SOLID WIRE) 1.2 สายอ่อน (STRANDED WIRE) 2. แบง่ ตามชนิดของวสั ดตุ วั นาํ 2 ชนิด 2.1 สายทองแดงมคี วามบรสิ ทุ ธ์ขิ องทองแดง 98% 2.2 สายอลูมเิ นยี มมคี วามบรสิ ทุ ธ์ขิ องอลูมเิ นียม 99.3% 3. แบ่งตามลกั ษณะการใชง้ าน 3.1 สายเปลอื ก (BARE WIRE) 3.2 สายหมุ้ ฉนวน (INSULATED WIRE) 4. แบ่งตามพกิ ดั แรงดนั สายไฟฟ้า มี 2 ประเภท 4.1 สายไฟฟ้าแรงดนั สูง 4.2 สายไฟฟ้าแรงดนั ตาํ่ สว่ นประกอบของสายไฟฟ้ า สายไฟฟ้าประกอบดว้ ยสว่ นประกอบทส่ี าํ คญั 3 สว่ นไดแ้ ก่ ตวั นาํ ฉนวน และเปลอื ก 1. ตวั นาํ (Conductor) ตวั นาํ ของสายไฟฟ้าทาํ มาจากโลหะทม่ี คี วามนาํ ไฟฟ้าสูง อาจจะอยู่ในรูปของตวั นาํ เดย่ี ว (Solid) หรือตวั นาํ ตี เกลยี ว (Strand) ซ่งึ ประกอบไปดว้ ยตวั นาํ เลก็ ๆ ตีเขา้ ดว้ ยกนั เป็นเกลยี วซ่งึ มขี อ้ ดีคือ การนาํ กระแสต่อพ้นื ท่ขี อง สายไฟฟ้าสูงข้นึ เน่ืองจาก ผลของ Skin Effect ลดลง และการเดนิ สายทาํ ไดง้ า่ ย เพราะมคึ วามอ่อนตวั กว่า โลหะท่ี นิยมใชเ้ ป็นตวั นาํ ใชผ้ ลติ สายไฟฟ้าไดแ้ ก่ ทองแดง อลูมเิ นียม โดยโลหะทงั้ สองชนิดมขี อ้ ดีขอ้ เสยี ต่างกนั ไปตามแต่ ลกั ษณะของงาน ทองแดง ทองแดงเป็นโลหะทม่ี คี วามนาํ ไฟฟ้าสูงมาก มคี วามแขง็ แรง เหนียว ทนต่อการกดั กร่อนไดด้ ี แต่มี ขอ้ เสยี อยู่คือ มนี าํ้ หนกั มากและราคาสายไฟฟ้าสูง จงึ ไม่เหมาะสาํ หรบั งานดา้ นไฟแรงดนั สูง แต่จะเหมาะกบั การใชง้ าน สายไฟฟ้าโดยทวั่ ไป โดยเฉพาะสายไฟฟ้าในอาคาร
14 อลูมิเนียม เป็นโลหะท่มี คี วามนาํ ไฟฟ้าสูงรองจากทองแดง แต่เมอ่ื เปรียบเทยี บในกรณีกระแสเท่ากนั แล ว้ พบว่า สายไฟฟ้าอลูมเิ นียมจะมนี าํ้ หนกั เบาและราคาสายไฟฟ้าถูกกว่าราคาสายไฟฟ้าทองแดง จงึ เหมาะกบั งานเดิน สายไฟนอกอาคารและแรงดนั สูงถา้ ท้งิ อลูมเิ นียมไวใ้ นอากาศจะเกิดออกไซดข์ องอลูมเิ นียม ซง่ึ มคี ุณสมบตั ิเป็นฉนวน ฟิลม์ บางๆ เกาะตามผวิ ช่วยป้องกนั การสกึ กร่อน แต่จะมขี อ้ เสยี คอื ทาํ ใหก้ ารเชอ่ื มต่อทาํ ไดย้ าก สภาพตา้ นทานไฟฟ้ า (องั กฤษ : eletrical resistivity) คือปริมาณการวดั ของการต่อตา้ นการไฟลของ กระแสไฟฟ้าในวสั ดุ ค่าสภาพตา้ นทานไฟฟ้าบ่งช้วี า่ วสั ดุยนิ ยอมใหป้ ระจไุ ฟฟ้าเคลอ่ื นทไ่ี ดง้ า่ ย หน่วยในระบบหน่วยวดั ระหวา่ งประเทศของสภาพตา้ นทานไฟฟ้าคือ โอหม์ เมตร (Ωm) ซง่ึ จะแสดงในรูปอกั ษรกรกี ตวั ρ (โร) ค่าตา้ นทานไฟฟ้าของโลหะ (ท่ี 20°C) 1) เงนิ -Sliver = 1.59× 10-8 Ωm 2) ทองแดง-Copper = 1.68× 10-8 Ωm 3) ทองคาํ -Gold = 2.44× 10-8 Ωm 4) อลูมเิ นยี ม-Aluminium = 2.82× 10-8 Ωm โลหะทน่ี าํ กระแสไฟฟ้าไดด้ ที ส่ี ุดเรยี งลาํ ดบั จากมากไปหานอ้ ย 4 อนั ดบั แรก คอื เงนิ – ทองแดง – ทอง – อลูมเิ นียม โลหะทร่ี าคาแพงเรยี งลาํ ดบั จากมากไปหานอ้ ย 4 อนั ดบั แรก คอื ทอง – เงนิ – ทองแดง – อลูมเิ นียม 2. ฉนวน (Insulation) ฉนวนของสายไฟฟ้าทาํ หนา้ ทห่ี อ่ หมุ้ ตวั นาํ เพอ่ื ป้องกนั การสมั ผสั กนั โดยตรงระหวา่ งตวั นาํ หรอื ระหวา่ งตวั นาํ กบั ส่วนท่ตี ่อลงดิน และป้ องกนั ตวั นําจากผลกระทบทางกลและเคมีต่างๆ ในระหว่างท่ตี วั นํา นาํ กระแสไฟฟ้ าจะเกิด พลงั งานสูญเสยี ในรูปของความรอ้ น ความรอ้ นทเ่ี กิดข้นึ จะถ่ายเทไปยงั เน้ือฉนวน ความสามารถในการทนต่อความ รอ้ นของฉนวนจะเป็น ตวั กาํ หนดความสามารถในการทนความรอ้ นของสายไฟฟ้านนั่ เอง การเลอื กใชช้ นดิ ของฉนวนจะ ข้นึ อยู่กบั อณุ หภูมใิ ชง้ าน ระดบั แรงดนั ของระบบ และสภาพแวดลอ้ มในการติดตง้ั วสั ดุทน่ี ิยมใชเ้ ป็นฉนวนสายไฟฟ้า มากทสี ุด คือ Polyvinly Chloride (PVC) และ Cross linked Polyethylene (XLPE ) ฉนวน XLPE มคี วาม แขง็ แรง ทนต่อความรอ้ นและถา่ ยเทความรอ้ นไดด้ กี วา่ ฉนวน PVC ปจั จบุ นั จงึ มกี ารใชฉ้ นวน XLPE เพม่ิ มากข้นึ PVC อณุ หภูมใิ ชง้ าน 70°C และ 90°C XLPE อณุ หภูมใิ ชง้ าน 90°C 3. เปลอื ก (Sheath) เปลอื กทาํ หนา้ ท่หี ุม้ แกนหรือหุม้ สายไฟฟ้าชนั้ นอกสุด เปลอื กของสายไฟฟ้าอาจจะมี 1 หรือ 2 ชนั้ ก็ไดเ้ พ่อื ป้องกนั ความเสยี หายทางกายภาพทอ่ี าจเกิดข้นึ ในขณะตดิ ตง้ั หรอื ใชง้ าน การเลอื กใชช้ นดิ ของเปลอื กสายไฟฟ้าจะข้นึ อยู่ กบั สภาพแวดลอ้ มในการตดิ ตงั้ วสั ดุ ทน่ี ิยมทาํ เป็นเปลอื กสายไฟฟ้ามากทส่ี ุด คือ Polyvinly Chloride (PVC) และ Polyethylene (PE) ส่วนกรณีสายไฟฟ้าทต่ี อ้ งการคุณสมบตั ิ พเิ ศษก็อาจใชว้ สั ดุ เช่น Flame Retardant Polyvinyl Chloride (FR-PVC) หรอื Low Smoke Halogen Free (LSHF) ก็ได้
15 สายไฟฟ้าทห่ี ่อหุม้ ภายนอกดว้ ยดา้ ยถกั ไดแ้ ก่ สายไฟฟ้าท่ีห่อหมุ้ ดว้ ยยาง แต่ภายนอกจะถกั ดา้ ยห่อหุม้ อีก ชน้ั หน่งึ ใชก้ บั เตารดี และเคร่อื งใหค้ วามรอ้ น สายหมุ้ ยาง เป็นสายไฟฟ้าทห่ี มุ้ ดว้ ยยางทม่ี ที งั้ แบบธรรมดาและแบบนทนความรอ้ น สายไฟฟ้าแบบน้ีจะเป่ือย และเสอ่ื มคณุ ภาพเรว็ ปจั จบุ นั ไม่ค่อยนยิ มใชง้ าน สายไฟฟ้าหมุ้ PVC ชนดิ น้มี คี วามทนทานต่อดนิ ฟ้า อากาศ ไมต่ ดิ ไฟ ทนความรอ้ น แขง็ เหนียว ไม่เป่ือยงา่ ย นิยมใชง้ านมากทส่ี ดุ สายไฟฟ้าหมุ้ พลาสตกิ ธรรมดา เป็นสายอ่อนเสน้ เลก็ ภายในมหี ลายเสน้ เป็นสายไฟทไ่ี ม่ถาวร ตดิ ไฟไดง้ า่ ย สายไฟฟ้าเดย่ี ว เป็นสายไฟฟ้า 1 เสน้ มี 1 แกน ใชเ้ดนิ ทง้ั ภายในและภายนอกอาคาร สายไฟฟ้าชนดิ น้ี ถา้ เดนิ ในอาคารนยิ มใชร้ อ้ ยในท่อแลว้ ยดึ ท่อติดกบั ผนงั หรอื ฝงั ท่อในเสาหรอื พ้นื บางครง้ั ก็นาํ มาใชเ้ ดนิ ภายนอกอาคาร การ เดนิ สายไฟฟ้าเด่ยี วน้ีไม่นิยมเดนิ ตคี ลปิ (ตีกิบ๊ ) แต่จะเดนิ ในท่อหรอื วางรางเหลก็ เสมอ หรือยดึ ติดกบั ผนงั โดยใช้ กบั ยดึ เป็นช่วงๆ สายไฟฟ้าคู่ เป็นสายไฟฟ้าทใ่ี ชเ้ ดินในอาคาร เป็นสายไฟฟ้ าชนิด 1 เสน้ มี 2 แกน หรืออาจทาํ พเิ ศษใหม้ ี 3 แกน โดยมสี ายดนิ อกี 1 แกน สายไฟฟ้าเคเบ้ลิ ใตด้ นิ เป็นสายไฟฟ้าชนิดทม่ี ฉี นวน PVC หมุ้ ลวดทองแดงอยู่แลว้ ยงั มีฉนวนหมุ้ ภายนอกอกี ชน้ั หน่งึ สายไฟฟ้าเคลอื บนาํ้ ยาหรอื สายอนี าเมล เป็นสายเปลอื กทเ่ี คลอื บนาํ้ ยาเคมี ใชง้ านกนั มากในงานพนั ขดลวด ไดนาโม มอเตอร์ หมอ้ แปลง ฯลฯ สายไฟฟ้าทม่ี เี ปลอื กโลหะหมุ้ นิยมใชฝ้ งั เขา้ กบั ผนงั ตกึ สายไฟฟ้าชนิดน้มี รี าคาแพง สายไฟฟ้าอลูมเิ นียมหมุ้ ดว้ ยฉนวน PVC สายไฟฟ้าชนิดน้จี ะมตี วั นาํ เป็นอลูมเิ นียมแบบตเี กลยี วไมอ่ ดั แน่นหรอื แบบตเี กลยี วอดั แน่น และหมุ้ ดว้ ยฉนวน PVC โดยอาจจะเป็น PVC ธรรมดา หรอื เป็นแบบ Heat Resistant PVC ก็ได้ สามารถใชไ้ ดก้ บั แรงดนั ไม่เกนิ 750V. สายไฟฟ้าชนิดน้จี ะเป็นไปตามมาตรฐาน มอก. 293-2541 สายไฟฟ้าอลูมเิ นยี มหมุ้ ดว้ ยฉนวน PVC สามารถใชง้ านในระบบจาํ หน่ายแรงตาํ่ เดนิ ภายนอก อาคาร เป็นสายประธาน ( Main ) หรอื สายป้อน ( Feeder ) โดยจะใชเ้ ดนิ ในอากาศเหนือพ้นื ดนิ ทางการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วน ภูมภิ าค ใชส้ ายชนิดน้ีเป็นาสายประธานแรงตาํ่ เดนิ มาจากหมอ้ แปลงจาํ หน่าย ( Distribution Transformers) พาด บนลูกถว้ ยตามเสาไฟฟ้าหรอื หรอื ใตช้ ายคาบา้ นหรอื ตกึ แถว เพอ่ื จ่ายไฟฟ้าใหก้ บั ผูใ้ ช้ สายชนิดน้ีมรี าคาถูกและรบั แรง ดงึ ไดพ้ อควร สายไฟฟ้าทองแดงหมุ้ ดว้ ยฉนวน PVC เน่อื งจากทองแดง มคี ณุ สมบตั ขิ อ้ ดที เ่ี หนือกวา่ อลูมเิ นียมหลายประการดว้ ยกนั ไม่ว่าจะเป็นโลหะทม่ี คี วามนาํ ไฟฟ้าสูงกว่า การตดั ต่อก็ทาํ ไดง้ า่ ยกว่า จงึ นิยมใชส้ ายไฟฟ้าชนิดน้ีกนั มาก สายไฟฟ้าทองแดงหมุ้ ดว้ ยฉนวน PVC มี มากมายหลายชนิดแต่ละชนิดก็เหมาะกบั งานแต่ละแบบ ทาํ ใหส้ ามารถใชส้ ายไฟฟ้าชนิดน้ีกบั งานไดก้ วา้ งขวาง ตง้ั แต่
16 เป็นสายเช่อื มวงจรเลก็ ๆ จนกระทงั่ สายประธานหรอื สายป้อน ในทน่ี ้ีจงึ จะขอกลา่ วถงึ สายไฟฟ้า ตาม มอก. 11-2553 โดยจะกลา่ วถงึ สายไฟฟ้าทใ่ี ชง้ านในการเดนิ สายถาวรทใ่ี ชก้ นั โดยทวั่ ๆไป สายไฟฟ้าทองแดงหมุ้ ดว้ ยฉนวน XLPE สายไฟฟ้าชนิดน้ี ทาํ ตามมาตรฐาน มอก.2143-2546 (IEC 60502-1) มฉี นวน และเปลอื ก แรงดนั ไฟฟ้าท่ี กาํ หนด 0.6/1 kV มจี าํ นวนแกน 1-4 แกน เน่ืองจาก ฉนวน XLPE สามารถทนความรอ้ นได้ 90 °C จงึ นาํ กระแสได้ สูงกวา่ สายหมุ้ ฉนวน PVC มกั นยิ มใชเ้ป็นสาย Feeder, Main การใชง้ าน ใชง้ านทวั่ ไป รอ้ ยทอ่ ฝงั ดนิ หรอื ฝงั ดนิ โดยตรง เดนิ บน Cable Trays การติดตง้ั ในอาคารตอ้ งเดินในท่ปี ิดมดิ ชิดยกเวน้ เปลอื กนอกของสายมคี ุณสมบตั ิตา้ นทานการลุกไหม้ (Flame retardant) TEC 690332-3 Category C ตอ้ งคาํ นึงถงึ พกิ ดั กระแส และ อณุ หภูมขิ องอุปกรณ์ทจ่ี ะนาํ ไปใชป้ ระกอบ ร่วมกบั สายใหม้ คี วามสมั พนั ธก์ นั ดว้ ย พลาสตกิ ประวตั ิการทาพลาสตกิ มนุษยร์ ูจ้ กั ใชป้ ระโยชนจ์ ากปฏกิ ิรยิ าเคมี และทาํ พลาสตกิ ข้นึ มาใชเ้ป็นครงั้ แรก เมอ่ื ค.ศ. ๑๘๖๘ โดย จอหน์ เวสลยี ์ ไฮแอท (John wesley Hyatt) นกั วทิ ยาศาสตรช์ าวอเมรกิ นั ไดท้ าํ การทดลองผลติ วสั ดุชนิดหน่ึงจากปฏกิ ิรยิ า ของเซลลูโลสไนเทรตกบั การบูร ผลติ ภณั ฑด์ งั กลา่ วสามารถทาํ เป็นแผ่นแบนบาง มคี วามใสคลา้ ยกระจกแต่มว้ นหรอื งอ ได้ และไดเ้รยี กช่อื ตามวตั ถดุ บิ ทใ่ี ชว้ า่ “เซลลูโลสไนเทรต” ต่อมาพลาสตกิ ชนิดน้ไี ดเ้ป็นทร่ี ูจ้ กั แพร่หลาย และเป็นทน่ี ยิ ม เรียกวา่ “เซลลูลอยด”์ (Celluloid) การพฒั นาผลติ ภณั ฑพ์ ลาสตกิ เชงิ อุตสาหกรรมไดด้ าํ เนินไปอย่างรวดเร็วทาํ ใหม้ ี พลาสตกิ ชนิดอน่ื ๆ เกดิ ข้นึ ตามมาอกี มากมาย อุตสาหกรรมพลาสติกโนประเทศไทยเร่ิมมีมาตง้ั แต่ประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๐ ในระยะแรกมีการนําเขา้ พลาสติกเรซนิ จากต่างประเทศ มาผลติ เป็นผลติ ภณั ฑพ์ ลาสตกิ กนั ประปราย ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๐๖จึงไดม้ กี ารก่อตงั้ โรงงานอตุ สาหกรรมผลติ ผลติ ภณั ฑพ์ ลาสตกิ ขนาดใหญ่ข้นึ แต่ยงั คงตอ้ งนาํ เขา้ เรซนิ จากต่างประเทศเช่นกนั จนกระทงั่ ใน พ.ศ. ๒๕๑๔ ประเทศไทยจึงสามารถผลติ พลาสติกเรซิน คือ พวี ซี ี ไดเ้ องเป็นชนิดแรก ปจั จุบนั ประเทศไทย สามารถผลติ พลาสตกิ ไดอ้ กี หลายชนิด เช่น พอลเิ อทลิ นี พอลโิ พรไพลนี พอลสิ ไตรนี และพอลเิ อสเทอร์ วตั ถดุ บิ จากธรรมชาตสิ าํ หรบั การผลติ พลาสตกิ วตั ถดุ บิ ทส่ี าํ คญั ทใ่ี ชส้ าํ หรบั การผลติ พลาสตกิ คอื ผลติ ภณั ฑท์ ไ่ี ดจ้ ากปิโตรเลยี มกา๊ ซธรรมชาติ ถ่านหนิ แร่ธาตุ ต่างๆ เป็นส่วนใหญ่ นอกจากน้อี าจผลติ จากนาํ้ มนั พชื และส่วนต่างๆ ของพชื ไดเ้ช่นกนั – ปิโตรเลยี ม
17 ปิโตรเลยี มเป็นแหลง่ วตั ถดุ บิ ทส่ี าํ คญั ทส่ี ดุ สาํ หรบั อตุ สาหกรรมพลาสตกิ แทบทกุ ชนดิ ประเทศไทยมแี หลง่ ผลติ ปิโตรเลยี มหลายแห่ง แต่ไมม่ กี ารนาํ มาทาํ ประโยชนใ์ นดา้ นผลติ ภณั ฑพ์ ลาสตกิ มเี พยี งการนาํ มาใชเ้ ป็นเช้อื เพลงิ เท่านน้ั ผลติ ภณั ฑท์ ไ่ี ดจ้ ากการกลนั่ นาํ้ มนั ปิโตรเลยี ม และสามารถนาํ มาใชใ้ นอุตสาหกรรมการผลติ พลาสติกทส่ี าํ คญั ไดแ้ ก่ สารในกลุ่มโอเลฟิน (Olefins) เช่น มีเทน อีเทน โพรเพน บิวเทนและเพนเทน และสารในกลุ่มอะโรแมติก (Aromatics) เช่น เบนซนี และอนุพนธข์ องเบนซนี สารทง้ั ๒ กลมุ่ สามารถนาํ มาผลติ มอนอเมอรไ์ ดม้ ากมายหลาย ชนดิ – กา๊ ซธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาติทพ่ี บในประเทศไทยมสี ่วนประกอบเป็นสารไฮโดรคารบ์ อน ทส่ี าํ คญั คือ มเี ทน อเี ทน โพรเพน และบวิ เทนเป็นส่วนใหญ่ สารไฮโดรคารบ์ อนเหลา่ น้ีใชเ้ ป็นวตั ถดุ บิ ในการผลติ เอทลิ นี มอนอเมอรแ์ ละโพรไพลนี มอนอ เมอร์ ซง่ึ เป็นสารเรม่ิ ตน้ สาํ หรบั การผลติ พลาสตกิ หลายชนดิ – ถ่านหนิ และลกิ ไนต์ ประเทศไทยมแี หล่งลกิ ไนตส์ าํ คญั ๒ แห่งคือ ทแ่ี ม่เมาะ จงั หวดั ลาํ ปาง และทจ่ี งั หวดั กระบ่ี ประโยชนข์ อง ลกิ ไนตน์ อกจากใชเ้ป็นเช้อื เพลงิ สาํ หรบั การผลติ กระแสไฟฟ้าแลว้ ยงั ใชผ้ ลติ เบนซนี และอนุพนั ธข์ องเบนซนี เช่น สไตรี นมอนอเมอร์ ไดด้ ว้ ย – พชื และนาํ้ มนั พชื วตั ถดุ ิบท่ใี ชใ้ นการผลติ พลาสติกบางชนิด ไดแ้ ก่ ส่วนต่าง ๆ ของพชื และนาํ้ มนั พชื เช่น เซลลูโลส เชลแลก็ และกรดไขมนั ต่างๆ – แร่ธาตตุ ่างๆ สนิ แร่บางชนิด เช่น ถ่านโคก้ และหนิ ปูน เป็นวตั ถดุ บิ ทใ่ี ชผ้ ลติ แคลเซยี มคารไ์ บด์ ซง่ึ ใชใ้ นอตุ สาหกรรมการ ผลติ อะเซทลิ นี นอกจากน้ี คลอรนี ทผ่ี ลติ ไดจ้ ากนาํ้ ทะเล ตลอดจนแร่ใยหนิ ไดน้ าํ มาใชส้ าํ หรบั ผลติ พลาสตกิ เสรมิ แรง วตั ถุดิบท่ีใชเ้ ป็นสารเร่ิมตน้ สําหรบั การผลิตพลาสติกท่ีไดจ้ ากแหล่งต่าง ๆ นน้ั จะมีลกั ษณะเป็นสาร ไฮโดรคารบ์ อนโมเลกุลเดย่ี ว เรยี กวา่ มอนอเมอร์ ทส่ี าํ คญั ไดแ้ ก่ เอทลิ นี ไวนิลคลอไรด์ ไวนิลฟลูออไรด์ โพรไพลีน บวิ ทาไดอนี เบนซนี ไซลนี ฟีนอล ยูเรยี และฟอรม์ าลตไี ฮด์ พลาสติก ผลติ ข้นึ จากผลติ ภณั ฑป์ ิโตรเลยี ม และอาจผลติ เพ่ือใหม้ สี ีต่าง ๆ ใสแข็งหรืออ่อนก็ได้ และยงั สามารถหลอมละลายเป็นรูปร่างต่าง ๆ ไดโ้ ดยใชแ้ รงดนั และความรอ้ นและคุณสมบตั ิของพลาสติกคือ ไม่ สลายตัว ประโยชนข์ องพลาสตกิ คอื นาํ้ หนกั เบา ทาํ ใหส้ ะดวกต่อการถอื ห้วิ และการขนสง่ ตลอด จนมคี วาม ทนทานอยู่ไดเ้ ป็น เวลานาน และเน่อื งจากสามารถใชป้ ระโยชนไ์ ดม้ ากพลาสตกิ จงึ เขา้ มาแทนท่ี อย่างไรก็ตามถงึ แมพ้ ลาสตกิ จะมปี ระโยชน์ แต่ก็มขี อ้ เสยี คอื พลาสตกิ ผลติ มาจากทรพั ยากรธรรมชาตทิ ่ี ไมส่ ามารถเกดิ ข้นึ ใหมไ่ ด้ เช่น นาํ้ มนั ถา่ นหนิ นอกจากน้ี ก็ ยากต่อการนาํ มารไี ซเคิล และตอ้ งเสยี ค่าใชจ้ ่ายสูง และทส่ี าํ คญั เน่ืองจากพลาสติกมหี ลายชนิด การนาํ มาผลติ ใชใ้ หม่ จะตอ้ งแยกพลาสติกแต่ละชนิดออกจากกนั ปจั จบุ นั จงึ มเี พยี งถงุ พลาสตกิ เท่านนั้ ทส่ี ามารถนาํ มาผลติ ใชใ้ หม่ได้ แต่มี การนาํ ถงุ พลาสตกิ ทใ่ี ชแ้ ลว้ เพยี งรอ้ ยละ 3 ของจาํ นวนถงุ พลาสติกทผ่ี ลติ ออกมาเท่านน้ั ทน่ี าํ กลบั เขา้ สู่โรงงานเพอ่ื การรี ไซเคลิ ดงั นนั้ พลาสตกิ ทถ่ี กู ท้งิ ขยะในปจั จบุ นั จงึ คงอยู่ในสภาพแวดลอ้ มไปอกี นานนบั หลายรอ้ ยปี
18 พลาสตกิ แบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภท ดงั น้ี 1. พลาสติกทค่ี งรูปถาวรหรือพลาสตกิ เทอรโ์ มเซท (Thermosetting Plastic) เป็น พลาสตกิ ท่ี แขง็ ตวั ดว้ ย ความรอ้ นแบบไม่ยอ้ นกลบั สามารถข้นึ รูปผลติ ภณั ฑร์ ูปทรงต่าง ๆ ไดโ้ ดยทาํ ใหแ้ ขง็ ตวั ดว้ ยความ รอนในแม่แบบ และ เมอ่ื แขง็ ตวั แลว้ จะมคี วามคงรูปสูงมาก เน่ืองจากไม่สามารถหลอมเหลวไดอ้ กี พลาสตกิ ในกลมุ่ น้ีจงึ จดั เป็นผลติ ภณั ฑ์ พลาสตกิ ประเภท “รไี ซเคลิ ไมไ่ ด”้ 2. พลาสติกทส่ี าํ มาถนาํ กลบั มาใชใ้ หม่ไดห้ รือเทอรโ์ มพลาสติก (Thermosetting) เป็นพลาสติกทห่ี ลอมตวั ดว้ ยความรอ้ นและกลบั แขง็ ตวั เมอ่ื อณุ หภูมลิ ดตาํ่ ลงพลาสตกิ ชนิดน้ีจดั เป็ นวสั ดุประเภท “รีไซเคิลได”้ เพอ่ื ใหง้ า่ ยต่อ การแยกชนิดบรรจภุ ณั ฑพ์ ลาสตกิ เพอ่ื นาํ กลบั มาแปรรูปใชใ้ หม่ไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ ไดม้ กี ารนาํ สญั ลกั ษณ์มาใชบ้ น บรรจภุ ณั ฑอ์ ย่างแพร่หลาย ดงั น้ี ตาราง สญั ลกั ษณ์บนบรรจภุ ณั ฑข์ วดต่างๆ ประเภทของพลาสติกยอ่ ยสลายได้ ประเภทของพลาสตกิ ย่อยสลายได้ โดยทวั่ ไป เราสามารถแบ่งกลไกการย่อยสลายของพลาสตกิ เป็น 4 ประเภท ใหญ่ๆ คือ - การย่อยสลายไดโ้ ดยแสง (Photodegradation) การย่อยสลายโดยแสงมกั เกิดจากการเตมิ สารเตมิ แต่งท่มี ี ความวอ่ งไวต่อแสงลงในพลาสตกิ หรอื สงั เคราะหโ์ คพอลเิ มอรใ์ หม้ ีหม่ฟู งั กช์ นั หรอื พนั ธะเคมที ไ่ี ม่แขง็ แรง แตกหกั งา่ ย
19 ภายใตร้ งั สี (UV) เช่น หม่คู ีโตน (Ketone group) อยู่ในโครงสรา้ ง เมอ่ื สารหรอื หม่ฟู งั กช์ นั ดงั กลา่ วสมั ผสั กบั รงั สยี ูวี จะเกิดการแตกของพนั ธะกลายเป็นอนุมูลอสิ ระ (Free radical) ซง่ึ ไม่เสถยี ร จงึ เขา้ ทาํ ปฏกิ ิริยาต่ออย่างรวดเร็วท่ี พนั ธะเคมบี นตาํ แหน่งคารบ์ อนในสายโซ่พอลเิ มอร์ ทาํ ใหเ้ กิดการขาดของสายโซ่ แต่การย่อยสลายน้ีจะไม่เกิดข้นึ ภายในบ่อฝงั กลบขยะ กองคอมโพสท์ หรอื สภาวะแวดลอ้ มอ่นื ทม่ี ดื หรอื แมก้ ระทงั่ ช้นิ พลาสติกทม่ี กี ารดว้ ยหมกึ ท่ี หนามากบนพ้นื ผวิ เน่อื งจากพลาสตกิ จะไมไ่ ดส้ มั ผสั กบั รงั สยี ูวโี ดยตรง - การย่อยสลายทางกล (Mechanical Degradation) โดยการใหแ้ รงกระทาํ แก่ช้ินพลาสติกทาํ ใหช้ ้ินส่วน พลาสตกิ แตกออกเป็นช้นิ ซง่ึ เป็นวธิ กี ารทใ่ี ชโ้ ดยทวั่ ไปในการทาํ ใหพ้ ลาสตกิ แตกเป็นช้นิ เลก็ ๆ - การย่อยสลายผ่านปฏกิ ิริยาออกซเิ ดชนั (Oxidative Degradation) การย่อยสลายผ่าน)ฏกิ ิรยิ าออกซเิ ดชนั ของพลาสตกิ เป็นปฏกิ ิริยาการเติมออกซเิ จนลงในโมเลกุลของพอลเิ มอรซ์ ง่ึ สามารถเกิดข้นึ ไดเ้ องในธรรมชาตอิ ย่าง ชา้ ๆ โดยมีออกซิเจน และความรอ้ น แสงยูวี หรือแรงทางกลเป็นปจั จยั สาํ คญั เกิดเป็นสารประกอบไฮโดรเปอร์ ออกไซด์ (hydroperoxide, ROOH) ในพลาสติกท่ีไม่มีการเติม สารเติมแต่งท่ีทาํ หนา้ ท่ีเพ่มิ ความเสถียร (stabilizing additive) แสงและความรอ้ นจะทาํ ให้ ROOH แตกตวั กลายเป็นอนุมูลอสิ ระ RO และ OH) ทไ่ี ม่ เสถยี รและเขา้ ทาํ ปฏกิ ิรยิ าต่อทพ่ี นั ธะเคมบี นตาํ แหน่งคารบ์ อนในสายโซ่พอลเิ มอร์ ทาํ ใหเ้กิดการแตกหกั และสูญเสยี สมบตั เิ ชงิ กลอย่างรวดเร็ว แต่ดว้ ยเทคโนโลยกี ารผลติ ทไ่ี ดร้ บั การวจิ ยั และพฒั นาข้นึ ในปจั จบุ นั ทาํ ใหพ้ อลโิ อเลฟินเกิด การย่อยสลายผ่านปฏกิ ริ ยิ าออกซเิ ดชนั กบั ออกซเิ จนไดเ้รว็ ข้นึ ภายในช่วงเวลาทก่ี าํ หนด โดยการเตมิ สารเตมิ แต่งทเ่ี ป็น เกลือของโลหะทรานสิชัน ซ่ึงทําหนา้ ท่ีคะตะลิสต์เร่งการแตกตัวของสารประกอบไฮโดรเปอร์ออกไซด์ (Hydroperoxpide, ROOH) เป็นอนุมูลอสิ ระ (Free radical) ทาํ ใหส้ ายโซ่พอลเิ มอรเ์ กิดการแตกหกั และสูญเสยี สมบตั เิ ชงิ กลรวดเร็วยง่ิ ข้นึ - การย่อยสลายผ่านปฏกิ ริ ยิ าไฮโดรไลซสิ (Hydrolytic Degradation) การย่อยสลายของพอลเิ มอรท์ ม่ี ีหม่เู อส เทอร์ หรือเอไมด์ เช่น แป้ ง พอลเิ อสเทอร์ พอลแิ อนไฮดรายด์ พอลคิ ารบ์ อเนต และพอลยิ ูริเทน ผ่านปฏิกิริยา ก่อใหเ้ กิดการแตกหกั ของสายโซ่พอลเิ มอร์ ปฏิกิริยาไฮโดรไลซสิ ทเ่ี กิดข้นึ โดยทวั่ ไปแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภททใ่ี ชค้ ะตะลสิ ต์ (Catalytic hydrolysis) และไม่ใชค้ ะตะลสิ ต์ (Non-Catalytic Hydrolysis) ซง่ึ ประเภท แรกยงั แบ่งออกไดเ้ ป็น 2 แบบคือ แบบทใ่ี ชค้ ะตะลสิ ตจ์ ากภายนอกโมเลกุลของพอลเิ มอรเ์ ร่งใหเ้ กิดการย่อยสลาย (External Catalytic Degradation) และแบบทใ่ี ชค้ ะตะลสิ ตจ์ ากจากภายในโมเลกุลของพอลเิ มอรเ์ องในการเร่งให้ เกิดการย่อยสลาย (Internal catalytic degradation) โดยคะตะลสิ ตจ์ ากภายนอกมี 2 ชนิด คือ คะตะลสิ ตท์ เ่ี ป็น เอนไซมต์ ่างๆ (Enzyme) เช่น Depolymerase lipase esterase และ glycohydrolase ในกรณีน้ีจดั เป็นการย่อย สลายทางชวี ภาพ และคะตะลสิ ตท์ ไ่ี ม่ใช่เอนไซม์ (Non-enzyme) เช่น โลหะแอลคาไลด์ (alkaline metal) เบส (base) และกรด(acid) ท่มี อี ยู่ในสภาวะแวดลอ้ มในธรรมชาติ ในกรณีน้ีจดั เป็นการย่อยสลายทางเคมี สาํ หรบั ปฏกิ ิริยาไฮโดรไลซสิ แบบทใ่ี ชค้ ะตะลสิ ตจ์ ากภายในโมเลกุลของพอลเิ มอรน์ นั้ ใชห้ ม่คู ารบ์ อกซลิ (Carboxyl Group) ของหม่เู อสเทอร์ หรอื เอไมดบ์ รเิ วณปลายของสายโซ่พอลเิ มอรใ์ นการเร่งปฏกิ ิรยิ าการย่อยสลายผ่าปฏกิ ิริยาไฮโดรไล ซสิ
20 - การย่อยสลายทางชีวภาพ (Biodegradation) การย่อยสลายของพอลเิ มอรจ์ ากการทาํ งานของจุลนิ ทรีย์ โดยทวั่ ไปมกี ระบวนการ 2 ขนั้ ตอน เน่อื งจากขนาดของสายพอลเิ มอรย์ งั มขี นาดใหญ่และไม่ละลายนาํ้ ในขนั้ ตอนแรก ของของการย่อยสลายจงึ เกิดข้นึ ภายนอกเซลลโ์ ดยการปลดปลอ่ ยเอน็ ไซมข์ องจลุ นิ ทรยี ซ์ ง่ึ เกิดไดท้ งั้ ทงั้ แบบใช้ endo- enzyme หรือ เอนไซมท์ ท่ี าํ ใหเกิดการแตกตวั ของพนั ธะภายในสายโซ่พอลเิ มอรอ์ ย่างไม่เป็นระเบยี บ และแบบ exo- enzyme หรอื เอนไซมท์ ท่ี าํ ใหเ้กดิ การแตกหกั ของพนั ธะทลี ะหน่วยจากหน่วยซาํ้ ทเ่ี ลก็ ทส่ี ดุ ทอ่ี ยู่ดา้ นปลายของสายโซ่พอ ลเิ มอร์ เม่อื พอลเิ มอรแ์ ตกตวั จนมีขนาดเลก็ พอจะแพร่ผ่านผนงั เซลลเ์ ขา้ ไปในเซลล์ และเกิดการย่อยสลายต่อใน ขน้ั ตอนท่ี 2 ไดผ้ ลติ ภณั ฑใ์ นขน้ั ตอนสุดทา้ ย (ultimate biodegradation) คือ พลงั งาน และสารประกอบขนาดเลก็ ท่ี เสถยี รในธรรมชาติ (Mineralization) เช่น แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ แก๊สมเี ทน นาํ้ เกลอื แร่ธาตุต่างๆ และมวล ชวี ภาพ (biomass) *มวลชวี ภาพหมายถงึ มวลรวมของสสารทเ่ี กิดข้นึ จากกระบวนการในการดาํ รงชวี ติ และเตบิ โตของสง่ิ มชี วี ติ ซง่ึ รวมถงึ พชื สตั ว์ และจลุ นิ ทรยี ์ นอกจากน้ียงั พบว่า มีการใชค้ าํ ว่า พลาสติกย่อยสลายไดใ้ นสภาวะแวดลอ้ มธรรมชาติ (Environmentally Degradable Plastics, EDP) ซง่ึ หมายถงึ พลาสติกทส่ี ามารถเกิดการเปลย่ี นแปลงสมบตั ิเน่ืองจากปจั จยั ต่างๆ ใน สภาวะแวดลอ้ ม เช่น กรด ด่าง นาํ้ และออกซเิ จนในธรรมชาติ แสงจากดวงอาทติ ย์ แรงเคน้ จากการกระทบของเมด็ ฝน และแรงลม หรอื จากเอนไซมข์ องจลุ นิ ทรยี ์ ทาํ ใหเ้กิดการเปลย่ี นแปลงโครงสรา้ งทางเคมี กลายเป็นสารทถ่ี กู ดูดซมึ และ ย่อยสลายต่อไดอ้ ย่างสมบูรณ์โดยจุลนิ ทรียไ์ ดแ้ ก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ นาํ้ สารอนินทรีย์ และมวลชีวภาพ เป็น ผลติ ภณั ฑข์ น้ั สุดทา้ ย โดยการย่อยสลายและการดูดซมึ น้ีตอ้ งเกิดข้นึ ไดร้ วดเร็วเพยี งพอทจ่ี ะไม่ทาํ ใหเ้กิดการสะสมใน สภาวะแวดลอ้ ม และคาํ ว่า พลาสติกท่เี ป็นมติ รต่อสภาวะแวดลอ้ ม (Environmental Friendly Plastics) หรือ พลาสตกิ สเี ขยี ว (Green Plastics) หมายถงึ พลาสตกิ ทท่ี าํ ใหภ้ าระในการจดั การขยะลดลง และส่งผลกระทบโดยรวม ต่อสภาวะแวดลอ้ มนอ้ ยกวา่ พลาสตกิ ทใ่ี ชก้ นั อยู่ทวั่ ไปในปจั จบุ นั ความหมายของงานประดษิ ฐ์ 1.ความหมายของงานประดษิ ฐ์ งานประดิษฐ์ หมายถงึ สง่ิ ท่จี ดั ทาํ ข้นึ โดยใชค้ วามคิด สรา้ งสรรคใ์ หเ้ กิดความประณีต สวยงาม น่าสนใจ เพอ่ื ประโยชนท์ พ่ี งึ ประสงค์ เช่น งานประดษิ ฐด์ อกไม้ ผา้ รองจาน กระเป๋า ตกุ๊ ตา ทค่ี นั่ หนงั สอื กระทงใบตอง บายศรี พานดอกไม้ มาลยั แบบอน่ื ๆ 2. ความสาํ คญั และประโยชนข์ องงานประดษิ ฐ์ 2.1 ประหยดั ค่าใชจ้ ่าย 2.2 ใชเ้วลาวา่ งใหเ้กิดประโยชน์ 2.3 ความเพลดิ เพลนิ 2.4 เพม่ิ คุณค่าของวสั ดุ 2.5 สรา้ งความแปลกใหม่ทม่ี อี ยูเ่ ดมิ 2.6 ช้นิ ตรงตามความตอ้ งการ
21 2.7 เป็นของกาํ นลั แก่ผูอ้ น่ื 2.8 อนุรกั ษศ์ ิลปวฒั นธรรมไทย 2.8 เพม่ิ รายไดใ้ หแ้ ก่ตนเองและครอบครวั 2.9 เกิดความภมู ใิ จในตนเอง ประโยชน์ของงานประดษิ ฐ์ 1. เป็นการใชเ้วลาวา่ งใหเ้กิดประโยชน์ 2. มคี วามภมู ใิ จในผลงานของตน 3. มรี ายไดจ้ ากผลงาน 4. มคี วามคดิ รเิ รม่ิ สรา้ งสรรคผ์ ลงานใหมๆ่ 5. เป็นการฝึกใหร้ ูจ้ กั สงั เกตสง่ิ รอบๆ ตวั และนาํ มาใชใ้ หเ้กดิ ประโยชน์ ลกั ษณะของงานประดษิ ฐ์ 1. งานประดษิ ฐท์ วั่ ไป เป็นงานทบ่ี คุ คลสรา้ งข้นึ มาจากความคดิ ของตนเองโดยอาศยั การเรยี นรูจ้ ากส่ิงรอบๆ ตวั นาํ มา ดดั แปลง หรอื เรยี นรูจ้ ากตาํ รา เช่น การประดษิ ฐข์ องใชจ้ ากเศษวสั ดุ การประดษิ ฐด์ อกไม้ 2. งานประดษิ ฐท์ เ่ี ป็นเอกลกั ษณไ์ ทย เป็นงานทไ่ี ดร้ บั การสบื ทอดมาจากบรรพบรุ ษุ ในครอบครวั หรอื ในทอ้ งถน่ิ หรอื ทาํ ข้นึ เพอ่ื ใชง้ านหรอื เทศกาลเฉพาะอย่าง เช่น มาลยั บายศรี งานแกะสลกั ประเภทของงานประดษิ ฐ์ งานประดษิ ฐต์ ่างๆ สามารถเลอื กทาํ ไดต้ ามความตอ้ งการและประโยชนใ์ ชส้ อย ซง่ึ อาจแบ่งประเภทของงาน ประดษิ ฐต์ ามโอกาสใชส้ อยดงั น้ี 1. ประเภทใชเ้ป็นของเลน่ เป็นของเลน่ ทผ่ี ูใ้ หญ่ในครอบครวั ทาํ ใหล้ ูกหลานเลน่ เพอ่ื ความเพลดิ เพลนิ เช่น งานปน้ั ดนิ เป็นสตั ว์ สง่ิ ของ งานจกั สานใบลานเป็นโมบาย งานพบั กระดาษ 2. ประเภทของใช้ ทาํ ข้นึ เพอ่ื เป็นของใชใ้ นชวี ติ ประจาํ วนั เช่น การสานกระบงุ ตะกรา้ การทาํ เคร่อื งใชจ้ ากดนิ เผา จาก ผา้ และเศษวสั ดุ 3. ประเภทงานตกแต่ง ใชต้ กแต่งสถานท่ี บา้ นเรอื นใหส้ วยงาม เช่น งานแกะสลกั ไม้ การทาํ กรอบรูป ดอกไมป้ ระดษิ ฐ์ 4. ประเภทเคร่อื งใชใ้ นงานพธิ ี ประดษิ ฐข์ ้นึ เพอ่ื ใชใ้ นงานเทศกาลหรอื ประเพณีต่างๆ เช่น การทาํ กระทงลอย ทาํ พานพมุ่ มาลยั บายศรี วสั ดุอปุ กรณท์ ใ่ี ชใ้ นงานประดษิ ฐ์ การเลอื กใชว้ สั ดุอปุ กรณใ์ นการประดษิ ฐช์ ้นิ งานตอ้ งเลอื กใหเ้หมาะสมจงึ จะไดง้ านออกมามคี ณุ ภาพ สวยงาม รวมทงั้ ตอ้ งดูแลรกั ษาอปุ กรณเ์ คร่อื งใชเ้หลา่ น้ีใหอ้ ยู่ในสภาพใชง้ านไดต้ ลอดเวลา และสามารถแบง่ ออกเป็นประเภท ต่างๆ ไดด้ งั น้ี 1. ประเภทของเลน่ - วสั ดุทใ่ี ช้ เช่น กระดาษ ใบลาน ผา้ เชอื ก พลาสตกิ กระป๋อง - อปุ กรณ์ทใ่ี ช้ เช่น กรรไกร เขม็ ดา้ ย กาว มดี ตะปู คอ้ น แปรงทาสี 2. ประเภทของใช้
22 - วสั ดทุ ใ่ี ช้ เช่น กระดาษ ไม้ โลหะ ดนิ ผา้ - อปุ กรณ์ทใ่ี ช้ เช่น เลอ่ื ย สี จกั รเยบ็ ผา้ กรรไกร เคร่อื งขดั เจาะ 3. ประเภทของตกแต่ง - วสั ดุทใ่ี ช้ เช่น เปลอื กหอย ผา้ กระจก กระดาษ ดนิ เผา - อปุ กรณ์ เช่น เลอ่ื ย คอ้ น มดี กรรไกร สี แปรงทาสี เคร่อื งตอก 4. ประเภทเครอ่ื งใชใ้ นงานพธิ ี - วสั ดุทใ่ี ช้ เช่น ใบตอง ดอกไมส้ ด ใบเตย ผา้ รบิ บ้นิ - อปุ กรณ์ทใ่ี ช้ เช่น เขม็ เยบ็ ผา้ เขม็ รอ้ ยมาลยั คมี คน้ เขม็ หมดุ การเลอื กใชแ้ ละบาํ รงุ รกั ษาอปุ กรณ์ มหี ลกั การดงั น้ี 1. ควรเลอื กใชใ้ หถ้ กู ประเภทของวสั ดแุ ละอปุ กรณ์ 2. ควรศึกษาวธิ กี ารใชก้ ่อนลงมอื ใช้ 3. เมอ่ื ใชแ้ ลว้ เก็บไวใ้ หเ้ป็นระเบยี บเรยี บรอ้ ย 4. ซอ่ มแซมเคร่อื งมอื ทช่ี าํ รดุ ใหพ้ รอ้ มใชเ้สมอ 3.โครงการท่เี กย่ี วขอ้ ง 1.โคมไฟจากขวดพลาสตกิ ท่มี าและความสาคญั ของโครงงาน ในปจั จบุ นั น้ีผูค้ นมกี ารใชข้ วดพลาสติกเป็นจาํ นวนมาก แต่ไม่นาํ มาทาํ ใหเ้ป็นประโยชน์ แทนทเ่ี ราจะนาํ มนั ท้งิ เราก็ควรนาํ มนั มาใชใ้ หเ้กิดประโยชนส์ ูงสุด เพอ่ื ทจ่ี ะไม่ไดส้ ้นิ เปลอื งทรพั ยากร จากการคิดสรา้ งสรรค์ของคณะผูจ้ ดั ทาํ เราจึงไดท้ าํ การประดิษฐโ์ คมไฟจากขวดพลาสติกท่สี รา้ งจากขวด พลาสติกเหลอื ใชข้ ้นึ มา เพอ่ื อาํ นวยความสะดวกใหก้ บั ใครหลายๆคน สง่ิ ประดษิ ฐน์ ้ีเหมาะสาํ หรบั ผูค้ นทน่ี งั่ ทาํ งานบน โต๊ะแลว้ ไม่มแี สงสว่าง และโคมไฟจากขวดพลาสติกอนั น้ีจะมายงั สามารถนาํ มาเป็นของตกแต่งบนโตะ๊ ของคุณไดอ้ กี ดว้ ย วตั ถปุ ระสงค์ 1.เพอ่ื นาํ ขวดพลาสตกิ ทใ่ี ชแ้ ลว้ นาํ กลบั มาใชใ้ หเ้กิดประโยชน์ 2.เพอ่ื เสรมิ สรา้ งความคดิ สรา้ งสรรค์ 3.เพอ่ื เป็นแนวทางในการศึกษาการทาํ รายงาน ขอบเขตการศึกษาคน้ ควา้ ในการจดั ทาํ โครงงานฉบบั น้ี คณะผูจ้ ดั ทาํ ไดร้ บั คาํ แนะนาํ มาจากคุณครูศศิรอ์ ร ศกั ด์กิ ิตติพงศา และไดช้ ้ีแนะ เก่ยี วกบั ปญั หาต่างๆ ประโยชนท์ ่คี าดว่าจะไดร้ บั - จาํ นาวนขยะพลาสตกิ ลดลง - ผูค้ นหนั มาใหค้ วามสาํ คญั กบั ภาวะโลกรอ้ น โดยใชข้ วดพลาสตกิ ทม่ี จี าํ นวนมาก มาทาํ เป็นโคมไฟ
23 - เกดิ ความคิดสรา้ งสรรค์ ไดใ้ ชเ้วลาวา่ งใหเ้กดิ ประโยชน์ - รูจ้ กั การทาํ งานร่วมกนั เป็นกลมุ่ และไดฝ้ ึกความอดทนในการทาํ งานร่วมกบั ผูอ้ น่ื ผลการดาเนินงาน โคมไฟจากขวดพลาสตกิ สามารถทาํ ไดเ้องทบ่ี า้ น สาํ หรบั คนไหนทบ่ี า้ นไมม่ ขี วดพลาสตกิ นน้ั สามารถนาํ แกว้ นาํ้ พลาสติกและไม่ใชแ้ ลว้ นาํ มาประดิษฐไ์ ด้ และวธิ ีการทาํ นนั้ ก็ไม่ยากจนเกินไป แต่ว่าก็ใชค้ วามระมดั ระวงั ในการใส่ หลอดไฟ เพราะอาจเกิดอบุ ตั ิเหตุข้นึ ได้ สง่ิ ประดษิ ฐม์ คี วามคงทน สวยงาม ใชเ้ ป็นทเ่ี ก็บของไดอ้ กี ทงั้ ยงั สามารถนาํ มา ตกแต่งบนโตะ๊ ไดอ้ กี ดว้ ย เป็นการนาํ ขวดพลาสตกิ จากการเหลอื ใชเ้พอ่ื เป็นการใชท้ รพั ยากรใหเ้กิดประโยชน์ ช่วยลดค่า ใชง้ า่ ยในการนาํ เงนิ ไปซ้อื ทเ่ี ก็บของ ทาํ ใหข้ วดพลาสตกิ มมี ลู ค่ามากข้นึ อกี ดว้ ย 2.โคมไฟตากกระดาษลงั ท่มี าและความสาคญั ของโครงงาน โคมไฟเป็นของใชแ้ ละของตกแต่งทงั้ ภายในบา้ นและภายนอกบา้ น ซง่ึ โคมไฟเป็นสง่ิ ทอ่ี าํ นวยความสะดวกให้ เราสามารถมองเหน็ ในทม่ี ดื ได้ เพราะโคมไฟเป็นสง่ิ ทใ่ี หแ้ สงสว่างในเวลากลางคืนหรือแมแ้ ต่ในทม่ี ดื เป็นโคมไฟทใ่ี ช้ ภายในบา้ นและวางไวต้ ามจุดต่างๆของบา้ น อาจจะวางไวบ้ นโตะ๊ หรือบนโตะ๊ ทาํ งาน จงึ ถอื ไดว้ ่าโคมไฟเป็นของใชท้ ่ี จาํ เป็นอย่างในชวี ติ ประจาํ วนั โคมไฟจะใหแ้ สงสว่างแลว้ โคมไฟยงั ใชเ้ ป็นของประดบั และตกแต่งภายในบา้ น ซง่ึ จะทาํ ใหบ้ รเิ วณนนั้ เกดิ ความสวยงามอกี ดว้ ย ดงั นน้ั ทางคณะผูจ้ ดั ทาํ จงึ ไดค้ ดิ ท่จี ะจดั ทาํ โคมไฟจากกระดาษลงั เพราะ กระดาษลงั ทเ่ี หลอื ก็ไม่ไดใ้ ชป้ ระโยชน์ อะไรจงึ ไดน้ าํ กระดาษลงั มาใชป้ ระโยชนป์ ระดษิ ฐเ์ ป็นโคมไฟและประหยดั ค่าใชจ้ ่าย วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพอ่ื ประดษิ ฐโ์ คมไฟจากลงั กระดาษ 2. เพอ่ื ประดษิ ฐข์ องใชแ้ ละของตกแต่งบา้ นจากสง่ิ ของเหลอื ใช้ 3. เพอ่ื นาํ สง่ิ ของเหลอื ใชม้ าทาํ ใหเ้กดิ มลู ค่า ขอบเขตของการศึกษาคน้ ควา้ 1. สง่ิ ประดษิ ฐจ์ ากกระดาษลงั 2.โคมไฟจากกระดาษลงั ประโยชนท์ ่คี าดว่าจะไดร้ บั 1.ไดโ้ คมไฟจากกระดาษลงั 2.ไดป้ ระดษิ ฐข์ องใชแ้ ละของตกแต่งบา้ น 3.ไดน้ าํ กระดาษลงั มาใชป้ ระโยชนใ์ หส้ ูงสดุ ผลการดาเนินงาน จากการศึกษาและจดั ทาํ โครงงานโคมไฟจากลงั กระดาษโดยการนาํ วสั ดุเหลอื ใชท้ าํ ใหเ้ กิดประโยชน์และมี คุณค่า แลว้ นาํ มาประดษิ ฐเ์ ป็นโคมไฟจากลงั กระดาษ ทาํ ใหร้ ูว้ า่ สามารถนาํ ไปใชป้ ระโยชนไ์ ดห้ ลายอย่างทงั้ ของตกแต่ง
24 บา้ นภายในบา้ น นอกบา้ น และของใชใ้ หแ้ สงสวา่ งในยามคาํ่ คนื ได้ อกี ทงั้ วสั ดุเหลอื ใชย้ งั หางา่ ย เพม่ิ มลู ค่าสรา้ งรายไดใ้ ช้ วา่ งใหเ้กิดประโยชน์ 3.โคมไฟจากกะลามะพรา้ ว ท่มี าและความสาคญั ในปจั จบุ นั วสั ดทุ เ่ี หลอื ใชจ้ ากการทาํ กจิ กรรมต่างๆของมนุษยม์ มี ากข้นึ เร่อื ยๆ และวสั ดุบางประเภทมมี ากใน ทอ้ งถน่ิ สามารถนาํ มาแปรรูปเป็นสง่ิ ของเคร่อื งใชแ้ ละนาํ ไปจาํ หน่าย ซง่ึ ใชส้ อยเพอ่ื ใหเ้กิดประโยชนส์ ูงสุด และสามารถ นาํ มาประกอบเป็นอาชพี เพอ่ื สรา้ งรายไดแ้ ก่ครอบครวั ซง่ึ กะลามะพรา้ วเป็นสง่ิ ทห่ี างา่ ยในทอ้ งถน่ิ กลมุ่ ของขา้ พระเจา้ จงึ ไดค้ ิดนาํ กะลามะพรา้ วมาทาํ โคมไฟจากกะลามะพรา้ วและโมเสดกะลามะพรา้ ว ซ่งึ สามารถนาํ มาตกแต่งอา คาร บา้ นเรอื นหรอื สถานทต่ี ่างๆได้ และเกดิ ความสวยงามแก่ผูพ้ บเหน็ และยงั ไดน้ าํ กะลามะพรา้ วมาแปรรูปเป็นผลติ ภณั ฑท์ ่ี ทาํ มาจากกะลามะพรา้ วใหม้ คี วามหลากหลายมากย่งิ ข้นึ ซ่งึ ปจั จุบนั มกี ารออกแบบส่งิ ประดิษฐข์ องใชจ้ ากกะลา ท่มี ี หลายรูปแบบเราจงึ สรา้ งสรรคข์ องผลงานจากกะลามะพรา้ วในรูปแบบใหมท่ เ่ี ป็นเอกลกั ษณ์ มะพรา้ วเป็นสง่ิ ทห่ี าง่ายในทอ้ งถน่ิ และส่วนต่างๆของกะลามะพรา้ วสามารถใชป้ ระโยชนไ์ ดท้ ุกส่วนเช่น ผล อ่อนนาํ มารบั ประทานไดเ้น้อื มะพรา้ วทเ่ี ป็นผลแก่นาํ ไปปรุงอาหารและนาํ ไปใชท้ าํ ขนมไดห้ ลายชนิดละใชส้ กดั เป็นนาํ้ มนั ส่วน เปลอื กของมะพรา้ วทเ่ี หลอื สามารถเอาไปแยกแลว้ นาํ เสน้ ใยมาทาํ เชือก ส่วนกะลามะพรา้ วก็สามารถนาํ มาทาํ เป็น ภาชนะและเป็นของใชภ้ ายในบา้ น เพราะกะลามะพรา้ วเมอ่ื ขดั เงาจะมคี วามสวยงามมากซง่ึ สามารถนาํ มาทาํ สง่ิ ประดษิ ฐ์ ของใชจ้ ากกะลา เพอ่ื นาํ มาตกแต่งบา้ นเรอื นปละสถานทต่ี ่างๆก็จะทาํ ใหเ้กิดความสวยงามแก่ผูพ้ บเหน็ ได้ วตั ถปุ ระสงคข์ องโครงงาน 1. เพอ่ื นาสง่ิ ของทเ่ี หลอื ใชม้ าทาํ ใหเ้กิดประโยชน์ 2. เป็นวตั ถดุ บิ ทห่ี างา่ ยในทอ้ งถน่ิ 3. เป็นอาชพี เสรมิ ทส่ี รา้ งรายได้ 4. เป็นการอนุรกั ษภ์ ูมปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ไดเ้ป็นอย่างดี 5. เป็นแหลง่ เรยี นรูศ้ ึกษาดูงานของผูท้ ส่ี นใจ ขอบเขตของการศึกษาคน้ ควา้ - ระยะเวลาดาํ เนินงาน คือ เดอื นกรกฎาคม – สงิ หาคม 2559 - สถานทใ่ี นการดาํ เนินงาน คือ บา้ นดอนไผ่ - งบประมาณในการดาํ เนินงาน จาํ นวน 375 บาท ดาเนินการโดยมีขน้ั ตอนการทางาน คอื 1 ศึกษาเก่ยี วกบั การใช่อปุ กรณ์การทงาน 2 วเิ คราะหก์ ารดาํ เนนิ งาน 3 ศึกษาหลกั การ เทคนิค การทาํ งาน ประโยชนท์ ่คี าดว่าจะไดร้ บั 1. เพอ่ื ใหไ้ ดผ้ ลงานทส่ี วยงาม ถกู ใจ
25 2. ช่วยสบื สานภูมปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ 3. มรี ายไดจ้ ากการทาํ อาชพี เสรมิ 4. มคี วามภูมใิ จในช้นิ งานของตนเอง 5. สง่ เสรมิ นโยบาย หน่งึ ตาํ บลหน่งึ ผลติ ภณั ฑ์ 6. นาํ ความรูท้ างดา้ นการงานอาชพี และเทคโนโลยมี าประยุกตใ์ ชก้ บั ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ไดอ้ ย่างลงตวั 4.โคมไฟไหมพรม ท่ีมาและความสาคญั ของโครงงาน ในปจั จบุ นั จะเหน็ ไดว้ า่ ผูค้ นนิยมตกแต่งบา้ น ตกแต่งหอ้ งนอนหรือแมก้ ระทงั่ โตะ๊ ทาํ งานดว้ ยเฟอรน์ ิเจอรต์ ่างๆ มากมาย โคมไฟก็เป็นหน่ึงในเฟอรน์ ิเจอรท์ น่ี ิยมนาํ มาตกแต่งเพราะใหแ้ สงสว่าง แต่โคมไฟในปจั จุบนั มรี าคาแพงมาก ข้นึ เน่อื งจากใชว้ สั ดุทม่ี รี าคาสูงในการผลติ หรอื ประดษิ ฐโ์ คมไฟ ซง่ึ มนั มรี าคาทส่ี ูง แต่ถา้ มองในทางกลบั กนั ผูค้ นก็นิยม ท่จี ะใชไ้ หมพรมนาํ มาทาํ ของใช้ แต่เม่อื ใชห้ มดก็อาจจะนาํ ไปท้งิ บา้ ง เก็บไวบ้ า้ ง แต่หารูไ้ หมว่าหากนาํ เศษไหมพรม เหลา่ นน้ั นาํ มาประดษิ ฐส์ ง่ิ อน่ื ไดอ้ กี ก็จะเป็นประโยชนต์ ่อผูใ้ ชง้ าน คณะผูจ้ ดั ทาํ จงึ คดิ ทจ่ี ะทาํ โครงงานน้ขี ้นึ มา โดยการนาํ ไหมพรมทเ่ี หลอื ใชแ้ ละวสั ดุทม่ี อี ยู่ทบ่ี า้ นทร่ี าคาประหยดั เช่น ลูกโป่งหรือแมแ้ ต่วสั ดุเหลอื ใชต้ ่างๆ เป็นตน้ ซง่ึ ลูกโป่งและไหมพรมสามารถนาํ มาทาํ เป็นโคมไฟได้ ทาํ ใหเ้กิดแสง สว่างทเ่ี ลด็ ลอดออกมาจากความห่างระหว่างเสน้ ดา้ ยทาํ ใหเ้ กิดความสวยงามซง่ึ หางา่ ย ราไม่แพง เหมาะสาํ หรบั คนท่ี มองหาของตกแต่งหอ้ งหรอื ทอ่ี น่ื ๆอย่างยง่ิ วตั ถปุ ระสงค์ 1.ศึกษาการสรา้ งโครงงาน 2.ฝึกทกั ษะการปฏบิ ตั โิ ครงงานเรอ่ื งโคมไฟไหมพรม 3.ใหม้ เี จตนาคตทิ ด่ี ตี ่อการสรา้ งโครงงานเร่อื งโคมไฟไหมพรม สมมตฐิ าน การนาํ ไหมพรมทเ่ี หลอื ใชม้ าประดษิ ฐเ์ ป็นโคมไฟไหมพรมสามารถใชไ้ ดจ้ รงิ และนาํ ไปสรา้ งเป็นอาชพี เสรมิ ได้ ขอบเขตในการศึกษา การประดษิ ฐโ์ คมไฟไหมพรม จะทาํ การสรา้ งสรรคผ์ ลงานการประดษิ ฐใ์ นกลุ่มนกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 4/13 โรงเรยี นเบญ็ จะมะมหาราช ระยะเวลา 18 สงิ หาคม-18 กนั ยายน พ.ศ. 2560 ผลท่ีคาดว่าจะไดร้ บั 1. โคมไฟสามารถใชง้ านไดจ้ รงิ 2. ไดร้ บั ความรูเ้ก่ยี วกบั การนาํ วสั ดเุ หลอื ใชม้ าประดษิ ฐเ์ ป็นสง่ิ ของตกแต่ง 3. ไดร้ ูว้ ธิ กี ารสรา้ งโครงงานอย่างถกู ตอ้ ง ผลการดาเนินงาน โคมไฟจากไหมพรมนนั้ สามารถทาํ ไดเ้องทบ่ี า้ น โดยทห่ี าวสั ดุไดเ้ องงา่ ยๆ มวี ธิ ีการทาํ ทไ่ี ม่ยุ่งยากและยงั มโี คม ไฟสวยๆทเ่ี ราทาํ เองไปใชก้ นั อกี ดว้ ยแต่ก็ตอ้ งมคี วามระมดั ระวงั ในการใชป้ ืนการ การติดกาวอาจทาํ ใหล้ ูกโป่งแตกหรือ
26 การตดิ ตง้ั ไฟ นอกจากนน้ั โคมไฟไหมพรมยงั สามารถนาํ มาตกแต่งตามงานต่างๆไดอ้ กี ดว้ ย เป็นการนาํ ไหมพรมจากการ เหลอื ใชเ้พอ่ื เป็นการใชท้ รพั ยากรใหเ้กดิ ประโยชน์ ประหยดั ค่าใชจ้ ่าย ทาํ ใหเ้ศษไหมพรมมมี ลู ค่ามากข้นึ อกี ดว้ ย ทาํ ให้ ไดร้ บั ความรูด้ งั น้ี 1.การใชป้ ระโยชนจ์ ากสง่ิ เหลอื ใชท้ ห่ี าไดท้ บ่ี า้ น 2.การทาํ งานนน้ั ช่วยทาํ ใหเ้รามคี วามสามคั คีในหมคู่ ณะ 3.เป็นการใชเ้วลาวา่ งใหเ้ป็นประโยชน์ 4.ฝึกทกั ษะการปฏบิ ตั โิ ครงงานเร่อื งโคมไฟไหมพรม 5.รูว้ ธิ กี ารสรา้ งโครงงาน 5.โคมไฟจากท่อ PVC ท่มี าและความสาคญั การจดั ทาํ โครงงานสง่ิ ประดษิ ฐเ์ รอ่ื งการท าโคมไฟจากทอ่ PVCซง่ึ เป็นวสั ดุทห่ี าไดง้ า่ ยหาไดท้ วั่ ไป จดั ทาํ ข้นึ เพอ่ื เผยแพร่และขยายความรูเ้ ก่ียวกบั การน าโคมไฟมาใชป้ ระโยชนใ์ หม้ ากข้นึ โดยเนน้ การใชค้ วามคิดสรา้ งสรรคเ์ พอ่ื ให้ เกิดความคิดทแ่ี ปลกใหม่ท่สี ามารถนาํ ไปต่อยอดในการสรา้ งมลู ค่าของส่งิ ของเหลอื ใชแ้ ละเป็นการยกตวั อย่างในการ ประดษิ ฐโ์ คมไฟวา่ นอกจากท่อPVC แลว้ ก็ยงั มยี งั มวี สั ดุอปุ กรณ์ของเหลอื ใชอ้ กี มากมายทส่ี ามารถเพม่ิ มูลค่าได้ และ ตอบสนองต่อความตอ้ งการของผูซ้ ้อื และความตอ้ งการสว่ นบคุ คล เป็นการเพม่ิ มลู ค่าของท่อPVC ทเ่ี หลอื และกระดาษ สามารถนาํ สง่ิ ประดษิ ฐโ์ คมไฟจากท่อPVC นาํ ไปขาย หรอื ตกแต่งบา้ นใหบ้ า้ นมคี วามสวยงามและเป็นสง่ิ ประดษิ ฐท์ ใ่ี ห้ ความสวา่ งภายในบา้ นไดด้ เี มอ่ื ปิดไฟและตอ้ งการแสงสวา่ งเฉพาะจดุ เพราะโคมไฟไมไ่ ดใ้ หค้ วามสวา่ งมากจนเกนิ ไปแลว้ เรายงั ไดเ้ พ่มิ ความสะดวกอย่างอ่ืนเขา้ ไปในตวั โคมไฟน้ีดว้ ยการทาํ ใหม้ ีท่ใี ส่ของและเป็นปลกั ๊ ทาํ ใหใ้ ชป้ ระโยชน์ได้ มากมายเช่นการชาตแบต ใชใ้ นการจดั กจิ กรรม นทิ รรศการต่าง ๆ เป็นของฝาก ของรางวลั หรอื ของชาํ ร่วยก็ได้ ดงั นนั้ คณะผูจ้ ดั ทาํ โครงการ จงึ มแี นวคดิ ในการสรา้ งสรรคผ์ ลติ ภณั ฑท์ ม่ี คี ุณภาพ จากการนาํ วสั ดุทเ่ี หลอื ใชใ้ น บา้ นอย่างท่อPVC มาเพม่ิ มูลค่าใหเ้ ป็นส่วนผลติ ในการสรา้ งตวั สนิ คา้ ทส่ี ามารถนาํ ไปต่อยอดในการสรา้ งมูลค่าของ สง่ิ ของเหลอื ใชแ้ ละเป็นการยกตวั อย่างในการประดษิ ฐโ์ คมไฟวา่ นอกจากทอ่ PVC แลว้ ก็ยงั มยี งั มวี สั ดุอปุ กรณ์ของเหลอื ใชอ้ กี มากมายทส่ี ามารถเพม่ิ มลู ค่าได้ ใหอ้ อกมาเป็นโคมไฟทท่ี าํ จากท่อPVCทส่ี ามารถทาํ ประโยชนใ์ หแ้ ก่ผูซ้ ้อื หลาย ๆ อย่างเช่นการเพ่มิ ปลกั ๊ ไฟแลว้ ยงั สามารถวางของแลว้ ยงั สามารถวางโทรศพั ทไ์ ดต้ ามทอ่ี อกแบบและวางแผนไวใ้ นการ ประดษิ ฐส์ นิ คา้ ตวั น้ีพรอ้ มวธิ กี ารในการประดษิ ฐแ์ ละวธิ ีทาํ ใหก้ บั ผูท้ ห่ี อ้ งการประดษิ ฐห์ รือทาํ ตามสามารถลงมอื ทาํ ตาม ได้ เพอ่ื ดาํ เนนิ ตามรอยเศรษฐกจิ พอเพยี ง ดงั่ พระราชดาํ รขิ องพระเจา้ อยู่หวั ทว่ี า่ ดว้ ยการใชอ้ ย่างพอเพยี ง เช่นเดยี วกบั กลุ่มของขา้ พเจา้ ท่นี ําท่อPVC เหลอื ใชท้ ่ถี ูกท้งิ อย่างไรค้ ่าแต่ทางกลุ่มของเรานน้ั ไดค้ ิดคน้ ท่จี ะพฒั นาใหท้ ่อPVC กลายเป็นสนิ คา้ ทส่ี ามารถนาํ มาใชป้ ระโยชนใ์ นชีวติ ประจาํ วนั ไม่วา่ จะเป็นการตกแต่งบา้ นหรือตกแต่งรา้ นคา้ และนาํ มา สรา้ งมูลคา้ ใหก้ บั ตวั สนิ คา้ ทาํ ใหม้ รี ายไดเ้ สริมจากการประยุกตใ์ ชจ้ ากสง่ิ ของเหลอื ใชม้ าประดิษฐ์ หรือนวตั กรรมท่มี ี คณุ ค่าและสามารถสรา้ งรายไดใ้ หก้ บั ผูท้ ม่ี ไี ม่มอี าชพี ประจาํ มากข้นึ วตั ถปุ ระสงคข์ องโครงการ 1. เพอ่ื ใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นรูข้ องวชิ าโครงการ
27 2. เพอ่ื สรา้ งมลู ค่าเพม่ิ ใหก้ บั วสั ดุ 3. เพอ่ื ใหน้ กั ศึกษาเกดิ ความสามคั คแี ละร่วมมอื ปฏบิ ตั งิ านกนั เป็นทมี 4. เพอ่ื ใหน้ กั ศึกษามคี วามคดิ รเิ ร่มิ สรา้ งสรรคแ์ ละเพม่ิ ทกั ษะในการออกแบบผลติ ภณั ฑ์ เป้ าหมายของโครงการ 1. การน าผลงานส่งเขา้ ประกวดการแขง่ ขนั ทกั ษะวชิ าชพี ประเภทสง่ิ ประดษิ ฐ์ 2. เสนอขายบคุ คลทม่ี คี วามสนใจในสง่ิ ประดษิ ฐจ์ ากวสั ดุ ผลท่ีคาดว่าจะไดร้ บั 1. การดาํ เนินงานบรรลตุ ามวตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นรูข้ องวชิ าโครงการ สามารถสรา้ งมลู เพม่ิ ใหก้ บั วสั ดุ 2. ทาํ ใหส้ มาชกิ ในกลมุ่ เกดิ ความสามคั คแี ละมคี วามร่วมมอื จากการท างานเป็นทมี 3. ทาํ ใหเ้กดิ ความคิดสรา้ งสรรคส์ รา้ งผลติ ภณั ฑท์ แ่ี ปลกใหม่และมคี ุณค่า ผลการดาเนินการ จากการดาํ เนินโครงการสง่ิ ประดษิ ฐ์ โคมไฟโบราณ จากทอ่ PVC สามารถบรรลเุ ป้าหมายวตั ถปุ ระสงคข์ องวชิ า โครงการ และไดเ้ ก็บเงนิ สมาชกิ ภายในกลมุ่ คนละ บาท จาํ นวน 3 คน เป็นเงนิ บาท สถานท่ี 229/3 ตาํ บล บางฉลุง อาํ เภอ บางพลี จงั หวดั สมทุ รปราการ 10540 ปฏบิ ตั ิงานในช่วงเดอื น มถิ นุ ายน 2562-กุมภาพนั ธ์ 2563 โดยเสยี ค่า วสั ดอุ ปุ กรณแ์ ละเอกสารเป็นจาํ นวนเงนิ บาท 6.โคมไฟจากหลอดพลาสตกิ ท่มี าและความสาคญั เน่อื งจากสภาพอากาศในประเทศไทย มสี ภาพอากาศทร่ี อ้ นจงึ ทาํ ใหก้ ระหายนาํ้ เรามกั จะไปดม่ื นาํ้ ทโ่ี รงอาหาร ซง่ึ เขาอาํ นวยความสะดวกใหโ้ ดยการใชห้ ลอดในการดม่ื แต่หลอดทเ่ี ราใชน้ นั้ ไม่สามารถนาํ มาดม่ื ไดอ้ กี ครงั้ แต่มนั ก็ยงั ใชป้ ระโยชนไ์ ด้ คณะผูจ้ ดั ทาํ เลง็ เหน็ วา่ หลอดนนั้ ยงั สามารถนาํ มาใชป้ ระโยชน์ เราจงึ คิดวา่ จะนาํ มาประดษิ ฐเ์ ป็นของใชท้ ่ี สามารถนาํ มาใชไ้ ดจ้ ริง เราจงึ คิดว่าถา้ นาํ มาทาํ เป็นโคมไฟ โคมไฟนนั้ จะช่วยประหยดั ค่าใชจ้ ่ายในบา้ น ดงั นนั้ คณะ ผูจ้ ดั ทาํ จึงนําวสั ดุมาจดั ทาํ เป็นโคมไฟจากหลอดพลาสติกเพอ่ื นําวธิ ีการประดษิ ฐโ์ คมไฟไปใชใ้ นชีวติ ประจาํ วนั ลด ปรมิ าณขยะทม่ี อี ยู่จาํ นวนมากและประหยดั ค่าใชจ้ ่าย วตั ถปุ ระสงค์ 1.เพอ่ื นาํ หลอดพลาสตกิ นาํ กลบั มาใชใ้ หเ้กดิ ประโยชนใ์ หไ้ ดม้ ากทส่ี ุด 2.เพอ่ื ฝึกฝนการทาํ สง่ิ ประดษิ ฐ์ ขอบเขตการจดั ทาโครงงาน 1.สถานทด่ี าํ เนนิ งาน - 189 ถ.กระบเ่ี ขาทอง ต.ปากนาํ้ อ.เมอื ง จ.กระบ่ี โรงเรียนเทศบาล 2 (คลองจหิ ลาด) - 122/4 ม.8 ต.ทบั ปรกิ อ.เมอื ง จ.กระบ่ี เดก็ ชายธนาเพชร ทองมขี วญั 2.ระยะเวลาดาํ เนนิ งานตงั้ แต่ วนั ท่ี 16 พฤษภาคม 2559 ถงึ 28 กุมพาพนั ธ์ 2560
28 3.แหล่งขอ้ มูล - คน้ ควา้ ขอ้ มูลจากอินเตอรเ์ น็ต ณ หอ้ งสมดุ IT โรงเรียนเทศบาล๒ (คลองจิหลาด) - อนิ เตอรเ์ น็ต - สอบถามจากผูป้ กครอง คุณครู เพอ่ื น ๆ และบคุ คลทวั่ ไป ประโยชน์ท่คี าดว่าจะไดร้ บั 1.สามารถทาํ โครงงานประดษิ ฐไ์ ดอ้ ย่างเป็นขนั้ ตอนและถกู ตอ้ ง 2.ไดร้ ูว้ ธิ กี ารประดษิ ฐโ์ คมไฟ 3.ทาํ ใหเ้กิดการพฒั นาความคดิ อย่างสรา้ งสรรค์ 4.ใชเ้วลาวา่ งใหเ้กดิ ประโยชน์ 5.สามารถเพม่ิ มลู ค่าใหว้ สั ดุเหลอื ใชไ้ ด้ ผลการดาเนินงาน สรุปผลของโครงงานการประดษิ ฐโ์ คมไฟจากวสั ดุเหลอื ใช้ โคมไฟจากหลอดพลาสตกิ จดั ทาํ ข้นึ เพอ่ื ประดษิ ฐ์ โคมไฟจากหลอดพลาสตกิ เพอ่ื นาํ หลอดทเ่ี ราใชแ้ ต่ไมส่ ามาถนาํ กลบั มาใชด้ ม่ื ไดอ้ กี ครงั้ แต่ยงั ใชป้ ระโยชนไ์ ด้ จงึ นาํ มา ทาํ เป็นโคมไฟแลว้ ยงั ลดปริมาณขยะและประหยดั ค่าใชจ้ ่ายไดอ้ ีกดว้ ย จากการประเมนิ ความพงึ พอใจโครงงานการ ประดิษฐโ์ คมไฟจากวสั ดุเหลอื ใช้ ไดร้ บั ความพงึ พอใจจากคณะครูและนกั เรียนโรงเรียนเทศบาล 2 คลองจิหลาด โดยเฉพาะดา้ นความสวยงามของโคมไฟดา้ นวสั ดุอุปกรณ์ทใ่ี ชม้ คี ุณภาพและดา้ นใชว้ สั ดุเหลอื ใชใ้ นการทาํ ค่าเฉลย่ี เทา่ กบั 4.30 ความพงึ พอใจอยู่ในระดบั มาก 7.โคมไฟจากไมไ้ อติม ท่มี าและความสาคญั พบวา่ ในปจั จบุ นั เรานน้ั ในสงั คมไทยสว่ นใหญ่เวลาตอ้ งการสง่ิ ของสง่ิ หน่ึงนนั้ เราก็จะไปซ้อื ตามทต่ี ่างๆทม่ี สี ง่ิ ของ เหลา่ นน้ั แต่พบวา่ มรี าคาสูงมาก กลมุ่ ของขา้ พเจา้ เลยตง้ั โครงงานช้นิ น้ขี ้นึ มาเพอ่ื คนทต่ี อ้ งการประหยดั ค่าใชจ้ ่ายในการ ซ้อื สง่ิ ของทต่ี อ้ งการ โดยกลมุ่ ของขา้ พเจา้ นน้ั จะประดษิ ฐส์ ง่ิ ของทอ่ี ยู่ใกลต้ วั เรา เช่น ประดษิ ฐส์ ง่ิ ของจากไมไ้ อตเิ พราะ ไมไ้ อติม สามารถนาํ มาประดิษฐส์ ง่ิ ของไดห้ ลายอย่าง กลุ่มขา้ พเจา้ เลยตอ้ งการทจ่ี ะทาํ ทผ่ี ูซ้ ้อื สงั่ หรอื ทาํ ตามความคิด ของคนในกลมุ่ แลว้ นาํ มาจาํ หน่ายใหก้ บั คนทต่ี อ้ งการประหยดั ค่าใชจ้ ่ายบางส่วนลง ตอ้ งการความทนทาน คุม้ ค่ามาก ทส่ี ุด และสามารถนาํ ไปใชช้ วี ติ ประจาํ วนั มากทส่ี ุด วตั ถปุ ระสงค์ 1.เพอ่ื ศึกษาการสรา้ งโครงงานสง่ิ ประดษิ ฐ์ 2.เพอ่ื ศึกษา โครงงาน เร่อื ง โคมไฟจากไมไ้ อตมิ ใหใ้ ชง้ านเป็นอย่างดี 3.เพอ่ื ใหเ้กดิ เจตนาทด่ี ตี ่อการสรา้ งโครงงานสง่ิ ประดษิ ฐ์ ขอบเขตการศึกษา 1.โรงเรยี นเบญ็ จะมะมหาราช ประโยชนท์ ่คี าดวา่ จะไดร้ บั 1.ไดป้ ฏบิ ตั กิ ิจกรรมตามความถนดั และความสนใจของตนเอง 2.ไดร้ บั การฝึกทกั ษะและความคดิ รเิ รม่ิ สรา้ งสรรค์
29 3.ไดร้ ูจ้ กั การนาํ เศษวสั ดุเหลอื ใชม้ าดดั แปลง ประดษิ ฐ์ ตกแต่งใหเ้กิดประโยชน์ ผลการดาเนินการ จากทไ่ี ดล้ งมอื ปฏบิ ตั กิ ิจกรรมตามโครางงาน โคมไฟจากไมไ้ อตมิ มกี ารร่วมกนั สบื คน้ และสอบถามขอ้ มลู ตาม หมบู่ า้ นต่างๆจากผูป้ กครองของนกั เรยี น ผูป้ กครองใหค้ วามร่วมมอื ในการทาํ การโครางงานไดด้ ี และสมาชกิ ภายใน กลมุ่ ใหค้ วามร่วมมอื ในการสรา้ งสง่ิ ประดษิ ฐ์ ช้นิ น้เี ป็นอย่างดี เป็นงานท่ีสรา้ งสรรคค์ วามคิดสามารถต่อยอดเป็นรายได้ ใหแ้ ก่ตน หรอื บคุ คลอน่ื ได้ โดยสง่ิ ประดษิ ฐท์ ส่ี รา้ งข้นึ สามารถใชง้ านไดจ้ ริง ปลอดภยั ต่อตนเอง และคนรอบ แลว้ ยงั ประหยดั เงนิ รกั ษาสภาพแวดลอ้ มโดยการนาํ ไมไ้ อตมิ ทร่ี บั ประทานมาทาํ ความสะอาดแลว้ ใชท้ าํ สง่ิ ทม่ี คี ่าได้ 8.โคมไฟจากกระป๋ อง ท่มี าและความสาคญั เน่อื งจากในปจั จบุ นั วสั ดุทเ่ี หลอื ใชจ้ ากการทาํ กิจกรรมต่างๆของมนุษยม์ ากข้นึ อาจมวี สั ดบุ างประเภททม่ี มี ากใน ทอ้ งถน่ิ อาจนาํ มาแปรรูปใหเ้กิดความสวยงามและใชส้ อยไดส้ ามารถนาํ มาประดฐิ ์ ในชวี ติ ประจาํ วนั เราจะเหน็ วา่ ในชมุ ชนนน้ั จะมขี ยะและกระป๋องสลมิ มากมายซง่ึ ทาํ ใหเ้กิดปญั หาในชมุ ชน ทาง คณะผูจ้ ดั ทาํ โครงงานไดช้ ่วยกนั ระดมความคิดทจ่ี ะนาํ กระป๋องสลมิ มาประดษิ ฐเ์ ป็นโคมไฟเพอ่ื ใชป้ ระโยชนไ์ ดแ้ ละมี ความสวยงามช่วยลดขยะในชมุ ชนใชเ้วลาวา่ งใหเ้กดิ ประโยชนแ์ ละไดร้ ายไดต้ ่อครอบครวั และชมุ ชน คณะจดั ทาํ โครงงานจงึ เลง็ เหน็ ประโยชนจ์ ากกระป๋องสลมิ นน้ั ก็คือการนาํ มาประดษิ ฐเ์ ป็นโคมไฟซง่ึ ในปจั จุบนั นน้ั มกี ารออกแบบโดยโคมไฟในหลายรูปแบบเราจงึ สรา้ งสรรคห์ ลายรูปแบบของโคมไฟในรูปแบบต่างๆไดอ้ าจสามารถ นาํ มาตกแต่งบา้ นเรอื นหรอื ตามสถานทต่ี ่างๆเพอ่ื ทาํ ใหเ้กิดความสวยงามแกผ้ ูพ้ บเหน็ อกี ทงั้ เป็นผลติ ภณั ฑท์ เ่ี พม่ิ รายได้ ระหวา่ งเรยี นแก่นกั เรยี นอกี ดว้ ย วตั ถปุ ระสงค์ 1.เพอ่ื ศึกษาขน้ั ตอนในการทาํ โคมไฟจากกระป๋องสลมิ 2.เพอ่ื ใหเ้กดิ การประสบการณใ์ นการทาํ โคมไฟจากกระป๋องสลมิ 3.เพอ่ื นาํ สง่ิ ของเหลอื ใชม้ าทาํ ใหเ้กดิ มลู ค่า 4.เพอ่ื ใชเ้วลาวา่ งใหเ้กิดประโยชน์ 5.เพอ่ื ก่อใหเ้กิดรายไดจ้ ากการดาํ เนนิ งาน ขอบเขตการทางาน 1.สถานทด่ี าํ เนิน 1.1โรงเรียนเทศบาล ๒ (คลองจหิ ลาด) ตาํ บลปากนาํ้ อาํ เภอเมอื งจงั หวดั กระบบ่ี า้ นภูทวี คงสุข 49/1 หมู่2 ตาํ บลทบั ปรกิ อ.เมอื ง จ.กระบ่ี 2.ระยะเวลาการดาํ เนนิ งานตงั้ แต่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2559-28 กุมพาพนั ธ์ 2559 3.แหลง่ ขอ้ มลู 3.1 คน้ ควา้ ขอ้ มลู จากอนิ เตอรเ์ นต้ 3.2 สอบถามจากผูป้ กครอง คณุ ครู เพอ่ื นๆและบคุ คลทวั่ ไป
30 3.3 ศึกษาแหลง่ เรยี นรูก้ ารทาํ โคมไฟในอนิ เตอรเ์ น็ต ประโยชน์ท่คี าดหวงั ว่าจะไดร้ บั 1. สามารถใชเ้วลาวา่ งใหเ้กดิ ประโยชน์ 2. สามารถนาํ สง่ิ ของเหลอื ใชม้ าทาํ ใหเ้กิดมลู ค่า 3. สามารถไดม้ ปี ระสบการณใ์ นการทาํ โคมไฟจากกระป๋องสลมิ 9.โคมไฟจากกลอ่ งนม ท่มี าและความสาคญั ปจั จบุ นั โลกของเราไดพ้ บกบั ปญั หาขยะทเ่ี กิดจากกลอ่ งนมเป็นจาํ นวนมาก ก่อใหเ้กิดปญั หาแก่โลกเรา ทาํ ให้ เพม่ิ ปรมิ าณขยะอย่างรวดเร็วซง่ึ เป็นสาเหตุหน่ึง ทท่ี าํ ใหโ้ ลกของเราในปจั จุบนั รอ้ นข้นึ เร่อื ย ๆ ในไม่ชา้ สง่ิ เหลา่ น้ีอาจจะ ส่งผลทาํ ใหท้ รพั ยากรของโลกหมดไปอย่างรวดเร็วขา้ พเจา้ จงึ ไดไ้ ปคน้ หาไอเดยี ต่าง ๆ ในอินเทอรเ์ น็ตแลว้ ไดพ้ บกบั ไอเดยี ของ Edward Chewทท่ี าํ โคมไฟจากกลอ่ งนม ยูเอสที และกลอ่ งนาํ้ ผกั ผลไมต้ ่าง ๆ เป็นการน าของทใ่ี ชแ้ ลว้ มาเป็นของใชช้ ้นิ ใหม่ ขา้ พเจา้ จงึ เกิดแรงบนั ดาลใจ จากผลงานของ Edward Chew ไดค้ ิดว่างานช้นิ น้ีเป็นการช่วย อนุรกั ษพ์ ลงั งานและส่งิ แวดลอ้ ม ช่วยลดภาวะโลกรอ้ นเพ่อื ใชป้ ระโยชน์โดยไม่ตอ้ งเสียเงนิ ไปซ้อื โคมไฟมาใช้ เรา สามารถประดษิ ฐใ์ ชเ้องทบ่ี า้ นได้ ซง่ึ ไมย่ ากมากและเป็นการใชเ้วลาวา่ งใหเ้กดิ ประโยชนอ์ กี ดว้ ย ดงั้ นน้ั การนาํ กลอ่ งนมท่ี ถูกท้งิ เป็นขยะ มาทาํ เป็นโคมไฟ ก็เป็นการกระทาํ ทค่ี ุม้ ค่า และสามารถนาํ มาช่วยสรา้ งรายไดใ้ หก้ บั ชุมชน และช่วย ส่งเสริมการใชเ้ วลาว่างใหเ้ กิดประโยชนท์ างคณะผูจ้ ดั ทาํ โครงการจงึ ไดจ้ ดั ทาํ โครงการโคมไฟจากกล่องนม เป็นงาน ประดิษฐโ์ คมไฟ จากกล่องนม ซ่งึ จะช่วยลดจาํ นวนกล่องนม ท่ีนํามาท้ิงเป็นขยะ ใหเ้ ปล่าประโยชนห์ รือรก อาจ ก่อใหเ้ กิดภาวะโลกรอ้ นได้ พวกเราเลยปรึกษากนั โดยการนาํ กลอ่ งนมทถ่ี ูกท้งิ มาประดษิ ฐใ์ หเ้กิดประโยชนส์ ูงสุด จึง เกดิ เป็นโครงการน้ีข้นึ มา วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพอ่ื ประดษิ ฐส์ ง่ิ ประดษิ ฐโ์ คมไฟจากกลอ่ งนม 2. เพอ่ื วางแผนทางการตลาด การผลติ และการเงนิ ของสง่ิ ประดษิ ฐโ์ คมไฟจากกลอ่ งนม 3. เพอ่ื วางแผนธุรกิจของสง่ิ ประดษิ ฐโ์ คมไฟจากกลอ่ งนม เป้ าหมายของโครงการ 1. สรา้ งผลกาํ ไรและรายไดใ้ หก้ บั นกั ศึกษา 2. ทาํ ใหเ้กิดกระบวนการเรยี นรูใ้ นการปฏบิ ตั งิ าน การติดตามผลและการประเมินโครงการ 1. นาํ เสนองานประดษิ ฐเ์ พอ่ื ใหค้ ณะกรรมการเป็นผูป้ ระเมนิ 2. แบบสอบถามความพงึ พอใจผูช้ ม 3. รายงานสรปุ ผลการดาํ เนินการ ผลท่ีคาดว่าจะไดร้ บั 1. ไดส้ ง่ิ ประดษิ ฐโ์ คมไฟจากกลอ่ งนม
31 2. ไดว้ างแผนทางการตลาด การผลติ และการเงนิ ของสง่ิ ประดษิ ฐโ์ คมไฟจากกลอ่ งนม 3. ไดแ้ ผนธุรกจิ ของสง่ิ ประดษิ ฐโ์ คมไฟจากกลอ่ งนม 4. บรรลวุ ตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นรูว้ ชิ าโครงการ 5. สรา้ งอาชพี และรายไดร้ ะหวา่ งการศึกษา 6. เกดิ ความสามคั คแี ละมคี วามร่วมมอื จากการท างานเป็นทมี 7. มคี วามคิดรเิ รม่ิ สรา้ งสรรคแ์ ละมที กั ษะการวางกลยุทธท์ างการตลาด ผลการดาเนินโครงงาน โครงการนวตั กรรมสง่ิ ประดษิ ฐโ์ คมไฟจากกลอ่ งนม (The Artifical Innovation of MilkBoxes’Lamp) เป็น โครงการท่มี แี นวคิดนาํ วสั ดุเหลอื ใชค้ ือกล่องนมมาประดิษฐส์ รา้ งสรรคเ์ ป็นโคมไฟจากการท าโครงการนวตั กรรม สง่ิ ประดษิ ฐโ์ คมไฟจากกลอ่ งนม มผี ูร้ ่วมลงทนุ ทง้ั หมด 2 คนจาํ นวนเงนิ ทล่ี งทนุ คนละ 1,000 บาท เป็นจาํ นวน 2,000 บาท สถานทใ่ี นการปฏิบตั ิงานท่ี หจก. วเี คเค ยูสดค์ าร์ จ ากดั 19/84 ม. 6 ต.บางเมืองใหม่ อ.เมอื ง จงั หวดั สมทุ รปราการ 10270ระยะเวลาในการปฏบิ ตั งิ านหรอื ประดษิ ฐโ์ คมไฟตงั้ แต่กรกฎาคม2561–มกราคม2562 มคี ่าใชจ้ ่าย ในการปฏบิ ตั งิ านทง้ั สนิ 2,000 บาท การจดั ท าโครงการนวตั กรรมสง่ิ ประดษิ ฐโ์ คมไฟจากกลอ่ งนมช่วยใหผ้ ูจ้ ดั ทาํ ไดร้ บั ความรูแ้ ละประสบผลสาํ เร็จตามวตั ถปุ ระสงคโ์ ครงการ 4.แนวคิดและทฤษฎที ่เี ก่ยี วขอ้ ง ทฤษฎี X และ Y ของดกั ลาส แมคเกรเกอร์ ประวตั ิของดกั ลาสแมคเกรเกอร์ Douglas Murray McGregor (1906 -1964) เขาเกดิ ปี1906 ในเมอื งชายแดนทค่ี ึกคกั ของดที รอยต์ มชิ ิแกน เมอ่ื เขาเรียน High School เขาไดเ้ ลน่ เปียโน และทาํ งานเป็นเสมยี นกลางคืนทส่ี ถาบนั the McGregor ไปดว้ ย สถาบนั the McGregor เป็นสถาบนั ของครอบครวั เขา ทม่ี พี นกั งานชวั่ คราวกว่า 100 คน อายุ 17 เขาไดเ้ ขา้ เรยี นใน ระดบั ปริญญาจติ วทิ ยาทว่ี ทิ ยาลยั Wayne State University เมอื งดที รอยต์ อายุ 19 เขาตดั สนิ ใจพกั การเรยี นเพอ่ื แต่งงาน และเป็นผูด้ ูแลสถานนี าํ้ มนั ในบฟั ฟาโล ปี 1930 เขาไดข้ ยายสถานนี าํ้ มนั ใหม้ มี ากข้นึ ปี 1932 เขาไดย้ า้ ยไปศึกษาต่อท่ี Cambridge, Massachusetts ปี 1935 เขาไดศ้ ึกษาทฮ่ี าวารด์ ศึกษาต่อ MA และปรญิ ญาเอกทางจติ วทิ ยา หลงั จากเรียนจบแลว้ เขาก็ไดอ้ ยู่เป็น อาจารยส์ อนจติ วทิ ยาทฮ่ี าวารด์ ต่ออกี 2 ปี จากนนั้ มาสอนทส่ี ถาบนั เทคโนโลยแี มสซาชูเซทหรือ MIT ฐานะอาจารย์ สอนวชิ าจติ วทิ ยา เน่ืองจากตาํ แหน่งท่เี พม่ิ ข้นึ ทาํ ใหเ้ขายา้ ยเขา้ มาเป็นศาสตราจารยส์ อนทางจติ วทิ ยาและเป็นผูบ้ ริหาร ระดบั สูงในสว่ นของแผนกความสมั พนั ธท์ างอตุ สาหกรรมของ MIT และในทส่ี ดุ ก็ไดก้ ลายเป็นนกั จติ วทิ ยาสงั คม ปี 1947 เมอ่ื เขาอายุได4้ 1 เขาไดก้ ลายเป็นประธานของวทิ ยาลยั Antitioch ปี 1960 ช่ือของเขาเป็นท่รี ูจ้ กั จากการเขา้ ไปเช่ือมโยงกบั ทฤษฎีY ทเ่ี ขาไดก้ ลา่ วไวใ้ นหนงั สอื เร่อื ง “Managing the Human Side of Enterprise” ในช่วงฤดูรอ้ น
32 ปี1964 เขาไดใ้ ชเ้ วลาเขยี นตน้ ฉบบั ซ่งึ ถูกตีพิมพห์ ลงั จากเขาตายในเดือนตุลาคมช่ือ เร่ือง “The Professional Manager ” แมว้ า่ Douglas McGregor จะหวั ใจวายตายอย่างกะทนั หนั ดว้ ยอายุแค่ 58 ปีแต่ Douglas McGregor ทฤษฎไี มแ้ ขง็ (X Theory) และทฤษฎไี มน้ วม (Y Theory) ของเขาก็ยงั เป็นทค่ี วามคิดก็ทาํ ใหเ้ขาไดข้ ้นึ ช่อื ว่าเป็น\"ผู้ บกุ เบกิ การบรหิ ารจดั การ\" ผูค้ ิดคน้ ทฤษฎี X และ ทฤษฎYี ทฤษฎี X (Theory X) คือคนประเภทเกียจครา้ น ในการบริหารจงึ ควรใชม้ าตรการบงั คบั มรี ะเบยี บ กฎเกณฑค์ อย กาํ กบั มกี ารควบคุมการทาํ งานอย่างใกลช้ ดิ และมกี ารลงโทษเป็นหลกั ทฤษฎี Y (Theory Y) คือคนประเภทขยนั ควรมกี ารกาํ หนดหนา้ ทก่ี ารงานทเ่ี หมาะสม ทา้ ทายความสามารถ สร้าง แรงจูงใจในการปฏบิ ตั งิ านเชงิ บวก และควรเปิดโอกาสใหม้ สี ่วนร่วมในการบรหิ ารงาน ทฤษฎี X และทฤษฎี Y ของแมคเกรเกอร์ แมคเกรเกอร์ (McGregor, 1960) ไดช้ ้ใี หเ้หน็ ถงึ แบบของการบรหิ าร 2 แบบ คอื ทฤษฎี X ซง่ึ มลี กั ษณะเป็นเผดจ็ การ ซง่ึ ทฤษฎี X คือคนประเภทเกียจครา้ น ในการบริหารจงึ ควรใชม้ าตรการบงั คบั มรี ะเบยี บกฎเกณฑค์ อยกาํ กบั มกี าร ควบคุมการทาํ งานอย่างใกลช้ ิด และมกี ารลงโทษเป็นหลกั ส่วนทฤษฎี Y หรือการมสี ่วนร่วม ซง่ึ ทฤษฎี Y คือคน ประเภทขยนั ควรมกี ารกาํ หนดหนา้ ทก่ี ารงานทเ่ี หมาะสมทา้ ทายความสามารถสรา้ งแรงจูงใจในการปฏบิ ตั ิงานเชงิ บวก และควรเปิดโอกาสใหม้ สี ่วนร่วมในการบรหิ ารงานแต่ละแบบเก่ยี วขอ้ งกบั สมมตุ ฐิ านทม่ี ตี ่อลกั ษณะซง่ึ สามารถแยกแยะ แต่ละทฤษฎใี นการกระทาํ ของมนุษยไ์ ดด้ งั น้ี แบบทฤษฎี X มคี วามเช่ือว่า 1.มนุษยโ์ ดยทวั่ ไปไมช่ อบการทาํ งาน และพยายามหลกี เลย่ี งงานถา้ สามารถทาํ ไดซ้ ง่ึ มนุษยม์ สี ญั ชาตญาณท่ีจะ หลกี เลย่ี งงานทกุ อย่างเทา่ ทจ่ี ะทาํ ได้ 2.เน่ืองจากการไม่ชอบทาํ งานของมนุษย์ มนุษยจ์ งึ ถกู ควบคุมบงั คบั หรือข่มขู่ใหท้ าํ งาน ชอบใหส้ งั่ การและใช้ วธิ กี ารลงโทษ เพอ่ื ใหใ้ ชค้ วามพยายามไดเ้พยี งพอ และบรรลวุ ตั ถปุ ระสงคข์ ององคก์ ารเน่ืองจากไม่ชอบทาํ งานจงึ ตอ้ งมี การใชอ้ าํ นาจบงั คบั ควบคุม แนะนา ขูจ่ ะลงโทษ 3. มนุษยโ์ ดยทวั่ ไปพอใจกบั การช้แี นะสงั่ การหรือการถกู บงั คบั ตอ้ งการหลกี เลย่ี งความรบั ผดิ ชอบ มคี วาม ทะเยอทะยานนอ้ ย และตอ้ งการความมนั่ คงมากทส่ี ุด ผูบ้ รหิ ารตามทฤษฎี X จงึ ตอ้ งสรา้ งแรงจูงใจโดยการขม่ ขูแ่ ละ ลงโทษ โดยการแนะนาํ ช้แี นวทางในการทาํ งานหลกี เลย่ี งความ รบั ผดิ ชอบ และตอ้ งการความปลอดภยั มากกวา่ สง่ิ อน่ื เพอ่ื ทาํ ใหล้ ูกนอ้ งใชค้ วามพยายามใหบ้ รรลคุ วามสาํ เรจ็ ตามเป้าหมายขององคก์ าร นนั่ คือทฤษฎี X มสี มมตฐิ านว่าตอ้ งบงั คบั ใหม้ นุษยท์ าํ งานเพราะมนุษยเ์ กียจครา้ น และ ไม่ค่อยรบั ผดิ ชอบ ผลคือ ผูบ้ รหิ ารจะควบคุมผูใ้ ตบ้ งั คบั บญั ชาอย่างใกลช้ ดิ และจูงใจคนดว้ ยการใหเ้งนิ หรอื ผลประโยชน์ แต่ถา้ ทาํ ผดิ ก็จะมกี าร คาดโทษกนั สว่ นผูใ้ ตบ้ งั คบั บญั ชาอาจจะทาํ ตามสงั่ ไม่สนใจปรบั ปรุงงานเนน้ เรอ่ื งเงนิ เป็นหลกั ทฤษฎนี ้จี งึ เหมาะใชใ้ นท่ี ทข่ี าดคนงานและมมี าตรฐานการครองชีพตาํ่ Mcgregor กลา่ วว่า ถา้ คนไดต้ ามทต่ี อ้ งการทงั้ กายและใจทฤษฎนี ้ีคงใช้ ไม่ไดผ้ ล เมอ่ื ตง้ั ทฤษฎี X ข้นึ มา แมคเกรเกอรต์ ง้ั ขอ้ สงั เกตวา่ ธรรมชาติของคนตามทฤษฎนี ้ีจะถูกตอ้ งหรอื ไม่ หรือ นาํ ไปใชท้ ุกสถานการณ์หรือไม่ในท่สี ุดก็หาขอ้ ยุติไม่ได้ เขาจึงพฒั นาทฤษฎีพฤติกรรมของมนุษยข์ ้นึ มาทฤษฎีหน่ึง
33 เรยี กวา่ ทฤษฎี y ซง่ึ เชอ่ื วา่ มนุษยน์ น้ั โดยธรรมชาตมิ ใิ ช่เกยี จครา้ นและเช่อื ถอื ไม่ไดห้ ากแต่มนุษยส์ ามารถควบคมุ ตวั เอง ไดแ้ ละมคี วามตงั้ ใจทจ่ี ะทาํ งานใหด้ ที ส่ี ุด หากไดร้ บั การจูงใจอย่างเหมาะสมผูบ้ ริหารยอมรบั ทฤษฎี y เขาจะไม่ควบคุม หรือใชอ้ าํ นาจข่มขูผ่ ูบ้ งั คบั บญั ชาใหอ้ ยู่ในความกลวั แต่จะพยายามช่วยใหผ้ ูใ้ ตบ้ งั คบั บญั ชาควบคุมตวั เองและมโี อกาส แสดงความกา้ วหนา้ อย่างกวา้ งขวาง แบบทฤษฎี Y มคี วามเช่ือวา่ 1.การทาํ งานเป็นการตอบสนองความพอใจ ซง่ึ ความพยายามของมนุษยท์ างกาํ ลงั กายกาํ ลงั ใจต่องานมมี าก เทา่ กบั การเลน่ และการพกั ผ่อน 2.การขม่ ขดู่ ว้ ยวธิ กี ารลงโทษไมไ่ ดเ้ป็นวธิ กี ารทด่ี ที ส่ี ุดในการจูงใจใหค้ นทาํ งาน บุคคลทผ่ี ูกพนั กบั การบรรลถุ งึ ความสาํ เร็จตามเป้ าหมายขององคก์ าร จะมีแรงจูงใจดว้ ยตนเองและควบคุมตนเองการควบคุมและการบงั คบั จาก ภายนอกไมใ่ ช่วธิ เี ดยี วทจ่ี ะใหก้ ารงานบรรลวุ ตั ถปุ ระสงคเ์ พราะคนย่อมทจ่ี ะทาํ งานดว้ ย ความเป็นตวั ของตวั เอง 3.ความผูกพนั ของบุคคลทม่ี ตี ่อเป้าหมายข้นึ อยู่กบั รางวลั และผลตอบแทนทพ่ี วกเขาคาดหวงั ว่าจะไดร้ บั เมอ่ื เป้าหมายบรรลถุ งึ ความสาํ เร็จ ซง่ึ มนุษยม์ คี วามพอใจทจ่ี ะทาํ งานใหส้ าํ เร็จดว้ ยความตงั้ ใจ 4.ภายใตส้ ภาพแวดลอ้ มทเ่ี หมาะสมในการทาํ งาน เป็นการจูงใจใหบ้ คุ คลยอมรบั และแสวงหาความ รบั ผดิ ชอบ มีความคิดสรา้ งสรรค์ในการทาํ งาน ซ่งึ คนเราไม่เพยี งเรียนแต่เพียงการยอมรบั ผดิ ชอบเท่านนั้ ยงั แสวงหาความ รบั ผดิ ชอบเพม่ิ ข้นึ อกี ดว้ ย 5.ความสามารถในการใชค้ วามคิดจนิ ตนาการความเฉลยี วฉลาดและความคิดรเิ ร่มิ แกป้ ญั หาต่างๆทป่ี ระสบ เป็นสง่ิ ทม่ี อี ยู่ในทกุ ตวั คน 6.ในสงั คมปจั จบุ นั มนุษยแ์ ต่ละคนมโี อกาสแสดงความสามารถเพยี งสว่ นหนง่ึ เท่านน้ั นนั่ คือตามทฤษฎี y เชอ่ื วา่ มนุษยม์ คี วามคิดรเิ ร่มิ ความขยนั ความรบั ผดิ ชอบ อยากใหม้ คี วามร่วมมอื เพยี งแต่ผูบ้ รหิ ารจะพฒั นาคน หรอื จูงใจ คนเหลา่ น้ีอย่างถกู ตอ้ งไดแ้ ค่ไหน เพยี งไร วธิ กี ารคือตอ้ งจดั หรือสรา้ งสภาพแวดลอ้ มใหผ้ ูใ้ ตบ้ งั คบั บญั ชาไดส้ มดงั หวงั และองคก์ ารก็จะไดต้ ามเป้าหมาย โดยไมต่ อ้ งควบคมุ อย่างเขม้ งวด แต่ในทางตรงกนั ขา้ ม ผูบ้ งั คบั บญั ชาจะส่งเสริมให้ ผูใ้ ตบ้ งั คบั บญั ชาควบคมุ ตวั เอง หากอยากไดร้ บั การยกย่องมตี าํ แหน่ง มคี วามกา้ วหนา้ งานจงึ เสมอื นการเลน่ หรอื การ พกั ผ่อน ถา้ สภาพแวดลอ้ มมคี วามเหมาะสม นนั่ ก็คือคนจะสนุกกบั งาน มแี รงจูงใจทาํ งานอย่างเป็นสุข จะทาํ งานดว้ ย ความกระตอื รอื รน้ หรอื ทาํ มากกวา่ ทม่ี อบหมาย หรอื พยายามเสนอแนะการปรบั ปรุงงานทม่ี อี ยู่ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพมากข้นึ ยอมทมุ่ เทเวลาใหอ้ ย่างเต็มทเ่ี พอ่ื จะไดเ้ป็นทย่ี อมรบั ของผูบ้ งั คบั บญั ชาหรอื เพอ่ื นร่วมงาน โดยหวงั ว่า ในอนาคตเขาคง จะไดก้ า้ วหนา้ ในการงาน ทฤษฎี Y จงึ เนน้ ถงึ การพฒั นาตนเองของมนุษย์ ช้ใี หเ้หน็ วา่ มนุษยน์ นั้ รูจ้ กั ตวั เองไดถ้ กู ตอ้ ง รูจ้ กั ความสามารถ ของตนเอง ผูบ้ รหิ ารควรสรา้ งแรงจูงใจโดยการสรา้ งสรรคส์ ถานการณ์ทจ่ี ะทาํ ใหส้ มาชิกมี ความรูส้ กึ รบั ผดิ ชอบ และมี ส่วนร่วมในการทาํ งาน ในการบริหารนนั้ มกี ารนาํ ทฤษฎเี ชิงจติ วทิ ยามาใชจ้ าํ นวน มาก เพราะการบริหารเป็นการทาํ งาน กบั “คน” และทฤษฎจี ติ วทิ ยาก็พูด เร่อื ง “คน” การศึกษาทฤษฎจี ติ วทิ ยาทเ่ี ก่ียวกบั การควบคุมกาํ กบั พฤตกิ รรมของ มนุษย์ การสรา้ งแรงจูงใจในการทาํ งาน และภาวะผูน้ าํ จงึ เป็นประโยชนอ์ ย่างมากต่อผูบ้ ริหาร Donglas Mc Gregor
34 ไดค้ น้ พบแนวคิด “พฤติกรรมองคก์ าร” และสรุปว่า กิจกรรมการบริหารจดั การลว้ นมสี าเหตุรากฐานมาจากทฤษฎี พฤตกิ รรมมนุษย์ (human behaviors) ซง่ึ เป็นไปตามกรอบทฤษฎี X และทฤษฎี Y แนวความคิด คือ ทาํ ใหเ้ ราเห็นถงึ ภาพลกั ษณ์ของคนว่า แต่ละคนมที งั้ ดา้ นทด่ี แี ละดา้ นทไ่ี ม่ดี ดงั นน้ั เราจงึ ควรมองคนทง้ั สองดา้ นไมค่ วรมองเพยี งดา้ นใดดานหน่ึง เพราะเราจะไม่รูว้ ่า คนนนั้ เป็นคนดหี รอื ไม่ดยี กตวั อย่าง เช่น เวลาตาํ รวจตรวจจบั หมวกกนั น็อค ถา้ เรามองในแงล่ บเราก็คดิ วา่ ตาํ รวจรีดไถประชาชน หาเงนิ เขา้ กระเป๋าตวั เอง แต่ถา้ มองในแงบ่ วก ก็จะเหน็ ไดว้ า่ ตาํ รวจนนั้ เป็นผูร้ กั ษากฎหมาย เมอ่ื เหน็ ประชาชนไม่ปฏบิ ตั ิตามกฎหมาย ตาํ รวจก็ตอ้ งจบั เพอ่ื ในครง้ั ต่อไปประชาชนจะไดไ้ ม่ทาํ ผดิ กฎหมายอกี และคนทข่ี บั ขย่ี านพาหนะก็จะได้ ปลอดภยั สรุป Donglas Mc Gregor เหน็ วา่ คนมี 2 ประเภท และการบริหารคนทง้ั 2 ประเภท ตอ้ งใชว้ ธิ ีการบริหาร แตกต่างกนั ซง่ึ แมคเกรเกอรช์ ้ใี หเ้หน็ วา่ ในการจูงใจใหท้ าํ งานนนั้ ผูบ้ รหิ ารจะตอ้ งใชท้ ฤษฎี y และเขาตอ้ งมองคน ในแง่ ดเี ปิดโอกาสใหผ้ ูใ้ ตบ้ งั คบั บญั ชาใชค้ วามสามารถของตนอย่างเต็มท่ี การใชท้ ฤษฎyี จูงใจคนไดมากกว่าการใชท้ ฤษฎี X แต่ทง้ั น้ีมิไดม้ คี วามหมายว่า จะละเลยต่อการควบคุมเสยี โดยส้นิ เชิง นอกจากน้ีไดก้ ลา่ วถงึ ส่งิ ท่เี ป็นเคร่ืองช้ีถงึ การ ทาํ งานเป็นทมี โดยใหข้ อ้ แนะนา ไวด้ งั น้ี สง่ิ ทเ่ี ป็นเครอ่ื งช้ถี งึ การทาํ งานเป็นทมี Douglas McGregor ไดก้ ลา่ วไวใ้ นหนงั สอื “The Human Side Of Enterprise” วา่ สง่ิ ทช่ี ้ใี หเ้หน็ ถงึ การ ทาํ งานเป็นทมี มดี งั ต่อไปน้ี 1.บรรยากาศในทมี มกั จะเป็นแบบกนั เอง ไมม่ พี ธิ รี ตี อง เป็นแบบสบายๆ และไม่ตรึงเครียดบรรยากาศในการ ทาํ งานเป็นลกั ษณะทท่ี กุ คนเขา้ ร่วมกนั และทกุ คนมคี วามสนใจและไมม่ รี ่องรอยแสดงความเบอ่ื หน่ายในงานใหเ้หน็ 2.ในทมี งานจะมกี ารอภปิ รายหารอื กนั อย่างมาก อนั เป็นการอภปิ รายกนั โดยทุกคนมสี ่วนร่วมอย่างแทจ้ รงิ ทงั้ เป็นการอภปิ รายทต่ี รงกบั เร่อื งงานของทมี ถา้ เกดิ มใี ครอภปิ รายนอกเรอ่ื งก็จะมคี นดงึ กลบั เขา้ มาโดยเรว็ 3.สมาชกิ ทกุ คนมคี วามเขา้ ใจและยอมรบั ในงาน และมวี ตั ถปุ ระสงคข์ องทมี อย่างแจ่มแจง้ และจริงจงั จะมกี าร อภปิ รายกนั อย่างเสรถี งึ วตั ถปุ ระสงคข์ องทมี ในบางแงจ่ นกวา่ จะเป็นวตั ถปุ ระสงคข์ องทมี ทส่ี มาชกิ ทกุ คนยอมรบั ผดิ ชอบ ผูกพนั อย่างแทจ้ รงิ 4.สมาชิกจะยอมฟงั กนั และกนั การอภิปรายจะไม่มกี ารกระโดดจากขอ้ คิดหน่ึงไปยงั อกี ขอ้ คิดหน่ึงท่ไี ม่เก่ียว กนั เลย ทกุ คนจะฟงั ทกุ ขอ้ คดิ ทส่ี มาชกิ เสนอทกุ คนจะไมก่ ลวั ถกู กลา่ วหาวา่ โง่ เมอ่ื เสนอความคิดสรา้ งสรรคท์ ่ี ไม่เขา้ ท่า แมจ้ ะไม่เขา้ ท่าจรงิ ๆ ก็ตาม 5.ในทีมจะมีการไม่เห็นดว้ ยตลอดเวลาและกลุ่มก็จะมคี วามสบายใจกบั สภาพการณ์แบบน้ี พวกเขาจะไม่ พยายามหลกี เลย่ี งความขดั แยง้ อย่างเดด็ ขาด หรือไม่พยายามทจ่ี ะทาํ ใหท้ ุกสง่ิ ทุกอย่างราบร่นื หรอื หวานช่นื หรอื สว่าง แจ่มใส ทกุ สง่ิ ทกุ อย่างทม่ี คี วามเหน็ ไม่ลงรอยกนั เหลา่ นนั้ จะไม่ถกู กดเก็บหรอื ไมน่ าํ ข้นึ มาพจิ ารณาเป็นอนั ขาด หากแต่ จะมกี ารสาํ รวจตรวจดูเหตผุ ลของผูไ้ ม่เหน็ ดว้ ยอย่างรอบคอบแลว้ กลมุ่ จงึ จะหาวธิ ีแกข้ อ้ ขดั แยง้ เหลา่ นนั้ โดยจะไม่ใช้ อทิ ธพิ ลครอบงาํ ผูไ้ ม่เหน็ ดว้ ยนนั้ แต่อยา่ งใด ในทางกลบั กนั จะไมม่ กี ารก่อกวนโดยคนส่วนนอ้ ยแต่อย่างใดเช่นกนั คนท่ี ไม่เหน็ ดว้ ยจะไม่ถกู มองวา่ เป็นผูท้ พ่ี ยายามใชอ้ ทิ ธพิ ลครอบคลมุ ผูอ้ น่ื หรอื กลมุ่ หรือไม่แสดงความเป็นศตั รูออกมาเลย การไม่เหน็ ดว้ ยเป็นการแสดงออกใหเ้หน็ ความแตกต่างในทางความคดิ เหน็ อย่างจรงิ ใจและพวกเขาก็หวงั ว่าคนอน่ื ๆ จะ
35 ฟงั เพอ่ื ทจ่ี ะหาวธิ แี กไ้ ขต่อไป บางครงั้ จะมกี ารไมเ่ หน็ ดว้ ย ซง่ึ ไมส่ ามารถจะแกไ้ ขไดก้ ็ตาม แต่กลมุ่ จะมวี ธิ ที จ่ี ะอยู่ร่วมกบั ความขดั แยง้ นน้ั ๆ ยอมรบั ความขดั แยง้ เหล่านน้ั แต่จะไม่ยอมใหค้ วามขดั แยง้ เหลา่ นน้ั เป็นอุปสรรคต่อการทาํ งาน อย่างเดด็ ขาด ในบางสภาพกรรณ จะมกี ารยอมใหม้ กี ารศึกษาเร่อื งราวระหวา่ งสมาชกิ กนั ต่อไป หรอื ในบางกรณีทม่ี กี าร ไม่ลงรอยกนั นน้ั ไม่อาจจะแกไ้ ขไดแ้ ละการดาํ เนินการก็จาํ เป็นจะตอ้ งดาํ เนินการต่อไปอย่างน้ี เขาจะดาํ เนินการต่อไป ทนั ที แต่เขาจะระมดั ระวงั และตระหนกั อยู่เสมอวา่ เรอ่ื งน้ีจะตอ้ งนาํ มาพจิ ารณาอกี 6.การตดั สนิ ใจส่วนใหญ่เป็นการตดั สนิ ใจโดยมคี วามเหน็ พอ้ งตอ้ งกนั ซง่ึ แสดงใหเ้หน็ อย่างชดั เจนวา่ ทกุ คนมี ความเหน็ ดว้ ยโดยทวั่ ไป และเต็มใจทจ่ี ะปฏบิ ตั ติ ามการตดั สนิ ใจเหลา่ นนั้ แต่อย่างไรก็ดมี แี นวโนม้ เลก็ นอ้ ยทบ่ี คุ คลผูไ้ ม่ เหน็ ดว้ ยนนั้ จะเก็บความไม่เหน็ ดว้ ยอย่างแทจ้ รงิ นนั้ ไวใ้ นใจโดยไม่แสดงออกมาดว้ ยความจรงิ ใจ การตดั สนิ ใจโดยวธิ ี โหวตเสยี งกนั นน้ั จะมนี อ้ ยทส่ี ุด กลมุ่ จะไมย่ อมรบั เสยี งขา้ งมากอย่างงา่ ยๆ น้วี า่ เป็นพ้นื ฐานการกระทาํ ทถ่ี กู ตอ้ ง 7.การวพิ ากษว์ จิ ารณ์จะกระทาํ กนั บ่อยเป็นนิจสนิ ทาํ กนั อย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา และกระทาํ ไดด้ ว้ ยความ สบายใจ การวพิ ากษว์ จิ ารณ์น้ีจะมกี ารโจมตเี รอ่ื งส่วนตวั ของบคุ คลนอ้ ยมากหรอื แทบไม่มเี ลย ไมว่ า่ จะโดยเปิดเผยหรือ ลบั หลงั การวพิ ากษว์ จิ ารณ์จะเป็นไปในลกั ษณะสรา้ งสรรคเ์ พอ่ื แกไ้ ขในสง่ิ ทผ่ี ดิ และขจดั อุปสรรคต่างๆ ทก่ี ลมุ่ เผชญิ อยู่ และจะทาํ ใหง้ านของกลมุ่ กา้ วหนา้ 8.ทกุ คนในกลมุ่ รูน้ ึกเป็นอสิ ระทจ่ี ะแสดงความรูส้ กึ ของตนออกมาไดเ้ท่าๆ กบั ทเ่ี สนอขอ้ คิดของตนออกมา ไม่ วา่ จะเรอ่ื งปญั หาต่างๆ หรอื เร่ืองการปฏบิ ตั งิ านของกลมุ่ จะมกี ารกลบเกลอ่ื นหรอื เก็บกดนอ้ ยทส่ี ุด และมกี ารเอานาํ้ ขนุ่ ไว้ ใน นาํ้ ใสไวน้ อกนอ้ ยทส่ี ดุ เช่นกนั และทกุ คนในทมี จะรูส้ กึ ดเี ช่นเดยี วกนั วา่ คนอน่ื ในทมี จะรูส้ กึ อย่างไรไมว่ า่ ในเรอ่ื งอะไร ทน่ี าํ ข้นึ อภปิ ราย ทกุ คนสามารถใชค้ วามรูส้ กึ ตอบโตไ้ ดเ้ช่นกนั 9.เมอ่ื ถงึ ขนั้ ลงมอื ทาํ ทกุ คนจะเขา้ ใจและยอมรบั งานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายดว้ ยความเต็มใจ 10.ประธานหรอื ผูน้ าํ กลมุ่ จะไม่ใชอ้ ทิ ธพิ ลของตนเพอ่ื ครอบคลมุ กลมุ่ ในทางตรงกนั ขา้ มก็เช่นเดยี วกนั กลมุ่ จะ ไม่ยอมตามประธานหรอื ผูน้ าํ กลมุ่ เหมอื นกนั ความจริงเมอ่ื เราสงั เกตดูการทาํ งานของกลมุ่ ทม่ี ปี ระสทิ ธิภาพ เราจะเหน็ ไดอ้ ย่างชดั เจนวา่ ในบางครงั้ บางคราวความเป็นผูน้ าํ จะยา้ ยไปอยู่กบั ผูอ้ น่ื บา้ งในกลมุ่ ไม่ผกขาดอยู่กบั ผูน้ าํ ทเ่ี ป็นทางการ เท่านนั้ ทง้ั น้ีข้นึ อยู่กบั สถานการณ์ สภาพแวดลอ้ ม สมาชิกในทมี ต่างคนก็ต่างมคี วามรูแ้ ละความประสบการณ์ต่างกนั ดง้ั นนั้ ทุกคนจงึ อยู่ในฐานะทจ่ี ะเป็นผูน้ าํ ไดใ้ นฐานะ “ผูร้ ูด้ ”ี กวา่ คนในกลมุ่ กลมุ่ จะใชป้ ระโยชนจ์ ากคนใหไ้ ดม้ ากทส่ี ุด โดยวธิ ีน้ี และทุกคนจะยินดีเต็มใจเขา้ รบั บทบาทในฐานะผูน้ ําทนั ทใี นฐานะ “ผูร้ ูด้ ี” จะไม่มกี ารต่อสูห้ กั ลา้ งกนั เพ่อื แสวงหาอาํ นาจใสต่ น ปญั หาไมไ่ ดอ้ ยู่ทว่ี า่ ใครจะควบคุมแต่อยู่ทว่ี า่ งานจะสาํ เร็จลลุ ว่ งอย่างไร 11.กลมุ่ จะต่นื ตวั และรูต้ วั เองในเร่อื งการปฏบิ ตั ิงานของกลมุ่ อยู่ตลอดเวลา บางครง้ั กลมุ่ จะหยุด งานชวั่ คราว เพอ่ื หนั มาสาํ รวจตรวจดูตวั เองวา่ ขณะน้ีกลมุ่ ของตนทาํ งานดแี ลว้ แค่ไหน เพยี งใด จะมอี ะไรบา้ งทจ่ี ะเป็น อุปสรรคต่อ การทาํ งาน ปญั หาหรอื อปุ สรรคเหลา่ นนั้ อาจจะเป็นเรอ่ื งงานหรอื ระเบยี บวธิ กี ารทาํ งาน หรอื อาจจะเป็นเร่อื งคนทม่ี คี วาม ประพฤติไม่ดี ซง่ึ อาจจะเป็นอุปสรรคต่อความสาํ เร็จวตั ถปุ ระสงคข์ องกลมุ่ แต่ไม่ว่าจะเป็นปญั หาอะไรก็ตาม กลมุ่ จะ นาํ เอาข้นึ มาอภปิ รายอย่างกวา่ งขวางจนกวา่ จะไดว้ ธิ แี กป้ ญั หานนั้ ๆ
36 ทฤษฎแี รงจูงใจของ Elton Mayo หากพูดถงึ แนวความคิดดา้ นมนุษยสมั พนั ธจ์ ะไม่พูดถงึ Elton Mayo เลยไม่ได้ เพราะเขาคนน้ีไดร้ บั การยก ย่องวา่ เป็น “บดิ าแหง่ การจดั การแบบมนุษยสมั พนั ธ”์ ทท่ี วั่ โลกรูจ้ กั กนั เป็นอย่างดที เี ดยี ว ผลงานทโ่ี ดดเด่นของเขานน้ั ก็ คือการทาํ งานกบั คณะวจิ ยั พนกั งานทโ่ี รงงาน Hawthorne Plant ของบรษิ ทั Western Electric ในชิคาโก รฐั อลิ ิ นอยด์ สหรฐั อเมรกิ า ช่วงปี ค.ศ.1927-1932 ซง่ึ เนน้ ไปทก่ี ารวจิ ยั 3 เร่อื งใหญ่ไดแ้ ก้ ศึกษาสภาพหอ้ งทาํ งาน (Room Studies), การสมั ภาษณ์ (Interview Studies) และ การสงั เกตการณ์ (Observation Studies) จนเกิดเป็น กรณีศึกษาสาํ คญั อย่าง Hawthorne Effect ทเ่ี ป็นตน้ แบบการศึกษาเร่อื ง Employee Motivation หรอื Theory of Motivation นนั่ เอง รวมถงึ การเป็นตน้ แนวคิดทว่ี ่ามนุษยไ์ ม่ใช่เคร่อื งจกั ร และน่ีคือตวั แปรใหร้ ะบบอุตสาหกรรมเกิด ประสทิ ธภิ าพไดม้ ากนอ้ ยเพยี งไรนนั่ เอง ความหมายของมนุษยสมั พนั ธใ์ นองคก์ ร (Human Relations of Organization) มนุษยสมั พนั ธใ์ นองคก์ รมาจากการผสานสองความหมายสาํ คญั จากคาํ วา่ “มนุษยสมั พนั ธ”์ กบั “องคก์ ร” ซง่ึ หมายถงึ ความสมั พนั ธข์ องบุคลากรท่อี ยู่ร่วมกนั ในองค์กรนนั้ ๆ ซ่งึ มไี มตรีตลอดจนความผูกพนั ต่อกนั ตง้ั แต่เร่ือง ส่วนตวั ไปจนถงึ เร่อื งทเ่ี ก่ียวกบั งาน ความสมั พนั ธจ์ ะเป็นปจั จยั ยดึ เหน่ียวใหท้ ุกคนทาํ งานร่วมกนั ไดอ้ ย่างราบร่นื เกิด ความสามคั คี ช่วยเหลอื เก้อื กูลกนั ก่อใหเ้กิดประสทิ ธภิ าพในการทาํ งานได้ และทาํ ใหอ้ งคก์ รบรรลเุ ป้าหมายทว่ี างไวไ้ ด้ ในทส่ี ดุ ปจั จยั สาคญั ท่สี ง่ ผลต่อมนุษยสมั พนั ธใ์ นองคก์ ร สง่ิ ทส่ี ง่ ผลต่อการเกิดมนุษยสมั พนั ธใ์ นองคก์ รไดน้ นั้ มมี ากมาย แต่มปี จั จยั สาํ คญั ต่อมนุษยสมั พนั ธท์ ค่ี วรใส่ใจ ดงั น้ี + ปจั เจกบคุ คล (Individual) : หน่วยบคุ คลนน้ั ถอื เป็นหน่วยเลก็ ทส่ี ุดสาํ หรบั องคก์ รและเป็นหน่วยทส่ี าํ คญั ทส่ี ดุ เช่นกนั ก่อนทจ่ี ะสรา้ งความสมั พนั ธร์ ะหว่างกนั นนั้ จะตอ้ งเขา้ ใจและเคารพความเป็นปจั เจกบุคคลของกนั และกนั ก่อน เพราะทกุ คนมคี วามเฉพาะตวั ของตวั เอง ในขณะเดยี วกนั ทกุ คนก็ตอ้ งเปิดใจยอมรบั ความแตกต่างของผูอ้ น่ื ดว้ ย เช่นกนั หากหน่วยบคุ คลเกิดปญั หาแน่นอนวา่ ย่อมกระทบกบั มนุษยสมั พนั ธอ์ งคร์ วมขององคก์ รไม่มากก็นอ้ ย ดงั นนั้ องคก์ รควรใสใ่ จไมใ่ ช่แค่เฉพาะในระดบั กลมุ่ แต่ควรใหค้ วามสาํ คญั ในระดบั บุคคลดว้ ยเช่นกนั ในทางตรงกนั ขา้ มหาก หน่วยบคุ คลน้เี ขา้ ใจตวั เองและยอมรบั ผูอ้ น่ื ก็เป็นเร่อื งงา่ ยทจ่ี ะสรา้ งความสมั พนั ธอ์ นั ดรี ะหวา่ งกนั และเป็นพลงั สาํ คญั ท่ี จะทาํ ใหอ้ งคก์ รประสบความสาํ เร็จเลยทเี ดยี ว + การทางานรว่ มกนั (Work Group) : การทาํ งานร่วมกนั เป็นกลไกสาํ คญั ของการขบั เคลอ่ื นองคก์ ร และสง่ิ ท่ี เป็นเสมือนขุมพลงั ท่จี ะทาํ ใหก้ ารขบั เคลอ่ื นไปไดด้ ีและราบร่ืนนนั้ ก็คือมนุษยสมั พนั ธน์ ่ีเอง หากบุคลากรมีมนุษย สมั พนั ธต์ ่อกนั ทด่ี กี ็ย่อมทาํ ใหก้ ารทาํ งานร่วมกนั ไม่เกดิ ปญั หา งานมปี ระสทิ ธภิ าพ หากเกิดปญั หาเร่อื งความสมั พนั ธใ์ น การทาํ งานกนั ข้นึ ก็ย่อมสง่ ผลกระทบต่อประสทิ ธภิ าพของการทาํ งานในองคก์ รไดเ้ ช่นกนั และหากพนกั งานในองคก์ รมี ความเป็นปจั เจกบุคคลสูง ไม่สนใจการทาํ งานร่วมกบั ผูอ้ ่ืน ก็อาจทาํ ใหอ้ งค์กรนนั้ ไรท้ ศิ ทางท่ชี ดั เจน หรือทศิ ทาง สะเปะสะปะ การขบั เคลอ่ื นองคก์ รก็ย่อมมปี ญั หาได้ การทจ่ี ะทาํ งานร่วมกนั ไดด้ นี นั้ องคก์ รก็ตอ้ งมอบหมายบทบาทและ
37 หนา้ ท่ที ่ชี ดั เจนใหก้ บั พนกั งานแต่ละคนดว้ ย และการสรา้ งทศั นคติท่ดี ีร่วมกนั ก็เป็นส่งิ สาํ คญั ท่จี ะก่อใหเ้ กิดมนุษย สมั พนั ธใ์ นการทาํ งาน และเป็นพลงั ผลกั ดนั ใหอ้ งคก์ รบรรลเุ ป้าหมายไดอ้ ย่างยอดเยย่ี มทเี ดยี ว + สภาพแวดลอ้ มในการทางาน (Work Environment) : หากสงั เกตแุ นวความคิดดา้ นมนุษยสมั พนั ธต์ ง้ั แต่ ยุคดง้ั เดิมจะพบว่าส่ิงหน่ึงท่ีเป็นปัจจยั ซ่ึงผูน้ ําความคิดทุกคนใส่ใจและใหค้ วามสาํ คญั เหมือนๆ กันก็คือเร่ือง สภาพแวดลอ้ มในการทาํ งานน่เี อง โดยเฉพาะยุคปจั จบุ นั น้ที แ่ี ทบทกุ องคก์ รหนั มาใส่ใจเร่อื งน้ีกนั อย่างจรงิ จงั ตงั้ แต่เร่อื ง สถานท่,ี การตกแต่ง, ไปจนถงึ การสรา้ งมนุษยสมั พนั ธอ์ นั ดใี หเ้กิดสภาพแวดลอ้ มดา้ นบคุ คลทด่ี ใี นการทาํ งาน ซง่ึ สง่ิ เหลา่ น้ีองคก์ รสามารถสรา้ งข้นึ ได้ และสรา้ งความร่วมมอื ใหร้ ่วมกนั สรา้ งสภาพแวดลอ้ มในการทาํ งานทด่ี ไี ดเ้ช่นกนั + ผูน้ า (Leader) : หน่วยบุคคลท่มี บี ทบาทสาํ คญั ในการท่จี ะช่วยใหเ้ กิดมนุษยสมั พนั ธท์ ด่ี ีระหว่างคนใน องคก์ ร ตลอดจนเป็นผูท้ จ่ี ะควบคุมใหเ้ป็นไปในทศิ ทางทด่ี ไี ดน้ น้ั ก็คือผูน้ าํ นนั่ เอง ผูน้ าํ เปรยี บเสมอื นแม่ทพั ทจ่ี ะบริหาร ควบคุม ตลอดจนกระตุน้ ใหพ้ นกั งานทุกคนสามารถทาํ งานร่วมกนั ไปในทศิ ทางเดียวกนั ตลอดจนบรรลุเป้าหมายท่ี องคก์ รตง้ั ไวไ้ ด้ ในอกี มมุ หน่งึ ผูน้ าํ ตอ้ งเป็นผูส้ นบั สนุนทด่ี ดี ว้ ย คอยสอดส่อง รวมถงึ ช่วยแกไ้ ขวกิ ฤตต่างๆ ใหก้ าํ ลงั ใจ ปลอบประโลมเมอ่ื ทอ้ และผิดพลาด ซง่ึ ผูน้ าํ น้ีแหละทเ่ี ป็นตวั แปรสาํ คญั ทจ่ี ะทาํ ใหก้ ารทาํ งานเป็นทมี ในองคก์ รประสบ ความสาํ เร็จไดม้ ากนอ้ ยเพยี งไร ทฤษฎกี ารบรหิ ารจดั การ POCCC และหลกั การจดั การองคก์ รสูค่ วามสาเรจ็ ตามแนวคิดของ Henri Fayol ประวตั ิโดยยอ่ ของอองริ ฟาโยล (Henri Fayol) อองริ ฟาโยล (Henri Fayol) (ค.ศ.1841–1925) เป็นชาวฝรงั่ เศสทท่ี าํ งานดา้ นวศิ วกรเป็นสายอาชีพหลกั เมอ่ื อายุ 19 ปี เขาไดเ้ ขา้ ทาํ งานเป็นวศิ วกรใหก้ บั บริษทั เหมอื งแร่ Compagnie de Commentry-Fourchambault- Decazeville ซง่ึ เป็นบริษทั ขนาดใหญ่แห่งหน่ึงในฝรงั่ เศส สถานะของบริษทั ตอนนน้ั อยู่ในขั้นเกือบจะลม้ ละลาย แต่ หลงั จากทเ่ี ขาไดเ้ ขา้ ไปร่วมงานนนั้ ทาํ ใหเ้ ขาไดม้ โี อกาสร่วมพฒั นาและแกไ้ ขปญั หาต่างๆ จนดึงใหบ้ ริษทั พน้ จากภาวะ ลม้ ละลาย และกลบั มาประสบความสาํ เร็จอย่างสูงในธุรกิจอกี ครง้ั ภายในระยะเวลาไมก่ ่ปี ี ในส่วนของ อองริ ฟาโยล (Henri Fayol) ก็ไดร้ บั การช่นื ชมและมอบความไวว้ างใจใหเ้ ขาข้นึ เป็นผูอ้ าํ นวยการของ บริษทั แห่งน้ีดว้ ย ณ ตอนนนั้ เขาตอ้ งดูแลพนกั งานถงึ 1,000 คน ซ่งึ นบั ว่าเป็นองค์กรท่มี ขี นาดใหญ่มากในยุคนน้ั ในขณะทบ่ี รหิ ารองคก์ รอยู่เขาไดพ้ ฒั นาหลกั การการทาํ งาน ตลอดจนหลกั การบริหารข้นึ มา และสรุปไดเ้ ป็น หลกั การ 14 ประการ เพอ่ื เป็นทศิ ทางใหผ้ ูบ้ รหิ ารตลอดจนองคก์ รใชย้ ดึ ถอื เป็นแนวทางปฏบิ ตั ิ. ในปี ค.ศ.1916 ช่วงสองปีก่อนทเ่ี ขาจะกา้ วลงจากตาํ แหน่งผูอ้ าํ นวยการนนั้ เขาไดน้ าํ เอาหลกั การบริหาร 14 ประการน้ี ตพี มิ พล์ งในหนงั สอื ทช่ี ่อื ว่า “Administration Industrielle et Generale ; prévoyance, organisation, commandement, coordination, controle.” เพอ่ื เผยแพร่หลกั การดงั กลา่ ว นอกจากน้ีเขาก็ยงั ไดเ้ ขยี น หนา้ ท่ี 5 ประการทางการบรหิ าร (POCCC) เพอ่ื ใชค้ วบคู่กบั หลกั การบรหิ ารทงั้ 14 ประการน้ีดว้ ย และทงั้ หนา้ ทแ่ี ละหลกั การท่ี เขาบญั ญตั ิข้นึ นน้ั ก็ไดถ้ ูกนาํ ไปใชอ้ ย่างแพร่หลายจนประสบความสาํ เร็จ และกลายมาเป็นหน่ึงในแนวคิดทฤษฎีการ บรหิ ารจดั การ (Management Theory) ทไ่ี ดร้ บั การยกย่อง แลว้ ก็ยงั ไดร้ บั ความนิยมสาํ หรบั การบริหารองคก์ รมาถงึ ปจั จบุ นั ดว้ ย
38 ทฤษฎี POCCC และหนา้ ท่ที างดา้ นการจดั การ (Management Function) ทฤษฎี POCCC นนั้ มาจากหนา้ ท่ี 5 ประการ ท่ี อองริ ฟาโยล (Henri Fayol) กาํ หนดข้นึ สาํ หรบั การบรหิ าร จดั การองคก์ ร ในแต่ละหนา้ ทน่ี นั้ ต่างก็มคี วามสาํ คญั ในตวั เอง ขณะเดยี วกนั ก็มกี ารเช่อื มโยงและส่งผลในกนั และกนั เพอ่ื ใหก้ ารทาํ งานสมบูรณ์และประสบความสาํ เร็จอกี ดว้ ย โดยรายละเอยี ดของหนา้ ทท่ี ง้ั 5 ประการ นน้ั มดี งั น้ี P – Planning : การวางแผน การกาํ หนดแผนปฏบิ ตั ิการหรอื วถิ ที างทจ่ี ะปฏบิ ตั ิงานไวต้ งั้ แต่ตน้ จนจบ ใหค้ รอบคลมุ ทุกกระบวนการ เป็นแนวทางท่ี วางไวส้ าํ หรบั การทาํ งานในอนาคต ซง่ึ การวางแผนน้ีจะเกิดข้นึ จากวสิ ยั ทศั นบ์ วกกบั จนิ ตนาการในการบริหารจัดการท่ี คาดการณล์ ว่ งหนา้ ซง่ึ จะถ่ายทอดออกมาเป็นแผนปฏบิ ตั กิ ารการทาํ งานและเป้าหมายทจ่ี ะตอ้ งบรรลสุ ู่ความสาํ เรจ็ O – Organizing : การจดั องคก์ ร การกําหนดตําแหน่งงาน ภาระ หนา้ ท่ี ความรบั ผิดชอบ ตลอดจนจาํ นวนคน ใหค้ รอบคลุมการทาํ งานครบทุก กระบวนการ รวมถงึ การจดั โครงสรา้ งตาํ แหน่ง โครงสรา้ งองคก์ ร เพอ่ื จดั ลาํ ดบั การบรหิ ารและสงั่ การดว้ ย หากองคก์ รมี การจดั การองคก์ รทเ่ี ป็นระบบระเบยี บ แบ่งงานชดั เจน ไม่ทบั ซอ้ น มหี นา้ ทค่ี รบ มปี รมิ าณคนพอกบั ทต่ี อ้ งการ ก็ย่อมทาํ ใหก้ ารทาํ งานมปี ระสทิ ธภิ าพ และโอกาสบรรลผุ ลสาํ เร็จทส่ี ูง C – Commanding : การบงั คบั บญั ชาสงั่ การ การจดั องคก์ รตลอดจนจดั โครงสรา้ งการทาํ งานนน้ั จะทาํ ใหเ้ ราเห็นสายบงั คบั บญั ชาทช่ี ดั เจน เห็นลาํ ดบั ความสาํ คญั ตลอดจนอาํ นาจหนา้ ทใ่ี นการสงั่ การ เพราะการทาํ งานหม่มู ากจาํ เป็นตอ้ งมผี ูบ้ งั คบั บญั ชาเพอ่ื ใหก้ ารทาํ งานดาํ เนินไปได้ อย่างราบร่นื มคี นคอยควบคุม สงั่ การ ดูภาพรวม ตลอดจนสอดส่องปญั หาเพ่อื หาทางแกไ้ ขใหไ้ วทส่ี ุด ขอ้ ดใี นการมี อาํ นาจสงั่ การอกี อย่างก็คือช่วยใหเ้กิดการตดั สนิ ใจอย่างทนั ท่วงที ผูท้ ม่ี อี าํ นาจการตดั สนิ ใจจะตอ้ งสามารถวเิ คราะหส์ ง่ิ ต่างๆ ไดอ้ ย่างรอบคอบ และตดั สนิ ใจไดเ้ ฉียบขาด ว่องไว ตลอดจนมคี วามรบั ผดิ ชอบในการตดั สนิ ใจขอ งตนดว้ ย และผูบ้ งั คบั บญั ชาท่ดี ียงั สามารถท่จี ะสรา้ งแรงจูงใจในการทาํ งาน เขา้ ใจและเอาใจใส่ผูใ้ ตบ้ งั คบั บญั ชา ใหก้ ําลงั ใจ รวมถงึ อยู่ขา้ งๆ ในยามทเ่ี กิดวกิ ฤติ C – Coordination : การประสานงาน หมายถงึ ภาระหนา้ ทใ่ี นการเช่อื มโยงงานตลอดจนการปฏบิ ตั กิ ารทกุ อย่างรวมไปถงึ กาํ ลงั คนทห่ี น่วยใหท้ าํ งานเขา้ กนั ให้ ได้ กาํ กบั ใหม้ ่งุ ไปสูเ่ ป้าหมายเดยี วกนั อาํ นวยใหเ้กดิ การทาํ งานทร่ี าบร่นื เพอ่ื ใหเ้กิดผลสาํ เร็จตามทว่ี างไว้ ทกุ อย่างหาก ขาดการประสานงานทด่ี กี ็อาจทาํ ใหเ้กิดความลม้ เหลวได้ เมอ่ื มกี ารแบ่งโครงสรา้ งตลอดจนมอบหมายงานใหก้ บั แต่ละ ส่วนชดั เจนแลว้ การประสานงานใหเ้กิดการทาํ งานทด่ี ที ส่ี ุดนน้ั มคี วามจาํ เป็นอย่างยง่ิ เพราะแต่ละส่วนตอ้ งทาํ งานสอด ประสานกนั เพอ่ื ผลสาํ เร็จเดียวกนั นนั่ เอง การประสานงานทด่ี นี น้ั จาํ เป็นจะตอ้ งมใี นทุกระดบั ตงั้ แต่ระดบั บุคคลต่อ บคุ คล หวั หนา้ งานต่อลูกนอ้ ง แผนกต่อแผนก ไปจนถงึ ผูบ้ รหิ ารต่อทกุ หน่วยงานในองคก์ รเช่นกนั C – Controlling : การควบคมุ การควบคมุ ในทน่ี ้หี มายถงึ การกาํ กบั ตลอดจนบรหิ ารจดั การทุกอย่างใหส้ าํ เร็จลุลว่ งไปตามแผนทว่ี างไว้ ประครองการ ดาํ เนินงานใหเ้ ป็นไปตามกรอบทก่ี าํ หนด ทง้ั ในเร่ืองของกรอบเวลา มาตรฐานการปฏิบตั ิการ ขน้ั ตอนการทาํ งาน ไป จนถงึ การประสานงานทกุ ฝ่ายใหเ้กิดความราบร่นื การควบคุมน้ยี งั รวมไปถงึ การบรหิ ารทไ่ี ม่ใช่ทรพั ยากรบคุ คลอกี ดว้ ย
39 แต่รวมถงึ ทรพั ยากรทเ่ี ป็นวตั ถดุ บิ เคร่อื งจกั ร ผลผลติ ทไ่ี ด้ ตลอดจนงบประมาณในการดาํ เนนิ งานทงั้ หมดดว้ ย เพอ่ื ให้ การทาํ งานมปี ระสทิ ธภิ าพทส่ี ดุ หลกั ในการบริหารจดั การ (Principles of Management) ตามแนวคิดของ อองริ ฟาโยล (Henri Fayol) อย่างทท่ี ราบกนั ไปแลว้ วา่ อองริ ฟาโยล (Henri Fayol) ไดน้ าํ เอาประสบการณ์การบรหิ ารจดั การของตนมาสรา้ งเป็น หลกั ในการบรหิ ารจดั การ 14 ประการ ทก่ี ่อใหเ้กิดความสาํ เร็จขององคก์ ร ซง่ึ หลกั การน้ียงั ไดร้ บั การยกย่องและใชก้ นั มาจนถงึ ทกุ วนั น้ี โดยหลกั การจดั การทงั้ 14 ประการนน้ั มรี ายละเอยี ดดงั น้ี 1.การแบ่งหนา้ ทแ่ี ละการทาํ งาน (Division of Work) การวางโครงสรา้ งองคก์ รตลอดจนการทาํ งานจะทาํ ให้ เราเหน็ หนา้ ทแ่ี ละการทาํ งานของแต่ละคนในองคก์ รไดช้ ดั เจน นนั่ นาํ มาซง่ึ การแบง่ งานใหส้ ่วนต่างๆ ทาํ ไดอ้ ย่างครบถว้ น อกี ดว้ ย การแบ่งงานกนั ทาํ นน้ั ควรแบ่งตามทกั ษะและความชาํ นาญของแต่ละคน เพอ่ื ใหเ้กิดการทาํ งานทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ มากทส่ี ดุ 2.อาํ นาจหนา้ ทแ่ี ละความรบั ผดิ ชอบ (Authority & Responsibility) การปฏบิ ตั ิงานทด่ี เี มอ่ื ไดร้ บั อาํ นาจ หนา้ ทใ่ี นการทาํ งานแลว้ ตอ้ งมคี วามรบั ผดิ ชอบต่องานทท่ี าํ ดว้ ย การตดั สนิ ใจ ออกคาํ สงั่ บริหารจดั การ จะตอ้ งสามารถ รบั ผดิ ชอบต่อการกระทาํ ของตนตามอาํ นาจหนา้ ทท่ี ไ่ี ดร้ บั มอบหมาย 3.ระเบยี บวนิ ยั (Discipline) การทาํ งานหมมู่ ากนน้ั จาํ เป็นจะตอ้ งมรี ะเบยี บวนิ ยั ในการทาํ งาน หากทุกคน ทกุ ตาํ แหน่ง ทาํ งานอย่างมีระเบยี บวนิ ยั นอกจากจะไม่ก่อใหเ้ กิดปญั หาใดๆ แลว้ ยงั ทาํ ใหก้ ารทาํ งานมีประสทิ ธิภาพ ประสบผลสาํ เร็จไดอ้ ย่างงา่ ยดาย ระเบยี บวนิ ยั นนั้ เป็นกรอบขอ้ ตกลงในการปฏบิ ตั ิร่วมกนั เคารพเช่อื ฟงั ใหเ้กียรติซง่ึ กนั และกนั และทาํ งานตามทไ่ี ดร้ บั มอบหมายใหด้ ที ส่ี ดุ ระเบยี บวนิ ยั ควรบงั คบั จากบนลงลา่ ง มหี ลกั การทช่ี ดั เจน และมี บทลงโทษไวร้ องรบั ผูท้ ฝ่ี ่าฝืนดว้ ย แต่ก็ควรลงโทษตามเหตผุ ลตลอดจนมคี วามเป็นธรรม ระเบยี บวนิ ยั ยงั หมายถงึ การ ทาํ งานร่วมกนั อย่างตรงไปตรงมา ชดั เจน ไม่ออกนอกลูน่ อกทาง ไม่หลบหลกี เพอ่ื เอ้อื ประโยชนฝ์ ่ายใด ผูบ้ งั คบั บญั ชา ควรปฏบิ ตั ติ ามระเบยี บวนิ ยั ใหเ้ป็นตวั อย่างทด่ี แี ก่ผูใ้ ตบ้ งั คบั บญั ชาดว้ ย 4.เอกภาพแห่งการบงั คบั บญั ชา (Unity of Command) การมหี วั หนา้ หรอื ผูบ้ งั คบั บญั ชาทม่ี ปี ระสทิ ธิภาพ ทส่ี ุดนนั้ จาํ เป็นจะตอ้ งมีเพยี งคนเดียว เพ่อื มอี าํ นาจเด็ดขาดในการสงั่ การ และส่งผลใหก้ ารตดั สนิ ใจสามารถทาํ ให้ ปฏิบตั ิการไดอ้ ย่างทนั ท่วงที การมีผูบ้ งั คบั บญั ชาหลายคนนนั้ จะทาํ ใหเ้ กิดการสบั สนใจการสงั่ การไปจนถึงการ ปฏบิ ตั งิ าน และอาจทาํ ใหเ้กดิ การตดั สนิ ใจทช่ี า้ ไดเ้น่อื งจากรอมตสิ รปุ อกี ครง้ั การมผี ูบ้ งั คบั บญั ชาหลายคนยงั อาจทาํ ให้ เกิดการขดั แยง้ ไดง้ า่ ยอกี ดว้ ย ทง้ั ความขดั แยง้ ในการทาํ งานและความขดั แยง้ ระหวา่ งผูบ้ งั คบั บญั ชาเอง 5.เอกภาพของทศิ ทางการดาํ เนินงาน (Unity of Direction) การทาํ งานควรมแี ผนงานหลกั เพยี งแผนงาน เดยี ว อาจมแี ผนสาํ รองไวร้ องรบั แต่ก็ควรยดึ ถามแผนงานหลกั เป็นอนั ดบั แรกก่อน ทงั้ น้ีเพอ่ื ไม่ใหเ้ กิดความสบั สนใจ การทาํ งาน มที ศิ ทางการทาํ งานท่ชี ดั เจน แลว้ การทาํ งานทเ่ี ป็นกลุม่ หน่วยงาน หรอื แมแ้ ต่องคก์ ร ส่งิ สาํ คญั คือการมี เป้ าหมายร่วมกนั การท่มี ีจุดม่งุ หมายร่วมกนั นนั้ จะทาํ ใหท้ ุกคนเห็นแนวทางการดาํ เนินงานท่ชี ดั เจน มีหลกั ยึด มี เสน้ ทางเดนิ ทไ่ี ปสูท่ ศิ ทางเดยี วกนั และมแี รงผลกั ดนั ร่วมกนั ในการกา้ วไปสูจ่ ดุ หมาย ทาํ ใหแ้ ผนงานประสบผลสาํ เร็จได้ งา่ ยและมพี ลงั
40 6.ผลประโยชน์ส่วนบุคคลเป็ นรองกว่าประโยชน์ส่วนรวม (Subordination of Individual Interest) คุณธรรมเป็นสง่ิ สาํ คญั ทค่ี วรยดึ ถอื ในการทาํ งาน ควรยดึ ถอื ประโยชนข์ ององคก์ ร ประโยชนข์ องส่วนรวม มาก่อนประโยชนส์ ่วนตวั ทงั้ น้ีควรอยู่บนบรรทดั ฐานแหง่ ความยุตธิ รรม ความถกู ตอ้ ง ความเหมาะสมดว้ ย หลกั บรหิ าร ขอ้ น้ีสอดคลอ้ งกบั คาํ กลา่ วของอริสโตเติลทว่ี า่ ส่วนรวมคือผลรวมจากส่วนย่อย (the whole is the sum of its parts) บุคคลแต่ละคนจงึ ควรยอมรบั ว่าตนเป็นส่วนหน่ึงของสง่ิ ทใ่ี หญ่กว่า หากส่วนรวมอยู่ไม่ได้ ตวั เขาก็อยู่ไม่ได้ เช่นกนั 7.การใหผ้ ลประโยชนต์ ลอดจนค่าตอบแทน (Remuneration) แน่นอนว่าการทาํ งานนนั้ ย่อมมกี ารจา้ งงาน องคก์ รควรมกี ารคาํ นวณผลตอบแทนทเ่ี หมาะสม ยุตธิ รรม ไม่เอาเปรยี บ ทส่ี าํ คญั ตอ้ งไดร้ บั ความเหน็ ชอบตลอดจนพงึ พอใจดว้ ยกนั ทง้ั สองฝ่ายระหวา่ งนายจา้ งและลูกจา้ ง การใหผ้ ลประโยชนต์ อบแทนยงั ควรปรบั เปลย่ี นตามสถานการณ์ท่ี เหมาะสมอกี ดว้ ย อย่างกรณีทอ่ี งคก์ รสามารถประกอบการไดผ้ ลกาํ ไรทม่ี ากข้นึ ก็ควรปนั ผลตอบแทนใหล้ ูกจา้ งมากข้นึ ตาม เป็นตน้ ในส่วนของเรอ่ื งค่าตอบแทนนนั้ อาจไม่ใช่การจ่ายในรูปแบบเงนิ เสมอไป ยงั รวมถงึ ค่าตอบแทนในรูปแบบ อ่นื ๆ อาทิ ของรางวลั สวสั ดกิ าร ผลประโยชนร์ ูปแบบอ่นื การฝึกอบรม ตลอดจนการยกย่องเชิดชูซง่ึ สามารถสรา้ ง ความพอใจใหพ้ นกั งานไดอ้ กี ดว้ ย 8.สมดลุ ของการรวมและกระจายอาํ นาจ (The Degree of Centralization) การรวมอาํ นาจไวศ้ ูนยก์ ลางนน้ั จะงา่ ยต่อการควบคุมสงั่ การ และทนั ทว่ งที ตดั สนิ ใจไดฉ้ บั ไว ศูนยร์ วมอาํ นาจความเป็นจดุ เดยี วและอาจมกี ารกระจาย อาํ นาจลดหลนั่ ไปยงั ส่วนต่างๆ แต่ตอ้ งมลี าํ ดบั ความสาํ คญั ทแ่ี ตกต่างและมอี าํ นาจทแ่ี ตกต่างกนั ดว้ ย เพอ่ื การควบคุมท่ี เป็นระบบและงา่ ยต่อการปฏบิ ตั งิ าน 9.สายการบงั คบั บญั ชา (Scalar chain) การวางสายงานจะทาํ ใหเ้ ราเหน็ อาํ นาจการบงั คบั บญั ชา ตลอดจน ระดบั ขนั้ ของการบริหารงานอย่างชดั เจน เพ่อื ใหเ้ กิดความลน่ื ไหลตลอดจนกระบวนการทาํ งานท่เี ป็นระบบระเบยี บ บรหิ ารจดั การไดง้ า่ ย แกไ้ ขปญั หาไดว้ อ่ งไวตรงจดุ ทง้ั ยงั ช่วยใหเ้กิดระเบยี บในการสอ่ื สาร การส่งต่อขอ้ มลู รวมถงึ การ จดั การเน้อื หาของการสอ่ื สารใหเ้หมาะสมไดอ้ กี ดว้ ย 10.ความเป็นระเบยี บเรียบรอ้ ยและความพรอ้ มในการทาํ งาน (Order) ทกุ อย่างหากอยู่ในความเป็นระเบยี บ เรยี บรอ้ ยก็จะทาํ ใหก้ ารทาํ งานมปี ระสทิ ธภิ าพ บรรลผุ ลตามเป้าหมายทว่ี างไวไ้ ดส้ ะดวกและงา่ ยดายข้นึ บรหิ ารจดั การได้ อย่างไม่ติดขดั และดาํ เนินตามมาตรฐานไดอ้ ย่างราบร่ืน ทกุ คนควรเคารพระเบยี บวนิ ยั ขององคก์ รและปฏิบตั ใิ หเ้กิด ความเรยี บรอ้ ยเหมาะสม ความเป็นระเบยี บเรยี บรอ้ ยน้ยี งั สะทอ้ นถงึ ความรบั ผดิ ชอบอย่างรอบดา้ น ไม่สะเพราะ เอาใจ ใส่ ตลอดจนใส่ใจรายละเอียดในการทาํ งานอีกดว้ ย ซ่งึ นนั่ จะทาํ ใหผ้ ลงานออกมาดี และส่งเสริมใหอ้ งคก์ รประสบ ความสาํ เร็จ ความเป็นระเบยี บเรียบรอ้ ยน้ียงั หมายถงึ เร่ืองสถานทท่ี าํ งาน สง่ิ แวดลอ้ ม ตลอดจนการจดั ระเบยี บทงั้ องคก์ ร ใหม้ คี วามพรอ้ ม สะอาด น่าทาํ งาน และอาํ นวยความสะดวกใหเ้หมาะสมดว้ ย 11.ความเสมอภาค (equity) องคก์ รควรใหค้ วามสาํ คญั กบั ความเสมอภาค ในทน่ี ้หี มายถงึ ความเสมอภาคใน ฐานะทเ่ี ป็นมนุษยเ์ ฉกเช่นเดยี วกนั ควรไดร้ บั สทิ ธแิ ละการปฏบิ ตั ทิ ม่ี มี นุษยธรรม ไม่กดข่ี ข่มแหง รงั แก หรือทาํ รา้ ยให้ เกดิ ความเสยี หายใดๆ ควรมคี วามเอ้อื อารยี ต์ ่อกนั เหน็ อกเหน็ ใจ ช่วยเหลอื ซง่ึ กนั และกนั มคี วามซอ่ื สตั ย์ ยุตธิ รรม ไม่ เอาเปรยี บซง่ึ กนั และกนั
41 12.เสถยี รภาพในการทาํ งาน (Stability of Tenure of Personnel) การทาํ งานทม่ี เี สถยี รภาพจะทาํ ให้ พนกั งานอุ่นในใจการทาํ งาน ไม่กงั วล และเต็มทก่ี บั การทาํ งาน หากองคก์ รเอ้อื อาํ นาจใหเ้ กิดการยา้ ยงานท่งี า่ ย หรือ องคก์ รไม่มมี าตรฐานในการทาํ งานทช่ี ดั เจนทม่ี ผี ลทาํ ใหพ้ นกั งานตอ้ งออกจากงาน การเปลย่ี นแปลงรูปแบบน้ีย่อมส่งผล เสยี ต่อการทาํ งานไดเ้ ช่นกนั เม่อื พนกั งานขาดเสถยี รภาพในการทาํ งานก็ย่อมทาํ ใหอ้ งคไ์ รไม่มเี สถยี รภาพตามไปดว้ ย นอกจากจะทาํ ใหก้ ารทาํ งานสะดดุ ไม่ราบรน่ื แลว้ ยงั ลดความน่าเช่อื ถอื ขององคก์ รไดอ้ กี ต่างหาก สง่ิ ทอ่ี งคก์ รควรบริหาร จดั การก็คอื ทาํ ใหพ้ นกั งานรูส้ กึ ว่ามคี วามมนั่ คงในการทาํ งาน เกิดความรูส้ กึ เป็นเจา้ ของร่วมกนั และมคี วามสุขกบั การ ทาํ งาน รวมถงึ ใหค้ ่าตอบแทนทเ่ี หมาะสม เพอ่ื ลดอตั ราการเขา้ ออกของพนกั งานใหต้ าํ่ ลง และสรา้ งเสถยี รภาพใหเ้กิด ข้นึ กบั องคก์ รได้ 13.เสรภี าพในการนาํ เสนอสง่ิ ใหม่ (Initiative) พนกั งานควรมเี สรภี าพในการแสดงความคิดเหน็ และนาํ เสนอ สง่ิ ใหม่ๆ ซง่ึ จะก่อใหเ้กิดอุปนิสยั คิดริเร่ิมอนั เป็นพ้นื ฐานทด่ี ขี องการทาํ งานไม่วา่ จะลกั ษณะใดหรือสายอาชีพใดก็ตาม ซง่ึ น่ีคือจดุ แขง็ ขององคก์ รไดเ้ ลยทเี ดยี ว องคก์ รควรส่งเสรมิ ใหม้ กี ารแสดงออก เปิดโอกาสใหพ้ นกั งานไดแ้ ลกเปลย่ี น ความคดิ เหน็ ตลอดจนเสนอแนวความคดิ ใหมๆ่ รวมถงึ เสนอแนะดา้ นการทาํ งาน ปญั หาทพ่ี บ ตลอดจนแนวทางทค่ี วร แกไ้ ขปรบั ปรุง นนั่ ยงั จะทาํ ใหพ้ นกั งานรูส้ ึกเป็นส่วนหน่ึงขององค์กรดว้ ย และการเปิดโอกาสใหพ้ นกั งานไดเ้ สนอ แนวความคิดใหมๆ่ อาจทาํ ใหอ้ งคก์ รไดว้ ธิ กี ารปฏบิ ตั งิ านใหม่ๆ ตลอดจนเป็นแนวทางในการผลติ ผลผลติ ใหม่ๆ ทเ่ี ป็น ประโยชนต์ ่อองคก์ รข้นึ ไดเ้ช่นกนั 14.ความเขา้ ใจและการไวว้ างใจซง่ึ กนั และกนั (Esprit de Corps) หลกั การบริหารขอ้ น้ีนาํ มาจากหลกั การ การทหารของกองทพั ฝรงั่ เศสท่แี ปลความไดว้ ่า “สามคั คีคือพลงั ” นนั่ เอง องค์กรควรทาํ งานอย่างสอดประสานกนั ดว้ ยดี เพอ่ื ผลลพั ธข์ ององคก์ รทย่ี อดเยย่ี มทส่ี ดุ พนกั งานทกุ คนตอ้ งทาํ งานอย่างเป็นสว่ นหน่งึ สว่ นเดยี วกนั และมคี วาม เป็นทมี ร่วมแรงร่วมใจกนั ทาํ งาน ตลอดจนรบั มอื กบั ปญั หาทเ่ี กิดข้นึ เพอ่ื ใหก้ า้ วไปสู่จดุ ทป่ี ระสบความสาํ เรจ็ ร่วมกนั ประโยชนข์ องทฤษฎี POCCC และหลกั การจดั การของ อองริ ฟาโยล (Henri Fayol) อองริ ฟาโยล (Henri Fayol) ไดค้ ิดคน้ ทฤษฎี POCCC และกาํ หนดหลกั การบริหารจดั การไวเ้ป็นบรรทดั ฐานในการ ปฎบิ ตั กิ ารซง่ึ จะเป็นประโยชนฝ์ ่ายบรหิ ารตลอดจนผูจ้ ดั การในการจดั การบรหิ ารองคก์ รเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกนั หลกั การน้กี ็สามารถปรบั เปลย่ี นใหเ้หมาะสมไดต้ ามลกั ษณะองคก์ รอกี ดว้ ย ทาํ ใหก้ ารบรหิ ารจดั การเป็นระบบ ระเบยี บ และปฏิบตั ิงานไดอ้ ย่างราบร่ืน มปี ระสิทธิภาพ ส่งเสริมใหอ้ งค์กรมศี กั ยภาพ และประกอบกิจการไดอ้ ย่างประสบ ความสาํ เรจ็ ไดเ้ป็นอย่างดี หลกั การต่างๆ ของอองริ ฟาโยล (Henri Fayol) ยงั เป็นแกนยดึ ทส่ี าํ คญั ทค่ี รอบคลมุ รายละเอยี ดทุกกระบวนการและ ภาพรวมทงั้ องคก์ รเพราะส่งเสริมสนบั สนุนใหใ้ ส่ใจตง้ั แต่เร่อื งของการวางแผน, การปฏบิ ตั กิ าร, การใหอ้ าํ นาจ, การ จดั สรรกาํ ลงั คน, การสรา้ งความยุติธรรม, การส่งเสริมใหม้ คี วามคิดรเิ ร่มิ , ไปจนกระทงั่ การดูแลเร่อื งอตั ราจา้ งท่ี เหมาะสม ซง่ึ เป็นการบริหารจดั การทค่ี รบองค์ ครบกระบวนการ และทุกคนทกุ ฝ่ายไดร้ บั ผลประโยชนอ์ ย่างเท่าเทยี ม กนั หมด สง่ิ สาํ คญั อกี อย่างของหลกั การต่างๆ ของอองริ ฟาโยล (Henri Fayol) นน้ั ก็คือการทไ่ี ม่ไดม้ ่งุ เนน้ เฉพาะการ บรหิ ารจดั การทรพั ยากรบคุ คลเพยี งอย่างเดยี ว แต่ยงั ม่งุ เนน้ ไปยงั การบรหิ ารจดั การทรพั ยากรอ่นื ๆ ทไ่ี ม่ใช่สง่ิ ไม่มชี วี ติ
42 อกี ดว้ ย ตลอดจนการบริหารจดั การสถานท่ี และระบบระเบยี บการทาํ งานใหเ้หมาะสม ซง่ึ ทาํ ใหก้ ารบริหารจดั การองค์ รวมขององคก์ รประสบความสาํ เรจ็ อย่างดเี ยย่ี ม ทฤษฎแี รงจูงใจใฝ่ สมั ฤทธ์ิของแมคคลแี ลนด์ (McClelland’s Achievement Motivation Theory) เรยี บเรยี งโดย ดร.เมธา หรมิ เทพาธิป เมอ่ื มนุษยเ์ ขา้ มามสี ว่ นร่วมในสงั คม แต่ละบคุ คลยอ่ มเกดิ การเรยี นรูท้ างสงั คมและวฒั นธรรมทก่ี าํ ลงั ดาํ เนนิ อยู่ ผลของการเรยี นรูท้ างสงั คมและวฒั นธรรม โดยเฉพาะประสบการทางสงั คมและการอบรมเล้ยี งดูในวยั เดก็ มสี ว่ น อย่างมากในการหลอ่ หลอมใหบ้ คุ คลเกดิ แรงจูงใจทผ่ี ลกั ดนั ใหก้ ระทาํ พฤตกิ รรมเพอ่ื ตอบสนองความตอ้ งการ แมกคลลี แลนด์ (McClelland, 2016) ไดแ้ บ่งความตอ้ งการดงั กลา่ วน้อี อกเป็น 3 ประเภท คือ 1. ความตอ้ งการความสาํ เร็จ (Need for Achievement : n-Ach) เป็นความตอ้ งการทจ่ี ะทาํ สง่ิ ต่างๆ ให้ เตม็ ทแ่ี ละดที ส่ี ุดเพอ่ื ความสาํ เรจ็ มคี วามสมบูรณ์แบบและไดม้ าตรฐานดเี ยย่ี ม จากการวจิ ยั ของแมกคลลี แลนด์ พบวา่ บคุ คลทต่ี อ้ งการความสาํ เร็จ (n-Ach) สูง จะมลี กั ษณะชอบการแขง่ ขนั ชอบงานทท่ี า้ ทาย มเี ป้าหมายชดั เจนในการ ทาํ งาน โดยเป้าหมายทต่ี งั้ มคี วามเป็นไปไดส้ ูงทจ่ี ะบรรลผุ ลและพยายามดาํ เนนิ งานเพอ่ื บรรลเุ ป้าหมาย และตอ้ งการ ไดร้ บั ขอ้ มลู ป้อนกลบั (feedback) ซง่ึ เป็นผลจากการทาํ งาน ไม่วา่ จะเป็นคาํ ตชิ ม เพอ่ื ประเมนิ ผลงานของตนเอง มี ความชาํ นาญในการวางแผน มคี วามรบั ผดิ ชอบสูง กลา้ ทจ่ี ะเผชิญกบั ความลม้ เหลว และปรบั ปรุงพฒั นาใหด้ ยี ง่ิ ๆ ข้นึ ไป 2. ความตอ้ งการการมอี าํ นาจ (Need for Power : n-Pow) เป็นความตอ้ งการอาํ นาจเพอ่ื ทจ่ี ะควบคุม สง่ิ แวดลอ้ มและมอี ทิ ธพิ ลเหนอื ผูอ้ น่ื บคุ คลทม่ี คี วามตอ้ งการอาํ นาจสูงจะแสวงหาวถิ ที างเพอ่ื ทาํ ใหต้ นมอี ทิ ธพิ ลเหนือ บคุ คลอน่ื ตอ้ งการใหผ้ ูอ้ น่ื ยอมรบั หรอื ยกย่อง ตอ้ งการความเป็นผูน้ าํ ตอ้ งการทาํ งานใหเ้หนือกวา่ บคุ คลอน่ื และจะ กงั วลเร่อื งอาํ นาจมากกวา่ การทาํ งานใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพ 3. ความตอ้ งการสมั พนั ธภาพทด่ี ี (Need for Affiliation : n-Aff) เป็นความตอ้ งการไดร้ บั หรอื มี ความสมั พนั ธท์ ด่ี กี บั ผูอ้ น่ื ตอ้ งการเป็นสว่ นหน่งึ ของกลมุ่ ตอ้ งการสมั พนั ธภาพทด่ี ตี ่อบคุ คลอน่ื บคุ คลทต่ี อ้ งการความ ผูกพนั สูงจะชอบสถานการณก์ ารร่วมมอื มากกวา่ สถานการณก์ ารแขง่ ขนั โดยจะพยายามสรา้ งและรกั ษาความสมั พนั ธ์ อนั ดกี บั ผูอ้ น่ื มคี วามตอ้ งการใหผ้ ูอ้ น่ื ยอมรบั ในตนเองและมแี นวโนม้ ทจ่ี ะยอมตามความปรารถนาหรอื บรรทดั ฐานของ ผูอ้ น่ื รวมทง้ั คาํ นงึ ถงึ ความรูส้ กึ ของผูอ้ น่ื เป็นสาํ คญั แมกคลลี แลนด์ เชอ่ื วา่ แต่ละคนมคี วามตอ้ งการทง้ั 3 ส่วนประกอบกนั โดยบางคนอาจจะมคี วามตอ้ งการอนั ใดอนั หน่งึ เขม้ ขน้ กวา่ ความตอ้ งการอน่ื และความตอ้ งการทเ่ี ขม้ ขน้ ดงั กลา่ วก่อใหเ้กดิ การจูงใจทผ่ี ลกั ดนั ใหบ้ คุ คลแสดง พฤตกิ รรมเพอ่ื ตอบสนองความตอ้ งการนนั้ ๆ อย่างเหน็ ไดช้ ดั (นุชลี อปุ ภยั , 2558, หนา้ 115) จากความตอ้ งการ 3 ประการขา้ งตน้ แมกคลลี แลนดใ์ หค้ วามสนใจเป็นพเิ ศษกบั ความตอ้ งการความสาํ เรจ็ อนั เกดิ การจูงใจใฝ่สมั ฤทธ์ิ (Achievement Motivation) ซง่ึ ถอื เป็นความตอ้ งการทท่ี าํ ใหเ้กิดผลงานทส่ี รา้ งสรรคแ์ ละมี คณุ ค่า (David C. McClelland, 1985, pp. 12-13)
บทท่ี 3 วิธีการดาเนินงาน โครงการ/กจิ กรรม โคมไฟผลไมต้ งั้ โตะ๊ จากชอ้ นพลาสตกิ มวี ธิ กี ารดาํ เนนิ งาน ดงั น้ี ระยะเวลาดาเนินการ โครงงานโคมไฟผลไมต้ ง้ั โตะ๊ จากชอ้ นพลาสติก มรี ะยะเวลาการดาํ เนนิ งาน ตงั้ แต่ 16 มถิ นุ ายน 2564 ถงึ วนั ท่ี 8 ตลุ าคม 2564 แผนการปฏบิ ตั ิงาน ว/ด/ป ขน้ั ตอนการปฏบิ ตั ิงาน สถานท่ดี าเนินโครงงาน 16/6/64 ดาํ เนินการแบ่งกลุม่ และดาํ เนินการประชมุ โดยหาแนวทาง ความรู้ และใหเ้ พอ่ื น วท.หาดใหญ่อาํ นวยวทิ ย์ 24/6/64 เสนอความคิดเหน็ วา่ จะทาํ อย่างไร หาโครงงานทน่ี ่าสนใจมาคนละ 1 โครงงาน ซง่ึ หวั ขอ้ ของโครงงานจะตอ้ งมคี วามเป็นไปไดโ้ ดยและเลอื กโครงงานท่เี ห็นดว้ ยกนั มากทส่ี ดุ โดยพจิ ารณาองคป์ ระกอบทส่ี าํ คญั ดงั น้ี 1.มคี วามรูแ้ ละทกั ษะพ้นื ฐานในหวั ขอ้ เร่อื งทจ่ี าํ ทาํ โครงงาน 2.สามารถจดั หาวสั ดอุ ปุ กรณ์ได้ 3.มแี หลง่ ขอ้ มลู ความรู้ เพยี งพอทจ่ี ะทาํ โครงงาน 4.มงี บประมาณเพยี งพอ หลงั จากนน้ั ช่วยกนั หาขอ้ มลู ของโครงงานตามแหลง่ ขอ้ มลู ต่าง ๆ จดั แบ่งหนา้ ท่ี ตามหนา้ ท่ที ่ีรบั ผดิ ชอบ และร่วมกนั วางแผนและเสนอหวั ขอ้ โครงงานแก่ครูท่ี ปรกึ ษา วางแผนเน้อื หา รายละเอยี ด และแบบเสนอโครงงาน แบ่งหวั ขอ้ ในการเสนอโครงงานซ่ึงประกอบไปดว้ ยหลกั การและเหตุผล วท.หาดใหญ่อาํ นวยวทิ ย์ วตั ถปุ ระสงค์ ขอบเขตของโครงงาน เป้าหมาย และผลทค่ี าดวา่ จะไดร้ บั เร่มิ จาก การเขยี นหลกั การและเหตุผล แบ่งหนา้ ท่กี นั หาขอ้ มูลในการเขยี นหลกั การและ เหตุใหม้ ีความชดั เจนและกล่าวถึงเหตุผลในการทาํ โครงงานน้ีมากท่ีสุด คิด วตั ถุประสงค์ใหม้ ีความเก่ียวขอ้ งกบั โครงงาน เป้ าหมายท่ีทางกลุ่มไดร้ ่วมกนั วิเคราะหค์ วามเป็นไปไดท้ งั้ ในเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ และประเมินถึง ประโยชนท์ ผ่ี ูจ้ ดั ทาํ ไดร้ บั จากการทาํ โครงงาน เช็คเน้ือหาวา่ ตรงกบั หวั ขอ้ ไหม และ ตรวจสอบความถกู ตอ้ ง พรอ้ มทงั้ เสนออาจารยท์ ป่ี รกึ ษาและปรบั แกเ้ น้อื หาในสว่ น ทอ่ี าจารยเ์ สนอแนะ แลว้ สง่ ใหมอ่ กี ที
44 30/6/64 เสนอโครงงานทไ่ี ดท้ าํ การแกไ้ ขตามคาํ แนะนาํ ใหแ้ ก่ครูทป่ี รกึ ษาและสง่ แบบเสนอ 7/7/64 โครงงานเพอ่ื ใหอ้ าจารยไ์ ดต้ รวจสอบอกี ครง้ั และไดร้ บั คาํ ปรกึ ษา ปรบั แกเ้น้อื หา บางสว่ นใหส้ มบูรณม์ ากยง่ิ ข้นึ จงึ เขยี นแบบเสนอโครงงาน เพอ่ื ใหผ้ ูอ้ าํ นวยการ 14/7/64 อนุมตั ิ 22/7/64 ออกแบบโลโกข้ องผลติ ภณั ฑ์ เร่ิมจากร่วมกนั วเิ คราะหผ์ ลติ ภณั ฑว์ ่าจะตอ้ งนาํ วท.หาดใหญ่อาํ นวยวทิ ย์ 29/7/64 จดุ เด่นอะไรไปใสใ่ นโลโกบ้ า้ ง หาแรงบนั ดาลใจในการออกแบบ ซง่ึ ทางกลมุ่ ไดน้ าํ จดุ เด่นต่าง ๆ มาปรบั ใสใ่ นโลโกป้ ระกอบดว้ ย 1.เร่มิ จากช่ือของผลติ ภณั ฑม์ าจากการนาํ ช่อื เลน่ ภาษาองั กฤษของผูจ้ ดั ทาํ ทง้ั สอง คนมารวมกนั 2.นาํ รูปทรงของชอ้ นทเ่ี ป็นวงรมี าเป็นรูปทรงของโลโกเ้ พอ่ื สอ่ื ใหเ้หน็ ถงึ ลกั ษณะของ อปุ กรณท์ น่ี าํ มาใชใ้ นการประดษิ ฐ์ 3.ใชส้ โี ทนสุภาพ เรยี บ ๆ เพอ่ื ไมใ่ หด้ ูฉูดฉาดจนเกินไป 4.ออกแบบตวั ผลติ ภณั ฑม์ าใส่ในโลโกเ้ ป็นตวั โคมไฟสบั ปะรดซง่ึ เป็นแบบท่ที าง กลมุ่ จะนาํ มาประดษิ ฐ์ 5.แพค็ เกจก็จะเป็นกลอ่ งทรงสูงและจะมโี ลโกห้ อ้ ยไปกบั ตวั แพค็ เกจเน่อื งจากโลโก้ เม่อื เราซ้อื ไปแลว้ สามารถนําไปเก็บไวไ้ ดเ้ ป็นคุณค่าทางจิตใจ ขนาดของกล่อง แพค็ เกจจะใชข้ นาดท่พี อดกี บั โคมไฟไม่ใหญ่และไม่เลก็ เกินไปเพอ่ื ป้องกนั ไม่ให้ ผลติ ภณั ฑเ์ กิดความเสยี หาย นาํ เสนอโลโกแ้ ก่อาจารยท์ ่ีปรึกษา พูดถงึ ท่ีมาท่ไี ปของโลโกแ้ ละอธิบายถงึ การ วท.หาดใหญ่อาํ นวยวทิ ย์ วเิ คราะหจ์ ุดเด่นต่าง ๆ ในตวั ผลติ ภณั ฑข์ องโครงการมาใชใ้ นการออกแบบ แรง บนั ดาลใจท่ีไดอ้ อกมาเป็นโลโกต้ วั น้ี รวมถึงแพ็คเกจท่ีนํามาใชใ้ นการบรรจุ ผลติ ภณั ฑ์ รูปแบบของโลโกแ้ ละแพ็คเกจท่ีนํามาใชป้ ระกอบกนั หลงั จากการ นาํ เสนอ จดบนั ทกึ คาํ แนะนาํ ของอาจารยท์ ป่ี รกึ ษา แลดาํ เนินการแกไ้ ข นาํ เสนอโครงงาน และดาํ เนินการอบรมใหค้ วามรูใ้ หต้ วั แทนกลมุ่ เสนอโครงงานแก่ วท.หาดใหญ่อาํ นวยวทิ ย์ อาจารยท์ ่ปี รึกษา พูดถึงความสาํ คญั และเหตุผลต่าง ๆ ในการจดั ทาํ โครงงาน เหตุผลท่ไี ดจ้ ดั ทาํ โครงงานน้ีข้นึ มาและสามารถนาํ มาใชใ้ หเ้ กิดประโยชนอ์ ย่างไร บา้ ง จดั ทาํ รูปเลม่ โดยดาํ เนนิ โครงงานและรวบรวมแบบประเมนิ ความพงึ พอใจในการ วท.หาดใหญ่อาํ นวยวทิ ย์ ดาํ เนนิ โครงงานนาํ มาประมวลและคาํ นวณผลต่าง ๆ และนาํ มาอธบิ ายในตวั โครงงาน 5 บท และขนั้ ตอนสดุ ทา้ ยคอื การสรปุ ผลการดาํ เนนิ จนถงึ การสาํ เรจ็ ใน การทาํ โครงงานและจดั ทาํ เลม่ โครงงานจากบทท่1ี -5 ใหเ้สรจ็
45 โครงงานโคมไฟผลไมต้ งั้ โตะ๊ จากชอ้ นพลาสตกิ มแี ผนการปฏบิ ตั งิ านทก่ี าํ หนดไว้ ดงั น้ี ตารางท่ี 1 แผนการปฏบิ ตั งิ านดาํ เนนิ โครงการ วธิ ดี าเนินงาน โครงงานโคมไฟผลไมต้ ง้ั โตะ๊ จากชอ้ นพลาสตกิ มวี ธิ กี ารดาํ เนนิ งานทป่ี ฏบิ ตั ิ ดงั น้ี ตารางท่ี 2 ตาราง PDCA รายการ การดาเนินงาน การวางแผน สมาชกิ ในกลมุ่ ช่วยกนั หารอื และคิดช่อื โครงงาน เขยี นหลกั การและเหตผุ ล วตั ถปุ ระสงค์ ขอบเขต (Plan) ของโครงการ เป้าหมาย และผลทค่ี าดวา่ จะไดร้ บั โดยใหอ้ าจารยท์ ป่ี รกึ ษาโครงงานตรวจสอบขอ้ มลู จดุ ไหนมขี อ้ บกพร่องก็ใหน้ าํ กลบั มาแกไ้ ขขอ้ ผดิ พลาดใหส้ มบูรณ์ แลว้ นาํ ไปเสนอแก่ผูอ้ าํ นวยการ เพอ่ื ขออนุมตั ิโครงงาน จากนน้ั เร่มิ คิดออกแบบตวั ผลติ ภณั ฑ์ โลโก้ และบรรจภุ ณั ฑใ์ หม้ สี วยงาม สรา้ งสรรคแ์ ละมีแปลกใหม่ เหมาะสมกบั ผลติ ภณั ฑ์ ออกแบบโลโกใ้ หม้ คี วามเช่ือมโยงถึง ผลติ ภณั ฑม์ ากทส่ี ดุ ทง้ั สี การออกแบบ รูปลกั ษณ์ การจดั วางโลโกใ้ นบรรจุภณั ฑ์ บรรจภุ ณั ฑท์ ม่ี ี ความพอดกี บั ตวั ผลติ ภณั ฑ์ โดยวเิ คราะหจ์ ากตวั ผลติ ภณั ฑข์ องเราเอง จดุ เด่นทจ่ี ะนาํ มาประกอบ ในตวั โลโก้ การปฏบิ ตั ิ ออกแบบโลโกแ้ ละบรรจภุ ณั ฑ์ โดยการนาํ จดุ เดน่ ต่าง ๆ มาวเิ คราะห1์ .เรม่ิ จากช่อื ของผลติ ภณั ฑม์ า (Do) จากการนาํ ชอ่ื เลน่ ภาษาองั กฤษของผูจ้ ดั ทาํ ทงั้ สองคนมารวมกนั 2.นาํ รูปทรงของชอ้ นท่ีเป็นวงรีมาเป็นรูปทรงของโลโกเ้ พ่อื ส่ือใหเ้ ห็นถงึ ลกั ษณะของอุปกรณ์ท่ี นาํ มาใชใ้ นการประดษิ ฐ์ 3.ใชส้ โี ทนสภุ าพ เรยี บ ๆ เพอ่ื ไม่ใหด้ ูฉูดฉาดจนเกินไป 4.ออกแบบตวั ผลติ ภณั ฑม์ าใส่ในโลโกเ้ ป็นตวั โคมไฟสบั ปะรดซ่งึ เป็นแบบท่ีทางกลุ่มจะนํามา ประดษิ ฐ์ 5.แพ็คเกจก็จะเป็นกลอ่ งทรงสูงและจะมโี ลโกห้ อ้ ยไปกบั ตวั แพค็ เกจเน่ืองจากโลโกเ้ มอ่ื เราซ้อื ไป แลว้ สามารถนาํ ไปเก็บไวไ้ ดเ้ป็นคณุ ค่าทางจติ ใจ ขนาดของกลอ่ งแพค็ เกจจะใชข้ นาดทพ่ี อดีกบั โคม ไฟไมใ่ หญ่และไม่เลก็ เกนิ ไปเพอ่ื ป้องกนั ไมใ่ หผ้ ลติ ภณั ฑเ์ กิดความเสยี หาย วาดภาพลงในกระดาษ และจาํ ลองแบบในคอมพวิ เตอรใ์ หส้ วยงาม แลว้ นาํ เสนอกบั อาจารยท์ ป่ี รกึ ษาโครงงาน การ หลงั จากการนาํ เสนอแก่อาจารยท์ ่ปี รึกษา ไดร้ บั ขอ้ แนะนาํ ของอาจารยท์ ่ีปรึกษาโครงการพบว่า ตรวจสอบ/ ตวั โลโกก้ บั บรรจภุ ณั ฑไ์ ม่ค่อยมคี วามสมดุลกนั เน่ืองจากตวั โลโกม้ ขี นาดเลก็ และควรจะขยายให้ ประเมินผล ใหญ่และปรบั ตาํ แหน่งของตวั โลโกไ้ ม่ใหซ้ าํ้ จาํ เจกบั ผลติ ภณั ฑแ์ บบเดิม ๆ ทม่ี อี ยู่แลว้ ใหด้ ูแปลก (Check) ใหม่และเป็นท่ีจดจาํ ไดง้ ่าย ลวดลายของบรรจุภณั ฑค์ วรท่ีจะสอดคลอ้ งกบั ผลิตภณั ฑท์ ่ีเรา ประดิษฐ์ คือใหเ้ ป็นรูปผลไมช้ นิดท่เี ราประดิษฐข์ ้นึ มา และในโลโกค้ วรท่ีเป็นลกั ษณะของ ผลติ ภณั ฑท์ เ่ี ราจะประดษิ ฐ์ เพม่ิ ลูกเลน่ ต่าง ๆ ใหม้ คี วามน่าสนใจ สสี นั ของตวั โลโกใ้ หม้ คี วามโดด เด่นมากข้นึ
46 แนวทางการ ขยายตวั โลโกใ้ หเ้ป็นลกั ษณะของผลติ ภณั ฑ์ ปรบั แต่งรูปทรงของโลโก้ ขยายใหข้ นาดใหญ่ข้นึ และ นาผลการ พอเหมาะกบั บรรจภุ ณั ฑ์ ปรบั เปลย่ี นตาํ แหน่งของโลโกใ้ หเ้ ป็นลกั ษณะคลา้ ยพวงกุญแจหอ้ ยติด ประเมนิ ไป ดา้ นบนของบรรจุภณั ฑแ์ ทนจากทอ่ี ยู่บนตวั กลอ่ งบรรจุภณั ฑเ์ พ่อื เป็นจุดเด่นและน่าจดจาํ ไดง้ า่ ย ปรบั ปรุง ออกแบบลวดลายของบรรจุภณั ฑ์ใหเ้ ป็นรูปผลไมท้ ่เี ราประดิษฐข์ ้นึ มา และปรบั แต่งใหม้ คี วาม (Act) สวยงาม เมอ่ื นาํ โลโกแ้ ละบรรจภุ ณั ฑม์ าอยู่ดว้ ยกนั จะมคี วามพอดแี ละลงตวั เครอ่ื งมอื ท่ีใชใ้ นการศึกษา - แบบประเมนิ ความพงึ พอใจ การวิเคราะหข์ อ้ มูล - หาค่าเฉลย่ี - หาค่ารอ้ ยละ สถติ ิท่ใี ชใ้ นการวิเคราะหข์ อ้ มลู 1. สถติ พิ รรณนาเป็นการอธบิ ายขอ้ มลู โดยทวั่ ไปของผูต้ อบแบบสอบถาม โดยมกี ารหาค่าความถ่ี (Frequency) ค่ารอ้ ยละ (Percenpage) ค่าเฉลย่ี (Mean) เพอ่ื จาํ แนกประเภทของขอ้ มลู โดยมสี ูตรใน การคาํ นวณดงั ต่อไปน้ี 1.1 ค่ารอ้ ยละ (Percenpage) มสี ูตรในการคาํ นวณดงั น้ี สูตรรอ้ ยละ = ตวั เลขทต่ี อ้ งการเปรยี บเทยี บx100 จาํ นวนเตม็ 1.2 ค่าเฉลย่ี (Mean) มสี ูตรในการคาํ นวณ ดงั น้ี ค่าเฉลย่ี x สูตร คือ x แทน ค่าเฉลย่ี แทน ผลรวมคะแนนทง้ั หมดของกลมุ่ ตวั อย่าง N แทน จาํ นวนทงั้ หมด
บทท่ี 4 การวเิ คราะหข์ อ้ มูล การประเมนิ โครงงานโคมไฟผลไมต้ ง้ั โตะ๊ จากชอ้ นพลาสตกิ มผี ลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ดงั น้ี ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ตอนท่ี 1 ขอ้ มลู จาํ นวนของผูเ้ขา้ ร่วมกิจกรรม ตารางท่ี 3 ตารางขอ้ มลู ผูเ้ขา้ ร่วมกจิ กรรม จานวน (คน) สถานภาพ รอ้ ยละท่ีเขา้ รว่ ม เป้ าหมาย เขา้ รว่ ม 100% 100% ผูเ้ขา้ ร่วมโครงงาน 36 36 100% ผูด้ าํ เนนิ โครงงาน 2 2 38 38 รวม ผูเ้ขา้ ร่วมกิจกรรม เป็นผูด้ าํ เนนิ โครงงาน จาํ นวน 2 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 100% เป็นผูเ้ขา้ ร่วมโครงงาน จาํ นวน 36 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 100% คดิ เป็นรอ้ ยละ 100% รวมทงั้ ส้นิ 38 คน
48 ตอนท่ี 2 แบบประเมนิ ความพงึ พอใจ มากท่สี ดุ มาก ปานกลาง นอ้ ย นอ้ ยท่สี ดุ ค่าเฉลย่ี ตารางท่ี 4 ตารางแบบประเมนิ ความพงึ พอใจ 32(160) 4(16) - - - 4.88 22(110) 14(56) - - - 4.61 ขอ้ รายการ 24(120) 12(48) - - - 4.67 1. โลโกแ้ ละบรรจภุ ณั ฑม์ คี วามเหมาะสม 22(110) 14(56) - - - 4.61 26(130) 10(40) - - - 4.72 2. การออกแบบโลโกแ้ ละบรรจภุ ณั ฑส์ อดคลอ้ งกบั 23(115) 13(52) - - - 4.64 โครงงาน 28(140) 8(32) - - - 4.78 3. ความคดิ สรา้ งสรรค์ และความแปลกใหมใ่ นการ 177(885) 75(300) - - - 4.70 ออกแบบโลโกแ้ ละบรรจภุ ณั ฑ์ 74.68% 25.32% - - - 100% 4. โลโกแ้ ละบรรจภุ ณั ฑด์ ูดี มเี อกลกั ษณ์ จดจาํ ไดง้ า่ ย 5. โลโกแ้ ละบรรจภุ ณั ฑส์ ามารถนาํ ไปใชไ้ ดจ้ รงิ 6. โลโกแ้ ละบรรจภุ ณั ฑม์ ชี ่องทางการจดั จาํ หน่าย และ รายละเอยี ดของสนิ คา้ ทช่ี ดั เจน 7. ความพงึ พอใจกบั โครงงานโคมไฟผลไมต้ งั้ โตะ๊ จาก ชอ้ นพลาสตกิ ค่ารอ้ ยละ ค่าเฉล่ยี รวม จากตารางแบบประเมนิ ความพงึ พอใจ พบว่า จากการดาํ เนินโครงงานโคมไฟผลไมต้ ง้ั โตะ๊ จากชอ้ นพลาสติก โดยภาพรวมของโลโกแ้ ละบรรจภุ ณั ฑอ์ ยู่ในระดบั ทด่ี มี าก ค่าเฉลย่ี อยู่ท่ี 4.70 และเมอ่ื พจิ ารณารายขอ้ พบว่า ระดบั มาก ทส่ี ุด คือขอ้ 1 โลโกแ้ ละบรรจุภณั ฑม์ คี วามเหมาะสม ค่าเฉลย่ี อยู่ท่ี 4.88 ส่วนรองลงมา คือขอ้ 7 ความพงึ พอใจกบั โครงงานโคมไฟผลไมต้ งั้ โตะ๊ จากชอ้ นพลาสตกิ ค่าเฉลย่ี อยู่ท่ี 4.78 ลาํ ดบั สดุ ทา้ ยคือขอ้ 5 โลโกแ้ ละบรรจภุ ณั ฑส์ ามารถ นาํ ไปใชไ้ ดจ้ รงิ ค่าเฉลย่ี อยู่ท่ี 4.72 ตามลาํ ดบั การแปลผลจากค่าเฉลย่ี เลขคณิต ( ) โดยใชห้ ลกั เกณฑ์ 5 ระดบั ดงั น้ี ค่าเฉล่ยี เลขคณิต ( ) ความหมาย 4.50 – 5.00 ระดบั การปฏบิ ตั มิ ากทส่ี ุด / เหมาะสมมากทส่ี ุด 3.50 – 4.49 ระดบั การปฏบิ ตั มิ าก / เหมาะสมมาก 2.50 – 3.49 ระดบั การปฏบิ ตั ปิ านกลาง / เหมาะสมปานกลาง 1.50 – 2.49 ระดบั การปฏบิ ตั นิ อ้ ย / เหมาะสมนอ้ ย 1.00 – 1.49 ไมม่ กี ารปฏบิ ตั /ิ ควรปรบั ปรงุ
บทท่ี 5 สรปุ ผลการดาเนินโครงงานและขอ้ เสนอแนะ จดุ ม่งุ หมายของการทาํ โครงงานในครงั้ น้ี เป็นการสรา้ งความรูแ้ ละความเขา้ ใจในการออกแบบผลติ ภณั ฑ์ ใหม้ ี ความเหมาะสมกบั ผลติ ภณั ฑ์ หรอื สง่ิ ประดษิ ฐท์ น่ี กั เรยี น นกั ศึกษาไดป้ ฏบิ ตั ิ โดยโครงงานสง่ิ ประดษิ ฐโ์ คมไฟผลไมต้ งั้ โตะ๊ จากชอ้ นพลาสตกิ มผี ลการดาํ เนนิ โครงงานดงั น้ี สรปุ ผลการดาเนินโครงงาน ผลการดาํ เนินโครงงานในส่วนของโลโกแ้ ละบรรจุภณั ฑ์ บรรลุตามวตั ถปุ ระสงคแ์ ละเป้าหมายท่ไี ดว้ างไว้ ใน การทาํ แบบประเมนิ ความพงึ พอใจ ซ่งึ ทางกลุ่ม ไดด้ าํ เนินการประเมนิ ความพงึ พอใจในตวั ของโลโกแ้ ละบรรจุภณั ฑ์ พบวา่ อยู่ในระดบั ดมี าก มคี ่าเฉลย่ี อยู่ท่ี 4.70 ซง่ึ ทางกลมุ่ จะตอ้ งมกี ารพฒั นาและปรบั ปรุงใหต้ วั โลโกแ้ ละบรรจภุ ณั ฑ์ ใหด้ ยี ง่ิ ข้นึ ไป การอภปิ รายผล ผลการดาํ เนนิ งานประเมนิ แบบทดสอบความพงึ พอใจในโครงงานโคมไฟผลไมต้ งั้ โตะ๊ จากชอ้ นพลาสตกิ พบวา่ จาํ นวนแบบประเมนิ ความพงึ พอใจ 36 ชดุ ผลการประเมนิ ความพงุ พอใจในภาพรวมอยู่ทร่ี ะดบั ดมี าก ค่าเฉลย่ี อยู่ท่ี 4.70 ส่วนในแบบประเมนิ ความพงึ พอใจมคี ่าคะแนนตามลาํ ดบั ดงั น้ี อนั ดบั ท่ี 1 ระดบั ดมี าก อยู่ในหวั ขอ้ ท่ี 1 โลโกแ้ ละ บรรจภุ ณั ฑม์ คี วามเหมาะสม ค่าเฉลย่ี อยู่ท่ี 4.88 รองลงมาอนั ดบั ท่ี 2 อยู่ในหวั ขอ้ ท่ี 7 ความพงึ พอใจกบั โครงงานโคม ไฟผลไมต้ งั้ โตะ๊ จากชอ้ นพลาสตกิ ค่าเฉลย่ี อยู่ท่ี 4.78 อนั ดบั ท่ี 3 คือหวั ขอ้ ท่ี 5 โลโกแ้ ละบรรจภุ ณั ฑส์ ามารถนาํ ไปใชไ้ ด้ จรงิ ค่าเฉลย่ี อยู่ท่ี 4.72 จุดเด่นของโลโก้ 1. โลโกม้ คี วามแปลกใหม่ มคี วามดงึ ดูด น่าสนใจ 2. โลโกม้ ภี าพทส่ี อ่ื ความหมายชดั เจน สอดคลอ้ งกบั โครงงาน 3. โลโกม้ คี วามเหมาะสมกบั การใชง้ าน จุดดอ้ ยของโลโก้ 1. โลโกม้ ขี นาดเลก็ เกินไป 2. โลโกค้ วรเพม่ิ ใหม้ อี กั ขระทเ่ี ขา้ ใจงา่ ย จดุ เดน่ ของบรรจภุ ณั ฑ์ 1. บรรจภุ ณั ฑด์ ูดี มเี อกลกั ษณ์ จดจาํ งา่ ย 2. บรรจภุ ณั ฑม์ คี วามแขง็ แรงทนทาน 3. บรรจภุ ณั ฑส์ อ่ื ถงึ ผลติ ภณั ฑไ์ ดด้ ี
Search