ภูมปิ ญั ญาไทย 4 ภาค โดย น.ส.หทยั ชนก คงสมแดน เลขท่ี24 ช้นั ม.5/4
ภมู ปิ ัญญาไทย ภาคเหนอื
รม่ บอ่ สรา้ งนนั้ เป็นสนิ คา้ ท่ีสรา้ งช่ือเสยี งใหแ้ ก่จงั หวดั เชียงใหมม่ าชา้ นานหลายช่วั อายคุ นแลว้ ซ่ึงนกั ท่องเท่ียวท่ี เดนิ ทางไปเท่ียว เชียงใหม่สว่ นใหญ่จะตอ้ งแบง่ เวลาแวะเวียนไปท่ีอาเภอสนั กาแพง เพ่ือชมและเลือกซอื้ รม่ บอ่ สรา้ ง ท่ี“บา้ นบอ่ สรา้ ง”เป็นท่ีระลกึ ตดิ มือกลบั มา ถือเป็นสินคา้ พืน้ เมืองท่ีไดร้ บั ความนิยมอยา่ งมากในหม่นู กั ท่องเท่ียว ทงั้ ชาวไทยและชาวตา่ งประเทศ สาเหตทุ ่ี เรยี กว่ารม่ บอ่ สรา้ งเพราะรม่ นีผ้ ลิตกนั ท่ีบา้ นบอ่ สรา้ ง สมยั ก่อนชาวบา้ นจะ ทารม่ กนั ใตถ้ นุ บา้ น แลว้ นาออกมาวางเรยี งรายเตม็ กลางลานบา้ นเพ่ือผง่ึ แดดใหแ้ หง้ สสี นั และลวดลายบนรม่ นนั้ สะดดุ ตาผพู้ บเห็น มีทงั้ หมด 3 ชนิดดว้ ยกนั คอื รม่ ท่ีทาดว้ ยผา้ แพร ผา้ ฝา้ ย และกระดาษสา แตล่ ะชนิดมีวธิ ีทา อย่างเดียวกนั หากนกั ท่องเท่ียวประสงคจ์ ะชมขนั้ ตอนการผลิต ไปชมไดท้ ่ีศนู ย์ อตุ สาหกรรมทารม่
ลกั ษณะภมู ิประเทศทางภาคเหนือ ทาใหภ้ าคเหนือเป็นดนิ แดนท่ีมีขนบประเพณี วฒั นธรรมเป็นของตนเอง โดยเฉพาะกลมุ่ ไทยวนหรอื โยนก ปัจจบุ นั เรยี กตนเองวา่ “คนเมือง” แตเ่ ดิมมกั เรียก “ลาวพงุ ดา” เพราะนิยมสกั ลาย ตามบรเิ วณตน้ ขาและหนา้ ทอ้ ง ไทยวนเป็นชนกลมุ่ ใหญ่ท่ีตงั้ ถ่ินฐานอยบู่ รเิ วณจงั หวดั เชียงใหม่ ลาพนู ลาปาง ไท ลอื้ เป็นอีกกลมุ่ ชนหน่งึ ท่ีมีจานวนมากรองจากไทยวน ไทลอื้ ตงั้ ถ่ินฐานอยใู่ นบรเิ วณจงั หวดั เชียงราย พะเยา และ น่าน นอกจากนีย้ งั มีชนกลมุ่ นอ้ ย เช่น ลวั ะ กะเหรย่ี ง ไทใหญ่ มอญ ตลอดไปจนถงึ ชาวไทยภเู ขาเผา่ ต่างๆ เช่น แมว้ มเู ซอ อกี อ้ เยา้ ลซี อ กระจายอยใู่ นจงั หวดั ตา่ งๆ ของภาคเหนือ
จงั หวดั แพร่เป็นแหล่งกำเนิดของผำ้ หมอ้ หอ้ ม ควำมเป็นมำของผำ้ หมอ้ หอ้ มเก่ียวขอ้ งกบั ประวตั ิของบำ้ นทุ่งโฮง้ ซ่ึงเป็นแหล่งผลิตผำ้ หมอ้ หอ้ มแหล่งใหญท่ ี่สุดและมีชื่อเสียงท่ีสุดของจงั หวดั แพร่ ชำวบำ้ นทุ่งโฮง้ เป็นกลุ่มชนท่ีมีเช้ือสำยลำวพวน ซ่ึงไดอ้ พยพเขำ้ มำอยทู่ ี่ บำ้ นทุ่งโฮง้ นำนแลว้ และไดน้ ำเอำวฒั นธรรมกำรทอผำ้ และกำรยอ้ มผำ้ โดยใชต้ น้ และใบหอ้ มมำยอ้ ม ทำใหผ้ ำ้ ฝ้ำยเกิดเป็นสีครำม หรือสีกรมท่ำ ซ่ึงเป็นกำรยอ้ มแบบด้งั เดิม แต่ไม่มีหลกั ฐำนกำรบนั ทึกวำ่ เริ่มทำกนั มำต้งั แต่เม่ือไหร่ แต่คำดวำ่ น่ำจะมีกำรทำมำหลำย ชว่ั อำยคุ น โดยกำรทำสืบทอดกนั มำต้งั แต่รุ่น พอ่ – แม่
ภมู ิปัญญาไทย ภาคกลาง
บา้ นทรงไทย สถาปัตยกรรมภมู ปิ ัญญาไทย ลกั ษณะจะแตกตา่ งกนั ไปตามแตล่ ะภมู ภิ าคท่ีสอดคลอ้ งกบั วิถีการดารงชีวิต ตวั บา้ นจะมีโครงสรา้ งการถา่ ยนา้ หนกั จากเสาและคานลงสฐู่ านราก สว่ นใหญ่จะดว้ ยไมแ้ ละวสั ดธุ รรมชาติ จะไม่ทาสีผนงั แตจ่ ะลงนา้ มนั เคลอื บเงาไว้ การอยอู่ าศยั จะปรบั สภาพใหเ้ หมาะสมกบั สภาพภมู อิ ากาศตามแตล่ ะทอ้ งถ่ิน บา้ นทรงไทยมี ลกั ษณะเดน่ ท่ีความเรยี บงา่ ย และความโปรง่ สบาย การออกแบบโครงสรา้ งหลงั คาสงู ชอ่ งประตหู นา้ ตา่ งหลายบาน เพ่ือ เปิดทางลมช่วยใหอ้ ากาศหมนุ เวียน ตวั บา้ นท่ียกใตถ้ นุ สงู เพ่ือปอ้ งกนั ฤดนู า้ หลาก อนั ตรายจากสตั วร์ า้ ย หรอื ประโยชนใ์ ช้ สอยอ่ืนๆ ดว้ ยความเป็นเอกลกั ษณข์ องบา้ นทรงไทย จงึ ควรคา่ แกก่ ารอนรุ กั ษไ์ วต้ ราบนานเทา่ นาน
ปลาตะเพยี นสาน เป็นงานประดิษฐ์ท่ีเกิดจากภมู ปิ ัญญาของคนไทย เดิมมกั ใชใ้ บลานมาทาเป็นเสน้ แผน่ ยาว ๆ บาง ๆ มาตาก แดด 2-3 นาที แลว้ มาสานเป็นรูปปลาตะเพียน เน่ืองจากใบลานมีโครงสรา้ งท่ีแข็งแรง แลว้ ลงสใี หส้ วยงาม จากนนั้ กน็ ามา ประกอบเป็นโมบาย สมยั กอ่ นคนไทยมีอาชีพทานากนั เป็นสว่ นใหญ่ ในคคู ลองก็จะมีปลาตะเพียนเป็นจานวนมาก ปลาตะเพียน สานจงึ เป็นสญั ญลกั ษณแ์ หง่ ความอดุ ม สมบรู ณ์ เน่ืองจากชว่ งท่ี ปลาโตเตม็ ท่ีนนั้ เป็นช่วงเดียวกบั ช่วงเวลาท่ี ขา้ วตกรวง นอกจากนีผ้ ใู้ หญ่มกั จะแขวน ปลาตะเพียนสาน ไวเ้ หนือเปลเดก็ เพ่ือเป็นการอวยพร ใหเ้ ด็กสขุ ภาพแข็งแรงอีกดว้ ย และใน โอกาสท่ีมีพระราชพธิ ีสมโภชเดือนและขนึ้ พระอ่พู ระเจา้ หลานเธอ พระองคเ์ จา้ ทีปังกรรศั มีโชติ พ.ศ. 2548 จงึ ใหป้ ระชาชนคนไทย รว่ มสานปลาตะเพียนรอ้ ยเป็นโบมายแขวนประดบั ไวท้ ่ีหนา้ บา้ น หรอื หา้ งรา้ นเพ่ือถวายพระพรอกี ดว้ ย ปลาตะเพียนสาน มี 2 ชนิด คือ ชนิดลวดลายและตกแตง่ สวยงาม ซง่ึ ประดิษฐ์ขนึ้ ในสมยั รชั กาลท่ี 5 และอีกชนิดหน่งึ เป็นเพียงสีใบลานตามธรรมชาติ
พดั สานบา้ นแพรกเป็นงานหตั ถกรรมพืน้ บา้ นอนั ทรงคณุ คา่ ท่ีเกิดจากภมู ปิ ัญญาชาวบา้ นอาเภอบา้ นแพรก จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ชาวอาเภอบา้ นแพรกรเิ รม่ิ การสานพดั มาเป็นเวลานบั ๔๐ ปี มีการประยกุ ตป์ รบั ปรุงรูปแบบตลอดเวลา การสานพดั เป็นอาชีพเสรมิ ทารายไดด้ ีภายในครวั เรอื น ชาวบา้ นจะสานพดั ในชว่ งวา่ งเวน้ จากการทานา เป็นสินคา้ พืน้ เมือง ท่ีสาคญั อยา่ งหน่งึ ของชาวอาเภอบา้ นแพรก พดั สายจงึ กลายมาเป็นงานหตั ถกรรมพืน้ บา้ นท่ีมีช่ือเสียง และไดร้ บั การยก ยอ่ งใหเ้ ป็นเอกลกั ษณข์ องอาเภอบา้ นแพรก ดงั ปรากฏในคาขวญั ท่ีวา่ “หลวงพอ่ เขียว หลวงพอ่ ขาว หลวงพอ่ เภาคบู่ า้ น พดั สานคเู่ มือง พิพิธภณั ฑล์ ือเล่อื ง รุง่ เรอื งเกษตรกรรม เลศิ ลา้ หตั ถศิลป์ ดนิ แดนถ่ินลิเก บา้ นเกิดของหอมหวล นาคศิริ ราชาลเิ กแหง่ เมืองไทย”
ภมู ปิ ัญญาไทย ภาคใต้
ผา้ บาตกิ ผา้ ชนิดนีจ้ ะใชเ้ ทคนิคในการลงเทียน หรอื ขีผ้ งึ้ ลงบนผืนผา้ แลว้ นาไปยอ้ มสี จากนนั้ นามาตม้ เพ่ือเอาขีผ้ งึ้ ออก ตาแหนง่ ท่ีเคยปิดทบั ดว้ ยขีผ้ งึ้ มากอ่ นสีจะไมต่ ิด เกิดเป็นลวดลายสีขาวขนึ้ มาในตาแหน่งนนั้ จะเพ่มิ สีสนั อ่ืนๆ เขา้ ไปหรอื ไม่ ก็ขนึ้ อยกู่ บั ความตอ้ งการหรอื กรรมวธิ ีพิเศษของชา่ งผผู้ ลติ เทคนิคการลงขีผ้ งึ้ นีใ้ นภาษาอนิ โดนีเซีย(ชวา) จะเรยี กวา่ \"BATIK\" ผา้ ท่ีเกิด ลวดลายขนึ้ ในผืนผา้ ดว้ ยเทคนิคอนั นีจ้ งึ เรยี กขานกนั วา่ ผา้ บาตกิ หรอื ผา้ บาเต๊ะ หรอื ผา้ ปาเต๊ะ ซง่ึ เป็นช่ือผา้ ท่ีใชเ้ ทคนิคของการ ผลติ นามาตงั้ ช่ือ และผา้ ชนิดนีเ้ ป็นผา้ ชนิดเดียวกบั ท่ีเรยี กกนั ในสมยั โบราณวา่ ผา้ ยาวา หรอื ผา้ ยาวอ ซง่ึ มี แหลง่ ผลติ ท่ีสาคญั อยู่ ในเกาะชวาเป็นหนง่ึ ตาบลหนง่ึ ผลิตภณั ฑ์ (one Tambon one Product) ของตาบลดาโต๊ะ อาเภอหนองจกิ ,ตาบลตะ โละดือรามนั อาเภอกะพอ้ ตาบลปะเสยะวอ อาเภอสายบรุ ี ,ตาบลปิตมู ดุ ี อาเภอยะรงั ,ตาบลบาราโหม อาเภอเมือง และตาบลลุ
วิถีชาวเล ชาวประมง คนตงั เก นอกจากจะดารงวิถีคกู่ บั ทะเล คืบกท็ ะเล ศอกกท็ ะเล วาก็ทะเลแลว้ พวกเขายงั ตอ้ งใชช้ ีวติ คกู่ บั พาหนะสาคญั น่นั กค็ ือ“เรือ” ท่ีจะพาออกจากฝ่ังไปยงั จดุ หมายเพ่ือจบั สตั วน์ า้ กงุ้ หอยปปู ลา ขาย กิน เลีย้ งชีวติ ตวั เองและครอบครวั เรอื ของชาวประมงนนั้ มีหลากหลายรูปแบบ ตงั้ แตเ่ รอื เลก็ ในประมงพืน้ บา้ นไปจนถงึ เรอื ขนาดยกั ษใ์ นอตุ สาหกรรมประมงขา้ มชาติ สาหรบั ภาคใตท้ างตอนลา่ งอยา่ ง ปัตตานี นราธิวาส และในบางพืน้ ท่ีของสงขลา นครศรธี รรมราช ไลไ่ ปจนถงึ แหลมมลายู จะมี เรอื ประมงพืน้ บา้ นสาคญั นาม “กอและ” ท่ีเป็นการตกผลกึ ทางภมู ิปัญญามานบั แตบ่ รรพบรุ ุษจนเกิดการสรา้ งสรรคเ์ ป็นนาวาศิลป์ อนั งดงามวจิ ิตร จนไดช้ ่ือวา่ เป็นราชินีความงามแหง่ ทอ้ งทะเลในดนิ แดนปลายดา้ มขวานของเมืองไทย
ภาชนะท่ีมีรูปรา่ งโคง้ ครง่ึ วงกลมหรอื เป็นส่เี หล่ยี มคางหมู ทาจากใบไมใ้ ชต้ กั นา้ คนใตเ้ รยี กเจา้ ส่งิ นีว้ า่ \"หมาตกั นา้ \" คาวา่ \"หมา\" บางทกี ็เรยี ก \"ตหิ มา\" หรอื \"ตหี มา\" ผรู้ ูก้ ลา่ ววา่ ไมใ่ ชค่ าไทยแท้ แตเ่ ป็นคาท่ีมาจากภาษามลายู คือ คาวา่ Timba ซง่ึ หมายถงึ ภาชนะตกั นา้ ท่ีทาจากใบจาก หรอื กาบ หมา ติหมา ตีหมา เป็นภาชนะตกั นา้ อยา่ งหน่งึ ของชาวภาคใต้ ทาดว้ ยกาบหรอื ใบของ พืชตระกลู ปาลม์ ท่ีหาไดใ้ นทอ้ งถ่ิน การเรียกช่ือบางครงั้ จงึ มีช่ือของพืชท่ีนามาเป็นวสั ดทุ าตอ่ ทา้ ยดว้ ย เชน่ ถา้ ทาจากใบจากก็ เรยี กวา่ \"หมาจาก\" ถา้ ทาจากตอ้ หมาก (กาบหมาก) กเ็ รยี กวา่ \"หมาตอ้ \" ถา้ ทาจากกาบเหลาชะโอนกเ็ รยี กวา่ \"หมาตอ้ หลาวโอน\" (หรอื \"หมาตอ้ \" เช่นเดียวกนั ) แตบ่ างคนก็ใชค้ าวา่ \"หมา\" \"ติหมา\" หรอื \"หมาตกั นา้ \" รวม ๆ กนั ไปโดยไมค่ านงึ ถึงวสั ดทุ ่ีใชท้ าใน ทอ้ งถ่ินบางแหง่
ภมู ปิ ัญญาไทย ภาคอสี าน
แบบแผนกำรดำเนินชีวติ ที่มีคุณค่ำ แสดงถึงควำมเฉลียวฉลำดของบุคคลและสังคมซ่ึงไดส้ ง่ั สมปฏิบตั ิสืบตอ่ กนั มำ กระติบขำ้ วของชำวอีสำนเป็นภำชนะเกบ็ อำหำรท่ีทำงคุณคำ่ มำกดว้ ยภูมิปัญญำ เกบ็ ควำมร้อนไดด้ ี ในขณะที่ยอม ใหไ้ อน้ำระเหยออกไปได้ ทำใหข้ ำ้ วเหนียวที่บรรจุภำยในกระติบไม่แฉะดว้ ยไอน้ำ ต่ำงจำกกระติกน้ำแขง็ ท่ีพอ่ คำ้ แม่คำ้ ขำ้ วเหนียวสม้ ตำบำงร้ำนนำมำใชบ้ รรจุขำ้ วเหนียวเพ่ือรอขำยซ่ึงจำเป็นตอ้ งใชผ้ ำ้ ขำวรองอีกทีก่อนบรรจุขำ้ ว เหนียว แต่เมด็ ขำ้ วที่อยรู่ อบขอบกระติกกย็ งั แฉะอยดู่ ี
เซงิ้ กระติบขา้ ว เป็นการแสดงของภาคอีสานท่ีเป็นท่ีรูจ้ กั กนั ดี และแพรห่ ลายท่ีสดุ ชดุ หนง่ึ จนทาใหค้ นท่วั ไปเขา้ ใจวา่ การแสดงของภาค อีสานมีลกั ษณะเป็นการราเซงิ้ เพียงอย่างเดียว เซงิ้ กระตบิ ขา้ วไดแ้ บบอยา่ งมาจากการเซงิ้ บงั้ ไฟ ซ่งึ แตเ่ ดมิ นนั้ เซงิ้ บงั้ ไฟใน ขบวนแห่ หรือเซงิ้ ในขบวนแหต่ า่ งๆ ไมม่ ีทา่ ฟอ้ นราท่ีออ่ นชอ้ ย เป็นเพียงยกมือรา่ ยรา(ยกมือสวกไปสวกมา)ใหเ้ ขา้ กบั จงั หวะ กลองและรามะนาเทา่ นนั้ การแตง่ กาย : ผแู้ สดงใชผ้ หู้ ญิงลว้ น สวมเสอื้ แขนกระบอกคอกลมสีพืน้ นงุ่ ผา้ ซ่นิ มดั หม่ี หม่ ผา้ สไบเฉียง ผมเกลา้ มวยทดั ดอกไมห้ อ้ ยกระติบขา้ วทางไหลซ่ า้ ยเฉียงไปทางขวา
พธิ ีบายศรสี ขู่ วญั การบายศร-ี สขู่ วญั เป็นกิจกรรมท่ีจดั ขนึ้ เพ่ือความเป็นสริ มิ งคล นิยมจดั ทากนั ในโอกาสอนั เป็นมงคลตา่ ง ๆ เช่น ขนึ้ บา้ นใหม่ บวชนาค แตง่ งาน เล่ือนยศ เล่อื นตาแหน่ง พระภิกษุเล่ือนสมณศกั ดิ์ หรอื ผใู้ หญ่ท่ีเคารพนบั ถือมาสทู่ อ้ งท่ี จะตอ้ งเดินทางไกล ยา้ ยท่ีอยู่ เป็นพิธีมงคลท่ีนิยมทากนั มากทงั้ ในงานเลก็ นอ้ ยภายในครอบครวั หรอื จดั เป็นพิธีใหญ่โตตามฐานะ คาวา่ \"ขวญั \" เป็นนามธรรม ไม่มีรูปรา่ งหนา้ ตาปรากฏใหเ้ ห็น ไมส่ ามารถจบั ตอ้ งหรอื สมั ผสั ได้ แตจ่ ะสงั เกตไดด้ ว้ ยความรูส้ ึก ถา้ ขวญั ของผใู้ ดอย่กู บั ตวั ผนู้ นั้ จะมีความสขุ กายสบายใจเป็นปรกติ แตถ่ า้ ขวญั ของผใู้ ดหลบลหี้ นีหายผนู้ นั้ จะมีลกั ษณะอาการตรงกนั ขา้ ม พิธีบายศรสี ขู่ วญั ท่ีปฏิบตั สิ ืบต่อกนั มาถงึ ปัจจบุ นั นี้ คนไทยเช่ือวา่ เป็นพิธีกรรมหน่งึ ท่ีจะชว่ ยสง่ เสรมิ เพ่ิมพลงั ใจใหเ้ ขม้ แขง็ เม่ือมีขวญั ท่ีม่นั คงพลงั ใจท่ีเขม้ แขง็ ดีแลว้ ย่อมสง่ ผลใหก้ าร ประกอบภาระกิจหนา้ ท่ีนนั้ ๆ บรรลผุ ลสาเรจ็ ไดต้ ามความม่งุ หมาย คาวา่ \"บายศร\"ี แปลวา่ ขา้ วท่ีเป็นมงคล เป็นสญั ลกั ษณข์ องพิธีกรรมท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ชีวิต
Search
Read the Text Version
- 1 - 17
Pages: