4. อาณาจกั รพชื : Kingdom Plantae จดั ทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล Ep.4 : ตอน พชื มเี นือ้ เยอื่ ลำเลยี งและ มเี มลด็ จดั ทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล รำยวชิ ำชวี วทิ ยำ ช้ัน ม.6 โรงเรยี นเบญจมรำชทู ิศ จงั หวดั จันทบรุ ี
2.2 พชื มเี นอ้ื เยอื่ ลำเลยี งและมีเมลด็ (seed vascular plant) ลกั ษณะของพืชมีเมลด็ (seed plant) สำมำรถสรปุ ได้ดังนี้ 1. ระยะ gametophyte ลดรูปมำก (reduced gametophyte) อยู่ภำยในต้นสปอโรไฟต์ (sporophyte) 2. พชื มีเมล็ดจะมกี ำรสร้ำงสปอร์ 2 ชนดิ (heterosporous plant) ท้งั หมด 3. โครงสรำ้ งของอับสปอร์แบบที่ megasporangium มีเย่ือหุ้ม (integument) 4. โครงสร้ำงของออวุล (ovule) ประกอบขึ้นจำก megasporangium , megaspore และ integument 5. มีกำรสรำ้ งละอองเรณู (pollen grain) สำหรบั บรรจุแกมีโทไฟตเ์ พศผู้ (male gametophyte) 6. ลกั ษณะสำคัญทส่ี ดุ คอื มีกำรพัฒนำโครงสร้ำงของเมล็ด (seed) เพื่อช่วยในกำรแพร่พันธุ์ จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล
มีกำรสืบพันธ์ุแบบไม่ต้องอำศัยน้ำ มีกำรสร้ำงละอองเรณูท่ีมีสเปิร์มอยู่ภำยใน เมื่ออับเรณูแตกจะทำให้ ละอองเรณูกระจำยไปตกที่ออวุลและเกิดกำรปฏิสนธิ แล้วออวุลที่มีเซลล์ไข่อยู่ภำยในจะเจริญต่อไปเป็น เมลด็ พชื ในกล่มุ นม้ี ีระยะสปอโรไฟต์ (2n) ที่เดน่ ชดั และยำวนำน แต่มรี ะยะแกมโี ทไฟต์ (n) ขนำดเลก็ มำก กลมุ่ ของพชื มเี มลด็ สำมำรถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ 2 กลุ่มหลัก คือ 2.2.1 พืชเมลด็ เปลอื ย (naked seed = กลมุ่ gymnosperm 2.2.2 พืชทเ่ี มล็ดมีผล หอ่ หมุ้ หรือพืชดอก = กลมุ่ angiosperm จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล
2.2.1 พืชเมลด็ เปลอื ย (Gymnosperm) จะมีออวุลและละอองเรณูตดิ บนกิ่งหรอื แผน่ ใบซ่ึงอยู่รวมกันท่ีปลำยกิ่ง เรียกว่ำ โคน (cone) โดยจะแยกออกจำกกันเป็นโคนเพศผู้ (male cone) และโคนเพศเมีย (female cone) เม่ือมีกำร ปฏิสนธิ ออวุลจะเจริญเป็นเมล็ดติดอยู่ที่กิ่งหรือแผ่นใบ ไม่มีส่วนห่อหุ้ม เรียกว่ำ เมล็ดเปลือย (naked seed) พืชกลุ่มนี้มีเนื้อไม้เจริญดี มีทั้งไม้พุ่ม ไม้เลื้อย และไม้ยืนต้น จัดเป็นพืชกลุ่มเด่น ในยุคจแู รสสิก ปจั จุบันมี 4 ไฟลมั หลัก ดงั น้ี 1. ไฟลมั ไซแคโดไฟตำ (Cycadophyta) 2. ไฟลมั กงิ โกไฟตำ (Ginkgophyta) 3. ไฟลมั โคนิเฟอโรไฟตำ (Coniferophyta) 4. ไฟลัมนโี ทไฟตำ (Gnetophyta) สน ปรง แปะก๊วย ทัง้ หมดนเี้ ปน็ พชื ท่มี เี มล็ดเปลอื ย (naked seed) ไมม่ ีผนังรังไข่หรอื ผลห่อหุ้ม ดังน้นั เรยี กพืชกลมุ่ นว้ี ่ำ จิมโนสเปริ ม์ (gymnosperm) จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล
1. ไฟลมั ไซแคโดไฟตำ (Cycadophyta) - ได้แก่ พืชพวกปรง เช่น ปรงป่ำ ปรงเขำ จดั อยู่ในสกุล Cycas sp. ทงั้ หมด ส่วนใหญ่พบในเขตร้อน ปัจจุบันเหลืออยู่ เพยี ง 100 กว่ำสปชี สี ์ (เป็นพชื ทพี่ บมำกในยคุ จแู รสสกิ ) ใช้ ประโยชนใ์ นกำรทำไมป้ ระดับ และบอนไซ พบประมำณ 10 ชนิดในประเทศไทย - ปรงจัดเปน็ living fossil เนอื่ งจำกมกี ำรเปลีย่ นแปลง โครงสรำ้ งน้อยมำกจำกสมัยก่อน - ปรงเป็นพืชทมี่ ีกำรแยกเพศ (dioecious plant) คอื มตี ้น ตัวผแู้ ละต้นตัวเมยี แยกกัน มีอวัยวะสบื พันธุ์ เรียกว่ำ โคน (cone) หรือ สโตรบลิ สั (strobilus) อยู่ทปี่ ลำยยอดของลำตน้ โดยปรงเพศผู้มีกำรสรำ้ งโคนเพศผู้ (male cone) และปรงเพศ เมยี มกี ำรสร้ำงโคนเพศเมยี (female cone) - ลำตน้ ของปรงมลี กั ษณะเต้ยี ไมแ่ ตกกง่ิ ก้ำน ใบเปน็ ใบ ประกอบคลำ้ ยในเฟิรน์ และเปน็ ใบแบบเมกะฟิลล์ (megaphyll)อยรู่ วมเปน็ กระจุกทย่ี อด จัดเรยี งใบยอ่ ยเปน็ แบบ ขนนก - เมล็ดเปลอื ย ไมม่ ีรังไขห่ ่อหมุ้ เชน่ เดยี วกบั พชื พวกสน ปรงจนี ปรงญปี่ ุ่น จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล
2. ไฟลัมกิงโกไฟตำ (Ginkgophyta) ปัจจุบันเหลือเพียงสปีชีส์เดียว คือ แปะก๊วย (Ginkgo bilona) ถือว่ำเป็น living fossil เช่นเดียวกับปรง เป็นพืชในเขตหนำว พบท่ี จีน เกำหลี และญปี่ นุ่ เพรำะได้รับกำรปลกู และ ดูแลไว้ในวัดมำตงั้ แตโ่ บรำณ ใช้ทำไม้ประดับ แ ล ะ เ ม ล็ ด กิ น ไ ด้ แ ท บ ไ ม่ พ บ ขึ้ น เ อ ง ใ น ธรรมชำติ ลักษณะต้นสปอโรไฟต์ - เป็นไมย้ นื ต้นทม่ี ีลำตน้ ขนำดใหญ่ สงู ประมำณ 12- กำรสบื พนั ธุ์ 37 เมตร แตกก่งิ ก้ำนสำขำคล้ำยพืชดอก - แปะกว๊ ยเปน็ พชื ทม่ี ีกำรแยกเพศ (dioecious plant) โดย - แผ่นใบกว้ำงคล้ำยรูปพัด เส้นใบมีกำรแตกแขนง ตน้ ตัวผูก้ ับตน้ ตัวเมียแยกจำกกัน เปน็ ค่ๆู (dichotomous branching) - โคนตัวผู้ สรำ้ งละอองเรณทู ปี่ ลวิ ไปกบั ลม โคนตัวเมยี ทำ - ก่ิงใหญ่ปกคลุมด้วยก่ิงย่อยๆ ลักษณะแคระ คล้ำย หนำ้ ท่สี รำ้ งไข่ เดือยสั้นๆ - เมล็ดเปลอื ย ไมม่ ีรังไข่ห่อหุม้ เกิดขึ้นทโ่ี คนตวั เมีย มี เปลือกหมุ้ เมลด็ (integument) เมล็ดมีอำหำรสะสมเปน็ สว่ น สำรสกัดจำกใบแปะก๊วยช่วยป้องกันและรักษำควำม เนือ้ ท่นี ยิ มนำมำรับประทำนและรสชำตอิ ร่อย สมบูรณ์ขอ ง ผนั ง หลอ ด เลือ ด ฝอ ย แ ละ ปรับระ บบ - ตน้ เพศผสู้ ร้ำงสโตรบลิ ัสทป่ี ลำยกิ่ง สว่ นตน้ เพศเมียสรำ้ ง หมนุ เวยี นเลอื ด ต่อต้ำนกำรอกั เสบและกำรบวม ออวลุ บนก้ำนชทู ีเ่ รยี กวำ่ pedunculated ovule จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล
3. ไฟลัมโคนเิ ฟอโรไฟตำ (Coniferophyta) - เป็นพชื กลุม่ ทีม่ ีควำมหลำกหลำยสงู ที่สดุ ในกลุ่มพืชเมล็ดเปลือย (gymnosperm) พืชในกลุ่มนี้ได้แก่ พืชพวกสน เช่น สนสองใบ สนสำมใบ สนแดง สนสำมพันปี พญำไม้ มักพบในบริเวณที่มี อำกำศหนำวเย็นของเขตหนำว เขตอบอุ่นและบนภูเขำสูงเย็น ในประเทศไทยส่วนมำกพบบรเิ วณภำคเหนือ เช่น ดอยอินทนนท์ ขนุ ตำล ภกู ระดึง ลักษณะต้นแกมีโทไฟตข์ องสน มีขนำดเลก็ มำกเหลอื เพยี งไม่กีเ่ ซลล์ และอำศยั อยู่บนตน้ สปอโรไฟต์ - แกมโี ทไฟตเ์ พศผู้ คือ ละอองเรณู ทีจ่ ะสร้ำงสเปิรม์ เมอ่ื ตกลงบนโคนตัวเมยี - แกมีโทไฟตเ์ พศเมยี อยภู่ ำยในออวุล ทำหน้ำทสี่ ร้ำงไข่ จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล
ลักษณะต้นสปอโรไฟตข์ องพวกสน - เ ป็ น พื ช ยื น ต้ น ข น ำ ด ใ ห ญ่ ต้ น สู ง ชะลดู - ใบมีลักษณะคล้ำยเข็ม (needle like) หรือเป็นใบเกลด็ (scale leaf) สีเขียว มีคิวติเคิลหนำปกคลุม และใบมักอยู่ รวมกันเปน็ กล่มุ - มอี วัยวะสืบพันธุ์เรียกว่ำ โคน (cone) หรือ สโตรบิลัส (strobilus) ลักษณะ เป็นเกล็ดหรือแผ่นแข็งทเ่ี รียงซ้อนกัน แน่น เปลี่ยนแปลงมำจำกใบท่ีเรียง ซอ้ นกัน (สปอโรฟลิ ล์) - โคนมี 2 ชนิด คือโคนตัวผู้ (male cone) จะเจริญอยู่บริเวณปลำยกิ่งและมักอยู่รวมกัน ทำหน้ำที่สร้ำงไมโคร สปอร์ (microspore)ที่จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นละอองเรณูหรือแกมีโทไฟต์เพศผู้ และโคนตัวเมีย (female cone) มักเกิดข้ึนเดี่ยวๆ แยกกันอยู่ตำมก่ิง ทำหน้ำท่ีสร้ำงเมกะสปอร์ (megaspore) ที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นแกมีโทไฟต์ เพศเมียท่ีจะสร้ำงไขภ่ ำยในออวลุ - โคนเพศผแู้ ละโคนเพศเมยี อำจเกดิ บนต้นเดียวกนั หรอื อำจแยกตน้ ก็ได้ แต่โดยทั่วไปจะไม่แยก จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล
อวัยวะสืบพันธ์ุของสน คือโคน 2 ชนิด ได้แก่ โคนตัวผู้และโคนตัวเมีย ภำยในแต่ละเกล็ดของ โคนตัวเมีย มีออวุลที่จะสร้ำงเมกะสปอร์ (n) แกมีโทไฟต์เพศเมียซึ่งมีอำร์คีโกเนียหลำยอัน แต่ละอันจะสร้ำงเซลล์สืบพันธ์ุคือไข่ ภำยในแต่ ละเกล็ดของโคนตัวผู้ มีอับสปอร์ เรียกว่ำ ไมโคร สปอแรงเจีย ซ่ึงภำยในมีกำรเปล่ียนแปลงดังนี้ เซลล์แม่ของไมโครสปอร์ (2n) ไมโครสปอร์ (n) ละอองเรณู (แกมีโทไฟต์เพศผู้ที่ยังเจริญ ไม่เต็มท่ี) เมื่อถ่ำยละอองเกสร ละอองเรณูเจริญ ข้ึน งอกเป็นหลอดเข้ำไปในไข่และสร้ำงสเปิร์ม เข้ำไปปฏิสนธิกับไข่เกิดเอ็มบริโอภำยในเมล็ดที่ จะงอกเปน็ ต้นสปอโรไฟต์ขนำดใหญ่ จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล
- สนสืบพันธุ์โดยกำรใช้เมล็ด เมล็ดไม่มีผนังหุ้มรังไข่หรือผลห่อหุ้ม จึงไม่มีเปลือกหุ้มเมล็ด เรียกว่ำ เมล็ดเปลือย (naked seed) เมลด็ จะเกำะติดอยกู่ บั สว่ นของแผ่นแขง็ สีน้ำตำลเขม้ ของโคนตวั เมยี - กำรถ่ำยละอองเรณูจะใชล้ มชว่ ยในกำรแพร่กระจำยละอองเรณู - เมื่อละอองเรณูตกลงบนโคนตวั เมีย จะเจริญข้ึนและสร้ำงสเปิร์มกับ หลอดละอองเรณูท่ีจะนำไปสเปิร์มไปปฏิสนธิกับไข่ เกิดไซโกตข้ึน ภำยในออวลุ - หลังปฏิสนธิ ออวุลจะเปล่ียนแปลงไปเป็นเมล็ด ไซโกตเจริญขึ้น เป็นเอ็มบริโอที่จะเจริญต่อไปเป็นต้นอ่อนของสปอโรไฟต์ (young sporophyte) ภำยในเมล็ด - เมล็ดที่แก่จัด ปลิวไปตกในที่เหมำะสม งอกเปน็ สปอโรไฟตต์ ้นใหม่ เกร็ดควำมรู้ .... พืชพวกสนเจริญเติบโตเร็ว เพรำะมีรำไมคอไรซำอยู่ ร่วมกับเซลล์รำกแบบภำวะที่ต้องพ่ึงพำ รำเปลี่ยนแปลงฟอสฟอรัส ในดินให้อย่ใู นรูปของสำรที่รำกสนดูดไปใช้ได้ จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล
4. ไฟลัมนโี ทไฟตำ (Gnetophyta) - พชื กลมุ่ นี้ไดแ้ ก่ มะเม่อื ย (Gnetum sp.) พชื ในสกลุ Ephedra sp. และ Welwitschia sp. - พชื กลุ่มน้ีแตกตำ่ งจำกพชื เมล็ดเปลอื ยกลมุ่ อ่ืนเน่ืองจำกมีเวสเซล (vessel) นอกเหนอื จำกเทรคีด (tracheid) ช่วยในกำรลำเลียงน้ำ และมีกำรปฏิสนธิซ้อน (double fertilization) คล้ำยกับพืช ดอก แต่จะไมม่ อี ำหำรเลี้ยง (endosperm) - มีใบเลีย้ ง 2 ใบ จงึ เปน็ เมล็ดเปลือยทใี่ กลเ้ คียงพชื ดอกประเภทใบเลีย้ งค่มู ำกทีส่ ุด จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล
2.2.2 พชื มีดอก (Angiosperm) - พืชดอกเป็นกลุ่มที่มีควำมหลำกหลำยสูงสุด จัดอยู่ใน ไฟลมั แอนโทไฟตำ (Anthophyta) - มีรำก ลำตน้ และใบทแี่ ทจ้ รงิ รวมถงึ มวี วิ ัฒนำกำรของทอ่ ลำเลียงที่สมบรู ณ์ ท่อลำเลยี งนำ้ มที ง้ั เทรคดี และเวสเซล - มกี ิ่งทเ่ี ปลีย่ นแปลงมำเปน็ โครงสร้ำงทใี่ ชใ้ นกำรสืบพันธ์ุ คือ ดอก (flower) ประกอบดว้ ย 4 ส่วนหลกั คือ กลีบเลย้ี ง (sepal) , กลีบดอก (petal) , เกสรเพศผู้ (stamen) และ เกสรเพศเมยี (pistil) มอี อวลุ เจริญในรงั ไข่ - กำรปฏสิ นธิของพชื ดอกจดั เปน็ กำรปฏสิ นธซิ อ้ น (double fertilization)ไดเ้ ปน็ embryo และอำหำรเล้ยี ง(endosperm) - เมลด็ มรี งั ไข่ห่อหุ้ม เม่ือรงั ไข่เจรญิ เตบิ โตเต็มทจ่ี ะกลำยเปน็ ผล - พืชดอกวิวฒั นำกำรมำจำกพชื เมลด็ เปลอื ย โดยท่ีบรรพบรุ ุษของพืชดอกจะมอี อวลุ เจริญอยู่บน sporophyll บริเวณขอบใบ ต่อมำ sporophyll มว้ นขอบใบเข้ำมำ เชอ่ื มโยงกนั โดยให้ ovule อยภู่ ำยใน จึงเกิดเป็นโครงสรำ้ งเรยี ก คำรเ์ พล (carpel) ทำนองเดียวกับกำรวิวฒั นำกำรของอบั เรณูทเี่ กิดจำกกำรพับมว้ นของขอบใบ จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล
จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล
กำรจดั จำแนกพืชดอก - พืชดอกสำมำรถแบง่ ออกเปน็ 5 กลุ่ม ได้แก่ วงศ์แอมโบเรลลำ (Amborella) วงศบ์ วั วงศ์พวงแก้วกดุ น่ั พืชใบเลี้ยงเดีย่ ว (monocotyledon) และพืชใบเล้ียงคู่ (dicotyledon) - แต่สว่ นใหญ่จะแบง่ เปน็ 2 กลุ่มหลกั คอื พชื ใบเลี้ยงเด่ียวและพืชใบเลยี้ งคู่ Amborella วงศ์บัว วงศ์พวงแกว้ กดุ นั่ monocotyledon วงศบ์ ัว dicotyledon จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล
ตำรำงเปรยี บเทยี บควำมแตกตำ่ งของพชื ใบเลี้ยงเดย่ี วและพชื ใบเลีย้ งคู่ ลักษณะ monocotyledon dicotyledon 1.จำนวนของใบเลยี้ ง (cotyledon) 2.กำรจดั เรียงตวั ของเสน้ ใบ (venation) 1 2 3.จำนวนกลีบเล้ียง/กลีบดอก แบบขนาน แบบร่างแห 3 หรอื ทวคี ณู 3 4,5 หรอื ทวคี ณู 4,5 4.กำรเรยี งตวั ของเนอ้ื เยื่อลำเลียงในลำต้น กระจายรอบลาตน้ เรยี งตวั เป็นวง 5.กำรเรยี งตวั ของเน้ือเยอ่ื ลำเลียงในรำก มีแฉกจานวนมาก 3-4 แฉก 6.ระบบรำก (root system) ระบบรากฝอย 7.กำรเจรญิ ขั้นทตุ ยิ ภมู ิ (secondary growth) ระบบรากแกว้ ไม่มี มี จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล
ตำรำงเปรียบเทยี บควำมแตกตำ่ งของ พชื เมล็ดเปลือย (gymnosperm) และพชื ดอก (angiosperm) หัวข้อทใี่ ชเ้ ปรยี บเทยี บ gymnosperm angiosperm 1.ลักษณะวิสัย (habit) ไม้เน้อื แข็งหรือไมพ้ มุ่ ไมเ้ นื้อแข็งหรือไมล้ ้มลกุ 2.ชนิดของเซลล์ในทอ่ ลำเลยี งน้ำ (xylem) 3.โครงสร้ำงท่ีใชใ้ นกำรสบื พนั ธุ์ เทรคีด เทรคีดและเวสเซล 4.วธิ ีกำรถำ่ ยละอองเรณู โคน (cone) ดอก (flower) 5.รูปแบบของกำรปฏิสนธิ อำศยั ลมเป็นตัวพำ 6.ลักษณะของเมลด็ ปฏสิ นธคิ รง้ั เดยี ว อำศัยสัตว์ ลม หรือนำ้ เป็นตวั พำ 7.แหล่งอำหำรสะสมสำหรบั ต้นอ่อน เมลด็ เปลอื ย ปฏสิ นธิซอ้ น Female gametophyte เมลด็ มีผลหอ่ หุ้ม Endosperm จดั ทำโดย ครูสกุ ฤตำ โสมล
Search
Read the Text Version
- 1 - 16
Pages: