การเลน่ ทส่ี ง่ เสริ มทกั ษะพนื้ ฐานทางคณิตศาสตรเ์ด็กปฐมวยั กกกกกกก 1. 1. กกกกกกกกกกกกกกกกกก การจดั กจิ กรรมการเลน่ สาหรบั เด็กปฐมวยั นับวา่ เป็ นสงิ่ จาเป็ นและสาคญั มาก เพราะ การเลน่ เป็ นประสบการณท์ มี่ กี ารเตรยี มเด็กใหม้ คี วามพรอ้ มทงั้ ทางดา้ นรา่ งกาย อารมณ์ จติ ใจ สงั คม และสตปิ ัญญา กอ่ นทจ่ี ะเขา้ เรยี นในระดบั ประถมศกึ ษา คาวา่ “การเลน่ ” ไดม้ ผี ูใ้ หค้ วามหมายไวแ้ ตกตา่ งกนั มากมาย เชน่ ในพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2525 กลา่ ววา่ การเลน่ หมายถงึ ทาเพอ่ื สนุก หรอื ผ่อนอารมณ์ (พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน, 2525) สชุ า – สรุ างค ์ จนั ทรเ์อม (2529 : 121) กลา่ วไวด้ งั นี้ 1. การเลน่ เป็ นการระบายพลงั งานทเี่ หลอื ใหเ้ ป็ นไปตามธรรมชาติ 2. การเลน่ เป็ นการหาความสนุกเพลดิ เพลนิ เพอ่ื เป็ นการพกั ผ่อนโดยเด็กไม่รสู ้ กึ เหน็ดเหน่ือยเทา่ กบั การทางานถงึ แมจ้ ะตอ้ งออกแรงมาก ๆ เหมอื นกนั 1. การเลน่ เป็ นการเลยี นแบบบรรพบรุ ษุ เพราะเด็กเคยเห็นการกระทาของบคุ คล ทเ่ี ด็กใกลช้ ดิ 1. การเลน่ เป็ นการชดเชยสงิ่ ทข่ี าด โดยเด็กจะแสดงออกมาโดยการเลน่ เยาวพา เดชะคปุ ต ์ (2542 : 20) ก็กลา่ ววา่ การเลน่ เป็ นกจิ กรรมทเ่ี ป็ นหวั ใจและมี ความสาคญั เพราะเป็ นการสนองความตอ้ งการทางจติ ใจ คอื เกดิ ความสนุกสนาน ขณะทเ่ี ด็กเลน่ จะเกดิ ก ารเรยี นรไู ้ ปพรอ้ ม ๆ กนั ดว้ ย เด็กจะเรยี นรไู ้ ดด้ โี ดยผ่านประสบการณต์ รงทเ่ี ป็ นรปู ธรรม โดยใชป้ ระสาทสมั ผสั ทง้ั 5 และมโี อกาสพฒั นาทกั ษะตา่ ง ๆ ไปพรอ้ ม ๆ กนั ดว้ ย สวุ ลยั มหากนั ธา (2532 : 1) กลา่ ววา่ การเลน่ เป็ นสว่ นหน่ึงของชวี ติ เด็ก ประสบการณจ์ ากการเลน่ ของเด็ก จะนาไปสกู่ ารรจู ้ กั รบั ผดิ ชอบตนเอง การอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คมของการมชี วี ติ อยา่ งผใู้ หญใ่ นวนั ขา้ งหนา้ ดนู จรี ะเดชากุล (2541 : 25) กลา่ ววา่ การเลน่ เป็ นพฤตกิ รรมของมนุษยท์ แี่ สดงออกมาปรากฏใหเ้ ห็นโดยชดั เจน ไมว่ า่ การแสดงออกนั้นจะเป็ นการแสดงออกดา้ นรางกาย เชน่ กริ ยิ าทา่ ทางตา่ ง ๆ ตลอดจนความคดิ จากการสนทนาพดู จากนั
เชรษิ า ใจแผว้ (2532 : 37) กลา่ ววา่ การเลน่ คอื การทางานของเด็ก การเลน่ สามารถทาใหเ้ ด็กไดร้ บั ความเพลดิ เพลนิ และเกดิ ความพงึ พอใจ สง่ิ เหลา่ นีม้ คี ณุ คา่ อยา่ งยงิ่ สาหรบั เด็ก หรรษา นิลวเิ ชยี ร (2534 : 87) ไดก้ ลา่ ววา่ การเลน่ เป็ นกจิ กรรมสว่ นใหญใ่ นชวี ติ ของเด็ก การเลน่ ชว่ ยใหเ้ ด็กเรยี นรสู ้ ง่ิ แวดลอ้ ม และชว่ ยใหเ้ ด็กมพี ฒั นาการทางดา้ นรา่ งกาย อารมณ์ สงั คมและสตปิ ัญญา ประโมทย ์ เยยี่ มสวสั ดิ์ (2539 : 33) กลา่ ววา่ การเลน่ เป็ นประสบการณท์ เี่ ป็ นหวั ใจและมคี วามสาคญั ยง่ิ ธรรมชาตขิ องเด็กจะชอบการเลน่ การเลน่ นอกจากจะสนองความตอ้ งการทางจติ ใจคอื เพอ่ื ความสนุกสนานแลว้ ยงั เป็ นสว่ นหน่ึงของชวี ติ เด็ก ขณะทเี่ ด็กเลน่ จะเกดิ การเรยี นรู ้ และพฒั นาความคดิ ไปพรอ้ มกนั ดว้ ย นอกจากนีย้ งั มี สานักงานการศกึ ษาทอ้ งถนิ่ กระทรวงมหาดไทย (2532 : 18) ไดก้ ลา่ ววา่ การเลน่ คอื ธรรมชาตขิ องเด็กวยั นีท้ กุ คน การเลน่ มอี ทิ ธพิ ลตอ่ การเจรญิ เตบิ โตทกุ ดา้ น เพราะการเลน่ เป็ นประสบการณต์ รง ทาใหเ้ ด็กไดเ้ รยี นรู ้ รบั รู ้ ปรบั ตวั และเปลย่ี นแปลงความคดิ ความเขา้ ใจ และ คณะกรรมการการประถมศกึ ษาแห่งชาติ (2541 : 7) กลา่ วไวเ้ ชน่ เดยี วกนั วา่ การเลน่ เป็ นกจิ กรรมทสี่ าคญั ในชวี ติ เด็กทกุ คน เด็กจะรสู ้ กึ สนุกสนาน เพลดิ เพลนิ ไดส้ งั เกต ไดม้ โี อกาสทดลอง สรา้ งสรรคค์ ดิ แกป้ ัญหาและคน้ พบดว้ ยตนเอง การเลน่ มอี ทิ ธพิ ลและมผี ลตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของเด็ก ชว่ ยพฒั นาทงั้ ดา้ นรา่ งกาย อารมณ์ จติ ใจ สงั คม และสตปิ ัญญา นักการศกึ ษาชาวตา่ งประเทศก็ไดใ้ หค้ วามหมายของการเลน่ ไวเ้ ชน่ เดยี วกนั คอื เฮอรล์ อค (Hurlock, 1956 : 321) กลา่ ววา่ การเลน่ เป็ นกจิ กรรมทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ ความเพลดิ เพลนิ สนุกสนาน โดยไม่คานึงถงึ ผลทเี่ กดิ ขนึ้ และมกั เป็ นกจิ กรรมทบ่ี ุคคลกระทาโดยไม่ถกู บงั คบั แมค (Mack, 1975) การเลน่ เป็ นกจิ กรรมทจี่ ะชว่ ยใหผ้ เู้ ลน่ สามารถปรบั ตวั เขา้ กบั สง่ิ แวดลอ้ ม การเลน่ ของเด็กเปรยี บไดก้ บั การทางานของผูใ้ หญ่ ตา่ งกนั ตรงทก่ี ารเลน่ ของเด็กไมม่ งุ่ หวงั สง่ิ ใดสงิ่ หน่ึงเมอ่ื สนิ้ สดุ การเลน่ นอกจากเป็ นความพงึ พอใจตามธรรมชาติ เพยี เจท ์ (Piaget, 1962) ไดก้ ลา่ ววา่ การเลน่ เป็ นกจิ กรรมในการพกั ผอ่ น เกดิ ความสนุกสนานเพลดิ เพลนิ ทไี่ ม่ไดม้ ่งุ เนน้ การแขง่ ขนั เพยี งอยา่ งเดยี ว แตค่ วรคานึงถงึ วา่ เมอื่ เด็กเลน่ แลว้ ไดป้ ระโยชน์ รจู ้ กั คดิ รจู ้ กั แกป้ ัญหา ใหอ้ ภยั และเสยี สละ ตลอดจนมปี ฏสิ มั พนั ธ ์ ไดท้ างานรว่ มกนั เพอื่ การพฒั นาดา้ นรา่ งกาย อารมณ์ สงั คม และสตปิ ัญญา มารก์ าเรต็ โลเวนเฟลด ์ (Margaret loventfeld, 1977 : 100, อา้ งถงึ ใน เยาวพา เดชะคปุ ต,์
2542 : 21) ไดก้ ลา่ วถงึ ความหมายของการเลน่ ของเดก็ ปฐมวยั เอาไวใ้ นหนังสอื ชอ่ื “Play in Childhood” วา่ 1. การเลน่ คอื การกระทากจิ กรรมทางรา่ งกาย (Play as a Bodily Activity) 2. การเลน่ คอื การไดร้ บั ประสบการณซ์ า้ (Play as Repetition of Experience) 3. การเลน่ คอื การแสดงออกซงึ่ ความเพอ้ ฝัน (Play as Demonstration of Fantasy) 4. การเลน่ คอื การเขา้ ใจถงึ สง่ิ แวดลอ้ ม (Play as Realization of Environment) 5. การเลน่ คอื การเตรยี มการเพอ่ื ชวี ติ (Play as Preparation for Life) รดู อลฟ์ (Rudolph, 1984 : 96) กลา่ ววา่ การเลน่ เป็ นกระบวนการของการพฒั นาทง้ั 4 ดา้ นของเด็ก คอื ดา้ นรา่ งกาย จติ ใจ สงั คม และสตปิ ัญญา ซง่ึ การเลน่ นีม้ อี งคป์ ระกอบ 3 ประการดงั นี้ 1. การเลน่ นาไปสกู่ ารคน้ พบเหตผุ ลและความคดิ 2. การเลน่ เป็ นการเชอ่ื มโยงระหวา่ งเด็กกบั สงั คม 3. การเลน่ เป็ นการนาเด็กไปสคู่ วามสมดลุ ในสงั คม กอรด์ อน และ โบรวน์ ี (Gordon and Browne, 1995) กลา่ ววา่ การเลน่ เป็ นหวั ใจสาคญั ของ การเรยี นรู ้ เด็กจะแสดงความหมายตา่ ง ๆ ผ่านการเลน่ ครจู งึ สามารถวางแผนใชก้ ารเลน่ ของเด็กเป็ นการเรยี นรไู ้ ดด้ ว้ ยการเปลย่ี นแปลงความสนุกสนานทเี่ กดิ ขนึ้ ใหก้ ลายเป็ นประสบการณก์ ารเรยี นรู ้ ฮารท์ เลย ์ แฟรงค ์ และโกลเดนซนั (Hartlery, Frank and Goldenson, 1952, อา้ งถงึ ใน ประภาพรรณ เอยี่ มสภุ าษิต, 2542 : 119) ไดก้ ลา่ วถงึ ความหมายของการเลน่ ไวด้ งั นี้ 1. การเลน่ เป็ นการลอกเลยี นแบบผใู้ หญ่ 2. การเลน่ เป็ นการแสดงสภาพชวี ติ จรงิ 3. การเลน่ เป็ นการสะทอ้ นใหเ้ ห็นถงึ ผลปฏสิ มั พนั ธ ์ และประสบการณข์ องเด็กในสงั คม 4. การเลน่ เป็ นการผ่อนคลายความตงึ เครยี ดของเด็กทสี่ งั คมไม่ยอมรบั 5. การเลน่ เป็ นการแสดงออกตามความตอ้ งการของเด็ก 6. การเลน่ เป็ นการแสดงบทบาทสมมติ 7. การเลน่ เป็ นกระจกเงาสะทอ้ นใหเ้ ห็นถงึ ความเจรญิ เตบิ โตของเด็ก 8. การเลน่ เป็ นการแกป้ ัญหาและลองใชว้ ธิ กี ารแกป้ ัญหาเหลา่ น้ัน จากความหมายของการเลน่ ดงั กลา่ วขา้ งตน้ พอสรปุ ไดว้ า่ การเลน่ หมายถงึ ประสบการณ์ และกจิ กรรมทกุ ชนิดทเ่ี กดิ ขนึ้ ดว้ ยความสมคั รใจของเด็ก ทน่ี อกจากจะใหค้ วามสนุกสนานแลว้ ยงั เป็ นประสบการณก์ ารเรยี นรู ้ ซง่ึ เป็ นการชว่ ยใหเ้ ด็กไดพ้ ฒั นาทกั ษะและการสรา้ งความสมั พนั ธใ์ นทางสงั คม เรยี นรทู ้ จี่ ะปรบั ตวั เขา้ กบั สงิ่ แวดลอ้ ม เรยี นรทู ้ จ่ี ะใชว้ สั ดเุ ครอื่ งมอื ตา่ ง ๆ
รจู ้ กั หนา้ ทขี่ องตนเอง นอกจากนีย้ งั สามารถชว่ ยสรา้ งเสรมิ กระบวนการพฒั นาการดา้ นตา่ ง ๆ ทง้ั 4 ดา้ น ใหเ้ ด็กไดอ้ ยา่ งเหมาะสมอกี ดว้ ย 1. 2. กกกกกกกกกกกกกกกกกกก ความสาคญั ของการเลน่ นั้นมผี ูศ้ กึ ษาคน้ ควา้ และไดใ้ หค้ วามหมายไวม้ ากมาย ดงั เชน่ เพยี เจท ์ (Piaget, อา้ งถงึ ใน เยาวพา เดชะคปุ ต,์ 2542 : 22) ไดก้ ลา่ วถงึ ความสาคญั ของ การเลน่ วา่ การเลน่ จะมคี วามสาคญั ตอ่ พฒั นาการทางสตปิ ัญญาจากการเลน่ เด็กจะสามารถแยกแยะสง่ิ ตา่ ง ๆ จากสงิ่ เรา้ ได ้ และขณะทเี่ ด็กตอบสนองสงิ่ เรา้ เขาจะสามารถรบั รสู ้ งิ่ ตา่ ง ๆ เขา้ มาในสมอง เพยี เจทย์ งั ไดพ้ ดู ถงึ การเลน่ เอาไว ้ 3 ประการคอื 1. บทบาทของการเลน่ คอื การระบายอารมณ์ 2. การเลน่ ชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจถงึ สงิ่ ทเ่ี ป็ นนามธรรม 3. การเลน่ เป็ นการเรยี นรทู ้ างสงั คม รบู นิ และ คณะ (Rubin and Other, 1983) ไดก้ ลา่ วถงึ ความสาคญั ของการเลน่ ไวด้ งั นี้ 1. การเลน่ เป็ นความสมั พนั ธท์ เ่ี ด็กกาหนดขนึ้ ดว้ ยตนเอง โดยมอี สิ ระจากกฏเกณฑ ์ 2. การเลน่ เป็ นสง่ิ สาคญั และควบคมุ โดยเด็ก 3. การเลน่ เป็ นกจิ กรรมของชวี ติ จรงิ ทส่ี ามารถทาไดต้ ลอดเวลา 4. การเลน่ มคี วามสาคญั ทกี่ ระบวนการของกจิ กรรมมากกวา่ ผลทไ่ี ดจ้ ากการเลน่ 5. การเลน่ ตอ้ งมปี ฏสิ มั พนั ธแ์ ละการรว่ มมอื กนั ของเด็ก หรรษา นิลวเิ ชยี ร (2534 : 114 – 116) ไดก้ ลา่ วไวว้ า่ การเลน่ เป็ นสว่ นสาคญั ของ ชวี ติ เด็กเล็ก และมคี ณุ คา่ ตอ่ การพฒั นาทง้ั ทางดา้ นรา่ งกาย อารมณ์ สงั คม และสตปิ ัญญา และการเลน่ ของเด็กจะมผี ลตอ่ พฒั นาการมากนอ้ ยเพยี งไร ขนึ้ อยู่กบั ความรบั ผดิ ชอบของผใู้ หญ่ ซงึ่ หมายถงึ ครู พ่อ และแม่ ทจี่ ะตอ้ งเขา้ ไปมสี ว่ นรว่ มในการชว่ ยเหลอื ดว้ ย สรวงธร นาวาผล (2542 : 5) และ เกษลดา มานะจตุ ิ (2529 : 2 – 3) ไดก้ ลา่ วถงึ ความสาคญั ของการเลน่ ไวค้ ลา้ ยคลงึ กนั ซงึ่ พอสรปุ ไดว้ า่ การเลน่ ชว่ ยใหเ้ ด็กเกดิ การพฒั นาดา้ นตา่ ง ๆ ตวั อยา่ งเชน่ ดา้ นรา่ งกาย จะชว่ ยใหเ้ ด็กมรี า่ งกายแข็งแรง
สมบรู ณ์ เพม่ิ ทกั ษะการใชก้ ลา้ มเนือ้ ตา่ ง ๆ ดา้ นอารมณจ์ ะชว่ ยใหเ้ ด็กเป็ นผมู้ อี ารมณแ์ จม่ ใส เบกิ บาน สนุกสนาน ดา้ นสงั คมจะชว่ ยเสรมิ สรา้ งใหเ้ ด็กเป็ นผูม้ คี วามเชอื่ มน่ั ในตนเอง กลา้ แสดงออก สามารถรว่ มเลน่ กบั เพอื่ นไดอ้ ยา่ งสรา้ งสรรค ์ และมปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั ผูอ้ นื่ ทาใหเ้ ป็ นผูท้ ป่ี รบั ตวั เขา้ กบั สงิ่ แวดลอ้ มไดง้ า่ ย มที กั ษะในการสอ่ื สาร ดา้ นสตปิ ัญญาจะชว่ ยฝึ กใหเ้ ด็กรจู ้ กั คดิ ทงั้ ดา้ นการคดิ อยา่ งมเี หตผุ ล การคดิ อยา่ งสรา้ งสรรคแ์ ละจนิ ตนาการ สามารถรจู ้ กั วางแผน รจู ้ กั แกป้ ัญหา มนี า้ ใจ มคี วามอดทน เป็ นการปลกู ฝังจรยิ ธรรม คณุ ธรรมใหแ้ กเ่ ด็กดว้ ย เชรษิ า ใจแผว้ (2532 : 49) ยงั ไดก้ ล่าวถงึ ความสาคญั ของการเลน่ วา่ การเลน่ ของเด็กเป็ นกจิ กรรมทส่ี นองความตอ้ งการเด็กในวยั นั้น ๆ เด็กไดร้ บั ความสนุกสนาน เพลดิ เพลนิ ดงั นั้นจงึ มคี วามสาคญั เทา่ ๆ กบั การทางานของผูใ้ หญใ่ นแตล่ ะวนั ชวี ติ ของเด็กจะมคี วามสขุ และมคี ณุ คา่ เมอ่ื เด็กไดเ้ ลน่ และใชป้ ระสาทสมั ผสั ทงั้ หา้ ชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจสง่ิ ตา่ ง ๆ ไดด้ ขี นึ้ และมปี ระสบการณม์ ากยงิ่ ขนึ้ เพราะการเลน่ กบั สอื่ การเรยี นรทู ้ เ่ี หมาะสมกบั วฒุ ภิ าวะของเด็กแตล่ ะวยั นอกจากนี้ หรรษา นิลวเิ ชยี ร (2535 : 85 – 86) ไดส้ รปุ ถงึ คณุ คา่ ของการเลน่ ไวด้ งั นี้ 1. การเลน่ เป็ นสว่ นสาคญั ของชวี ติ เด็กเล็กและมคี ุณคา่ ตอ่ การพฒั นาทงั้ ทางดา้ น รา่ งกาย อารมณ์ สงั คม และสตปิ ัญญา 1. การเลน่ ชว่ ยสรา้ งบรรยากาศของความเป็ นอนั หน่ึงอนั เดยี วกนั ในขณะทเ่ี ด็กเลน่ ดว้ ยกนั เด็กจะเรยี นรกู ้ ารแบ่งปัน การเลน่ ดว้ ยกนั กบั เพอ่ื น ๆ เรยี นรกู ้ ารระวงั รกั ษาของเลน่ กบั เพอ่ื นและเรยี นรกู ้ ารเขา้ สงั คม 1. การเลน่ ทาใหเ้ ด็กเรยี นรกู ้ ารรจู ้ กั ดดั แปลง คดิ ยดื หยนุ่ เชน่ การใชก้ า้ นกลว้ ยสมมติ เป็ นมา้ เป็ นตน้ 1. การเลน่ เป็ นการใหเ้ ด็กเรยี นรกู ้ ารรอคอย ฝึ กความอดทน ซง่ึ จะเป็ นลกั ษณะนิสยั ทตี่ ดิ ตวั และเป็ นประโยชนต์ อ่ เด็กในอนาคต 1. การเลน่ เกย่ี วกบั บทบาทตา่ ง ๆ ของบคุ คลในชมุ ชน ทาใหเ้ ด็กเรยี นรเู ้ กยี่ วกบั อาชพี ตา่ ง ๆ รวมถงึ การเรยี นรเู ้ กยี่ วกบั สงั คม ซง่ึ จะมผี ลทาใหเ้ ด็กคดิ ถงึ อนาคตและบทบาทของบคุ คลตา่ ง ๆ ในสงั คม 1. การเลน่ ชว่ ยใหเ้ ด็กเรยี นรแู ้ ละพฒั นาความรสู ้ กึ เห็นอกเห็นใจผูอ้ น่ื โดยเฉพาะ อยา่ งยงิ่ ในขณะทเ่ี ลน่ สวมบทบาทผอู้ น่ื เด็กจะเรม่ิ เขา้ ใจวา่ คนอน่ื รสู ้ กึ อยา่ งไรเมอ่ื มคี วามทกุ ขห์ รอื ความสขุ 1. การเลน่ สมมตจิ ะชว่ ยใหเ้ ด็กฝึ กจนิ ตนาการและความคดิ สรา้ งสรรค ์ เด็กจะสรา้ ง ภาพพจนเ์ รอื่ งราวตา่ ง ๆ แมแ้ ตเ่ รอ่ื งในใจของตนเอง เด็กจะฝึ กเลยี นเสยี งธรรมชาติ เสยี งสตั ว ์ เสยี งพูด ตลอดจนการเคลอ่ื นไหวของคนและสตั ว ์ เด็กจะคน้ ควา้ หาวธิ กี ารใหม่ ๆ เด็กจะเรยี นรสู ้ ง่ิ แวดลอ้ มและเรยี นรทู ้ จี่ ะแยกออกวา่ อะไรเป็ นความจรงิ และอะไรเป็ นความฝัน
สานักงานการประถมศกึ ษาแห่งชาติ (2534 : 12 – 14) ไดก้ ลา่ ววา่ การเลน่ มคี วามสาคญั ตอ่ พฒั นาการและการเรยี นรขู ้ องเด็กปฐมวยั ดงั นี้ 1. เป็ นการตอบสนองพฒั นาการทางอารมณข์ องเด็ก เพราะในขณะทเ่ี ลน่ เด็กจะแสดงออกไดอ้ ยา่ งเต็มท่ี มคี วามสดชนื่ สนุกสนาน เบกิ บาน ทาใหเ้ ด็กรสู ้ กึ เป็ นสขุ เพราะไดเ้ ลน่ ตามทตี่ นเองตอ้ งการ ไดเ้ คลอื่ นไหวอยา่ งอสิ ระ ซงึ่ จะชว่ ยใหเ้ ด็กลดความตงึ เครยี ดทางดา้ นจติ ใจและชว่ ยใหเ้ กดิ ความแจม่ ใส 2. เป็ นการตอบสนองความตอ้ งการของเด็กในหลาย ๆ ดา้ น เชน่ ดา้ นความอยากรอู ้ ยากเห็น ซง่ึ เด็กแสดงออกโดยการทดลอง หยบิ จบั สารวจ เขยา่ ฟังเสยี ง หรอื ขวา้ งปา ดา้ นความตอ้ งการทางรา่ งกาย ความตอ้ งการทางจติ ใจ และเป็ นการทดแทนความตอ้ งการของเด็กซง่ึ เด็กแสดงออกโดยการเลน่ สมมติ 3. เป็ นการเรยี นรขู ้ องเด็กทจี่ ะชว่ ยใหเ้ ด็กไดเ้ รยี นรใู ้ นสงิ่ ตา่ ง ๆ ทอี่ ยรู่ อบ ๆ ตวั เชน่ เรยี นรเู ้ รอ่ื ง ขนาด นา้ หนัก สี รปู รา่ ง ความเหมอื น ความแตกตา่ ง เรยี นรเู ้ กย่ี วกบั ตนเอง เชน่ รวู ้ า่ ชอบหรอื ไมช่ อบทาอะไร ทาสง่ิ ใดไดห้ รอื ไมไ่ ด ้ เรยี นรูเ้ กย่ี วกบั การอยรู่ ว่ มกบั ผูอ้ นื่ เชน่ การผลดั เปลย่ี นกนั เลน่ การรอคอย การแบ่งบนั การตดั สนิ ปัญหาตา่ ง ๆ และเรยี นรถู ้ งึ หนา้ ทแ่ี ละความรบั ผดิ ชอบของตนทมี่ ตี อ่ ชมุ ชน เชน่ หนา้ ทขี่ องพอ่ แม่ ลกู ตารวจ กานัน หมอ ซงึ่ เด็กจะเรยี นรไู ้ ดม้ ากจากการเลน่ สมมตแิ ละจากการสงั เกต 4. ชว่ ยพฒั นาคณุ สมบตั หิ ลายประการทจี่ ะชว่ ยใหเ้ ด็กไดร้ บั ความสาเรจ็ ในการทางานเมอื่ เด็ก เตบิ โตขนึ้ เป็ นผใู้ หญ่ ฉะน้ัน ทกั ษะทเ่ี ด็กไดร้ บั จากการเลน่ จะเป็ นพนื้ ฐานในการทางานของเด็กในอนาคต เพราะขณะทเี่ ด็กเลน่ เด็กจะมโี อกาสไดเ้ รยี นรถู ้ งึ ภารกจิ และหนา้ ทขี่ องการเป็ นผใู้ หญ่ เป็ นการฝึ กนิสยั ในเรอ่ื งรกั การทางาน มคี วามรบั ผดิ ชอบและการรจู ้ กั ใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ ป็ นประโยชน์ 5. เป็ นการเตรยี มชวี ติ ของเด็ก เป็ นการฝึ กใหเ้ ด็กรจู ้ กั หนา้ ท่ี ทตี่ นเองตอ้ งทาในอนาคต ฝึ กการพงึ่ ตนเอง การเออื้ เฟื้อเผอื่ แผ่ การแบ่งปัน การเป็ นผูน้ าและผตู้ ามทด่ี ี 6. เพอื่ ใหม้ ที ศั นคตทิ ดี่ ตี อ่ การออกกาลงั กาย และเพอื่ เป็ นแนวทางในการทจี่ ะไปเลน่ กฬี าประเภทอนื่ ๆ ตอ่ ไป 7. ชว่ ยพฒั นาเด็กในทกุ ๆ ดา้ น คอื ดา้ นรา่ งกาย การเลน่ เป็ นการใชพ้ ลงั งานสว่ นเกนิ ในรา่ งกายของเด็กเป็ นการฝึ กกลา้ มเนือ้ ใหท้ างานประสานกนั อยา่ งมปี ระสิ ทธภิ าพ ดา้ นอารมณแ์ ละจติ ใจ การเลน่ จะชว่ ยใหเ้ ด็กเกดิ พฒั นาการทางอารมณแ์ ละจติ ใจใหม้ น่ั คงแข็งแรง รจู ้ กั ปรบั อารมณใ์ หเ้ ขา้ กบั ภาวะแวดลอ้ ม และการเลน่ จะชว่ ยลดความคบั ขอ้ งใจของเด็ก
ดา้ นสงั คม การเลน่ จะชว่ ยใหเ้ ด็กพฒั นาการดา้ นความสมั พนั ธก์ บั บุคคลอนื่ เป็ นการเรยี นรทู ้ จี่ ะอยรู่ วมกลมุ่ รจู ้ กั บทบาทของสมาชกิ ในกลมุ่ ฝึ กการสมาคม และฝึ กเด็กในเรอื่ งของการปรบั ตวั ดา้ นสตปิ ัญญา การเลน่ ถอื วา่ เป็ นการฝึ กการเรยี นรดู ้ ว้ ยตนเองของเด็กเป็ นการฝึ กในเรอ่ื งการคดิ และสง่ เสรมิ จติ นาการของเด็ก ดงั น้ันสรปุ ไดว้ า่ การเลน่ มคี วามสาคญั ตอ่ พฒั นาการของเด็กเป็ นอยา่ งมาก ไม่วา่ จะเป็ นในดา้ นการเตรยี มประสบการณเ์ พอื่ การอยใู่ นสงั คมอยา่ งมคี วามสขุ ความสนุกสนานเพลดิ เพลนิ นอกจากนีก้ ารสรา้ งและแสดงออกทางจนิ ตนาการอนั เป็ นหวั ใจสาคญั ของกจิ กรรมทางความคดิ ของเด็กทม่ี อี ย่ างมากมายใหเ้ ด็กไดเ้ ลอื กเลน่ อยา่ งไม่รจู ้ กั จบสนิ้ ซง่ึ กลา่ วไดว้ า่ การเลน่ เป็ นการเปิ ดโอกาสใหเ้ ด็กไดพ้ ฒั นาทงั้ ทางดา้ นรา่ งกาย อารมณ์ สงั คม และสตปิ ัญญา 3. กกกกกกกกกกกกกกกกกกก การเลน่ ทาใหเ้ ด็กไดม้ โี อกาสทจี่ ะอธบิ ายหรอื แสดงออกถงึ จดุ มุ่งหมาย และความตอ้ งการของตนเอง ไดเ้ รยี นรู ้ รบั รคู ้ วามรสู ้ กึ ของผูอ้ นื่ เรยี นรสู ้ ง่ิ แวดลอ้ ม เรยี นรคู ้ วามเป็ นอยขู่ องผูอ้ นื่ ชว่ ยสรา้ งความสมั พนั ธก์ ารอยรู่ ว่ มกบั ผอู้ น่ื และธรรมชาตริ อบตวั เป็ นการแสดงออกของพฤตกิ รรมการเรยี นรู ้ ครจู งึ ไม่ควรมองขา้ มการเลน่ ของเด็กและ สามารถนามาใชใ้ นการเรยี นการสอนได ้ หรรษา นิลวเิ ชยี ร (2534 : 87 – 95) กลา่ ววา่ ทฤษฎกี ารเลน่ สามารถแบง่ ออกเป็ น 4 ทฤษฎี (Mitchell & Mason, 1984, Ellis, 1973) คอื 1. ทฤษฎคี ลาสสคิ (Classical Theories) ทฤษฎนี ีเ้ กย่ี วขอ้ งกบั สาเหตแุ ละผลของการเลน่ ประกอบดว้ ยทฤษฎตี า่ ง ๆ ดงั นี้ 1.1 ทฤษฎพี ลงั งานเหลอื ใช ้ ( The Surplus Energy Theory) ทฤษฎนี ีเ้ ชอื่ วา่ โดย ธรรมชาตแิ ลว้ มนุษยจ์ ะเป็ นผทู ้ มี่ คี วามกระตอื รอื รน้ และสะสมพลงั งานไวใ้ นตวั ถา้ หากมพี ลงั งานทเี่ หลอื จากการใชเ้ พอื่ ดารงชวี ติ พนื้ ฐาน มนุษยก์ ็จะใชไ้ ปในทางบนั เทงิ โดยไมม่ จี ดุ มงุ่ หมาย เมอ่ื ใดทค่ี รสู อนเด็กระดบั อนุบาล เห็นเด็ก ๆ ออกไปวงิ่ เลน่ ในสนามเด็กเลน่ เต็มไปทงั้ สนาม ความคดิ ของทฤษฎนี ีด้ เู หมอื นจะเป็ นจรงิ 1.2 ทฤษฎฝี ึ กหดั (The Pre-Exercise Theory) ทฤษฎนี ีย้ นื ยนั วา่ เด็กเลน่ เพอื่ ฝึ กหดั และทาใหส้ ญั ชาตญาณการอยรู่ อดเป็ นผลสมบูรณเ์ มอื่ เด็กเกดิ มาใหม่ ๆ ประสาทสมั ผสั ตา่ ง ๆ ยงั ไม่สมบรู ณ์ เด็กจงึ ตอ้ งอาศยั การเลน่ เพอื่ เป็ นการทดลองพฒั นาประสาทสมั ผสั อนั จะสง่ ผลตอ่ พฒั นาการทางสตปิ ัญญาแล
ะอารณต์ อ่ ไป การฝึ กหดั และการทดลองจะชว่ ยใหเ้ ด็กพฒั นาทกั ษะทจ่ี าเป็ นตอ่ การอยรู่ อดพอ ๆ กบั ทกั ษะใ นการดารงชวี ติ 1.3 ทฤษฎกี ารทาซา้ (The Recapitulation Theory) ทฤษฎนี ีเ้ ชอ่ื วา่ การเลน่ ของเด็กเป็ นการนากจิ กรรมของบรรพบุรษุ ของตนมาแสดงใหมอ่ กี ครง้ั หน่ึง เชน่ การเลน่ นา้ ขดุ ดิ น ปี นตน้ ไม้ พฤตกิ รรมการเลน่ ของเด็กพฒั นาไปคลา้ ยกบั ขนั้ การพฒั นาทางวฒั นธรรมของมนุษย ์ การเลน่ จะชว่ ยใหเ้ ด็กลบลา้ งพฤตกิ รรทไ่ี มพ่ งึ ประสงคข์ องมนุษยอ์ อกไป การเลน่ เป็ นการเตรยี มตวั เด็กใหก้ า้ วไปสกู่ จิ กรรมทท่ี นั สมยั ซง่ึ ทนั กบั โลกทเี่ จรญิ กา้ วหนา้ 1.4 ทฤษฎนี ันทนาการ (The Recreation Theory) ทฤษฎนี ีจ้ ะตรงกนั ขา้ มกบั ทฤษฎพี ลงั งานเหลอื ใช ้ ขณะทที่ ฤษฎพี ลงั งานเหลอื ใชก้ ลา่ ววา่ คนเรามพี ลงั งานเหลอื ใช ้ และตอ้ งการทจี่ ะกาจดั สว่ นเกนิ ทงิ้ ไป ทฤษฎนี ันทนาการแนะนาวา่ พลงั งานของคนเราสนิ้ เปลอื งหมดไป จะตอ้ งหาวธิ สี ะสมไว ้ การทางานจะทาใหส้ ญู เสยี พลงั ทางรา่ งกายและจติ ใจ การเลน่ จะทาใหส้ ดชนื่ และเรยี กพลงั งานใหก้ ลบั คนื มา เพอื่ จะไดเ้ รม่ิ ทางานใหม่ 1.5 ทฤษฎกี ารพกั ผ่อน (The Relaxation Theory) ทฤษฎนี ีเ้ ป็ นสว่ นขยายของทฤษฎนี ันทนาการ ซง่ึ กลา่ วถงึ ภารกจิ ของประชาชนในปัจจบุ นั วา่ ประสบกบั ความเมอ่ื ยลา้ เหน็ดเหน่ือยจากการทางานทงั้ ทางสมองและกลา้ มเนือ้ จงึ ควรมกี จิ กรรมการเลน่ เพอ่ื ผอ่ นคลายความเครยี ด โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การเลน่ ทต่ี อ้ งใชก้ ลา้ มเนือ้ ใหญ่ แนวคดิ นีม้ คี วามสาคญั อยา่ งมากตอ่ ประสบการณเ์ บอื้ งตน้ ของเด็กเพราะการทเ่ี ด็กมี ประสบการณห์ รอื ไมม่ ปี ระสบการณใ์ นการเลน่ นีจ้ ะมผี ลตอ่ ชวี ติ ในอนาคตของเด็ก การทเี่ ด็กไดม้ โี อกาสเลน่ มากก็จะทาใหเ้ ด็กมโี อกาสฝึ กทกั ษะทจ่ี าเป็ นตอ่ ชวี ติ เมอ่ื โตขนึ้ อกี ทง้ั ประสบกาณณเ์ หลา่ นีจ้ ะชว่ ยใหเ้ ด็กสามารทจี่ ะควบคมุ ความสามารถของตนเองและสภาพแวดลอ้ มได ้ ทง้ั จะชว่ ยพฒั นาบคุ ลกิ ภาพและสตปิ ัญญาอกี ดว้ ย และเด็กทข่ี าดประสบการณใ์ นการเลน่ ก็จะขาดทกั ษะตา่ ง ๆ ทจ่ี าเป็ นไป 1. ทฤษฎจี ติ วเิ คราะห ์ (Psychoanalytical Theories) ทฤษฎจี ติ วเิ คราะหข์ องฟรอยด ์ (Freud) อรี คิ สนั (Erikson) และ เพลเลอร ์ (Peller) ไดอ้ ธบิ ายวา่ การเลน่ จะถกู นาไปโยงกบั ความเป็ นผูใ้ หญภ่ ายในตวั เด็ก เมอ่ื เด็กเผชญิ กบั สถานการณท์ ยี่ ากเกนิ ควบคมุ เด็กจะสรา้ งเรอื่ งราวสมมตขิ นึ้ โดยการเลน่ ทใ่ี ชจ้ นิ ตนาการความคดิ ฝันและเลน่ ซา้ ๆ หลายครงั้ เพลเลอร ์(Peller, 1959) กลา่ ววา่ การเลน่ เป็ นการเกบ็ รวบรวมกระบวนการทตี่ อ้ งเผชญิ กบั ความคบั ขอ้ งใจ ความกงั วล ความผดิ หวงั ทเี่ กดิ ขนึ้ ในชวี ติ ประจาวนั ซง่ึ กระบวนการนีเ้ ป็ นกระบวนการทเี่ ป็ นไปอยา่ งชา้ ๆ และม่นั คง การเลน่ ชว่ ยใหเ้ ด็กเรยี นวธิ กี ารควบคมุ ตวั เอง โดยไม่ตอ้ งสญู เสยี ความรสู ้ กึ ทด่ี เี กยี่ วกบั ตนเอง (Freud, 1965) ตามความคดิ ของฟรอยด ์ การเลน่ เป็ นทางออกใหเ้ ด็กไดแ้ สดงความรสู ้ กึ อรี คิ สนั (Erikson, 1963) เชอื่ วา่ การเลน่ ชว่ ยใหเ้ ด็กไดฝ้ ึ กหดั ทดลอง และเรยี นรู ้
สถานการณข์ องการเป็ นผูใ้ หญ่ การเลน่ เป็ นกระบวนการตอ่ เนื่องของความสมั พนั ธข์ องความจรงิ ทางดา้ นจติ ใจและสงั คม ความคดิ ของฟรอยดแ์ ละอรี คิ สนั เด็กจะมพี ฒั นาการทางการเลน่ ไปตามขน้ั ตอนดงั นี้ 1. ระยะรา่ งกายไปหาของเลน่ (Autocosmic) เป็ นระยะทเี่ ด็กมคี วามสขุ จากการไดส้ มั ผสั รา่ งกายของตนเองหรอื มารดา 2. ระยะของเลน่ ไปสกู่ ารเลน่ (Microsphere) เป็ นชว่ งทเี่ ด็กสรา้ งโลกของตนเองโดยการเลน่ สมมตกิ บั ของเลน่ ขนาดเล็ก เชน่ ตกุ๊ ตา บา้ น ฯลฯ 3. ระยะการเลน่ ไปสกู่ ารทางาน (Macrosphere) เด็กจะมพี ฤตกิ รรมการเลน่ สมมตติ วั เองในบทบาทอาชพี ตา่ ง ๆ เชน่ พมิ พด์ ดี รบั โทรศพั ท ์ ทาครวั เป็ นตน้ เป็ นการเลน่ ทเี่ ด็กไดส้ รา้ งโลกของการทางานรว่ มกบั ผูอ้ นื่ 1. ทฤษฎพี ฒั นาการสตปิ ัญญา (Cognitive-developmental Theories) เพยี เจท ์ (Piaget) ผูน้ าทางทฤษฎสี ตปิ ัญญากลา่ ววา่ การเลน่ เกดิ ขนึ้ ภายในจติ ใจของเด็ก และเป็ นผลจากสถานภาพของการพฒั นาดา้ นสตปิ ัญญา การเลน่ ของเด็กเรมิ่ ตง้ั แต่แรกเกดิ ในวยั ทารกเด็กจะเลยี นแบบและกริ ยิ าจากบุคคลหรอื สตั วจ์ ากสง่ิ แวดลอ้ มรอบตวั และจะคอ่ ย ๆ พฒั นาเป็ นการเลน่ สามรปู แบบดว้ ยกนั คอื การเลน่ ฝึ ก (Practice Play) จะเรม่ิ ตงั้ แตเ่ ด็กอยใู่ นขนั้ การใชป้ ระสาทสมั ผสั และเมอ่ื เด็กอายปุ ระมาณ 2 ขวบจะเรม่ิ การเลน่ โดยใชส้ ญั ลกั ษณ์ (Symbolic Play) และจะพฒั นาไปเป็ นการเลน่ ทมี่ กี ฎกตกิ า (Games with Pules) เพยี เจท ์ ยงั กลา่ วอกี วา่ การเลน่ เกมทม่ี กี ฎและกตกิ านั้น จะเกดิ ขนึ้ ตลอดชว่ งอายขุ องคน 1. ทฤษฎสี ง่ิ แวดลอ้ ม (Ecological Theories) ทฤษฎสี ง่ิ แวดลอ้ มกลา่ วถงึ โครงสรา้ ง และสถานการณท์ ที่ าใหก้ ารเลน่ ของเด็ก แตกตา่ งกนั ไป ซง่ึ หมายถงึ สงิ่ เรา้ ทท่ี าใหเ้ ด็กเกดิ ความสนใจ เชน่ ชนิดของวตั ถุ หรอื ชนิดของกจิ กรรมการเลน่ รวมไปถงึ เพศของเพอื่ นเลน่ ตลอดจนการควบคมุ ของผูใ้ หญด่ ว้ ย (หรรษา นิลวเิ ชยี ร, 2534 : 87 – 95) จากทศั นะและแนวคดิ ของนักการศกึ ษาทก่ี ลา่ วถงึ ทฤษฎกี ารเลน่ จะเห็นไดว้ า่ การเลน่ เป็ นสง่ิ ทเี่ ด็กขาดไมไ่ ด ้ เป็ นกระบวนการเรยี นรขู ้ องเด็กในทกุ สถานการณ์ เป็ นการแสดงออกถงึ ความพงึ พอใจในขณะเลน่ ไม่วา่ จะเลน่ กลางแจง้ หรอื เลน่ ในรม่ เด็กสามารถเลน่ ดว้ ยกนั ไดท้ ง้ั ชายและหญงิ ครคู วรคานึงถงึ พฒั นาการในแตล่ ะชว่ งวยั ของเด็กโดยเลอื กจดั ประสบการณก์ ารเลน่ ใหส้ อดคลอ้ งกบั ระดบั ขนั้ ของพฒั นาการ เพอื่ พฒั นาเด็กใหเ้ กดิ การเรยี นรไู ้ ดม้ ากทส่ี ดุ
4. กกกกกกกกกกกกกกกก การเลน่ ของเด็กมคี วามแตกตา่ งกนั ไปในแตล่ ะวนั เวลา และแตล่ ะบุคคล ตามสภาพการและความพอใจของเด็ก ทง้ั นีเ้ น่ืองจากการเลน่ แตล่ ะชนิดใหค้ วามสนใจหรอื ดงึ ดดู ใจเด็กแตกต่ างกนั บางครงั้ ก็ชอบดคู นอน่ื เลน่ หรอื บางครง้ั กช็ อบเลน่ กจิ กรรมทรี่ ว่ มมอื กบั คนอนื่ ๆ มกี ารผลดั เปลย่ี นวตั ถกุ นั เลน่ เด็กแตล่ ะคนมโี อกาสเลน่ ในแบบตา่ ง ๆ กนั ดงั ที่ ศรเี รอื น แกว้ กงั วาล (2545 : 211 – 213) ไดส้ รปุ ประเภทของการเลน่ ไว ้ 7 ประเภทดงั ตอ่ ไปนี้ 1. เลน่ คนเดยี ว เด็กเลน่ คนเดยี วกบั ของเลน่ เชน่ เลน่ กบั ตกุ๊ ตา เลน่ ตดั กระดาษ เลน่ สมมติ ฯลฯ 2. เลน่ สมมติ โลกของการเลน่ สมมตเิ ป็ นการเลน่ ทโี่ ดดเดน่ มากของเด็กวยั เด็กตอนตน้ สาหรบั เด็ก การเลน่ ชนิดนีเ้ ป็ นโลกแหง่ ความจรงิ เด็กมกั ลอกเลยี นโลกสมมตจิ ากเรอื่ งราวในชวี ติ จรงิ ทไ่ี ดพ้ บเห็น เชน่ เป็ นครู นักเรยี น พอ่ แม่ ทากบั ขา้ ว ฯลฯ หรอื บางครงั้ ก็ลอกเลยี นจากเรอ่ื งราวทตี่ นไดย้ นิ ไดฟ้ ังจากนิทาน 3. เลน่ เชงิ สงั คม ไดแ้ ก่ การเลน่ ทมี่ เี ด็กตงั้ แต่ 2 คนขนึ้ ไป การเลน่ เชงิ สงั คมอาจรวม การเลน่ ประเภทอนื่ ๆ ดว้ ย (ยกเวน้ การเลน่ คนเดยี ว) เชน่ เลน่ กระโดดเชอื ก เลน่ ซอ่ นหา เลน่ อตี กั เลน่ มอญซอ่ นผา้ ฯลฯ 4. เลน่ -ดูผอู้ น่ื เลน่ เด็กดผู อู้ นื่ เลน่ โดยไม่รว่ มเลน่ ดว้ ยแตอ่ าจจะถามคาถาม ใหค้ าแนะนา ฯลฯ การดผู อู้ นื่ เลน่ ไม่คอ่ ยปรากฏบอ่ ยนักในวยั นี้ 5. เลน่ อย่างเดยี วกนั ในทเี่ ดยี วกนั แตไ่ ม่เลน่ ดว้ ยกนั (ตา่ งคนตา่ งเลน่ ) (Pararell Play) เชน่ เด็ก 2 คน ตา่ งน่ังเลน่ ตกุ๊ ตาของตวั พดู กบั ตุก๊ ตา แตไ่ ม่รว่ มเลน่ ตกุ๊ ตาตวั เดยี วกนั 6. เลน่ รว่ มกนั (Associative Play) เมอื่ เด็กโตขนึ้ เด็กจะชอบเลน่ รว่ มกบั เพอ่ื นมากกวา่ เลน่ คนเดยี ว หรอื เลน่ ดว้ ยกนั แตต่ า่ งคนตา่ งเลน่ เด็กยงั ยอมรบั กตกิ าการเลน่ รว่ มกนั ไม่คอ่ ยได ้ จงึ มกั จะทะเลาะกนั คอ่ นขา้ งบอ่ ยเมอ่ื เลน่ รว่ มกนั แตก่ ารทะเลาะของเด็กเป็ นลกั ษณะชว่ั ครชู่ ว่ั ยาม 7. เลน่ แบบรว่ มมอื กนั (Co-operative Play) เด็กจะรจู ้ กั เลน่ ดว้ ยกนั อยา่ งมกี ฎเกณฑ ์ การเลน่ ทไี่ มซ่ บั ซอ้ น เมอ่ื อายปุ ระมาณ 5 – 6 ขวบ สชุ า จนั ทนเ์ อม (2543 : 85 – 86) ไดก้ ลา่ วไวใ้ นจติ วทิ ยาเด็กวา่ เด็กจะเลน่ อยา่ งไรนั้น ขนึ้ อยกู่ บั อายขุ องเด็กเป็ นส่วนใหญ่ คอื เด็กทมี่ อี ายแุ ตกตา่ งกนั จะเลน่ แตกตา่ งกนั ออกไป ซงึ่ พอสรปุ ไดด้ งั ตอ่ ไปนี้ 1. การเลน่ ทเี่ ป็ นไปตามธรรมชาตแิ ละเป็ นอสิ ระ การเลน่ ดงั กลา่ วจดั เป็ นการเลน่ ทไี่ มม่ กี ฎเ กณฑไ์ ม่เลน่ ประจา และเป็ นการเลน่ คนเดยี วมากกวา่ ทจี่ ะเลน่ กบั เพอ่ื น ๆ
และจะเป็ นการเลน่ ในลกั ษณะของการสารวจ เชน่ การเลน่ ตกุ๊ ตา เด็กจะถอดออก แลว้ ทดลองประกอบใหม่ การเลน่ จะเรม่ิ ซบั ซอ้ นและมกี ฎเกณฑม์ ากขนึ้ ในชว่ งปลายปี ที่ 2 2. การเลน่ แบบสมมติ การเลน่ ชนิดนีเ้ ป็ นการเลน่ กบั วตั ถุ หรอื สถานการณอ์ ยา่ งใด อยา่ งหน่ึง โดยสมมตสิ ง่ิ ทเ่ี ด็กชอบ จดั เป็ นการเลน่ ทตี่ อ้ งใชภ้ าษาและแสดงพฤตกิ รรมตา่ ง ๆ ออกมา ซง่ึ ก ารเลน่ สมมตนิ ีเ้ ด็กคนใดทม่ี คี วามคบั ขอ้ งใจมาก กจ็ ะยง่ิ ชอบการเลน่ แบบนีม้ าก 3. การเลน่ แบบสรา้ งสรรค ์ การเลน่ แบบสรา้ งสรรคเ์ ป็ นสง่ิ ทส่ี าคญั ทส่ี ดุ ในการเลน่ ของเด็ก เมอ่ื เด็กมอี ายุ 5 บนั ทกึ นีเ้ ขยี นท่ี GotoKnow โดย ณัฐพร ตุก๊ ไชยเดช ใน การบรหิ ารจดั การชน้ั เรยี น
Search
Read the Text Version
- 1 - 11
Pages: