Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยที่ 4

หน่วยที่ 4

Published by pinnarat.stvc, 2020-01-07 01:58:27

Description: หน่วยที่ 4

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ าเทคโนโลยสี ารสนเทศเพือ่ การจัดการอาชีพ (3001-2001) ตรงตามหลกั สตู ร ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี ช้ันสงู (ปวส.) พทุ ธศกั ราช 2557 ประเภทวชิ าบรหิ ารธุรกิจ สาขาวิชาการบัญชี เรยี บเรยี งโดย พนิ รฎั สตี ลวรางค์ บธ.บ. การบัญชี บธ.บ. การจดั การท่วั ไป แผนกวิชาการบญั ชี วิทยาลยั อาชีวศกึ ษาสุโขทัย สานกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา

1 หน่วยที่ 4 ระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ หัวข้อเรอื่ ง 1. ความหมายของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 2. องคป์ ระกอบของระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ 3. ประเภทของระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ 4. อปุ กรณ์ในระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ 5. ประโยชนข์ องระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ จดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม 1. สามารถบอกความหมายของระบบเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ได้ 2. สามารถบอกองค์ประกอบของระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ได้ 3. สามารถจาแนกประเภทของระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ได้ 4. สามารถบอกอุปกรณท์ ี่ใชใ้ นระบบเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ได้ 5. สามารถบอกประโยชน์ของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้  ความหมายของระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ (Computer) พัฒนามาจากเคร่ืองคานวณในรนุ่ แรก ๆ จนกลายเป็นเคร่ืองจักรคานวณ และกลายเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ในที่สุด วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์ยังมีอีกแง่มุมหนึ่งคือ การพัฒนาจาก เคร่ืองเดยี่ ว (Stand Alone) มาเป็นกลุ่มงาน (Workgroup) และขยายขนาดเป็นเครือข่ายที่กว้างใหญ่ข้ึนอย่าง LAN WAN หรือ Internet ในปัจจุบนั การเชื่อมต่อการทางานกันเป็นระบบเครือข่ายในยุคแรกๆ เพ่ือการใช้อุปกรณ์ และทรัพยากรต่างๆ ร่วมกัน เช่น CD-ROM, Printer และอุปกรณ์อื่นซึ่งมีราคาแพง รวมถึงการใช้งานข้อมูลสารสนเทศ และหน่วย ประมวลผลร่วมกัน เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาก้าวไกลไปอย่างรวดเร็ว และอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็มีราคาที่ถูกลง ระบบ เครอื ข่ายคอมพิวเตอร์มีบทบาททสี่ าคญั ในการตดิ ต่อสือ่ สาร และการจัดการสารสนเทศจานวนมหึมา แต่ส่ิงหนึ่ง ท่ไี มเ่ ปลยี่ นแปลงกค็ อื การเชื่อมต่อ และการแบ่งปันใช้ทรัพยากรรว่ มกนั ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) หมายถึง การนาเคร่ืองคอมพิวเตอร์มา เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน โดยอาศัยช่องทางการสื่อสารข้อมูล เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างเครื่อง คอมพวิ เตอร์ และการใช้ทรพั ยากรของระบบร่วมกัน (Shared Resource) ในเครอื ข่ายน้ัน โทโปโลยีระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ สถาปัตยกรรมการเช่ือมต่อของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มี หลายแบบ สามารถเลือกใช้ใหเ้ หมาะสมกบั การใช้งาน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทางานและประหยัดค่าใช้จ่าย รวมทั้งวางแผนระบบเครือข่ายในอนาคต โดยส่วนใหญ่คอมพิวเตอร์ภายในองค์กรใหญ่จะติดต่อสื่อสารผ่าน

2 ระบบ LAN (Local Area Network) โดยมี backbone เป็นส่วนประกอบหลัก เป็นจุดท่ีจะทาการสื่อสาร ภายในองค์กรผ่าน backbone เทคโนโลยี LAN มีหลายประเภท เช่น Ethernet, Token Ring, FDDI และ Wireless LAN เป็นต้น แต่นิยมกันมากที่สุดในปัจจุบันคือ อีเธอร์เน็ต (Ethernet) ซ่ึงอีเธอร์เน็ตเองยังจาแนก ออกได้หลายประเภทยอ่ ย ขนึ้ อยูก่ ับความเรว็  องคป์ ระกอบของระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ ระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ เป็นการเชอ่ื มโยงคอมพิวเตอรต์ ้งั แต่ 2 เคร่ืองขึ้นไป ผ่านส่ือท่ีเป็นตัวกลาง รับ-ส่งข้อมูล เช่น สายเคเบิล หรือ ดาวเทียม เป็นต้น โดยวัตถุประสงค์ของการเช่ือมโยงระบบเครือข่าย คอมพิวเตอร์ เพื่อประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น การติดต่อส่ือสารแลกเปล่ียนข้อมูลกัน การใช้ทรัพยากรต่าง ๆ รว่ มกนั การใชข้ อ้ มูลต่าง ๆ รว่ มกัน เป็นต้น ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์จึงประกอบด้วย คอมพิวเตอร์ต้ังแต่ 2 เคร่อื งขึ้นไป โดยแบ่งเปน็ องคป์ ระกอบสาคัญ คอื 1. คอมพิวเตอร์อยา่ งน้อย 2 เครอ่ื ง 2. เน็ตเวริ ์คการ์ด หรือ NIC (Network Interface Card) เป็นการ์ดเสยี บเขา้ กับชอ่ งสลอ๊ ตบน เมนบอร์ดของคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นจุดเชอ่ื มต่อระหว่างคอมพวิ เตอรแ์ ละเครือขา่ ย 3. ส่อื กลางและอุปกรณ์สาหรบั การรับสง่ ขอ้ มลู เชน่ สายสัญญาณ ปัจจบุ นั ทนี่ ิยมใช้ได้แก่ สายโคแอก๊ เชียล สายคเู่ กลยี วบิด และสายใยแก้วนาแสง สว่ นอปุ กรณ์เครอื ขา่ ย ได้แก่ สวติ ช์ เกตเวย์ ฮบั เราท์เตอร์ 4. โปรโตคอล (Protocol) โปรโตคอลเป็นภาษาที่คอมพิวเตอรใ์ ช้สอ่ื สารกันผ่านเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ ทสี่ ามารถสื่อสารกนั ไดจ้ าเป็นต้องมภี าษาสอื่ กลางท่ที าใหเ้ ข้าใจกัน คือ โปรโตคอลเดยี วกัน เชน่ TCP/IP, IPX/SPX 5. ระบบปฏิบัติการเครือข่าย หรือ NOS (Network Operating System) ระบบปฏิบัติการเครือข่าย ที่คอยจัดการเก่ียวกับการใช้งานเครือข่ายของผู้ใช้ แต่ละคน ควบคุมทรัพยากรต่าง ๆ ของเครือข่าย ระบบปฏิบัตกิ ารท่ีนิยม ได้แก่ Windows Server , Novell NetWare, Sun Solaris, Linux  ประเภทของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ระบบเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ สามารถจาแนกตามระยะทางของการเช่ือมต่อระหว่างการสื่อสาร ได้เป็น 3 ประเภทดงั นี้ 1. ระบบ LAN (Local Area Network) เป็นเครือข่ายระยะใกล้ ที่ใช้กันอยู่ในบริเวณไม่กว้างนัก มัก ใชใ้ นองค์กรเดียวกัน โดยส่วนใหญ่ลักษณะของการเช่ือมต่อคอมพิวเตอร์ จะอยู่ในพื้นท่ีใกล้ ๆ กัน เช่น อยู่ภาย อาคารเดียวกัน ภายในตกึ เดยี วกัน เปน็ ตน้ 2. ระบบ MAN (Metropolitan Area Network) เป็นเครือข่ายขนาดกลาง เป็นกลุ่มของเครือข่าย LAN ท่ีนามาเช่ือมต่อกันเป็นวงที่ใหญ่ขึ้น ภายในบริเวณพ้ืนที่ใกล้เคียง เช่น ในเมืองเดียวกัน หรือจังหวัด ใกล้เคียงกัน เป็นตน้

3 3. ระบบ WAN (Wide Area Network) เป็นเครือขา่ ยขนาดใหญ่ โดยเป็นการรวมเครือข่ายทั้ง LAN และ MAN มาเช่อื มตอ่ กนั เป็นเครือขา่ ยเดียว ดังน้ันเครือข่ายนี้ จึงครอบคลุมพื้นที่กว้างมาก บางครั้งครอบคลุม ไปท่ัวประเทศ หรือ ทั่วโลก อย่างเช่น อินเตอร์เน็ต ก็จัดว่าเป็นเครือข่าย WAN ประเภทหนึ่ง แต่เป็นเครือข่าย สาธารณะทไี่ ม่มใี ครเป็นเจ้าของ ในระบบเครือข่ายทั้งสามระบบน้ี ระบบ LAN ได้รับความนิยมใช้กันมากที่สุดท้ังในภาครัฐและเอกชน เพราะเทคโนโลยีระบบ LAN มีราคาไม่สูงมากอีกท้ัง คอมพิวเตอร์ท่ีต่อกับระบบเครือข่ายนี้ก็เป็น ไมโครคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีราคาถูก และหน่วยงานต่าง ๆ มีใช้อยู่แล้วหลายเครื่อง การลงทุนซ้ืออุปกรณ์สาหรับ เครือข่าย LAN มาติดต้ังจึงกระทาได้ง่าย ที่สาคัญคือระบบ LAN หลายระบบสามารถเช่ือมต่อกับคอมพิวเตอร์ ขนาดใหญ่ ท้ังมินิคอมพิวเตอร์และระดับเมนเฟรมได้ แต่แท้ที่จริงแล้วระบบ LAN ก็คือ เครือข่ายขนาดเล็กใช้ เชื่อมโยงเคร่ืองคอมพวิ เตอร์ภายในบริเวณสานกั งานท่ีอยอู่ าคารเดียวกันหรือบรเิ วณเดียวกันเท่านนั้  อุปกรณ์ในระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ (Network equipment) ในการเชือ่ มต่อระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์พื้นฐานนอกจากคอมพิวเตอร์ 2 ตัวข้ึนไป แล้วยัง ตอ้ งประกอบด้วยอปุ กรณ์ตา่ ง ๆ ดงั ต่อไปน้ี 1. เน็ตเวิร์คการ์ด (Network card) หรือการ์ดแลน (LAN card) หมายถึง แผงวงจรสาหรับใช้ใน การเชื่อมต่อสายสัญญาณของเครือข่าย จะติดต้ังไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นเครื่องแม่ข่าย และเคร่ืองที่เป็น ลกู ขา่ ย หน้าท่ีของการ์ด คือ แปลงสัญญาณจากคอมพิวเตอร์ส่งผ่านไปตามสายสัญญาณ ทาให้คอมพิวเตอร์ใน เครือขา่ ยแลกเปล่ยี นข้อมูลข่าวสารกันได้ ภาพที่ 4-1 เน็ตเวริ ค์ การด์ (Network card) หรอื การด์ แลน (LAN card) 2. โมเด็ม (Modulator Demodulator ; Modem) หมายถึง อุปกรณ์สาหรับการแปลงสัญญาณ ดิจิตอล (Digital) จากคอมพิวเตอร์ด้านผู้ส่ง เพื่อส่งไปตามสายสัญญาณข้อมูลแบบอนาลอก (Analog) เมื่อถึง คอมพิวเตอร์ด้านผู้รับ โมเด็มก็จะทาหน้าที่แปลงสัญญาณอนาลอก ให้เป็นดิจิตอลนาเข้าสู่เคร่ืองคอมพิวเตอร์ เพื่อทาการประมวลผล โดยปกติจะใช้โมเด็มกับระบบเครือข่ายระยะไกล โดยการใช้สายโทรศัพท์เป็นส่ือกลาง เชน่ เครือข่ายอนิ เทอรเ์ น็ต

4 ภาพท่ี 4-2 External Modem และ Internal Modem 3. ฮับ (Hub) เป็นอุปกรณ์สาคัญในการเช่ือมโยงสัญญาณของเครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์เน็ต เวิร์กเข้าด้วยกัน ปกติจะเป็นเครือข่ายแบบ Ethernet 10BaseT รูปแบบการเชื่อมต่อ หรือ LAN Topology จะเป็นแบบ Star การเชื่อมต่อแบบนีจ้ ะใช้ฮับเป็นศนู ยก์ ลางในการเช่ือมต่อทุกเคร่ือง จะเช่ือมต่อผ่านฮับและใช้ สาย UTP (Unshielded Twisted Pair) หรือ CAT5 กับหัวต่อแบบ RJ-45 ในการรับ-ส่งข้อมูล ฮับจะเป็น เสมือนตัวทวนสัญญาณ (Repeater) และฮับบางรุ่นยังสามารถตรวจจับข้อมูล (Data Detection) ต่างๆ เช่น Receive Sent Data, Jabbers, Collision Data, Short Frames ฮับ จะมีอัตราความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลต้ังแต่ 10 Mbps (Mega bit per sec.) จนถึง 100 mbps และจะมีจานวนช่องขนาดเล็กต้ังแต่ 4 ช่อง หรือเรียกว่า ฮับ 4 port (8 port, 12 port,16 port และ 24 port) การเลือกใช้การ์ดเน็ตเวิร์กก็ควรเลือกให้เหมาะสมกับความเร็วของฮับ ถ้าใช้การ์ดเน็ตเวิร์กท่ีมีความเร็ว เพียง 10 Mbps แล้วนามาเช่ือมต่อกับฮับแบบ 10 Mbps จะทาให้มีอัตราความเร็วเพียง 10 Mbps เท่าน้ัน (หรอื ใช้การ์ดเน็ตเวิร์กท่ีมีความเร็ว 10 Mbps กับฮับแบบ 10 Mbps ก็จะทาให้อัตราความเร็วต่าท่ี 10 Mbps เช่นกัน) ฮับบางรุ่นจะมีพอร์ต Uplink เอาไว้เช่ือมต่อกับพอร์ตธรรมดาของฮับตัวอ่ืนเพื่อขยายช่องสัญญาณ และยงั มีสวิตซใ์ นการเลือกความเร็วระหวา่ ง 10 หรือ 100 Mbps ภาพท่ี 4-3 ฮบั (Hub)

5 4. บรดิ จ์ (Bridge) เป็นอปุ กรณ์ทีม่ ีหนา้ ที่การทางานคล้ายๆ กับตัวทวนสัญญาณ (Repeater) โดยจะ ขยายสัญญาณให้มีระดับความแรงเพื่อส่งต่อไป แต่มีหน้าท่ีหลักคือเชื่อมต่อเครือข่ายย่อยเข้าด้วยกัน หรือ เชื่อมต่อเครือข่ายต่างระบบกัน เช่น ในหน่วยงานมีระบบเครือข่ายแรกเป็นแบบ Ethernet และมีระบบ เครือข่ายที่สองเป็นแบบ Token-Ring จะเห็นว่าใช้บริดจ์เป็นสะพานในการเช่ือมต่อระหว่างเครือข่ายทั้งสอง (บรดิ จ์ จะมีพอร์ตในการเชอื่ มตอ่ จานวน 2-4 พอรต์ คือ พอร์ต A , B, C, D) นอกจากน้ีบริดจ์ยังมีความสามารถในการตรวจสอบ Packet หรือ Frame ท่ีรับ-ส่งข้อมูลในระดับ ฮาร์ดแวร์ เพื่อส่งข้อมูลไปยังอีกฟากหน่ึงของเครือข่าย โดยที่บริดจ์จะเก็บรวบรวมหมายเลข MAC (Media Access Control) Address ของการด์ เน็ตเวิร์กท่ีติดตั้งในเคร่ืองคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกันเอาไว้ใน ตารางของ บริดจเ์ รียกวา่ SAT (Source address Table) เพื่อจะได้ทราบวา่ คอมพวิ เตอรแ์ ตล่ ะเคร่ืองอย่เู ซ็กเมนตใ์ ดบา้ ง ภาพที่ 4-4 บริดจ์ (Bridge) 5. สวิตช์ (Switch) เป็นอุปกรณ์เครือข่ายที่รวมความสามารถของฮับและบริดจ์เข้าไว้ภายใน ตามปกติแล้วเครอื ข่ายของ Ethernet ไมส่ ามารถสง่ ข้อมูลพรอ้ มกนั หลายเคร่ืองได้ จะต้องสลับกันส่ง เนื่องจาก เป็นการเช่ือมต่ออยู่บน Collision Domain กล่าวคือ ถ้าเกิดมีการรับ-ส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ 2 เคร่ือง บนระบบ ก็จะมีการกระจายข่าวสารออกไปให้ท้ังเครือข่ายทราบ และเคร่ืองอื่นไม่สามารถจะรับ-ส่งข้อมูลได้ จนกว่าเคร่ืองทั้ง 2 จะรับ-ส่งข้อมูลกันเสร็จเรียบร้อย แต่สวิตซ์ทาให้สามารถส่งข้อมูลออกไปพร้อม ๆ กันได้ หลายเคร่ืองด้วยความเร็วสูงกว่าการทางานพ้ืนฐาน ถ้ามีการส่งข้อมูลจากเครื่องใดเคร่ืองหนึ่งบน เครือข่าย สวิตซ์จะจัดการส่งข้อมูลไปยังเครื่องน้ันโดยตรง ไม่มีการกกระจายข้อมูลไปยังทุกเครื่อง เพื่อให้ เครอื่ งท่มี ี MAC Address ตรงกนั รบั ไปเป็นการลดปรมิ าณข้อมลู ทีว่ิงอยู่บนเครือขา่ ย

6 ภาพที่ 4-5 สวติ ช์ (Switch) 6. เราท์เตอร์ (Router) เป็นอุปกรณ์ท่ีใช้เชื่อมต่อระบบเครือข่ายหลาย ๆ แบบเข้าด้วยกัน มี ความสามารถในการทางานสงู กวา่ สวติ ซ์ ขัน้ ตอนในการเซตอพั กย็ ากกวา่ เราท์เตอร์สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายท่ี ใช้สายเคเบิ้ลต่างกัน แต่มีโปรโตคอลเหมือนกันได้ เช่น เครือข่ายหนึ่งใช้สาย Coaxial แต่อีกเครือข่ายใช้สาย UTP เราท์เตอร์มีหน้าท่ีในการเช่ือมโยงเครือข่ายท่ีอยู่ห่างไกลกัน เช่น ระหว่างจังหวัด, ภูมิภาค, ประเทศ หรือ ทวปี โดยผ่ายเซอร์วิสของ WAN, ATM, ISDN, X25 ภาพท่ี 4-6 เราทเ์ ตอร์ (Router)

7 7. สายสญั ญาณ (Cable) ในการเชอ่ื มต่อแบบต่าง ๆ จะตอ้ งใชส้ ายเคเบลิ เปน็ ตวั กลาง (Media) ซง่ึ การใชง้ านจะข้ึนอยู่กบั รปู แบบการเชอื่ มต่อ เช่นแบบ Bus จะใช้สายเคเบลิ Coaxial, แบบ Star จะใช้สาย เคเบลิ UTP สายเคเบลิ ทใี่ ช้งานในระบบเนต็ เวิรก์ จะมีอยู่ 3 ประเภท คอื 7.1 สาย Coaxial เปน็ สายเสน้ เดยี วมีลวดทองแดงเปน็ แกนกลางหุ้ม ด้วยฉนวนสายยาง โดยจะมี ลวดถักหุ้มฉนวนสายยางอีกชั้น (shield) ป้องกันสัญญาณรบกวน และมีฉนวนด้านนอกเป็นยาง สีดาหุ้มอีกช้ัน จะมีอยู่ 2 แบบด้วยกันคือ อย่างหนา (thick) อย่างบาง (thin) ส่วนมากจะใช้งานบนระบบ Ethernet โดยท่ี ปลายสายท้ัง 2 ด้านจะต้องมีตัว terminator ปิดด้วย มีความเร็วในการส่งข้อมูลต่ากว่าสายแบบ UTP สาย Coaxial อย่างบาง (thin) มีข้อเสียคือ ไม่สามารถใช้รับ-ส่งสัญญาณได้เกิน 185 เมตร อาจต้องใช้ตัวทวน สญั ญาณ (Repeater) ช่วยขยายสญั ญาณ ภาพที่ 4-7 สาย Coaxial 7.2 สาย UTP (Unshielded Twisted Pair) หรือสาย CAT (Category) เป็นสายเส้นเล็ก จานวน 8 เส้นตเี กลยี วคู่ มีอยู่ 4 คู่ ไม่มีเส้นลวดถัก (shield) เพราะการตเี กลียวคเู่ ป็นการลดสัญญาณรบกวนอยู่ แล้ว การใช้งานจะต้องมีการต่อหัว RJ-45 เข้ากับสาย UTP แล้วนาไปเสียบเข้ากับ Hub มีความเร็วในการรับ- ส่งข้อมูล 10/100Mbps ปัจจุบันนิยมใช้สาย CAT 5 กันมาก เพราะสนับสนุนการรับ-ส่งข้อมูลความเร็วตั้งแต่ 10-100 Mbps ภาพที่ 4-8 สาย UTP

8 7.3 สาย STP (Shielded Twisted Pair) เป็นสายเสน้ คตู่ ีเกลยี วมีอยู่ 4 คู่ มเี สน้ ลวดถกั (shield) ปอ้ งกนั สัญญาณรบกวน ใชง้ านในการเชอ่ื มต่อระยะทางไกลๆ ซง่ึ สาย UTP ทาไม่ได้ ภาพท่ี 4-9 สาย STP 8. อุปกรณ์ระบบ LAN แบบไร้สาย (Wireless LAN) เป็นระบบ LAN ท่ีใช้คลื่นวิทยุเป็นสื่อในการ รับส่งข้อมูลจะต้องมีอุปกรณ์ในการรับส่งข้อมูล ได้แก่ Wireless LAN card, Air card, Wireless Router, Access Point ภาพท่ี 4-10 ระบบ LAN แบบไรส้ าย (Wireless LAN)

9 ภาพท่ี 4-11 Wireless LAN card ภาพท่ี 4-12 Air card ภาพท่ี 4-13 Wireless Router

10 ภาพที่ 4-14 Access Point  ประโยชน์ของระบบเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์หน่ึงเครือข่ายจะมีการทางานรวมกันเป็นกลุ่ม ที่เรียกว่า กลุ่มงาน (workgroup) เมื่อเช่ือมโยงหลายกลุ่มงานเข้าด้วยกัน ก็จะเป็นเครือข่ายขององค์กร และถ้าเชื่อมโยงระหว่าง องค์กรผ่านเครือข่ายแวน(WAN) ก็จะได้เครือข่ายขนาดใหญ่ข้ึน การประยุกต์ใช้งานเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เป็นไปอย่างกว้างขวาง และสามารถใช้ประโยชน์ได้มาก ทั้งน้ีเพราะระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ทาให้เกิดการ เชื่อมโยงอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน และสื่อสารข้อมูลระหว่างกันได้ ซ่ึงประโยชน์ของระบบเครือข่าย คอมพิวเตอร์สามารถสรุปได้ ดงั นี้ 1. การใช้อุปกรณ์ร่วมกัน (Sharing of peripheral devices) เครือข่ายคอมพิวเตอร์ทาให้ผู้ใช้ สามารถใช้อุปกรณ์ รอบข้างท่ีต่อพ่วงกับระบบคอมพิวเตอร์ ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เครื่องพิมพ์ ดิสก์ไดร์ฟ ซีดีรอม สแกนเนอร์ โมเด็ม เป็นต้น ทาให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ต้องซ้ืออุปกรณ์ที่มีราคาแพง เชือ่ มตอ่ พว่ งให้กับคอมพิวเตอร์ทุกเคร่ือง 2. การใช้โปรแกรมและข้อมูลร่วมกัน (Sharing of program and data) เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ทา ใหผ้ ้ใู ช้สามารถใชโ้ ปรแกรม และข้อมูลร่วมกนั ได้ โดยจดั เก็บโปรแกรมไว้แหลง่ เก็บข้อมูลที่เป็นศูนย์กลาง เช่น ที่ ฮารด์ ดสิ ก์ของเครือ่ ง file server ผูใ้ ช้สามารถใช้โปรแกรมร่วมกนั ได้จากแหล่งเดียวกัน ไม่ต้องเก็บโปรแกรมไว้ ในแต่ละเครื่อง ให้ซ้าซอ้ นกนั นอกจากน้ันยังสามารถรวบรวม ข้อมูลต่าง ๆ จัดเก็บเป็นฐานข้อมูล ผู้ใช้สามารถ ใช้สารสนเทศ จากฐานข้อมูลกลาง ผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย โดยไม่ต้อง เดนิ ทางไปสาเนาขอ้ มลู ด้วยตนเอง เพราะใชก้ ารเรียกใช้ขอ้ มูลผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์นั่นเอง เครื่องลูก (client) สามารถเข้ามาใช้ โปรแกรม ข้อมูล ร่วมกันได้จากเครื่องแม่ (server) หรือระหว่างเครื่องลูกกับเครื่อง ลกู ก็ได้ เปน็ การประหยดั เน้อื ทใ่ี นการจดั เก็บโปรแกรม ไม่จาเป็นว่าทุกเคร่ืองต้องมีโปรแกรมเดียวกันนี้ในเคร่ือง ของตนเอง

11 3. สามารถติดต่อสื่อสารระยะไกลได้ (Telecommunication) การเช่ือมต่อคอมพิวเตอร์ เป็น เครือข่าย ท้ังประเภทเครือข่าย LAN , MAN และ WAN ทาให้คอมพิวเตอร์ สามารถสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูล ระยะไกลได ้โดยใช้ซอฟต์แวร์ประยุกต์ ทางด้านการติดต่อส่ือสาร โดยเฉพาะอย่างย่ิง ในระบบเครือข่าย อินเทอร์เน็ต มีการให้บริการต่างๆ มากมาย เช่น การโอนย้ายไฟล์ข้อมูล การใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (electronic mail) การสืบค้นข้อมูล (search engine) เป็นต้น 4. สามารถประยุกต์ใช้ในงานด้านธุรกิจได้ (ฺBusiness applicability) องค์กรธุรกิจ มีการเช่ือมโยง เครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ เพือ่ ประโยชน์ทางธุรกจิ เช่น เครือข่ายของธุรกิจธนาคาร ธุรกิจการบิน ธุรกิจประกันภัย ธุรกิจการท่องเท่ียว ธุรกิจหลักทรัพย์ สามารถดาเนินธุรกิจ ได้อย่างรวดเร็ว ตอบสนองความพึงพอใจ ให้แก่ ลูกค้าในปัจจุบัน เร่ิมมีการใช้ประโยชน์จากเครือข่าย Internet เพ่ือทาธุรกิจกันแล้ว เช่นการส่ังซ้ือสินค้า การ จ่ายเงนิ ผา่ นระบบธนาคาร เป็นต้น 5. ความประหยัด นับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า อย่างเช่นในสานักงานหน่ึงมีเคร่ืองอยู่ 30 เครื่อง หรือ มากกว่านี้ ถ้าไม่มีการนาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มาใช้ จะเห็นว่าต้องใช้เครื่องพิมพ์อย่างน้อย 5 – 10 เครอ่ื ง มาใช้งาน แต่ถ้ามีระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มาใช้ ก็สามารถใช้อุปกรณ์ หรือเคร่ืองพิมพ์ประมาณ 2-3 เคร่ืองก็พอต่อการใช้งานแล้ว เพราะว่าทุกเคร่ืองสามารถเข้าใช้เคร่ืองพิมพ์เครื่องใดก็ได้ ผ่านเคร่ืองอื่น ๆ ที่ ในระบบเครอื ขา่ ยเดียวกนั 6. ความเช่ือถือได้ของระบบงาน นับเป็นสิ่งท่ีสาคัญสาหรับการดาเนินธุรกิจ ถ้าทางานได้เร็วแต่ขาด ความน่าเช่ือถือก็ถือว่าใช้ไม่ได้ ไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นเม่ือนาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มาใช้งาน ทา ระบบงานมีประสทิ ธิภาพ มีความน่าเช่ือถือของข้อมูล เพราะจะมีการทาสารองข้อมูลไว้ เม่ือเครื่องท่ีใช้งานเกิด มีปญั หา ก็สามารถนาขอ้ มลู ที่มกี ารสารองมาใช้ได้ อย่างทนั ที ********************************** กิจกรรมหนว่ ยที่ 4 ตอนท่ี 1 จงตอบคาถาม ต่อไปนี้มาให้เขา้ ใจ 1. จงบอกความหมายของระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ (Computer Network) มาให้เขา้ ใจ 2. จงบอกองค์ประกอบของระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ มาให้เข้าใจ 3. ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ สามารถจาแนกตามระยะทางของการเชอ่ื มตอ่ ระหว่างการส่ือสาร ไดเ้ ปน็ กป่ี ระเภท อะไรบ้าง 4. จงอธบิ ายลกั ษณะของระบบ LAN มาใหเ้ ขา้ ใจ 5. จงอธิบายลักษณะของระบบ MAN มาให้เข้าใจ 6. จงอธิบายลักษณะของระบบ WAN มาให้เข้าใจ 7. เน็ตเวิร์คการด์ (Network card) หรือการด์ แลน (LAN card) คืออะไร

12 8. โมเด็ม (Modulator Demodulator ; Modem) คอื อะไร 9. ฮบั (Hub) คอื อะไร 10. บริดจ์ (Bridge) ทาหนา้ ที่อะไร ในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 11. สวติ ช์ (Switch) ทาหน้าท่ีอะไร ในระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ 12. เราท์เตอร์ (Router) ทาหน้าที่อะไร ในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 13. สายสญั ญาณ (Cable) ในการเชอื่ มต่อระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ มกี ีแ่ บบ อะไรบ้าง 14. อุปกรณ์ระบบ LAN แบบไร้สาย (Wireless LAN) มอี ะไรบา้ ง 15. จงบอกประโยชนข์ องระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มาใหเ้ ข้าใจ  เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ตอนท่ี 1 1. ตอบคาถามได้ถกู ต้อง ครบถว้ น (ข้อละ 1 คะแนน) 2. ผลงานสะอาดเรียบรอ้ ย (2 คะแนน) 3. ตง้ั ใจทางานด้วยตนเอง (2 คะแนน) 4. สง่ งานตรงเวลา (2 คะแนน) ตอนที่ 2 ในฐานะทนี่ ักศกึ ษา เรยี นในสาขาวชิ าการบัญชี ให้นกั ศึกษาวิเคราะห์ว่าระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ มีความเกีย่ วข้องกบั อาชพี ทางการบญั ชอี ย่างไรบา้ ง ( 9 คะแนน) ข้อกาหนดในการจดั ทา 1. เขยี นใส่กระดาษ A4 ความยาวไม่นอ้ ยกวา่ 1 หน้า 2. นาเสนอหนา้ ชนั้ เรยี น  เกณฑ์การใหค้ ะแนน ตอนท่ี 2 (3 = ดี 2 = พอใช้ 1 = ควรปรับปรุง) 1. นกั ศกึ ษาสามารถนาความรู้ทศ่ี ึกษามาวิเคราะห์ได้อย่างถกู ต้อง เหมาะสม และมีเหตุมีผล (3 คะแนน) 2. ผลงานถกู ตอ้ ง เรียบร้อย ส่งงานตรงเวลา (3 คะแนน) 3. การนาเสนอหน้าชนั้ เรียน (3 คะแนน)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook