Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ppt 4 Kingdom Plantae ครูสุกฤตา

ppt 4 Kingdom Plantae ครูสุกฤตา

Published by suklittha24, 2022-10-30 04:55:26

Description: ppt 4 Kingdom Plantae ครูสุกฤตา

Search

Read the Text Version

อาณาจกั รพชื : Kingdom Plantae จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล จดั ทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล รำยวชิ ำชวี วทิ ยำ ชน้ั ม.6 โรงเรยี นเบญจมรำชทู ิศ จงั หวดั จนั ทบรุ ี

อำณำจกั ร Plantae หรือ Metaphyta (Psilotum sp.) ▪ ลักษณะร่วมท่ีสำคญั (1) จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล - เป็นส่ิงมีชีวิตหลำยเซลล์ที่สังเครำะห์ด้วยแสงเพ่ือ สรำ้ งอำหำรได้ เรียกวำ่ ออโตโทรป (autotroph) - มีเซลลแ์ บบยูคำริโอต - มีผนังเซลล(์ cell wall) เป็นสำรเซลลูโลสท่ีแข็งแรง ห่มหุ้มอยู่ภำยนอกเยื่อหุ้มเซลล์และสำมำรถสร้ำง อำหำรด้วยกระบวนกำรสังเครำะห์ด้วยแสง - โครงสร้ำงของพืชประกอบด้วยเซลล์ส่วนใหญ่ท่ีมี รงควตั ถดุ ดู ซบั แสง คือ คลอโรฟิลล์ (chlorophyll) ซึ่ง บรรจอุ ยใู่ นคลอโรพลำสต์ - มีกำรรวมกลุ่มของเซลล์เป็นเนื้อเย่ือเพื่อทำหน้ำท่ี เฉพำะอย่ำง

▪ ลกั ษณะร่วมทส่ี ำคญั (2) - วัฏจักรชีวิตมีกำรสืบพันธ์ุแบบสลับ (alternation of generation) ระหว่ำงระยะสปอโรไฟต์ ที่แต่ละ เซลลม์ จี ำนวนโครโมโซม 2 ชุด (2n) สลับกับระยะ ที่เป็นแกมีโทไฟต์ท่ีละเซลล์มีจำนวนโครโมโซม 1 ชุด (n) - มี ก ำ ร เ จ ริ ญ เ ติ บ โ ต ข อ ง เ อ็ ม บ ริ โ อ ( young sporophyte)ภำยในตน้ แม่ (female gametophyte) ซึ่งแตกต่ำงจำกสำหร่ำย ทเ่ี อม็ บรโิ อเจรญิ เติบโตอสิ ระ จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

▪ ววิ ฒั นำกำรของพืช พืชเกือบทุกชนิดอำศัยอยู่บนบก และหลักฐำนทำงวิวัฒนำกำรและกำรศึกษำ เปรียบเทยี บลำดบั เบสของ DNA จำกคลอโรพลำสตแ์ ละนวิ เคลียสทำให้นกั ชวี วทิ ยำเชื่อว่ำ มีวัฒนำกำรมำจำกสำหร่ำยสีเขียวหลำยเซลล์ พ ว กส ำ หร่ำ ย ไ ฟ กลุ่ม ค ำ โ ร ไ ฟ ต์ (Charophyte) เพรำะมีวัฏจักรชีวิตท่ีมีกำรสืบพันธุ์แบบสลับ (alternation of generation) เหมอื นกัน และมีส่วนทค่ี ลำ้ ยคลงึ กนั อีก ได้แก่ 1. มีสำรสีท่ีใช้ในกำรสังเครำะห์ด้วย Chara sp. แ ส ง คื อ ค ล อ โ ร ฟิ ล ล์ เ อ แ ล ะ คลอโรฟลิ ล์ บี 2. มีกำรจัดเรียงตัวของเซลลูโลสที่ ผนังเซลล์ 3. มีโครงสรำ้ งทที่ ำหน้ำทปี่ อ้ งกนั เซลล์ สืบพันธุ์และไซโกตท่ีคล้ำยคลึงกับ กำรป้องกันเอ็มบริโอ จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

Evolution of plants จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

Evolution of plants จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

▪ กำรปรบั ตวั ของพชื เพอื่ ขน้ึ มำอำศัยอยบู่ นบก 1. กำรปรบั ตวั ทำงดำ้ นโครงสรำ้ ง เชน่ รำกท่ีสำมำรถดดู นำ้ ได้ดี มีเน้อื เยือ่ ลำเลียงเพ่อื ลำเลยี งนำ้ แร่ธำตุและสำรอำหำรขนึ้ ไปส่ยู อด มีปำกใบ (stomata) เพื่อแลกเปล่ียนแกส๊ 2. กำรปรับตัวด้ำนองค์ประกอบทำงเคมี โดยสังเครำะห์สำรที่พืช สร้ำงขึ้นเป็นพิเศษเพ่ือใช้กำรดำรงชีวิต เช่นเพื่อให้พืชมีควำม แข็งแรงและทนทำนต่อสภำพแวดล้อม มคี วิ ติเคลิ (สำรคล้ำยข้ผี ้งึ ทเ่ี คลอื บผวิ ใบและลำตน้ ) เพอ่ื ลดกำรสูญเสียนำ้ 3. กำรปรับตัวด้ำนกำรสืบพันธุ์ โครงสร้ำงท่ีสร้ำงเซลล์สืบพันธ์ุเพศเมียมีเน้ือเยื่อ ปกป้องเซลล์สืบพันธ์ุหลำยชั้น พืชบำงชนิดยังเก็บไซโกตไว้ในอวัยวะสืบพันธุ์เพศ เมียเพือ่ ให้ไซโกตเจรญิ เตบิ โตเปน็ เอม็ บริโอกอ่ นจะหลดุ รว่ งไปงอกเปน็ ตน้ ใหม่ (ตน้ สปอร์โรไฟต์) ส่วนละอองเรณูของพืชดอกมีกำรป้องกันกำรสูญเสียน้ำและทนต่อ ควำมแห้งแล้ง เซลลส์ บื พันธใ์ุ ช้นำ้ นอ้ ยหรือไมต่ อ้ งอำศยั นำ้ ในกำรผสมพันธุ์ จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

นกั อนกุ รมแบง่ พชื ออกเปน็ 2 กลุ่มใหญ่ ดังนี้ 1. กลมุ่ พืชทไี่ มม่ เี นื้อเยื่อลำเลียง (nonvascular plant) 2. กลมุ่ พืชท่ีมเี นื้อเยือ่ ลำเลยี ง (vascular plant) 2.1 แบบทไ่ี ม่มเี มลด็ (seedless plant) 2.2 แบบที่มีเมล็ด (seed plant) 2.2.1 พชื เมลด็ เปลือย (Gymnosperms) 2.2.2 พชื ดอก (Angiosperms) จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

1. กลุ่มพืชทีไ่ มม่ ีเน้ือเยื่อลำเลียง (nonvascular plant) - ไมม่ เี น้ือเย่อื ลำเลียง ไม่มรี ำก ลำตน้ และใบทีแ่ ท้จริง มีสีเขียวขนำดเล็ก มักพบในทชี่ ืน้ สูง - มีวัฏจกั รชวี ิตแบบสลบั โดยตน้ แกมีโทไฟตเ์ ดน่ ตลอดชีวิต วัฏจักรชีวิตแบบสลับ (alternation of generation) ตำ่ งจำกพชื อื่นๆ คอื มีตน้ สปอโรไฟตข์ นำดเล็ก พบเพียงบำงช่วงของชีวิต และเจริญอยู่บนต้นแกมีโทไฟต์ ต้นสี เขยี วทเี่ รำเห็นทัว่ ไปเปน็ ตน้ แกมโี ทไฟต์ ▪ ตน้ แกมโี ทไฟต์ (Gametophyte) มลี ักษณะดงั นี้ - ขนำดเล็ก (สูงไม่เกนิ 15 เซนติเมตร) - ยังไมม่ ีรำก ลำต้นและใบทแ่ี ทจ้ รงิ (ไม่มีเนื้อเย่ือลำเลียงภำยใน) - มีโครงสร้ำงคลำ้ ยใบเลก็ ๆ ทำหนำ้ ที่สงั เครำะห์ด้วยแสง จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

- มีโครงสร้ำงคล้ำยรำกคือ ไรซอยด์ (rhizoid) เป็นเพียงเซลล์เด่ียวๆ มีหน้ำท่ี ดดู น้ำและแร่ธำตจุ ำกดินเขำ้ สลู่ ำต้นพืชด้วยกำรแพร่ (diffusion) จึงลำเลียงได้ช้ำ และเป็นข้อจำกัดทำให้พืชเป็นพืชนำดเล็ก และต้องข้ึนรวมกลุ่มหนำแน่นใน บริเวณท่ีมีควำมชุ่มชื้นสูง เช่น ตำมพื้นดิน ก้อนหินเปียกชื้น กระถำงต้นไม้ ใกล้ แอ่งน้ำ บนภเู ขำทชี่ ุม่ ชน้ื - ต้นแกมีโทไฟตท์ ำหนำ้ ทสี่ รำ้ งเซลลส์ บื พันธุ์ (n) โดยกำรแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส ต้นแกมีโทไฟต์เพศผู้มีอวัยวะสืบพันธุ์ที่ปลำยยอด เรียกว่ำ แอนเทอริเดียม (antheridium) ทำหนำ้ ท่ีสรำ้ งสเปิร์ม ต้นแกมโี ทไฟตเ์ พศเมยี มีอวัยวะสืบพันธุ์เพศ เมียเรียกวำ่ อำร์คีโกเนยี ม (archegonium) ทำหน้ำทส่ี ร้ำงไข่ - กำรปฏิสนธิต้องอำศัยน้ำเป็นตัวกลำง สเปิร์มว่ำยน้ำไปปฏิสนธิกับไข่ เกิด ไซโกต (2n) เจรญิ เติบโตเปน็ ต้นสปอโรไฟตต์ อ่ ไป ▪ ตน้ สปอโรไฟต์ (Sporophyte) มีลกั ษณะดังน้ี - อำศัยอยู่บนต้นแกมีโทไฟต์เพศเมีย ทำหน้ำที่สร้ำง สปอร์ (n) โดยกำรแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส เมื่อสปอร์ ปลิวตกไปงอกเปน็ แกมีโทไฟต์ตน้ ใหม่ตอ่ ไป - สร้ำงอำหำรเองไม่ได้ (ไม่มสี ีเขยี ว) จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

1 (Anthocerophyta) ▪ กลมุ่ พชื ทไ่ี มม่ เี นอ้ื เยือ่ ลำเลยี ง (nonvascular plant) แบ่งออกได้ 3 ไฟลมั ดงั น้ี ❑ ไฟลัมแอนโทซีโรไฟตำ (Anthocerophyta) เชน่ ฮอรน์ เวิร์ต (hornworts) - ตน้ แกมีโทไฟตม์ ลี กั ษณะเปน็ แผ่น มรี อยหยกั ทีบ่ ริเวณขอบ มคี ลอโรพลำสต์ 1 อนั ต่อเซลล์ - ต้นสปอรโ์ รไฟตม์ ลี ักษณะเป็นท่อ เรยี วแหลมบริเวณปลำยคลำ้ ยเขำสตั ว์ มเี น้ือเยอ่ื เจรญิ บรเิ วณโคนต้น - ภำยในเซลล์มีโครงสร้ำงของโปรตีนท่ีเรียกว่ำ ไพรีนอยด์ (pyrenoid) คล้ำยกับในสำหร่ำย จึงเชื่อว่ำ น่ำจะเป็นพชื กลุ่มแรกที่อพยพขึ้นมำอำศัยอยบู่ นบกได้ จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

1 (Anthocerophyta) จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

1 (Anthocerophyta) จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

2 (Hepatophyta) ❑ไฟลมั เฮพำโทไฟตำ (Hepatophyta) เช่น ลิเวอร์เวริ ต์ (liverworts) ชนดิ ตำ่ งๆ ไดแ้ ก่ Marchantia sp. - ตน้ แกมโี ทไฟตม์ โี ครงสร้ำงซับซ้อนนอ้ ยกว่ำมอส มสี ว่ นคลำ้ ยใบและทีเ่ ปน็ แผน่ บำงๆ แยกออกเป็นพู เรียกว่ำ ทัลลัส (thallus) มสี ีเขยี ว และรปู รำ่ งคลำ้ ยตบั (liver) - เซลล์แตล่ ะเซลลภ์ ำยในลเิ วอรเ์ วริ ์ตจะมหี ยดน้ำมัน (oil droplet) สะสมอยภู่ ำยใน - ไมพ่ บปำกใบ (stomata) สำหรับใช้ในกำรแลกเปล่ยี นแกส๊ - ต้นสปอร์โรไฟตม์ อี บั สปอร์ (sporangium) ภำยในมีสปอรแ์ ละมโี ครงสร้ำงของ elator ชว่ ยกระจำยสปอร์ จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

2 (Hepatophyta) จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

2 (Hepatophyta) จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

❑ ไฟลมั ไบรโอไฟตำ (Bryophyta) 3 (Bryophyta) เชน่ มอสส์ (moss) ชนดิ ต่ำงๆ ไดแ้ ก่ ข้ำวตอกฤำษี หรือ จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล สแฟกนัมมอส (Sphagnum sp.) ใชเ้ ปน็ พืชคลมุ ดนิ - เป็นพืชขนำดเล็ก เรียงกันหนำแน่นมองดูคล้ำยพรม มีสีเขียวสด ขึ้นอยู่ใน บริเวณท่ีชื้นแฉะหรือมีควำมช้ืนสูง เป็นพืชกลุ่มแรกๆ ท่ีข้ึนอยู่ในส่ิงแวดล้อม ใหม่ๆ เช่น บนหิน (ที่มีควำมชุ่มชื้นสูง) เม่ือพืชพวกนี้ตำยทับถมลงบนพื้น ก็จะ ทำใหเ้ กดิ เนือ้ ดนิ ทอี่ ดุ มสมบูรณ์พอให้พืชอื่นมำอำศัยอยู่ต่อไป มอสบำงชนิดจึง มปี ระโยชน์ในแง่ของปุ๋ย - ระยะแกมีโทไฟต์พบตลอดชีวิต ในช่วงแรกมีลักษณะเป็นสำยคล้ำยสำหร่ำย เรยี กว่ำ protonema - ระยะสปอโรไฟต์ของมอสประกอบดว้ ยสว่ น foot ทำหนำ้ ท่ใี น กำรยึดกบั ต้นแกมโี ทไฟต์ สว่ นกำ้ นชู (stalk) และสว่ นทเ่ี ป็น อบั สปอร์ (sporangium) ซึง่ มฝี ำปิด (operculum) และมี โครงสร้ำงคล้ำยฟนั (peristome teeth)ชว่ ยกระจำยสปอร์

(Bryophyta) จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

(Bryophyta) ข้อควรทรำบ : สแฟกนัมมอส (Sphagnum sp.) หรือข้ำวตอกฤำษี อยู่ในกลุ่ม พืชท่ีไม่มีเนื้อเยื่อลำเลียง มักใช้เป็นวัสดุคลุมดินเพื่อรักษำควำมช้ืนในดิน เมื่อ ตำยทบั ถมกันมำกๆ จะเกิดเป็นเชอ้ื เพลิงท่เี รียกวำ่ พที (peat) จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

2. กลมุ่ พืชทมี่ เี นอื้ เยอื่ ลำเลยี ง (vascular plant) - มีลักษณะร่วมกันคือมีเน้ือเย่ือลำเลียงท่ีติดต่อถึงกันโดยตลอด คือ ท่อลำเลยี งนำ้ (xylem) และทอ่ ลำเลยี งอำหำร (phloem) - มรี ำกท่พี ฒั นำขน้ึ มำเพอ่ื ใช้ดูดนำ้ และแรธ่ ำตุเขำ้ สู่ภำยพชื รวมทัง้ มี ลำตน้ และใบท่ีแท้จรงิ - ระยะ sporophyte ของพชื กล่มุ น้ีจะเป็นลักษณะเด่น และแยก ออกจำกระยะ gametophyte ท่ีมีแค่ช่วงสั้นๆ (จะไม่เหมือนกับ กลุ่มพชื ที่ไมม่ ีทอ่ ลำเลียง) จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

- วัฏจักรชวี ติ แบบสลับโดยมี sporophyte ใหญก่ ว่ำ gametophyte พชื มเี นอื้ เย่ือลำเลยี งมวี วิ ฒั นำกำร สูงขนึ้ จะมี sporophyte ใหญ่ขึ้นและ gametophyte เลก็ ลงตำมลำดบั จนกระทง่ั ในพืชพวกสนและ พชื มีดอก gametophyte จะเหลอื เพยี งกลมุ่ เซลลไ์ มก่ ี่เซลลท์ อ่ี ำศยั อยู่บน sporophyte เทำ่ นัน้ - รูปแบบกำรสร้ำงสปอร์ของพชื มเี นอื้ เย่อื ลำเลยี ง สำมำรถเกดิ ได้ 2 รูปแบบ คอื 1) กล่มุ ท่ีมกี ำรสร้ำงสปอรแ์ บบเดียว (homosporous plant) 2) กลมุ่ ท่มี ีกำรสร้ำงสปอร์ 2 แบบท่มี ีขนำดไมเ่ ท่ำกัน (heterosporous plant) 2.1สปอรข์ นำดใหญ่ (megaspore) เจริญไปเปน็ ตน้ แกมโี ทไฟต์เพศเมยี (female gametophyte) 2.2สปอรข์ นำดเลก็ (microspore) เจรญิ ไปเป็นต้นแกมโี ทไฟตเ์ พศผู้ (male gametophyte) จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

- ใบของพชื กล่มุ ทม่ี ีเนอ้ื เยื่อลำเลยี งจะมี 2 แบบคือ 1) ใบแบบไมโครฟิลล์ (microphyll) ใบขนำดเล็ก มีเสน้ ใบเพียง 1 เส้นแต่ไม่มีกำรแตกแขนง 2) ใบแบบเมกะฟิลล์ (megaphyll) ใบขนำดใหญ่ มกี ำรเช่ือมกันของเสน้ ใบทำใหเ้ หน็ เปน็ ร่ำงแห จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

2.1 พชื มีเนือ้ เยื่อลำเลยี งแตไ่ ม่มีเมลด็ (seedless vascular plant) มีรำก ลำต้น และใบท่ีแท้จริง มีเนื้อเย่ือลำเลียงน้ำและแร่ธำตุ ต้นแกมีโทไฟต์ และตน้ สปอโรไฟต์เจริญแยกกันหรือรวมกันช่วงสั้นๆ ซ่ึงต้นแกมีโทไฟต์มีช่วงชีวิต สน้ั กว่ำต้นสปอโรไฟต์ มีกำรสบื พนั ธ์โุ ดยกำรสรำ้ งสปอร์ - สรำ้ งสปอร์ (n) โดยกำรแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซสิ ภำยในสโตรบลิ ัส (strobilus) หรือโคน (cone) เป็นอบั สปอรท์ เ่ี กิดจำกใบทยี่ อดเรยี งซอ้ นกนั แนน่ (สปอโรฟลิ ล์) - ตน้ แกมีโทไฟตง์ อกจำกสปอรท์ ีป่ ลวิ ตกลงสพู่ นื้ ดนิ มลี กั ษณะเปน็ แผ่น เจรญิ อย่ใู ต้ดนิ และมีบำงส่วนโผลพ่ น้ ผวิ ดินทำหน้ำทส่ี รำ้ งเซลลส์ ืบพันธ์ุ (n) - กำรปฏิสนธิ สเปริ ม์ วำ่ ยน้ำไปผสมกับไขเ่ กิดไซโกต (2n)งอกเปน็ ต้นสปอโรไฟตข์ นำด ใหญบ่ นตน้ แกมโี ทไฟตท์ ต่ี ำยไป - ประกอบด้วย2 กลุ่ม คือ ไฟลัมไลโคไฟตำ (Lycophyta) และไฟลัมเทอโรไฟตำ (Pterophyta) จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

1. ไฟลมั ไลโคไฟตำ (Lycophyta) - เปน็ พชื ที่มีลำต้นและใบแทจ้ รงิ ใบมีขนำดเล็ก มีเสน้ ใบ 1 เส้นทีไ่ มแ่ ตกแขนง (ใบแบบไมโครฟลิ ล)์ - บริเวณปลำยกิ่งมีกลุ่มใบสปอโรฟิลล์ (sporophyll) รวมกันอยู่สำหรับสร้ำงสปอร์ เรียกสตรอบิลัส (strobilus) ยกเว้นในพชื กลมุ่ กระเทียมนำ้ (Isoetes sp.) - ไฟลัมไลโคไฟตำ (Lycophyta) มี 3 จีนัสหรือ 3 กล่มุ ยอ่ ย โดยพบอำศัยอยู่ตำมที่ชุ่มชื้น มีร่มเงำ คือ ไลโคโพเดียม (Lycopodium sp.) ซีแลกจิเนลลำ (Selagenella sp.) และ กระเทยี มน้ำ (Isoetes sp.) - ในประเทศไทยพบอยู่ 2 จนี สั คือ ไลโคโพเดียม (Lycopodium sp.) และซีแลกจเิ นลลำ (Selagenella sp.) จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

1. ไฟลมั ไลโคไฟตำ (Lycophyta) ชอ้ งนางคลี่ สนหางสงิ ห์ . 1.1 กลมุ่ ไลโคโพเดยี ม (Lycopodium sp.) ช่ือสำมัญของพืชกลุ่มน้ีคือ club moss หรือ ground pine เช่น สนหำงสิงห์ (หรือสนแผง) สร้อยนำงกรอง ช้องนำงคลี่ สำมร้อยยอด สร้อยสุกรม หำงกระรอก หญ้ำรงั ไก่ สรอ้ ยสดี ำ - ใบเป็นแบบไมโครฟลิ ล์ (microphyll) เรียงเป็นวงรอบลำต้น มี strobilus ทบี่ รเิ วณปลำยก่งิ *เป็นพืชกลุ่มเดียวที่มีกำรสร้ำงสปอร์ แบบเดยี ว (homosporous plant) จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

1. ไฟลมั ไลโคไฟตำ (Lycophyta) 1.2 กล่มุ ซแี ลกจเิ นลลำ (Selagenella sp.) ชอื่ สำมญั ของพืชกลมุ่ นค้ี อื spike moss เช่น ตนี ตกุ๊ แก เฟอื ยนกหรือพอ่ คำ้ ตีเมยี หรอื หญำ้ รอ้ งไห้ - ใบเปน็ แบบไมโครฟิลล์ (microphyll) เรียงตัวในลักษณะที่ดูคล้ำยเป็นแถว 4 แถว และ บดิ กลบั ไปกลับมำอยใู่ นระนำบเดยี วกันทงั้ หมด - สร้ำงสปอร์ 2 แบบท่ีมีขนำดไม่เท่ำกัน (heterosporous plant) โ ด ย บ ริ เ ว ณ ส โ ต ร บิ ลั ส ( strobilus) ประกอบดว้ ย ▪ ใบแบบ microsporophyll ซ่ึงภำยใน มี microsporangium สำหรับสร้ำง microspore ▪ ใบแบบ megasporophyll ซง่ึ ภำยใน มี megasporangium สำหรับสร้ำง megaspore จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

1. ไฟลัมไลโคไฟตำ (Lycophyta) 1.3 กล่มุ กระเทยี มนำ้ (Isoetes sp.) ชอื่ สำมญั ของพืชกลุ่มนคี้ อื quillwort ไดแ้ ก่ กระเทยี มนำ้ - ไมม่ โี ครงสร้ำงสโตรบิลัส แต่มีกำรสร้ำงสปอร์ 2 ชนิด (heterosporous plant) ทอ่ี บั สปอรต์ รงโคนใบ เปรียบเทยี บ :ไลโคโพเดียมและซีแลกจิเนลลำ มีกำรสร้ำงอับสปอร์ ท่ปี ลำยก่ิง ส่วนกระเทียมน้ำมกี ำรสรำ้ งอับสปอรท์ ีโ่ คนใบ จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

2. ไฟลมั เทอโรไฟตำ (Pterophyta) แบง่ เป็น 3 กลุ่มยอ่ ย คือ กลมุ่ หวำยทะนอย กลุม่ หญำ้ ถอดปลอ้ ง และกล่มุ เฟริ ์นแท้ 1) กลุ่มหวำยทะนอย (Psilotum sp.) ▪ อยู่ในไฟลัมไซโลไฟตำ (Psilophyta) ส่วนใหญ่สูญพันธ์ุ ไปแลว้ ▪ ในประเทศไทยเหลืออยู่เพยี งชนดิ เดยี วคอื หวำยทะนอย (Psilotum sp.) หรอื whisk fern ▪ จำกกำรศึกษำลำดบั เบสบนสำย DNA พบวำ่ หวำยทะนอยมีควำมสมั พันธใ์ กล้ชดิ กับกลุ่มหญ้ำถอดปล้อง จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

1) กลุม่ หวำยทะนอย (Psilotum sp.) ▪ ต้นหวำยทะนอยส่วนใหญท่ ีพ่ บท่ัวไป คือ ตน้ สปอโรไฟต์ ชอบขึ้นในทช่ี ุ่มชื้น มีลักษณะดังน้คี ือ - ลำตน้ เป็นเหลี่ยม ขนำดเล็ก มีสเี ขยี ว สงั เครำะห์ดว้ ยแสงได้ - แตกกิ่งเปน็ คๆู่ ขนำดเท่ำๆ กนั แยกกันไปเรอื่ ยๆ เรยี กวำ่ dichotomous branching - โครงสร้ำงของอับสปอร์ (sporangium) อยู่เช่ือมรวมกัน 3 อัน สีออกเหลืองท่ีปลำยกิ่งสั้นๆ เรียก synangium (fused sporangia) สร้ำงสปอร์ (n) เพียงชนิดเดียว (homosporous plant) โดย กำรแบ่งเซลล์แบบไมโอซสิ - มีใบขนำดเลก็ เป็นใบเกล็ดๆ ตำมข้อ - มลี ำตน้ ใต้ดนิ เรียกว่ำ ไรโซม (rhizome) - ไมม่ รี ำก มไี รซอยด์ (rhizoid) ทำหนำ้ ทแี่ ทนรำกช่วยในกำรดูดน้ำและแร่ธำตุ จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

1) กลุ่มหวำยทะนอย (Psilotum sp.) ▪ ตน้ แกมโี ทไฟต์ของหวำยทะนอย - งอกจำกสปอร์ ลกั ษณะเปน็ แผ่นเลก็ ๆ ตดิ ผิวดนิ อำยุส้ัน ไม่มคี ลอโรฟิลล์ ดำรงชพี แบบยอ่ ยสลำย - ทำหน้ำท่ีสรำ้ งเซลล์สืบพันธุ์ (n) โดยกำรแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส สเปริ ม์ ว่ำยนำ้ ไปปฏิสนธกิ ับไข่เกดิ ไซโกต (2n) เจริญเติบโตเป็น ตน้ สปอโรไฟต์ จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

2) กลุ่มหญำ้ ถอดปลอ้ ง (Equisetum sp.) ▪ อยูใ่ นไฟลมั สฟโี นไฟตำ (Sphenophyta) พบจีนัสเดียว คือ อีควิเซตัม (Equisetum) ได้แก่ หญ้ำถอดปล้อง หรือสนหำงม้ำ (horsetail) หรือหญ้ำหำงม้ำหรือหญ้ำหูหนวก มักพบข้ึนเป็นกอใหญ่ อำศัยอยู่ตำมลุ่มน้ำขัง รมิ น้ำ หรอื ในหนองน้ำ ▪ ลักษณะต้นสปอโรไฟต์ ของหญำ้ ถอดปล้อง - มีรำก ลำตน้ และใบที่แท้จรงิ - ลำต้นมีท้ังส่วนที่อยู่เหนือพ้ืนดินและส่วนท่ีอยู่ใต้ดิน (rhizome) ส่วนท่ีอยู่ เหนอื ดนิ เหน็ ขอ้ ปล้องชัดเจน - มีใบเกล็ดขนำดเล็กเรียงเป็นวงอยู่รอบๆ ข้อเป็นชั้นและไม่มีคลอโรฟิลล์ จัดเป็นใบแบบ microphyll - ลำต้นมีลักษณ ะเป็น ปล้อ ง ท่ีสำมำรถถอดออกจำกกันได้ตรงข้อ เมื่อ เจริญเติบโตเต็มที่แล้ว ภำยในลำต้นกลวง ลำต้นมีสีเขียวทำหน้ำท่ีสังเครำะห์ ด้วยแสงแทนใบ เมื่อจับผิวลำต้นจะมีลักษณะหยำบและสำกเพรำะมีกำรสะสม สำรพวกซลิ กิ ำในผนงั เซลล์ - สร้ำงสปอร์ในสโตรบิลัสท่ีอยู่ตรงปลำยยอด โดยสโตรบิลัสเกิดจำกกลุ่มของ อบั สปอร์ (cluster of sporangia) มี elator ช่วยในกำรกระจำยสปอร์ จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

2) กลุ่มหญำ้ ถอดปลอ้ ง (Equisetum sp.) Structure of Equisetum จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

2) กลุ่มหญำ้ ถอดปลอ้ ง (Equisetum sp.) จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

3) กลุ่มเฟริ น์ แท้ (true fern) ▪ อยู่ในไฟลัมเทอโรไฟตำ (Pterophyta) ได้แก่ พวกเฟิร์น (fern) ต่ำงๆ จัดเป็นกลุ่มที่มีควำมหลำกหลำยมำกที่สุด รองจำกพชื ดอก ▪ มีลักษณะนิสัย (habit) หลำยแบบ ต้ังแต่ต้นขนำดเล็กที่เป็นไม้ล้มลุกจนถึงเฟิร์นท่ีเป็นไม้ยืนต้น (tree fern) เช่น เฟิร์นก้ำนดำ เฟิร์นก้ำงปลำ เฟิร์นเกล็ดหอย ข้ำหลวงหลังลำย ย่ำนลิเภำ ชำยผ้ำสีดำ บำงชนิดอำจอยู่ในน้ำ เชน่ ผกั แว่น ผักกูดน้ำ ผักกดู เก๊ียะ แหนแดง จอกหูหนู (เฟริ น์ ลอยนำ้ ) ปรงทะเล ขำ้ หลวงหลังลำย ยำ่ นลิเภำ ปรงทะเล แหนแดง จอกหหู นู จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

▪ ลกั ษณะตน้ สปอโรไฟตข์ องเฟิรน์ - มลี ำต้น รำกและใบเจรญิ ดี - ใบมีขนำดใหญ่แบบ megaphyll มีช่ือเรียกเฉพำะว่ำ ฟรอนด์ (frond) อำจเป็นใบเดี่ยวหรอื ใบประกอบกไ็ ด้ - เฉพำะใบเท่ำน้ันท่ีอยู่เหนือพื้นดิน ทั้งใบและรำกงอกมำ จำกลำตน้ ใตด้ ิน (rhizome) - ใบอ่อนมีลักษณะม้วนขดเป็นวงกลม (circinate leaves หรอื circinate vernation) - สปอรท์ สี่ รำ้ งอยใู่ นอับสปอร์ (sporangium) ซึง่ มกั อยู่ใต้ ใบเรียกว่ำ ซอรัส (sorus) เฟิร์นส่วนใหญ่มีกำรสร้ำง สปอร์ชนิดเดียว (homosporous plant) ยกเว้นเฟิร์นน้ำ ท่ีมกี ำรสรำ้ งสปอร์ 2 แบบ (heterosporous plant) จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

▪ ลกั ษณะต้นแกมีโทไฟต์ของเฟิร์น - งอกจำกสปอร์ที่ปลิวตกลงสู่พ้ืนดิน มีลักษณะเป็นแผ่นแบนเล็กสีเขียวรูปร่ำงคล้ำยหัวใจ เรียกว่ำ โปรทัลลัส (prothallus) ทำหน้ำท่สี ร้ำงเซลล์สืบพันธ์ุ (n) ซึ่งมีทั้งส่วนของ antheridium สำหรับสร้ำง sperm และส่วนของ archegonium สำหรับสรำ้ ง egg - สเปิรม์ จะว่ำยนำ้ ไปผสมพนั ธ์กุ ับไข่ เจรญิ ข้นึ ไปเป็นต้นสปอโรไฟตบ์ นตน้ แกมโี ทไฟตซ์ ึ่งจะตำยไป ▪ วัฏจกั รชีวติ ของเฟริ น์ - ต้นเฟิร์นท่ีเรำเห็นคือ สปอโรไฟต์ มีกลุ่มของอับสปอร์ เรียกวำ่ ซอรัส อย่ใู ต้ใบ สปอร์ (n) ซ่งึ เกดิ จำกกำรแบ่งเซลล์ ไมโอซิส จะงอกเป็นต้นแกมีโทไฟต์ซึ่งมีลักษณะเป็นแผ่น คล้ำยหัวใจเรียกว่ำโปรทัลลัส หรือโปรทัลเลียม ทำหน้ำที่ สร้ำงไข่และสเปิร์ม ปฏิสนธิกันเกิดไซโกตเจริญเติบโตเป็น ต้นสปอโรไฟต์ จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

2.2 พชื มเี นอ้ื เยอื่ ลำเลยี งและมีเมลด็ (seed vascular plant) ลกั ษณะของพืชมีเมลด็ (seed plant) สำมำรถสรปุ ได้ดังนี้ 1. ระยะ gametophyte ลดรูปมำก (reduced gametophyte) อยู่ภำยในต้นสปอโรไฟต์ (sporophyte) 2. พชื มีเมล็ดจะมกี ำรสร้ำงสปอร์ 2 ชนดิ (heterosporous plant) ท้งั หมด 3. โครงสรำ้ งของอับสปอร์แบบที่ megasporangium มีเย่ือหุ้ม (integument) 4. โครงสร้ำงของออวุล (ovule) ประกอบขึ้นจำก megasporangium , megaspore และ integument 5. มีกำรสรำ้ งละอองเรณู (pollen grain) สำหรบั บรรจุแกมีโทไฟตเ์ พศผู้ (male gametophyte) 6. ลกั ษณะสำคัญทส่ี ดุ คอื มีกำรพัฒนำโครงสร้ำงของเมล็ด (seed) เพื่อช่วยในกำรแพร่พันธุ์ จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

มีกำรสืบพันธ์ุแบบไม่ต้องอำศัยน้ำ มีกำรสร้ำงละอองเรณูท่ีมีสเปิร์มอยู่ภำยใน เมื่ออับเรณูแตกจะทำให้ ละอองเรณูกระจำยไปตกที่ออวุลและเกิดกำรปฏิสนธิ แล้วออวุลที่มีเซลล์ไข่อยู่ภำยในจะเจริญต่อไปเป็น เมลด็ พชื ในกล่มุ นม้ี ีระยะสปอโรไฟต์ (2n) ที่เดน่ ชดั และยำวนำน แต่มรี ะยะแกมโี ทไฟต์ (n) ขนำดเลก็ มำก กลมุ่ ของพชื มเี มลด็ สำมำรถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ 2 กลุ่มหลัก คือ 2.2.1 พืชเมลด็ เปลอื ย (naked seed = กลมุ่ gymnosperm 2.2.2 พืชทเ่ี มล็ดมีผล หอ่ หมุ้ หรือพืชดอก = กลมุ่ angiosperm จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

2.2.1 พืชเมลด็ เปลอื ย (Gymnosperm) จะมีออวุลและละอองเรณูตดิ บนกิ่งหรอื แผน่ ใบซ่ึงอยู่รวมกันท่ีปลำยกิ่ง เรียกว่ำ โคน (cone) โดยจะแยกออกจำกกันเป็นโคนเพศผู้ (male cone) และโคนเพศเมีย (female cone) เม่ือมีกำร ปฏิสนธิ ออวุลจะเจริญเป็นเมล็ดติดอยู่ที่กิ่งหรือแผ่นใบ ไม่มีส่วนห่อหุ้ม เรียกว่ำ เมล็ดเปลือย (naked seed) พืชกลุ่มนี้มีเนื้อไม้เจริญดี มีทั้งไม้พุ่ม ไม้เลื้อย และไม้ยืนต้น จัดเป็นพืชกลุ่มเด่น ในยุคจแู รสสิก ปจั จุบันมี 4 ไฟลมั หลัก ดงั น้ี 1. ไฟลมั ไซแคโดไฟตำ (Cycadophyta) 2. ไฟลมั กงิ โกไฟตำ (Ginkgophyta) 3. ไฟลมั โคนิเฟอโรไฟตำ (Coniferophyta) 4. ไฟลัมนโี ทไฟตำ (Gnetophyta) สน ปรง แปะก๊วย ทัง้ หมดนเี้ ปน็ พชื ท่มี เี มล็ดเปลอื ย (naked seed) ไมม่ ีผนังรังไข่หรอื ผลห่อหุ้ม ดังน้นั เรยี กพืชกลมุ่ นว้ี ่ำ จิมโนสเปริ ม์ (gymnosperm) จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

1. ไฟลมั ไซแคโดไฟตำ (Cycadophyta) - ได้แก่ พืชพวกปรง เช่น ปรงป่ำ ปรงเขำ จดั อยู่ในสกุล Cycas sp. ทงั้ หมด ส่วนใหญ่พบในเขตร้อน ปัจจุบันเหลืออยู่ เพยี ง 100 กว่ำสปชี สี ์ (เป็นพชื ทพี่ บมำกในยคุ จแู รสสกิ ) ใช้ ประโยชนใ์ นกำรทำไมป้ ระดับ และบอนไซ พบประมำณ 10 ชนิดในประเทศไทย - ปรงจัดเปน็ living fossil เนอื่ งจำกมกี ำรเปลีย่ นแปลง โครงสรำ้ งน้อยมำกจำกสมัยก่อน - ปรงเป็นพืชทมี่ ีกำรแยกเพศ (dioecious plant) คอื มตี ้น ตัวผแู้ ละต้นตัวเมยี แยกกัน มีอวัยวะสบื พันธุ์ เรียกว่ำ โคน (cone) หรือ สโตรบลิ สั (strobilus) อยู่ทปี่ ลำยยอดของลำตน้ โดยปรงเพศผู้มีกำรสรำ้ งโคนเพศผู้ (male cone) และปรงเพศ เมยี มกี ำรสร้ำงโคนเพศเมยี (female cone) - ลำตน้ ของปรงมลี กั ษณะเต้ยี ไมแ่ ตกกง่ิ ก้ำน ใบเปน็ ใบ ประกอบคลำ้ ยในเฟิรน์ และเปน็ ใบแบบเมกะฟิลล์ (megaphyll)อยรู่ วมเปน็ กระจุกทย่ี อด จัดเรยี งใบยอ่ ยเปน็ แบบ ขนนก - เมล็ดเปลอื ย ไมม่ ีรังไขห่ ่อหมุ้ เชน่ เดยี วกบั พชื พวกสน ปรงจนี ปรงญปี่ ุ่น จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

2. ไฟลัมกิงโกไฟตำ (Ginkgophyta) ปัจจุบันเหลือเพียงสปีชีส์เดียว คือ แปะก๊วย (Ginkgo bilona) ถือว่ำเป็น living fossil เช่นเดียวกับปรง เป็นพืชในเขตหนำว พบท่ี จีน เกำหลี และญปี่ นุ่ เพรำะได้รับกำรปลกู และ ดูแลไว้ในวัดมำตงั้ แตโ่ บรำณ ใช้ทำไม้ประดับ แ ล ะ เ ม ล็ ด กิ น ไ ด้ แ ท บ ไ ม่ พ บ ขึ้ น เ อ ง ใ น ธรรมชำติ ▪ ลักษณะต้นสปอโรไฟต์ - เป็นไมย้ นื ต้นทม่ี ีลำตน้ ขนำดใหญ่ สงู ประมำณ 12- ▪ กำรสบื พนั ธุ์ 37 เมตร แตกก่งิ ก้ำนสำขำคล้ำยพืชดอก - แปะกว๊ ยเปน็ พชื ทม่ี ีกำรแยกเพศ (dioecious plant) โดย - แผ่นใบกว้ำงคล้ำยรูปพัด เส้นใบมีกำรแตกแขนง ตน้ ตัวผูก้ ับตน้ ตัวเมียแยกจำกกัน เปน็ ค่ๆู (dichotomous branching) - โคนตัวผู้ สรำ้ งละอองเรณทู ปี่ ลวิ ไปกบั ลม โคนตัวเมยี ทำ - ก่ิงใหญ่ปกคลุมด้วยก่ิงย่อยๆ ลักษณะแคระ คล้ำย หนำ้ ท่สี รำ้ งไข่ เดือยสั้นๆ - เมล็ดเปลอื ย ไมม่ ีรังไข่ห่อหุม้ เกิดขึ้นทโ่ี คนตวั เมีย มี เปลือกหมุ้ เมลด็ (integument) เมล็ดมีอำหำรสะสมเปน็ สว่ น สำรสกัดจำกใบแปะก๊วยช่วยป้องกันและรักษำควำม เนือ้ ท่นี ยิ มนำมำรับประทำนและรสชำตอิ ร่อย สมบูรณ์ขอ ง ผนั ง หลอ ด เลือ ด ฝอ ย แ ละ ปรับระ บบ - ตน้ เพศผสู้ ร้ำงสโตรบลิ ัสทป่ี ลำยกิ่ง สว่ นตน้ เพศเมียสรำ้ ง หมนุ เวยี นเลอื ด ต่อต้ำนกำรอกั เสบและกำรบวม ออวลุ บนก้ำนชทู ีเ่ รยี กวำ่ pedunculated ovule จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

3. ไฟลัมโคนเิ ฟอโรไฟตำ (Coniferophyta) - เป็นพชื กลุม่ ทีม่ ีควำมหลำกหลำยสงู ที่สดุ ในกลุ่มพืชเมล็ดเปลือย (gymnosperm) พืชในกลุ่มนี้ได้แก่ พืชพวกสน เช่น สนสองใบ สนสำมใบ สนแดง สนสำมพันปี พญำไม้ มักพบในบริเวณที่มี อำกำศหนำวเย็นของเขตหนำว เขตอบอุ่นและบนภูเขำสูงเย็น ในประเทศไทยส่วนมำกพบบรเิ วณภำคเหนือ เช่น ดอยอินทนนท์ ขนุ ตำล ภกู ระดึง ▪ ลักษณะต้นแกมีโทไฟตข์ องสน มีขนำดเลก็ มำกเหลอื เพยี งไม่กีเ่ ซลล์ และอำศยั อยู่บนตน้ สปอโรไฟต์ - แกมโี ทไฟตเ์ พศผู้ คือ ละอองเรณู ทีจ่ ะสร้ำงสเปิรม์ เมอ่ื ตกลงบนโคนตัวเมยี - แกมีโทไฟตเ์ พศเมยี อยภู่ ำยในออวุล ทำหน้ำทสี่ ร้ำงไข่ จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

▪ ลักษณะต้นสปอโรไฟตข์ องพวกสน - เ ป็ น พื ช ยื น ต้ น ข น ำ ด ใ ห ญ่ ต้ น สู ง ชะลดู - ใบมีลักษณะคล้ำยเข็ม (needle like) หรือเป็นใบเกลด็ (scale leaf) สีเขียว มีคิวติเคิลหนำปกคลุม และใบมักอยู่ รวมกันเปน็ กล่มุ - มอี วัยวะสืบพันธุ์เรียกว่ำ โคน (cone) หรือ สโตรบิลัส (strobilus) ลักษณะ เป็นเกล็ดหรือแผ่นแข็งทเ่ี รียงซ้อนกัน แน่น เปลี่ยนแปลงมำจำกใบท่ีเรียง ซอ้ นกัน (สปอโรฟลิ ล์) - โคนมี 2 ชนิด คือโคนตัวผู้ (male cone) จะเจริญอยู่บริเวณปลำยกิ่งและมักอยู่รวมกัน ทำหน้ำที่สร้ำงไมโคร สปอร์ (microspore)ที่จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นละอองเรณูหรือแกมีโทไฟต์เพศผู้ และโคนตัวเมีย (female cone) มักเกิดข้ึนเดี่ยวๆ แยกกันอยู่ตำมก่ิง ทำหน้ำท่ีสร้ำงเมกะสปอร์ (megaspore) ที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นแกมีโทไฟต์ เพศเมียท่ีจะสร้ำงไขภ่ ำยในออวลุ - โคนเพศผแู้ ละโคนเพศเมยี อำจเกดิ บนต้นเดียวกนั หรอื อำจแยกตน้ ก็ได้ แต่โดยทั่วไปจะไม่แยก จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

▪ อวัยวะสืบพันธ์ุของสน คือโคน 2 ชนิด ได้แก่ โคนตัวผู้และโคนตัวเมีย ภำยในแต่ละเกล็ดของ โคนตัวเมีย มีออวุลที่จะสร้ำงเมกะสปอร์ (n) → แกมีโทไฟต์เพศเมียซึ่งมีอำร์คีโกเนียหลำยอัน แต่ละอันจะสร้ำงเซลล์สืบพันธ์ุคือไข่ ภำยในแต่ ละเกล็ดของโคนตัวผู้ มีอับสปอร์ เรียกว่ำ ไมโคร สปอแรงเจีย ซ่ึงภำยในมีกำรเปล่ียนแปลงดังนี้ เซลล์แม่ของไมโครสปอร์ (2n) → ไมโครสปอร์ (n) → ละอองเรณู (แกมีโทไฟต์เพศผู้ที่ยังเจริญ ไม่เต็มท่ี) เมื่อถ่ำยละอองเกสร ละอองเรณูเจริญ ข้ึน งอกเป็นหลอดเข้ำไปในไข่และสร้ำงสเปิร์ม เข้ำไปปฏิสนธิกับไข่เกิดเอ็มบริโอภำยในเมล็ดที่ จะงอกเปน็ ต้นสปอโรไฟต์ขนำดใหญ่ จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล

- สนสืบพันธุ์โดยกำรใช้เมล็ด เมล็ดไม่มีผนังหุ้มรังไข่หรือผลห่อหุ้ม จึงไม่มีเปลือกหุ้มเมล็ด เรียกว่ำ เมล็ดเปลือย (naked seed) เมลด็ จะเกำะติดอยกู่ บั สว่ นของแผ่นแขง็ สนี ้ำตำลเขม้ ของโคนตวั เมยี - กำรถ่ำยละอองเรณูจะใชล้ มชว่ ยในกำรแพร่กระจำยละอองเรณู - เมื่อละอองเรณูตกลงบนโคนตวั เมีย จะเจริญข้ึนและสร้ำงสเปิร์มกับ หลอดละอองเรณูท่ีจะนำไปสเปิร์มไปปฏิสนธิกับไข่ เกิดไซโกตข้ึน ภำยในออวลุ - หลังปฏิสนธิ ออวุลจะเปล่ียนแปลงไปเป็นเมล็ด ไซโกตเจริญขึ้น เป็นเอ็มบริโอที่จะเจริญต่อไปเป็นต้นอ่อนของสปอโรไฟต์ (young sporophyte) ภำยในเมล็ด - เมล็ดที่แก่จัด ปลิวไปตกในที่เหมำะสม งอกเปน็ สปอโรไฟตต์ ้นใหม่ ▪ เกร็ดควำมรู้ .... พืชพวกสนเจริญเติบโตเร็ว เพรำะมีรำไมคอไรซำอยู่ ร่วมกับเซลล์รำกแบบภำวะท่ีต้องพ่ึงพำ รำเปลี่ยนแปลงฟอสฟอรัส ในดินให้อย่ใู นรูปของสำรที่รำกสนดูดไปใช้ได้ จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook