Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ระบบนิเวศและประชากร สื่อการสอนโดยครูสุกฤตา โสมล

ระบบนิเวศและประชากร สื่อการสอนโดยครูสุกฤตา โสมล

Published by suklittha24, 2021-02-07 05:40:43

Description: สื่อการเรียนการสอนออนไลน์ เรื่อง ระบบนิเวศและประชากร โดยครูสุกฤตา โสมล วิชาชีววิทยา ระดับชั้น ม.6 โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดจันทบุรี

Search

Read the Text Version

1.7 ทะเลทรำย (desert) พบได้ทั้งในเขตร้อน เขตอบอุ่นและเขตหนำว ส่วนใหญ่กระจำยอยู่ ระหว่ำงเส้นละติจูดท่ี 30 องศำเหนือและใต้ ได้แก่ -ทะเลทรำยซำฮำรำ (Sahara) ทวปี แอฟรกิ ำ -ทะเลทรำยโกบี (Gobi) ประเทศสำธำรณรัฐประชำชนจีน -ทะเลทรำยโมฮำวี (Majave) รัฐแคลฟิ อร์เนยี ประเทศสหรัฐอเมริกำ -อำกำศร้อนมำก ปริมำณน้ำฝนเฉลี่ยน้อยกว่ำ 10น้ิว/ ปี ปริมำณหยำดน้ำฟ้ำมักจะต่ำกว่ำ 30 cm ต่อปี อุณหภูมิแปร ผันแตกต่ำงกันมำกในแต่ละฤดูกำลและระหว่ำงกลำงวันกับ กลำงคืน อำจสูงถงึ 500C และตำ่ กว่ำ -300C -พืชที่พบมำกเป็นพืชอวบน้ำเช่น กระบองเพชร ไม้พุ่มท่ีมี รำกหย่ังลึกลงในดิน และพืชล้มลุกท่ีเจริญเติบโตเฉพำะ ในช่วงฤดทู ่มี ีควำมชน้ื สูง และยังพบ อนิ ทผลัม ดว้ ย -สัตว์หลำยชนิดสำมำรถอำศัยอยู่ในทะเลทรำยได้โดย มี 51 กำรปรับตัวให้เหมำะสมกับสภำพแวดล้อมท่ีร้อนและแห้งแล้ง เช่น จิ้งจอกเฟนเนก (fennec fox) พบในสำธำรณรัฐอำหรับ อียิปต์ หนแู กงกำรู แมงปอ่ ง งู โดยครูสกุ ฤตา โสมล

1.8 ทนุ ดรำ (tundra) -ตอนเหนือของทวีปอเมริกำเหนือ บริเวณอำร์กติก และยูเรเซยี -หิมะปกคลุมหนำในฤดูหนำวและฤดูใบไม้ผลิอุณหภูมิ เย็นจัด เฉล่ียต่ำกว่ำ -300C ฤดูร้อนเป็นช่วงสั้นๆ อุณหภูมิเฉล่ียต่ำกว่ำ 100C ปริมำณน้ำฝน 4-20 นิ้ว/ปี ปรมิ ำณหยำดน้ำฟำ้ เฉล่ียตอ่ ปี 20-60 cm -พบพืชน้อยสปชี สี ์เนอื่ งจำกชนั้ ของดินที่อย่ตู ำ่ จำกผิวดินช้ันบนลงไปจะ 52 จับตัวเปน็ นำ้ แขง็ ถำวร เรยี กวำ่ ช้นั ดินเยอื กแข็งคงตัว (permafrost) พืชล้มลุกขนำดเล็กจำพวกไม้ดอก หญ้ำต่ำงๆ กระเทียม รวมทั้งพชื ชัน้ ต่ำพวกมอส ไลเคนส์ -สัตว์ที่พบเช่น วัวมัสก์ (musk ox) ส่วนสัตว์อ่ืน และนกจะอพยพมำบริเวณนชี้ ่วงฤดรู ้อน โดยครูสกุ ฤตา โสมล

1.9 ชำปำรร์ ลั (chaparral) -พบได้ตำมชำยฝ่ังทะเลของทวีปในบริเวณละติจูดกลำง (midlatitude) ประมำณละติจูด 30-60 องศำเหนือและละติจูด 30-60 องศำใต้ มีหลำยช่ือ ได้แก่  ชำปำร์รัล(chaparral) ในทวปี อเมริกำเหนอื  มำควสิ (maquis)ในสำธำรณรัฐฝร่งั เศส  มำทอรร์ ลั (matorral) ในรำชอำณำจักรสเปนและสำธำรณรัฐชลิ ี -ปริมำณหยำดน้ำฟ้ำเฉลี่ยต่อปี 30-50 cm อุณหภูมิเฉลี่ย 10-200C ฤดูรอ้ นประมำณ 300C และกลำงวันอำจสงู กวำ่ 400C -พืชเด่นเป็นพวกไม้พุ่มและไม้ต้นขนำดเล็ก มหี ญ้ำและไม้ล้มลุกขนำดเล็ก -สัตว์กินพืช เช่น กวำง แพะ สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก นก สัตว์เล้ือยคลำน แมลง Golden jackal Black tailed jackrabbit โดยครูสกุ ฤตา โสมล 53

2. ไบโอมแหล่งนำ้ (aquatic biomes) 2.1 แหลง่ นำ้ จดื (fresh water) -ทะเลสำบ สระ หนอง บึง ธำรนำ้ ไหล แม่นำ้ -ค่ำควำมเค็มน้อยกว่ำรอ้ ยละ 1 หรอื 0.01 ppt (past per thousand) -พชื จำพวกรำกหยั่งลกึ ในดิน พืชลอยน้ำ 2.2 แหลง่ นำ้ เคม็ (marine) -ทะเล มหำสมทุ ร -คำ่ ควำมเคม็ มำกกว่ำ 35 ppt -สำหร่ำยทะเล 2.3 แหลง่ นำ้ กรอ่ ย (estuaries) -รอยต่อบริเวณแหล่งน้ำจืดและน้ำเค็มมำบรรจบกัน พบตำมบริเวณปำกแม่นำ้ -ค่ำควำมเค็มระหว่ำง 1-35 ppt -แสม โกงกำง โดยครูสกุ ฤตา โสมล 54

ตำรำงแสดงไบโอมบนบกในประเทศไทย ไบโอม บริเวณท่พี บ บนบก ทุง่ หญ้ำ -พบทว่ั ไปทุกจงั หวดั ปำ่ สน -พบในแถบภำคเหนือและภำคตะวันออกเฉยี งเหนอื ป่ำดิบแลง้ -พบตอนบนของเทือกเขำถนนธงชัย ต้ังแต่ จ.ชุมพรข้ึนไปจนถึง ภำคเหนือ บำงส่วนของเทอื กเขำตะนำวศรี และตำมแนวเทือกเขำดง พญำเย็น เทอื กเขำบรรทัดเร่อื ยไปจนถึง จ.ระยอง ป่ำดิบเขำ -พบในภำคเหนือและภำคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ปำ่ ดบิ ชนื้ -พบใน จ.ตรำด จ.จันทบรุ ี และภำคใต้ โดยครูสกุ ฤตา โสมล 55

หัวขอ้ ที่ 3 การเปลี่ยนแปลงแทนท่ีของระบบนิเวศ (ECOLOGICAL SUCCESSION)

กำรเปลยี่ นแปลงแทนท่ีของระบบนเิ วศ (ecological succession) สังคมส่ิงมีชีวิตในสภำพแวดล้อมหน่ึงๆ อำจเกิดกำรเปล่ียนแปลงของกลุ่มสิ่งมีชีวิตจำกกลุ่มสิ่งมีชีวิตเดิม 57 กลำยเป็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มใหม่ข้ึนมำแทนที่ เรียกว่ำ กำรเปล่ียนแปลงแทนท่ีของระบบนิเวศ (ecological succession) กำรเปลี่ยนแปลงแทนที่ของระบบนิเวศมี 2 แบบ คือกำรเปลี่ยนแปลงแทนที่แบบปฐมภูมิ (primary succession) และกำรเปลย่ี นแปลงแทนทีแ่ บบทุตยิ ภมู ิ (secondary succession) โดยครูสกุ ฤตา โสมล

โดยครูสกุ ฤตา โสมล 58

 กำรเปล่ียนแปลงแทนท่ีแบบปฐมภูมิ (primary succession) เริ่มจำกบริเวณท่ีไม่เคยทีสิ่งมีชีวิตมำก่อน เช่น บนก้อนหินหรือหน้ำดินที่ถูกเปิดขึ้น ใหม่ สิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกคือ มอสและไลเคนส์ จ ำ ก นั้ น จ ะ มี ก ำ ร เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง แ ท น ที่ โ ด ย สิ่งมีชีวิตอ่ืนๆ ตำมลำดับ จนกระท่ังได้สังคม สมบรู ณ์ (climax community) ดังแผนผัง โดยครูสกุ ฤตา โสมล 59

 กำรเปลย่ี นแปลงแทนทแี่ บบทตุ ยิ ภมู ิ (secondary succession) เริ่มจำกสภำพแวดล้อมท่ีเคยมีกลุ่มสิ่งมีชีวิตอยู่ก่อนแล้ว สภำพแวดล้อมเดิมถูกทำลำยไปจึงเกิดกำรเปลี่ยนแปลง 60 แทนทขี่ องกลุ่มสิ่งมีชีวิตอ่ืนๆ ตำมลำดับ เช่น กำรเปลี่ยนแปลงแทนท่ีบริเวณท่ีถูกไฟไหม้ป่ำ ป่ำท่ีถูกโค่น กำรทำไร่ เล่อื นลอย โดยทวั่ ไปกำรเปล่ียนแปลงแทนทแ่ี บบทตุ ิยภูมจิ ะใชเ้ วลำน้อยกวำ่ แบบปฐมภูมิ โดยครูสกุ ฤตา โสมล

โดยครูสกุ ฤตา โสมล 61

โดยครูสกุ ฤตา โสมล 62

หวั ขอ้ ท่ี 4 : ประชากร (Population)  สิ่งมีชีวิตทุกชนิดล้วนต้องกำรสภำพแวดล้อมที่เหมำะสมต่อกำรดำรงชีวิต โดยมีกำรกระจำยพันธ์ุ (species distribution) อยู่ในบริเวณต่ำงๆ ของ โลกแตกตำ่ งกนั เนือ่ งจำกมีปจั จัยจำกดั (limiting factor) ท่ีไมเ่ หมอื นกนั ทงั้ ปจั จยั ทำงกำยภำพและปจั จัยทำงชีวภำพ  นอกจำกนี้ยังมีปัจจัยอ่ืน เช่น สภำพทำงภูมิศำสตร์ที่เป็นส่ิงกีดขวำงกำร กระจำยพนั ธุ์ เชน่ ภูเขำ ทะเล ทะเลทรำย

 ประชำกร (population) ประชำกร (population) หมำยถึง กลุม่ ของ ส่ิงมีชีวิตเดียวกันท่ีอำศัยอยู่รวมกันในบริเวณ ใดบรเิ วณหนึ่งในชว่ งเวลำหนึง่ เช่น ประชำกร มนษุ ยท์ อ่ี ยู่ อ.เมอื ง จ.จนั ทบุรี พ.ศ.2563  ลักษณะเฉพำะของประชำกร - ประชำกรสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีกำรแพร่กระจำยในแต่ละพ้ืนท่ีในปริมำณและสัดส่วนท่ีไม่เท่ำกัน มผี ลทำใหเ้ กิดควำมหนำแนน่ ของประชำกรในแต่ละพื้นท่แี ตกตำ่ งกนั - ขนำดของประชำกร (population size) - ควำมหนำแน่นของประชำกร - อัตรำกำรเกิด (natality rate หรอื birth rate) และอตั รำกำรตำย (mortality rate หรือ death rate) - กำรอพยพ (migration) ไดแ้ ก่ กำรอพยพเขำ้ (immigration) กำรอพยพออก (emigration) ของประชำกร - กำรกระจำยตัวของสมำชิกในประชำกร - กรำฟกำรรอดชวี ิตของสมำชกิ ในประชำกร - โครงสร้ำงอำยุของประชำกร - อัตรำส่วนระหวำ่ งเพศ  ควำมหนำแนน่ ของประชำกร (population density) หมำยถึง จำนวนส่ิงมีชีวิตชนิดเดียวกันต่อหน่วยพ้ืนที่หรือปริมำตร เช่น ต้นสัก 100 ต้นต่อพ้ืนที่ 1 ตำรำง 64 กิโลเมตร แพลงกต์ อน 15,000 ลำ้ นตัวตอ่ น้ำทะเล 1 ลิตร โดยครูสกุ ฤตา โสมล

 วิธีประเมนิ ควำมหนำแนน่ ของประชำกร มี 2 วธิ ี คือ 1) กำรหำควำมหนำแนน่ ประชำกรอยำ่ งหยำบ (crude density) หมำยถึง จำนวนประชำกรตอ่ พ้นื ท่ีทัง้ หมด (total space)  กำรส่มุ ตวั อยำ่ งแบบวำงแปลน (quadrat sampling method) เป็นวิธีกำรประมำณจำนวนของสมำชิกในประชำกรท่ีต้องกำรศึกษำจำกกำรกำหนด พน้ื ที่ส่มุ ตัวอย่ำงแล้วนับจำนวนสมำชิกของประชำกรในพื้นท่ีนั้น โดยอำจใช้ควอแดรท หรือกรอบนับประชำกร (quadrat frame) มำวำงสุ่มในบำงบริเวณของพื้นท่ีที่ต้องกำร ศกึ ษำและนับจำนวนสิ่งมีชีวิตที่ต้องกำรศึกษำในกรอบน้ัน แล้วนำค่ำที่ได้มำคำนวณหำ ควำมหนำแน่นเฉลี่ยโดยเทียบกับพ้ืนที่ท้ังหมดต่อไป วิธีนี้เหมำะกับสิ่งมีชีวิตท่ีมักอยู่กับ ทีห่ รอื เคลื่อนทช่ี ้ำ เช่น พชื เพรยี งหนิ หอยทำก โดยครูสกุ ฤตา โสมล 65

2) กำรหำควำมหนำแนน่ ประชำกรเชงิ นเิ วศ (ecological density) หมำยถงึ จำนวนประชำกรตอ่ พน้ื ทีท่ ี่ประชำกรอำศัยอยู่จรงิ (habitat space) ตวั อยำ่ งที่ 1 ในทงุ่ นำแหง่ หนง่ึ มีพนื้ ท่ี 10 ตำรำงกโิ ลเมตร พบนกยำงชนดิ หนงึ่ จำนวน 70 ตัว อำศัยทำรังอยู่บริเวณรอบๆ สระน้ำ ซ่งึ มพี ้นื ท่ี 2 ตำรำงกโิ ลเมตร จงคำนวณหำค่ำควำมหนำแนน่ ประชำกรอย่ำงหยำบและค่ำควำมหนำแน่นประชำกรเชิงนเิ วศ โดยครูสกุ ฤตา โสมล 66

 วธิ ีกำรประเมนิ คำ่ ควำมหนำแนน่ ของประชำกร ทำได้ 2 แบบ ดังนี้ 1) สุ่มตัวอย่ำงแบบวำงแปลน (quadrat sampling method) เหมำะสำหรบั สิง่ มีชีวิตทค่ี ่อนข้ำงอยกู่ ับท่ี เชน่ พืช เพรียงหนิ ตวั อย่ำงที่ 2 ในกำรเก็บตวั อยำ่ งประชำกรหอยทบั ทมิ 45 คร้งั มีจำนวนประชำกรหอยทับทิมทั้งหมด 600 ตัว และพ้ืนท่ีของ กำรเกบ็ ตวั อย่ำงแต่ละครง้ั เทำ่ กบั 0.05 ตำรำงเมตร จงคำนวณหำค่ำควำมหนำแน่นประชำกรหอยทบั ทมิ โดยครูสกุ ฤตา โสมล 67

2) ทำเครื่องหมำยและจับซ้ำ (mark and recapture method) เป็นวิธีกำรทำเครื่องหมำยสัตว์ท่ีจับแล้ว ปล่อย เม่ือจับใหม่จะมีท้ังสัตว์ท่ีมีเคร่ืองหมำยและไม่มีเครื่องหมำย และนำไปคำนวณหำจำนวนประชำกร วธิ นี เ้ี หมำะกับสิ่งมชี ีวติ ที่มกี ำรเคล่ือนที่และตอ้ งไมม่ กี ำรอพยพเขำ้ -ออกหรอื เกิด-ตำยในประชำกรนัน้ ตัวอย่ำงท่ี 3 ในกำรเก็บตัวอย่ำงประชำกรของปลำนิลในบ่อแห่งหนึ่ง โดยสุ่มตัวอย่ำงปลำนิลมำทำกำรติดเครื่องหมำย จำนวน 140 ตัว แล้วปล่อยกลับลงไปในบ่อ หลังจำกน้ัน 3 วันได้จับปลำนิลใหม่โดยสุ่มข้ึนมำจำนวน 250 ตัว พบปลำท่ีมี เครื่องหมำยตดิ อยู่ 20 ตัว จงคำนวณหำจำนวนประชำกรปลำนลิ ในบอ่ ท้ังหมด โดยครูสกุ ฤตา โสมล 68

 กำรแพรก่ ระจำยของประชำกร (dispersion) หมำยถึง กำรกระจำยของประชำกรในกลุ่มสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน ในพ้นื ทอี่ ำศยั บริเวณใดบรเิ วณหน่ึง - ประชำกรที่พบในธรรมชำติมรี ปู แบบกำรแพรก่ ระจำย 3 รูปแบบ ดงั น้ี 1) กำรแพรก่ ระจำยแบบสุม่ (random distribution) พบมำกในประชำกรท่ีอำศัยอยู่ในสภำพแวดล้อมท่ีเหมือนกันและไม่ค่อยเปล่ียนแปลง พบได้ท่ัวไปในธรรมชำติ เช่น กำรแพร่กระจำยของพืชท่ีมีเมล็ดปลิวไปกับลม กำรแพร่กระจำยเมล็ดพืชของสัตว์ท่ีกินผลไม้และขับอุจจำระท้ิงไว้ตำมท่ี ตำ่ งๆ กำรกระจำยตวั ของต้นไมใ้ หญ่ในป่ำเขตรอ้ นชน้ื 2) กำรแพร่กระจำยแบบรวมกลุ่ม (clumped distribution) เกิดจำกปัจจัยบำงอย่ำงท่ีสำคัญต่อกำรดำรงชีวิตของส่ิงมีชีวิตมีกำรกระจำยไม่สม่ำเสมอ ทำให้ส่ิงมีชีวิตไปอยู่รวมกัน บริเวณใดบริเวณหน่ึง พบได้มำกท่ีสุดในธรรมชำติ เช่น พบไส้เดือนดินบริเวณดินที่ร่วนซุย มีควำมชื้นสูง มีอินทรียวัตถุ มำก พบต้นโกงกำง แสม และลำพใู นพื้นทป่ี ำ่ ชำยเลน พฤตกิ รรมของสัตว์ที่อยูเ่ ป็นกลุ่ม เชน่ ฝูงนก โขลงชำ้ ง ฝูงปลำ 3) กำรแพรก่ ระจำยแบบสม่ำเสมอ (uniform distribution) พบบริเวณที่มีปัจจัยทำงกำยภำพบำงประกำรท่ีจำกัด แต่มีกำรกระจำยของปัจจัยสม่ำเสมอ พบใน ธรรมชำติค่อนข้ำงน้อย เช่น กำรกระจำยตัวของพืชในทะเลทรำย พบพืชช้ันต่ำพวกมอสใต้บริเวณต้นไม้ ใหญ่ กำรปลวิ ลมของผลยำงไปตกหำ่ งจำกตน้ แมเ่ พ่อื เว้นระยะพื้นท่ใี นกำรเจริญเตบิ โต โดยครูสกุ ฤตา โสมล 69

โดยครูสกุ ฤตา โสมล 70

 ปัจจยั จำกดั ทม่ี ผี ลตอ่ กำรแพรก่ ระจำยของประชำกร 1. ปจั จัยทำงกำยภำพ 1.1 ควำมสูงจำกระดบั น้ำทะเล กำรกระจำยของพชื บำงชนิด เช่น - ควำมสงู จำกระดับนำ้ ทะเล 1,000-1,700 เมตร พบสนสำมใบค่อนข้ำงมำก - ควำมสงู จำกระดับนำ้ ทะเลต่ำกวำ่ 1,000 เมตร พบสนสองใบกระจำยท่ัวไป 1.2 อณุ หภูมิ พืชบำงชนิดเทำ่ นน้ั ทีส่ ำมำรถขนึ้ อย่ไู ดใ้ นพน้ื ทีท่ ่ีมีอณุ หภูมิสูง เชน่ กระบองเพชร 1.3 ควำมเปน็ กรด-เบส ขำ้ วสำมำรถเจรญิ เติบโตและให้ผลผลิตดที ่ีสุดในสภำพดนิ เหนียว 1.4 แสง พชื วันสนั้ (short day plant) ตอ้ งกำรแสงแดดจดั ในชว่ งสน้ั ๆ เชน่ เดอื ย 2. ปจั จยั ทำงชวี ภำพ 2.1 ผลู้ ำ่ กบั เหยือ่ เชน่ เสอื กับกวำง เสือเปน็ ปจั จัยจำกัดต่อกำรอยู่รอดของกวำง 2.2 กำรแขง่ ขนั เพอ่ื ควำมอยูร่ อดในสงั คม เช่น สตั ว์ท่แี ขง็ แรงกว่ำจะมีโอกำสเจริญเตบิ โตและอยู่รอดกว่ำสตั ว์ที่ออ่ นแอ 2.3 กำรบุกรุกจำกสิ่งมีชีวิตต่ำงถิ่น เช่น กำรปล่อยปลำเทศบำล (sucker mouth catfish) ลงในแหล่งน้ำธรรมชำติ ทำ ให้สัตวน์ ำ้ ในแหลง่ ธรรมชำติลดจำนวนลงหรอื สญู พันธ์ุ 3. ส่งิ ขวำงกัน้ ทำงภูมิศำสตร์ (geographical barrier) สภำพทำงภูมิศำสตร์มีผลต่อ กำรแพร่กระจำยของประชำกร เช่น ประชำกรจิงโจ้ในทวีปออสเตรเลีย ประชำกร หมีแพนดำ้ ในประเทศสำธำรณรฐั ประชำชนจีน โดยครูสกุ ฤตา โสมล 71

 ขอ้ ควรทรำบ แนวคิด limits of tolerance concept : สิ่งมชี วี ติ มีกำรแพร่กระจำยแตกต่ำง กันเน่ืองจำกส่ิงมีชีวิตแต่ละชนิดจะมี ช่ ว ง ค ว ำ ม ท น ท ำ น ต่ อ ปั จ จั ย ต่ ำ ง ๆ จำกัด ดังนั้น ส่ิงมีชีวิตจะอำศัยอยู่ใน บริเวณที่มีปัจจัยแวดล้อมต่ำงๆ ท่ี สำมำรถดำรงชวี ิตอยู่ได้ - ส่ิงมีชีวิตสำมำรถทนทำนปัจจัยได้ต่ำสุดที่ค่ำหนึ่ง (lower limit of tolerance) และค่ำสูงสุดที่ค่ำ หนึ่ง (upper limit of tolerance) ระหว่ำงค่ำต่ำท่ีสุดและค่ำสูงสุดคือ ช่วงที่ส่ิงมีชีวิตสำมำรถ ดำรงชีวิตอยู่ได้เรียกว่ำ ช่วงควำมทนทำน (range of tolerance) ทำให้สำมำรถพบประชำกร ส่ิงมีชีวิตได้ในที่ท่ีมีปัจจัยอยู่ และบริเวณท่ีพบประชำกรสิ่งมีชีวิตได้มำก เรียกว่ำ ช่วงท่ีเหมำะสม (range of optimum) โดยครูสกุ ฤตา โสมล 72

 ขนำดของประชำกร (population size) ขนำดของประชำกร หมำยถึง จำนวนสมำชิกทั้งหมดของ ประชำกรในช่วงเวลำใดเวลำหน่ึง ขนำดของประชำกรสิ่งมีชีวิตมี กำรเปล่ียนแปลงเม่ือมีสมำชิกเข้ำ-ออกจำกกลุ่มประชำกรน้ันๆ เชน่ กำรเกดิ กำรอพยพเขำ้ กำรตำย หรอื กำรอพยพออก ดงั ภำพ - กำรเปล่ียนแปลงของขนำดประชำกรมนุษย์ขึ้นอยู่กับกำรเกิด หรืออัตรำกำรเกิดเชิงประเมิน (crude birth rate) และอัตรำกำร ตำยหรืออตั รำกำรตำยเชงิ ประเมิน (crude death rate) ภาพแสดงปจั จยั ทมี่ ีผลตอ่ ความหนาแน่นของประชากร ปัจจัยที่มีผลต่ออัตรำกำรเกิดและอัตรำกำรตำยของ ประชำกรมนษุ ย์ ได้แก่ กำรศึกษำ พันธุกรรมของมนุษย์ กำรดำรงชีวิต และลกั ษณะภมู ปิ ระเทศ โดยครูสกุ ฤตา โสมล 73

 ปจั จัยท่มี ีผลตอ่ กำรเปลีย่ นแปลงขนำดของประชำกร 1. ปั จ จั ย ที่ ข้ึ น กั บ ค ว ำ ม ห น ำ แ น่ น ข อ ง ประชำกร (density dependent factors) เม่ือประชำกรมีขนำดใหญ่ข้ึนจะมีกำร แก่งแย่งกันในกรใช้ทรัพยำกร พื้นท่ี และ อำหำร ซ่ึงควำมรุนแรงจะเพ่ิมมำกข้ึนเป็น สัดส่วนกับควำมหนำแน่นของประชำกร ซึ่งมี ผลทำให้จำนวนสมำชกิ ของประชำกรลดลง 2 . ปั จ จั ย ที่ ไ ม่ ขึ้ น กั บ ค ว ำ ม ห น ำ แ น่ น ข อ ง ประชำกร (density independent factors) เช่น สภำพภูมิอำกำศที่เลวร้ำย อุณหภูมิที่ หนำวจัด ไฟไหม้ น้ำท่วม ลมพำยุ มีผลทำให้ จำนวนสมำชกิ ของประชำกรลดลง  รูปแบบกำรเพ่ิมของประชำกร 74 1. กำรสบื พันธุเ์ พียงครงั้ เดยี วในชว่ งชีวติ (single reproduction) เม่อื สิ่งมีชีวติ เจริญถงึ วัยเจรญิ พนั ธ์ุ จะสืบพันธุอ์ อกลูกหลำนจำกน้ันกจ็ ะตำย เชน่ แมลงชนดิ ตำ่ งๆ ไมล้ ้มลกุ บำงชนิด เช่น คะน้ำ ขำ้ ว ถ่วั เขยี ว 2. กำรสืบพนั ธไ์ุ ดห้ ลำยครงั้ ในชว่ งชีวิต (multiple reproduction) เช่น สัตว์มีกระดูกสันหลัง ไมย้ ืนตน้ โดยครูสกุ ฤตา โสมล

 แบบแผนกำรเพ่ิมของประชำกร มี 2 รปู แบบ คือ 1. กำรเพม่ิ ของประชำกรแบบเอก็ โพเนเชยี ล (exponential growth) กรำฟเป็นรูปตัวเจ (J shape) จะมีกำรเปลี่ยนแปลง 2 ระยะ คือ ระยะที่มีกำรเพ่ิมของประชำกรอย่ำงช้ำๆ (lag phase) และ ระยะท่ีมีกำรเพิ่มของประชำกรอย่ำงรวดเร็ว (log phase) เป็นภำวะเหตุกำรณ์ทำงอุดมคติ (idealized circumstances) และไม่เป็นจริง เพรำะในธรรมชำติจะมีตัวต้ำนทำนในส่ิงแวดล้อม (environmental resistance) เช่น อำหำร ที่อยู่อำศัย กำรแกง่ แย่ง แข่งขนั กำรเป็นผู้ล่ำและเหยอ่ื มำยับย้งั ไม่ใหก้ ำรเพม่ิ ประชำกรเพิ่มขน้ึ อย่ำงไมม่ ขี ดี จำกัด Exponential growth phase Lag phase โดยครูสกุ ฤตา โสมล 75

 ทอมสั โรเบริ ต์ มัลทสั (Thomus Robert Malthus) เสนอควำมคิดของกำรเพ่ิมประชำกรมนุษย์ว่ำ ประชำกรมนุษย์มีแนวโน้มเพ่ิมแบบเรขำคณิต ส่วนอำหำรสำหรับมนุษย์มี แนวโน้มเพ่ิมแบบเลขคณติ ซึง่ ลักษณะดังกลำ่ วจะทำใหเ้ กิดควำมไมส่ มดลุ ระหว่ำงประชำกรกับอำหำรสำหรับบรโิ ภค - กำรเพ่ิมประชำกรในระยะแรกเหมือนกับกำรเพิ่มประชำกรแบบรูปตัวเจจนเมื่อถึงระยะหนึ่ง กำรเพ่ิมของ 76 ประชำกรจะลดลงอยำ่ งรวดเรว็ และมกี ำรเพ่ิมขึน้ และลดลงสลับกนั (irruptive growth) โดยครูสกุ ฤตา โสมล

2. กำรเพมิ่ ของประชำกรแบบลอจสิ ตกิ (logistic growth) กรำฟเป็นรูปตัวเอส (S-shape) หรอื กรำฟแบบซกิ มอยด์ (sigmoid curve) มกี ำรเปลยี่ นแปลง 4 ระยะ คือ ระยะที่มีอัตรำกำร เพิ่มประชำกรอย่ำงช้ำๆ ระยะที่มีอัตรำกำรเพิ่มประชำกรอย่ำงรวดเร็ว ระยะที่มีอัตรำกำรเพ่ิมประชำกรช้ำลง และระยะท่ีมี อัตรำกำรเพ่มิ ประชำกรคงที่ โดยครูสกุ ฤตา โสมล 77

Comparative 78 - ระดับทส่ี ภำพแวดลอ้ มสำมำรถเลี้ยงดูประชำกรได้มำกสุดเรียกว่ำ แครีอิงคำพำซิตี (carrying capacity) ตัวต้ำนทำนในส่ิงมีชีวิตมี บทบำทต่อกำรเพมิ่ ประชำกรแบบตัวเอส คือ ระยะแรกของกำรเพ่ิม ประชำกรเป็นไปอย่ำงช้ำๆ เพรำะประชำกรมีจำนวนน้อย เมื่อ ประชำกรมีจำนวนเพิ่มขึ้น อัตรำกำรเพ่ิมของประชำกรจะเป็นไป อย่ำงรวดเร็ว จำกน้ันอัตรำกำรเพิ่มของประชำกรจะลดลงเพรำะ ตัวต้ำนทำนสิ่งแวดล้อมเร่ิมเป็นปัจจัยจำกัด และเม่ือประชำกร สำมำรถปรับตัวได้ อัตรำกำรเพิ่มของประชำกรค่อนข้ำงคงท่ี เพรำะอตั รำกำรเกิดเทำ่ กับอัตรำกำรตำย โดยครูสกุ ฤตา โสมล

 กำรรอดชวี ติ ของประชำกร - ส่งิ มชี วี ติ แต่ละชนดิ มีแบบแผนกำรรอดชวี ิตของประชำกรแตกตำ่ งกนั ขนึ้ อย่กู ับชว่ งอำยขุ ยั (life span) ของสิ่งมีชีวิต แต่ละชนิด ตลอดช่วงอำยุขัยของส่ิงมีชีวิตแต่ละชนิดจะมีอัตรำกำรอยู่รอดในช่วงอำยุขัยต่ำงๆ ไม่เหมือนกัน ทำให้ควำม หนำแนน่ ของประชำกรท่ีอย่ใู นวยั ต่ำงๆ แตกตำ่ งกัน - ปัจจัยท่ีมีผลต่อกำรอยู่รอดของประชำกร ได้แก่ ควำมสำมำรถในกำรเลี้ยงดูตัวอ่อน ควำมหนำแน่นของประชำกร และปจั จยั ทำงนเิ วศวิทยำ -รูปแบบที่ 1 เส้นโคง้ นนู (convex survivorship curve) สิง่ มีชวี ติ มีอัตรำกำรอยู่ รอดชีวิตสูง ในวัยอำยุน้อยและค่อนข้ำงคงท่ีตลอดชีวิต เม่ืออำยุมำกขึ้นอัตรำ กำรรอดชีวิตจะน้อย มีอัตรำกำรตำยพร้อมกันจำนวนมำก เช่น มนุษย์ สัตว์เล้ียง ลกู ดว้ ยน้ำนมขนำดใหญ่ เชน่ ช้ำง มำ้ -รูปแบบท่ี 2 เส้นตรง (constant survivorship curve) สิ่งมีชีวิตมีอัตรำกำรรอด ชีวิตค่อนข้ำงสม่ำเสมอ ตลอดช่วงชีวิตจำนวนประชำกรจะคงท่ีตลอด เช่น ไฮดรำ นก เตำ่ -รูปแบบท่ี 3 เส้นโค้งเว้ำ (concave survivorship curve) สิ่งมีชีวิตมี อัตรำกำรรอดชีวิตต่ำ ในวัยอำยุน้อยและค่อยๆ คงที่เมื่ออำยุมำกข้ึน เช่น กระรอก สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังส่วนใหญ่เช่น หอย หมึก แมลง ดำวทะเล โดยครูสกุ ฤตา โสมล 79

 ประชำกรมนุษย์ ประชำกรมนุษย์ในโลกมีแนวโน้มเพ่ิมข้ึนเรื่อยๆ ลักษณะกำรเพิ่มของ ประชำกรมนุษย์มีแบบแผนกำรเพ่ิมเป็นแบบเอ็กโพเนนเชียล โดยมีกรำฟ กำรเพ่ิมของประชำกรเป็นรูปตัวเจ - กำรเพิ่มประชำกรมนุษย์เป็นแบบรูปตัวเจ มี ลักษณะไม่เป็นจริง เพรำะในธรรมชำติตัวต้ำนทำน ในส่ิงแวดล้อมของสิ่งมีชีวิตมำยับย้ังไม่ให้กำรเพ่ิม ของประชำกรเพิ่มต่อไปอย่ำงไม่มีขีดจำกัด จึงทำ ใหอ้ ตั รำกำรเพมิ่ ของประชำกรลดลง ตัวต้ำนทำนในสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อกำรเพ่ิมประชำกรมนุษย์ ได้แก่ กำรขำดแคลนอำหำรและท่ีอยู่อำศัย 80 ควำมยำกจน ควำมอดอยำก โรคภยั ไขเ้ จ็บ สงครำม และภยั พิบัติอนื่ ๆ โดยครูสกุ ฤตา โสมล

 โครงสรำ้ งอำยปุ ระชำกรมนษุ ย์ หมำยถึง จำนวนหรือสัดส่วนของกลุ่มสมำชกิ มอี ำยุตำ่ งๆ กันในประชำกร แบ่งได้ 3 กลมุ่ คอื 1. วัยกอ่ นเจรญิ พนั ธ์ุ (pre reproductive age) คอื สมำชิกประชำกรกลุ่มทีย่ ังสืบพนั ธไุ์ ม่ได้ 81 2. วัยเจริญพันธุ์ (reproductive age) คือ สมำชิกประชำกรกลุ่มที่อยู่ในช่วงระยะของชีวิตท่ีมี กำรสบื พันธ์ไุ ด้ตั้งแต่เริ่มต้นจนไมส่ ำมำรถสืบพันธุ์ไดอ้ ีก 3. วัยก่อนเจริญพันธ์ุ (post reproductive age) คือ สมำชิกประชำกรกลุ่มท่ีไม่มีกำรสืบพันธุ์ อีกแลว้ ในประชำกรน้ัน โดยครูสกุ ฤตา โสมล

 โครงสรำ้ งอำยปุ ระชำกร - ภำพ 1 พีระมดิ ฐำนกวำ้ งยอดแหลม โครงสร้ำงประชำกรเพ่ิมข้ึนอย่ำงรวดเร็ว พบ ในประเทศกัวเตมำลำ ซำอุดิอำระเบีย ไนจีเรีย เคนยำ่ ยูกนั ดำ - ภำพ 2 พีระมิดทรงรูปกรวยปำกแคบ โครงสร้ำงประชำกรเพ่ิมขึ้นอย่ำงช้ำๆ พบใน ประเทศสหรัฐอเมรกิ ำ ไทย แคนำดำ ออสเตรเลีย - ภำพ 3 พีระมิดรปู ระฆังคว่ำ โครงสร้ำงประชำกร มีขนำด คงท่ี พบในประเทศสเปน เด นมำร์ก ออสเตรยี อิตำลี - ภำพ 4 พรี ะมดิ รปู ดอกบวั ตูม โครงสรำ้ งประชำกรลดลง พบในประเทศญป่ี ่นุ สวสิ ฮังกำรี บลั กำเรีย สิงคโปร์ 82 โดยครูสกุ ฤตา โสมล

คำดกำรณป์ ระชำกรประเทศไทยในปี พ.ศ.2570 กำรเพ่ิมของประชำกรมนุษย์ก่อให้เกิดกำรขำดแคลนอำหำรและท่ีอยู่อำศัย ปัญหำส่ิงแวดล้อมเป็นพิษ 83 ปัญหำสุขภำพอนำมัย กำรว่ำงงำน อำชญำกรรม กำรจรำจรติดขัด ปัญหำด้ำนกำรศึกษำ ประชำกรมี คุณภำพชีวติ ตำ่ ก่อให้เกิดปัญหำทั้งดำ้ นเศรษฐกิจและสงั คม ทำให้ระบบนิเวศเสือ่ มสมดลุ เพรำะมนุษย์ใช้และ บริโภคทรพั ยำกรธรรมชำติมำกข้ึน โดยครูสกุ ฤตา โสมล


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook