2. อาณาจกั ร PROTISTA โดย ครูสุกฤตา โสมล โดย ครูสกุ ฤตา โสมล ชีววทิ ยา ชน้ั ม.6 1
ข้อมลู เบอ้ื งตน้ เกยี่ วกบั Kingdom Protista โพรทิสต์ (protist) เป็นยูคารโิ อต (eukaryote) ก ลุ่ ม แ ร ก ที่ มี วิ วั ฒ น า ก า ร จ า ก เ ซ ล ล์ โ พ ร ค า ริ โ อ ต ตงั้ แตส่ ่งิ มีชวี ิตเซลล์เดยี วขนาดเลก็ จนถึงส่ิงมีชีวิต หลายเซลล์ขนาดใหญ่ที่มีโครงสร้างซับซ้อน แต่ เซลล์เหล่านัน้ ยังไม่พัฒนาเปน็ เนื้อเยอ่ื โ พรทิส ต์ พบ ไ ด้ท่ัว ไ ป บ ริเว ณที่ชื้ น แฉะ แห ล่ งน้ าจืด แล ะใ น 2 มหาสมุทร มีการใช้แก๊สออกซิเจนในกระบวนการเม แทบอลิซึม โดย ครูสกุ ฤตา โสมล โพรทิสต์บางชนิดมีกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) การด้ารงชีวิตมีท้ังแบบอิสระหรืออาจอยู่รวมกันแบบภาวะพ่ึงพากัน (mutualism) หรอื ดา้ รงชวี ิตแบบปรสติ (parasitism)
ลักษณะร่วมทส่ี ้าคญั ของโพรทิสต์ - เป็นได้ทั้งสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว หรือหลายเซลล์ที่มีโครงสร้างง่ายๆ 3 ไม่มีการจัดเรียงตัวของเซลล์ต่างๆ เป็นเนื้อเย่ือ (tissue) แต่ละเซลล์ จะสามารถทา้ หนา้ ทข่ี องส่ิงมีชวี ิตได้เองครบถ้วน - เซลล์เป็นแบบยูคารโิ อตเชน่ เดียวกับเซลลพ์ ชื และสัตว์ - อ า จ มี โ ค ร ง ส ร้ า ง ท่ี ใ ช้ ใ น ก า ร เ ค ล่ื อ น ที่ ค ล้ า ย สั ต ว์ อ า จ มี คลอโรฟลิ ล์ทา้ ให้สงั เคราะห์ดว้ ยแสงไดเ้ หมอื นพชื โดย ครูสกุ ฤตา โสมล
การจ้าแนกกลมุ่ โพรทิสต์ 4 โพรทิสตม์ คี วามหลากหลาย จงึ สามารถจ้าแนกออกได้เป็นหลายๆ กลมุ่ ดงั น้ี 1. กลุ่มท่ีไม่มีไมโทคอนเดรีย ได้แก่ ดิโพลโมนาดิดา (Diplomonadida) โดยดิโพลโมแนด (diplomonad) มีแฟลเจลลัมหลายเส้น (ภาพบน) และพาราบาซาลา (Parabasala) โดยพาราบาซาลิด (parabasalid) มี แฟลเจลลาเป็นคู่(ภาพล่าง) เช่น ไตรโค นิมฟา (Trichonympha sp.) อาศยั อยูใ่ นล้าไสป้ ลวก ไตรโคโมแนส (Trichomonas sp.) โดย ครูสุกฤตา โสมล
2. กลุ่มท่ีใช้แฟล เจลลาในการเคล่ือนที่ ได้แก่ ยูกลีโนซัว (Euglenozoa) เช่น ทริปพาโนโซมา (Trypanosoma sp.) ที่ท้าใหเ้ ปน็ โรคเหงาหลบั , ยกู ลนี า (Euglena sp.) Trypanosoma Euglena โรคเหงาหลบั หรอื ท่เี รียกทัว่ ไปว่า Sleeping sickness ชอื่ เต็มคอื 5 โรคแอฟรกิ ัน ทริปาโนโซมิเอซิส (African trypanosomiasis) โดย ครูสกุ ฤตา โสมล โรคน้ีเกิดจากการได้รับเช้อื โดยการกดั ของแมลงวนั (tsetse fly) ทม่ี เี ชอ้ื ปรสิตทชี่ ื่อวา่ - Trypanosoma brucei gambiense พบในแอฟริกาฝัง่ ตะวันตก แถบประเทศ DR คองโก กาบอง ซูดาน สาธารณรฐั แอฟรกิ ากลาง ฯลฯ มีระยะฟกั ตัวชา้ กว่า อาจเป็นเดือนหรือเปน็ ปี ความรนุ แรงนอ้ ยกวา่ - Trypanosoma brucei rhodesiense ซงึ่ พบมากในแอฟรกิ าตะวันออก เช่น ประเทศแทนซาเนยี ยูกนั ดา มาลาวี เคนยา ฯลฯ เชื้อมคี วามรนุ แรงสูง
อาการของโรคเหงาหลบั - หลังจากได้รับเช้ือ ในช่วง 1-3 สัปดาห์แรก ผู้ป่วยมักมี อาการไข้ ปวดศีรษะ คนั และปวดตามข้อ - ในระยะท่ีสอง ผู้ได้รับเช้ือจะเร่ิมมีอาการสับสน การท้างาน ไม่ประสานกัน มีอาการชา และมีปัญหาในการนอนหลับ สติสัมปชญั ญะลดลง จนถงึ ขั้นโคม่า และเสยี ชวี ติ ได้ โรคเหงาหลับ มีอันตรายร้ายแรงถึงข้ันเสียชีวิตได้โรคนี้เป็นโรคที่ เกิดเฉพาะถ่ินใน 36 ประเทศแถบแอฟริกา ซ่ึงท่ีผ่านมาโรคน้ีเป็น สาเหตขุ องการเสยี ชวี ติ จา้ นวนมากปีละนบั พนั รายเลยทเี ดียว โรคเหงาหลับท้าใหม้ ีประชากรเส่ยี งโรคน้ถี ึง 65 ลา้ นคนและเคยเกดิ 6 การแพร่ระบาดรุนแรงหลายครงั้ เม่ือราวหนึ่งรอ้ ยปกี ่อน โดย ครูสุกฤตา โสมล
3. กลุ่มท่มี ชี อ่ งว่างใต้เยอ่ื ห้มุ เซลล์ ได้แก่ แอลวีโอลาตา (Alveolata) เรียกโพรทิสต์กลุ่ม นี้ว่า แอลวีโอไล (alveoli) ประกอบด้วย ไดโนแฟลเจลเลต (Dinoflagellate) เมื่อมีการเพิ่ม จ้านวนอยา่ งรวดเรว็ ท้าใหท้ ะเลมสี ีแดงเกดิ ปรากฏการณข์ ี้ปลาวาฬ (red tide) เอพิคอมเพลซา (Apicomplexa sp.) ส่วนใหญ่ด้ารงชีวิตแบบปรสิต เช่น พลาสโมเดยี ม (Plasmodiumsp.) ทา้ ให้เกดิ โรคมาลาเรยี ซิลิเอต (Ciliates) มักอาศัยอยู่ใน สภาพแวดล้อมที่มีน้าหรือมีความช้ืนสูง เชน่ พารามีเซียม (Paramecium sp.) วอรต์ เิ ซลลา (Vorticella sp.) 7 โดย ครูสุกฤตา โสมล
ปรากฏการณข์ ปี้ ลาวาฬ (red tide) ปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ หรือ Red Tide เป็นปรากฏการณ์ ธรรมชาติท่ีสามารถเกิดขึ้นได้ในทะเลทั่วทุกมุมโลก สาเหตุ มาจากการเพ่ิมขึ้นอย่างมหาศาลของสาหร่ายเซลล์เดียว จ้าพวก “แพลงก์ตอนพืช” ในทะเลแถบน้ัน หรือที่เรียกอีก ชอื่ วา่ “แพลงกต์ อนบลมู ” จ้านวนประชากรของแพลงก์ตอน ทีเ่ พิ่มข้นึ จา้ นวนมากนี้ ทา้ ให้นา้ ทะเลเปลยี่ นสี โดยปกติแล้ว จะเป็นสีแดงหรือสีเขียว และบางทีอาจจะเป็นสีม่วงหรือสี ชมพูก็ได้ การเกิดแพลงก์ตอนบลูมก็มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย อาทิ มีฝนตกหนัก และคล่ืนลมแรงท้าให้มี 8 ปริมาณธาตุอาหารและสิ่งแวดล้อมท่ีเหมาะสมแก่การเจริญเติบโตของแพลงก์ตอน หรือ การเกิดน้าผุด (up welling) เป็นขบวนการที่น้าเบื้องล่างถูกพัดพาข้ึนมาเบ้ืองบน เน่ืองจากกระแสลมพัดเอามวลน้าที่ ผิวบริเวณชายฝั่งออกสู่ทะเลมวลน้าท่ีอยู่ระดับลึกจะไหลเข้าสู่ฝั่งแล้ววกสู่ผิวน้าแทนที่มวลน้าที่พัด ออกไปซงึ่ จะเปน็ ประโยชนต์ ่อแพลงกต์ อน เพราะเป็นการน้าธาตุอาหารจากพื้นน้าเข้ามาสู่ผิวน้า ท้าให้ แพลโดยงครูสกกุ ฤตต์ า โสอมลนไดใ้ ช้ จงึ มกี ารเพ่ิมจา้ นวนของแพลงกต์ อนมากข้ึนอยา่ งรวดเร็วน่ันเอง
ตวั อยา่ งพวกซิลเิ อต (Ciliates) Paramecium sp. Vorticella sp. Colpidium sp. Stentor sp. 9 โดย ครูสุกฤตา โสมล
4. ก ลุ่มท่ีเ ซ ล ล์สืบ พัน ธุ์มีแ ฟ ล เจ ล ล า ท่ีมีข น แ ล ะไ ม่มีข น ได้ แก่ สตรามี โ นฟิ ลา (Stramenopila) ซ่ึงมักเรียกโพรทิสต์กลุ่มนี้ว่า สาหร่าย (algae) ประกอบด้วยสาหร่ายสี น้าตาล (brown algae) ตวั อย่างเช่น สาหรา่ ยเคลป์ (Kelp sp.) สาหร่ายทุ่น (Sargassum sp.) ลามนิ าเรีย (Laminaria sp.) พาไดนา (Padina sp.) ฟิวกสั (Fucus sp.) Kelp Laminaria Padina Alaria Sargassum Fucus Makrotsistis 10 โดย ครูสกุ ฤตา โสมล
5. กลุ่มท่ีมีสารสีไพโคอีรีทริน ได้แก่ โรโดไฟตา (Rhodophyta) ซึ่งเรียก โพรทิสต์กลุ่มน้ีว่า สาหร่ายสีแดง (red algae) เช่น พอร์ไฟรา (Porphyra sp.) หรอื จฉี ่าย , กราซลิ าเรยี (Gracilaria sp.) หรอื สาหรา่ ยผมนางหรือสาหรา่ ยวนุ้ Porphyra Gracilaria Chondrus สาหร่ายวุ้นเปน็ สาหรา่ ยสแี ดงทพี่ บไดท้ ัว่ ไปในอา่ วไทยและทะเลอันดามนั จดั เป็นสกุล 11 ทมี่ ีคุณค่าทางเศรษฐกิจ สามารถน้าไปเปน็ วัตถดุ บิ ในการผลิตวนุ้ ชนดิ ทเ่ี รยี กวา่ agar ดังน้ันในหลายประเทศจงึ ไดม้ กี ารทา้ ฟารม์ และเลยี้ งสาหรา่ ยวนุ้ ขึน้ เพือ่ นา้ มาสกดั วนุ้ ส้าหรบั ใช้ประโยชนใ์ นด้านต่าง ๆ แตก่ ็มกี ารเกบ็ จากธรรมชาตปิ ระมาณปลี ะ 20-200 ตนั น้าหนักแห้ง ในขณะท่คี วามต้องการในเชิงพาณชิ ย์สงู ถงึ 2,400 ตนั โดย ครูสุกฤตา โสมล
6. กลุ่มท่ีมีคลอโรฟิลล์ เอ คลอโรฟิลล์ บี และแคโรทีน ได้แก่ คลอโรไฟตา (Chlorophyta) ซ่งึ เรยี กโพรทิสต์กลมุ่ น้วี ่า สาหร่ายสีเขยี ว (green algae) เชน่ คลอเรลลา (Chlorella sp.) , สไปโรไจรา (Spirogyra sp.) , สาหร่ายไฟ (Chara sp.) Chlorella Spirogyra Chara Ulva Volvox Ulothrix 12 โดย ครูสุกฤตา โสมล
7. กลมุ่ ทม่ี ีชว่ งชีวติ คลา้ ยอะมบี า ได้แก่ ไมซีโทซัว (Mycetozoa) หรือเรียกว่า ราเมือก (slime mold) เช่น สเตโมนทิ สิ (Stemonitis sp.) , ไฟซาลมั (Physarum sp.) Stemonitis Physarum Physarum Stemonitis 13 โดย ครูสุกฤตา โสมล
8. กลุ่มที่เคลื่อนท่ีหรือกินอาหารโดยการสร้างเท้าเทียม ได้แก่ ไรโซโพดา (Rhizopoda) เป็นโพรทิสต์ที่ใช้ซูโดโปเดียม (Pseudopodium) เพื่อการเคลื่อนท่ีหรือ กินอาหารแบบฟาโกไซโทซิส (Phagocytosis) บางชนดิ ด้ารงชีพเปน็ อิสระ เช่น อะมีบา (Amoeba sp.) อาร์เซลลา (Arcella sp.) พบท้ังในดิน แหล่งน้าจืดและแหล่งน้าเค็ม บาง ชนดิ เป็น ปรสิตเปน็ สาเหตุของโรคบดิ ในคน เชน่ บดิ มีตัว (Entamoeba histolytica) Amoeba Arcella Entamoeba histolytica 14 โดย ครูสุกฤตา โสมล
การจัดจา้ พวกโพรทสิ ต์ในปจั จุบัน โพรทิสต์แบ่งออกเปน็ 7 ไฟลัมโดยใช้รงควัตถเุ ปน็ เกณฑ์ 1.โพรโทซัว (Protozoa) โพรโทซัว (protozoa) 2.คลอโรไฟตา (Chlorophyta) สาหรา่ ยสีเขียว (green algae) 3.คริโซไฟตา (Chrysophyta) สาหร่ายสนี ้าตาลแกมเหลือง ที่ส้าคญั คือ ไดอะตอม 4.โรโดไฟตา (Rhodophyta) สาหรา่ ยสีแดง (red algae) 5.ฟีโอไฟตา (Phaeophyta) สาหร่ายสนี ้าตาล (brown algae) 6.ไพโรไฟตา (Phyrophyta) สาหร่ายไดโนแฟลเจลเลต 7.มกิ โซไมโคไฟตา (Myxomycophyta) พวกราเมอื ก (slime mold) 15 โดย ครูสุกฤตา โสมล
1. โพรโทซวั (Protozoa) สว่ นใหญ่อาศยั ในน้า พบทั้งในน้าจืด นา้ เคม็ บางชนิดอาศยั ในดิน มีทั้งพวกท่ีด้ารงชีวิตอิสระ กนิ แบคทเี รีย สาหรา่ ย และโพรโทซัวอ่ืนๆ เปน็ อาหาร และพวกทเี่ ป็นปรสิต ลักษณะส้าคญั ของโพรโทซวั เป็นส่งิ มชี วี ติ เซลล์เดยี ว มีลักษณะคล้ายสัตว์ (เคลื่อนทไ่ี ด้) บางชนิดมคี ลอโรพลาสต์ โพรโทซัวแบ่งไดเ้ ปน็ 4 พวก โดยใช้โครงสรา้ งในการเคลือ่ นที่เป็นเกณฑ์ 1. พวกแฟลเจลเลต (flagellate) 16 2. พวกซลิ ิเอต (ciliate) โดย ครูสุกฤตา โสมล 3. พวกซาร์โคดินา (sarcodina) 4. พวกสปอโรซวั (sporozoa)
1. พวกแฟลเจลเลต (flagellate) -เคล่อื นทโี่ ดยใช้แฟลเจลลัม (flagellum) ลักษณะเป็นเสน้ ยาว มี 1 เส้นหรือหลายเส้น -บางชนดิ เป็นปรสติ เช่น โพรโทซัวทเ่ี ปน็ สาเหตขุ องโรคไข้หลับ (Trypanosoma sp.) -บางชนดิ ด้ารงชวี ิตแบบพงึ่ พา เชน่ โพรโทซวั ในลา้ ไส้ปลวก (Trichonympha sp.) -บางชนิดสรา้ งอาหารเองได้ เพราะมีคลอโรพลาสต์ เช่น ยกู ลนี า (Euglena sp.) แคลมโิ ดโมแนส (Chlamydomonas sp.) Chlamydomonas Acinata Trichonympha Vorticella โดย ครูสุกฤตา โสมล 2. พวกซิลิเอต (ciliate) -เคล่ือนที่ดว้ ยซิเลยี (cilia) ลักษณะเป็นขนเสน้ สน้ั ๆ จ้านวนมาก -มีนิวเคลยี ส 2 อันไมเ่ ท่ากนั -ส่วนใหญ่ด้ารงชีวิตอิสระทั้งในน้าจืดและน้าเค็ม เช่น พารามีเซีย1ม7 (Paramecium sp.) วอติเซลลา (Vorticella sp.) อะซินาตา (Acinata sp.)
3. พวกซารโ์ คดินา (sarcodina) -เคลื่อนที่ด้วยไหลของไซ โทพลาซึมภายในเซลล์ ท้าให้เกิดเท้าเทียม (pseudopodium) ย่นื ออกไป เพื่อคืบคลานหรือโอบล้อมอาหาร -มที ัง้ พวกท่ีด้ารงชีพอิสระ เช่น อะมีบาในน้าจดื -บางพวกด้ารงชีพแบบพึ่งพา เช่น Entamoeba coli (ช่วยกินแบคทีเรียท่ีท้าให้ เกิดแก๊สในลา้ ไส)้ , Entamoeba ginggivalis (ช่วยกนิ แบคทเี รียในปาก) ,Trichonympha sp. เป็นโพรโทซวั ในล้าไส้ปลวก -บางพวกเป็นปรสิต เช่น โพรโทซัวที่เป็นสาเหตุโรคบิดมีตัว ล้าไส้อักเสบ และ ทอ้ งร่วง (Entamoeba histolytica) -ฟอรามินิเฟอรา (Foraminifera sp.) และเรดิโอลาเรีย (Radiolaria sp.)อาศัย ในน้าเค็ม เป็นแพลงตอนท่สี ้าคญั โดย ครูสุกฤตา โสมล Entamoeba coli Foraminifera Radiolaria
4. พวกสปอโรซัว (sporozoa) -พวกท่ีไมม่ ีโครงสร้างทีใ่ ช้ในการเคล่อื นที่ -สืบพันธุ์โดยการสรา้ งสปอร์ -ท้ังหมดด้ารงชีพแบบปรสิต เช่น พลาสโมเดียมที่เป็นสาเหตุของโรคไข้จับสั่น หรือมาลาเรีย มี 2 ชนิดคือ Plasmodium falciparum (โรคมาลาเรียข้ึนสมอง) และ Plasmodium vivax (โรคมาลาเรยี ลงตบั ) ซึ่งมยี งุ กน้ ปลอ่ งเปน็ พาหะ โรคมาลาเรยี (Malaria) หรอื ไข้จบั สนั่ ไขป้ า่ ไข้ปา้ ง เกดิ จากการติดเชื้อโปรโตซวั ชนดิ พลาสโมเดียม (Plasmodium) ทีน่ ้าโดยยุงกน้ ปล่องเพศเมีย โดย ครูสกุ ฤตา โสมล อาการเร่ิมแรกของมาลาเรยี ไมจ่ า้ เพาะ จะเป็นอาการคล้ายไขห้ วัด เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมอ่ื ยตามตัว ไอ แตส่ ักระยะหนง่ึ ที่เชอื้ แตล่ ะตวั แบง่ ตัวสอดคล้องกนั ดีแลว้ ผูป้ ่วยจะมไี ข้เป็นช่วงระยะอย่างสมา่้ เสมอ อาการของไข้จะมี 3 ระยะ คอื 1) ระยะหนาวสน่ั : ผ้ปู ว่ ยมอี ุณหภูมิร่างกายลดลง มอี าการหนาวส่นั กนิ เวลา 30 นาที ถึง 1 ช่วั โมง 2) ระยะไขต้ วั รอ้ น: ผูป้ ่วยมีไขส้ ูง 40-41 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 1-4 ชัว่ โมง 3) ระยะออกเหงอื่ : กินเวลานาน 1-2 ช่ัวโมง จากนัน้ อุณหภูมิรา่ งกายปกติ 19 ยาทใี่ ช้ข้ึนอยกู่ ับประเภทและความรุนแรงของโรค การรักษาการตดิ เช้ือ P. falciparum ทีไ่ ด้ผลท่ีสดุ คือ การใชอ้ ารต์ มี ซิ นิ นิ รวมกบั ยาตา้ นมาลาเรียอ่นื
2. คลอโรไฟตา (Chlorophyta) ไดแ้ ก่ พวกสาหร่ายสเี ขียว (green algae) มีท้ังพวกท่ีอาศัยในน้าจืดและน้าเคม็ มลี กั ษณะสีเขยี วสด ตัวอย่างของสาหร่ายสีเขียวน้าจืด -เซลล์เดียว ได้แก่ คลอเรลลา (Chlorella sp.) Scenedesmus Spirogyra Urothrix -เซลล์รวมเป็นกลุ่ม เช่น ซีนีเดสมัส (Scenedesmus sp.) เพดิเอสตรัม (Pediastrum sp.) วอลวอกซ์ (Volvox sp.) โอโดโกเนยี ม (Oedogonium sp.) -เซลลต์ ่อเปน็ สาย เช่น สไปโรไจรา (Spirogyra sp.) หรือเทาน้า ยโู รทริกซ์ (Urothrix sp.) ตัวอยา่ งของสาหรา่ ยสีเขยี วท่ีเป็นสาหรา่ ยทะเล 20 -อะเซตาบูราเลีย (Asetabularia sp.) Codium -อุลวา (Ulva sp.) และโคเดยี ม (Codium sp.) ซ่ึง เปน็ สาหรา่ ยที่มีขนาดใหญ่มาก โดย ครูสกุ ฤตา โสมล
รงควตั ถุของสาหร่ายสีเขียว -รงควัตถุสเี ขียว ไดแ้ ก่ คลอโรฟลิ ล์ เอ และ บี -รงควัตถสุ เี หลอื ง คือ แคโรทนี (carotene) และแซนโทรฟิลล์ (xanthophyll) การสบื พันธุ์ มีทงั้ แบบอาศยั เพศและแบบไม่อาศัยเพศ -สไปโรไจราสบื พันธุ์ด้วยวิธี conjugation ซ่ึงเปน็ แบบอาศัยเพศ ประโยชน์ เป็นผู้ผลิตท่ีส้าคัญของระบบนิเวศ ช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้ แหล่งน้า หลายชนิดมีโปรตีนสูงมากใช้เป็นอาหารได้ ได้แก่ คลอเรลลา ซีนีเดสมัส เพดิเอสตรัม ส่วนสไปโรไจราหรือเทาน้า เป็นสาหร่ายที่คนบาง ทอ้ งถ่ินน้ามาใช้ประกอบอาหาร 21 โดย ครูสกุ ฤตา โสมล
3.ครโิ ซไฟตา (Chrysophyta) ได้แก่ สาหร่ายสีนา้ ตาลแกมเหลือง (golden-brown algae) คือ พวกไดอะตอม (diatom) ซ่ึงเป็นสาหร่ายเซลล์เดียว ผนังเซลล์เป็น 2 ฝาประกบกัน มีสารซิลิกามาสะสมท้าให้เกิด ลวดลายสวยงาม มรี ปู ร่างแตกต่างกันมากมาย พบได้ทง้ั ในนา้ จดื และนา้ เคม็ 22 โดย ครูสกุ ฤตา โสมล
รงควตั ถุทพี่ บในสาหร่ายสนี ้าตาลแกมเหลอื ง มี -รงควตั ถุสีเหลือง คือ แคโรทีนและแซนโทรฟิลล์ -รงควตั ถุสนี า้ ตาล คือ ฟโู คแซนทีน -รงควัตถุสเี ขียว ไดแ้ ก่ คลอโรฟลิ ล์ เอ และ ซี diatomaceous earth ประโยชน์ เปน็ แหลง่ ผลติ ออกซเิ จนจ้านวนมากให้กับระบบนเิ วศ 23 - ซากของไดอะตอมทีต่ ายทบั ถมอยู่ใต้พ้ืนน้านับพันปี จนกลายเป็น ส่วนของพ้ืนดินใต้แหล่งน้า เป็นแหล่งรวมของแร่ธาตุและน้ามัน บาง แห่งเป็นภูเขาใต้น้าเรียกว่า ดินไดอะตอม /ดินเบา(diatomaceous earth) ซ่ึงน้ามาใช้ประโยชน์ในการท้าไส้กรอง เป็นส่วนผสมของ ยาขัดโลหะ ยาสีฟัน เครื่องส้าอาง และใช้ท้าฉนวนกันความร้อนใน ตเู้ ย็น เตาอบ เตาหลอมได้ โดย ครูสุกฤตา โสมล
4.โรโดไฟตา (Pheaophyta) ได้แก่ พวกสาหร่ายสีแดง (red algae) ซ่ึงส่วนใหญ่พบในทะเล มีลักษณะเป็น แฉกฝอยๆ คลา้ ยขนนก ผนังเซลล์มสี ารคลา้ ยเมือกเหนียวผสมอยู่ รงควตั ถุท่ีพบในสาหร่ายสีแดง -รงควัตถุสแี ดง คือ ไฟโคอริ ทิ ริน (phycoerythrin) -รงควัตถุสีเขียว ได้แก่ คลอโรฟลิ ล์ เอ และ ดี ประโยชน์ -จฉี ่ายหรอื พอรไ์ ฟรา (Porphyra sp.) ใช้เปน็ อาหาร ทา้ แกงจดื - กราซิลาเรีย (Gracilaria sp.) หรือสาหร่ายผมนาง ใช้สกัดเอาวุ้น (agar) น้ามาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น ใช้เป็นอาหารมนุษย์ ท้าอาหารเลี้ยง จุลินทรีย์ และเพาะเล้ียงเน้ือเยื่อ ใช้ท้าแคปซูลยา ใช้เป็นส่วนผสมของยาและ เครอ่ื งสา้ อาง น้ามาเคลอื บเส้นใยในการทอผ้า เปน็ ต้น 24 โดย ครูสกุ ฤตา โสมล
5. ฟีโอไฟตา (Phaeophyta) ได้แก่ สาหร่ายสีน้าตาล (brown algae) เป็นสาหร่ายน้าเค็มขนาดใหญ่ มวี ิวฒั นาการสูงขึ้น มสี ว่ นคลา้ ยราก ลา้ ต้นและใบของพืช รงควัตถุท่ีพบในสาหรา่ ยสีน้าตาล -รงควัตถุสีนา้ ตาล คอื ฟโู คแซนทีน -รงควตั ถสุ ีเขียว ไดแ้ ก่ คลอโรฟลิ ล์ เอ และ ซี ประโยชน์ 25 โดย ครูสกุ ฤตา โสมล - เคลป์ (Kelp sp.) เป็นสาหร่ายสีน้าตาลที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ยาวกว่า 50 เมตร มี ประโยชน์คอื เป็นทงั้ แหล่งอาหาร แหล่งทอ่ี ยู่และที่หลบภยั ของสตั ว์ทะเล - ลามินาเรีย (Laminaria sp.) พาไดนา (Padina sp.) และฟิวกัส (Fucus sp.) ใช้ ผลิตปยุ๋ โพแทสเซยี ม - ลามินาเรียและเคลป์ ใช้ส้าหรับสกัดสารแอลจิน (align) ส้าหรับใช้ในอุตสาหกรรม ยา อาหาร เส้นใย กระดาษ ยาง และสบู่ - ซารแ์ กสซมั (Sargassum sp.) หรอื สาหรา่ ยท่นุ ใชเ้ ป็นอาหารที่ให้ไอโอดีนสงู
6. ไพโรไฟตา (Phyrophyta) ได้แก่ สาหรา่ ยไดโนแฟลเจลเลต (Dinoflagellate) เป็นสาหร่ายเซลล์เดียว ท่มี แี ส้หรอื แฟลเจลลัม 2 อนั ใช้ในการเคลื่อนท่ี พบได้ท้งั ในน้าจดื และน้าเคม็ รงควัตถุทพี่ บในสาหร่ายไดโนแฟลเจลเลต -รงควตั ถสุ ีเหลอื ง คอื แคโรทนี และแซนโทรฟลิ ล์ -รงควัตถสุ เี ขยี ว ได้แก่ คลอโรฟลิ ล์ เอ และ ซี ประโยชนห์ รอื โทษต่อมนษุ ย์ Gymnodidium - เป็นอาหารของสตั ว์นา้ - จมิ โนดิเดยี ม (Gymnodidium sp.) สามารถแบง่ ตัวได้อย่างรวดเร็วมาก โดย ครูสุกฤตา โสมล และปล่อยสารพิษสีแดงท่ีชาวประมงเรียกว่า ขี้ปลาวาฬ (water bloom) เป็น26 อนั ตรายต่อปลาและสตั วน์ า้ อื่นๆ
7. มกิ โซไมโคไฟตา (Myxomycophyta) เป็นสิ่งมีชวี ติ ที่มลี ักษณะเปน็ เมือกขน้ สีขาว สเี หลอื งหรือสสี ้ม อาศัยอยู่ในบริเวณที่ชื้นแฉะ เช่น กองไม้ผุ ตามพ้ืนดินร่มช้ืนเช่นเดียวกับเห็ดรา ส่วนใหญ่ด้ารงชีพแบบภาวะมีการ ย่อยสลาย แต่ก็มีบางชนดิ เป็นปรสิต ได้แก่ พวกราเมือก (slime mold) เช่น สเตโมนิทิส (Stemonitis sp.) ดิคไทโอสเตลเลยี ม (Dictyostellium sp.) ไฟซาลมั (Physarum sp.) โดย ครูสุกฤตา โสมล 27
ลักษณะส้าคญั ของมิกโซไมโคไฟตา (Myxomycophyta) -ราเมอื กไม่มคี ลอโรฟิลล์ -วฏั จักรชวี ิตท่บี างช่วงมีลกั ษณะคลา้ ยสัตว์ และบางชว่ งมีลกั ษณะคล้ายพืช -ในภาวะปกติ ขณะเจริญเติบโตเซลล์มีลักษณะคล้ายสัตว์ เป็นแผ่นวุ้น สีเหลือง สีส้ม ขาวหรือใส ไม่มีผนังเซลล์ เคลื่อนไหวได้โดยใช้เท้าเทียม และกินอาหาร แบบอะมบี า ระยะนเ้ี รยี กวา่ พลาสโมเดยี ม (plasmodium) -ในระยะสบื พันธ์ุ จะมีการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส สร้างสปอร์ (n) ท่ีมี ผนังเซลล์เป็นเซลลูโลสเหมือนสปอร์ของพืช เมื่อสปอร์ตกลงไปในที่ เหมาะสมจะงอกเป็นเซลล์สวอรม์ (swarm cell) ที่ไมม่ ผี นังเซลล์ เซลลส์ วอร์ม 2 เซลลร์ วมกันได้ไซโกต (2n) ซึง่ จะเจรญิ เติบโตเป็น พลาสโมเดียม ประโยชน์หรือโทษต่อมนุษย์ - ราเมือกชื่อ พลาสโมดิโอฟอรา (Plasmodiophora sp.) เป็นปรสิตในพืช28 โดย ครูสุกฤตา โสมล ทา้ ให้เกิดโรครากโปง่ ในกะหลา่้ ปลแี ละผักอน่ื
Life Cycle of a Plasmodial Slime Mold โดย ครูสกุ ฤตา โสมล 29 รบั ชมคลปิ ไดท้ ี่ https://www.youtube.com/watch?v=GY_uMH8Xpy0
Search
Read the Text Version
- 1 - 29
Pages: